السلام عليكم ورحمة الله
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ได้กล่าวว่า ลูกหลานอาดัม ได้กล่าวหาว่าเราโกหก โดยเขาไม่มีสิทธิเช่นนั้นเลย และเขาได้ด่าเรา โดยเขาไม่มีสิทธิเช่นนั้นเลย ที่เขากล่าวหาว่าเราโกหกคือ การที่เขากล่าวว่า เราไม่สามารถฟื้นคืนเขาขึ้นมาใหม่ได้อีก เหมือนที่เราสร้างเขาในตอนต้น ส่วนที่เขาด่าเราก็คือ การที่เขากล่าวว่า อัลเลาะฮ์มีบุตร ทั้งๆที่เราเป็นที่พึ่ง ซึ่งไม่ให้กำเนิดบุตร และไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมเรา รายงานโดยบุคอรี
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
การมีอีหม่าน การมีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่สิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แหละสิ่งนี้เอง จะเป็นสิ่งที่นำพาเราท่านทั้งหลาย ในฐานะบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ไปสู่ความผาสุก นำไปรับสรวงสวรรค์ นำพาเราท่านทั้งหลายสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ในโลกหน้าอาคิเราะห์ได้อย่างแน่นอน
กิบลัตนั้น ก็คืออัยนุ้ลกะบะห์ มิใช่ยิฮะตุ้ลกะบะห์ ตรงนี้ต้องดูหนังสือให้มากนะครับ สำหรับผู้รู้ที่สังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์
กิบลัตนั้นก็คือจุดๆหนึ่ง หรือสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ผู้คนทั่วทุกมุมโลก จำเป็นต้องผินเข้าหา ในขณะปฏิบัติศาสนกิจ ในขณะละหมาด เพราะว่าการผินเข้าหากิบลัตนั้น ถือว่าเป็นซารัต เป็นกฏเกณฑ์ เป็นกฏระเบียบข้อหนึ่ง ที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ เพื่อให้การละหมาดของเราท่านทั้งหลาย มีผลใช้ได้ เป็นการละหมาดที่ไม่สูญเปล่า แหละเป็นการละหมาด ที่ถูกตอบรับจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ที่เรียกว่ากิบลัต ก็เพราะว่าทุกๆคนทั่วทุกมุมโลก ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ จะต้องผินเข้าหาในขณะเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า โดยมาในรูปแบบ ของการทำละหมาด ที่เรียกว่ากะบะห์ ก็เพราะว่ารูปทรงเป็นจุดเด่น สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม แต่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมจตุรัส สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่เรียกว่าบัยตุ้ลลอฮ์ ก็เพราะว่าทุกๆปีจะมีผู้คนแวะเวียนไปที่บัยตุ้ลลอฮ์อยู่ตลอดเวลา
ขอย้ำครับว่า สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นแนวคิด เป็นแนวปฏิบัติ ของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ และเป็นแนวปฏิบัติของ ทุกๆคนที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ ทุกๆมัสยิดที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ ) เหตุที่ผมต้องนำเรื่องกิบลัตมากล่าวใหม่อีกก็เพราะ หลายครั้งหลายหน ที่ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้รู้ในบ้านเราเมืองเราหลายๆท่าน ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ แต่การพูดคุยกลับได้ความคิดเห็นแบบ ยิฮะตุ้ลกะบะห์ มิใช่อัยนุ้ลกะบะห์
หรือจะพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือ การผินสู่กิบลัตแบบอัยนุ้ลกะบะห์นั้นก็คือ การผินสู่กิบลัตแบบละเอียด ส่วนการผินสู่กิบลัตแบบยิฮะตุ้ลกะบะห์นั้นก็คือ การผินสู่กิบลัตแบบหยาบๆ
เรื่องกิบลัตนี้ผมชื่นชมท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ เรียกว่าท่านปฏิบัติแบบละเอียดที่สุดเท่าที่มีความสามารถ มิใช่ปฏิบัติแบบหยาบๆๆๆ เป็นตัวอย่างที่ดีในการเป็นนักพัฒนา สมัยท่านท่านบอกให้ดูดวงอาทิตย์ ดูภูเขา ดูดวงดาวเพื่อกำหนดตำแหน่งที่วิหารกะบะห์ได้ตั้งอยู่ ท่านไม่ได้บอกให้เพียงแค่ผินไปสู่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่เท่านั้น)
นักวิชาการระดับมัซฮับ จึงมีความคิดที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับการผินหน้าอกไปทางกิบลัตในขณะละหมาด
ดังนั้นมัซฮับซาฟิอี ซึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยึดตามมัซฮับนี้ ถือว่าจะต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เลยเท่าที่มีความสามารถที่สุด พูดง่ายๆก็คือถ้ารู้แน่ชัดว่ายังหันไม่ตรงกะบะห์ ที่ผ่านมาการละหมาดถือว่าใช้ได้เพราะทำสุดความสามารถแล้ว แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกต้อง การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้อีกแล้ว หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถดูได้ที่หนังสืออั้ลอุม(ของท่านอิหม่ามซาฟิอีเล่มที่1หน้า114) และหนังสือฟิกห์4มัซฮับเล่มที่1หน้า178)(บางทีหนังสืออาจพิมพ์ต่างวาระกัน เล่มแหละหน้าอาจไม่เหมือนที่กล่าวมานี้ แต่ให้เข้าไปดูในบทที่ว่าด้วยเรื่องการผินสู่ทิศกิบลัตก็จะพบอย่างแน่นอน)
ยิ่งถ้าเป็นนักดาราศาสตร์อิสลามแล้ว แต่ถ้ายังไม่ให้ความสำคัญในการผินสู่ทิศกิบลัตให้ตรงตามองศาที่สถานที่ตัวเองตั้งอยู่แล้ว คำตอบณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าก็คือความรู้ไม่นำพาสู่การปฏิบัติ เพราะว่าคำนวณได้ รู้ แต่ทำไมจิตใจจึงผินไปสู่ทิศกิบลัตกะบะห์ตามองศาให้ตรงไม่ได้
เพราะการศึกษาดาราศาสตร์อิสลามนั้น เพื่อที่จะแยกแยะให้รู้ถึงสิ่งที่ละเอียด เรียกว่าพัฒนาจากสิ่งที่หยาบๆๆๆสู่สิ่งที่ละเอียดๆๆๆ(ยิ่งสมัยนี้แลต ลองของสถานที่ที่เราท่านทั้งหลายตั้งอยู่นั้น ได้ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานสากลตั้งนานมาแล้ว แลต ลองของกะบะห์ก็ได้ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานสากลตั้งนานมาแล้ว ใช้เวลาเพียงแค่ครู่เดียวก็สามารถรู้ได้ว่ากะบะห์อยู่ตรงไหน แต่ปัญหาใหญ่ที่พบอยู่เป็นประจำก็คือเมื่อรู้แล้วว่าแถวละหมาดไม่ตรงกับกะบะห์ ทำไมจึงไม่สามารถเปลี่ยนแถวละหมาดให้ตรงกับกะบะห์ได้ เป็นเพราะอะไรครับ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัยร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)มาแล้ว ก็เพราะว่าทุกยุคทุกสมัยมีบุคคลอยู่2จำพวกด้วยกัน 1.บรรดาบุคคลที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ได้ทรงแนะนำให้ได้รับทางนำ 2.บรรดาบุคคลที่ไม่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَإِنْ كَانَتْ لَكَبِيرَةً إِلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ
{وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ
และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(จะไม่ทำตามสำหรับผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ใจต่อพระผู้เป็นเจ้า) นอกจากบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น(ทำได้ง่ายมากถือว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับพวกเขาเพราะเขาเหล่านั้นบริสุทธิ์ใจต่อพระผู้เป็นเจ้า)ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143
คือถ้าเป็นคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆก็แล้วแต่ ทำตามได้ง่ายทั้งนั้น จะไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้นในจิตใจ นี่แหละคือลักษณะของบรรดาบุคคลที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า
คำว่า إِنْ ในอายะห์ที่กล่าวมานี้ตรงกับคำกลอนอันทรงคุณค่า อัลฟียะห์ ที่บอกว่า
وَالْفِعْلُ اِنْ لَمْ يَكُ نَاسِخًافَلاَ تُلْفِيْهِ غَالِبًابِاِنْ ذِيْ مُوْصََلاً
และฟิอิ้ลนั้นถ้าไม่ใช่ฟิอิ้ลนะวาซิคท่านก็จะไม่พบ(ว่าตกหลังจาก إِنْ) โดยมากแล้วฟิอิ้ลนะวาซิคจะถูกเชื่อมต่อกับ إِنْ ตัวนี้
จากคำกลอนตรงนี้ให้ดูตรงคำว่า غَالِبًا ดังนั้นจึงสรุปความได้ว่าฟิอิ้ลที่ตกหลังจาก إِنْ มุคอฟฟะฟะห์ส่วนใหญ่โดยมากแล้วต้องเป็นكانและพี่น้องของมันและظنّและพี่น้องของมัน(เพราะเป็นฟิอิ้ลนะวาซิค ยกเลิกการอ่านเดิมของมุบตะดาแหละค่อบัร) ส่วนฟิอิ้ลที่นอกจากนี้จะมีน้อยที่ตกหลังจากإِنْ มุคอฟฟะฟะห์ ดังนั้นในอายะห์กุรอ่านที่กล่าวมาแล้ว كَانَتْ ที่อยู่หลัง إِنْ จากผันมาจากكان ซึ่งอยู่ในรูปของเบอร์4
คำว่า لَكَبِيرَةًลามตัวนี้เรียกว่าลามฟาริเกาะห์ ต้องใส่เพิ่มเข้ามาเพื่อแยกบอกให้รู้ว่า إِنْ ตัวนี้เป็น إِنْ มุคอฟฟะฟะห์ มิใช่ إِنْ นาฟิยะห์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَلَئِنْ أَتَيْتَ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ بِكُلِّ آيَةٍ مَا تَبِعُوا قِبْلَتَكَ وَمَا أَنْتَ بِتَابِعٍ قِبْلَتَهُمْ وَمَا بَعْضُهُمْ بِتَابِعٍ قِبْلَةَ بَعْضٍ وَلَئِنِ اتَّبَعْتَ أَهْوَاءَهُمْ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ إِنَّكَ إِذًا لَمِنَ الظَّالِمِينَ
{وَلَئِنْ} لَام الْقَسَم {أَتَيْت الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَاب بِكُلِّ آيَة} عَلَى صِدْقك فِي أَمْر الْقِبْلَة {مَا تَبِعُوا} أَيْ لَا يَتْبَعُونَ {قِبْلَتك} عِنَادًا {وَمَا
أَنْت بِتَابِعٍ قِبْلَتهمْ} قَطْع لِطَمَعِهِ فِي إسْلَامهمْ وَطَمَعهمْ فِي عَوْده إلَيْهَا {وَمَا بَعْضهمْ بِتَابِعٍ قِبْلَة بَعْض} أَيْ الْيَهُود قِبْلَة النَّصَارَى وَبِالْعَكْسِ {وَلَئِنْ اتَّبَعْت أَهْوَاءَهُمْ} الَّتِي يَدْعُونَك إلَيْهَا {مِنْ بَعْد مَا جَاءَك مِنْ الْعِلْم} الْوَحْي {إنَّك إذًا} إنْ اتَّبَعْتهمْ فَرْضًا {لمن الظالمين}
และแน่นอน ถ้าหากท่านได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของท่าน และท่านก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากท่านไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังท่านแล้ว แน่นอนทันใดนั้น ท่านก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่145
การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม
ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 เวลา 14.20.05 วินาที (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556(ดวงจันทร์อยู่ทางด้าน แขนของกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ AQUARIUS กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง) ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 364194.34กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 370895.33 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.22.19 วินาที ดวงจันทร์ตก18.25.54 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 35 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 18.20.58 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.24.05วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 07 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.26.29 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.27.06 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.27.57 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.28.36 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.27.12 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.27.45 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 33 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.26.09 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.26.45 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 36วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.27.51 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.28.17 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 26 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.26.54 วินาที ดวงจันทร์ตก18.27.32 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก 18.25.56 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.26.33 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 37วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.29.02 วินาที ดวงจันทร์ตก18.29.59 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 57 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.25.09 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.28.53 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 44 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.26.47 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.27.33 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 47 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก17.02.31 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.05.52 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 21วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.22.19 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.25.54 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 35วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1434
แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
ดังนั้นวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน) และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน เขาเสียชีวิตไป ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
วันนี้วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 (อย่าลืมส่งให้ลูกเราเรียนศาสนาด้วยครับ เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราท่านทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
-สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.21.22 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.42.21 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.31.01 วินาที อัสริเวลา15.51.02 วินาที มักริบเวลา18.19.51 วินาที อีซาเวลา19.32.25 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.23.28 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.44.27 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.33.07 วินาที อัสริเวลา15.53.09 วินาที มักริบเวลา18.21.58.วินาที อีซาเวลา19.34.32 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา05.30.31 วินาที ตะวันขึ้นเวลา 06.53.58 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.34.53 วินาที อัสริเวลา15.50.31 วินาที มักริบเวลา18.16.04 วินาที อีซาเวลา19.30.49 วินาที
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา05.33.13 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.55.14 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.35.45 วินาที อัสริเวลา15.48.44 วินาที มักริบเวลา18.16.33 วินาที อีซาเวลา19.29.42 วินาที
พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา