เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์
hiddenmin:
ถ้าจัดย่อหน้า เว้นวรรค ขึ้นบันทัดใหม่ ให้ดีจะอ่านง่ายขึ้นมากเลย
บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته ท่านพี่น้องที่มีความหวังในพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ร่อมะดอนเดือนอันมีเกียตริ ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้ากำลังมาสู่เราท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราท่านทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ศรัทธาเป็นผู้ยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของเดือนร่อมะดอน ผมเชื่ออย่างยิ่งว่าเราท่านทั้งหลายคงมีความรู้สึกยินดีและดีใจ ที่เราท่านทั้งหลายได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำคุณความดี เพื่อสนองในพระบัญชาใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งการถือศิลอดในเดือนร่อมะดอนนี้ไม่เพียงเฉพาะผู้ศรัทธาที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ผู้ศรัทธาที่อาศัยอยู่ทั่วทุกมุมของโลกใบนี้ต่างก็มีความรู้สึกยินดีและดีใจ ในการมาเยือนของเดือนร่อมะดอนอันมีเกียตรินี้เช่นกัน พี่น้องครับถ้าจะถามว่าเราท่านทั้งหลายถือศิลอดกันได้อย่างไร ถือศิลอดเพราะไม่หิวอย่างนั้นหรือ ถือศิอดเพราะทำตามกระแสที่คนทั่วไปเขาถือกันอย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือคงไม่ใช่ แต่ที่เราท่านทั้งหลายถือศิลอดกันได้ก็เพราะว่าเราท่านทั้งหลายมีศรัทธา มีอีหม่านมีการยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ที่สำคัญอย่างยิ่งผลดีนานับประการ สิ่งดีๆอย่างมากมายในสรวงสวรรค์ ยังคงรอเราท่านทั้งหลายอยู่ในโลกหน้าอาคิเราะห์อย่างแน่นอน พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การถือศีลอดนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกท่านแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ถูกกำหนดแก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกท่านมาแล้วเพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรง(ในการล่วงล้ำเข้าไปทำในสิ่งที่ไม่ดี) ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์ อายะห์ที่ 183
การถือศิลอดในเดือนร่อมะดอนได้ถูกกำหนดขึ้นให้ปฏิบัติ ในปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 2 เดือนซะบาน พี่น้องครับพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าโอ้บรรดาผู้ศรัทธา ตรงนี้เองถ้าจะพูดตามหลักนะฮูเรียกว่าประกอบด้วยฮุรุฟนิดาอ์แหละมุนาดา จุดประสงค์หลักก็คือพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกบรรดาผู้ศรัทธา เพื่อที่จะสั่งใช้ให้ทำความดีงามอะไรบางอย่าง ให้บรรดาผู้ศรัทธามีความสนใจในการทำความดี ความดีงามอันนี้ก็คือการถือศิลอดในเดือนร่อมะดอนนั่นเอง ซึ่งความดีงามอันนี้ทำได้ยากมากสำหรับผู้ที่ในหัวใจของเขาไม่มีการศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า เพราะต้องมีการตั้งใจต้องอดน้ำอดข้าวอดกลั้นการกระทำต่างๆ ที่ทำให้การถือศิลอดมีผลใช้ไม่ได้ เริ่มตั้งแต่แสงอรุณจริงขึ้น(ซุบฮิ)กระทั่งดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า(มัฆริบ) สิ่งที่มักจะได้ยินอยู่เป็นประจำก็คืออดกันทั้งวัน กินน้ำก็ไม่ได้ กินข้าวก็ไม่ได้ กินอะไรไม่ได้เลยก็หิวมากนะซิ แต่สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาแหละมีความหวังในพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ได้เกิดขึ้นตอนนี้ถ้าจะแบ่งก็จะแบ่งได้2ประการก็คือ 1.ความรู้สึกดีๆความรู้สึกอยากทำความดี(อยากถือศิลออดอยากอ่านกุรอ่านฯลฯ) เพื่อสนองพระบัญชาใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้าก็จะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ศรัทธาอย่างแน่นอน ประการที่2ก็คือ รัศมีแห่งความศรัทธาก็จะส่องแสงสว่างไสวอยู่ในหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธา เปี่ยมล้นอยู่ในใจของผู้ศรัทธาเตรียมพร้อมที่จะทำความดีเพื่อสนองพระบัญชาใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้า พี่น้องครับถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลายสังเกตุให้ดีพระผู้เป็นเจ้าเรียกบ่าวที่ถูกสร้าง พระองค์จะใช้คำว่ายานำหน้าเสมอยกตัวอย่างเช่นยามุฮัมมัดโอ้มุฮัมมัด ส่วนในต้นอายะห์ที่183ของซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์ที่กล่าวมานั้น พระองค์ใช้คำว่ายาอัยยุฮัลละรีนะอามะนู เพราะคำว่าอัลละรี มีอลิฟลามอยู่ข้างหน้าตามหลักนะฮูเรียกว่าเป็นมุรักกัรจึงต้องเพิ่มอัยยุฮาหลังจากยา จึงเป็นคำว่ายาอัยยุฮัลละรีนะอามะนู ในส่วนของเราท่านทั้งหลายซึ่งอยู่ในฐานะบ่าวที่ถูกสร้าง ถ้าจะเรียกหรือวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างจะไม่ใช้คำว่ายาอัลลอฮ์ตรงๆ ให้ลบยาออกแล้วเพิ่มมีมที่มีเครื่องหมายซัดดะห์เข้าไปแทนหลังจากคำว่าอัลลอฮ์ ดังนั้นถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลายในฐานะบ่าวผู้ถูกสร้าง จะวอนขอเรียกพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างจะใช้คำว่าอัลลอฮุมมะแทนคำว่ายาอัลลอฮุ ซึ่งเราท่านทั้งหลายจะพบคำว่าอัลลอฮุมมะอยู่เป็นประจำในตอนเริ่มต้นของดุอาภาษาอะหรับ คำว่าอัลลอฮุมมะนี้นั้นเรียกว่ามุนาดามุรอกคอมอัสลุฮูยาอัลลอฮุ
เล่าจากท่านอิบนุอุมัร(ร.ด.)เมื่อท่านนบี(ซ.ล.)ละศิลอดท่านกล่าวขอพรว่า อัลลอฮุมมะละกะซุมตุ วะอะลาริสกิก้า อัฟตอรตุ(โอ้พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าถือศิลอดเพื่อพระองค์และข้าพเจ้าละศิลอดด้วยริสกีของพระองค์) รายงานโดยอะบูดาวูดและต๊อบรอนี
คำว่ากู่ติบะ นักอธิบายอัลกุรอ่านขยายความว่าฟู่ริด้อ แปลว่าถูกให้เป็นฟัรดู คำว่ากะมากู่ติบะตามหลักบาลาเฆาะห์เรียกว่า อัตตัซบีห์ฟิ้ลฟะรีเดาะห์ ลาฟิ้ลกัยฟิยะติวัสสะวาบ คือนบีองค์ก่อนก็ต้องถือศิลอดเหมือนกันพระผู้เป็นได้มีฟัรดูใช้เหมือนกัน แต่รูปแบบแหละภาคผลบุญที่จะได้รับจากพระผู้เป็นเจ้านั้นแตกต่างกับในยุคสมัยของเรา(ของนบีมุฮัมมัด ซ.ล.)อย่างมาก
คำว่าอัซซิยามตามหลักนะฮูเรียกว่านาอิบุ้ลฟาแอ้ล จึงแปลว่าโอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย การถือศีลอด(ในเดือนร่อมาดอน)นั้นได้ถูกเป็นฟัรดูแก่พวกท่านแล้ว แหละอีกประการหนึ่งคำว่าอัซซิยามกับคำว่าอัซเซามุแปลว่าการถือศิลอดเหมือนกัน แต่มีอายะห์หนึ่งที่มีระบุไว้ในซูเราะห์มัรยัม อายะห์ที่ 26 ตรงนั้นไม่ได้แปลว่าการถือศิลอดแต่แปลว่างดเว้นจากการพูด คือพระผู้เป็นเจ้าสั่งให้พระนางมัรยัมอย่าพูดอะไรทั้งสิ้น(หลังจากที่พระนางมัรยัมคลอดนบีอีซาเสร็จเรียบร้อยแล้วแหละได้อุ้มนบีอีซาเข้ามาที่กลุ่มชนของนาง)
คำว่าละอัลละกุมตัตตะกูน เพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรง(ในการล่วงล้ำเข้าไปทำในสิ่งที่ไม่ดี) ดังนั้นจุดประสงค์แหละผลดีอีกอย่างของการถือศิลอดก็คือ สามารถยับยั้งไม่ให้เราท่านทั้งหลายล่วงล้ำเข้าไปทำในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามเอาไว้ได้ มารร้ายที่ถูกสาปแช่งจากพระผู้เป็นเจ้าก็จะหลอกลวงได้ยากมากยิ่งขึ้น เพราะว่าคนเราเวลาหิวเวลากระหายก็จะไม่ค่อยมีแรงร่างกายอ่อนเพลีย อยากจะนอนพัก(ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า การนอนของผู้ที่ถือศิลอดถือว่าเป็นอิบาดะห์ด้วยคือนอนก็ยังได้รับภาคผลบุญ ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย) แรงที่จะไปทำไม่ดีต่างๆก็จะไม่มีโดยอัตโนมัต
เล่าจากอับดิ้ลลาฮ์อิบนิมัสอูด(ร.ด.) พวกเราเป็นคนหนุ่มอยู่กับท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ซ.ล.)และพวกเราก็ไม่มีทรัพย์สินอะไร ท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ซ.ล.)ได้กล่าวกับพวกเราว่า พวกคนหนุ่มทั้งหลายเฉพาะผู้ที่มีความสามารถด้านค่าใช้จ่ายให้เขาจงแต่งงานเถิด เพราะการแต่งงานทำให้สายตาลดต่ำลงและรักษาอวัยวะสืบพันธ์ได้ดียิ่ง และผู้ที่ไม่มีความสามารถ(แต่งงาน)ให้เขาถือศิลอดเถิดเพราะการถือศิลอด(สามารถ)ตัดความต้องการทางเพศของเขาลงได้ รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
การถือศีลอด(ในเดือนร่อมาดอน)นั้นได้ถูกเป็นฟัรดูนั่นก็หมายความว่าทำแล้วได้ภาคผลบุลจากพระผู้เป็นเจ้า แต่ถ้าละเลยไม่ทำไม่ใส่ใจก็จะเกิดโทษอย่างแน่นอนด้วยคำดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าที่ว่าเดือนรอมฏอนนั้น เป็นเดือนที่อัลกรุอานได้ถูกประทานลงมาเป็นข้อแนะนำสำหรับมวลมนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ดังนั้นผู้ใดในหมูพวกท่านเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้วก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น และผู้ใดป่วยหรืออยู่ในการเดินทางก็จงถือใช้ในวันอื่นแทน พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกท่าน และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกท่านและเพื่อที่พวกท่านจะได้ให้ครบถ้วนซึ่งจำนวนวัน(ของเดือนร่อมะดอน) และเพื่อพวกท่านจะได้ให้ความเกรียงไกรแด่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ในสิ่งที่พระองค์ทรงแนะนำแก่พวกท่าน และเพื่อพวกท่านจะขอบคุณ ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์ อายะห์ที่ 185
การถือศิลอดในปีนี้ใกล้จะเริ่มต้นแล้วให้เดือนร่อมะดอนเป็นจุดเริ่มต้นในการทำคุณความดีแขนงต่างๆต่อพระผู้เป็นเจ้า ถือศิลอด งดเว้นคำพูดที่ไร้สาระ ทำจิตใจให้บริสุทธ์ อ่านกุรอ่าน ริกรุลลอฮ์ บริจาคทาน ละหมาดสุนัตต่างๆในยามค่ำคืน ทบทวนวิชาทางศาสนาต่างๆที่ร่ำเรียนมา ตั้งเจตนาหยุดพักในมัสยิดเพื่อทำคุณความดีชนิดต่างๆเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ให้เดือนร่อมะดอนเป็นจุดเริ่มต้น เป็นต้นแบบในการทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในเดือนอื่นๆอีกต่อไป ผลดีแหละภาคผลบุญไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ใดเลย นอกจากจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ปฏิบัตินั่นเอง ทั้งในโลกดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์ สิ่งที่ดีๆนานับประการ สิ่งที่ตาไม่เคยเห็นหูไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งใจก็ยังคิดไม่ถึง สิ่งต่างๆเหล่านี้แหละกำลังรอเราท่านทั้งหลายอยู่ในสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าในโลกหน้าอาคิเราะห์
ทางสำนักจุฬาราชมนตรี ประกาศให้วันอาทิตย์ที่ 3 ก.ค.พ.ศ.2554 เป็นวันที่1ซะบาน ฮ.ศ.1432 ตามกฏทางดาราศาสตร์อิสลามบอกว่า วันที่ 1 วันที่15 วันที่ 29ของเดือนอิสลามนั้น จะต้องเป็นวันเดียวกันเสมอไป (กล่าวคือดังนั้นวันที่1ซะบานปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ วันที่15ซะบานปีนี้ก็ต้องตรงกับวันอาทิตย์ วันที่29ซะบานปีนี้ก็ต้องตรงกับวันอาทิตย์เช่นเดียวกัน เนื่องจากว่าตามหลักของศาสนาอิสลามแล้ว ให้เริ่มต้นวันใหม่เมื่อตะวันเริ่มตกลับขอบฟ้า กลางคืนมาก่อนกลางวัน ดังนั้นวันที่15ซะบานปีนี้ที่เรารู้กันในนาม คืนนิชฟูซะบานปีนี้ จึงตรงกับหลังเข้ามัฆริบของวันเสาร์ที่16ก.ค.พ.ศ.2554)
เนื่องจากทางสำนักจุฬาราชมนตรี ประกาศให้วันอาทิตย์ที่ 3ก.ค.พ.ศ.2554เป็นวันที่1ซะบานฮ.ศ.1432 ดังนั้นวันที่ 29 ซะบานปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 31ก.ค.2554 หลังจากเข้าเวลามัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 31ก.ค.2554 จะต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1รอมะดอน ฮ.ศ.1432
วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม วันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ.2554ตรงกับวันที่29ซะบาน ฮ.ศ.1432 (สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา01.39.49.วินาที) ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 31กรกฎาคม พ.ศ. 2554จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่1รอมะดอน ฮ.ศ.1432 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว
โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์) วันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ.2554 กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.47.20วินาที ดวงจันทร์ตก19.09.36วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว22นาที15วินาที จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดฝนไม่ตก ก็อาจจะเห็นได้) ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ แหละมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามอย่างมากๆ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.43.57วินาที ดวงจันทร์ตก19.06.37วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว22นาที40วินาที จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดก็อาจจะเห็นได้) ยะลา ดวงอาทิตย์ตก18.34.56วินาที ดวงจันทร์ตก19.00.57วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว26นาที01วินาที จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดก็อาจจะเห็นได้) หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.37.33วินาที ดวงจันทร์ตก19.03.18วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว25นาที45วินาที จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด ก็อาจจะเห็นได้) กาญจนบุรีดวงอาทิตย์ตก18.50.49วินาที ดวงจันทร์ตก19.13.04วินาที มีเวลาสงเกตจันทร์เสี้ยว22นาที15วินาที จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด ก็อาจจะเห็นได้) ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.34.48วินาที ดวงจันทร์ตก19.00.34วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว25นาที46วินาที จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่า ช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด ก็อาจจะเห็นได้) อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก18.31.15วินาที ดวงจันทร์ตก 18.52.09วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว20นาที54วินาที จะต้องดูด้วยกล้องเท่านั้น (ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดก็อาจจะเห็นได้)
การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลาม ให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับ ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไป ถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษ ของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้) (( صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا ))
رواه البخاري (1810) ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอด เมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบาน ให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080) ตามฮาดีษดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน ซึ่งเป็นวันที่ต้องดูดวงจันทร์นั้น ถึงแม้มีดวงจันทร์อยู่แต่มีเมฆบัง ทำให้ไม่สามารถจะเห็นดวงจันทร์ได้ ท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ใช้ให้นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเสียก่อน จึงจะไปเริ่มวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ท่านไม่ได้บอกว่า ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกล เห็นดวงจันทร์ให้ถือตามประเทศนั้น นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชาม และได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์ ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม** ทั้งนี้ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่หนึ่งของเดือนอื่นๆ ก็ใช้หลักการเช่นเดียวกันนี้
ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอาทิตย์ที่ 31กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ทางภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวบอกได้เลยว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยว ส่วนภูมิภาคอื่นทั่วประเทศต้องใช้กล้องดูเท่านั้น จึงอาจจะเห็นจันทร์เสี้ยวได้(ถ้าหากว่าช่วงนั้นท้องฟ้าเปิด ฝนไม่มาฟ้าไม่มืดฝนไม่ตก)
สรุปว่าถ้าหากว่าหลังเข้าเวลามัฆริบ ของวันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ. 2554 มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยวเท่ากับว่าเดือนซะบานปีนี้มี29วัน แหละวันที่1รอมะดอน ฮ.ศ.1432 จะตรงกับวันจันทร์ที่1สิงหาคมพ.ศ.2554 แต่ถ้าหากว่าวันอาทิตย์ที่31กรกฎาคม พ.ศ.2554ไม่มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยว เท่ากับว่าเดือนซะบานปีนี้มี30วัน แหละวันที่1รอมะดอน ฮ.ศ.1432จะตรงกับวันอังคารที่2สิงหาคมพ.ศ.2554 ให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี วันนี้เราทำความดีเพื่อพระองค์หรือยัง และเราได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าหรือยัง ละหมาดแล้วหรือยัง ทำอะม้าน อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง ** วันนี้วันศุกร์ที่29กรกฎาคมพ.ศ.2554 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง) สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.28.48 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.57.06วินาที ดุฮ์ริเวลา12.24.00 วินาที อัสริเวลา15.47.56วินาที มักริบเวลา 18.50.49วินาที อีซาเวลา20.09.32วินาที เวลาปฏิบัติศาสนกิจ สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา04.21.10วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.49.41วินาที ดุฮ์ริเวลา12.27.06วินาที อัสริเวลา15.44.48วินาที มักริบเวลา19.04.18วินาที อีซาเวลา20.22.43 วินาที เวลาปฏิบัติศาสนกิจ สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา04.13.53วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.44.18วินาที ดุฮ์ริเวลา12.28.03วินาที อัสริเวลา15.53.03วินาที มักริบเวลา19.11.31วินาที อีซาเวลา20.31.22วินาที พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
Al Fatoni:
ผมช่วยปรับ-เรียบเรียงให้ดูเป็นระเบียบและอ่านง่ายขึ้นแล้วนะครับ แต่ยังไม่ทั้งหมด ไว้จะมาทำเรื่อยๆ จนหมดละกันนะ ส่วนเนื้อหานั้น ผมไม่ได้ไปยุ่งอะไรทั้งสิ้น เพียงจับเลื่อนลงมาเป็นวรรคใหม่เท่านั้นเอง - วัสสลามุอลัยกุม
บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยากจะให้ท่านเห็นความสำคัญเรื่องราวของศาสนา การอ่านกุรอ่านการริกรุลลอฮ์ การบริจาคทานแหละเรื่องราวของการทำอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้า มากยิ่งกว่าการเว้นวรรคการย่อหน้าการขึ้นบรรทัดใหม่ เพราะการเว้นวรรคการย่อหน้าการขึ้นบรรทัดใหม่สิ่งต่างๆเหล่านี้ ไม่สามารถนำพาเราท่านทั้งหลายไปสู่สรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ ยิ่งกว่านั้นบางทีอาจเป็นช่องทางของซัยตอนมารร้าย ทำให้ลืมเรื่องราวของศาสนา ลืมการอ่านกุรอ่านลืมการริกรุลลอฮ์ ลืมการบริจาคทานแหละลืมการทำอิบาดะห์ชนิดต่างๆต่อพระผู้เป็นเจ้าได้ พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด และจงอยู่อยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่สัจจริง(พูดความจริง)ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่119
จากอิบนิมัสอูด(ร.ด.)จากท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า แท้จริงความสัจจริงจะนำไปสู่ความดี และความดีนำพาไปสู่สรวงสวรรค์ แท้จริงมีผู้รักษาความสัจจริงจนได้รับการบันทึก ณพระองค์อัลลอฮ์ว่า เป็นผู้ที่มีความสัจจริง และแท้จริงการโกหกจะนำไปสู่ความชั่ว และความชั่วจะนำไปสู่ไฟนรก แท้จริงมีผู้โกหกเป็นประจำจนเขาถูกบันทึกไว้ ณพระองค์อัลลอฮ์ว่า เป็นจอมโกหก รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
Bangmud:
:salam:
--- อ้างถึง ---เวลาปฏิบัติศาสนกิจ สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา04.21.10วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.49.41วินาที ดุฮ์ริเวลา12.27.06วินาที อัสริเวลา15.44.48วินาที มักริบเวลา19.04.18วินาที อีซาเวลา20.22.43 วินาที เวลาปฏิบัติศาสนกิจ สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา04.13.53วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.44.18วินาที ดุฮ์ริเวลา12.28.03วินาที อัสริเวลา15.53.03วินาที มักริบเวลา19.11.31วินาที อีซาเวลา20.31.22วินาที
--- End quote ---
ผมไม่รู้ว่าที่ซาอุฯเขาคำนวณเวลาละหมาดด้วยสูตรเดียวกันหรือเปล่า ตอนที่ผมไปหัจญ์ นักศึกษาม.มะดีนะฮฺชี้ให้ดูว่า ปฏิทินฮิจญริของซาอุนั้น เวลาอิชาอ์จะมีค่าเท่ากับเวลามัฆริบ + 1 ชม. 30 นาที เสมอ เช่น มัฆริบ 18.30 น. อิชาอ์จะเท่ากับ 20.00 น.พอดี มีสมาชิกในเวปนี้ท่านหนึ่งอยู่ซาอุ อยากให้ตรวจสอบดูว่า เป็นอย่างนี้จริง ๆ หรือเปล่า เพราะผมยืนยันว่า ช่วงที่ผมไปทำหัจญ์ครั้งสุดท้ายเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นอย่างที่บอกจริง ๆ
วัสสลาม
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version