เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์

(1/20) > >>

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
Tweet
กรุณาอ่านตั้งแต่หน้าที่1 ทุกๆหัวข้อเลย เรื่อยไปจนถึงหน้าสุดท้ายเลย เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจ

เริ่มก้าวจาก 4 เมษายน พ.ศ. 2554 มุ่งสู่ 1 รอมาฎอน ฮ.ศ.1432

        [วันจันทร์ที่ 4เมษายน พ.ศ.2554 ตรงกับวันที่ 29 รอบีอุซซานีฮ.ศ.1432 ดังนั้น หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ.2554 จึงต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลเอาวัลฮ.ศ.1432

        กทม.
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.29.15 วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 19.03.14วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 58 วินาที จะดูด้วยตาเปล่าหรือกล้องก็ได้

        ชลบุรี
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.28.19วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 19.01.44 วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 26 วินาที จะดูด้วยตาเปล่าหรือกล้องก็ได้

        ยะลา
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.23.53วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 18.53.25วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 29นาที33วินาที ต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น

        หาดใหญ่
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.27.38วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 18.57.31วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 29นาที53วินาที ต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น

        กาญจนบุรี
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.34.05วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 19.08.22วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที17วินาที จะดูด้วยตาเปล่าหรือกล้องก็ได้

        ปัตตานี
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.24.10วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 18.53.46วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 29นาที36วินาที ต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น

        อุบลราชธานี
            - ดวงอาทิตย์ตก 18.13.18วินาที
            - ดวงจันทร์ตก 18.47.37วินาที
            * มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว34นาที19วินาที จะดูด้วยตาเปล่าหรือกล้องก็ได้


การดูดวงจันทร์เพื่ออกำหนดวันที่ 1 ของเดือนทุกๆ เดือนนั้น

        ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้

(( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
        “ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)

        ตามฮาดีษดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบังทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้ ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น

        นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้

عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.

        ความว่า "จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์ ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ)" (รายงานโดยมุสลิม)

        ** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้ **

        สรุปว่า วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2554 พี่น้องที่อยู่ทางภาคเหนือ,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลาง,ภาคตะวันตก ถ้าท้องฟ้าเปิด (ไม่มีเมฆบดบัง,ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด) สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ไม่ว่าจะดูด้วยตาเปล่าหรือดูด้วยกล้อง กรณีศึกษาคำนวนที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (ทำไมต้องคำนวนที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกเพราะ ณ บริเวณนั้นมีสถานที่หนึ่งที่สร้างไว้เพื่อการสังเกตจันทร์เสี้ยวหรือจะดูดวงดาวอื่นๆ ก็ได้ ซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิและที่สำคัญกว่านั้นคือมีผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีความรู้, ความเข้าใจในหลักดาราศาสตร์อิสลามมากๆๆๆ ระดับประเทศ ร่วมเดินทางไปสังเกตจันทร์เสี้ยวในทุกๆเดือนเพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือนอิสลามด้วย) ความสูงของดวงจันทร์ +4 องศา (อยู่เหนือขอบฟ้า 4 องศา) 21 ลิปดา 01 ฟิลิปดา ดวงจันทร์อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ 282 องศา 48 ลิปดา 03 ฟิลิปดา ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 405168.38 กิโลเมตร

        ส่วนพี่น้องทางจังหวัดตราด, จันทบุรี, และพี่น้องที่อยู่ทางจังหวัดประจวบขีรีขันธ์ลงไปทางใต้ทุกจังหวัด ถึงจังหวัดยะลา,นาราธิวาส ดูจันทร์เสี้ยวต้องใช้กล้องดูเท่านั้น

        ดังนั้น ถ้าวันดังกล่าวมีพี่น้องเห็นจันทร์เสี้ยว วันที่ 1 ญุมาดุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1432 ตรงกับวันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ.2554 แต่ถ้าวันดังกล่าวไม่มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว วันที่1ญุมาดุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1432 จะตรงกับวันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ.2554 พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า


        ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่ 7-8

        รู้แล้วบอกต่อ ศาสนาจะไม่สะดุดหยุดลง เท่ากับสร้างความดีงามให้กับชีวิตและสังคม ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
การเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม อากาศแปรปรวน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นสัญญาณบอกถึงความยิ่งใหญ่,ความเกรียงไกร,เดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

         ถ้าหากว่า เราจะมองกันให้ดีๆแล้ว แผ่นดินไหวนั้นเกิดมาจากแผ่นดินไม่แน่น, มีรอยแยกรอยเลื่อน   ถ้าจะเปรียบกับคนก็อยู่ในช่วงวัยชรามากแล้ว สาเหตุที่แผ่นดินไม่แน่นเพราะ 

         1.) แผ่นดินนั้นถูกสร้างมา ย่อมมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา
         2.) มนุษย์ชาติใช้ชีวิตกันอย่างอิสระเสรี ซึ่งบางทีก็อาจจะเข้าไปทำบางสิ่งบางอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงห้ามเอาไว้ เมื่อการทำผิดได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเตือนมนุษย์ชาติโดยให้เกิดเหตุการอะไรบางอย่าง เผื่อว่ามนุษยชาติจะได้ฉุกคิดกันได้ว่าอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้น  ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และเพื่อให้เกิดการสำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัวทำความดีต่อพระองค์

         ดังนั้น ไม่ว่าใครจะทำอะไร (ทำในสิ่งที่ดีหรือทำในสิ่งต้องห้าม) ล้วนแล้วแต่อยู่ในความรอบรู้ของพระองค์ทั้งสิ้น และเพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าการเกิดวันสิ้นโลกนั้นรุนแรงยิ่งกว่าเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้หลายเท่านัก ตอนนี้ภัยที่ยอดฮิตก็คือภัยแผ่นดินไหว เกิดขึ้นเกือบทุกวันรุนแรงบ้าง ไม่รุนแรงบ้างก็เป็นไปตามกำหนดการ,อำนาจและความรู้รอบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ถ้าหากว่ามนุษยชาติทำลายภูเขามากขึ้น หรือว่าภูเขาไฟระเบิดมากขึ้น รอยแยกรอยเลื่อนของพื้นแผ่นดิน คงจะมีมากขึ้นกว่าเดิม แผ่นดินไหวคงเกิดถี่กว่านี้และรุนแรงมากกว่านี้

         ส่วนกลาง หรือใจกลางของพื้นแผ่นดินทั้งหมดในโลกใบนี้นั้นก็คือวิหาร "กะบะห์" เมื่อแผ่นดินทั้ง 7 ชั้นได้ปูบนพื้นน้ำเสร็จเรียบร้อย  พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงมีพระบัญชาใช้ให้ท่านยิบรีลได้สำรวจตรวจตราผืนแผ่นดิน  เมื่อท่านยิบรีลและเหล่าบรรดามะลาอีกะห์ออกสำรวจตรวจตราพื้นแผ่นดิน  ผลปรากฏว่าไปสำรวจทางด้านทิศตะวันออกตลอดจนถึงทิศตะวันตก  แผ่นดินเกิดการสั่นไหวและเคลื่อนตัว,สั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา  เพราะเราอย่าลืมว่าแผ่นดินนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างไว้ให้อยู่บนพื้นน้ำ (สมัยก่อนมุสลิมเราผูกพันอยู่กับเรืออยู่กับลำคลอง

         พี่น้องลองขึ้นไปบนเรือลำเล็กๆดูซิแล้วก็เดินตั้งแต่หัวเรือถึงท้ายเรือดูซิ  พี่น้องจะพบว่าเรือมันโคลงเคลงจริงๆ ลักษณะแบบนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับตอนที่ท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินตามพระบรรชาใช้ของพระผู้เป็นเจ้า

         สรุปก็คือ ท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินทางด้านทิศตะวันออกน้ำก็หนุนทางด้านทิศตะวันตกให้สูงขึ้น แผ่นดินเกิดการสั่นไหว,โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะสำรวจด้านใหนอีกด้านก็สูงขึ้นและสั่นไหวโคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา

         ดังนั้น เมื่อท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินตามพระบัญชาใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  ผลก็คือท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์  ไม่มีความสามารถที่จะทำให้แผ่นดินหยุดการสั่นไหวและโคลงเคลงได้ และไม่รู้ด้วยว่าจะแก้ไขปัญหานี้ให้ลุล่วงได้อย่างไร  จึงได้นำเรื่องราวดังกล่าวทั้งหมดนี้เข้าเฝ้าทูลต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยสร้างบรรดาภูเขาให้เป็นสลักยึดแผ่นดินเอาไว้ ไม่ให้เกิดการสั่นไหวและโคลงเคลง แผ่นดินทั้ง 7 ชั้นจึงแน่นไม่สั่นไหวโคลงเคลงอีกต่อไป  เหมือนประหนึ่งว่าภูเขาเป็นพานหนักใบใหญ่ที่รองรับแผ่นดินเอาไว้ (สมัยนี้อาจจะหาพานยากสักหน่อย)

         พี่น้องลองหากะละมังใบใหญ่สัก 1 ใบใส่น้ำให้เต็ม  นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นน้ำ แล้วพี่น้องลองวางฟองน้ำหรือไม่กระดานเล็กๆสักแผ่นลงไปบนน้ำนั้น ลองเอามือกดไม้กระดานดู  พี่น้องจะพบว่าไม้กระดานจะกระดกและจมน้ำบ้าง,สั่นไหว,โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา  นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นแผ่นดิน

         พี่น้องลองวางพานใบใหญ่ลงในกะละมังที่ใส่น้ำนั้น แล้วนำไม้กระดานแผ่นเล็กเมื่อกี๊  วางลงบนพาน  ลองใช้นิ้วมือกดไม้กระดานดู พี่น้องจะพบว่าไม้กระดานแผ่นเล็กนั้นจะไม่กระดก, ไม่โคลงเคลงและสั่นไหวอีกต่อไปแล้ว นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างภูเขาเพื่อยึดแผ่นดินเอาไว้ไม่ให้สั่นไหวและโคลงเคลง     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า

بسم الله الرحمن الرحيم

         "เรามิได้บรรดาลให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ ? และเรามิได้(บรรดาล)บรรดาภูเขาให้เป็นหลักตรึง(ดอกหรือ)?" (ซูเราะห์อัลนาบา อายะห์ที่ 6-7)

         จากอายะห์กุรอ่านดังกล่าวมานั้นชี้ให้เห็นถึงเดชานุภาพ, อำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมพระองค์ได้ พื้นแผ่นดินมีคุณประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากมาย ต้นข้าวสารพัด,ผลหมากรากไม้,แร่ธาตุต่างๆอาคารบ้านเรือนฯลฯ  สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เจริญงอกงาม และตั้งตระหง่านอยู่บนผืนแผ่นดินของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น

         พี่น้องครับ 2 อายะห์ที่กล่าวมานั้นเป็นประโยคในเชิงคำถาม คำถามลักษณะแบบนี้เรียกว่า(อิสติฟฮามลิตตักรีร) อายะห์ที่ 6 ตามหลักวิชานาฮู เรียกว่า คำกริยานี้มีกรรมถึง 2 ตัว 

         ตัวที่ 1 คือคำว่า "แผ่นดิน"
         ตัวที่ 2 คือคำว่า "พื้นราบ"

         คำกริยาคำนี้มีความหมายว่า "ลิตตัชยีร"  ดังนั้น คำตอบที่ได้รับ  จึงเป็นการรับรองและยืนยันความถูกต้องได้เลยว่า  ใช่   พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นแผ่นดินขึ้นมาทรงทำให้พื้นแผ่นดินเป็นเหมือนดั่งพื้นราบ   เราก็เห็นๆกันอยู่    และก็ใช่อีกเช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างบรรดาภูเขาขึ้นมาให้เป็นเหมือนดั่งหมุด, ตะปู, หลักตรึงยึดผืนแผ่นดินเอาไว้ (ไม่ให้สั่นไหวและสั่นคลอน)  เราก็เห็นๆ กันอยู่ (ตะปูยึดพื้นกระดาน,ยึดฝาบ้าน,ยึดส่วนต่างๆของบ้านให้มั่นคง,ไม่ให้สั่นไหวฉันใด บรรดาภูเขาที่กระจายอยู่ตามผืนแผ่นดินทั่วทุกมุมโลก ก็ยึดผืนแผ่นดินทั่วไปให้มั่นคง,ไม่ให้สั่นไหวฉันนั้น  ดังนั้นถ้าตะปูผุกร่อนลงหรือถูกถอนออกไป ย่อมทำให้พื้นไม้บริเวณนั้น สั่นคลอนและเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน)

         แหละ 2 อายะห์ที่กล่าวมานั้นตามหลักบาลาเฆาะห์เรียกว่า "ตัชบีฮุ้ลบะลีฆ"    พี่น้องครับตัวผมเองเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าหากว่าเราทำดี,ทำตามสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ เราต้องผ่านและห่างไกลจากเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน หรือถ้าพระองค์ทรงทดสอบเราให้พบกับเหตุการณ์บางเหตุการณ์บ้าง  ก็ให้เราใช้ความอดทน  อดทนเพื่อไปรับสิ่งที่ดีงามในภายภาคหน้า

         พี่น้องครับอย่าทิ้งและละเลยการละหมาดทั้ง 5 เวลา เพราะการละหมาดเป็นอิบาดะห์ที่สำคัญมากๆๆๆและเป็นอิบาดะห์ชนิดเดียวที่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.) ได้ขึ้นไปรับพระบัญชาใช้กับพระผู้เป็นเจ้าบนฟากฟ้าในค่ำคืนเมี๊ยะราจด้วยตัวของท่านเอง


         วันนี้วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554  เวลาละหมาดในเขต กทม.
          - ซุบฮิเวลา 4.54.16 วินาที
          - ซุรูก เวลา 6.13.48 วินาที
          - ดุฮ์ริ เวลา 12.21.23วินาที
          - อัสริ เวลา 15.38.08วินาที
          - มัฆริบเวลา 18.29.10 วินาที
          - อีซา เวลา19.40.25 วินาที
          - ดวงจันทร์ขึ้น เวลา4.28.35 วินาที
          - ดวงจันทร์ตก เวลา 16.44.50 วินาที
          - ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 406315.7 กิโลเมตร
     รู้แล้วบอกต่อผลบุล, ความดีงาม, ความเจริญรุ่งเรืองจะมาสู่ท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

Al Fatoni:
ไปบ้านคนอื่น แล้วทำเรื่องให้เขาโมโห เขาเตือนมาไม่รู้กี่ครั้งยังดื้อไม่เลิก สุดท้ายก็ต้องโดนของดีเข้าให้ แต่ก็ไม่รู้จะสำนึกหรือเปล่า ดุนยานี้ก็คือของอัลลอฮฺที่ทรงให้เราอาศัยอยู่ แต่แทนที่จะทำให้ผู้เป็นเจ้าของได้พอใจ แต่เรากลับทำเรื่องที่น่าโมโหซะนี่ เหอๆ มนุษย์เอ๋ย โดนแล้วโดนอีก ไม่รู้จักเข็ดเลย - วัลลอฮุอะอ์ลัม

amad 254:

--- อ้างจาก: aubdulaudli ที่ เม.ย. 01, 2011, 04:25 PM ---   การเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม อากาศแปรปรวน สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นสัญญาณบอกถึงความยิ่งใหญ่,ความเกรียงไกร,เดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า  ถ้าหากว่าเราจะมองกันให้ดีๆแล้ว แผ่นดินไหวนั้นเกิดมาจากแผ่นดินไม่แน่น,มีรอยแยกรอยเลื่อน   ถ้าจะเปรียบกับคนก็อยู่ในช่วงวัยชรามากแล้ว สาเหตุที่แผ่นดินไม่แน่นเพราะ  1แผ่นดินนั้นถูกสร้างมา ย่อมมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา2.มนุษย์ชาติใช้ชีวิตกันอย่างอิสระเสรี ซึ่งบางทีก็อาจจะเข้าไปทำบางสิ่งบางอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงห้ามเอาไว้ เมื่อการทำผิดได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเตือนมนุษย์ชาติโดยให้เกิดเหตุการอะไรบางอย่าง เผื่อว่ามนุษยชาติจะได้ฉุกคิดกันได้ว่าอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้น  ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และเพื่อให้เกิดการสำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัวทำความดีต่อพระองค์ ดังนั้นไม่ว่าใครจะทำอะไร(ทำในสิ่งที่ดีหรือทำในสิ่งต้องห้าม)ล้วนแล้วแต่อยู่ในความรอบรู้ของพระองค์ทั้งสิ้น และเพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าการเกิดวันสิ้นโลกนั้นรุนแรงยิ่งกว่าเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้หลายเท่านัก ตอนนี้ภัยที่ยอดฮิตก็คือภัยแผ่นดินไหว เกิดขึ้นเกือบทุกวันรุนแรงบ้าง ไม่รุนแรงบ้างก็เป็นไปตามกำหนดการ,อำนาจและความรู้รอบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ถ้าหากว่ามนุษยชาติทำลายภูเขามากขึ้น หรือว่าภูเขาไฟระเบิดมากขึ้น รอยแยกรอยเลื่อนของพื้นแผ่นดิน คงจะมีมากขึ้นกว่าเดิม แผ่นดินไหวคงเกิดถี่กว่านี้และรุนแรงมากกว่านี้      ส่วนกลางหรือใจกลางของพื้นแผ่นดินทั้งหมดในโลกใบนี้นั้นก็คือวิหารกะบะห์   เมื่อแผ่นดินทั้ง7ชั้นได้ปูบนพื้นน้ำเสร็จเรียบร้อย  พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงมีพระบัญชาใช้ให้ท่านยิบรีลได้สำรวจตรวจตราผืนแผ่นดิน  เมื่อท่านยิบรีลและเหล่าบรรดามะลาอีกะห์ออกสำรวจตรวจตราพื้นแผ่นดิน  ผลปรากฏว่าไปสำรวจทางด้านทิศตะวันออกตลอดจนถึงทิศตะวันตก  แผ่นดินเกิดการสั่นไหวและเคลื่อนตัว,สั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา  เพราะเราอย่าลืมว่าแผ่นดินนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างไว้ให้อยู่บนพื้นน้ำ(สมัยก่อนมุสลิมเราผูกพันอยู่กับเรืออยู่กับลำคลอง พี่น้องลองขึ้นไปบนเรือลำเล็กๆดูซิแล้วก็เดินตั้งแต่หัวเรือถึงท้ายเรือดูซิ  พี่น้องจะพบว่าเรือมันโคลงเคลงจริงๆ ลักษณะแบบนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับตอนที่ท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินตามพระบรรชาใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  สรุปก็คือท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินทางด้านทิศตะวันออกน้ำก็หนุนทางด้านทิศตะวันตกให้สูงขึ้น แผ่นดินเกิดการสั่นไหว,โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะสำรวจด้านใหนอีกด้านก็สูงขึ้นและสั่นไหวโคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา  ดังนั้นเมื่อท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์เดินสำรวจแผ่นดินตามพระบรรชาใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  ผลก็คือท่านยิบรีลและบรรดามะลาอิกะห์  ไม่มีความสามารถที่จะทำให้แผ่นดินหยุดการสั่นไหวและโคลงเคลงได้ และไม่รู้ด้วยว่าจะแก้ไขปัญหานี้ให้ลุล่วงได้อย่างไร  จึงได้นำเรื่องราวดังกล่าวทั้งหมดนี้เข้าเฝ้าทูลต่อพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยสร้างบรรดาภูเขาให้เป็นสลักยึดแผ่นดินเอาไว้ ไม่ให้เกิดการสั่นไหวและโคลงเคลง แผ่นดินทั้ง7ชั้นจึงแน่นไม่สั่นไหวโคลงเคลงอีกต่อไป  เหมือนประหนึ่งว่าภูเขาเป็นพานหนักใบใหญ่ที่รองรับแผ่นดินเอาไว้(สมัยนี้อาจจะหาพานยากสักหน่อย)   พี่น้องลองหากะละมังใบใหญ่สัก1ใบใส่น้ำให้เต็ม  นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นน้ำ แล้วพี่น้องลองวางฟองน้ำหรือไม่กระดานเล็กๆสักแผ่นลงไปบนน้ำนั้น ลองเอามือกดไม้กระดานดู  พี่น้องจะพบว่าไม่กระดานจะกระดกและจมน้ำบ้าง,สั่นไหว,โคลงเคลงอยู่ตลอดเวลา  นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นแผ่นดิน   พี่น้องลองวางพานใบใหญ่ลงในกะละมังที่ใส่น้ำนั้น แล้วนำไม้กระดานแผ่นเล็กเมื่อกี๊  วางลงบนพาน  ลองใช้นิ้วมือกดไม้กระดานดู พี่น้องจะพบว่าไม้กระดานแผ่นเล็กนั้นจะไม่กระดก,ไม่โคลงเคลงและสั่นไหวอีกต่อไปแล้ว นี่แหละเหมือนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างภูเขาเพื่อยึดแผ่นดินเอาไว้ไม่ให้สั่นไหวและโคลงเคลง     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
بسم الله الرحمن الرحيم
 เรามิได้บรรดาลให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ ?
 และเรามิได้(บรรดาล)บรรดาภูเขาให้เป็นหลักตรึง(ดอกหรือ) ?
ซูเราะห์อัลนาบา อายะห์ที่6-7
  จากอายะห์กุรอ่านดังกล่าวมานั้นชี้ให้เห็นถึงเดชานุภาพ,อำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมพระองค์ได้ พื้นแผ่นดินมีคุณประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากมาย ต้นข้าวสารพัด,ผลหมากรากไม้,แร่ธาตุต่างๆอาคารบ้านเรือนฯลฯ  สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เจริญงอกงาม และตั้งตระหง่านอยู่บนผืนแผ่นดินของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น พี่น้องครับ 2 อายะห์ที่กล่าวมานั้นเป็นประโยคในเชิงคำถาม คำถามลักษณะแบบนี้เรียกว่า(อิสติฟฮามลิตตักรีร) อายะห์ที่ 6 ตามหลักวิชานาฮู เรียกว่า คำกริยานี้มีกรรมถึง2ตัว  ตัวที่1คือคำว่าแผ่นดิน ตัวที่2คือคำว่าพื้นราบ คำกริยาคำนี้มีความหมายว่าลิตตัชยีร  ดังนั้นคำตอบที่ได้รับ  จึงเป็นการรับรองและยืนยันความถูกต้องได้เลยว่า  ใช่   พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างพื้นแผ่นดินขึ้นมาทรงทำให้พื้นแผ่นดินเป็นเหมือนดั่งพื้นราบ   เราก็เห็นๆกันอยู่    และก็ใช่อีกเช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างบรรดาภูเขาขึ้นมาให้เป็นเหมือนดั่งหมุด,ตะปู,หลักตรึงยึดผืนแผ่นดินเอาไว้(ไม่ให้สั่นไหวและสั่นคลอน)  เราก็เห็นๆกันอยู่ (ตะปูยึดพื้นกระดาน,ยึดฝาบ้าน,ยึดส่วนต่างๆของบ้านให้มั่นคง,ไม่ให้สั่นไหวฉันใด บรรดาภูเขาที่กระจายอยู่ตามผืนแผ่นดินทั่วทุกมุมโลก ก็ยึดผืนแผ่นดินทั่วไปให้มั่นคง,ไม่ให้สั่นไหวฉันนั้น  ดังนั้นถ้าตะปูผุกร่อนลงหรือถูกถอนออกไป ย่อมทำให้พื้นไม้บริเวณนั้น สั่นคลอนและเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน)   แหละ2อายะห์ที่กล่าวมานั้นตามหลักบาลาเฆาะห์เรียกว่าตัชบีฮุ้ลบะลีฆ    พี่น้องครับตัวผมเองเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าหากว่าเราทำดี,ทำตามสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ เราต้องผ่านและห่างไกลจากเหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน หรือถ้าพระองค์ทรงทดสอบเราให้พบกับเหตุการณ์บางเหตุการณ์บ้าง  ก็ให้เราใช้ความอดทน  อดทนเพื่อไปรับสิ่งที่ดีงามในภายภาคหน้า   พี่น้องครับอย่าทิ้งและละเลยการละหมาดทั้ง 5 เวลา เพราะการละหมาดเป็นอิบาดะห์ที่สำคัญมากๆๆๆและเป็นอิบาดะห์ชนิดเดียวที่รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้ขึ้นไปรับพระบัญชาใช้กับพระผู้เป็นเจ้าบนฟากฟ้าในค่ำคืนเมี๊ยะราจด้วยตัวของท่านเอง วันนี้วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554  เวลาละหมาดในเขตกทม. ซุบฮิเวลา 4.54.16 วินาที ซุรูก เวลา 6.13.48 วินาที ดุฮ์ริ เวลา 12.21.23วินาที อัสริ เวลา 15.38.08วินาที มัฆริบเวลา 18.29.10 วินาที อีซา เวลา19.40.25 วินาที ดวงจันทร์ขึ้น เวลา4.28.35 วินาที ดวงจันทร์ตก เวลา 16.44.50 วินาที ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 406315.7 กิโลเมตร เวลาละหมาดของกำปงลาดบัวขาวของเรา ซุบฮิเวลา 4.54.03 วินาที ซุรูกเวลา 6.13.35 วินาที ดุฮ์ริ เวลา 12.21.11วินาที อัสริ เวลา 15.38.00 วินาที มัฆริบ เวลา 18.28.59 วินาที อีซา เวลา19.40.15 วินาที ดวงจันทร์ขึ้น เวลา4.28.24 วินาที ดวงจันทร์ตก เวลา 16.44.38 วินาที ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 406315.6 กิโลเมตร   รู้แล้วบอกต่อผลบุล,ความดีงาม,ความเจริญรุ่งเรืองจะมาสู่ท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา



--- End quote ---

อ้สลามุอลัยกุม ไม่รู้จะกล่าวอะไร นอกจาก สิ่งนี้    myGreat: myGreat:               ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ جزاكالله خيرا วัสลาม

(แต่ถ้าเว้นวรรคสักหน่อย คงจะดีกว่านี้อีกนะครับ )

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ.2554
ตรงกับวันที่ 28 รอบิอุลอาเคร ฮ.ศ. 1432

       ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวในวันที่ 29 ของเดือนอิสลาม   พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า


       “จงประกาศเถิด หากพวกเจ้าปิดบังสิ่งที่มีอยู่ในหัวใจของพวกเจ้าหรือเปิดเผยมัน  พระองค์อัลเลาะห์ (ซ.บ.) ก็ทรงทราบ” ซูเราะห์อาลิอิมรอน อายะห์ที่ 29

       ทุกคนต่างก็มีหน้าที่  ที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวต้องถูกสอบสวนอย่างแน่นอน   การดูจันทร์เสี้ยวตามที่ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้ปูเป็นแนวทางเอาไว้   ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
 
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِه،  ،ْوَأَفْطِرُوْالِرُؤْيَتِهِ  فَإِن غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا رواه البخاري (1810) ومسلم  (1080)       

       “ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)

       ตามฮาดีษดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบังทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้ ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้

       การคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ.2554 หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบทั่วทุกมุมโลก  จะไม่มีประเทศใดเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ยกเว้นทางตอนใต้ของประเทศอะแลสกา และทางตะวันตกเฉียงเหนือของอมเริกา และทางแคนนาดาจะเห็นมากกว่าเพื่อน  ทางตอนกลางถึงตอนใต้ฝั่งตะวันตก(ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นต้องใช้กล้องดู  พร้อมทั้งท้องฟ้าต้องเปิดด้วยจึงจะสามารถเห็นได้)

       สำหรับประเทศไทยเรา  จันทร์ดับ (จันทร์เดือนใหม่) จะเกิดขึ้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายนพ.ศ. 2554 ด้วยซ้ำ จันทร์ดับเกิดขึ้นในเวลา  21.32.20 วินาที

       ดังนั้น คำนวนตามชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก  วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554
        - ดวงอาทิตย์ตกเวลา18.28.15 วินาที
        - ดวงจันทร์ขึ้นเวลา 5.39.48 วินาที
        - ดวงจันทร์ตกเวลา 18.14.54 วินาที   

       สรุปว่า วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 13 นาที 21 วินาที  ไม่ว่าจะดูอย่างไร  ดูด้วยวิธีใหน  ก็จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้อย่างแน่นอน   ทั่วทั้งประเทศไทยถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว  บอกได้เลยว่าสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยว  ถ้าผู้รู้ไม่บอก ก็จะกลายเป็นคนไม่รู้ไป

       สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ สังคมก็จะเป็นสังคมที่ไม่รู้ และเป็นสังคมที่  ไม่ได้รับความพึงพอพระทัยจากพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย แต่ถ้าผู้รู้ได้บอกต่อ ถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ลูกหากันจริงๆ  ก็อาจจะถูกมองว่ารี่ยะตะกับบุรได้   รู้แล้วบอกต่อภาคผลบุญความเจริญรุ่งเรือง จะหลั่งไหลมาสู่ท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version