ผู้เขียน หัวข้อ: ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์  (อ่าน 18137 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

อ้างถึง
•   วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.

หมายความว่า ในวันและเวลาที่อาจารย์ยกมา ผมยืนหันไปทางดวงอาทิตย์ แปลว่าผมกำลังหันไปทางกิบละฮฺ ถูกหรือไม่ครับ

ญะซากัลลอฮุ ค็อยรฺ

วัสสลาม

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
:salam:

อ้างถึง
•   วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.

หมายความว่า ในวันและเวลาที่อาจารย์ยกมา ผมยืนหันไปทางดวงอาทิตย์ แปลว่าผมกำลังหันไปทางกิบละฮฺ ถูกหรือไม่ครับ

ญะซากัลลอฮุ ค็อยรฺ

วัสสลาม
:salam:
      ดังนั้น ถ้าหากว่า บัยตุ้ลลอฮ์ กะบะห์  ได้ก่อสร้างตั้งฉากกับพื้นบริเวณรอบๆ  ตั้งฉากกับพื้นดิน  เงาของบัยตุ้ลลอฮ์ กะบะห์  จะเท่าตัวพอดี (จะไม่มีเงา  บัยตุ้ลลอฮ์ กะบะห์  ให้เห็นใดๆทั้งสิ้นเลย)   
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
“และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า” ซูเราะห์ อัลนูฮ์ อายะห์ที่ 16 
     ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "ซีรอจ" กับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)
     แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก   จนไม่สามารถมอง  ด้วยตาเปล่าได้
     ดังนั้นในเมื่อ  ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)   ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮับ  อิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
     วิธีการก็คือ  ถ้ามัสยิดใด  หรือบ้านของใครมีหน้าต่างทางทิศตะวันตก  ให้เปิดหน้าต่างออก  และหน้าต่าง  ด้านแนวตั้งของวงกบ ด้านใดก็ได้  ต้องสร้างได้ฉาก(ขอย้ำต้องได้ฉาก  ที่สำคัญกว่านั้นคือ  ห้ามมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด  ถ้าจะมองแดดนานๆ ควรใส่แว่นกันแดดด้วย)  ดังนั้นเงาที่ทอดลงมาให้เห็น  นั่นแหละครับคือแนวกิบลัตที่ถูกต้อง  ให้ขีดเส้นเอาไว้  สังเกตให้ดีเส้นนี้จะชี้ไปทางทิศตะวันตก
     กรณีถ้าอยู่ในบ้านเวลาละหมาดก็ให้นำผ้าซายะดะห์  ด้านข้างมาวาง  ให้ตรงกับเส้นนี้  แต่ถ้าเป็นกรณีของมัสยิด  เมื่อขีดเส้น  ที่ชี้ไปทางทิศตะวันตก  อย่างที่ว่ามาได้แล้ว  ให้นำไม้บรรทัดแบบฉาก  หรือไม้ทีก็ได้  มาวางทาบเส้นให้พอดี  แล้วขีดเส้นด้านล่างเพิ่มเข้าไป  สังเกตตอนนี้จะมีอยู่ 2เส้น 
     เส้นที่ 1 คือเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์
     เส้นที่ 2 คือ เส้นแนวนอนที่ตั้งฉาก  กับเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์   
     ดังนั้น เส้นที่ 2  นี้แหละคือเส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)ในมัสยิด     สำหรับมัสยิด  ที่ไม่มีหน้าต่าง  ทางด้านทิศตะวันตกเลย  การวัดเงาก็ต้องหาไม้หรือเสาก็ได้  หรืออะไรก็ได้ ตั้งขึ้นให้ได้ฉาก  ตรงบริเวณด้านข้างมัสยิด  แล้วรอเวลา 16.18 น.เพื่อขีดเส้นวัดเงา  ทำตามขั้นตอน  แล้วลากเส้นแนวนอนอย่างที่บอกมา  เข้ามาในมัสยิด  ก็จะได้เส้นแนวซอฟ (แถวละหมาด) เช่นกัน
     วิธีการวัดทิศกิบลัตดังกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  และทำได้อย่างสดวกสบายมาก  สำหรับผู้ที่ต้องการความถูกต้อง  ในการผินสู่ทิศกิบลัต  แต่สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลาม  ผู้เชี่ยวชาญ มีอีกหลายวิธี  ที่สามารถ  หาทิศกิบลัตได้  และหาได้ทุกๆวันเลย
     ส่วนในเรื่องของการคำนวนนั้น  มีขั้นมีตอน  ที่สลับซับซ้อนมาก  ขั้นแรกต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ก่อน  จากนั้นต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของบัยตุ้ลอฮ์  และต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของสถานที่  ที่จะหาทิศกิบลัต  จากนั้นก็จะมีค่า  SIN  COS  TAN  เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ดำเนินตามขั้นตอนของสูตร  ต่างๆนาๆอีกมากมาย ฯลฯ  ต่อจากนี้เป็นพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า  เกี่ยวกับเรื่องการผินสู่ทิศกิบลัต 
      พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
“บรรดาผู้โฉดเขลา  ในหมู่มวลมนุษย์นั้น  จะกล่าวว่า  อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขา หันออกไปจากกิบลัตของพวกเขา  ที่พวกเขาเคยผินไป  จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด)  ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้น  เป็นสิทธิของพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์  ให้ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง    และในทำนองเดียวกัน  เรา (พระองค์อัลลอฮ์) ได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง  เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย  และร่อซูลก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกเจ้า  และเรามิได้ให้มีขึ้น  ซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่า  ใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล  จากผู้ที่กำลังหันสันเท้าทั้งสองของเขากลับ  และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้นเป็นเรื่องใหญ่  นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น  และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธา  ของพวกเจ้าสูญไป  ก็หาไม่แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี  ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ   แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้า (โอ้มุฮัมมัด) แหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง  แน่นอนเราให้เจ้าผินไปยังทิศ  ที่เจ้าพึงใจ  ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้า  ไปทางมัสยิดิลฮะรอมเถิด" ตรงคำว่า  "เจ้าจงผินใบหน้าของเจ้า"  คำว่า "ใบหน้า"  นักอธิบายอัลกุรอ่านให้ความหมายว่า  "หน้าอก"  ตรงนี้ตามหลักบะลาเฆาะร์  เรียกว่า "มะยาร  มุรซั้ล  มิมบาบิอิตลากิ้ลยุร  วะอิรอดะติ้ลกุ้ล"  คือพระผู้เป็นเจ้า พูดแค่ใบหน้า  แต่ความหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่จะสั่งใช้  ก็คือทั้งหมดร่างกายเลย  ดังนั้น เมื่อละหมาดจำเป็นต้องผินหน้าอกไปทางกิบลัต  แค่ผินหน้าอกร่างกายทุกส่วน  ก็จะหันไปทางกิบลัตทั้งหมดเลย  โดยอัตโนมัต
     ดังนั้น ถ้าจะหันเพียงใบหน้าอย่างเดียวไปทางกิบลัต  การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้  แหละตรงคำว่าไปทางมัสยิดดิลฮารอม  ตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญในการอธิบายอัลกุรอ่าน  ให้ความหมายว่า "อัยนุลกะบะห์"  คือต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เท่านั้น  การละหมาดจึงจะใช้ได้  ซึ่งตรงกับแนวคิดของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  มิใช่ว่าผินไปตรงใหนก็ได้  ในทางทิศตะวันตก
    สำหรับประเทศไทย  การผินไปทางวิหารกะบะห์  ตรงนี้มีอยู่  4  ระดับด้วยกัน 
     ระดับสูงสุดคือ 1 รู้ได้ด้วยตัวเอง
     ระดับที่ 2 ผินตามคำบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้
     ระดับที่ 3 ผินโดยการวิเคราะห์
     ระดับที่ 4 ผินตามการวิเคราะห์ของผู้อื่น
     มีฮาดิสที่ยืนยันว่า  ให้ผินไปหาจุดตั้งวิหารกะบะห์เท่านั้น  ต้องผินให้ตรงวิหารกะบะห์  ตามความสามารถที่สูงสุดขณะนั้น  ไม่ใช่ว่า  ผินไปในทางที่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่
     เล่าจากท่านบ่ารออ์ (ร.ด.)  กล่าวว่า  "เราได้ละหมาดกับท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) โดยผินหน้าไปสู่บัยตุ้ลมักดิส (ณ กรุงเยรูซาเล็ม)  เป็นเวลา 16 หรือ 17 เดือนหลังจากนั้นเขาท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)  ให้เราผินไปสู่กะบะห์"  (รายงานโดย บุคอรี มุสลิม ติรมีรี นาซาอี)
     เล่าจากอิบนุอุมัร(ร.ด.)  กล่าวว่า   "ในขณะที่ประชาชนกำลังละหมาดซุบฮ์  ที่มัสยิดกุบา  ได้มีคนหนึ่งมา  แล้วพูดว่า  แท้จริงท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)  ได้รับโองการเมื่อคืนนี้  และถูกใช้ให้ผินหน้าไปสู่กะบะห์  ดังนั้นท่านทั้งหลาย  จงผินหน้าไปสู่กะบะห์เถิด  ปรากฏว่าหน้าของพวกเขา  เคยผินไปสู่ทิศ “ซาม”  พวกเขาจึงหมุนมาสู่กะบะห์"  (รายงานโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด นะซาอี)
     "และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่  ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น  และแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์  นั้นย่อมรู้ดีว่ามัน  คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา  และพระองค์อัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเผลอ  ในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน   และแน่นอน  ถ้าหากเจ้าได้นำหลักฐานทุกอย่าง  มาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์  พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของเจ้า  และเจ้าก็มิใช่  จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง  ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม"      ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องตามกิบลัตของกันและกัน  ดังนั้นถ้าผู้รู้ในวิชาดาราศาสตร์อิสลาม  รู้ว่ามัสยิดนี้ๆ  ยังหันไม่ตรงกิบลัต  และได้มีการบอกผู้มีอำนาจหน้าที่  ในมัสยิดแห่งนั้น  แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น  ยังไม่จัดการเปลี่ยนแปลง  และแก้ไข  ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในผลบาปตรงนี้  ก็คือผู้ที่มีอำนาจในมัสยิดแห่งนั้น  เรียกว่ารับแบบเต็มๆ  เพราะรู้แล้วไม่ทำตามที่รู้  ที่สำคัญ  ยังพาคนอื่นทำแบบผิดๆไปด้วย  ถ้าเราเข้าใจหลัก  ในการหลอกลวงของซัยตอน  มารร้าย  เราท่านทั้งหลายจะรู้เท่าทันมันได้ทันที  ซัยตอนมารร้ายมันจะไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้เปลี่ยน  ให้ตรงกับกะบะห์  อย่าไปทำๆ  มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน  มันจะบอกว่า  อย่าเปลี่ยนเลยจะทำให้เกิดการแตกแยกได้  ผู้ใหญ่ทำมาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้แล้ว  ต้องตรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือเกินไปหรือเปล่า  ผู้รู้รุ่นก่อนไม่เห็นเขาจะติเลย  ฯลฯ
     สมมุติว่าระหว่างพี่น้องด้วยกันเอง  ถ้ามีการแบ่งที่แบ่งทาง  แค่ลากเส้น วัดผิดแค่ 1 องศาเท่านั้นแหละ  ที่ดิน 1ไร่  ท่านรู้หรือไม่ว่า วัดเกิน  โกง  ที่ดินคนอื่นไปกี่ตะรางวา  ระยะทางจาก กทม. ถึงกะบะห์อยู่ห่างกันประมาณ  หกพันกว่ากิโลเมตร  แค่ผินผิดนิดเดียว  รู้หรือไม่ว่าที่ผินไปนั้น  ไม่ตรงแม้กระทั่งเมืองมักกะห์ด้วยซ้ำไป
     เฉกเช่นเดียวกันพอได้เวลาละหมาด  มันก็จะบอกว่า  เดี๋ยวค่อยละหมาดก็ได้  เหลือเวลาอีกเยอะ  เดี๋ยวๆๆๆ  เดี๋ยวจนไม่ได้ละหมาดจนได้  หรือถ้ามันหลอกคนไม่ให้ละหมาดไม่สำเร็จ  มันก็จะหาวิธีหลอกลวงต่างๆนานาๆ  เพื่อให้ภาคผลบุลของคนๆนั้น  ลดน้อยลงมันไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้ละหมาด  อย่าไปทำ  ซึ่งวิธีการหลอกลวงของซัยตอนมารร้ายนี้  มันได้เคยมาบอกแก่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.)  ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  เพื่อให้ประชาชาติของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)   รู้เท่าทันกลลวงของมัน  นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง  ของพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า)
     "และถ้าหากเจ้าไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา  หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว  แน่นอนทันใดนั้น  เจ้าก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม"(ซูเราะห์อัลบะเกาะเราะฮ์ (2), อายะฮ์ที่ 142-145,

     ดังนั้น นักดาราศาสตร์อิสลาม จึงต้องเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง  ถึงจะผินไม่เหมือนคนอื่นก็ต้องทำ  เพราะนี่คือคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า  นี่คือคำสั่งของเจ้าของเจ้าบทลงโทษ  ที่รุนแรงยิ่ง  รุนแรงเกินกว่าใครๆจะทนทานได้) เรื่องราวของกิบลัตระบุอยู่ใน ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2ตั้งแต่อายะห์ที่142-152
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 23, 2012, 08:33 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: นานๆจะเห็นที กิบลัต ดวงอาทิตย์ฯลฯ
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: มิ.ย. 03, 2012, 01:25 PM »
0
     السلام عليكم ورحمة الله وبركاته     
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ไม่รับฟังสิ่งใด เหมือนกับที่พระองค์รับฟัง นบีที่มีเสียงดี ที่ท่านจะอ่านกุรอ่านเป็นท่วงทำนอง โดยส่งเสียงดัง รายงานโดยบุคอรี มุสลิม (วางกุรอ่านไว้ในที่สูงๆที่เหมาะสม)
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     อีกหนึ่งปรากฏการณ์หนึ่ง ที่แสดงถึงความสามารถแหละเดชานุภาพของพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)  วันที่6 เดือน6 ปี6+6(6+6=12ปี2012)มีเวลาสังเกตประมาณ 6ชม.ปรากฏการณ์นั้นก็คือดาวศุกร์โคจรผ่านดวงอาทิตย์ แต่ในการมองเห็น จะเห็นว่าดาวศุกร์เคลื่อนอยู่ในดวงอาทิตย์ (ดาวศุกร์อยู่ใกล้โลกเราที่สุด แสงสุกใสมาก ถ้าเห็นตอนค่ำเรียกว่าดาวประจำเมือง ตอนรุ่งอรุณเรียกว่าดาวรุ่ง หรือดาวประกายพรึก อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 480C ส่วนบรรยากาศ มีคาร์บอนมอนน๊อกไซด์มากที่สุด ความสว่างอยู่ที่-4.4แมกนิจูด)   
     ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ เป็นปรากฏการณ์ที่ดาวศุกร์ มาอยู่ในแนวระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ คนบนโลกมีโอกาสเห็นดาวศุกร์ เป็นดวงกลมดำขนาดเล็ก เคลื่อนผ่านดวงอาทิตย์(ถ้าจะดูห้ามมองด้วยตาเปล่าเด็ดขาด แหละกล้องที่จะดูต้องมีแผ่นกรองแสงโดยเฉพาะเท่านั้น แหละควรเป็นกล้องที่มีอัตราขยายสูง ห้ามใช้แผ่นกรองแสงติดที่หน้าเลนส์ กล้อง2ตาโดยเด็ดขาด) วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2555 ประเทศไทยสามารถสังเกตดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ได้ ในช่วงเวลาตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น(ดูปฏิทินอิสลามวันพุธที่ 6 มิถุนายน 2555 ตรงช่องซูรุกนั่นแหละคือเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นของจังหวัดท่าน) จนกระทั่งสิ้นสุดปรากฏการณ์ในเวลาประมาณ 11:50 น. โดยดาวศุกร์เริ่มผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ตั้งแต่ประมาณ 20 นาที ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นที่ประเทศไทย ในวันนั้นดาวศุกร์เล็กกว่าดวงอาทิตย์ประมาณ 33 เท่า (อนึ่งดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์เกิดเป็นคู่ ห่างกัน 8 ปี แต่ละคู่ห่างกัน 105 หรือ 120 ปี ระยะห่างแต่ละครั้งจะมีรูปแบบที่แน่นอน คือ 8, 121.5, 8 และ 105.5 ปี และวนซ้ำกันเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ) ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2547 ซึ่งเห็นได้ในประเทศไทย หลังจากครั้งนั้นทำให้มีสถานที่สำคัญ ในการศึกษาทางดาราศาสตร์ในประเทศไทยเกิดขึ้นทางภาคเหนือ 
     หลังจากดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2555ครั้งนี้  ดาวศุกร์จะผ่านหน้าดวงอาทิตย์ขึ้นอีกในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2660 (ค.ศ. 2117) และวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2668 (ค.ศ. 2125)เราท่านทั้งหลายคงจะไม่มีโอกาสเห็นได้อีก อีกร้อยกว่าปี มีการโคจรที่แน่นอนไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้
     ขั้นตอนการเกิดปรากฏการณ์นี้มีอยู่ 4 ขั้นตอนด้วยกัน
1.   เริ่มเข้า คือขอบดาวศุกร์เริ่มแตะขอบดวงอาทิตย์ ประเทศไทยจะไม่เห็นในช่วงนี้ เพราะดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น.ในประเทศไทย
2.   ดาวศุกร์ทั้งดวงเข้าไปในดวงอาทิตย์(ในด้านการมองเห็น แต่จริงๆผ่านไปในดวงอาทิตย์) ประเทศไทยจะไม่เห็นในช่วงนี้ เพราะดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น อยู่ใต้ขอบฟ้า เวลา08.32-08.33นาที อยู่ในช่วงกลางของปรากฏการณ์
3.   เริ่มออกคือขอบดาวศุกร์เริ่มแตะขอบด้านในของดวงอาทิตย์(ในด้านการมองเห็น แต่จริงๆผ่านไปในดวงอาทิตย์) กำลังจะออกจากดวงอาทิตย์ ช่วงนี้ประมาณเวลา 11.33 นาที หลังจากช่วงเวลานี้ ขอบดวงอาทิตย์จะแหว่งหายไปเนื่องจากดาวศุกร์ เป็นเวลาประมาณ 17 นาที
4.   ดาวศุกร์ออกจากดวงอาทิตย์ ขอบดวงอาทิตย์จะกลับมาเต็มเหมือนเดิม (ในด้านการมองเห็น) เวลาประมาณ 11.49.26 นาทีเป็นต้นไป
     สรุปว่าวันพุธที่ 6 มิถุนายน 2555 ทั่วทั้งประเทศไทย สามารถสังเกต ดาวศุกร์จะผ่านหน้าดวงอาทิตย์(ดาวศุกร์เข้าไปในดวงอาทิตย์ ในด้านการมองเห็น) ตั้งแต่สว่างถึงเวลาประมาณ11.50นาที ถึงแม้ว่าดาวศุกร์จะเล็กมาก ถ้าเทียบกับดวงอาทิตย์ แต่ถ้าจะใช้ตาเปล่า ดูผ่านแผ่นกรองแสง ก็สามารถเห็นได้ เห็นดาวศุกร์ ดำๆ กลมๆ เล็กมากๆ
     ปัจจุบันนี้ ทั้งอายุของคนๆหนึ่ง สูงที่สุด จะเห็นดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ได้ไม่เกิน2ครั้งเท่านั้น ปรากฏการณ์ดาวศุกร์ โคจรผ่านดวงอาทิตย์ นี่เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวในมัคโล๊ค(สิ่งถูกสร้าง) เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวของผลงานของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
     เพียงแค่สิ่งที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่ เราท่านทั้งหลายยังรู้สึกว่า ลี้ลับมาก ซับซ้อนมาก มหัศจรรย์มาก แล้วในสิ่งที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถเห็นได้ หรือยังถึงเวลาที่จะเห็น จะมหัศจรรย์มากมายขนาดใหนเล่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นก็คือโลกของมนุษย์ โลกของยิน โลกของสิงสาราสัตว์ โลกของมะลาอิกะห์ โลกหลังความตาย สวรรค์ นรก ฯลฯ
     ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา มีขึ้นมาได้นั้น(นอกจากพระองค์) ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของพระผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น แหละเท่านั้น อยู่ภายใต้กรอบที่ว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้  ผู้คนทั่วทุกมุมโลกต่างเฝ้ารอคอย ในการชม ในการเฝ้ามองปรากฏการณ์ ดาวศุกร์จะผ่านหน้าดวงอาทิตย์ครั้งนี้ เพราะหาดูได้ยาก นานๆจะเกิดขึ้นสักครั้ง แต่จะมีสักกี่คนเล่า ที่กำลังมองผ่านไปถึงความยิ่งใหญ่ เดชานุภาพ ความสามารถของพระผู้เป็นเจ้า
     ที่สำคัญอย่าหยุดแค่ สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หน้าที่ของผู้ศรัทธานั้น ต้องมีการขอบพระคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย ในรูปแบบของการทำอิบาดะห์แขนงต่างๆ 
     ถ้าจะเปรียบเทียบว่าวิชาความรู้นั้น ถือเป็นลำต้นของวิชาการ ดังนั้นอิบาดะห์แขนงต่างๆ จึงถือว่าเป็นผลที่ได้รับจากวิชาการนั่นเอง
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
           
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ การสรรเสริญทั้งมวลนั้น เป็นสิทธิ(กรรมสิทธิ)ของพระองอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก ซูเราะห์1อัลฟาติฮะห์ อายะห์ที่1-2  (ส่วนมากทั่วๆไปอ่านว่า ร๊อบบิ้ลอาละมีน แต่ว่าบางทัศนะอ่านว่า ร๊อบบั้ลอาละมีน ถือว่าเป็นฮ๊าล อีกบางทัศนะอ่านว่าร๊อบบุ้ลอาละมีน ตั๊กดีรว่า ฮุว่าร๊อบบุ้ลอาละมีน)
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري (1810)  ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     ความจริงที่ปรากฏก็คือขณะที่ประเทศหนึ่งดวงอาทิตย์ตก  อีกประเทศหนึ่งรุ่งอรุณ  เวลาทุกเวลาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของประเทศที่อยู่แตกต่างกันไป  สิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า  ด้วยความแตกต่างทางเวลานี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในเรื่องการละหมาด5เวลา(เป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะละหมาดดุฮ์ริพร้อมกัน  ละหมาดอัสริพร้อมกัน  ฯลฯ)ดังนั้นการที่จะกล่าวอ้างว่าเพื่อความเป็นเอกภาพของอุมมะห์มุสลิมมุสลิมะห์ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ควรจะทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่ง เวลาเดียวกันและวันเดียวกัน  การกล่าวอ้างแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา  เรียกว่าคิดเอาเอง จินตนาการเอาเองเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงเราท่านทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ขณะที่มุสลิมที่อยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียละหมาดซุบฮิ  มุสลิมที่อยู่ในอเมริกาเหนืออาจยังทำละหมาดอิซาของวันก่อนไม่เสร็จเลย ดังนั้นถ้าพระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการให้มุสลิมทั่วทุกมุมโลกทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่งเวลาเดียวกันและวันเดียวกัน เพื่อต้องการให้เกิดความเป็นเอกภาพอย่างที่ใครบางคนกล่าวอ้างแล้ว เอกภาพดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้เลย เพราะความแตกต่างทางด้านเวลาที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่
     ผมอยากจะให้เราท่านทั้งหลายสังเกตุดูสักนิดนึงว่า ถ้าจะให้เราละหมาด5เวลาตลอด24ช.ม.เราท่านทั้งหลายคงจะไม่มีใครทำได้  แต่ด้วยความแตกต่างทางด้านเวลานี้แหละทำให้มีผู้ละหมาด มีผู้ทำอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้าตลอด24ช.ม.เรียกว่าตลอดทั้งวันทั้งคืน แหละด้วยความแตกต่างทางเวลานี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการเริ่มต้นวันที่หนึ่งของเดือนอิสลาม(แต่ละประเทศต้องคำนึงถึงตำแหน่งกำเนิดของดวงจันทร์ของตัวเองเท่านั้น  วันที่1เดือนอิสลามของประเทศใครประเทศมัน  ไม่ต้องไปผูกพันกับประเทศอื่นที่มีตำแหน่งกำเนิดของดวงจันทร์ต่างกัน)  ชี้ชัดให้เห็นเลยว่าเราท่านทั้งหลายควรจะยืนหยัดอยู่บนหลักแห่งความเป็นจริง  ดวงอาทิตย์ประเทศเราก็มีดู ก็ดูของประเทศเรา  ดวงจันทร์เสี้ยวประเทศเราก็มีดู  ก็ดูของประเทศเรา  อย่าไปรอฟังข่าวจากการดูจันทร์เสี้ยวของประเทศอื่นเลย
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
         มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   ดังนั้นวันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555ตรงกับวันที่29 ร่อยับ ฮ.ศ.1433  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่1 ร่อยับ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555จึงเป็นวันที่29 ร่อยับ ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1433
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555 เวลา22.02.08วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่1 ซะบาน ฮ.ศ.1433  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.48.19 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.35.03วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว13
นาที 16 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.44.31วินาที ดวงจันทร์ตก18.31.18วินาที  มี เวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว13นาที13วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.31.30วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.04วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.32.41วินาที  ดวงจันทร์ตก18.20.19 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.31.32วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.09วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที23วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.31.05 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.39วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.31.14วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.55วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที20วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.31.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.29วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.31.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.37วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที27วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.35.34วินาที  ดวงจันทร์ตก18.23.11วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที23วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.51.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.38.42วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว13นาที12วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.32.44วินาที  ดวงจันทร์ตก18.20.17วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที27วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.32.52วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.18.47วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว14นาที05วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.48.47วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.35.31วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว13นาที17วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
ดังนั้นวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1433  ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.  2555
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2555  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.19.30 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.47.52วินาที ดุฮ์ริเวลา12.15.00วินาที อัสริเวลา15.39.01 วินาที มักริบเวลา18.42.13วินาที อีซาเวลา20.01.08
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.21.39 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.49.56วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.16.51วินาที  อัสริเวลา15.40.56 วินาที  มักริบเวลา18.43.52วินาที  อีซาเวลา20.02.43
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.02.58วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.34.49วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.18.49วินาที  อัสริเวลา15.35.50วินาที  มักริบเวลา19.02.56 วินาที  อีซาเวลา20.24.28 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา03.54.09วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.28.20 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.19.45วินาที  อัสริเวลา15.41.25วินาที  มักริบเวลา19.11.19  วินาที  อีซาเวลา20.34.40วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:10 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
   เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ไม่รับฟังสิ่งใด เหมือนกับที่พระองค์รับฟัง นบีที่มีเสียงดี ที่ท่านจะอ่านกุรอ่านเป็นท่วงทำนอง โดยส่งเสียงดัง รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     คำในพระมหาคำภีร์อัลกุรอ่าน พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงวางมาไว้อย่างสวยสดงดงาม เรียกว่ามีความไพเราะอยู่ในตัวอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น อย่างในซูเราะห์ที่เราท่านทั้งหลายอ่านกันอยู่เป็นประจำ ซูเราะห์อัลอิคลาส หรือที่เราท่านทั้งหลายพูดกันติดปากว่า ซูเราะห์กุ้ลฮู่วั้ลลอฮ์ ตรงคำว่ากุฟู่วันอะฮัด(อายะห์ที่4 ตอนจบซูเราะห์)นั้น ถ้าดูตามหลักน่าฮูแล้ว คำว่ากุฟู่วันเป็นค่อบะรุฮา ในส่วนของคำว่าอะฮัดเป็นอิสมุฮา อิสมุฮาต้องอยู่ก่อนค่อบะรุฮา เดิมๆก็คืออะฮะดุนกุฟู่วัน ดังนั้นถ้าจะใช้แบบนี้(อะฮะดุนกุฟู่วัน) ความไพเราะในซูเราะห์ กุ้ลฮู่วั้ลลอฮ์ ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอเราท่านทั้งลายลองอ่านตั้งแต่ต้นซูเราะห์ดู อายะห์ที่1จบที่อะฮัด อายะห์ที่2จบที่ซอมัด อายะห์ที่3จบที่ยูลัด อายะห์ที่4จบที่อะฮัด ดังนั้นถ้าอายะห์ที่4จบที่อะฮะดุนกุฟู่วัน(ตามหลักน่าฮู) ลองอ่านตั้งแต่อายะห์แรกดู ก็จะฟังดูแปลกๆ คือรู้สึกว่าขัดๆในการอ่าน แหละจะไม่ได้ความไพเราะในอัลกุรอ่านตอนจบอายะห์ ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าเลยได้จบอายะห์ที่4ด้วยกุฟู่วันอะฮัด ความไพเราะในตอนท้ายอายะห์แต่ละอายะห์ก็จะเกิดขึ้นทันที ตรงนี้เรียกว่าอิสมู่ฮามุอัคคอรและค่อบะรุฮามุก๊อดดำ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รี่อายะตันลิ้ลฟาซิละห์
     ในมะตันอัลฟียะห์(เป็นคำกลอนเกี่ยวกับวิชานะฮู ที่ทรงคุณค่ายิ่ง จึงได้มีนักวิชาการเห็น แหละตะหนักถึงคุณค่าในคำกลอนนี้ ท่านจึงได้แต่งตำราเพื่อเป็นการอธิบายคำกลอนนี้ ที่นักศึกษารู้จักกันในนามว่า อิบนุอาเก้ล)ลองดูในมะตันอัลฟียะห์ บทของ กานะวะอัควาตุฮา ในตอนท้ายของคำกลอนที่บอกว่า ซัยยี่ดันอุมัร ที่จบด้วยอุมัร ก็เพื่อจะได้คล้องจองกับคำว่าวั้ลค่อบัรในกลอนก่อนหน้านั้น(คือเอาคำว่าซัยยี่ดันมาอยู่ก่อน คำว่าอุมัร ทั้งๆที่ซัยยี่ดัน เป็นค่อบะรุฮา เพื่อจะได้เกิดความคล้องจอง ดังนั้นถ้าในคำกลอนตรงนี้จบตรงที่ว่า อุมะรุซัยยิดา ความคล้องจอง ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน)
     ดังนั้นการได้อ่าน พระมหาคำภีร์อัลกุรอ่านได้ถูกต้องตามหลักตัจวีด และได้มีการอ่านในแบบทำนองที่ไพเราะ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า(ผลที่สุดก็คือ ถ้าได้ฝึกอ่านอัลกุรอ่านได้อย่างไพเราะแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะอ่านอัลกุรอ่านก็จะตามมาทันที เมื่ออ่านอัลกุรอ่านมาก ก็จะได้ภาคผลบุลมาก สิ่งที่ดีๆต่างๆก็จะหลั่งไหลเข้ามา ถือว่าเป็นเงาตามตัว) ในพระมหาคำภีร์อัลกุรอ่านนั้น มีแต่สิ่งที่ดีๆ อ่านก็ได้ผลบุญ เรียนก็ได้ผลบุญ สอนก็ได้ผลบุญ ดูก็ได้ผลบุญ ทบทวนก็ได้ผลบุญ แม้กระทั่งฟังอัลกุรอ่านก็ยังได้ภาคผลบุญ
     เล่าจากท่านหญิงอาอิซะห์(ร.ด.)ว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขามีความช่ำชองในอัลกุรอ่าน เขาจะได้อยู่ร่วมกับมะลาอิกะห์ที่ทรงเกียรติ ที่ภักดี และผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขาสับสนในการอ่าน และอ่านได้ด้วยความยากลำบาก เขาจะได้รับสองผลบุญ รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     ยิ่งกว่านั้นเราท่านทั้งหลายกำลังจะเข้าไปสู่เดือนร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 อันทรงเกียรติ การทำคุณความดีทุกๆชนิด ภาคผลบุญที่พระผู้เป็นเจ้าจะให้นั้น นับว่าทวีคูณมหาศาลอย่างมากมาย(ไม่มีผู้บริหารในโลกใบนี้คนใด ที่จะกล้าให้ได้มากมายขนาดนี้ เพราะกลัวหมด เพราะคำนึงถึงผลประกอบการ มากสุดคงไม่เกินสิบเท่า ต่างกับพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่บ่าวของพระองค์ ให้อย่างไม่กลัวหมดเพราะสำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ไม่มีคำว่าหมดอย่างแน่นอน) ขอให้เราท่านทั้งหลายแสดงความขอบพระคุณในพระผู้เป็นเจ้า ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้า ได้ประทานให้เราท่านทั้งหลาย โดยการทำอะมั้ลอิบาดะห์แขนงต่างๆให้มากๆ ให้มีคุณภาพ ดังนั้นขอให้เราท่านทั้งหลาย หมั่นสะสมคุณความดีกันไว้มากๆ วันนี้ตอนนี้เราท่านทั้งหลายยังไม่สามารถเห็นได้ แต่ในโลกหน้าอาคิเราะห์ เราท่านทั้งหลายจะได้เห็นกันอย่างแน่นอน
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า

 

”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น
     ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا رواه البخاري (1810) ومسلم (1080) “ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     ดังนั้นไม่ว่าวิชาการแหละเทคโนโลยีจะล้ำยุค ทันสมัยสักแค่ใหนก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหลักศาสนาที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดมาได้ การเคลื่อนที่ของเทหะวัตถุบนท้องฟ้าโดยเฉพาะดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ก่อให้เกิดความแตกต่างกันทางเวลา เนื่องด้วยมนุษย์ได้อาศัยอยู่ทุกทิศทุกทางในโลกใบนี้ ทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ดังนั้นการปฏิบัติศาสนกิจละหมาด5เวลาต้องขึ้นอยู่กับเวลาของดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น เรียกว่าใช้ระบบสุริยะ และการเริ่มต้นขึ้นเดือนใหม่ วันที่1ของเดือนอิสลามต้องขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ของจันทร์ดวงใหม่(นิวมูน จันทร์ดับ) เรียกว่าใช้ระบบจันทรคติ ดังนั้นดวงอาทิตย์ขึ้นทางประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันออกก่อนประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันตกหนึ่งชั่วโมงหนึ่งหรือมากกว่าตามระยะทางที่แตกต่างกันไป(เพราะโลกของเราโคจรทวนเข็มนาฬิกา ถ้าวันศุกร์ใดที่โลกของเราโคจรตามเข็มนาฬิกาวันนั้นแหละคือวันกิยามะห์)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า

พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา) อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์ พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน) ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์) แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่ ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์ เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์ ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้
     นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555ตรงกับวันที่ 29 ซะบาน ฮ.ศ.1433 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2555 เป็นวันที่1 ซะบาน ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555จึงเป็นวันที่ 29 ซะบาน ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433
     สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555 เวลา11.24.03วินาที ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.50.01 วินาที ดวงจันทร์ตก18.51.55วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว1 นาที 54 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.46.26วินาที ดวงจันทร์ตก18.48.37วินาที มี เวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว02นาที11วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.34.55วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.28วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที34วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.36.07วินาที ดวงจันทร์ตก18.40.46 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที39วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.35.00วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.40วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที40วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.34.30 วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.40วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที34วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.34.47วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.35วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที48วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.35.19วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.54วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที35วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก18.34.28วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.00วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที32วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.38.51วินาที ดวงจันทร์ตก18.43.19วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที28วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.51.54วินาที ดวงจันทร์ตก18.38.42วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว13นาที12วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.36.04วินาที ดวงจันทร์ตก18.40.32วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที28วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก18.34.13วินาที ดวงจันทร์ตก 18.34.59วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว0นาที46วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.50.27วินาที ดวงจันทร์ตก 18.52.19วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว1นาที52วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดังนั้นวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 ตรงกับวันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า

ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน) และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน เขาเสียชีวิตไป ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ รายงานโดย บุคอรี มุสลิม วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง ละหมาดแล้วหรือยัง ทำอะม้าน อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2555 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
-สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.28.08 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.56.06วินาที ดุฮ์ริเวลา12.22.35วินาที อัสริเวลา15.45.29 วินาที มักริบเวลา18.49.00วินาที อีซาเวลา20.07.25
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.30.17 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.58.10วินาที ดุฮ์ริเวลา12.24.27วินาที อัสริเวลา15.47.26 วินาที มักริบเวลา18.50.39วินาที อีซาเวลา20.09.00
-สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา04.12.12วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.43.30วินาที ดุฮ์ริเวลา12.26.24วินาที อัสริเวลา15.41.34วินาที มักริบเวลา19.09.08 วินาที อีซาเวลา20.29.58 วินาที
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา04.03.39วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.37.13 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.27.20วินาที อัสริเวลา15.49.40วินาที มักริบเวลา19.17.17 วินาที อีซาเวลา20.39.50วินาที
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า


”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8
     หวังใจว่าโลกหน้าอาคิเราะห์ จะได้เห็นพระพักตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าถ้วนหน้ากัน
รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:11 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ asizsama

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 19
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ส่งสัยครับ
ขอมูลอะไรเนีบ เยอะจริงๆๆ

ไม่ทราบว่าผู้โพสต์ได้อ่านบางหรือเปล่า หรือ คอป ว่าง ๆๆ เฉยๆๆๆๆ

ช่วยตอบที่

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
ส่งสัยครับ
ขอมูลอะไรเนีบ เยอะจริงๆๆ

ไม่ทราบว่าผู้โพสต์ได้อ่านบางหรือเปล่า หรือ คอป ว่าง ๆๆ เฉยๆๆๆๆ

ช่วยตอบที่
     เขียนให้ถูกต้องด้วย เยอะหรือน้อยไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญก็คือความถูกต้องจริงๆ อยู่ตรงใหน  ที่สำคัญอีกประการก็คือ จิตใจยอมรับความถูกต้องจริงๆได้หรือเปล่า (เขียนยังไม่ถูกเลย ยังไม่ชัดเจนอีกด้วย จะให้ตอบอย่างไรครับ ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ) 
     ถ้ามีเวลาว่าง ก็โพสบทความเป็นกระทู้ใหม่ ลงในกระดานสนทนาของเว็ปไซร์นี้ บ้างก็ได้นะครับ เพื่อว่าความรู้ของท่านอาจจะยังประโยชน์ให้ก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่มีเวลา ก็คงจะไม่ได้เห็นบทความของท่าน เวลาเป็นสิ่งมีค่า ต้องแบ่งเวลาเพื่อโลกอาคิเราะห์
     เล่าจากท่านอะนัส(ร.ด.)จากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า สามประการนี้มีอยู่ที่ผู้ใด เขาจะรู้รสความหวานของการศรัทธา คือพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และศาสนทูตของพระองค์เป็นที่รักของเขายิ่งกว่าสิ่งใด การที่เขารักผู้หนึ่งโดยที่เขาจะไม่รักผู้นี้ นอกจากรักเขาเพราะพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) และเขารังเกียจที่จะหวนกลับไปสู่สภาพการไร้ศรัทธา(กุฟุร) ภายหลังจากที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ช่วยให้เขารอดพ้นจากสภาพนั้นแล้ว เหมือนกับที่เขารังเกียจ จะถูกโยนลงสู่ไปในไฟนรก รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
ขอพระองค์ทรงแนะนำพวกข้าพระองค์ซึ่งทางอันเที่ยงตรง(คือ) ทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปราณแก่พวกเขา มิใช่ในทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่ทางของพวกที่หลงผิด ซูเราะห์ฟาติฮะห์ อายะห์ที่ 6-7
ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
       
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: سَلاَم ของมะลาอิกะห์ กิบลัต ดวงอาทิตย์ฯลฯ
« ตอบกลับ #51 เมื่อ: ส.ค. 17, 2012, 03:35 PM »
0
    السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
     การทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถือว่าเราท่านทั้งหลายจำเป็นต้องทำ ชนิดที่ว่าจะขาดไม่ได้ แม้ว่าจะผ่านล่วงเลยเดือนร่อมะดอนไปแล้วก็ตาม เพราะว่าหลายท่านได้เจาะจงให้ความสำคัญในการประกอบคุณความดีในเดือนร่อมะดอนเท่านั้น โดยเดือนอื่นวันอื่นก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้ ถือว่ายังเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก ในโลกนี้วันนี้ ขอให้เราท่านทั้งหลาย ทำคุณความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้มีคุณภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วโลกหน้าอาคิเราะห์ เราท่านทั้งหลายจะพบกับความสุขสบายอย่างแน่นอน เป็นความสุขสบายที่อยู่คู่กับเราท่านทั้งหลาย ตลอดกาลและตลอดไป
     ในปัจจุบันนี้เราท่านทั้งหลายพบปะเจอะเจอกัน ให้สลามกัน ทักทายกัน ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลาย รักแหละเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่จะเจาะจงเฉพาะเลือกปฏิบัติแค่2วันอีดเท่านั้น
     แหละไม่ว่าจะในสังคมใหน เชื้อชาติใหนก็ล้วนแล้วแต่ ให้ความสำคัญในการกล่าวทักทายซึ่งกันและกันทั้งนั้น เพราะเป็นการแสดงออกให้เห็นว่า เราพร้อมที่จะพูดคุยกัน เราพร้อมที่จะหยิบยื่นสิ่งดีๆให้แก่กันและกัน เราพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวต่างๆซึ่งกันแหละกัน เราพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ตามกำลังความสามารถที่มีอยู่
     แม้กระทั่งบรรดามะลาอิกะห์ ก็ยังได้มีการให้สลามแก่ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ที่ประกอบคุณความดี ในค่ำคืนของเดือนร่อมะดอน เพราะในช่วงสิบคืนสุดท้ายของเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรติ จะมีอยู่หนึ่งคืนที่บรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้า จะลงมาสู่โลกนี้ ลงมาโดยได้รับการอนุมัติจากพระผู้เป็นเจ้า คืนที่ว่านั้นก็คือ คืนลัยละตุ้ลก๊อดร เมื่อบรรดาเทวฑูตเห็นมุมินชาย เห็นมุมินะห์หญิง เอาจริงเอาจังในการทำอะมั้ลอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้า บรรดาเทวฑูตของพระผู้เป็นเจ้าก็จะให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆ)
     ดังนั้นในคืนนั้นจะมีการให้สลาม (ขอความสันติสุข) จากบรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งคืน กระทั่งฟะยัรแสงอรุณขึ้น(คือว่าในครั้งที่พระผู้เป็นเจ้าจะสร้างนบีอาดัม บรรดามะลาอิกะห์ได้ห้ามไว้ อ้างในทำนองว่ามนุษย์ จะมาทำไม่ดีในหน้าพื้นแผ่นดินนี้ อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้ทราบกันมาแล้ว ดังนั้นเมื่อบรรดามะลาอิกะห์ ได้ลงมาเห็นมุมินชาย มุมินะห์หญิงได้ทำอะมั้ลอิบาดะห์ ในค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดรดังกล่าว บรรดามะลาอิกะห์จึงได้ให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้น) ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสว่า
سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْرِ
คืนนั้นมีความศานติจนกระทั่งรุ่งอรุณ  ซูเราะห์ที่97 อัลก๊อดร อายะห์ที่ 5
     คำว่าซะลามุนเป็นค่อบัรมุก๊อดดัม คำว่าฮิย่า อยู่ในหน้าที่เป็นมุบตะดามู่อั๊คค๊อร(นักวิชาการบางท่านบอกว่า ตรงคำว่าซะลามุนนี้เรียกว่าฮะรัฟมุดอฟ ตั๊กดีรว่า ฮิย่า ราตู้ซะลามะติน)
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พวกท่านจะยังไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่านจะมีศรัทธา และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักกัน ฉันจะไม่ชี้พวกท่านไปสู่สิ่งหนึ่ง หรือ? ถ้าพวกท่านปฏิบัติสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็จะรักกัน พวกท่านจงแพร่กล่าวสลามในหมู่พวกท่านเถิด รายงานโดย มุสลิม
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري (1810)  ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَوَلَمْ يََتََفَكَّرُوْافِىْ اَنْفُسَهُمْ مَا خَلَقَ اللهُ السَّمَوَاتِ وَالاَرْضِِِ وَمَابَيْنَهُمَااِلاَّ بِالْحَقِِّ وَاَجَلٍ مُسَمَّى وَاِنْ كَثِيْرًا مِنَ النَّاسِ بِلِقَآىءِرَبِّهِمْ لَكَا فِرُوْنَ

พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวัน วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1433 วันอีดิ้ลฟิตรี่
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 เวลา 22.54.27วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1433 วันอีดิ้ลฟิตรี่  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.39.24 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.28วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน  เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 23นาที 56 วินาที
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.36.21วินาที ดวงจันทร์ตก18.12.37วินาที    ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 23นาที 44 วินาที 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.28.43วินาที  ดวงจันทร์ตก18.06.47วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน  เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 56 วินาที
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.29.59วินาที  ดวงจันทร์ตก18.08.07 วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 52 วินาที 
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.28.57วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.06วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 51 วินาที 
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.28.20 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.06.23วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 57 วินาที 
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.28.56วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.11วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 45 วินาที
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.29.08 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.12วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดวง เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 56 วินาที
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.28.16วินาที  ดวงจันทร์ตก18.06.18วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 58 วินาที
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.32.21วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.22วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 59 วินาที
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.42.47วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.53วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 23นาที 54 วินาที
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.29.41วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.40วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 22นาที 01 วินาที
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.22.43วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.57.49วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 24นาที 54 วินาที
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.39.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.15.48วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 23นาที 57 วินาที
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์
ดังนั้นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1433 วันอีดิ้ลฟิตรี่ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.  2555
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ ไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ
 شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
     อย่างเช่นในวันนี้ ทั่วทั้งประเทศไทย ดวงจันทร์ตกไปก่อนดวงอาทิตย์(ตกก่อนมัฆริบ) คือตกก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มดูจันทร์เสี้ยว ดังนั้นจึงปิดประเด็นที่จะเห็นจันทร์เสี้ยวไปได้เลย ไม่เห็นแน่นอน
     วันนี้วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.41.17วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.03.53วินาที ดุฮ์ริเวลา12.20.51วินาที อัสริเวลา15.27.40วินาที มักริบเวลา18.37.39วินาที อีซาเวลา19.51.23
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.43.19 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.05.52วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.22.43วินาที  อัสริเวลา15.29.14 วินาที  มักริบเวลา18.39.24วินาที  อีซาเวลา19.53.04
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.32.23วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.56.56วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.36วินาที  อัสริเวลา15.47.12วินาที  มักริบเวลา18.51.59 วินาที  อีซาเวลา20.07.00วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.27.12วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.53.09วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.25.32วินาที  อัสริเวลา15.53.25วินาที  มักริบเวลา18.57.36วินาที  อีซาเวลา20.13.39วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ
شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:12 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: อีหม่านแหละความดี กิบลัต ดวงอาทิตย์ฯลฯ
« ตอบกลับ #52 เมื่อ: ก.ย. 13, 2012, 09:39 PM »
0
          السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
     
   ความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้านั้น ไม่สามารถที่จะบรรยายออกมาได้ แต่ที่มวลมุสลิมแหละมวลมุมิน ทั้งชายแหละหญิงทราบกันเป็นอย่างดีก็คือ ถ้าหากสมมุติว่า(เป็นแค่เรื่องสมมุติเท่านั้น)ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง(ที่สามารถมองเห็นได้และที่ไม่สามารถมองเห็นได้นั้น)จะไม่สามารถมีขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
     ที่ผ่านมาเราท่านทั้งหลายได้ร่วมแสดงความยินดีกัน แหละได้มีการรื่นเริงกันในวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี่ (หลังจากที่เราท่านทั้งหลาย ได้มุ่งมั่นปฏิบัติศาสนกิจ อดทนต่อความหิวและกระหาย อดทนต่อความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เพื่อปฏิบัติศาสนกิจในยามค่ำคืน ในช่วงของเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรติที่ผ่านมา)
     ดังนั้นวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี่ที่ผ่านมา นั่นก็เป็นเพียงแค่บางส่วน ในรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่บ่าว ให้ปวงบ่าวของพระององค์ได้มีช่วงเวลาแห่งการผักผ่อน ให้ปวงบ่าวของพระองค์ได้แลเห็นผู้คนต่างๆ ที่มีการแต่งกายกันอย่างสวยสดงดงาม มองไปทางไหนก็สบายตาสบายใจ ผู้คนต่างทักทายปราศัยกันด้วยใบหน้าที่ชื่นมื่น เต็มไปด้วยรอยยิ้ม คนที่เคยบาดหมางกัน ต่างก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน
     ในวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี่นั้น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือเป็นคนที่ไม่ดีของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าก็ให้สิทธินี้เหมือนๆกัน ให้มีการรื่นเริงเหมือนๆกัน ให้มีลักษณะดังกล่าวมานี้เหมือนๆกัน
     สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเฉพาะในโลกดุนยาใบนี้เท่านั้น แต่ในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นแล้ว เป็นอะไรที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่ว่า กรณีของคนที่ทำบาป คนที่ไร้ศรัทธา คนกาเฟรนั้น((เราแหละท่านทั้งหลาย ขอความคุ้มครองจากพระผู้เป็นเจ้า ให้พ้นจากสิ่งดังกล่าวมาด้วยเถิด)) ลูกของเขาที่เขาเคยรัก มอบความรักและเป็นห่วงเป็นใย เป็นทั้งแก้วตาแหละดวงใจในโลกดุนยานี้ เมื่อเขาได้เห็นลูกๆในโลกหน้าอาคิเราะห์ เขาจำได้อีกด้วยเขาจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ญาติพี่น้องที่เขาเคยรักและให้การช่วยเหลือ เคยเยี่ยมเยียนทักทายกัน ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ตอนที่มีชีวิตอยู่ในโลกดุนยาใบนี้ ในวันนั้นความรัก ความเป็นห่วงเป็นใยจะไม่หลงเหลืออยู่อีกเลย คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าได้เท่านั้น (ในโลกนี้มีเรื่องราวต่างๆให้คิดเยอะ แต่ในโลกอาคิเราะห์ เขาคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าได้ คิดแค่เรื่องเดียวเท่านั้น) คิดแม้กระทั่งว่าถ้าเอาลูก เอาภรรยา เอาญาติพี่น้อง เอาผู้คนทั่วไปในหน้าพื้นแผ่นดินนี้ มาเป็นค่าไถ่ เพียงเพื่อให้ตัวเขาเองได้รอดพ้น จากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าได้ เขาก็จะทำ เพราะตัวเขาเองรู้แล้วว่าในวันนั้น จะต้องโดนลงโทษจริงๆอย่างแน่นอน ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไปแล้ว (นี่ก็แสดงให้เห็นว่าในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้น การลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า รุนแรงและหนักหน่วงยิ่ง) แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นไม่สามารถเป็นดั่งที่เขาคาดหวังไว้ได้ สายเกินกว่าที่เขาจะกลับตัวได้แล้ว สายเกินกว่าที่พระผู้เป็นเจ้าจะให้อภัยได้อีกต่อไปแล้ว ขุมนรก แหละการทรมานชนิดต่างๆกำลังรอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า((เราแหละท่านทั้งหลาย ขอความคุ้มครองจากพระผู้เป็นเจ้า ให้พ้นจากสิ่งดังกล่าวมาด้วยเถิด))
     ส่วนในกรณีของผู้ที่มีศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ในวันกิยามะห์นั้นเมื่อเขาได้เห็นลูก เห็นภรรยา เห็นญาติพี่น้อง เห็นแหละก็จำได้อีกด้วย เขาก็จะทำเหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีการทักทายปราศัยกัน ไม่มีการถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบกัน ใดๆทั้งสิ้นเลย เพราะในวันนั้นต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับภารกิจของตัวเองเท่านั้น คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَلاَيَسْاَلُ حَمِيْمٌ حَمِيْمًا
และมิตรสหายจะไม่ถามถึงกัน ซูเราะห์  المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 10
     (ตรงนี้นักวิชาการให้ทัศนะว่า อ่านสระฟัตฮะห์ที่ยาในคำว่า يَساَل  ให้ตักดีรหรือสมมุติคำشفاعتً ขึ้นมา เป็นมัฟอู๊ลตัวที่สอง แหละนักวิชาการก็ยังให้ทัศนะอีกว่า อ่านสระดอมมะห์ที่ยาในคำว่า يُساَل ก็ได้ ให้ตักดีรหรือสมมุติคำعَنْ حميمٍ ขึ้นมา)
     ในส่วนของประโยคนี้ ถือว่าเป็นประโยคที่เริ่มต้นขึ้นมาใหม่เลย เรียกว่าอิสตินาฟ คล้ายๆกับตักดีรคำถามขึ้นมาว่า ที่เขาไม่ถามไถ่กันนั้น ไม่มีการถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบกัน เขาไม่เห็นกันหรืออย่างไร ก็จะได้คำตอบว่า ถึงเขาเห็นกัน ก็ไม่ถามไถ่กัน เพราะต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับภารกิจของตัวเอง
يُبَصَّرُوْنَهُمْ يَوَدُّالْمُجْرِمُ لَوْيَفْتَدِىْمِنْ عَذَابِ يَوْمِءِذٍبِِبَنِيْهِ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะประสานสายตาซึ่งกันและกันก็ตาม ผู้ที่ประพฤติชั่ว(กาเฟร)ก็ใคร่คิดจะไถ่ตน ให้พ้นจากการลงโทษของพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ในวันนั้นด้วยบุตรหลานของเขา ซูเราะห์  المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 11
     ((คำว่าيوم เป็นمُتصرِّف อ่านได้สองอย่าง 1.นักวิชาการส่วนอ่านว่าيَوْمِ ตักดีรว่าمِنْ عَذابِ يومِ القِيامَتِ 2.นักวิชาการอีกบางส่วน อ่านว่า يَوْمَคือمِنْ عَذَابِ يَوْمَءِذٍبِِبَنِيْهِ  คือว่าถ้ากล่าวแค่ว่า مِنْ عَذابِให้พ้นจากการลงโทษของพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)เฉยๆ ก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ให้พ้นในวันใหน ให้พ้นในวันอะไร แต่เมื่อมีการระบุอย่างชัดเจนว่า مِنْ عَذَابِ يَوْمَءِذٍبِِبَنِيْهِก็สามารถรู้ได้ทันทีเลยว่า วันนั้นก็คือวันกิยามะห์ คือให้พ้นจากการลงโทษของพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ในวันกิยามะห์))
وَصَاحِبَتِهِ وَاَخِيْهِ
และด้วยภริยาของเขา และด้วยพี่น้องของเขา ซูเราะห์  المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 12
وَفَصِيْلَتِهِ اَلَّتِىْ تُءْوِيْهِ
และด้วยญาติพี่น้องของเขา ซึ่งได้ให้ที่พักอาศัยแก่เขา ซูเราะห์  المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 13
وَمَنْ فِى اْلاَرْضِ جَمِيْعًاثُمَّ يُنْجِيْهِ   
และด้วยผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวล เพื่อที่จะให้เขารอดพ้นจากการลงโทษ ซูเราะห์ المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 14 ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นได้ว่า สิ่งที่สามารถทำให้เราท่านทั้งหลาย ได้พบกับชัยชนะ ได้พบกับสิ่งที่ดีงาม ทั้งในโลกดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์นั้น ก็จะหนีไม่พ้นการมีอีหม่านศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แหละการประกอบคุณความดีแขนงต่างๆต่อพระผู้เป็นเจ้า อย่างมุ่งมั่น ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ที่ทำให้พระผู้เป็นเจ้าริดอยินดี โลกนี้วันนี้ยังไม่สาย เกินที่กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีสำหรับคนที่ได้ก้าวผิดพลาดไป พระผู้เป็นเจ้ายังพร้อมที่จะให้อภัยอยู่เสมอ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا رواه البخاري (1810) ومسلم (1080) “ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080) ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์) แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่ ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์ เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์ ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1433 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่1 เซาวาล ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวัน วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 -สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 เวลา 05.10.39วินาที ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวัน อาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080) วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.19.10 วินาที ดวงจันทร์ตก18.20.55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 01นาที 45 วินาที 2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.16.51วินาที ดวงจันทร์ตก18.18.56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 02นาที 05 วินาที 3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.14.25วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 00 วินาที -ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.15.46วินาที ดวงจันทร์ตก18.20.51 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05.นาที 05 วินาที -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.14.51วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.58วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 07 วินาที -ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.14.03วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.03วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 00 วินาที -ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.15.05วินาที ดวงจันทร์ตก18.20.22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 17 วินาที - ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.14.50วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.50วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดวง เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 01วินาที - ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก18.13.55วินาที ดวงจันทร์ตก18.18.53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 04นาที 58 วินาที 4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.17.37วินาที ดวงจันทร์ตก18.22.29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 04นาที 52 วินาที 5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.22.23วินาที ดวงจันทร์ตก18.24.08วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 01นาที 45 วินาที 6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.15.07วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.59วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 04นาที 52 วินาที 7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก18.01.19วินาที ดวงจันทร์ตก 18.01.48วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 00นาที 29 วินาที 8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.19.26วินาที ดวงจันทร์ตก 18.21.08วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 01นาที 42 วินาที
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดังนั้นวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 ตรงกับวันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาติให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ ไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน) พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.41.17วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.03.53วินาที ดุฮ์ริเวลา12.20.51วินาที อัสริเวลา15.27.40วินาที มักริบเวลา18.37.39วินาที อีซาเวลา19.51.23
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.56.22 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.07.32วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.14.32วินาที  อัสริเวลา15.31.50วินาที  มักริบเวลา18.21.22วินาที  อีซาเวลา19.32.28
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.52.37วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.04.30วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.16.24วินาที  อัสริเวลา15.41.41วินาที  มักริบเวลา18.28.01 วินาที  อีซาเวลา19.39.47วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.50.42วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.03.15วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.17.21วินาที  อัสริเวลา15.44.54วินาที  มักริบเวลา18.31.05วินาที  อีซาเวลา19.43.30วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้น นั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา คนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
 รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:14 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
   
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته     
     
     อีกไม่กี่วันเราท่านทั้งหลายก็กำลังจะถึงวันรื่นเริง วันเฉลิมฉลองในรอบปีนี้อีกหนึ่งวัน วันนั้นก็คือวันอีดอีดิ้ลอัดฮา ซึ่งกำลังจะมาถึงเราท่านทั้งหลายอีกไม่กี่วันนี้
     หลังจากที่ผู้ศรัทธาทั่วทุกมุมโลกได้ไปร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ ในการประกอบพิธีฮัจย์ พระผู้เป็นเจ้าจึงได้กำหนดให้มีวันอีดอีดิ้ลอัดฮา ให้เป็นวันรื่นเริง ให้เป็นวันเฉลิมฉลองในรอบปีนี้อีกหนึ่งวัน หลังจากที่ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มุ่งมั่นประกอบคุณความดี (วันอีดอีดิ้ลอัดฮาจึงเป็นวันรื่นเริง เป็นวันเฉลิมฉลอง ของคนทั่วทุกมุมโลก)
     เราท่านทั้งหลายจะพบว่าในวันอีดทั้งสองนั้น จะมีการกล่าวตั๊กบีร เพื่อเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆสิ่ง แหละมวลมุสลิมนั้นมีวิธีการรื่นเริง แหละเฉลิมฉลอง เป็นรูปแบบที่ดีงาม นั่นก็คือได้มีการร่วมกันกล่าว ได้มีการส่งเสียงตั๊กบีร อย่างกึกก้องพร้อมเพรียงกัน เพื่อรำลึกแหละย้ำเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นในทุกๆบ้านที่มวลมุสลิมอาศัยอยู่ ในทุกๆสถานที่มวลมุสลิมได้เดินผ่านไปผ่านมา ในทุกๆมัสยิดที่มวลมุสลิมได้ไปร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ แหละในทุกๆสถานที่ที่มวลมุสลิมได้ไปรวมกันเพื่อประกอบคุณความดี เราท่านทั้งหลายจะพบว่าความเงียบเหงาจะไม่เกิดขึ้นเลย จะมีเสียงกล่าวตั๊กบีรอย่างกึกก้องอยู่ตลอดเวลา ทั้งในยามค่ำคืนแหละในช่วงเช้าก่อนที่จะมีการละหมาดอีด แหละหลังละหมาดทุกๆเวลา ถึงเวลาอัสริของวันที่สามในวันตัซรีก
     นักวิชาการยังได้บอกอีกว่า ให้สังเกตดูในวันอีดทั้งสองวันนั้น(อีดิ้ลฟิตริแหละอีดิ้ลอัดฮา) ในการละหมาดอีดทั้งสองตอนร๊อกอัตแรก มีการตั๊กบีร7ครั้ง ร๊อกอัตที่สอง มีการตั๊กบีร5ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์แรก มีการตั๊กบีร9ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์ที่สอง มีการตั๊กบีร7ครั้ง ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้นั้น ถ้าจะสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าการตั๊กบีรทั้งหมดนั้นเป็นจำนวนเลขคี่ทั้งหมดเลย
     นักวิชาการยังได้บอกอีกว่า สาเหตุที่ในตอนคุตบะห์แรก ของการละหมาดอีดทั้งสอง มีการตั๊กบีรถึง9ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์ที่สอง มีการตั๊กบีรถึง7ครั้ง การกล่าวตั๊กบีรดังกล่าวมานั้น เป็นจำนวนคี่ทั้งหมดเลย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า มีจุดประสงค์ให้ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ได้มีการนึกแหละรำลึกถึงว่า พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงนั้นมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หนึ่งเดียวเท่านั้น (1เป็นจำนวนคี่) ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ยังทรงเป็นที่พึ่งพาของทุกๆสรรพสิ่งอีกด้วย
     ส่วนในการละหมาดอีดทั้งสองนั้น ตอนร๊อกอัตแรก ที่มีการกล่าวตั๊กบีร7ครั้ง ก็เพราะให้เราท่านทั้งหลาย มีการนึกแหละรำลึกถึงว่า ยังมีการปฏิบัติศาสนกิจที่ยิ่งใหญ่ ที่จำเป็นต้องกระทำ ในกรณีของบุคคลที่ครบในเงื่อนไข การปฏิบัติศาสนกิจที่ว่านั้นก็คือ การทำฮัจย์นั่นเอง เลข7ที่ตรงกันก็คือ ต่อวาฟมี7รอบ ซะแอมี7รอบ ขว้างเสาหินแต่ละต้นมี7เม็ด ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เราท่านทั้งหลาย มีการนึกแหละรำลึกถึงการสร้างที่ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้ทรงสร้างมา ที่สำคัญทรงสร้างเพียงพระองค์เดียวอีกด้วย คือพระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าให้มี7ชั้น ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มี7ชั้น ได้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่งที่อยู่ในฟากฟ้าแหละพื้นแผ่นดินภายใน7วัน(คือ6วัน ส่วนวันที่7นั้น พระองค์ได้ทรงสร้างท่านนบีอาดำคือทรงได้สร้างในวันศุกร์) แหละอีกประการหนึ่งเลขคี่ที่รองลงมาที่ใกล้เคียงเลข7มากที่สุด ก็คือเลข5 ดังนั้นการกล่าวตั๊กบีรในการละหมาดอีดทั้งสอง(อีดิ้ลฟิตริแหละอีดิ้ลอัดฮา)  ร๊อกอัตที่สองจึงมีการตั๊กบีรถึง5ครั้ง
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَللهُ الَّذِى خَلَقَ سَبْعَ سَموَاتٍ وَمِنَ اْلاَرْضِ مِثْلَهُنَّ يَتَنَزَّلُ اْلاَمْرُبَيْنَهُنَّ لِتَعْلَمُوْااَنَّ اللهَ عَلى كُلِّ شَيْءٍ قَدِيْرٌوَاَنَّ اللهَ قَدْاَحَاطَ بِِكُلِّ شَىْءٍ عِلْمًا
พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงสร้างฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินก็อย่างนั้น(ก็ทรงสร้างเจ็ดชั้นเช่นเดียวกัน) พระบัญชาวะฮี จะลงมาท่ามกลางมันทั้งหลาย(ชั้นฟ้าและแผ่นดิน)เพื่อพวกท่านจะได้รู้ว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้น ทรงอนุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้น ทรงห้อมล้อมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยความรอบรู้(ของพระองค์ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะมาปิดบังความรอบรู้ของพระองค์ได้)     
ซูเราะห์ اَلطَّلاَق) 65 อายะห์ที่ 12)
     คำว่า مِثْلَهُنَّ ในอายะห์นี้นั้น นักวิชาการได้ให้ความคิดเห็นต่างกัน โดยส่วนมากให้อ่านว่า مِثْلَهُنَّ คืออ่านสระฟัตฮะห์ที่ตัวลาม อยู่ในหน้าที่มัฟอูลให้กับฟิอิ้ลที่ถูกลบไป
مَفْعُوْلٌ لِفِعْلٍ مَحْذُوْفٍ اي وَخلَقَ مِثلَهُنَّ فِى الْعَدَدِمِنَ اْلاَرْضِ
     ส่วนนักวิชาการอีกบางส่วนอ่านว่า คืออ่านสระดอมมะห์ที่ตัวลาม  مِثْلُهُنَّ เป็นมุบต่าดามู่อั๊กค๊อร ส่วนคำว่า  مِنَ اْلاَرْضِอยู่ในหน้าที่ เป็นค่อบัรมู่ก๊อดดัม
     เช่นเดียวกันจากอายะห์ตรงนี้(ตรงคำว่าلِتَعْلَمُوْا  ลามตัวนี้เรียกว่า เป็นลามที่ชี้ถึงการบอกสาเหตุ เป็นعِلَّْةْให้กับคำว่าخَلَقَ หรือ  يَتَنَزَّلُ) ดังนั้นจากอายะห์ตรงนี้จึงชี้ชัดให้เห็นได้ว่า สาเหตุที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างฟากฟ้าทั้งเจ็ดมาแหละสาเหตุที่พระองค์ ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินทั้งเจ็ดขึ้นมา หรือที่พระองค์ทรงลงวะฮีมา(แหละทรงบริหารจัดการในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างนั้น) พระองค์สร้างฟ้าทั้งเจ็ดแหละแผ่นดินทั้งเจ็ดมาทำไม สาเหตุก็คือเพื่อให้ได้รู้ว่าพระองค์ทรงมีความสามารถ(พระองค์ทรงทำได้ ที่ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงพบได้ว่าไม่เคยได้ยินใครเลยที่อ้างว่าสร้างฟ้ามา แหละไม่เคยได้ยินใครเลยที่อ้างว่าสร้างพื้นแผ่นดินมา ก็เพราะว่าไม่มีใครที่จะสามารถทำได้)
     แหละการที่พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าให้มีถึงเจ็ดชั้น ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มีถึงเจ็ดชั้น ทำไมพระองค์จึงได้ทรงสร้างฟ้าให้มีถึงเจ็ดชั้น ทำไมพระองค์ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มีถึงเจ็ดชั้น สาเหตุก็คือเพื่อให้ได้รู้ว่าพระองค์ ไม่ใช่แค่มีความสามารถเท่านั้น(ไม่ใช่แค่ทำได้เท่านั้น) แต่อันความเป็นจริงแล้ว พระองค์ทรงมีความสามารถที่สมบูรณ์แบบ ที่ไม่มีใครเลยที่เทียบเทียมพระองค์ได้ แหละอีกทั้งพระองค์ยังทรงมีความรอบรู้ที่สมบูรณ์แบบอีกเช่นกัน ดังนั้นจงกล่าวซะฮาดะห์กันมากๆ จงทำคุณความดีตามรูปแบบ ตามวิถีทางแห่งอัลอิสลามกันมากๆ
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري (1810)  ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)         
     จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา     
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
*****วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันวันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 นั่นก็หมายถึงว่า จะเป็นการกำหนดวันอีดอีดิ้ลอัดฮาอีกด้วย)
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2555 เวลา 19.02.32วินาที  วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555(ดวงจันทร์อยู่ทางด้านล่างของกลุ่มดาว LIBRA  กลุ่มดาวคันชั่ง กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 360819.21กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 360960.58กิโลเมตร)     
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.58.37 วินาที  ดวงจันทร์ตก18..37.39 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 39 นาที 03 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  17.57.03วินาที ดวงจันทร์ต   18.36.30วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 39 นาที 27 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.00.03 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.43.00 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 42 นาที 57 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.01.29 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.44.32 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 43นาที 03 วินาที
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.00.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.43.47 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 43 นาที 06 วินาที
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 17.59.43 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.39 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 42 นาที 57 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.01.12 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.44.29 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.00.28 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.43.26วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 17.59.31วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.26 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.02.49 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.35 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.01.39 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.40.41 วินาที   ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.00.29 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.43.16 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.39.31วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.17.04 วินาที   ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 17.58.47 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.37.46 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433
 แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
ดังนั้นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 ตรงกับวันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2555 ดังนั้นวันอีดอีดิ้ลอัดฮาฮ.ศ.1433 ตรงกับวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2555
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ ไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ
 شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان
     วันนี้วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2555  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.47.58วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.07.18วินาที ดุฮ์ริเวลา12.03.16วินาที อัสริเวลา15.24.26วินาที มักริบเวลา17.59.03วินาที อีซาเวลา19.10.08
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.49.48 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.09.06วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.05.08วินาที  อัสริเวลา15.26.16 วินาที  มักริบเวลา18.00.59วินาที  อีซาเวลา19.12.01
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.52.42วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.12.40วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.07.01วินาที  อัสริเวลา15.28.13วินาที  มักริบเวลา18.01.05 วินาที  อีซาเวลา19.12.25วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.53.35วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.14.14วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.07.57วินาที  อัสริเวลา15.28.22วินาที  มักริบเวลา18.01.21วินาที  อีซาเวลา19.13.09วินาที 
      พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ
شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:15 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: อยู่ในฐานะบ่าว กิบลัต ดวงอาทิตย์ฯลฯ
« ตอบกลับ #54 เมื่อ: พ.ย. 11, 2012, 07:56 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
     
     ใกล้ที่จะถึงการเริ่มต้นขึ้นฮิจเราะห์ศักราชที่ 1434 ใหม่ขึ้นมาทุกที ขอให้เราท่านทั้งหลายจงสำรวจ แหละได้ประเมินตัวของเราท่านทั้งหลายเองว่า ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น เราท่านทั้งหลายได้ทำคุณความดีมากน้อยเพียงใด แหละได้ก้าวผิดพลั้งไปกระทำ ในสิ่งที่ขัดกับหลักบัญญัติของศาสนามากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ไม่ใช่อื่นใด แต่เพื่อให้เราท่านทั้งหลายจะได้มีการสำนึกผิด นำพาตัวเองให้มีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น เพื่อให้อยู่ภายใต้กรอบที่ว่า เราท่านทั้งหลายจะเปลี่ยนแปลงตัวของเราท่านทั้งหลายเอง ไปในหนทางที่ดีขึ้น ไปในหนทางที่สร้างความยินดี(รี่ดอ)ให้กับพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น
     ถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลาย จะย้อนกลับไปดูในหน้าประวัติศาสน์ อันเรื่องจริงๆแล้วท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ได้เคยกระทำไว้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ประชาชาติของท่านได้รับทราบแหละรับรู้ว่า การขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นตัวช่วยที่ดียิ่ง สำหรับผู้ที่หวังจะได้รับความผาสุกในโลกหน้าอาคิเราะห์ สำหรับผู้ที่หวังว่าจะได้เห็นพระพักษ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าในโลกหน้าอาคิเราะห์
     ถ้าเราท่านทั้งหลายจะพิจรณาดีๆแล้ว ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ท่านเป็นบุคคลที่ถูกมะซูม(ไม่มีความผิด) แต่กระนั้นตัวของท่านเองก็ยัง ได้มีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าในทุกๆวัน ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว การขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าในทุกๆวันนั้น ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่การขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าของท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ในแต่ละวันนั้นมีจำนวนหลายสิบครั้งด้วยกัน สาเหตุที่ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กระทำอย่างนั้น ก็เพราะว่าท่านได้ตระหนักถึงว่า ท่านอยู่ในฐานะบ่าว แต่พระผู้เป็นเจ้านั้นพระองค์ทรงอยู่ในฐานะนาย ยิ่งกว่านั้นยังแสดงถึงความมีมารยาท ยังแสดงถึงความนอบน้อมที่บ่าวต้องมีต่อนาย แหละเพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงจัง เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดีงามที่ท่านได้มอบให้กับประชาชาติของท่าน
     ยิ่งไปกว่านั้นนักวิชาการยังได้บอกอีกว่า ควรอย่างยิ่งที่เราท่านทั้งหลายจะต้องขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงจังและรีบด่วน ก็เพราะท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้มีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าในทุกๆวัน
وَعَنْ أَبِيْ هُرَيْرَةَ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُوْلُ وَاللهِ إِنِّيْ لأَسْتَغْفِرُاللهَ وَاَتُوْبُ اِلَيْهِ فِي الْيَوْمِ اَكْثَرَمِنْ سَبْعِيْنَ مَرَّةً رَوَاهُ اْلبُخَارِيُّ
     
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ฉันได้ยินรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ขอสาบานต่อพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ตัวฉันเองจะต้องขอลุกโทษต่อพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) และสำนึกผิด กลับตัวไปหาพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) มากกว่าวันละเจ็ดสิบครั้ง รายงานโดยบุคอรี
     เราท่านทั้งหลายก็อยู่ในฐานะบ่าวเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นเราท่านทั้งหลายทุกๆคน ล้วนแล้วแต่มีความผิดด้วยกันทั้งนั้น เพราะว่าเราท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นในทุกๆวันขอให้เราท่านทั้งหลายจงมีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าให้มากๆ รวมถึงต้องเสียใจในความผิดที่ได้ทำมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น จะต้องไม่หวนกลับไปกระทำความผิดนั้นๆอีกเป็นอันขาด ส่วนถ้าเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับบุคคนอื่น จะต้องเพิ่มอีกข้อก็คือ จะต้องนำไปชดใช้เขา แหละต้องขออภัย(มะอัฟ)จากเขาอีกด้วย จะต้องทำให้ได้ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ การขอลุกโทษจึงจะมีผลใช้ได้
     นะยิสจะล้างให้สะอาดได้ก็ต้องใช้น้ำล้างฉันใด บาปกรรมแหละความผิดก็ต้องใช้การขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นตัวช่วยในการลบล้างฉันนั้น
     ท่านอุมัรบินค๊อตต๊อบได้ถูกถาม ถึงเรื่องการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านได้บอกว่า เมื่อขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจแล้ว จะต้องไม่หวนกลับไปทำซ้ำใหม่อีก ให้เหมือนกับน้ำนมที่เมื่อได้ไหลออกมาจากเต้านมแล้ว จะไม่สามารถกลับไปในเต้านมได้ใหม่อีก
     ท่านฮาซันบาซอรี ได้บอกถึงการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าไว้ว่า ขั้นแรกต้องเสียใจ ต่อมาต้องขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยกับลิ้น เลิกไม่ทำอีก ลึกๆของจิตใจต้องคิดตั้งใจจริงว่าจะไม่กลับไปทำอีก
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
يَااَيُّهَاالَّذِيْ آمَنُوْاتُوْبُوْااِلَي اللهِ تَوْبَةً نَصُوْحًاعَسَي رَبُّكُمْ اَنْ يُكَفِّرَعَنْكُمْ سَيِّآتِكُمْ
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย ท่านทั้งหลายจงขอลุกโทษต่อพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ด้วยการขอลุกโทษอย่างจริงจังเถิด บางทีพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่าน จะลบล้างความผิดของพวกท่านออกจากพวกท่าน ซูเราะห์(التحريم)66 อายะห์ที่8
     ตรงคำว่าنَصُوْحًا  นั้นนักวิชาการได้บอกว่าอ่านได้2อย่าง 1.ที่แข็งแรงที่สุด ส่วนมากที่สุดให้อ่านสระฟัตตะห์ที่ตัวนูนคืออ่านว่าنَصُوْحًا อ่านแบบซีฆอตมุบาล่าเฆาะห์
اىتوبةً بالِغةً في النَّصْح
2.แหละนักวิชาการยังได้บอกอีกว่า มีบางส่วนตรงคำว่าنصُوْحًا  นี้ให้อ่านสระดอมมะห์ที่ตัวนูนคืออ่านว่าنُصُوْحًا อ่านแบบซีฆอตมัสดัร เป็นการอ่านของท่านอบูบักรจากท่านอาซิม แหละเป็นการอ่านของท่านคอริยะห์จากท่านนาเฟี๊ยะ
اىتوبةَ نصْحٍ لأَنْفسِكم
     ขอให้เราท่านทั้งหลายสังเกตุให้ดีๆ ถ้าเราท่านทั้งหลายมีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้า แล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงรับ ใครได้รับประโยชน์ ก็เราท่านทั้งหลายเองที่ได้รับ ถ้าเราท่านทั้งหลายทำคุณความดีแขนงต่างๆต่อพระผู้เป็นเจ้า โลกหน้าอาคิเราะห์ใครได้รับผลประโยชน์ ก็เราท่านทั้งหลายเองที่ได้รับ นี่แหละเรียกว่าพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหวังดีแหละพร้อมที่จะหยิบยื่นสิ่งดีๆให้แก่บ่าวของพระองค์อยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าใครกันบ้างที่จะตอบรับ ความปารถนาดีจากพระผู้เป็นเจ้าบ้างเท่านั้นเอง
     อายะห์กุรอ่านที่ได้กล่าวมานั้น ถ้าเราท่านทั้งหลายจะมองให้ดีๆก็จะพบว่า พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้ปวงบ่าวของพระองค์ได้มีการขอลุกโทษต่อพระองค์อย่างจริงจัง คือพระองค์ได้บอกเน้นย้ำให้มีการขอลุกโทษกันอย่างจริงจัง โดยใช้การกล่าวคำว่า تَوْبَةًنَصُوْحًا ขึ้นมา(คือถ้าพระองค์กล่าวแค่ว่า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย ท่านทั้งหลายจงขอลุกโทษต่อพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)) ถ้ากล่าวแค่นี้ เราท่านทั้งหลายก็จะไม่สามารถทราบได้เลยว่า ขอลุกโทษแบบใหนที่พระองค์จะทรงใช้ ขอลุกโทษแบบใหนที่จะมีผล แต่พอพระองค์กล่าวเน้นย้ำเพิ่มขึ้นมาว่า تَوْبَةًنَصُوْحًاเราท่านทั้งหลายก็เข้าใจได้เลยว่าการขอลุกโทษ ที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงใช้ แหละทรงตอบรับนั้นต้องขอลุกโทษแบบจริงจัง
      ดังนั้นคำว่าتُوْبُوْا กับคำว่าتَوْبَةً นี้ผันมาจากอักษรเดียวกัน คำว่าتَوْبَةًนี้จะเห็นได้ว่าอ่านน่าซอบ อยู่ในหน้าที่เป็นมัฟอูลุ้ลมุตลัก หรือเรียกอีกอย่างว่ามัสดัร ทำไมจึงเรียกมัฟอูลุ้ลมุตลักว่ามัสดัร ก็เพราะคือเป็นคำที่บอกถึงอาการนามโดยไม่มีเวลาเข้ามาเกี่ยงข้อง
     คืออย่างนี้ คำกริยาในภาษาอะหรับที่เรียกว่าฟิอิ้ลนั้น ใน1คำจะมีอยู่2เครื่องหมาย(ใน1คำจะชี้บอกถึง2อย่าง) 1.เหตุการณ์ หรือที่เราพูดกันติดปากก็คือคำกริยา 2.เวลา (หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า คือในฟิอิ้ลนั้นจะชี้บอกให้รู้ถึง2อย่าง1.บอกถึงเหตุการณ์ 2.บอกถึงเวลา)
     ยกตัวอย่างเช่นในคำว่าتُوْبُوْا เหตุการณ์ กริยาที่อยู่ในนี้คือ1.ท่านทั้งหลายจงขอลุกโทษ 2.ส่วนเวลาที่อยู่ในนี้คือเวลาอนาคตเพราะคำว่าتُوْبُوْا เป็นฟิอิ้ลอะมัร ต่อมาพอจะเน้นย้ำให้มีการขอลุกโทษอย่างจริงจัง ที่เรียกว่ามัฟอูลุ้ลมุตลัก ก็ต้องทำให้คำในภาษาอะหรับนั้นให้ไม่มีเครื่องหมายของเวลาอยู่ในนั้น ให้เหลือแค่เหตุการณ์ กริยาไว้เท่านั้น แล้วจะทำอย่างไรดี วิธีการก็คือต้องแปลงหรือผันคำนั้น(ฟิอิ้ลนั้น)ให้ไปอยู่ในรูปของมัสดัร แค่นี้ก็ไม่มีเวลาอยู่ในนั้นแล้ว ดังนั้นจึงได้คำว่าتَوْبَةً มา
     ดั่งที่คำกลอนวิชานะฮู ที่รู้จักกันในนามอัลฟียะห์ได้บอก ถึงเรื่องของมัฟอูลุ้ลมุตลักไว้ว่า
اَلْمَصْدَرُاسْمُ مَاسِوَى الزَّمَانِ مِنْ         مَدْلُوْلَيِ الْفِعْلِ كَأَمْنِ مِنْ اَمِنْ
มัสดัร(หรือมัฟอูลุ้ลมุตลัก)นั้นคืออิเซ็ม(คำนาม)ของสิ่งหนึ่ง(กริยา)อื่นจากเวลา(ไม่มีเวลาในนั้นคือไม่ใช่ฟิอิ้ลแต่ผันมาจากฟิอิ้ลเดียวกัน)
จาก2เครื่องหมายของฟิอิ้ลเช่นคำว่าأَمْنً ที่มาจากคำว่า   اَمِنَ 
قوله مِنْ مَدْلُوْلَيِ اي مِنْ أَحَدِمَدْلُوْلَيِ الْفِعْلِ
قوله كَأَمْنِ مِنْ اَمِنْ اي وَمِثاَلُ ذلِكَ المصدركاءِنٌ كَأمْن مأخوذٌمن اَمِن
     ดังนั้นทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น บอกให้เราท่านทั้งหลายได้รู้ว่า การขอลุกโทษอย่างจริงจังต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง สำหรับเราๆท่านๆที่อยู่ในฐานะบ่าวของพระองค์
   ***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 นั่นก็หมายถึงว่า จะเป็นการกำหนดวันขึ้นปีใหม่ ฮิจเราะห์ศักราช 1434)
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 เวลา 05.08.02วินาที  ดังนั้นวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555(ดวงจันทร์อยู่ทางเกือบทางด้านบนของกลุ่มดาว LIBRA  กลุ่มดาวคันชั่ง กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 357392.92กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 357361.06 กิโลเมตร ส่วนทางด้านบนของดวงจันทร์จะมีดาวพุธอยู่(MERCURY) ดาวพุธนั้นใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์1รอบ เท่ากับ88วันของโลกเรา
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.48.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.14.26 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 16 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  17.47.10 วินาที ดวงจันทร์ต   18.13.32วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 22 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 17.54.48 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.22.23 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 35 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 17.56.18 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.23.58 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27นาที 40 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.00.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.43.47 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 39 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 17.54.29 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.22.03 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 34 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 17.56.21 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.24.05 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 43วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก17.55.13 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.22.49วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 36วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 17.54.15 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.21.48 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 33วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 17.57.11 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.24.48 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 37 วินาทีสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17.50.58 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.17.20 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 22 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 17.54.59 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.22.32 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 34 วินาทีสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.27.56 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.53.09 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25 นาที 13วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 17.48.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.14.26 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 32 นาที 19วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนมุฮัรรอม ฮ.ศ.1434
 แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เห็นค่อนข้างยาก
ดังนั้นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 
แต่ถ้าฝนมาฟ้ามืด เมฆบดบัง จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ดังนั้นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
     ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
     วันนี้วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2555  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.53.03 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.15.06 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.00.52วินาที อัสริเวลา15.19.23วินาที มักริบเวลา17.46.29วินาที อีซาเวลา19.00.05 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.54.48 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.16.49วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.02.44 วินาที  อัสริเวลา15.21.19 วินาที  มักริบเวลา17.48.30วินาที  อีซาเวลา19.02.04 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา05.03.59วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.26.30วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.04.40วินาที  อัสริเวลา15.16.42วินาที  มักริบเวลา17.42.38 วินาที  อีซาเวลา18.56.22วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.07.32 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.30.41วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.05.37 วินาที  อัสริเวลา15.14.09 วินาที  มักริบเวลา17.40.18วินาที  อีซาเวลา18.54.29 วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:16 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re:รางวัลแด่ผู้ศรัทธา กิบลัต ดวงอาทิตย์ฯลฯ
« ตอบกลับ #55 เมื่อ: ธ.ค. 10, 2012, 06:52 AM »
0
      :salam:
     การที่เราท่านทั้งหลายได้มีการศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น นับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว จะมีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้มีศรัทธาต่อเจ้าของ ของทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ซึ่งพระองค์ทรงเป็นเจ้าของตัวจริง เป็นเจ้าของจริงๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของแบบการอ้างตน หรือเป็นเจ้าของแบบอุปโลคขึ้นมาเองใดๆทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเราท่านทั้งหลาย ได้มีการขยันทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ในทุกๆที่ทุกๆเวลาที่เรามีแล้ว เชื่อได้เลยว่า เราท่านทั้งหลายนั้นจะได้รับความยินดีจากพระผู้เป็นเจ้า จะได้รับสิ่งที่ดีๆจากพระผู้เป็นเจ้าในโลกหน้าอาคิเราะห์อย่างแน่นอน
    ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือจะยากจน ก็ไม่สามารถ ไม่มีสิทธิจับจองพื้นที่ ในสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะว่าเงินแหละทรัพย์สินเงินทอง ไม่สามารถจับจองพื้นที่ ในสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ มีแต่ความศรัทธาแหละคุณความดีเท่านั้น ที่สามารถนำไปจับจองพื้นที่ในสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้(ความจริงมีอยู่ว่าทรัพย์สินเงินทอง ก็สามารถนำพาเราท่านทั้งหลายให้ได้พำนักอยู่ในสรวงสวรรค์ชั้นสูงๆได้ ถ้าเราท่านทั้งหลายบริหารจัดการ แหละใช้จ่ายไปในทางของพระองค์)
     เล่าจากอะบีซะอี๊ด(رَضِيَ اللهُ تَعَالَي عَنْهُ)ว่าแท้จริง ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าว่า แท้จริงแท้จริงชาวสวรรค์จะชะเงื้อดูชาวสวรรค์ ในห้องต่างๆที่อยู่ถัดขึ้นไป เหมือนที่ท่านทั้งหลายชะเงื้อดูดาวประจำเมืองที่โคจรไปในขอบฟ้า จากทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก(ที่อยู่สูงขึ้นไป ที่มีแสงสว่างอันสวยงาม) เพราะความเหลื่อมล้ำของพวกเขา พวกเขา(บรรดาอัครสาวก)ได้กล่าวว่า โอ้ร่อซูลุ้ลลอห์นั่นคือตำแหน่งบรรดานบี ที่ผู้อื่นจะขึ้นไปไม่ถึง ท่านได้กล่าวว่าหามิได้ สาบานต่อผู้ซึ่งที่ชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมือของพระองค์ว่า บรรดาผู้ชายที่มีศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)(ที่มีคุณธรรม ที่มีความดี) และเชื่อมั่นต่อบรรดาศาสนทูต รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมีรี
     ทิศกิบลัตของแต่ละตำบลจะมีทิศที่แตกต่างกัน หากลองเอาลูกโลกจำลองมาทดลอง ลากเส้นไปตามความโค้งของลูกโลกจำลอง จากจุดใดจุดหนึ่งไปยังมหานครมักกะห์ จะเห็นได้ชัดว่าแต่ละจุดบนพื้นโลกจะมีทิศกิบลัตเฉพาะตัว ของจุดใครจุดมัน ไม่เหมือนกัน ดังนั้นในประเทศไทย แต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ แต่ละตำบลก็จะมีทิศกิบลัตของตัวเอง
     ในช่วงแรกของการเผยแผ่อิสลามของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ มุสลิมหันไปทางมัสยิดอัลอักซอในกรุงเยรูซาเล็ม (ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิสราเอล) แต่ต่อมาหลังจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อพยพจากมักกะห์ ไปยังเมืองมาดินะห์ได้ประมาณสิบหกเดือน พระองค์ทรงลงบัญญัติให้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)เปลี่ยนจุดศูนย์รวมแห่งใหม่ ไปเป็นที่มัสยิดอัลหะรอมในมหานครมักกะห์แทนที่เดิม (ปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอุดิอารเบีย  ) ดังนั้นที่เราท่านทั้งหลายเห็นมุสลิมในเมืองไทยปูพรมละหมาดก็คือหันไปทางทิศนี้ ซึ่งตามความเป็นจริงคือทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือเล็กน้อย
     ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ปัจจุบันสามารถหาทิศกิบลัตทางภาพถ่ายดาวเทียมได้ ถ้าไม่ตรงก็เปลี่ยนซอฟ(แถว)ให้ตรง เท่านั้นเอง แต่ในการปฏิบัติจริงๆ ที่เปลี่ยนยากที่สุดก็คือจิตใจ ทั้งๆที่นำหลักฐานทุกอย่างชี้แจงชัดๆแล้ว ก็ยังเฉไฉออกจากทางที่ถูกต้องอีก เพราะอีหม่านยังไม่แข็งพอ เพราะความเข้มข้นในศรัทธายังไม่มากพอ
          พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَكَذَلِكَ جَعَلْنَاكُمْ أُمَّةً وَسَطًا لِتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ وَيَكُونَ الرَّسُولُ عَلَيْكُمْ شَهِيدًا وَمَا جَعَلْنَا الْقِبْلَةَ الَّتِي كُنْتَ عَلَيْهَا إِلَّا لِنَعْلَمَ مَنْ يَتَّبِعُ الرَّسُولَ مِمَّنْ يَنْقَلِبُ عَلَى عَقِبَيْهِ وَإِنْ كَانَتْ لَكَبِيرَةً إِلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ إِنَّ اللَّهَ بِالنَّاسِ لَرَءُوفٌ رَحِيمٌ
{وَكَذَلِكَ} كَمَا هَدَيْنَاكُمْ إلَيْهِ {جَعَلْنَاكُمْ} يَا أُمَّة مُحَمَّد {أُمَّةً وَسَطًا} خِيَارًا عُدُولًا {لِتَكُونُوا شُهَدَاء عَلَى النَّاس} يَوْم الْقِيَامَة أَنَّ رُسُلهمْ بَلَّغَتْهُمْ {وَيَكُون الرَّسُول عَلَيْكُمْ شَهِيدًا} أَنَّهُ بَلَّغَكُمْ {وَمَا جَعَلْنَا} صَيَّرْنَا {الْقِبْلَة} لَك الْآن الْجِهَة {الَّتِي كُنْت عَلَيْهَا} أَوَّلًا وَهِيَ الْكَعْبَة وَكَانَ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي إلَيْهَا فَلَمَّا هَاجَرَ أُمِرَ بِاسْتِقْبَالِ بَيْت الْمَقْدِس تَأَلُّفًا لِلْيَهُودِ فَصَلَّى إلَيْهِ سِتَّة أَوْ سَبْعَة عَشْر شَهْرًا ثُمَّ حُوِّلَ {إلَّا لِنَعْلَم} عِلْم ظُهُور {مَنْ يَتَّبِع الرَّسُول} فَيُصَدِّقهُ {مِمَّنْ يَنْقَلِب عَلَى عَقِبَيْهِ} أَيْ يَرْجِع إلَى الْكُفْر شَكًّا فِي الدِّين وَظَنًّا أَنَّ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي حِيرَة مِنْ أَمْره وَقَدْ ارْتَدَّ لِذَلِك جَمَاعَة {وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ {وَمَا كَانَ اللَّه لِيُضِيعَ إيمَانكُمْ} أَيْ صَلَاتكُمْ إلَى بَيْت الْمَقْدِس بَلْ يُثِيبكُمْ عَلَيْهِ لِأَنَّ سَبَب نُزُولهَا السُّؤَال عَمَّنْ مَاتَ قَبْل التحويل {إن الله بالناس} المؤمنين {لرؤوف رَحِيم} فِي عَدَم إضَاعَة أَعْمَالهمْ وَالرَّأْفَة شِدَّة الرَّحْمَة وَقَدَّمَ الْأَبْلَغ لِلْفَاصِلَةِ
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกท่านเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกท่านจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ชาติทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกท่านทั้งหลาย และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่ท่านเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันสันเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(ในจิตใจอ้างโน่นอ้างนี่ ไม่ยอมเปลี่ยน) นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่ แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري   ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
      มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1434 ว่า
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 เวลา 15.41.38 วินาที  วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1434 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555(ดวงจันทร์อยู่ทางด้านขาของกลุ่มดาว OPHIUCHUS (กลุ่มดาวคนแบกงู) กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 357492.00กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 357310.88 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.52.40 วินาที  ดวงจันทร์ตก17.57.08 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 04 นาที 29 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  17.52.06 วินาที ดวงจันทร์ต 17.56.23วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 4 นาที 17 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.02.20 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.05.50 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 03 นาที 30 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.03.52 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.07.25 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 33 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.03.14 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.06.43 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 29 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.02.01 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.05.30 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 29 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.04.07 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.07.34 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 28 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.02.45 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.06.16 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 31วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 18.01.45 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.05.14 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.04.30 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.08.12 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 42 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17.55.27 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.00.05 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 4 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.02.23 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.05.57 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 34 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.31.55 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.35.44 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 49วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 17.52.42 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.57.12 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 4 นาที 30วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนซอฟัร ฮ.ศ.1434
 แหละทั่วทั้งประเทศไทย  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
ดังนั้นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2555 
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
     
     สำหรับวันนี้วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2555  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.05.02 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.29.53 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.09.40 วินาที อัสริเวลา15.24.39 วินาที มักริบเวลา17.49.26 วินาที อีซาเวลา19.05.31 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.06.43 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.31.31 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.11.32 วินาที  อัสริเวลา15.26.39 วินาที  มักริบเวลา17.51.31.วินาที  อีซาเวลา19.07.34 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา05.19.32 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.44.48 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.13.32 วินาที  อัสริเวลา15.18.28 วินาที  มักริบเวลา17.42.12 วินาที  อีซาเวลา18.58.27 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.24.34 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.50.31 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.14.29 วินาที  อัสริเวลา15.14.24 วินาที  มักริบเวลา17.38.22 วินาที  อีซาเวลา18.55.07 วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
 รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:17 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله
     ช่วงนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นขึ้นปีใหม่ หลายท่านคงได้รับปฏิทินอิสลามที่มีการบอกเวลาละหมาด ดังนั้นขอให้เราท่านทั้งหลายตระหนักถึงความสำคัญของการละหมาดให้มาก เพราะว่าการละหมาดนั้นเป็นอิบาดัตชนิดเดียวที่ ร่อซูลุ้ลลอห์ได้รับพระบัญชาใช้จากพระผู้เป็นเจ้าด้วยกับตัวของท่านเอง เมื่อเราท่านทั้งหลายนึกคิดอยู่เสมอว่าการละหมาดนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆๆๆ สำหรับการที่ได้เกิดมาเป็นผู้ศรัทธา รับรองได้ว่ายากที่เราท่านทั้งหลายจะขาดละหมาด
     ในการคำนวณเวลาละหมาดนั้น ในฐานะที่ผมเองได้ศึกษามาโดยตรง ผมจะอยากขอแนะนำว่า ไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะดูปฏิทินหรือดูเวลาละหมาดทางใหนก็แล้วแต่ ปัญหาที่พบอยู่บ่อยๆก็คือเวลาของการละหมาดซุบฮิ จากการศึกษาของผมเอง ได้พบว่าผู้รู้(อาเล็ม)ในวิชาฟะลักในสมัยก่อนหลายต่อหลายท่าน รวมถึงสมัยนี้หลายต่อหลายท่าน ได้คำนวณเวลาละหมาด ได้บอกว่าเวลาซุบฮิต้อง 20 องศา ก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้นจริง(คืออยู่ต่ำกว่าขอบฟ้า20องศา ในวิธีการคำนวณนั้นต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ หาค่าแธนพีส่วนสองเท่ากับสแควรรูตเศษซายวงเล็บอาร์ลบซี คูณ ซายวงเล็บอาร์ลบเอสส่วนซายวงเล็บอาร์ลบพี คูณ ซายอาร์ ต่อจากนี้ยังมีขั้นตอนอีกมากมาย กว่าจะได้เวลาละหมาดซุบฮิ จากการที่ผมได้ดูปฏิทินที่มีแจกในปัจจุบันนี้ เวลาซุบฮิยังอยู่ในประมาณ20องศา ตรงนี้ผมไม่ห่วง ต่างกันนิดหน่อยอยู่ที่ตำแหน่งแลต-ลองที่คำนวณ (ตรงนี้สำคัญมากๆๆๆ ถ้าคำนวนตรงใจกลางเมือง ด้านชานเมืองอาจยังไม่เข้าเวลาก็เป็นได้ นักทำปฏิทินต้องให้ความสำคัญในสิ่งที่เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆนี้ แต่ตามพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเพราะถ้าเริ่มละหมาดก่อนเข้าเวลา ก็ใช้ไม่ได้นั่นเอง) แหละค่าเวลาเผื่อ แต่ที่เป็นห่วงก็คือเวลาซุบฮิ ที่ต่างไปกว่าปฏิทินมาก บางทีมากถึง12นาที บางทีมากถึง8นาที (อย่างนี้ไม่เรียกว่า20องศาแล้ว) ซึ่งปัญหานี้ก็จะเกิดขึ้นช่วงเดือนร่อมะดอนนั่นเองคือเข้าเวลาละหมาดซุบฮิจริงๆแล้วแต่ยังรับประทานอาหารกันอยู่เลย ซึ่งตรงนี้ควรตระหนักให้มาก
     รายงานจากท่านอะบูฮุรอยเราะห์  ความว่า  ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
إِنَّ فِي الْجَنَّةِ مِائَةَ دَرَجَةٍ أَعَدَّهَا اللَّهُ لِلْمُجَاهِدِينَ فِي سَبِيلِ اللَّهِ، مَا بَيْنَ الدَّرَجَتَيْنِ كَمَا بَيْنَ السَّمَاءِ وَالأَرْضِ، فَإِذَا سَأَلْتُمُ اللَّهَ فَاسْأَلُوهُ الْفِرْدَوْسَ، فَإِنَّهُ أَوْسَطُ الْجَنَّةِ وَأَعْلَى الْجَنَّةِ، أُرَاهُ فَوْقَهُ عَرْشُ الرَّحْمَنِ، وَمِنْهُ تَفَجَّرُ أَنْهَارُ الْجَنَّةِ
"แท้จริงในสวรรค์นั้นมี  ระดับชั้น ที่อัลเลาะฮ์ทรงตระเตรียมมันไว้สำหรับบรรดานักรบในหนวิถีทางของอัลเลาะฮ์  ซึ่งระหว่างสองชั้นนั้นห่างกันระหว่างฟ้าและแผ่นดิน  ดังนั้นเมื่อพวกท่านได้วอนขอต่ออัลเลาะฮ์  ก็จะขอพระองค์กับสวรรค์ฟิรเดาซ์เถิด  เพราะมันเป็นสวรรค์ที่ดีเลิสที่สุดและชั้นสูงที่สุด  ฉันได้เคยเห็นมันอยู่ใต้บัลลังก์ของอัลเลาะฮ์  และมีบรรดาแม่น้ำในสวรรค์ไหลพุ่งออกมาจากมัน"  ซอเฮียะห์บุคอรี
     นับว่าเป็นรางวัลที่สูงค่ามาก เป็นรางวัลอันเลอค่า(เป็นสิ่งที่ดวงตาไม่เคยได้เห็น หูไม่เคยได้ยิน แม้กระทั่งในจินตนาการก็ไม่เคยที่จะจินตนาการไปได้ถึงขนาดนี้เลย)ที่พระองค์ตระเตรียมไว้ให้กับปวงบ่าวของพระองค์ เป็นรางวัลตอบแทนที่ปวงบ่าวของพระองค์ที่ได้มีการมุ่งมั่น ทำคุณความดีแขนงต่างๆกัน มุ่งมั่นทำเพื่อพระองค์ เพื่อสนองตอบพระบัญชาของพระองค์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
إِنَّ الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ كَانَتْ لَهُمْ جَنَّاتُ الْفِرْدَوْسِ نُزُلًا
{إنَّ الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَات كَانَتْ لَهُمْ} فِي عِلْم اللَّه {جَنَّات الْفِرْدَوْس} هُوَ وَسَط الْجَنَّة وَأَعْلَاهَا وَالْإِضَافَة إلَيْهِ لِلْبَيَانِ {نُزُلًا} مَنْزِلًا
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา(ต่อพระผู้เป็นเจ้า ต่อท่านนบีมุฮัมหมัด ซ.ล.และต่อพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน)และปฏิบัติคุณความดี(ซึ่งสร้างความพึงพอพระทัยแด่พระผู้เป็นเจ้า)สำหรับพวกเขานั้นคือสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส เป็นที่พำนัก(เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด)ซูเราะห์อัลกะห์ฟิ 18 อายะห์ที่107
     นักวิชาการได้บอกว่าอายะห์กุรอ่านที่ได้กล่าวมานั้น มีข้อคิดหลายอย่างหลายประการด้วยกัน
1.พระผู้เป็นเจ้าได้แจ้งบอกกับผู้ปฏิเสธศรัทธา (แหละปฏิบัติไม่ดี)ว่า จะต้องได้รับนรกยะฮันนัมเป็นสิ่งตอบแทน(ซึ่งได้มีปรากฏอยู่ในอายะห์ก่อนหน้านี้) ต่อมาพระผู้เป็นเจ้าก็ได้แจ้งถึงวิธีการแก้ไขไว้ให้อีกด้วย (เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อจะได้รอรับสิ่งดีๆในโลกหน้าอาคิเราะห์) คือให้เปลี่ยนแปลงตัวเองจากการที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา มาเป็นผู้ศรัทธาและปฏิบัติความดี ดังนั้นสัญญามั่นที่พระองค์ได้ทรงให้ไว้ก็คือจะตอบแทนด้วยสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส(เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด พิเศษสุดๆ)
2.คำว่าปฏิบัติความดีได้อะตอฟไปที่ศรัทธา ชี้ให้เห็นว่าคำว่า عَمِلُوا เป็นคำกริยา(ฟิอิ้ล)ได้อะตอฟไปที่คำว่า آمَنُوا ซึ่งก็เป็นคำกริยา(ฟิอิ้ล)เช่นกัน ตามหลักนะฮูถือว่าใช้ได้ ทำได้นั่นเอง หลักอันนี้ก็มีปรากฏอยู่ในคำกลอนนะฮู ที่รู้จักกันในนามอัลฟียะห์ว่า
وَحَذْفَ مَتْبُوْعٍ بَدَاهُنَااسْتَبِحْ         وَعَطْفُكَ الْفِعْلَ عَلَى الْفِعْلِ يَصِحْ
การตัดคำที่ถูกตามอย่างชัดแจ้งตรงนี้นั้นให้กระทำได้(คือการลบมะตูฟอะลัยนั้นกระทำได้)
และการอะตอฟของท่านที่ฟิอิ้ลไปยังฟิอิ้ลนั้นถูกต้อง (คือถือว่ากระทำได้)
3.ขึ้นชื่อว่าสวนสวรรค์ก็นับว่าดีสุดๆแล้ว แต่ที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส ดีสุด พิเศษสุด มีเกียรติสุด
4.ในดุนยานี้ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้นมากมายเหลือเกิน บางส่วนจากความรักก็คือได้ปลูกบ้านสร้างเรือนไว้ให้กับลูก เพื่อให้ลูกได้อยู่อย่างสบาย ไม่น้อยหน้าใคร แต่อันความรักที่พระผู้เป็นเจ้ามีต่อบ่าวนั้นมีมากมายเหลือเกิน ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ สำหรับผู้มีศรัทธาและปฏิบัติคุณความดีแล้ว สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้าง เตรียมไว้ให้เป็นสถานที่พำนักอาศัยในโลกหน้าอาคิเราะห์ก็คือสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส ดีสุด พิเศษสุด มีเกียรติสุด
     คำว่า نُزُلًاนักวิชาการบอกว่าอยู่ในหน้าที่ฮาลจากคำว่า جَنَّاتُ ส่วนคำว่า لَهُمْ อยู่ในหน้าที่เป็นค่อบะรุฮา
     คำว่า فِي عِلْم اللَّه ถ้าเราจะพูดจริงๆแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงวันกิยามะห์ยังไม่มีใครได้เข้าสวรรค์เลย แต่ในอายะห์กุรอ่านที่กล่าวมานี้ใช้ฟิอิ้ลมาดี(คือเหมือนว่าเกิดขึ้นมาแล้ว) ตรงนี้ก็คือในเรื่องการที่จะได้ไปอยู่ในสวรรค์ฟิรเดาสำหรับผู้มีศรัทธาและปฏิบัติคุณความดีนั้น จริงอยู่ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่อันความจริงแล้ว สิ่งนี้อยู่ในความรอบรู้ของพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่ยังไม่ได้สร้างเสียอีก
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري   ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจน ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ                
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 29 ซอฟัร ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2555 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556 เวลา 02.43.35 วินาที  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556(ดวงจันทร์อยู่ทางด้าน หัวของกลุ่มดาวแพะทะเล CAPRICORNUS กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง) ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 364194.34กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 363616.33 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.08.33 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.41 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 37 นาที 07 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  18.07.49 วินาที ดวงจันทร์ต 18.44.23วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 36 นาที 34 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.17.09 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.50.43 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 34 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.18.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.52.16 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 34 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.18.02 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.51.30 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 28 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.16.50 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.50.23 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 32 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.18.52 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.52.12 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 20 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.17.34 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.51.09 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 35วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 18.16.35 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.50.09 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 34วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.19.24 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.53.20 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 56 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.11.20 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.48.37 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 37 นาที 17 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.17.16 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.51.00 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 44 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.47.57 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.24.54 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 36 นาที 56วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 18.08.33 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.45.41 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 37 นาที 07วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434
 แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
 ดังนั้นวันที่ 1ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ.2556 
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
     วันนี้วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556  (เป็นวันเด็กแห่งชาติ อย่าลืมส่งให้ลูกเรียนศาสนาด้วย เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.19.48 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.43.53 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.25.07 วินาที อัสริเวลา15.41.13 วินาที มักริบเวลา18.06.26 วินาที อีซาเวลา19.21.48 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.21.55 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.46.00 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.27.14 วินาที  อัสริเวลา15.43.20 วินาที  มักริบเวลา18.08.33.วินาที  อีซาเวลา19.23.55 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา05.33.29 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 07.00.06 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.29.03 วินาที  อัสริเวลา15.36.05 วินาที  มักริบเวลา17.58.09 วินาที  อีซาเวลา19.15.47 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.38.05 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา07.03.12 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.29.55 วินาที  อัสริเวลา15.32.22 วินาที  มักริบเวลา17.56.47 วินาที  อีซาเวลา19.12.46 วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:18 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: สู่การปฏิบัติ กิบลัต ดวงอาทิตย์ฯลฯ
« ตอบกลับ #57 เมื่อ: ก.พ. 09, 2013, 08:49 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ได้กล่าวว่า ลูกหลานอาดัม ได้กล่าวหาว่าเราโกหก โดยเขาไม่มีสิทธิเช่นนั้นเลย และเขาได้ด่าเรา โดยเขาไม่มีสิทธิเช่นนั้นเลย ที่เขากล่าวหาว่าเราโกหกคือ การที่เขากล่าวว่า เราไม่สามารถฟื้นคืนเขาขึ้นมาใหม่ได้อีก เหมือนที่เราสร้างเขาในตอนต้น ส่วนที่เขาด่าเราก็คือ การที่เขากล่าวว่า อัลเลาะฮ์มีบุตร  ทั้งๆที่เราเป็นที่พึ่ง ซึ่งไม่ให้กำเนิดบุตร และไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมเรา รายงานโดยบุคอรี
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     การมีอีหม่าน การมีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่สิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แหละสิ่งนี้เอง จะเป็นสิ่งที่นำพาเราท่านทั้งหลาย ในฐานะบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ไปสู่ความผาสุก นำไปรับสรวงสวรรค์ นำพาเราท่านทั้งหลายสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ในโลกหน้าอาคิเราะห์ได้อย่างแน่นอน
     กิบลัตนั้น ก็คืออัยนุ้ลกะบะห์ มิใช่ยิฮะตุ้ลกะบะห์ ตรงนี้ต้องดูหนังสือให้มากนะครับ สำหรับผู้รู้ที่สังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ 
     กิบลัตนั้นก็คือจุดๆหนึ่ง หรือสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ผู้คนทั่วทุกมุมโลก จำเป็นต้องผินเข้าหา ในขณะปฏิบัติศาสนกิจ ในขณะละหมาด เพราะว่าการผินเข้าหากิบลัตนั้น ถือว่าเป็นซารัต เป็นกฏเกณฑ์ เป็นกฏระเบียบข้อหนึ่ง ที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ เพื่อให้การละหมาดของเราท่านทั้งหลาย มีผลใช้ได้ เป็นการละหมาดที่ไม่สูญเปล่า แหละเป็นการละหมาด ที่ถูกตอบรับจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ที่เรียกว่ากิบลัต ก็เพราะว่าทุกๆคนทั่วทุกมุมโลก ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ จะต้องผินเข้าหาในขณะเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า โดยมาในรูปแบบ ของการทำละหมาด ที่เรียกว่ากะบะห์ ก็เพราะว่ารูปทรงเป็นจุดเด่น สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม แต่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมจตุรัส สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่เรียกว่าบัยตุ้ลลอฮ์ ก็เพราะว่าทุกๆปีจะมีผู้คนแวะเวียนไปที่บัยตุ้ลลอฮ์อยู่ตลอดเวลา
     ขอย้ำครับว่า สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นแนวคิด เป็นแนวปฏิบัติ ของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ และเป็นแนวปฏิบัติของ ทุกๆคนที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ ทุกๆมัสยิดที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ ) เหตุที่ผมต้องนำเรื่องกิบลัตมากล่าวใหม่อีกก็เพราะ หลายครั้งหลายหน ที่ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้รู้ในบ้านเราเมืองเราหลายๆท่าน ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ แต่การพูดคุยกลับได้ความคิดเห็นแบบ ยิฮะตุ้ลกะบะห์ มิใช่อัยนุ้ลกะบะห์
     หรือจะพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือ การผินสู่กิบลัตแบบอัยนุ้ลกะบะห์นั้นก็คือ การผินสู่กิบลัตแบบละเอียด ส่วนการผินสู่กิบลัตแบบยิฮะตุ้ลกะบะห์นั้นก็คือ การผินสู่กิบลัตแบบหยาบๆ
     เรื่องกิบลัตนี้ผมชื่นชมท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ เรียกว่าท่านปฏิบัติแบบละเอียดที่สุดเท่าที่มีความสามารถ มิใช่ปฏิบัติแบบหยาบๆๆๆ เป็นตัวอย่างที่ดีในการเป็นนักพัฒนา สมัยท่านท่านบอกให้ดูดวงอาทิตย์ ดูภูเขา ดูดวงดาวเพื่อกำหนดตำแหน่งที่วิหารกะบะห์ได้ตั้งอยู่ ท่านไม่ได้บอกให้เพียงแค่ผินไปสู่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่เท่านั้น)
     นักวิชาการระดับมัซฮับ จึงมีความคิดที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับการผินหน้าอกไปทางกิบลัตในขณะละหมาด
ดังนั้นมัซฮับซาฟิอี ซึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยึดตามมัซฮับนี้ ถือว่าจะต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เลยเท่าที่มีความสามารถที่สุด พูดง่ายๆก็คือถ้ารู้แน่ชัดว่ายังหันไม่ตรงกะบะห์ ที่ผ่านมาการละหมาดถือว่าใช้ได้เพราะทำสุดความสามารถแล้ว แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกต้อง การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้อีกแล้ว หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถดูได้ที่หนังสืออั้ลอุม(ของท่านอิหม่ามซาฟิอีเล่มที่1หน้า114) และหนังสือฟิกห์4มัซฮับเล่มที่1หน้า178)(บางทีหนังสืออาจพิมพ์ต่างวาระกัน เล่มแหละหน้าอาจไม่เหมือนที่กล่าวมานี้ แต่ให้เข้าไปดูในบทที่ว่าด้วยเรื่องการผินสู่ทิศกิบลัตก็จะพบอย่างแน่นอน)
     ยิ่งถ้าเป็นนักดาราศาสตร์อิสลามแล้ว แต่ถ้ายังไม่ให้ความสำคัญในการผินสู่ทิศกิบลัตให้ตรงตามองศาที่สถานที่ตัวเองตั้งอยู่แล้ว คำตอบณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าก็คือความรู้ไม่นำพาสู่การปฏิบัติ เพราะว่าคำนวณได้ รู้ แต่ทำไมจิตใจจึงผินไปสู่ทิศกิบลัตกะบะห์ตามองศาให้ตรงไม่ได้
     เพราะการศึกษาดาราศาสตร์อิสลามนั้น เพื่อที่จะแยกแยะให้รู้ถึงสิ่งที่ละเอียด เรียกว่าพัฒนาจากสิ่งที่หยาบๆๆๆสู่สิ่งที่ละเอียดๆๆๆ(ยิ่งสมัยนี้แลต ลองของสถานที่ที่เราท่านทั้งหลายตั้งอยู่นั้น ได้ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานสากลตั้งนานมาแล้ว แลต ลองของกะบะห์ก็ได้ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานสากลตั้งนานมาแล้ว ใช้เวลาเพียงแค่ครู่เดียวก็สามารถรู้ได้ว่ากะบะห์อยู่ตรงไหน แต่ปัญหาใหญ่ที่พบอยู่เป็นประจำก็คือเมื่อรู้แล้วว่าแถวละหมาดไม่ตรงกับกะบะห์ ทำไมจึงไม่สามารถเปลี่ยนแถวละหมาดให้ตรงกับกะบะห์ได้ เป็นเพราะอะไรครับ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัยร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)มาแล้ว ก็เพราะว่าทุกยุคทุกสมัยมีบุคคลอยู่2จำพวกด้วยกัน 1.บรรดาบุคคลที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ได้ทรงแนะนำให้ได้รับทางนำ 2.บรรดาบุคคลที่ไม่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَإِنْ كَانَتْ لَكَبِيرَةً إِلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ
{وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ
และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(จะไม่ทำตามสำหรับผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ใจต่อพระผู้เป็นเจ้า) นอกจากบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น(ทำได้ง่ายมากถือว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับพวกเขาเพราะเขาเหล่านั้นบริสุทธิ์ใจต่อพระผู้เป็นเจ้า)ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143 
     คือถ้าเป็นคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆก็แล้วแต่ ทำตามได้ง่ายทั้งนั้น จะไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้นในจิตใจ นี่แหละคือลักษณะของบรรดาบุคคลที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า
     คำว่า إِنْ ในอายะห์ที่กล่าวมานี้ตรงกับคำกลอนอันทรงคุณค่า อัลฟียะห์ ที่บอกว่า
وَالْفِعْلُ اِنْ لَمْ يَكُ نَاسِخًافَلاَ         تُلْفِيْهِ غَالِبًابِاِنْ ذِيْ مُوْصََلاً
และฟิอิ้ลนั้นถ้าไม่ใช่ฟิอิ้ลนะวาซิคท่านก็จะไม่พบ(ว่าตกหลังจาก إِنْ)     โดยมากแล้วฟิอิ้ลนะวาซิคจะถูกเชื่อมต่อกับ إِنْ ตัวนี้
     จากคำกลอนตรงนี้ให้ดูตรงคำว่า غَالِبًا ดังนั้นจึงสรุปความได้ว่าฟิอิ้ลที่ตกหลังจาก إِنْ มุคอฟฟะฟะห์ส่วนใหญ่โดยมากแล้วต้องเป็นكانและพี่น้องของมันและظنّและพี่น้องของมัน(เพราะเป็นฟิอิ้ลนะวาซิค ยกเลิกการอ่านเดิมของมุบตะดาแหละค่อบัร) ส่วนฟิอิ้ลที่นอกจากนี้จะมีน้อยที่ตกหลังจากإِنْ มุคอฟฟะฟะห์  ดังนั้นในอายะห์กุรอ่านที่กล่าวมาแล้ว كَانَتْ ที่อยู่หลัง إِنْ จากผันมาจากكان ซึ่งอยู่ในรูปของเบอร์4
     คำว่า لَكَبِيرَةًลามตัวนี้เรียกว่าลามฟาริเกาะห์ ต้องใส่เพิ่มเข้ามาเพื่อแยกบอกให้รู้ว่า إِنْ ตัวนี้เป็น إِنْ มุคอฟฟะฟะห์ มิใช่ إِنْ นาฟิยะห์
         พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า 
وَلَئِنْ أَتَيْتَ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ بِكُلِّ آيَةٍ مَا تَبِعُوا قِبْلَتَكَ وَمَا أَنْتَ بِتَابِعٍ قِبْلَتَهُمْ وَمَا بَعْضُهُمْ بِتَابِعٍ قِبْلَةَ بَعْضٍ وَلَئِنِ اتَّبَعْتَ أَهْوَاءَهُمْ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ إِنَّكَ إِذًا لَمِنَ الظَّالِمِينَ
{وَلَئِنْ} لَام الْقَسَم {أَتَيْت الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَاب بِكُلِّ آيَة} عَلَى صِدْقك فِي أَمْر الْقِبْلَة {مَا تَبِعُوا} أَيْ لَا يَتْبَعُونَ {قِبْلَتك} عِنَادًا {وَمَا
أَنْت بِتَابِعٍ قِبْلَتهمْ} قَطْع لِطَمَعِهِ فِي إسْلَامهمْ وَطَمَعهمْ فِي عَوْده إلَيْهَا {وَمَا بَعْضهمْ بِتَابِعٍ قِبْلَة بَعْض} أَيْ الْيَهُود قِبْلَة النَّصَارَى وَبِالْعَكْسِ {وَلَئِنْ اتَّبَعْت أَهْوَاءَهُمْ} الَّتِي يَدْعُونَك إلَيْهَا {مِنْ بَعْد مَا جَاءَك مِنْ الْعِلْم} الْوَحْي {إنَّك إذًا} إنْ اتَّبَعْتهمْ فَرْضًا {لمن الظالمين}
และแน่นอน ถ้าหากท่านได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของท่าน และท่านก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากท่านไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังท่านแล้ว แน่นอนทันใดนั้น ท่านก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่145
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري   ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
      ***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 เวลา 14.20.05 วินาที  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556(ดวงจันทร์อยู่ทางด้าน แขนของกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ AQUARIUS กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง) ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 364194.34กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 370895.33 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.22.19 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.25.54 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 35 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  18.20.58 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.24.05วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 07 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.26.29 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.27.06 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.27.57 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.28.36 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.27.12 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.27.45 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 33 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.26.09 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.26.45 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 36วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.27.51 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.28.17 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 26 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.26.54 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.27.32 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 18.25.56 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.26.33 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 37วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.29.02 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.29.59 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 57 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.25.09 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.28.53 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 44 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.26.47 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.27.33 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 47 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.02.31 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.05.52 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 21วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 18.22.19 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.25.54 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 35วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1434
 แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
  ดังนั้นวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
     วันนี้วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556  (อย่าลืมส่งให้ลูกเราเรียนศาสนาด้วยครับ เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราท่านทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.21.22 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.42.21 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.31.01 วินาที อัสริเวลา15.51.02 วินาที มักริบเวลา18.19.51 วินาที อีซาเวลา19.32.25 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.23.28 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.44.27 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.33.07 วินาที  อัสริเวลา15.53.09 วินาที  มักริบเวลา18.21.58.วินาที  อีซาเวลา19.34.32 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา05.30.31 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.53.58 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.34.53 วินาที  อัสริเวลา15.50.31 วินาที  มักริบเวลา18.16.04 วินาที  อีซาเวลา19.30.49 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.33.13 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.55.14 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.35.45 วินาที  อัสริเวลา15.48.44 วินาที  มักริบเวลา18.16.33 วินาที  อีซาเวลา19.29.42 วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
 รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:19 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاطِرُ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ جَعَلَ لَكُمْ مِنْ أَنْفُسِكُمْ أَزْوَاجًا وَمِنَ الْأَنْعَامِ أَزْوَاجًا يَذْرَؤُكُمْ فِيهِ لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{فَاطِر السَّمَاوَات وَالْأَرْض} مُبْدِعهمَا {جَعَلَ لَكُمْ مِنْ أَنْفُسكُمْ أَزْوَاجًا} حَيْثُ خَلَقَ حَوَّاء مِنْ ضِلْع آدَم {وَمِنْ الْأَنْعَام أَزْوَاجًا} ذُكُورًا وَإِنَاثًا {يَذْرَؤُكُمْ} بِالْمُعْجَمَةِ يَخْلُقكُمْ {فِيهِ} فِي الْجَعْل الْمَذْكُور أَيْ يُكَثِّركُمْ بِسَبَبِهِ بِالتَّوَالُدِ وَالضَّمِير لِلْأَنَاسِيِّ وَالْأَنْعَام بِالتَّغْلِيبِ {لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
พระองค์ อ.ล.(ซ.บ.) ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์ทรงทำให้มีคู่ครองแก่พวกท่าน จากตัวของพวกท่านเอง และจากปศุสัตว์ทรงให้มีคู่ผัวเมีย ด้วยเหตุนี้พระองค์ทรงแพร่พันธุ์พวกท่านให้มากมาย ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์(ในทุกๆรูปแบบ กาฟที่อยู่ในคำว่ากะมิสลิฮีนั้นเป็นกาฟ ราอิดะห์ ส่วนคำว่าซัยอุนนั้นเป็นอิสมุฮา มุอั๊คค๊อร) และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น ซูเราะห์ที่ 42(อัซซูรออฺ) อายะห์ที่ 11
     มีการอ้างว่าพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมามาใหม่ บ้างก็บอกว่าพระผู้เป็นเจ้ามีมือบ้าง บ้างก็บอกว่าพระผู้เป็นเจ้ามีหน้าบ้าง บ้างก็บอกว่าพระผู้เป็นเจ้ามีที่อยู่บ้าง บ้างก็พยายามหาที่อยู่ให้พระผู้เป็นเจ้าว่าอยู่ที่ตรงนั้นตรงนี้บ้าง นำมาทำโดยถือเป็นอิบาดะห์ชนิดหนึ่ง สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนา (เพราะรูปแบบของอิบาดะห์ต่างๆนั้นก็คือ ต้องมีคำสั่งใช้มาจากพระผู้เป็นเจ้า มาจากร่อซูลุ้ลลอห์) บางทีก็เลยเถิดถึงว่า อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลาแล้วไม่ต้องละหมาดหรอกเพราะนี่ไม่ใช่เราแต่นี่คือพระผู้เป็นเจ้า สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา
     ชี้ให้เห็นว่าต่อไปนี้ถ้าเราท่านทั้งหลายรู้จักคิดคือคิดให้เป็น เราท่านทั้งหลายจะทุกข์ยากสุขง่าย วิธีคิดก็คือไม่ว่าอะไรก็ตามที่ได้มาเกิดขึ้นกับตัวของเราท่านทั้งหลาย ให้เราท่านทั้งหลายคิดว่า สิ่งนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้มาจากใครหรือไม่ได้มาจากสิ่งใดเลย ความอดทนก็จะเกิดกับเราท่านทั้งหลายทันที บางทีอาจจะมีความโกรธอยู่บ้างแต่ก็แค่แป๊ปเดียว บางทีอาจจะมีความทุกข์ใจอยู่บ้างแต่ก็แค่แป๊ปเดียว(นี่คือหลักคิดเท่านั้นเรียกว่าเตาฮีดุ้ลอัฟอาล แต่ในฮุก่มของศาสนาก็ต้องดำเนินไปตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเราท่านทั้งหลายเจ็บป่วยเป็นนั่นเป็นนี่ ก็ให้เราท่านทั้งหลายคิดว่านี่เป็นสิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้มาจากคนนั้นคนนี้ ไม่ได้มาจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ ความสุขทางใจจะเกิดขึ้นทันที แต่สำหรับในการใช้ชีวิตจริงแล้ว ก็ให้เราท่านทั้งหลายต้องมีการรักษาเยียวยาอย่างสุดความสามารถเท่าที่เราท่านทั้งหลายจะทำได้ ส่วนร่างกายนั้นถ้าเราท่านทั้งหลายมีความอดทน เราท่านทั้งหลายก็จะได้รับภาคผลบุลอีกต่อหนึ่ง)
     ฟากฟ้าแหละแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่นั้นพระผู้เป็นเจ้ายังสร้างมาตั้งนานแล้วโดยไม่มีตัวอย่างแหละไม่มีรูปแบบมาก่อนเลย ส่วนในเรื่องการสร้างสิ่งอื่นๆนั้นเล็กน้อยมากสำหรับพระองค์
     การได้รับฟังการอัญเชิญพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ด้วยท่วงทำนองที่ไพเราะ ก็ได้ภาคผลบุญ อีกทั้งได้รับความสุขทางใจอีกด้วย การอัญเชิญพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นในปัจจุบันนี้ สามารถหาฟังได้ไม่ยากในโลกของอินเตอร์เน็ต นับว่าเป็นสิ่งมีคุณค่ามาก แต่ถ้าจะบอกว่าการอัญเชิญพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านในรูปแบบของเทปคลาสเส็ทนั้น ในปัจจุบันนี้นับว่าหาฟังได้ยากแล้ว เพราะหมดยุคของเทปคลาสเส็ทไปนานแล้ว สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำก็คือสำหรับนักศึกษาที่สนใจในการเรียนทำนองพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านทั้ง7ทำนองนั้น อย่าได้มองข้ามนักกอรีที่ได้เคยอ่านอัดเสียงไว้ในรูปแบบของเทปคลาสเส็ท เป็นการใช้น้ำเสียงที่ไพเราะมาก ได้ฟังแล้วซาบซึ้งกินใจมาก สามารถนำมาเป็นตัวอย่างที่ดีมากในการใช้น้ำเสียงแหละท่วงทำนอง
     พระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นไม่ว่าจะอยู่ในยุคใหน สมัยใหนก็ไพเราะลึกซึ้งกินใจ ล้ำลึกแหละนำสมัยอยู่ตลอดเวลา จะไม่มีคำว่าหมดยุคของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านอย่างเป็นอันขาด เพราะนั่นคือพระดำรัสแห่งพระผู้เป็นเจ้า นอกจากเมื่อวันสิ้นโลกมาถึง
          เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ไม่รับฟังสิ่งใด เหมือนกับที่พระองค์รับฟัง นบีที่มีเสียงดี ที่ท่านจะอ่านกุรอ่านเป็นท่วงทำนอง โดยส่งเสียงดัง รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     เล่าจากท่านหญิงอาอิซะห์(ร.ด.)ว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขามีความช่ำชองในอัลกุรอ่าน เขาจะได้อยู่ร่วมกับมะลาอิกะห์ที่ทรงเกียรติ ที่ภักดี และผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขาสับสนในการอ่าน และอ่านได้ด้วยความยากลำบาก เขาจะได้รับสองผลบุญ รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري   ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَوَلَمْ يََتََفَكَّرُوْافِىْ اَنْفُسَهُمْ مَا خَلَقَ اللهُ السَّمَوَاتِ وَالاَرْضِِِ وَمَابَيْنَهُمَااِلاَّ بِالْحَقِِّ وَاَجَلٍ مُسَمَّى وَاِنْ كَثِيْرًا مِنَ النَّاسِ بِلِقَآىءِرَبِّهِمْ لَكَا فِرُوْنَ
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ                
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุสซานี ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุสซานี ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556 เวลา 02.50.59 วินาที  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556(ดวงจันทร์อยู่ทางด้าน ท้องของกลุ่มดาวปลา PISES กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง) ทางด้านบนซ้ายของดวงจันทร์จะมีดาวอังคารMARS อยู่ ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 384524.98 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 383817.10 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.28.57 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.08 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 11 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  18.26.46 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.53.22วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 36 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.26.56 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.50.20 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 24 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.28.19 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.51.44 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 24 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.27.28 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.50.46 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 18 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.26.35 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.49.57 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 23วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.27.50 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.50.59 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 09 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.27.21 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.50.46 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 25วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 18.26.25 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.49.50 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 24วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.31.16 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.55.10 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 54 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.31.51 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.59.11 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 20 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.27.30 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.51.05 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23. นาที 35 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.10.16 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.37.26 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 10วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 18.28.57 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.56.08 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 11วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือน ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434
 แหละทั่วทั้งประเทศไทย สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง  ดังนั้นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2556 
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
     วันนี้วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2556  (อย่าลืมส่งให้ลูกเราเรียนศาสนาด้วย เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราท่านทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.08.12 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.27.11 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.26.51 วินาที อัสริเวลา15.47.46 วินาที มักริบเวลา18.26.43 วินาที อีซาเวลา19.37.29 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.10.18 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.29.17 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.28.57 วินาที  อัสริเวลา15.49.53 วินาที  มักริบเวลา18.28.49.วินาที  อีซาเวลา19.39.36 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา05.10.34 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.32.14 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.30.40 วินาที  อัสริเวลา15.54.24 วินาที  มักริบเวลา18.29.25 วินาที  อีซาเวลา19.42.33 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.10.22 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.30.47 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.31.32 วินาที  อัสริเวลา15.55.35 วินาที  มักริบเวลา18.32.38 วินาที  อีซาเวลา19.44.19 วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
 รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:21 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله
     ช่วงเดือนเมษายนนี้บ้านเราเมืองเราโดนความร้อนจากดวงอาทิตย์แบบตรงๆเลย เรียกว่าตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ ช่วงนี้จึงร้อนมากกว่าเดือนอื่นๆ อากาศร้อนแต่ขอให้เราท่านทั้งหลายทำใจให้เย็นสบายๆ อย่าไปร้อนตามอากาศ
     เรื่องคิลาฟียะห์(ปัญหาศาสนาที่คิดเห็นไม่ตรงกัน)ก็ให้ใช้เหตุ ใช้ผลเข้าหาพูดคุยกัน อย่าใช้อารมณ์เข้าหากัน อย่าเอาแพ้ชนะเป็นที่ตั้ง(อย่าโต้เถียงกันเพื่อพยายามบอกให้เห็นว่าอีกฝ่ายรู้น้อยกว่า เพราะการทำลักษณะดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เลย มิหนำซ้ำยังไม่ได้รับภาคผลบุญจากพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย) แต่ให้เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง
     ในเรื่องของเหนียต(อาจจะรวมถึงการกล่าวอุซอลลีด้วยนั้น) ผมอยากจะให้คณาจารย์ทั้งสองฝ่าย พิจรณาพระดำรัสแห่งพระผู้เป็นเจ้าให้มากๆๆๆ ผมเชื่อว่าจะสามารถรู้ได้เอง
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَمَا أُمِرُوا} فِي كِتَابهمْ التَّوْرَاة وَالْإِنْجِيل {إِلَّا لِيَعْبُدُوا اللَّه} أَيْ أَنْ يَعْبُدُوهُ فَحُذِفَتْ أَنْ وَزِيدَتْ اللَّام {مُخْلِصِينَ لَهُ الدِّين} مِنْ الشِّرْك
และพวกเขามิได้ถูกบัญชาให้กระทำอื่นใดนอกจากเพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ เป็นผู้มีเจตนาบริสุทธิ์ในการภักดีต่อพระองค์ ซูเราะห์อัลบัยยินะห์98 อายะห์ที่5
    พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 فَاعْبُدِ اللَّهَ مُخْلِصًا لَهُ الدِّينَ{فَاعْبُدِ اللَّه مُخْلِصًا لَهُ الدِّين} مِنْ الشِّرْك أَيْ مُوَحِّدًا لَهُ
ดังนั้นท่านจงเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.) โดยเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ใจในศาสนาต่อพระองค์ ซูเราะห์อัซซุมัร39 อายะห์ที่2
คำว่า مُخْلِصًاอยู่ในหน้าที่ฮาล
     ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า
إنما الأعمال بالنيات
     แท้จริงบรรดาการปฏิบัตินั้นขึ้นอยู่กับการเจตนา(เป็นฮะดิษเลขที่1ของท่านอิหม่ามบุคอรี)
     ตรงนี้เองถ้าพิจรณากันให้ลึกๆแล้ว จะพบว่าในเรื่องคิลาฟียะห์(ปัญหาศาสนาที่คิดเห็นไม่ตรงกัน) นั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น เพื่อให้รู้ถึงความถูกต้องจริงๆในบัญญัติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า เรียกว่าเตาฮีดอัฟอ้าล
     หนังสือตำรับตำราทางศาสนาที่ได้ผ่านการร่ำเรียนมานั้น โดยเฉพาะหนังสือตำรับตำราที่ได้มีการเรียนผ่านครูมา มีการจดบันทึกมานั้น ต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่ให้มากสักนิด บางทีอาจจะเป็นอาหารของปลวกไปแล้ว ให้หมั่นตรวจเช็คประจำๆหน่อย
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري   ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَوَلَمْ يََتََفَكَّرُوْافِىْ اَنْفُسَهُمْ مَا خَلَقَ اللهُ السَّمَوَاتِ وَالاَرْضِِِ وَمَابَيْنَهُمَااِلاَّ بِالْحَقِِّ وَاَجَلٍ مُسَمَّى وَاِنْ كَثِيْرًا مِنَ النَّاسِ بِلِقَآىءِرَبِّهِمْ لَكَا فِرُوْنَ
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ                
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร) ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 เวลา 16.35.16 วินาที  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์ดวงเล็กกว่าดวงอาทิตย์มาก แต่อยู่ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์ ดังนั้นในวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 ดวงจันทร์เริ่มแตะขอบฟ้าก่อนดวงอาทิตย์ประมาณเวลา18.20 นาที แต่ดวงอาทิตย์เริ่มแตะขอบฟ้าประมาณเวลา18.25 นาที ถึงกระนั้นดวงจันทร์กลับตกหลังจากดวงอาทิตย์ประมาณ1นาทีกว่า สาเหตุเพราะอยู่ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์นั่นเอง ทางด้านบนซ้ายของดวงจันทร์จะมีดาวอังคารMARS อยู่ มุมเงยประมาณ1องศา แต่ในวันดังกล่าวด้านบนซ้ายของดวงจันทร์จะมีดาวศุกร์VENUSอยู่ มุมเงยประมาณ3องศา ตรงนี้อาจจะมีคนเข้าใจผิดว่าเป็นดวงจันทร์ ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 393078.29 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 392476.06 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.31.45 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.30.24 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 01 นาที 21 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  18.28.44 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.27.06วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 01 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.23.35 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.20.39 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 56 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.24.54 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.21.59 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 54 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.23.55 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.20.57 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 58 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.23.12 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.20.15 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 57วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.24.01 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.21.00 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 03 นาที 01 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.24.00 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.21.04 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 18.23.06 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.20.10 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.27.00 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.24.17 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02นาที 43 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.34.44 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.33.30 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1 นาที 14 วินาที
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.24.25 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.21.34 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02. นาที 51 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.14.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.12.25
 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1 นาที 45 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 18.31.45 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.30.24 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 01 นาที 21วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือน ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร)  ฮ.ศ.1434
 แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ดังนั้นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร) ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ.2556 
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
     วันนี้วันจันทร์ที่ 8เมษายน พ.ศ.2556  (อย่าลืมส่งให้ลูกเราเรียนศาสนาด้วย เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราท่านทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.47.54 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.08.09 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.18.41 วินาที อัสริเวลา15.33.12 วินาที มักริบเวลา18.29.25 วินาที อีซาเวลา19.41.19
 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.50.00 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.10.16 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.20.48 วินาที  อัสริเวลา15.35.18 วินาที  มักริบเวลา18.31.32.วินาที  อีซาเวลา19.43.26 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.43.16 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.06.52 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.22.30 วินาที  อัสริเวลา15.47.42 วินาที  มักริบเวลา18.38.28 วินาที  อีซาเวลา19.53.15 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.39.59 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.02.38 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.23.22 วินาที  อัสริเวลา15.51.59 วินาที  มักริบเวลา18.44.29 วินาที  อีซาเวลา19.58.04 วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
 รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:22 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

 

GoogleTagged