ผู้เขียน หัวข้อ: ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์  (อ่าน 18138 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
:salam:

        ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างมานั้น  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถสร้าง  หรือประดิษย์ขึ้นมาได้

        ยกตัวอย่างเช่น  ตะเกียงใบใหญ่  ที่ให้แสงสว่างแก่มนุษยชาติ  ส่องสว่างแก่พืชผัก  ผลไม้  ไม่ใช่พึ่งจะส่อง  แต่ส่องสว่างมานานแล้ว  สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่  เดชานุภาพ  และความสามารถของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น  ที่สำคัญตะเกียงใบใหญ่ใบนี้  ยังประโยชน์นานับประการ  ให้แก่มนุษยชาติตั้งแต่สมัยอดีตกาล  และจะคงยังประโยชน์ต่อไปจวบจนถึงวันกิยามะห์ ตะเกียงใบนี้ไม่เคยที่จะดับเลย  เชื้อเพลิงของตะเกียงก็ไม่เคยแม้กระทั่งที่จะหมดลง  ตะเกียงที่บอกมาทั้งหมดนี้  ก็คือดวงอาทิตย์นั่นเอง

        ความใหญ่ของดวงอาทิตย์ ถ้าจะเทียบกับโลกของเรา ใหญ่กว่าโลกของเราถึง 100 เท่า ถ้าจะเทียบกับดวงจันทร์ ใหญ่กว่าดวงจันทร์ถึง 400 เท่าเลยทีเดียว อุณหภูมิของดวงอาทิตย์สูงสุดอยู่ที่ 11000 F อุณหภูมิของดวงอาทิตย์ต่ำสุดอยู่ที่ 7000 F สำหรับดวงจันทร์อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ +280 F อุณหภูมิต่ำสุดของดวงจันทร์อยู่ที่ -275 F

        ในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2554 ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ในขณะเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้น คือ 21 องศา 23 ลิปดา 06 ฟิลิปดา ดังนั้น สำหรับในเขตนครมักกะห์ในวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2554 เวลา 12.18 น.ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์  ในขณะนั้นคือ 21 องศา 25 ลิปดา 51 ฟิลิปดา ดวงอาทิตย์ขณะนั้นจะอยู่เหนือบัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี (ตามหลักวิชาดาราศาสตร์อิสลาม  เรียกว่า 90 องศา)

        ดังนั้น ถ้าหากว่า บัยตุ้ลลอฮ์ กะบะห์  ได้ก่อสร้างตั้งฉากกับพื้นบริเวณรอบๆ  ตั้งฉากกับพื้นดิน  เงาของบัยตุ้ลลอฮ์ กะบะห์  จะเท่าตัวพอดี (จะไม่มีเงา  บัยตุ้ลลอฮ์ กะบะห์  ให้เห็นใดๆทั้งสิ้นเลยในเวลา 12.18 น.)   ซึ่งในขณะนั้นดวงอาทิตย์จะอยู่ห่างจากโลก  151595840.6  กิโลเมตร



        พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า “และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า” ซูเราะห์ อัลนูฮ์ อายะห์ที่ 16 

        ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "ซีรอจ" กับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)

        แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก   จนไม่สามารถมอง  ด้วยตาเปล่าได้  ดังนั้นในเมื่อ  วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2554 ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮับ  อิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)

        วิธีการก็คือ  ถ้ามัสยิดใด  หรือบ้านของใครมีหน้าต่างทางทิศตะวันตก  ให้เปิดหน้าต่างออก  และหน้าต่าง  ด้านแนวตั้งของวงกบ ด้านใดก็ได้  ต้องสร้างได้ฉาก(ขอย้ำต้องได้ฉาก  ที่สำคัญกว่านั้นคือ  ห้ามมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด  ถ้าจะมองแดดนานๆ ควรใส่แว่นกันแดดด้วย)  ดังนั้นเงาที่ทอดลงมาให้เห็น  นั่นแหละครับคือแนวกิบลัตที่ถูกต้อง  ให้ขีดเส้นเอาไว้  สังเกตให้ดีเส้นนี้จะชี้ไปทางทิศตะวันตก

        กรณีถ้าอยู่ในบ้านเวลาละหมาดก็ให้นำผ้าซายะดะห์  ด้านข้างมาวาง  ให้ตรงกับเส้นนี้  แต่ถ้าเป็นกรณีของมัสยิด  เมื่อขีดเส้น  ที่ชี้ไปทางทิศตะวันตก  อย่างที่ว่ามาได้แล้ว  ให้นำไม้บรรทัดแบบฉาก  หรือไม้ทีก็ได้  มาวางทาบเส้นให้พอดี  แล้วขีดเส้นด้านล่างเพิ่มเข้าไป  สังเกตตอนนี้จะมีอยู่ 2เส้น 

        เส้นที่ 1 คือเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์
        เส้นที่ 2 คือ เส้นแนวนอนที่ตั้งฉาก  กับเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์   

        ดังนั้น เส้นที่ 2  นี้แหละคือเส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)ในมัสยิด     สำหรับมัสยิด  ที่ไม่มีหน้าต่าง  ทางด้านทิศตะวันตกเลย  การวัดเงาก็ต้องหาไม้หรือเสาก็ได้  หรืออะไรก็ได้ ตั้งขึ้นให้ได้ฉาก  ตรงบริเวณด้านข้างมัสยิด  แล้วรอเวลา 16.18 น.เพื่อขีดเส้นวัดเงา  ทำตามขั้นตอน  แล้วลากเส้นแนวนอนอย่างที่บอกมา  เข้ามาในมัสยิด  ก็จะได้เส้นแนวซอฟ (แถวละหมาด) เช่นกัน

        วิธีการวัดทิศกิบลัตดังกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  และทำได้อย่างสดวกสบายมาก  สำหรับผู้ที่ต้องการความถูกต้อง  ในการผินสู่ทิศกิบลัต  แต่สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลาม  ผู้เชี่ยวชาญ มีอีกหลายวิธี  ที่สามารถ  หาทิศกิบลัตได้  และหาได้ทุกๆวันเลย

        ส่วนในเรื่องของการคำนวนนั้น  มีขั้นมีตอน  ที่สลับซับซ้อนมาก  ขั้นแรกต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ก่อน  จากนั้นต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของบัยตุ้ลอฮ์  และต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของสถานที่  ที่จะหาทิศกิบลัต  จากนั้นก็จะมีค่า  SIN  COS  TAN  เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ดำเนินตามขั้นตอนของสูตร  ต่างๆนาๆอีกมากมาย ฯลฯ  ต่อจากนี้เป็นพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า  เกี่ยวกับเรื่องการผินสู่ทิศกิบลัต   พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า



        “บรรดาผู้โฉดเขลา  ในหมู่มวลมนุษย์นั้น  จะกล่าวว่า  อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขา หันออกไปจากกิบลัตของพวกเขา  ที่พวกเขาเคยผินไป  จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด)  ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้น  เป็นสิทธิของพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์  ให้ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง    และในทำนองเดียวกัน  เรา (พระองค์อัลลอฮ์) ได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง  เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย  และร่อซูลก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกเจ้า  และเรามิได้ให้มีขึ้น  ซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่า  ใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล  จากผู้ที่กำลังหันสันเท้าทั้งสองของเขากลับ  และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้นเป็นเรื่องใหญ่  นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น  และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธา  ของพวกเจ้าสูญไป  ก็หาไม่แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี  ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ   แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้า (โอ้มุฮัมมัด) แหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง  แน่นอนเราให้เจ้าผินไปยังทิศ  ที่เจ้าพึงใจ  ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้า  ไปทางมัสยิดิลฮะรอมเถิด"

        ตรงคำว่า  "เจ้าจงผินใบหน้าของเจ้า"  คำว่า "ใบหน้า"  นักอธิบายอัลกุรอ่านให้ความหมายว่า  "หน้าอก"  ตรงนี้ตามหลักบะลาเฆาะร์  เรียกว่า "มะยาร  มุรซั้ล  มิมบาบิอิตลากิ้ลยุร  วะอิรอดะติ้ลกุ้ล"  คือพระผู้เป็นเจ้า พูดแค่ใบหน้า  แต่ความหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่จะสั่งใช้  ก็คือทั้งหมดร่างกายเลย  ดังนั้น เมื่อละหมาดจำเป็นต้องผินหน้าอกไปทางกิบลัต  แค่ผินหน้าอกร่างกายทุกส่วน  ก็จะหันไปทางกิบลัตทั้งหมดเลย  โดยอัตโนมัต

        ดังนั้น ถ้าจะหันเพียงใบหน้าอย่างเดียวไปทางกิบลัต  การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้  แหละตรงคำว่าไปทางมัสยิดดิลฮารอม  ตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญในการอธิบายอัลกุรอ่าน  ให้ความหมายว่า "อัยนุลกะบะห์"  คือต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เท่านั้น  การละหมาดจึงจะใช้ได้  ซึ่งตรงกับแนวคิดของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  มิใช่ว่าผินไปตรงใหนก็ได้  ในทางทิศตะวันตก

        สำหรับประเทศไทย  การผินไปทางวิหารกะบะห์  ตรงนี้มีอยู่  4  ระดับด้วยกัน 

        ระดับสูงสุดคือ 1 รู้ได้ด้วยตัวเอง
        ระดับที่ 2 ผินตามคำบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้
        ระดับที่ 3 ผินโดยการวิเคราะห์
        ระดับที่ 4 ผินตามการวิเคราะห์ของผู้อื่น

        มีฮาดิสที่ยืนยันว่า  ให้ผินไปหาจุดตั้งวิหารกะบะห์เท่านั้น  ต้องผินให้ตรงวิหารกะบะห์  ตามความสามารถที่สูงสุดขณะนั้น  ไม่ใช่ว่า  ผินไปในทางที่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่

        เล่าจากท่านบ่ารออ์ (ร.ด.)  กล่าวว่า  "เราได้ละหมาดกับท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) โดยผินหน้าไปสู่บัยตุ้ลมักดิส (ณ กรุงเยรูซาเล็ม)  เป็นเวลา 16 หรือ 17 เดือนหลังจากนั้นเขาท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)  ให้เราผินไปสู่กะบะห์"  (รายงานโดย บุคอรี มุสลิม ติรมีรี นาซาอี"

        เล่าจากอิบนุอุมัร(ร.ด.)  กล่าวว่า   "ในขณะที่ประชาชนกำลังละหมาดซุบฮ์  ที่มัสยิดกุบา  ได้มีคนหนึ่งมา  แล้วพูดว่า  แท้จริงท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)  ได้รับโองการเมื่อคืนนี้  และถูกใช้ให้ผินหน้าไปสู่กะบะห์  ดังนั้นท่านทั้งหลาย  จงผินหน้าไปสู่กะบะห์เถิด  ปรากฏว่าหน้าของพวกเขา  เคยผินไปสู่ทิศ “ซาม”  พวกเขาจึงหมุนมาสู่กะบะห์"  (รายงานโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด นะซาอี)


        "และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่  ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น  และแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์  นั้นย่อมรู้ดีว่ามัน  คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา  และพระองค์อัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเผลอ  ในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน   และแน่นอน  ถ้าหากเจ้าได้นำหลักฐานทุกอย่าง  มาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์  พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของเจ้า  และเจ้าก็มิใช่  จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง  ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม" (สูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ (2), อายะฮ์ที่ 144-145, แก้ไขเพิ่มเติมโดย Al Fatoni)

        ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องตามกิบลัตของกันและกัน  ดังนั้นถ้าผู้รู้ในวิชาดาราศาสตร์อิสลาม  รู้ว่ามัสยิดนี้ๆ  ยังหันไม่ตรงกิบลัต  และได้มีการบอกผู้มีอำนาจหน้าที่  ในมัสยิดแห่งนั้น  แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น  ยังไม่จัดการเปลี่ยนแปลง  และแก้ไข  ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในผลบาปตรงนี้  ก็คือผู้ที่มีอำนาจในมัสยิดแห่งนั้น  เรียกว่ารับแบบเต็มๆ  เพราะรู้แล้วไม่ทำตามที่รู้  ที่สำคัญ  ยังพาคนอื่นทำแบบผิดๆไปด้วย  ถ้าเราเข้าใจหลัก  ในการหลอกลวงของซัยตอน  มารร้าย  เราท่านทั้งหลายจะรู้เท่าทันมันได้ทันที  ซัยตอนมารร้ายมันจะไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้เปลี่ยน  ให้ตรงกับกะบะห์  อย่าไปทำๆ  มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน  มันจะบอกว่า  อย่าเปลี่ยนเลยจะทำให้เกิดการแตกแยกได้  ผู้ใหญ่ทำมาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้แล้ว  ต้องตรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือเกินไปหรือเปล่า  ผู้รู้รุ่นก่อนไม่เห็นเขาจะติเลย  ฯลฯ

        สมมุติว่าระหว่างพี่น้องด้วยกันเอง  ถ้ามีการแบ่งที่แบ่งทาง  แค่ลากเส้น วัดผิดแค่ 1 องศาเท่านั้นแหละ  ที่ดิน 1ไร่  ท่านรู้หรือไม่ว่า วัดเกิน  โกง  ที่ดินคนอื่นไปกี่ตะรางวา  ระยะทางจาก กทม. ถึงกะบะห์อยู่ห่างกันประมาณ  หกพันกว่ากิโลเมตร  แค่ผินผิดนิดเดียว  รู้หรือไม่ว่าที่ผินไปนั้น  ไม่ตรงแม้กระทั่งเมืองมักกะห์ด้วยซ้ำไป

        เฉกเช่นเดียวกันพอได้เวลาละหมาด  มันก็จะบอกว่า  เดี๋ยวค่อยละหมาดก็ได้  เหลือเวลาอีกเยอะ  เดี๋ยวๆๆๆ  เดี๋ยวจนไม่ได้ละหมาดจนได้  หรือถ้ามันหลอกคนไม่ให้ละหมาดไม่สำเร็จ  มันก็จะหาวิธีหลอกลวงต่างๆนานาๆ  เพื่อให้ภาคผลบุลของคนๆนั้น  ลดน้อยลงมันไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้ละหมาด  อย่าไปทำ  ซึ่งวิธีการหลอกลวงของซัยตอนมารร้ายนี้  มันได้เคยมาบอกแก่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.)  ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  เพื่อให้ประชาชาติของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)   รู้เท่าทันกลลวงของมัน  นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง  ของพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า)



        "และถ้าหากเจ้าไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา  หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว  แน่นอนทันใดนั้น  เจ้าก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม"(สูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ (2), อายะฮ์ที่ 145, แก้ไขเพิ่มเติมโดย Al Fatoni)

        ดังนั้น นักดาราศาสตร์อิสลาม จึงต้องเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง  ถึงจะผินไม่เหมือนคนอื่นก็ต้องทำ  เพราะนี่คือคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า  นี่คือคำสั่งของเจ้าของเจ้าบทลงโทษ  ที่รุนแรงยิ่ง  รุนแรงเกินกว่าใครๆจะทนทานได้)



        "บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น  พวกเขาย่อมรู้จักเขา  ดีเหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของเขาเอง  และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริง  ไว้ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้กันอยู่   ความจริงนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า (โอ้มุฮัมมัด)  ดังนั้นเจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด   และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้น ต่างก็มีทิศทางหนึ่ง  ซึ่งประชาชาตินั้นผินไปสู่  ดังนั้นพวกเจ้าจงแข่งขัน  ในความดีทั้งหลายเถิด  ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่  พระองค์อัลลอฮ์ก็จะทรงนำพวกเจ้ามาทั้งหมด  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง   และจากที่ใดก็ตามที่เจ้าได้ออกไป  ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัล-มัสยิดิลฮะรอม  และแท้จริงนั้น  มัน  คือความจริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า (โอ้มุฮัมมัด)  และพระองค์อัลลอฮ์นั้น  ไม่เป็นผู้ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่   และจากที่ใดก็ตามที่เจ้ าออกไป  ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัล-มัสยิดิลฮะรอม  และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่  ก็จงผินหน้าของพวกเจ้าไปทางนั้น  เพื่อว่าจะได้ไม่เป็นข้ออ้างใด ๆ แก่หมู่ชนที่แย้งพวกเจ้าได้  นอกจากบรรดาผู้อธรรม  ในหมู่ของพวกเขาเท่านั้น  ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา  แต่จงกลัวข้าเถิด  และเพื่อที่ข้าจะได้ให้ความกรุณาของข้าครบถ้วน  แก่พวกเจ้า  และเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง     ดังที่เราได้ส่งร่อซูลผู้หนึ่ง  จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า  ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเรา  ให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสอาดบริสุทธิ์  และจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า  และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน   ดังนั้นพวกเจ้าจงรำลึกถึงข้าเถิด  ข้าก็จะรำลึกถึงพวกเจ้า  และจงขอบคุณข้าเถิด  และจงอย่าเนรคุณต่อข้าเลย” ซูเราะห์  อัลบะกอเราะห์  อายะห์ที่142-152 


        วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่  27  พฤษภาคม  2554   เวลาละหมาดประจำวันนี้ (ซ่อลา  ซำบะฆ์ยัง)

        สำหรับ กทม.
             - ซุบฮิ เวลา 04.22.50 วินาที
             - ตะวันขึ้นเวลา 05.50.11 วินาที
             - ดุฮ์ริเวลา 12.15.46 วินาที
             - อัสริ เวลา15.37.44 วินาที
             - มักริบเวลา 18.41.28 วินาที
             - อีซาเวลา 19.59.32 วินาที 

        เวลาปฏิบัติศาสนกิจสำหรับมัสยิดฮารอม
             - ซุบฮิ เวลา 04.05.13 วินาที
             - ตะวันขึ้นเวลา 05.35.53 วินาที
             - ดุฮ์ริเวลา 12.17.43 วินาที
             - อัสริ เวลา15.32.15 วินาที
             - มักริบเวลา 19.03.19 วินาที
             - อีซาเวลา 20.29.50 วินาที

        เวลาปฏิบัติศาสนกิจสำหรับมัสยี่ดินนะบะวี
             - ซุบฮิ เวลา 03.56.14 วินาที
             - ตะวันขึ้นเวลา 05.33.22 วินาที
             - ดุฮ์ริเวลา 12.18.14 วินาที
             - อัสริ เวลา15.41.19 วินาที
             - มักริบเวลา 19.03.19 วินาที
             - อีซาเวลา 20.29.50 วินาที


        ซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของ  การทำบุญ  ให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุล  และเป็นความดีงาม  ที่ยิ่งใหญ่มาก  ณ ฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า พี่น้องครับมีสิ่งต่างๆ มากมายที่  พระผู้เป็นเจ้าให้กับเรา  ลองสำรวจตัวเองว่า  วันนี้เราทำดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง ละหมาดครบหรือยัง  หันตรงทิศกิบลัตหรือยัง  ถ้าทำครบแล้ว  ก็ให้รักษาความดีงามนี้ต่อไป  เพื่อเป็นเสบียง เป็นทุน ที่เราท่านทั้งหลายจะได้นำไปใช้  ในโลกหน้าอาคิเราะห์  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 22, 2011, 02:08 PM โดย Al Fatoni »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
 :salam:   
       
     วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2554  ตรงกับวันที่ 29 ร่อยับ ฮ.ศ.1432  (สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2554  เวลา  15.53.56 วินาที)  ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ  ของวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2554  จึงต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว  เพื่อกำหนดวันที่ 1 ซะบาน  ฮ.ศ.1432   วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2554  กทม. ดวงอาทิตย์ตก 18.48.49 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.39.28 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว  50นาที39 วินาที  จะดูด้วยตาเปล่า  ก็สามารถเห็นได้อย่างสบาย (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด)   ชลบุรี  ดวงอาทิตย์ตก  18.46.41วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.37.37 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 50 นาที 57 วินาที  จะดูด้วยตาเปล่า  ก็สามารถเห็นได้อย่างสบาย  (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด)   ยะลา  ดวงอาทิตย์ตก 18.35.02 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.28.16 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 53 นาที13 วินาที  จะดูด้วยตาเปล่า  ก็สามารถเห็นได้อย่างสบาย (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด)   หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.37.54 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.30.58 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 53 นาที 04 วินาที  จะดูด้วยตาเปล่า  ก็สามารถเห็นได้อย่างสบาย (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด)   กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.53.59
 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.44.43 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 50 นาที 43 วินาที  จะดูด้วยตาเปล่า  ก็สามารถเห็นได้อย่างสบาย (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด)   ปัตตานี  ดวงอาทิตย์ตก 18.35.04 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.28.07 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 53นาที 03 วินาที  จะดูด้วยตาเปล่า  ก็สามารถเห็นได้อย่างสบาย (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด)   อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 18.34.55 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.24.27 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 49 นาที 32 วินาที  จะดูด้วยตาเปล่า  ก็สามารถเห็นได้อย่างสบาย (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด)   การดูดวงจันทร์  เพื่ออกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้) (( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080) ตามฮาดีษดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบังทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้ ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์ ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้ ** สรุปว่า วันวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2554  พี่น้องที่อยู่ทางภาคเหนือ  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ภาคกลาง  ภาคตะวันออก  ภาคตะวันตก  และทางภาคใต้  ทั่วทั้งประเทศไทย  ถ้าท้องฟ้าเปิด(ไม่มีเมฆบดบัง  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)  สามารถเห็นจันทร์เสี้ยว  ได้อย่างสบายด้วยตาเปล่า  กรณีศึกษาคำนวนที่ชายฝั่ง  ทะเลภาคตะวันออก(ทำไมต้องคำนวนที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก  เพราะ ณ บริเวณนั้นมีสถานที่หนึ่งที่สร้างไว้  เพื่อการสังเกตจันทร์เสี้ยว  หรือจะดูดวงดาวอื่นๆก็ได้  ซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  และที่สำคัญกว่านั้นคือ  มีผู้เชี่ยวชาญ  ซึ่งมีความรู้  ความเข้าใจ  ในหลักดาราศาสตร์อิสลามมากๆๆๆ  ระดับประเทศ  ร่วมเดินทางไปสังเกตจันทร์เสี้ยว  ในทุกๆเดือนเพื่อกำหนด  วันที่1ของเดือนอิสลามด้วย)  ความสูงของดวงจันทร์+6องศา(อยู่เหนือขอบฟ้า 6 องศา) 27 ลิปดา 43 ฟิลิปดา  ดวงจันทร์อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  ที่ 287องศา 35 ลิปดา 32 ฟิลิปดา ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 377739.01 กิโลเมตร    วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2554  ซุบฮิ 04.24.26 วินาที  ซูรูก(ตะวันขึ้น)05.53.22 วินาที  ดุฮ์ริ 12.21.08 วินาที  อัสริ 15.46.31 วินาที  มัฆริบ 18.48.51 วินาที  อีซา20.08.09 วินาที  ดวงจันทร์ขึ้น 06.32.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.39.30 วินาที(ตั้งแต่เริ่มเข้ามัฆริบมีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 50นาที 39 วินาที)  ทิศของดวงจันทร์  ในการสังเกตอยู่ที่ 287องศา33ลิปดา 45 ฟิลิปดา  อยู่สูงเหนือขอบฟ้า 6 องศา 24 ลิปดา15 ฟิลิปดา  ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลก 377734.27 กิโลเมตร   ดังนั้นถ้าวันดังกล่าวมีพี่น้องเห็นจันทร์เสี้ยว วันที่1ซะบาน ฮ.ศ.1432  ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554  แต่ถ้าวันดังกล่าว  ไม่มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว วันที่1ซะบาน ฮ.ศ.1432  จะตรงกับวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2554  วันนี้วันศุกร์ที่  10  มิถุนายน.พ.ศ  2554  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)  สำหรับ กทม.  ซุบฮิ เวลา 04.21.30 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.50.21 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.18.02 วินาที  อัสริ เวลา15.43.15 วินาที  มักริบเวลา 18.45.46 วินาที  อีซาเวลา 20.05.05 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยิดฮารอม  ซุบฮิ เวลา 04.02.13 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.34.47 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.19.59 วินาที  อัสริ เวลา15.38.43 วินาที  มักริบเวลา 19.05.18 วินาที  อีซาเวลา 20.27.23 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิ เวลา 03.53.06 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.28.06 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.20.56 วินาที  อัสริ เวลา15.41.52 วินาที  มักริบเวลา 19.13.52 วินาที  อีซาเวลา 20.37.51 วินาที  พี่น้องครับ   ซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของ  การทำบุญ  ให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุล  และเป็นความดีงาม  ที่ยิ่งใหญ่มาก  ณ ฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า   พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงาม  จะหลั่งไหลสู่ตัวท่าน  และสังคม  สืบต่อไป  ทำตามใช้  ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 24, 2014, 10:29 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

          จันทรุปราคา  เกิดขึ้นในวันเพ็ญ  (สำหรับประเทศไทย  ดวงจันทร์เต็มดวง  เกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 16 มิ.ย. 2554  เวลา  03.13.36 วินาที)   การที่ดวงจันทร์  เคลื่อนเข้าสู่เงาโลก  ทำให้เห็นดวงจันทร์  เว้าแหว่งหรือมืดสลัวไป  เนื่องจากเงาของโลกบังดวงจันทร์    สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า  จากทุกสถานที่  ที่อยู่ในช่วงกลางคืนของโลก  ซึ่งหันเข้าหาดวงจันทร์  มีหลักอยู่ว่า  ในกรณีของจันทรุปราคา  หากดวงจันทร์เข้าไปในเงามืดของโลก  หมดทั้งดวง  เรียกว่าจันทรุปราคาเต็มดวง  ดวงจันทร์จะไม่มืดสนิด  แต่ดวงจันทร์  จะกลายเป็นสีแดงอิฐ  หรือสีส้มแทน  เนื่องจากแสงของดวงอาทิตย์  หักเหผ่านบรรยากาศโลก  ไปที่ดวงจันทร์  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า “และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า” ซูเราะห์ นูฮ์ อายะห์ที่ 16  ในอายะห์นี้   พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่านูร  กับดวงจันทร์  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์นั้น  ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง   แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา   เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมอง  ดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้   และพระผู้เป็นเจ้า  ใช้คำว่าซีรอจ  กับดวงอาทิตย์(ซีรอจแปลว่าตะเกียง)  ก็แสดงให้เห็นว่า  ดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง   และยังสามารถส่องแสง  ให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย   เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง  หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้   ปีนี้ประเทศไทย  มีโอกาสเห็นจันทรุปราคาเต็มดวงได้ทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน  และธันวาคม  สำหรับปี พ.ศ. 2554  มีจันทรุปราคา 2 ครั้ง  และเป็นจันทรุปราคาแบบเต็มดวงทั้ง 2 ครั้งเลย   ครั้งแรกเกิดขึ้น  ในวันพฤหัสบดีที่ 16 มิ.ย. 2554 (รอดูตั้งแต่คืนวันพุธที่15 มิ.ย. 2554)  พื้นที่บนโลก  ที่เห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้คือ  ประเทศไทย  ทวีปอเมริกาใต้   ยุโรป   แอฟริกา   เอเชีย   ออสเตรเลีย   และด้านตะวันตกของมหามุทรแปซิฟิก  (สำหรับประเทศไทยต้องติดตามดู   เพราะอยู่ในช่วงหน้าฝน  ท้องฟ้าจะอำนวยหรือไม่)   ดวงจันทร์เข้าสู่เงามัวของโลกเวลา 00.24.34 วินาที   เริ่มเกิดจันทรุปราคาบางส่วน(ดวงจันทร์เริ่มแหว่ง) เวลา 01.22.55 วินาที  เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงเวลา 02.22.29 วินาที(ดวงจันทร์จะไม่มืดสนิท  เห็นเป็นสีส้ม  เพราะแสงหักเหผ่านบรรยากาศโลกไปที่ดวงจันทร์)   จุดกึ่งกลางของปรากฏการณ์ครั้งนี้   อยู่ที่เวลา03.12.36วินาที                                                                                                                                      สิ้นสุดจันทรุปราคาเต็มดวง เวลา 04.02.42 วินาที  สิ้นสุดจันทรุปราคาบางส่วน  เวลา 05.02.15 วินาที  ดวงจันทร์พ้นเงามัวของโลกเวลา 06.00.44 วินาที   จันทรุปราคาแบบเต็มดวงปีนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง  ในวันเสาร์ที่ 10 ธ.ค. 2554  (จะเห็นได้ง่ายหน่อย  เพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาว)      ถ้าสังเกตการณ์จากจังหวัดเชียงใหม่   ในคืนวันที่ 15 ถึงเช้ามืดของวันที่ 16 มิถุนายน 2554  นับเป็นครั้งแรกของปี  ที่จะได้เห็นปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง  โดยดวงจันทร์เริ่มเข้าสู่เงามืด(ดวงจันทร์เริ่มแหว่ง) เวลา 01:22:37 น.  และดวงจันทร์เข้าสู่ช่วงคลาสเต็มดวง(เริ่มเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง  ตั้งแต่เวลา 02:22:11 น. ถึง 04:03:22 น.  ซึ่งเราจะได้เห็นดวงจันทร์สีแดงอิฐ  อยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้  สูงจากเส้นขอบฟ้าประมาณ 30 องศา  นอกจากนี้หากท้องฟ้าดี  ไม่มีเมฆมากนัก  ประกอบกับตำแหน่งที่สังเกตการณ์  อยู่ห่างจากตัวเมือง  และไม่มีแสงไฟรบกวน  ก็จะมีโอกาสเห็นทางช้างเผือก  ในคืนวันเพ็ญ  ขณะที่ดวงจันทร์ถูกเงาโลกบดบังทั้งดวงอีกด้วย
        จันทรุปราคาครั้งนี้  มีระยะเวลาเต็มดวงยาวนานถึง 1 ชั่วโมง 40 นาที 52 วินาที  ในอดีตจันทรุปราคาเต็มดวง  ที่เคยเกิดขึ้นนานที่สุด  คือวันที่ 16 กรกฎาคม 2543  ซึ่งมีระยะเวลายาวนานถึง 1 ชั่วโมง 47 นาที 00 วินาที  แหละหลังจากปี 2554  จันทรุปราคาเต็มดวง  ที่มีระยะเวลามืดเต็มดวงนานเกิน 100 นาที  จะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 28 กรกฎาคม 2561  ซึ่งสามารถสังเกตุเห็นได้  ในประเทศไทยอีกเช่นกัน
               ดังนั้นบริเวณที่สามารถสังเกตุ  ปรากฏการณ์จันทรุปราคาครั้งนี้ได้  ตลอดช่วงการเกิดปรากฏการณ์ได้แก่  ทวีปแอฟริกา  และ  ทวีปเอชียกลาง  ส่วนทางทวีปอเมริกาใต้ และ ทวีปยุโรป  จะเห็นปรากฏการณ์นี้  ในขณะที่ดวงจันทร์อยู่ในทิศตะวันออก และสุดท้ายทวีปเอเชียใต้  ประเทศออสเตรเลีย และประเทศฟิลิปปินส์  สามารถเห็นปรากฏการณ์นี้  ในขณะที่ดวงจันทร์อยู่ในทิศตะวันตกจะสามารถสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคาได้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น    จันทรุปราคาครั้งนี้  เป็นจันทรุปราคาครั้งที่ 34 ใน 71 ครั้ง  ของชุดซารอสที่ 130  ซึ่งดำเนินอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1959 - 3221  ชุดซารอสนี้ประกอบด้วย  จันทรุปราคาเงามัว 8 ครั้ง  บางส่วน 20 ครั้ง เต็มดวง 14 ครั้ง บางส่วน 22 ครั้ง และเงามัว 7 ครั้ง ตามลำดับ  จันทรุปราคาเต็มดวงครั้งที่นานที่สุด  ของชุดซารอสนี้  จะเกิดขึ้นในวันที่ 26 มิถุนายน 2572   อีกหนึ่งปรากฏการณ์  ในขณะที่เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา  ในวันที่ 16 มิถุนายน 2554 ยังมีอีกหนึ่งปรากฏการณ์หนึ่ง  ที่เกิดคู่กับปรากฏการณ์  จันทรุปราคาครั้งนี้นั้นก็คือ  ปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวฤกษ์  ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว  เกิดขึ้นขณะที่ดวงจันทร์  เคลื่อนที่เข้าไปในเงาของโลกเกือบเต็มดวง  ในขณะที่ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนที่  ผ่านกลุ่มดาวคนแบกงู ดวงจันทร์เคลื่อนที่ไปบังดาวฤกษ์ ที่มีชื่อว่า ดาวออพพูเชียส (C Ophiuchi : C Oph) ด้วยเช่นกัน
    ดาวออพพูเชียส (C Ophiuchi : C Oph)  อยู่บริเวณหัวเข่าของกลุ่มดาวคนแบกงู  มีค่าความสว่าง 4.75 อยู่ห่างจากโลกออกไปประมาณ 426.35 ปีแสง  มีชนิดสเปคตรัม A0V ซึ่งเป็นดาวฤกษ์สีขาว  ที่มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์มาก            นาน 1 ชั่วโมง 42 นาที (นานกว่าจันทรุปราคาเต็มดวงครั้งนี้  เพียงไม่ถึง 3 นาที)
    แต่ถ้าผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ทางภาคใต้ตอนล่าง  ตั้งแต่จังหวัดชุมพรเป็นต้นไป  ไม่สามารถสังเกตเห็นปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวฤกษ์ได้  ลักษณะขั้นตอนการสัมผัสของดวงจันทร์กับดาวฤกษ์
    ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่มีความพิเศษมาก เนื่องจากในวันดังกล่าวจะเกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ  ทางดาราศาสตร์ถึง 2 ปรากฏการณ์ ในเวลาเดียวกัน  ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยากมากๆ
                    ส่วนถ้าเราท่านทั้งหลาย  จะย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม  ในยุคญาฮิลียะห์  เชื่อกันว่า  เมื่อเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา  ความเชื่อของคนสมัยนั้นคือ  จะมีคนใหญ่คนโตเสียชีวิต  และบังเอิญในวันที่เกิดสุริยุปราคา  ท่านอิบรอฮีมบุตรชายของท่านนบี  ก็ได้เสียชีวิต   เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนในสมัยนั้น  เข้าใจผิด  และป้องกันไม่ให้เชื่อผิดๆ  รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จึงได้พูดขึ้นว่า  สุริยุปราคาและจันทรุปราคา  ทั้ง2จะไม่เกิดขึ้นเพราะการตายของผู้ใด  และเพราะการมีชีวิตอยู่ของผู้ใด
   รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า “แท้จริงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้น  ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า  ทั้งสองไม่ได้เกิดคราสเพราะการตายของผู้ใด  และไม่ใช่เพราะการมีชีวิตอยู่ของผู้ใด  เมื่อพวกท่านพบเหตุการณ์ดังกล่าว  พวกท่านจงละหมาดและขอดุอา  จนกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกท่านจะคลายออก(สว่าง)”  รายงานโดยมุสลิม   ดังนั้นมีสุนัตให้อาบน้ำเพื่อละหมาดสุริยุปราคา(กุซูฟ)และจันทรุปราคา(คุซูฟ)  อาบเหมือนกับตอนที่จะไปละหมาดวันศุกร์ 
   มีสุนัตให้ละหมาดสุริยุปราคา(กุซูฟ)  และจันทรุปราคา(คุซูฟ)  แบบญะมาอะห์  เมื่อละหมาดเสร็จแล้วให้ผู้นำที่มีความรู้ขึ้นคุตบะห์  ซึ่งวิธีการก็เหมือนกับคุตบะห์ในวันศุกร์  ทั้งในเรื่องรุกุ่นและซารัต  เป้าหมายหลักก็คือ  ให้ผู้คนหันมาเอาใจใส่เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆตัว  ว่าถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำ  ใครจะทำได้   ดวงจันทร์โดยปกติ  มืดมิด  ไม่มีแสงนวลให้เห็นเลย  พระผู้เป็นเจ้าก็ทำให้เห็นแล้ว  โดยให้เป็นวันจันทร์ดับ  หลังจากนั้นก็ค่อยๆสว่างทีละนิดๆ  กระทั่งเต็มดวง  หลังจากนั้นก็ค่อยๆมืด  กระทั่งมืดมิดอีกครั้ง  ไม่พียงแค่นั้นพระผู้เป็นเจ้า  ได้ให้ดวงจันทร์  มีสีสัน  พระองค์ก็ทำได้  โดยทำให้มีสีส้ม  ในวันที่เกิดจันทรุปราคา  เหตุการที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับดวงจันทร์  และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้นั้น  ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวง  ล้วนแล้วแต่  แสดงให้เห็นถึงอำนาจ  เดชานุภาพ  ความสามารถ  แหละความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น   หันมาสำรวจตัวเองว่า  วันนี้เราทำความดีเพื่อพระองค์หรือยัง  และเราได้นำพาบุคคลรอบข้างของเรา  เข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง ** วันนี้วันพุธที่  15  มิ.ย.  2554  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)  สำหรับ กทม.  ซุบฮิ เวลา 04.21.52 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.50.59 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.19.03 วินาที  อัสริ เวลา15.44.50 วินาที  มักริบเวลา 18.47.10 วินาที  อีซาเวลา 20.06.42 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยิดฮารอม  ซุบฮิ เวลา 04.02.16 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.35.12 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.21.01 วินาที  อัสริ เวลา15.40.34 วินาที  มักริบเวลา 19.06.54 วินาที  อีซาเวลา 20.29.16 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิ เวลา 03.53.00 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.28.24 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.21.57 วินาที  อัสริ เวลา15.42.31 วินาที  มักริบเวลา 19.15.34 วินาที  อีซาเวลา 20.39.52 วินาที  พี่น้องครับ  ซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบใน พี่น้องครับ  ซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของ  การทำบุญ  ให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุล  และเป็นความดีงาม  ที่ยิ่งใหญ่มาก  ณ ฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า   แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรัก  ความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็ม  ในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้น  นั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)  บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลค  สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา  คนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงาม  จะหลั่งไหลสู่ตัวท่าน  และสังคม  สืบต่อไป  ทำตามใช้  ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
 :salam:
  ผมเอง  เคยได้ยินบางคน  ได้บอกว่า  ขึ้น 1 ค่ำ  มีเดือนแล้ว  บวช(ถือศิลอด)ได้แล้ว  ไม่ใช่แค่คิดเล่นๆ  เขาก็ยึดเป็นหลักปฏิบัติจริงๆ  ตรงนี้ตัวผมเอง  ขอแนะนำว่า  ให้ฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะว่า  ถ้าวันที่ขึ้น 1 ค่ำ  ยังไม่ใช่วันที่ 1 ของเดือนรอมาดอน  เท่ากับว่าท่านอาจจะขาด  การถือศิลอดในเดือนรอมาดอนไป  เท่ากับว่าท่านสูญเปล่า  ในการถือศิลอดไปแล้ว  ที่สำคัญที่สุดการกระทำดังกล่าว  ยังไม่เป็นไปตามคำสั่งใช้  ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  แหละยังไม่ใช่  การปฏิบัติตาม  แนวทางของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อีกด้วย  เพราะว่าหลักการของศาสนา  จะเริ่มต้นขึ้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องประกอบด้วย 1. วันที่จะดูจันทร์สี้ยว  ต้องเป็นวันที่ 29 ของเดือนอิสลาม  2. ต้องมีการเห็นจันทร์สี้ยวจริงเท่านั้น  ถ้าหากในการคำนวน  ระบุชัดเจนว่าสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ  กลับไม่มีผู้ใดเห็นจันทร์เสี้ยว  อย่างนี้ก็จะเริ่มขึ้นเดือนใหม่  ไม่ได้อย่างเด็ดขาด  (นักดาราศาสตร์อิสลาม  สามารถคำนวนได้  แต่สิ่งที่นักดาราศาสตร์อิสลาม  ไม่สามารถคำนวนได้  ก็คือ ณ วันที่ดูจันทร์เสี้ยวนั้น  จะมีพื้นที่ใดบ้าง  ที่จะมีเมฆมาบดบัง  จะมีพื้นที่ใดบ้าง  ที่จะฝนมา  ฟ้าจะมืด  จะมีพื้นที่ใดบ้าง  ที่ฝนมา  ฟ้ามืด )
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า  ไม่มีผู้ใด  ที่จะมีความสามารถ  ที่จะมีความรอบรู้  ที่จะมีเดชานุภาพ  เทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าได้เลย  ข้อเสนอแนะอีกประการหนึ่ง  สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลาม  ในการคำนวน  เวลาละหมาดซุบฮิ  ผมแนะนำว่า  ควรจะใช้ที่  20  องศา  จะปลอดภัยที่สุด  ยิ่งการคำนวนเวลาละหมาด  ในเดือนอันประเสริฐ  อย่างเดือนรอมาดอน  ยิ่งต้องพิถีพิถันอย่างมาก  เพราะสมัยนี้การพิสูจน์  ฟายัรซอดิกจริงนั้นยากมากๆ  ยิ่งถ้าอยู่ในเขต กทม.  ยิ่งไม่สามารถพิสูจน์  ฟายัรซอดิกได้เลย  เพราะจะมีแสงไฟรบกวนมาก  แต่สำหรับในสมัยก่อนแล้ว  การพิสูจน์  ฟายัรซอดิกจริงนั้นง่ายมากๆ  เพราะยังไม่มีแสงไฟรบกวนมากอย่างปัจจุบัน   ดังนั้นในวันที่จันทร์ดับ  ต้องดูว่าวันนั้น  ตรงกับวันที่  29  ของเดือนอิสลามหรือเปล่า  ถ้าตรงกับวันที่  29  ของเดือนอิสลาม  จึงจะมีการดูจันทร์เสี้ยวได้    การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน  ทุกๆ เดือนนั้น  ตามหลักการศาสนาอิสลาม  ให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.)  ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ  ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล)  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว  ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน  และวันถัดต่อจากนั้นไป  ถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้) (( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย  จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว  และจงละศีลอด  เมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด)  ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน  (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว)  ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบาน  ให้ครบสามสิบวันเถิด  (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)  ตามฮาดีษดังกล่าว  จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน  ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น  ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบัง  ทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้  ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน  จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ท่านไม่ได้บอกว่า  ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล  และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกล  เห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น  นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า  เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน  เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์  ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด  วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน)  และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส  ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชาม  และได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย  ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน  โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น  ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์  หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน  แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า  พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด  ฉันก็ตอบว่า  พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์  อิบนิอับบัสถามย้ำว่า  ท่านเห็นมันเองหรือ  ฉันตอบว่าถูกแล้ว  และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย  โดยพวกเขาได้ถือศีลอด  และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด  อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า  แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์  ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน  หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์  ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า  ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์  และการถือศีลอดของเขา  อิบนิอับบัสตอบว่า  ไม่  แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา  (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้ วันนี้วันเสาร์ที่  2  ก.ค.  2554  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)  สำหรับ กทม.  ซุบฮิ เวลา 04.25.52 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.54.49 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.22.38 วินาที  อัสริ เวลา15.48.00 วินาที  มักริบเวลา 18.50.25 วินาที  อีซาเวลา 20.09.45 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยิดฮารอม  ซุบฮิ เวลา 04.06.31 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.39.13 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.24.36 วินาที  อัสริ เวลา15.43.27 วินาที  มักริบเวลา 19.09.55 วินาที  อีซาเวลา 20.31.59 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิ เวลา 03.56.38 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.36.09 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.25.07 วินาที  อัสริ เวลา15.46.12 วินาที  มักริบเวลา 19.14.00 วินาที  อีซาเวลา 20.42.18 วินาที   พี่น้องครับ  ซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของ  การทำบุญ  ให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุล  และเป็นความดีงาม  ที่ยิ่งใหญ่มาก  ณ ฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า   แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรัก  ความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็ม  ในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้น  นั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)  บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลค  สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา  คนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงาม  จะหลั่งไหลสู่ตัวท่าน  และสังคม  สืบต่อไป  ทำตามใช้  ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 24, 2014, 10:31 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

                  พี่น้องครับ  ใกล้จะถึงเดือนร่อมะดอน  มุบารอก  ร่อมะดอน  กะรีม  อันทรงเกียตริแล้ว  ทางสำนักจุฬาราชมนตรี  ประกาศให้วันอาทิตย์ที่  3  ก.ค.  พ.ศ. 2554  เป็นวันที่  1  ซะบาน  ฮ.ศ.  1432  ตามกฏทางดาราศาสตร์อิสลาม  บอกว่า  วันที่  1  วันที่15  วันที่  29  ของเดือนอิสลามนั้น  จะต้องเป็นวันเดียวกัน  เสมอไป  (กล่าวคือ  ดังนั้นวันที่  1  ซะบานปีนี้  ตรงกับวันอาทิตย์  วันที่  15ซะบานปีนี้  ก็ต้องตรงกับวันอาทิตย์  วันที่  29  ซะบานปีนี้  ก็ต้องตรงกับวันอาทิตย์เช่นเดียวกัน   เนื่องจากว่าตามหลักของศาสนาอิสลามแล้ว  ให้เริ่มต้นวันใหม่  เมื่อตะวันเริ่มตกลับขอบฟ้า  กลางคืนมาก่อนกลางวัน  ดังนั้นวันที่  15ซะบานปีนี้  ที่เรารู้กันในนาม  คืนนิชฟูซะบานปีนี้  จึงตรงกับ  หลังเข้ามัฆริบของวันเสาร์ที่  16  ก.ค.  พ.ศ.  2554)
        เนื่องจากทางสำนักจุฬาราชมนตรี  ประกาศให้วันอาทิตย์ที่  3  ก.ค.  พ.ศ. 2554  เป็นวันที่  1  ซะบาน  ฮ.ศ.  1432  ดังนั้นวันที่  29  ซะบานปีนี้  ตรงกับวันอาทิตย์ที่  31  ก.ค.  2554  หลังจากเข้าเวลามัฆริบของ  วันอาทิตย์ที่  31  ก.ค.  2554  จะต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยว  เพื่อกำหนด  วันที่  1  รอมะดอน  ฮ.ศ.  1432   
         วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   วันอาทิตย์ที่   31  กรกฎาคม  พ.ศ.  2554  ตรงกับวันที่ 29 ซะบาน  ฮ.ศ.  1432  (สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันอาทิตย์ที่  31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554   เวลา  01.39.49. วินาที)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ    ของวันอาทิตย์ที่   31  กรกฎาคม  พ.ศ.  2554   จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยว   เพื่อกำหนดวันที่ 1  รอมะดอน   ฮ.ศ.1432  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย  ควรจะใช้คำว่า  ดูดวงจันทร์เสี้ยว  หรือดูจันทร์เสี้ยว  แทนจากคำว่า  ดูดวงจันทร์  เพราะตามฮาดิษ  ใช้คำว่า  ฮิลาล  แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยว  จันทร์เสี้ยว
โดยที่ในฮาดิษ  ไม่ได้ใช้คำว่า  ก่อมัร  ซึ่งแปลว่าดวงจันทร์)     วันอาทิตย์ที่   31  กรกฎาคม  พ.ศ.  2554       กทม.  ดวงอาทิตย์ตก 18.47.20 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.09.36 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว  22  นาที  15 วินาที  จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด  ฝนไม่ตก  ก็อาจจะเห็นได้)     ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่ง  ชายฝั่งทะเล  ซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  แหละมีผู้เชี่ยวชาญ  ทางดาราศาสตร์อิสลามอย่างมากๆ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  18.43.57วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.06.37 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22 นาที 40 วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด  ก็อาจจะเห็นได้)    ยะลา  ดวงอาทิตย์ตก 18.34.56 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.00.57 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 26 นาที01 วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด  ก็อาจจะเห็นได้)    หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.37.33 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.03.18 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25 นาที 45 วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด  ก็อาจจะเห็นได้)    กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.50.49
 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.13.04 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22 นาที 15 วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด  ก็อาจจะเห็นได้)    ปัตตานี  ดวงอาทิตย์ตก 18.34.48 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.00.34 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25นาที 46 วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด  ก็อาจจะเห็นได้)    อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 18.31.15 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.52.09 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 20 นาที 54 วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืดก็อาจจะเห็นได้)   สำหรับกำปง  ลาดบัวขาวของเรา  ดวงอาทิตย์ตก 18.45.47 วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.08.00 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22 นาที 14 วินาที   มุมทิศ  ของดวงจันทร์  จากจุดทิศเหนือ  กวาดไปทางขวามือ  ขนานกับขอบฟ้า  จะเท่ากับ  281  องศา  40  ลิปดา  15  ฟิลิปดา  จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น  ความสูงเหนือเส้นขอบฟ้า  อยู่
ที่  2  องศา59  ลิปดา  42ฟิลิปดา  (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด ก็อาจจะเห็นได้  ในความเป็นจริง  ค่อนข้างเห็นได้ยากมาก  เพราะมีบ้าน  มีตึก  ต้นไม้  ฯลฯ  บดบังเยอะเลย)   
             การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน  ทุกๆ เดือนนั้น  ตามหลักการศาสนาอิสลาม  ให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.)  ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ  ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล)  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว  ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน  และวันถัดต่อจากนั้นไป  ถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้) (( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย  จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว  และจงละศีลอด  เมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด)  ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน  (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว)  ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบาน  ให้ครบสามสิบวันเถิด  (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)  ตามฮาดีษดังกล่าว  จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน  ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น  ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบัง  ทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้  ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน  จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ท่านไม่ได้บอกว่า  ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล  และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกล  เห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น  นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า  เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน  เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์  ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด  วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน)  และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส  ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชาม  และได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย  ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน  โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น  ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์  หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน  แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า  พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด  ฉันก็ตอบว่า  พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์  อิบนิอับบัสถามย้ำว่า  ท่านเห็นมันเองหรือ  ฉันตอบว่าถูกแล้ว  และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย  โดยพวกเขาได้ถือศีลอด  และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด  อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า  แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์  ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน  หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์  ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า  ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์  และการถือศีลอดของเขา  อิบนิอับบัสตอบว่า  ไม่  แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา  (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้   
          ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม  วันอาทิตย์ที่   31  กรกฎาคม  พ.ศ.  2554    ทางภาคเหนือ  และภาคอีสานตอนบน  จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว  บอกได้เลยว่าสิ่งนั้น  ไม่ใช่จันทร์เสี้ยว  ส่วนภูมิภาคอื่นทั่วประเทศ  ต้องใช้กล้องดูเท่านั้น  จึงอาจจะเห็นจันทร์เสี้ยวได้(ถ้าหากว่า ช่วงนั้น  ท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มา ฟ้าไม่มืด  ฝนไม่ตก)   
            สรุปว่า  ถ้าหากว่าหลังเข้าเวลามัฆริบ  ของวันอาทิตย์ที่   31  กรกฎาคม  พ.ศ.  2554    มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว  เท่ากับว่าเดือนซะบานปีนี้มี  29  วัน  แหละวันที่  1  รอมะดอน  ฮ.ศ.  1432  จะตรงกับวันจันทร์ที่  1  ส.ค.  พ.ศ.  2554  แต่ถ้าหากว่า  วันอาทิตย์ที่   31  กรกฎาคม  พ.ศ.  2554    ไม่มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว  เท่ากับว่าเดือนซะบานปีนี้มี  30  วัน  แหละวันที่  1  รอมะดอน  ฮ.ศ.  1432  จะตรงกับวันอังคารที่  2  ส.ค.  พ.ศ.  2554   ให้พี่น้องรับฟัง  การประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี         วันนี้เราทำความดีเพื่อพระองค์หรือยัง  และเราได้นำพาบุคคลรอบข้างของเรา  เข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์  ชนิดต่างๆ  เพื่อรับพระเมตตา  จากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ** วันนี้วันอาทิตย์ที่  10  ก.ค.  พ.ศ.2554  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)  สำหรับ กทม.  ซุบฮิ เวลา 04.28.48 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.57.06 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.24.00 วินาที  อัสริ เวลา15.47.56 วินาที  มักริบเวลา 18.50.49 วินาที  อีซาเวลา 20.09.32 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยิดฮารอม  ซุบฮิ เวลา 04.10.14 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.42.05 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.25.57 วินาที  อัสริ เวลา15.42.35 วินาที  มักริบเวลา 19.09.41 วินาที  อีซาเวลา 20.30.59 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับ  มัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิ เวลา 04.01.26 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.35.37 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.26.53 วินาที  อัสริ เวลา15.48.39 วินาที  มักริบเวลา 19.18.00 วินาที  อีซาเวลา 20.41.05 วินาที    พี่น้องครับ  ซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของ  การทำบุญ  ให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุล  และเป็นความดีงาม  ที่ยิ่งใหญ่มาก  ณ ฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า   แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรัก  ความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็ม  ในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้น  นั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)  บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลค  สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา  คนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงาม  จะหลั่งไหลสู่ตัวท่าน  และสังคม  สืบต่อไป  ทำตามใช้  ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา



         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 24, 2014, 10:32 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio

ถ้าจัดย่อหน้า เว้นวรรค ขึ้นบันทัดใหม่ ให้ดีจะอ่านง่ายขึ้นมากเลย

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
             السلام عليكم ورحمة الله وبركاته   ท่านพี่น้องที่มีความหวังในพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า  ร่อมะดอนเดือนอันมีเกียตริ ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้ากำลังมาสู่เราท่านทั้งหลาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราท่านทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ศรัทธาเป็นผู้ยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้า  เป็นผู้ที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของเดือนร่อมะดอน  ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าเราท่านทั้งหลายคงมีความรู้สึกยินดีและดีใจ  ที่เราท่านทั้งหลายได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำคุณความดี  เพื่อสนองในพระบัญชาใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้า  ซึ่งการถือศิลอดในเดือนร่อมะดอนนี้ไม่เพียงเฉพาะผู้ศรัทธาที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น  ผู้ศรัทธาที่อาศัยอยู่ทั่วทุกมุมของโลกใบนี้ต่างก็มีความรู้สึกยินดีและดีใจ  ในการมาเยือนของเดือนร่อมะดอนอันมีเกียตรินี้เช่นกัน  พี่น้องครับถ้าจะถามว่าเราท่านทั้งหลายถือศิลอดกันได้อย่างไร  ถือศิลอดเพราะไม่หิวอย่างนั้นหรือ  ถือศิอดเพราะทำตามกระแสที่คนทั่วไปเขาถือกันอย่างนั้นหรือ  คำตอบก็คือคงไม่ใช่  แต่ที่เราท่านทั้งหลายถือศิลอดกันได้ก็เพราะว่าเราท่านทั้งหลายมีศรัทธา  มีอีหม่านมีการยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  ที่สำคัญอย่างยิ่งผลดีนานับประการ  สิ่งดีๆอย่างมากมายในสรวงสวรรค์  ยังคงรอเราท่านทั้งหลายอยู่ในโลกหน้าอาคิเราะห์อย่างแน่นอน   พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 
     โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การถือศีลอดนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกท่านแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ถูกกำหนดแก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกท่านมาแล้วเพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรง(ในการล่วงล้ำเข้าไปทำในสิ่งที่ไม่ดี)  ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์  อายะห์ที่ 183   
     การถือศิลอดในเดือนร่อมะดอนได้ถูกกำหนดขึ้นให้ปฏิบัติ  ในปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 2 เดือนซะบาน  พี่น้องครับพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าโอ้บรรดาผู้ศรัทธา  ตรงนี้เองถ้าจะพูดตามหลักนะฮูเรียกว่าประกอบด้วยฮุรุฟนิดาอ์แหละมุนาดา  จุดประสงค์หลักก็คือพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกบรรดาผู้ศรัทธา  เพื่อที่จะสั่งใช้ให้ทำความดีงามอะไรบางอย่าง  ให้บรรดาผู้ศรัทธามีความสนใจในการทำความดี  ความดีงามอันนี้ก็คือการถือศิลอดในเดือนร่อมะดอนนั่นเอง  ซึ่งความดีงามอันนี้ทำได้ยากมากสำหรับผู้ที่ในหัวใจของเขาไม่มีการศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า  เพราะต้องมีการตั้งใจต้องอดน้ำอดข้าวอดกลั้นการกระทำต่างๆ  ที่ทำให้การถือศิลอดมีผลใช้ไม่ได้  เริ่มตั้งแต่แสงอรุณจริงขึ้น(ซุบฮิ)กระทั่งดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า(มัฆริบ)  สิ่งที่มักจะได้ยินอยู่เป็นประจำก็คืออดกันทั้งวัน  กินน้ำก็ไม่ได้ กินข้าวก็ไม่ได้ กินอะไรไม่ได้เลยก็หิวมากนะซิ  แต่สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาแหละมีความหวังในพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า  สิ่งที่ได้เกิดขึ้นตอนนี้ถ้าจะแบ่งก็จะแบ่งได้2ประการก็คือ 1.ความรู้สึกดีๆความรู้สึกอยากทำความดี(อยากถือศิลออดอยากอ่านกุรอ่านฯลฯ)  เพื่อสนองพระบัญชาใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้าก็จะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ศรัทธาอย่างแน่นอน  ประการที่2ก็คือ รัศมีแห่งความศรัทธาก็จะส่องแสงสว่างไสวอยู่ในหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธา  เปี่ยมล้นอยู่ในใจของผู้ศรัทธาเตรียมพร้อมที่จะทำความดีเพื่อสนองพระบัญชาใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้า  พี่น้องครับถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลายสังเกตุให้ดีพระผู้เป็นเจ้าเรียกบ่าวที่ถูกสร้าง  พระองค์จะใช้คำว่ายานำหน้าเสมอยกตัวอย่างเช่นยามุฮัมมัดโอ้มุฮัมมัด  ส่วนในต้นอายะห์ที่183ของซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์ที่กล่าวมานั้น  พระองค์ใช้คำว่ายาอัยยุฮัลละรีนะอามะนู  เพราะคำว่าอัลละรี  มีอลิฟลามอยู่ข้างหน้าตามหลักนะฮูเรียกว่าเป็นมุรักกัรจึงต้องเพิ่มอัยยุฮาหลังจากยา  จึงเป็นคำว่ายาอัยยุฮัลละรีนะอามะนู  ในส่วนของเราท่านทั้งหลายซึ่งอยู่ในฐานะบ่าวที่ถูกสร้าง  ถ้าจะเรียกหรือวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างจะไม่ใช้คำว่ายาอัลลอฮ์ตรงๆ  ให้ลบยาออกแล้วเพิ่มมีมที่มีเครื่องหมายซัดดะห์เข้าไปแทนหลังจากคำว่าอัลลอฮ์  ดังนั้นถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลายในฐานะบ่าวผู้ถูกสร้าง  จะวอนขอเรียกพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างจะใช้คำว่าอัลลอฮุมมะแทนคำว่ายาอัลลอฮุ  ซึ่งเราท่านทั้งหลายจะพบคำว่าอัลลอฮุมมะอยู่เป็นประจำในตอนเริ่มต้นของดุอาภาษาอะหรับ  คำว่าอัลลอฮุมมะนี้นั้นเรียกว่ามุนาดามุรอกคอมอัสลุฮูยาอัลลอฮุ
     เล่าจากท่านอิบนุอุมัร(ร.ด.)เมื่อท่านนบี(ซ.ล.)ละศิลอดท่านกล่าวขอพรว่า  อัลลอฮุมมะละกะซุมตุ  วะอะลาริสกิก้า  อัฟตอรตุ(โอ้พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าถือศิลอดเพื่อพระองค์และข้าพเจ้าละศิลอดด้วยริสกีของพระองค์)  รายงานโดยอะบูดาวูดและต๊อบรอนี
     คำว่ากู่ติบะ นักอธิบายอัลกุรอ่านขยายความว่าฟู่ริด้อ แปลว่าถูกให้เป็นฟัรดู  คำว่ากะมากู่ติบะตามหลักบาลาเฆาะห์เรียกว่า  อัตตัซบีห์ฟิ้ลฟะรีเดาะห์ ลาฟิ้ลกัยฟิยะติวัสสะวาบ คือนบีองค์ก่อนก็ต้องถือศิลอดเหมือนกันพระผู้เป็นได้มีฟัรดูใช้เหมือนกัน  แต่รูปแบบแหละภาคผลบุญที่จะได้รับจากพระผู้เป็นเจ้านั้นแตกต่างกับในยุคสมัยของเรา(ของนบีมุฮัมมัด ซ.ล.)อย่างมาก
     คำว่าอัซซิยามตามหลักนะฮูเรียกว่านาอิบุ้ลฟาแอ้ล จึงแปลว่าโอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย การถือศีลอด(ในเดือนร่อมาดอน)นั้นได้ถูกเป็นฟัรดูแก่พวกท่านแล้ว  แหละอีกประการหนึ่งคำว่าอัซซิยามกับคำว่าอัซเซามุแปลว่าการถือศิลอดเหมือนกัน  แต่มีอายะห์หนึ่งที่มีระบุไว้ในซูเราะห์มัรยัม  อายะห์ที่ 26  ตรงนั้นไม่ได้แปลว่าการถือศิลอดแต่แปลว่างดเว้นจากการพูด  คือพระผู้เป็นเจ้าสั่งให้พระนางมัรยัมอย่าพูดอะไรทั้งสิ้น(หลังจากที่พระนางมัรยัมคลอดนบีอีซาเสร็จเรียบร้อยแล้วแหละได้อุ้มนบีอีซาเข้ามาที่กลุ่มชนของนาง) 
     คำว่าละอัลละกุมตัตตะกูน  เพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรง(ในการล่วงล้ำเข้าไปทำในสิ่งที่ไม่ดี)  ดังนั้นจุดประสงค์แหละผลดีอีกอย่างของการถือศิลอดก็คือ  สามารถยับยั้งไม่ให้เราท่านทั้งหลายล่วงล้ำเข้าไปทำในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามเอาไว้ได้  มารร้ายที่ถูกสาปแช่งจากพระผู้เป็นเจ้าก็จะหลอกลวงได้ยากมากยิ่งขึ้น  เพราะว่าคนเราเวลาหิวเวลากระหายก็จะไม่ค่อยมีแรงร่างกายอ่อนเพลีย  อยากจะนอนพัก(ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า  การนอนของผู้ที่ถือศิลอดถือว่าเป็นอิบาดะห์ด้วยคือนอนก็ยังได้รับภาคผลบุญ ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย)  แรงที่จะไปทำไม่ดีต่างๆก็จะไม่มีโดยอัตโนมัต
     เล่าจากอับดิ้ลลาฮ์อิบนิมัสอูด(ร.ด.) พวกเราเป็นคนหนุ่มอยู่กับท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ซ.ล.)และพวกเราก็ไม่มีทรัพย์สินอะไร  ท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ซ.ล.)ได้กล่าวกับพวกเราว่า  พวกคนหนุ่มทั้งหลายเฉพาะผู้ที่มีความสามารถด้านค่าใช้จ่ายให้เขาจงแต่งงานเถิด  เพราะการแต่งงานทำให้สายตาลดต่ำลงและรักษาอวัยวะสืบพันธ์ได้ดียิ่ง  และผู้ที่ไม่มีความสามารถ(แต่งงาน)ให้เขาถือศิลอดเถิดเพราะการถือศิลอด(สามารถ)ตัดความต้องการทางเพศของเขาลงได้  รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
     การถือศีลอด(ในเดือนร่อมาดอน)นั้นได้ถูกเป็นฟัรดูนั่นก็หมายความว่าทำแล้วได้ภาคผลบุลจากพระผู้เป็นเจ้า  แต่ถ้าละเลยไม่ทำไม่ใส่ใจก็จะเกิดโทษอย่างแน่นอนด้วยคำดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าที่ว่าเดือนรอมฏอนนั้น  เป็นเดือนที่อัลกรุอานได้ถูกประทานลงมาเป็นข้อแนะนำสำหรับมวลมนุษย์  และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้น  และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ  ดังนั้นผู้ใดในหมูพวกท่านเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้วก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น  และผู้ใดป่วยหรืออยู่ในการเดินทางก็จงถือใช้ในวันอื่นแทน  พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกท่าน  และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกท่านและเพื่อที่พวกท่านจะได้ให้ครบถ้วนซึ่งจำนวนวัน(ของเดือนร่อมะดอน)  และเพื่อพวกท่านจะได้ให้ความเกรียงไกรแด่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ในสิ่งที่พระองค์ทรงแนะนำแก่พวกท่าน และเพื่อพวกท่านจะขอบคุณ  ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์  อายะห์ที่ 185   
     การถือศิลอดในปีนี้ใกล้จะเริ่มต้นแล้วให้เดือนร่อมะดอนเป็นจุดเริ่มต้นในการทำคุณความดีแขนงต่างๆต่อพระผู้เป็นเจ้า  ถือศิลอด งดเว้นคำพูดที่ไร้สาระ ทำจิตใจให้บริสุทธ์ อ่านกุรอ่าน ริกรุลลอฮ์ บริจาคทาน ละหมาดสุนัตต่างๆในยามค่ำคืน ทบทวนวิชาทางศาสนาต่างๆที่ร่ำเรียนมา ตั้งเจตนาหยุดพักในมัสยิดเพื่อทำคุณความดีชนิดต่างๆเพื่อพระผู้เป็นเจ้า  ให้เดือนร่อมะดอนเป็นจุดเริ่มต้น  เป็นต้นแบบในการทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในเดือนอื่นๆอีกต่อไป  ผลดีแหละภาคผลบุญไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ใดเลย  นอกจากจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ปฏิบัตินั่นเอง  ทั้งในโลกดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์  สิ่งที่ดีๆนานับประการ  สิ่งที่ตาไม่เคยเห็นหูไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งใจก็ยังคิดไม่ถึง  สิ่งต่างๆเหล่านี้แหละกำลังรอเราท่านทั้งหลายอยู่ในสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าในโลกหน้าอาคิเราะห์
     ทางสำนักจุฬาราชมนตรี  ประกาศให้วันอาทิตย์ที่  3 ก.ค.พ.ศ.2554  เป็นวันที่1ซะบาน  ฮ.ศ.1432  ตามกฏทางดาราศาสตร์อิสลามบอกว่า  วันที่ 1 วันที่15 วันที่  29ของเดือนอิสลามนั้น  จะต้องเป็นวันเดียวกันเสมอไป  (กล่าวคือดังนั้นวันที่1ซะบานปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์  วันที่15ซะบานปีนี้ก็ต้องตรงกับวันอาทิตย์  วันที่29ซะบานปีนี้ก็ต้องตรงกับวันอาทิตย์เช่นเดียวกัน   เนื่องจากว่าตามหลักของศาสนาอิสลามแล้ว  ให้เริ่มต้นวันใหม่เมื่อตะวันเริ่มตกลับขอบฟ้า  กลางคืนมาก่อนกลางวัน  ดังนั้นวันที่15ซะบานปีนี้ที่เรารู้กันในนาม  คืนนิชฟูซะบานปีนี้  จึงตรงกับหลังเข้ามัฆริบของวันเสาร์ที่16ก.ค.พ.ศ.2554)
     เนื่องจากทางสำนักจุฬาราชมนตรี  ประกาศให้วันอาทิตย์ที่ 3ก.ค.พ.ศ.2554เป็นวันที่1ซะบานฮ.ศ.1432  ดังนั้นวันที่ 29 ซะบานปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 31ก.ค.2554   หลังจากเข้าเวลามัฆริบของวันอาทิตย์ที่  31ก.ค.2554 จะต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยว  เพื่อกำหนดวันที่ 1รอมะดอน ฮ.ศ.1432 
     วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   วันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ.2554ตรงกับวันที่29ซะบาน ฮ.ศ.1432  (สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา01.39.49.วินาที)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 31กรกฎาคม พ.ศ.  2554จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่1รอมะดอน ฮ.ศ.1432  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย  ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว  แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล  แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว
โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์)     วันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ.2554       กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.47.20วินาที  ดวงจันทร์ตก19.09.36วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว22นาที15วินาที  จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดฝนไม่ตก  ก็อาจจะเห็นได้)     ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  แหละมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามอย่างมากๆ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.43.57วินาที ดวงจันทร์ตก19.06.37วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว22นาที40วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดก็อาจจะเห็นได้)    ยะลา ดวงอาทิตย์ตก18.34.56วินาที  ดวงจันทร์ตก19.00.57วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว26นาที01วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดก็อาจจะเห็นได้)    หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.37.33วินาที  ดวงจันทร์ตก19.03.18วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว25นาที45วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด  ก็อาจจะเห็นได้)    กาญจนบุรีดวงอาทิตย์ตก18.50.49วินาที  ดวงจันทร์ตก19.13.04วินาที  มีเวลาสงเกตจันทร์เสี้ยว22นาที15วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด  ก็อาจจะเห็นได้)    ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.34.48วินาที  ดวงจันทร์ตก19.00.34วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว25นาที46วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด  ก็อาจจะเห็นได้)    อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.31.15วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.52.09วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว20นาที54วินาที   จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดก็อาจจะเห็นได้)   
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน  ทุกๆ เดือนนั้น  ตามหลักการศาสนาอิสลาม  ให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.)  ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ  ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล)  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว  ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน  และวันถัดต่อจากนั้นไป  ถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้) (( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย  จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว  และจงละศีลอด  เมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด)  ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน  (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว)  ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบาน  ให้ครบสามสิบวันเถิด  (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)  ตามฮาดีษดังกล่าว  จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน  ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น  ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบัง  ทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้  ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน  จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ท่านไม่ได้บอกว่า  ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล  และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกล  เห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น  นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า  เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน  เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์  ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด  วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน)  และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส  ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชาม  และได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย  ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน  โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น  ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์  หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน  แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า  พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด  ฉันก็ตอบว่า  พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์  อิบนิอับบัสถามย้ำว่า  ท่านเห็นมันเองหรือ  ฉันตอบว่าถูกแล้ว  และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย  โดยพวกเขาได้ถือศีลอด  และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด  อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า  แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์  ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน  หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์  ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า  ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์  และการถือศีลอดของเขา  อิบนิอับบัสตอบว่า  ไม่  แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา  (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้   
     ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม  วันอาทิตย์ที่   31กรกฎาคม พ.ศ.  2554  ทางภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน  จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวบอกได้เลยว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยว  ส่วนภูมิภาคอื่นทั่วประเทศต้องใช้กล้องดูเท่านั้น  จึงอาจจะเห็นจันทร์เสี้ยวได้(ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดฝนไม่ตก)   
     สรุปว่าถ้าหากว่าหลังเข้าเวลามัฆริบ  ของวันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ. 2554    มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยวเท่ากับว่าเดือนซะบานปีนี้มี29วัน  แหละวันที่1รอมะดอน ฮ.ศ.1432  จะตรงกับวันจันทร์ที่1สิงหาคมพ.ศ.2554  แต่ถ้าหากว่าวันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ.2554ไม่มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว  เท่ากับว่าเดือนซะบานปีนี้มี30วัน  แหละวันที่1รอมะดอน ฮ.ศ.1432จะตรงกับวันอังคารที่2สิงหาคมพ.ศ.2554   ให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี   วันนี้เราทำความดีเพื่อพระองค์หรือยัง  และเราได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ** วันนี้วันศุกร์ที่29กรกฎาคมพ.ศ.2554  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)  สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.28.48 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.57.06วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.00 วินาที  อัสริเวลา15.47.56วินาที  มักริบเวลา 18.50.49วินาที  อีซาเวลา20.09.32วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.21.10วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.49.41วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.27.06วินาที  อัสริเวลา15.44.48วินาที  มักริบเวลา19.04.18วินาที  อีซาเวลา20.22.43 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.13.53วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.44.18วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.28.03วินาที  อัสริเวลา15.53.03วินาที  มักริบเวลา19.11.31วินาที  อีซาเวลา20.31.22วินาที    พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้  ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 24, 2014, 10:34 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ผมช่วยปรับ-เรียบเรียงให้ดูเป็นระเบียบและอ่านง่ายขึ้นแล้วนะครับ แต่ยังไม่ทั้งหมด ไว้จะมาทำเรื่อยๆ จนหมดละกันนะ ส่วนเนื้อหานั้น ผมไม่ได้ไปยุ่งอะไรทั้งสิ้น เพียงจับเลื่อนลงมาเป็นวรรคใหม่เท่านั้นเอง - วัสสลามุอลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
     ไม่เป็นไรหรอกครับ  ผมอยากจะให้ท่านเห็นความสำคัญเรื่องราวของศาสนา  การอ่านกุรอ่านการริกรุลลอฮ์  การบริจาคทานแหละเรื่องราวของการทำอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้า  มากยิ่งกว่าการเว้นวรรคการย่อหน้าการขึ้นบรรทัดใหม่  เพราะการเว้นวรรคการย่อหน้าการขึ้นบรรทัดใหม่สิ่งต่างๆเหล่านี้  ไม่สามารถนำพาเราท่านทั้งหลายไปสู่สรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้  ยิ่งกว่านั้นบางทีอาจเป็นช่องทางของซัยตอนมารร้าย  ทำให้ลืมเรื่องราวของศาสนา  ลืมการอ่านกุรอ่านลืมการริกรุลลอฮ์  ลืมการบริจาคทานแหละลืมการทำอิบาดะห์ชนิดต่างๆต่อพระผู้เป็นเจ้าได้  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า   
โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงอยู่อยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่สัจจริง(พูดความจริง)ซูเราะห์อัตเตาบะห์  อายะห์ที่119
     จากอิบนิมัสอูด(ร.ด.)จากท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า  แท้จริงความสัจจริงจะนำไปสู่ความดี  และความดีนำพาไปสู่สรวงสวรรค์  แท้จริงมีผู้รักษาความสัจจริงจนได้รับการบันทึก ณพระองค์อัลลอฮ์ว่า  เป็นผู้ที่มีความสัจจริง  และแท้จริงการโกหกจะนำไปสู่ความชั่ว  และความชั่วจะนำไปสู่ไฟนรก  แท้จริงมีผู้โกหกเป็นประจำจนเขาถูกบันทึกไว้ ณพระองค์อัลลอฮ์ว่า  เป็นจอมโกหก  รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

อ้างถึง
เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.21.10วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.49.41วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.27.06วินาที  อัสริเวลา15.44.48วินาที  มักริบเวลา19.04.18วินาที  อีซาเวลา20.22.43 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.13.53วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.44.18วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.28.03วินาที  อัสริเวลา15.53.03วินาที  มักริบเวลา19.11.31วินาที  อีซาเวลา20.31.22วินาที

ผมไม่รู้ว่าที่ซาอุฯเขาคำนวณเวลาละหมาดด้วยสูตรเดียวกันหรือเปล่า ตอนที่ผมไปหัจญ์ นักศึกษาม.มะดีนะฮฺชี้ให้ดูว่า ปฏิทินฮิจญริของซาอุนั้น เวลาอิชาอ์จะมีค่าเท่ากับเวลามัฆริบ + 1 ชม. 30 นาที เสมอ เช่น มัฆริบ 18.30 น. อิชาอ์จะเท่ากับ 20.00 น.พอดี มีสมาชิกในเวปนี้ท่านหนึ่งอยู่ซาอุ อยากให้ตรวจสอบดูว่า เป็นอย่างนี้จริง ๆ หรือเปล่า เพราะผมยืนยันว่า ช่วงที่ผมไปทำหัจญ์ครั้งสุดท้ายเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นอย่างที่บอกจริง ๆ
วัสสลาม

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
     
     การคำนวนเวลาละหมาดอีซามัสยิดฮะรอม  ที่ท่านบอกว่า1ชั่วโมง30นาทีหลังจากเข้ามัฆริบจะเป็นเวลาอีซาที่มัสยิดฮะรอมเมื่อ5ปีที่ผ่านมา  เรียกว่าคำนวนที่22.5องศา  ในส่วนของการปฏิบัติศาสนกิจจริงๆ  พอหมดแสงแดดที่ขอบฟ้าก็เข้าเวลาอีซาแล้ว  ยาวนานกระทั่งถึงเข้าเวลาซุบฮิก็หมดเวลาอีซา 
     จากอับดิลลาหิบนิ่อัมริน(ร.ด.)ได้กล่าวว่า  มีผู้ถามร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ถึงเวลาละหมาด  ร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ตอบว่าเวลาของการละหมาดฟัร(ซุบฮิ)ตราบเมื่อส่วนแรกของดวงตะวันยังไม่ขึ้น  และเวลาของการละหมาดดุฮ์ริเมื่อตะวันคล้อยจากท้องฟ้าตราบเมื่อยังไม่ถึงเวลาอัสริ  และเวลาของการละหมาดอัสริตราบเมื่อตะวันยังไม่เป็นสีเหลืองและส่วนแรกของตะวันตกดิน(คือหมดเวลาอัสริ)  และเวลาของการละหมาดมัฆริบเมื่อตะวันตกตราบเมื่อแสงสีแดงที่ขอบฟ้ายังมีอยู่  และเวลาละหมาดอีซาจะคงอยู่จนถึงเที่ยงคืน(เป็นเวลาที่ให้เลือกทำ แต่อนุญาติให้กระทำถึงแสงอรุณจริงขึ้น)  รายงานโดยมุสลิม อะบูดาวูด ติรมีรี นะซาอี   
     ในฮะดิษระบุชัดเจนเลยว่า  เวลาของการละหมาดมัฆริบเมื่อตะวันตกตราบเมื่อแสงสีแดงที่ขอบฟ้ายังมีอยู่  ดังนั้นเมื่อแสงสีแดงที่ขอบฟ้าหมดไปจึงเริ่มเข้าเวลาละหมาดอีซา  คำว่าแสงสีแดงที่ขอบฟ้า  ตามหลักดาราศาสตร์อิสลามเรียกว่าแสงสนธยาดาราศาสตร์  แสงสนธยาดาราศาสตร์คือระยะเวลาที่ท้องฟ้ามืดสนิทบริเวณชายทะเล  ขอบฟ้ามองไม่เห็น  มองเห็นดาวชัดเจนมีค่าเท่ากับ18องศานับตั้งแต่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป  ในการคำนวนเวลาเริ่มเข้าละหมาดอีซา  ผมคำนวนที่18องศาโดยยึดตามหลักฐานที่ได้กล่าวมา   พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
     ท่านจงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อยจนพลบค่ำ  และการอ่านยามรุ่งอรุณ  แท้จริงการอ่านยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยันเสมอ
     และจากบางส่วนของกลางคืน  ท่านจงตื่นขึ้นมาละหมาดในเวลาของมัน  เป็นการสมัครใจสำหรับท่าน  หวังว่าพระผู้เป็นเจ้าของท่าน  จะทรงให้เจ้าได้รับตำแหน่งที่ถูกสรรเสริญ(การชะฟาอะห์ในโลกหน้าอาคิเราะห์)
     และท่านจงกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์  ได้ทรงโปรดนำข้าพระองค์เข้าตามทางเข้าที่ชอบธรรม  และได้ทรงโปรดนำข้าพระองค์ออกตามทางออกที่ชอบธรรม  และทรงโปรดให้ข้าพระองค์มีอำนาจที่เข้มแข็ง  ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์”
     และท่านจงกล่าวเถิด “เมื่อความจริง”ปรากฏขึ้นและความเท็จย่อมมลายไป  แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ”     ซูเราะห์อัลอิสรออ์ อายะห์ที่78-81
     ชี้ให้เห็นว่าในโลกแห่งความจริงก็คือถ้าสมมุติว่าในโลกใบนี้  มีผู้ที่ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าน้อยมากๆ  อำนาจ เดชานุภาพ ความสามารถ แหละความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้ลดน้อยลงตามไปด้วยแต่ประการใด  เพราะพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้าง  พระองค์มิใช่ผู้ถูกสร้าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 30, 2011, 10:11 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
     السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
          การประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรีให้วันจันทร์ที่1สิงหาคมพ.ศ.2554เป็นวันที่1ร่อมะดอนฮ.ศ.1432  วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นวันจันทร์ที่29สิงหาคมพ.ศ.2554ตรงกับวันที่29ร่อมาดอนฮ.ศ.1432  (สำหรับประเทศไทยจันทร์ดับ  ตรงกับวันจันทร์ที่29สิงหาคมพ.ศ.2554เวลา10.04.06วินาที)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่29สิงหาคมพ.ศ.  2554  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่1เซาวั้ล ฮ.ศ.1432   วันที่เราท่านทั้งหลายรู้กันในนามว่าวันอีดอีดิ้ลฟิตรี่ (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย  ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว  แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล  แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยวโดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์)    วันจันทร์ที่29สิงหาคมพ.ศ.2554 กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.32.30วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.54วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว0นาที24วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  แหละมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามอย่างมากๆๆๆ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.29.45วินาที ดวงจันทร์ตก18.30.31วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว46วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   ยะลา ดวงอาทิตย์ตก18.25.15วินาที  ดวงจันทร์ตก18.29.10วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว3นาที54วินาที   จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.27.26วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.06วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว3นาที40วินาที  จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   กาญจนบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.35.50วินาที  ดวงจันทร์ตก18.36.14วินาที  มีเวลาสงเกตจันทร์เสี้ยว0นาที24วินาที   ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.23.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.27.35วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว3นาที42วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.15.24วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.14.30วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว0นาที54วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน  ทุกๆ เดือนนั้น  ตามหลักการศาสนาอิสลาม  ให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.)  ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ  ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล)  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว  ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน  และวันถัดต่อจากนั้นไป  ถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้) (( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย  จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว  และจงละศีลอด  เมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด)  ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน  (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว)  ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบาน  ให้ครบสามสิบวันเถิด  (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)  ตามฮาดีษดังกล่าว  จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน  ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น  ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบัง  ทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้  ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน  จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ท่านไม่ได้บอกว่า  ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล  และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกล  เห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น  นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า  เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน  เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์  ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด  วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน)  และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส  ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชาม  และได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย  ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน  โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น  ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์  หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน  แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า  พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด  ฉันก็ตอบว่า  พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์  อิบนิอับบัสถามย้ำว่า  ท่านเห็นมันเองหรือ  ฉันตอบว่าถูกแล้ว  และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย  โดยพวกเขาได้ถือศีลอด  และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด  อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า  แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์  ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน  หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์  ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า  ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์  และการถือศีลอดของเขา  อิบนิอับบัสตอบว่า  ไม่  แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา  (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้   
     ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม  วันจันทร์ที่29สิงหาคม พ.ศ.  2554  หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย  จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวบอกได้เลยว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
     สรุปว่าผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม  เท่ากับว่าเดือนร่อมะดอนปีนี้มี30วัน  แหละวันที่1เซาวั้ล ฮ.ศ.1432(วันอีดอีดิ้ลฟิตรี่)  จะตรงกับวันพุธที่31สิงหาคมพ.ศ.2554  ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี   วันนี้ช่วงนี้อยู่ในเดือนร่อมะดอน  เราทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง 
**   เล่าจากท่านซะฮ์ลิน(ร.ด.) ว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ในสวนสวรรค์มีประตูหนึ่งชื่อว่าอัรรอยยาน  ในวันกิยามัตผู้ถือศิลอดเท่านั้นจะได้เข้าไป  คนอื่นไม่มีสิทธิ(คนที่ไม่ถือศิลอด)  ซึ่งประตูดังกล่าวจะกล่าวว่า  คนใหนถือศิลอดยืนขึ้น  คนอื่นไม่เกี่ยว  ดังนั้นเมื่อผู้ที่ถือศิลอดเข้าไปแล้วประตูนี้ก็จะถูกปิดลง  คนอื่นจะเข้าไปไม่ได้เลย รายงานโดยบุคอรี
     วันนี้วันศุกร์ที่5สิงหาคมพ.ศ.2554  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)  สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.39.16 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.03.50วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.45 วินาที  อัสริเวลา15.38.07วินาที  มักริบเวลา 18.45.32วินาที  อีซาเวลา20.00.58วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.25.21วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.52.26วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.26.40วินาที  อัสริเวลา15.46.14วินาที  มักริบเวลา19.00.39วินาที  อีซาเวลา20.17.50 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.18.46วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.47.34วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.27.36วินาที  อัสริเวลา15.53.48วินาที  มักริบเวลา19.07.20วินาที  อีซาเวลา20.25.49วินาที    ซุบฮิเวลา04.37.49วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.02.22วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.23.15วินาที  อัสริ เวลา15.36.39วินาที  มักริบ  อีซาเวลา19.59.24วินาที  พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 24, 2014, 10:36 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ iqwan

  • ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลเลาะฮ์ มุฮำมัดดุ้รร่อซูลุ้ลลอฮฺ
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • มาซาอั้ลลอฮฺ
  • Respect: +23
    • ดูรายละเอียด
อัสสะลามุอะไลกุ้มว่าเร๊าะห์มะตุ้ลลอฮิว่าบะร่อกาตุ๊ห์, อั้ลฮำดุลิ้ลลาฮฺ อั้ลฮำดุลิ้ลลาฮิร๊อบบิ้ลอาละมีน
ย่ะซากั้ลลอฮุคอยรอน, ขอขอบคุณ คุณ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม มากครับ [size=18pt]ขอผู้ทรงยุติธรรม ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปราณี[/size][/size][/size][/size]
ผู้ทรงมหายิ่งใหญ่ ผู้ทรงมหาอำนาจ ผู้ทรงให้เป็น ผู้ทรงให้ตาย รับคำวิงวอนขอของคุณและหมู่มวลมุสลิมที่ยึดมั่นในอั้ลเล๊าะฮ์(ซ.บ.)และอิสลาม ตามแนวทางของท่านนบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) อามีน.
อั้ลลามะอฺบูดุบิฮักกิ้ลฟิ้ลวุยู๊ดอิ้ลลั้ลลอฮฺ

ทุกๆปัญหา มีทางแก้...ถ้าแก้ไม่ได้ นั่นไม่ใช่ปัญหา
" Any Problem can Solve...if can't Solve
that not the Problem"

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
 :salam:
     การขอดุอาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการทำอิบาดะห์ทุกชนิด  แสดงถึงว่าอย่างไรก็ตามเราท่านทั้งหลายที่อยู่ในฐานะบ่าว  อย่างไรก็ต้องพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างทุกๆวันไป  ทีสำคัญการขอดุอาถือว่าเป็นมันสมองของอิบาดะห์  คนเราถ้าสมมุติว่าไม่มีการพิจราณาคุณค่าคงจะลดลง  เฉกเช่นกันการทำอิบาดะห์ทุกชนิด  ถ้าไม่มีการขอดุอาต่อพระผู้เป็นเจ้า  อิบาดะห์ชนิดนั้นก็จะด้อยค่าณฝ่ายพระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
       พวกท่านจงวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านในสภาพถ่อมตนและปกปิด แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ละเมิด(ตรงคำว่าบรรดาผู้ที่ละเมิด นักตัฟซีรกุรอ่านให้คำอธิบายว่า  แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ละเมิดในการขอดุอา ด้วยการขอโดยใช้เสียงดัง บางทีอาจจะบ่งบอกถึงความโอ้อวดได้ฯลฯ)ซูเราะห์อัลอะอ์รอฟ อายะห์ที่55 วันนี้เป็นวันศุกร์มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่พระผู้เป็นเจ้า ตอบรับการขอดุอาที่สำคัญอยู่ในเดือนร่อมะดอนอีกด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 06, 2011, 08:33 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
      ค่ำคืนในร่อมะดอนนั้นถือว่ามีภาคผลบุญ  ที่กำลังรอคอยเราท่านทั้งหลายอยู่อย่างมากมายตลอดทั้งเดือน  แต่ในบรรดาค่ำคืนเหล่านั้นมีอยู่ค่ำคืนหนึ่งที่มีภาคผลบุญมหาศาล ณฝ่ายพระผู้เป็นเจ้า  หวังใจว่าเราท่านทั้งหลายคงจะพบค่ำคืนนั้นถ้วนหน้ากัน  ขอให้เราท่านทั้งหลายหมั่นทำอะม้านอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้ากันอย่างมากๆ  โลกนี้วันนี้เราท่านทั้งหลายยังไม่เห็นนั่นคือเรื่องธรรมดา  แต่โลกหน้าอาคิเราะห์คุณความดีเหล่านั้นที่เราท่านทั้งหลายสะสมกันเอาไว้  พระผู้เป็นเจ้าจะนำมาให้เห็นแหละตอบแทนในทางที่ดีอย่างแน่นอน
     เล่าจากท่านหญิงอาอิซะห์(ร.ด.)ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จะเอียะติกาฟในสิบคืนสุดท้ายของเดือนร่อมะดอน  และท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงเฝ้าคอยคืนแห่งเกียรติยศ(ลัยละตุ้ลกอดร)ในสิบคืนสุดท้ายของเดือนร่อมะดอน  รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
     เล่าจากท่านหญิงอาอิซะห์(ร.ด.)ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่าท่านทั้งหลายจงเฝ้าคอยคืนแห่งเกียรติยศ(ลัยละตุ้ลกอดร)ในคืนที่เป็นเลขคี่ของสิบคืนสุดท้ายของเดือนร่อมะดอน  รายงานโดยบุคอรี
     เนื่องจากศาสนาอิสลามเรานับกลางคืนก่อนกลางวัน  ดังนั้นวันเสาร์ที่20ส.ค.นี้ค่ำลงเป็นคืนที่21ร่อมะดอน  วันจันทร์ที่22ส.ค.นี้ค่ำลงเป็นคืนที่23ร่อมะดอน  วันพุธที่24ส.ค.นี้ค่ำลงเป็นคืนที่25ร่อมะดอน  วันศุกร์ที่26ส.ค.นี้ค่ำลงเป็นคืนที่27ร่อมะดอน  วันอาทิตย์ที่28ส.ค.นี้ค่ำลงเป็นคืนที่29ร่อมะดอน
วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   ดังนั้นวันจันทร์ที่29สิงหาคมพ.ศ.2554ตรงกับวันที่29ร่อมาดอน ฮ.ศ.1432  (สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันจันทร์ที่29สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา10.04.06วินาที)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่29สิงหาคมพ.ศ.  2554  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่1เซาวั้ล ฮ.ศ.1432   วันที่เราท่านทั้งหลายรู้กันในนามว่าวันอีดอีดิ้ลฟิตรี่ (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย  ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว  แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล  แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว
โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์)     วันจันทร์ที่29สิงหาคมพ.ศ.2554       กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.32.30วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.54วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว0นาที24วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน     ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  แหละมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามอย่างมากๆๆๆ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.29.45วินาที ดวงจันทร์ตก18.30.31วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว46วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน     ยะลา ดวงอาทิตย์ตก18.25.15วินาที  ดวงจันทร์ตก18.29.10วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว3นาที54วินาที   จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน     หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.27.26วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.06วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว3นาที40วินาที  จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน     กาญจนบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.35.50วินาที  ดวงจันทร์ตก18.36.14วินาที  มีเวลาสงเกตจันทร์เสี้ยว0นาที24วินาที   ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน     ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.23.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.27.35วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว3นาที42วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน     อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.15.24วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.14.30วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว0นาที54วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน  ทุกๆ เดือนนั้น  ตามหลักการศาสนาอิสลาม  ให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.)  ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ  ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล)  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว  ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว  ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน  และวันถัดต่อจากนั้นไป  ถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษ  ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้) (( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย  จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว  และจงละศีลอด  เมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด)  ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน  (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว)  ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบาน  ให้ครบสามสิบวันเถิด  (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)  ตามฮาดีษดังกล่าว  จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า  ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน  ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น  ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบัง  ทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้  ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน  จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน  ท่านไม่ได้บอกว่า  ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล  และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกล  เห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น  นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า  เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน  เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์  ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด  วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน)  และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส  ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชาม  และได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย  ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน  โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น  ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์  หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน  แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า  พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด  ฉันก็ตอบว่า  พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์  อิบนิอับบัสถามย้ำว่า  ท่านเห็นมันเองหรือ  ฉันตอบว่าถูกแล้ว  และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย  โดยพวกเขาได้ถือศีลอด  และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด  อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า  แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์  ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน  หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์  ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า  ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์  และการถือศีลอดของเขา  อิบนิอับบัสตอบว่า  ไม่  แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา  (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้   
     ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม  วันจันทร์ที่29สิงหาคม พ.ศ.  2554  หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย  จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวบอกได้เลยว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
     สรุปว่าผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม  เท่ากับว่าเดือนร่อมะดอนปีนี้มี30วัน  แหละวันที่1เซาวั้ล ฮ.ศ.1432(วันอีดอีดิ้ลฟิตรี่)  จะตรงกับวันพุธที่31สิงหาคมพ.ศ.2554  ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี   วันนี้ช่วงนี้อยู่ในเดือนร่อมะดอน  เราทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง 
**   เล่าจากท่านซะฮ์ลิน(ร.ด.) ว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ในสวนสวรรค์มีประตูหนึ่งชื่อว่าอัรรอยยาน  ในวันกิยามัตผู้ถือศิลอดเท่านั้นจะได้เข้าไป  คนอื่นไม่มีสิทธิ(คนที่ไม่ถือศิลอด)  ซึ่งประตูดังกล่าวจะกล่าวว่า  คนใหนถือศิลอดยืนขึ้น  คนอื่นไม่เกี่ยว  ดังนั้นเมื่อผู้ที่ถือศิลอดเข้าไปแล้วประตูนี้ก็จะถูกปิดลง  คนอื่นจะเข้าไปไม่ได้เลย รายงานโดยบุคอรี
     วันนี้วันศุกร์ที่19สิงหาคมพ.ศ.2554  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)  สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.43.39 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.06.01วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.22.26 วินาที  อัสริเวลา15.29.35วินาที  มักริบเวลา 18.38.42วินาที  อีซาเวลา19.52.12วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.33.02วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.57.20วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.19วินาที  อัสริเวลา15.47.10วินาที  มักริบเวลา18.51.02วินาที  อีซาเวลา20.05.51 วินาที  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ  สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.27.58วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.53.39วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.25.16วินาที  อัสริเวลา15.53.15วินาที  มักริบเวลา18.56.32วินาที  อีซาเวลา20.12.22วินาที    พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 24, 2014, 10:38 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

 

GoogleTagged