เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์

<< < (10/20) > >>

Bangmud:
 :salam:


--- อ้างถึง ---•   วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
--- End quote ---

หมายความว่า ในวันและเวลาที่อาจารย์ยกมา ผมยืนหันไปทางดวงอาทิตย์ แปลว่าผมกำลังหันไปทางกิบละฮฺ ถูกหรือไม่ครับ

ญะซากัลลอฮุ ค็อยรฺ

วัสสลาม

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:

--- อ้างจาก: Bangmud ที่ พ.ค. 18, 2012, 06:40 AM --- :salam:


--- อ้างถึง ---•   วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
•   วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม 2555 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
--- End quote ---

หมายความว่า ในวันและเวลาที่อาจารย์ยกมา ผมยืนหันไปทางดวงอาทิตย์ แปลว่าผมกำลังหันไปทางกิบละฮฺ ถูกหรือไม่ครับ

ญะซากัลลอฮุ ค็อยรฺ

วัสสลาม

--- End quote ---
:salam:
      ดังนั้น ถ้าหากว่า บัยตุ้ลลอฮ์ กะบะห์  ได้ก่อสร้างตั้งฉากกับพื้นบริเวณรอบๆ  ตั้งฉากกับพื้นดิน  เงาของบัยตุ้ลลอฮ์ กะบะห์  จะเท่าตัวพอดี (จะไม่มีเงา  บัยตุ้ลลอฮ์ กะบะห์  ให้เห็นใดๆทั้งสิ้นเลย)   
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
“และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า” ซูเราะห์ อัลนูฮ์ อายะห์ที่ 16 
     ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "ซีรอจ" กับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)
     แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก   จนไม่สามารถมอง  ด้วยตาเปล่าได้
     ดังนั้นในเมื่อ  ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)   ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮับ  อิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
     วิธีการก็คือ  ถ้ามัสยิดใด  หรือบ้านของใครมีหน้าต่างทางทิศตะวันตก  ให้เปิดหน้าต่างออก  และหน้าต่าง  ด้านแนวตั้งของวงกบ ด้านใดก็ได้  ต้องสร้างได้ฉาก(ขอย้ำต้องได้ฉาก  ที่สำคัญกว่านั้นคือ  ห้ามมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด  ถ้าจะมองแดดนานๆ ควรใส่แว่นกันแดดด้วย)  ดังนั้นเงาที่ทอดลงมาให้เห็น  นั่นแหละครับคือแนวกิบลัตที่ถูกต้อง  ให้ขีดเส้นเอาไว้  สังเกตให้ดีเส้นนี้จะชี้ไปทางทิศตะวันตก
     กรณีถ้าอยู่ในบ้านเวลาละหมาดก็ให้นำผ้าซายะดะห์  ด้านข้างมาวาง  ให้ตรงกับเส้นนี้  แต่ถ้าเป็นกรณีของมัสยิด  เมื่อขีดเส้น  ที่ชี้ไปทางทิศตะวันตก  อย่างที่ว่ามาได้แล้ว  ให้นำไม้บรรทัดแบบฉาก  หรือไม้ทีก็ได้  มาวางทาบเส้นให้พอดี  แล้วขีดเส้นด้านล่างเพิ่มเข้าไป  สังเกตตอนนี้จะมีอยู่ 2เส้น 
     เส้นที่ 1 คือเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์
     เส้นที่ 2 คือ เส้นแนวนอนที่ตั้งฉาก  กับเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์   
     ดังนั้น เส้นที่ 2  นี้แหละคือเส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)ในมัสยิด     สำหรับมัสยิด  ที่ไม่มีหน้าต่าง  ทางด้านทิศตะวันตกเลย  การวัดเงาก็ต้องหาไม้หรือเสาก็ได้  หรืออะไรก็ได้ ตั้งขึ้นให้ได้ฉาก  ตรงบริเวณด้านข้างมัสยิด  แล้วรอเวลา 16.18 น.เพื่อขีดเส้นวัดเงา  ทำตามขั้นตอน  แล้วลากเส้นแนวนอนอย่างที่บอกมา  เข้ามาในมัสยิด  ก็จะได้เส้นแนวซอฟ (แถวละหมาด) เช่นกัน
     วิธีการวัดทิศกิบลัตดังกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  และทำได้อย่างสดวกสบายมาก  สำหรับผู้ที่ต้องการความถูกต้อง  ในการผินสู่ทิศกิบลัต  แต่สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลาม  ผู้เชี่ยวชาญ มีอีกหลายวิธี  ที่สามารถ  หาทิศกิบลัตได้  และหาได้ทุกๆวันเลย
     ส่วนในเรื่องของการคำนวนนั้น  มีขั้นมีตอน  ที่สลับซับซ้อนมาก  ขั้นแรกต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ก่อน  จากนั้นต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของบัยตุ้ลอฮ์  และต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของสถานที่  ที่จะหาทิศกิบลัต  จากนั้นก็จะมีค่า  SIN  COS  TAN  เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ดำเนินตามขั้นตอนของสูตร  ต่างๆนาๆอีกมากมาย ฯลฯ  ต่อจากนี้เป็นพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้า  เกี่ยวกับเรื่องการผินสู่ทิศกิบลัต 
      พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
“บรรดาผู้โฉดเขลา  ในหมู่มวลมนุษย์นั้น  จะกล่าวว่า  อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขา หันออกไปจากกิบลัตของพวกเขา  ที่พวกเขาเคยผินไป  จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด)  ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้น  เป็นสิทธิของพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์  ให้ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง    และในทำนองเดียวกัน  เรา (พระองค์อัลลอฮ์) ได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง  เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย  และร่อซูลก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกเจ้า  และเรามิได้ให้มีขึ้น  ซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่า  ใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล  จากผู้ที่กำลังหันสันเท้าทั้งสองของเขากลับ  และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้นเป็นเรื่องใหญ่  นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น  และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธา  ของพวกเจ้าสูญไป  ก็หาไม่แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี  ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ   แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้า (โอ้มุฮัมมัด) แหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง  แน่นอนเราให้เจ้าผินไปยังทิศ  ที่เจ้าพึงใจ  ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้า  ไปทางมัสยิดิลฮะรอมเถิด" ตรงคำว่า  "เจ้าจงผินใบหน้าของเจ้า"  คำว่า "ใบหน้า"  นักอธิบายอัลกุรอ่านให้ความหมายว่า  "หน้าอก"  ตรงนี้ตามหลักบะลาเฆาะร์  เรียกว่า "มะยาร  มุรซั้ล  มิมบาบิอิตลากิ้ลยุร  วะอิรอดะติ้ลกุ้ล"  คือพระผู้เป็นเจ้า พูดแค่ใบหน้า  แต่ความหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่จะสั่งใช้  ก็คือทั้งหมดร่างกายเลย  ดังนั้น เมื่อละหมาดจำเป็นต้องผินหน้าอกไปทางกิบลัต  แค่ผินหน้าอกร่างกายทุกส่วน  ก็จะหันไปทางกิบลัตทั้งหมดเลย  โดยอัตโนมัต
     ดังนั้น ถ้าจะหันเพียงใบหน้าอย่างเดียวไปทางกิบลัต  การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้  แหละตรงคำว่าไปทางมัสยิดดิลฮารอม  ตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญในการอธิบายอัลกุรอ่าน  ให้ความหมายว่า "อัยนุลกะบะห์"  คือต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เท่านั้น  การละหมาดจึงจะใช้ได้  ซึ่งตรงกับแนวคิดของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  มิใช่ว่าผินไปตรงใหนก็ได้  ในทางทิศตะวันตก
    สำหรับประเทศไทย  การผินไปทางวิหารกะบะห์  ตรงนี้มีอยู่  4  ระดับด้วยกัน 
     ระดับสูงสุดคือ 1 รู้ได้ด้วยตัวเอง
     ระดับที่ 2 ผินตามคำบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้
     ระดับที่ 3 ผินโดยการวิเคราะห์
     ระดับที่ 4 ผินตามการวิเคราะห์ของผู้อื่น
     มีฮาดิสที่ยืนยันว่า  ให้ผินไปหาจุดตั้งวิหารกะบะห์เท่านั้น  ต้องผินให้ตรงวิหารกะบะห์  ตามความสามารถที่สูงสุดขณะนั้น  ไม่ใช่ว่า  ผินไปในทางที่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่
     เล่าจากท่านบ่ารออ์ (ร.ด.)  กล่าวว่า  "เราได้ละหมาดกับท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) โดยผินหน้าไปสู่บัยตุ้ลมักดิส (ณ กรุงเยรูซาเล็ม)  เป็นเวลา 16 หรือ 17 เดือนหลังจากนั้นเขาท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)  ให้เราผินไปสู่กะบะห์"  (รายงานโดย บุคอรี มุสลิม ติรมีรี นาซาอี)
     เล่าจากอิบนุอุมัร(ร.ด.)  กล่าวว่า   "ในขณะที่ประชาชนกำลังละหมาดซุบฮ์  ที่มัสยิดกุบา  ได้มีคนหนึ่งมา  แล้วพูดว่า  แท้จริงท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)  ได้รับโองการเมื่อคืนนี้  และถูกใช้ให้ผินหน้าไปสู่กะบะห์  ดังนั้นท่านทั้งหลาย  จงผินหน้าไปสู่กะบะห์เถิด  ปรากฏว่าหน้าของพวกเขา  เคยผินไปสู่ทิศ “ซาม”  พวกเขาจึงหมุนมาสู่กะบะห์"  (รายงานโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด นะซาอี)
     "และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่  ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น  และแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์  นั้นย่อมรู้ดีว่ามัน  คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา  และพระองค์อัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเผลอ  ในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน   และแน่นอน  ถ้าหากเจ้าได้นำหลักฐานทุกอย่าง  มาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์  พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของเจ้า  และเจ้าก็มิใช่  จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง  ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม"      ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องตามกิบลัตของกันและกัน  ดังนั้นถ้าผู้รู้ในวิชาดาราศาสตร์อิสลาม  รู้ว่ามัสยิดนี้ๆ  ยังหันไม่ตรงกิบลัต  และได้มีการบอกผู้มีอำนาจหน้าที่  ในมัสยิดแห่งนั้น  แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น  ยังไม่จัดการเปลี่ยนแปลง  และแก้ไข  ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในผลบาปตรงนี้  ก็คือผู้ที่มีอำนาจในมัสยิดแห่งนั้น  เรียกว่ารับแบบเต็มๆ  เพราะรู้แล้วไม่ทำตามที่รู้  ที่สำคัญ  ยังพาคนอื่นทำแบบผิดๆไปด้วย  ถ้าเราเข้าใจหลัก  ในการหลอกลวงของซัยตอน  มารร้าย  เราท่านทั้งหลายจะรู้เท่าทันมันได้ทันที  ซัยตอนมารร้ายมันจะไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้เปลี่ยน  ให้ตรงกับกะบะห์  อย่าไปทำๆ  มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน  มันจะบอกว่า  อย่าเปลี่ยนเลยจะทำให้เกิดการแตกแยกได้  ผู้ใหญ่ทำมาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้แล้ว  ต้องตรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือเกินไปหรือเปล่า  ผู้รู้รุ่นก่อนไม่เห็นเขาจะติเลย  ฯลฯ
     สมมุติว่าระหว่างพี่น้องด้วยกันเอง  ถ้ามีการแบ่งที่แบ่งทาง  แค่ลากเส้น วัดผิดแค่ 1 องศาเท่านั้นแหละ  ที่ดิน 1ไร่  ท่านรู้หรือไม่ว่า วัดเกิน  โกง  ที่ดินคนอื่นไปกี่ตะรางวา  ระยะทางจาก กทม. ถึงกะบะห์อยู่ห่างกันประมาณ  หกพันกว่ากิโลเมตร  แค่ผินผิดนิดเดียว  รู้หรือไม่ว่าที่ผินไปนั้น  ไม่ตรงแม้กระทั่งเมืองมักกะห์ด้วยซ้ำไป
     เฉกเช่นเดียวกันพอได้เวลาละหมาด  มันก็จะบอกว่า  เดี๋ยวค่อยละหมาดก็ได้  เหลือเวลาอีกเยอะ  เดี๋ยวๆๆๆ  เดี๋ยวจนไม่ได้ละหมาดจนได้  หรือถ้ามันหลอกคนไม่ให้ละหมาดไม่สำเร็จ  มันก็จะหาวิธีหลอกลวงต่างๆนานาๆ  เพื่อให้ภาคผลบุลของคนๆนั้น  ลดน้อยลงมันไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้ละหมาด  อย่าไปทำ  ซึ่งวิธีการหลอกลวงของซัยตอนมารร้ายนี้  มันได้เคยมาบอกแก่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.)  ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  เพื่อให้ประชาชาติของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)   รู้เท่าทันกลลวงของมัน  นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง  ของพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า)
     "และถ้าหากเจ้าไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา  หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว  แน่นอนทันใดนั้น  เจ้าก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม"(ซูเราะห์อัลบะเกาะเราะฮ์ (2), อายะฮ์ที่ 142-145,

     ดังนั้น นักดาราศาสตร์อิสลาม จึงต้องเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง  ถึงจะผินไม่เหมือนคนอื่นก็ต้องทำ  เพราะนี่คือคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า  นี่คือคำสั่งของเจ้าของเจ้าบทลงโทษ  ที่รุนแรงยิ่ง  รุนแรงเกินกว่าใครๆจะทนทานได้) เรื่องราวของกิบลัตระบุอยู่ใน ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2ตั้งแต่อายะห์ที่142-152
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
     السلام عليكم ورحمة الله وبركاته     
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ไม่รับฟังสิ่งใด เหมือนกับที่พระองค์รับฟัง นบีที่มีเสียงดี ที่ท่านจะอ่านกุรอ่านเป็นท่วงทำนอง โดยส่งเสียงดัง รายงานโดยบุคอรี มุสลิม (วางกุรอ่านไว้ในที่สูงๆที่เหมาะสม)
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     อีกหนึ่งปรากฏการณ์หนึ่ง ที่แสดงถึงความสามารถแหละเดชานุภาพของพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)  วันที่6 เดือน6 ปี6+6(6+6=12ปี2012)มีเวลาสังเกตประมาณ 6ชม.ปรากฏการณ์นั้นก็คือดาวศุกร์โคจรผ่านดวงอาทิตย์ แต่ในการมองเห็น จะเห็นว่าดาวศุกร์เคลื่อนอยู่ในดวงอาทิตย์ (ดาวศุกร์อยู่ใกล้โลกเราที่สุด แสงสุกใสมาก ถ้าเห็นตอนค่ำเรียกว่าดาวประจำเมือง ตอนรุ่งอรุณเรียกว่าดาวรุ่ง หรือดาวประกายพรึก อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 480C ส่วนบรรยากาศ มีคาร์บอนมอนน๊อกไซด์มากที่สุด ความสว่างอยู่ที่-4.4แมกนิจูด)   
     ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ เป็นปรากฏการณ์ที่ดาวศุกร์ มาอยู่ในแนวระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ คนบนโลกมีโอกาสเห็นดาวศุกร์ เป็นดวงกลมดำขนาดเล็ก เคลื่อนผ่านดวงอาทิตย์(ถ้าจะดูห้ามมองด้วยตาเปล่าเด็ดขาด แหละกล้องที่จะดูต้องมีแผ่นกรองแสงโดยเฉพาะเท่านั้น แหละควรเป็นกล้องที่มีอัตราขยายสูง ห้ามใช้แผ่นกรองแสงติดที่หน้าเลนส์ กล้อง2ตาโดยเด็ดขาด) วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2555 ประเทศไทยสามารถสังเกตดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ได้ ในช่วงเวลาตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น(ดูปฏิทินอิสลามวันพุธที่ 6 มิถุนายน 2555 ตรงช่องซูรุกนั่นแหละคือเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นของจังหวัดท่าน) จนกระทั่งสิ้นสุดปรากฏการณ์ในเวลาประมาณ 11:50 น. โดยดาวศุกร์เริ่มผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ตั้งแต่ประมาณ 20 นาที ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นที่ประเทศไทย ในวันนั้นดาวศุกร์เล็กกว่าดวงอาทิตย์ประมาณ 33 เท่า (อนึ่งดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์เกิดเป็นคู่ ห่างกัน 8 ปี แต่ละคู่ห่างกัน 105 หรือ 120 ปี ระยะห่างแต่ละครั้งจะมีรูปแบบที่แน่นอน คือ 8, 121.5, 8 และ 105.5 ปี และวนซ้ำกันเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ) ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2547 ซึ่งเห็นได้ในประเทศไทย หลังจากครั้งนั้นทำให้มีสถานที่สำคัญ ในการศึกษาทางดาราศาสตร์ในประเทศไทยเกิดขึ้นทางภาคเหนือ 
     หลังจากดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2555ครั้งนี้  ดาวศุกร์จะผ่านหน้าดวงอาทิตย์ขึ้นอีกในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2660 (ค.ศ. 2117) และวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2668 (ค.ศ. 2125)เราท่านทั้งหลายคงจะไม่มีโอกาสเห็นได้อีก อีกร้อยกว่าปี มีการโคจรที่แน่นอนไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้
     ขั้นตอนการเกิดปรากฏการณ์นี้มีอยู่ 4 ขั้นตอนด้วยกัน
1.   เริ่มเข้า คือขอบดาวศุกร์เริ่มแตะขอบดวงอาทิตย์ ประเทศไทยจะไม่เห็นในช่วงนี้ เพราะดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น.ในประเทศไทย
2.   ดาวศุกร์ทั้งดวงเข้าไปในดวงอาทิตย์(ในด้านการมองเห็น แต่จริงๆผ่านไปในดวงอาทิตย์) ประเทศไทยจะไม่เห็นในช่วงนี้ เพราะดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น อยู่ใต้ขอบฟ้า เวลา08.32-08.33นาที อยู่ในช่วงกลางของปรากฏการณ์
3.   เริ่มออกคือขอบดาวศุกร์เริ่มแตะขอบด้านในของดวงอาทิตย์(ในด้านการมองเห็น แต่จริงๆผ่านไปในดวงอาทิตย์) กำลังจะออกจากดวงอาทิตย์ ช่วงนี้ประมาณเวลา 11.33 นาที หลังจากช่วงเวลานี้ ขอบดวงอาทิตย์จะแหว่งหายไปเนื่องจากดาวศุกร์ เป็นเวลาประมาณ 17 นาที
4.   ดาวศุกร์ออกจากดวงอาทิตย์ ขอบดวงอาทิตย์จะกลับมาเต็มเหมือนเดิม (ในด้านการมองเห็น) เวลาประมาณ 11.49.26 นาทีเป็นต้นไป
     สรุปว่าวันพุธที่ 6 มิถุนายน 2555 ทั่วทั้งประเทศไทย สามารถสังเกต ดาวศุกร์จะผ่านหน้าดวงอาทิตย์(ดาวศุกร์เข้าไปในดวงอาทิตย์ ในด้านการมองเห็น) ตั้งแต่สว่างถึงเวลาประมาณ11.50นาที ถึงแม้ว่าดาวศุกร์จะเล็กมาก ถ้าเทียบกับดวงอาทิตย์ แต่ถ้าจะใช้ตาเปล่า ดูผ่านแผ่นกรองแสง ก็สามารถเห็นได้ เห็นดาวศุกร์ ดำๆ กลมๆ เล็กมากๆ
     ปัจจุบันนี้ ทั้งอายุของคนๆหนึ่ง สูงที่สุด จะเห็นดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ได้ไม่เกิน2ครั้งเท่านั้น ปรากฏการณ์ดาวศุกร์ โคจรผ่านดวงอาทิตย์ นี่เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวในมัคโล๊ค(สิ่งถูกสร้าง) เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวของผลงานของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
     เพียงแค่สิ่งที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่ เราท่านทั้งหลายยังรู้สึกว่า ลี้ลับมาก ซับซ้อนมาก มหัศจรรย์มาก แล้วในสิ่งที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถเห็นได้ หรือยังถึงเวลาที่จะเห็น จะมหัศจรรย์มากมายขนาดใหนเล่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นก็คือโลกของมนุษย์ โลกของยิน โลกของสิงสาราสัตว์ โลกของมะลาอิกะห์ โลกหลังความตาย สวรรค์ นรก ฯลฯ
     ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา มีขึ้นมาได้นั้น(นอกจากพระองค์) ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของพระผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น แหละเท่านั้น อยู่ภายใต้กรอบที่ว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้  ผู้คนทั่วทุกมุมโลกต่างเฝ้ารอคอย ในการชม ในการเฝ้ามองปรากฏการณ์ ดาวศุกร์จะผ่านหน้าดวงอาทิตย์ครั้งนี้ เพราะหาดูได้ยาก นานๆจะเกิดขึ้นสักครั้ง แต่จะมีสักกี่คนเล่า ที่กำลังมองผ่านไปถึงความยิ่งใหญ่ เดชานุภาพ ความสามารถของพระผู้เป็นเจ้า
     ที่สำคัญอย่าหยุดแค่ สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หน้าที่ของผู้ศรัทธานั้น ต้องมีการขอบพระคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย ในรูปแบบของการทำอิบาดะห์แขนงต่างๆ 
     ถ้าจะเปรียบเทียบว่าวิชาความรู้นั้น ถือเป็นลำต้นของวิชาการ ดังนั้นอิบาดะห์แขนงต่างๆ จึงถือว่าเป็นผลที่ได้รับจากวิชาการนั่นเอง
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
           
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ การสรรเสริญทั้งมวลนั้น เป็นสิทธิ(กรรมสิทธิ)ของพระองอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก ซูเราะห์1อัลฟาติฮะห์ อายะห์ที่1-2  (ส่วนมากทั่วๆไปอ่านว่า ร๊อบบิ้ลอาละมีน แต่ว่าบางทัศนะอ่านว่า ร๊อบบั้ลอาละมีน ถือว่าเป็นฮ๊าล อีกบางทัศนะอ่านว่าร๊อบบุ้ลอาละมีน ตั๊กดีรว่า ฮุว่าร๊อบบุ้ลอาละมีน)
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري (1810)  ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     ความจริงที่ปรากฏก็คือขณะที่ประเทศหนึ่งดวงอาทิตย์ตก  อีกประเทศหนึ่งรุ่งอรุณ  เวลาทุกเวลาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของประเทศที่อยู่แตกต่างกันไป  สิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า  ด้วยความแตกต่างทางเวลานี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในเรื่องการละหมาด5เวลา(เป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะละหมาดดุฮ์ริพร้อมกัน  ละหมาดอัสริพร้อมกัน  ฯลฯ)ดังนั้นการที่จะกล่าวอ้างว่าเพื่อความเป็นเอกภาพของอุมมะห์มุสลิมมุสลิมะห์ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ควรจะทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่ง เวลาเดียวกันและวันเดียวกัน  การกล่าวอ้างแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา  เรียกว่าคิดเอาเอง จินตนาการเอาเองเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงเราท่านทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ขณะที่มุสลิมที่อยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียละหมาดซุบฮิ  มุสลิมที่อยู่ในอเมริกาเหนืออาจยังทำละหมาดอิซาของวันก่อนไม่เสร็จเลย ดังนั้นถ้าพระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการให้มุสลิมทั่วทุกมุมโลกทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่งเวลาเดียวกันและวันเดียวกัน เพื่อต้องการให้เกิดความเป็นเอกภาพอย่างที่ใครบางคนกล่าวอ้างแล้ว เอกภาพดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้เลย เพราะความแตกต่างทางด้านเวลาที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่
     ผมอยากจะให้เราท่านทั้งหลายสังเกตุดูสักนิดนึงว่า ถ้าจะให้เราละหมาด5เวลาตลอด24ช.ม.เราท่านทั้งหลายคงจะไม่มีใครทำได้  แต่ด้วยความแตกต่างทางด้านเวลานี้แหละทำให้มีผู้ละหมาด มีผู้ทำอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้าตลอด24ช.ม.เรียกว่าตลอดทั้งวันทั้งคืน แหละด้วยความแตกต่างทางเวลานี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการเริ่มต้นวันที่หนึ่งของเดือนอิสลาม(แต่ละประเทศต้องคำนึงถึงตำแหน่งกำเนิดของดวงจันทร์ของตัวเองเท่านั้น  วันที่1เดือนอิสลามของประเทศใครประเทศมัน  ไม่ต้องไปผูกพันกับประเทศอื่นที่มีตำแหน่งกำเนิดของดวงจันทร์ต่างกัน)  ชี้ชัดให้เห็นเลยว่าเราท่านทั้งหลายควรจะยืนหยัดอยู่บนหลักแห่งความเป็นจริง  ดวงอาทิตย์ประเทศเราก็มีดู ก็ดูของประเทศเรา  ดวงจันทร์เสี้ยวประเทศเราก็มีดู  ก็ดูของประเทศเรา  อย่าไปรอฟังข่าวจากการดูจันทร์เสี้ยวของประเทศอื่นเลย
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
         มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   ดังนั้นวันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555ตรงกับวันที่29 ร่อยับ ฮ.ศ.1433  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่1 ร่อยับ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555จึงเป็นวันที่29 ร่อยับ ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1433
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555 เวลา22.02.08วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่1 ซะบาน ฮ.ศ.1433  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.48.19 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.35.03วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว13
นาที 16 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.44.31วินาที ดวงจันทร์ตก18.31.18วินาที  มี เวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว13นาที13วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.31.30วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.04วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.32.41วินาที  ดวงจันทร์ตก18.20.19 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.31.32วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.09วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที23วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.31.05 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.39วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.31.14วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.55วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที20วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.31.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.29วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.31.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.37วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที27วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.35.34วินาที  ดวงจันทร์ตก18.23.11วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที23วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.51.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.38.42วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว13นาที12วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.32.44วินาที  ดวงจันทร์ตก18.20.17วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว12นาที27วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.32.52วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.18.47วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว14นาที05วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.48.47วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.35.31วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว13นาที17วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
ดังนั้นวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1433  ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.  2555
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2555  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.19.30 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.47.52วินาที ดุฮ์ริเวลา12.15.00วินาที อัสริเวลา15.39.01 วินาที มักริบเวลา18.42.13วินาที อีซาเวลา20.01.08
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.21.39 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.49.56วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.16.51วินาที  อัสริเวลา15.40.56 วินาที  มักริบเวลา18.43.52วินาที  อีซาเวลา20.02.43
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.02.58วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.34.49วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.18.49วินาที  อัสริเวลา15.35.50วินาที  มักริบเวลา19.02.56 วินาที  อีซาเวลา20.24.28 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา03.54.09วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.28.20 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.19.45วินาที  อัสริเวลา15.41.25วินาที  มักริบเวลา19.11.19  วินาที  อีซาเวลา20.34.40วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา   

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
   เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ไม่รับฟังสิ่งใด เหมือนกับที่พระองค์รับฟัง นบีที่มีเสียงดี ที่ท่านจะอ่านกุรอ่านเป็นท่วงทำนอง โดยส่งเสียงดัง รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     คำในพระมหาคำภีร์อัลกุรอ่าน พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงวางมาไว้อย่างสวยสดงดงาม เรียกว่ามีความไพเราะอยู่ในตัวอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น อย่างในซูเราะห์ที่เราท่านทั้งหลายอ่านกันอยู่เป็นประจำ ซูเราะห์อัลอิคลาส หรือที่เราท่านทั้งหลายพูดกันติดปากว่า ซูเราะห์กุ้ลฮู่วั้ลลอฮ์ ตรงคำว่ากุฟู่วันอะฮัด(อายะห์ที่4 ตอนจบซูเราะห์)นั้น ถ้าดูตามหลักน่าฮูแล้ว คำว่ากุฟู่วันเป็นค่อบะรุฮา ในส่วนของคำว่าอะฮัดเป็นอิสมุฮา อิสมุฮาต้องอยู่ก่อนค่อบะรุฮา เดิมๆก็คืออะฮะดุนกุฟู่วัน ดังนั้นถ้าจะใช้แบบนี้(อะฮะดุนกุฟู่วัน) ความไพเราะในซูเราะห์ กุ้ลฮู่วั้ลลอฮ์ ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอเราท่านทั้งลายลองอ่านตั้งแต่ต้นซูเราะห์ดู อายะห์ที่1จบที่อะฮัด อายะห์ที่2จบที่ซอมัด อายะห์ที่3จบที่ยูลัด อายะห์ที่4จบที่อะฮัด ดังนั้นถ้าอายะห์ที่4จบที่อะฮะดุนกุฟู่วัน(ตามหลักน่าฮู) ลองอ่านตั้งแต่อายะห์แรกดู ก็จะฟังดูแปลกๆ คือรู้สึกว่าขัดๆในการอ่าน แหละจะไม่ได้ความไพเราะในอัลกุรอ่านตอนจบอายะห์ ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าเลยได้จบอายะห์ที่4ด้วยกุฟู่วันอะฮัด ความไพเราะในตอนท้ายอายะห์แต่ละอายะห์ก็จะเกิดขึ้นทันที ตรงนี้เรียกว่าอิสมู่ฮามุอัคคอรและค่อบะรุฮามุก๊อดดำ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รี่อายะตันลิ้ลฟาซิละห์
     ในมะตันอัลฟียะห์(เป็นคำกลอนเกี่ยวกับวิชานะฮู ที่ทรงคุณค่ายิ่ง จึงได้มีนักวิชาการเห็น แหละตะหนักถึงคุณค่าในคำกลอนนี้ ท่านจึงได้แต่งตำราเพื่อเป็นการอธิบายคำกลอนนี้ ที่นักศึกษารู้จักกันในนามว่า อิบนุอาเก้ล)ลองดูในมะตันอัลฟียะห์ บทของ กานะวะอัควาตุฮา ในตอนท้ายของคำกลอนที่บอกว่า ซัยยี่ดันอุมัร ที่จบด้วยอุมัร ก็เพื่อจะได้คล้องจองกับคำว่าวั้ลค่อบัรในกลอนก่อนหน้านั้น(คือเอาคำว่าซัยยี่ดันมาอยู่ก่อน คำว่าอุมัร ทั้งๆที่ซัยยี่ดัน เป็นค่อบะรุฮา เพื่อจะได้เกิดความคล้องจอง ดังนั้นถ้าในคำกลอนตรงนี้จบตรงที่ว่า อุมะรุซัยยิดา ความคล้องจอง ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน)
     ดังนั้นการได้อ่าน พระมหาคำภีร์อัลกุรอ่านได้ถูกต้องตามหลักตัจวีด และได้มีการอ่านในแบบทำนองที่ไพเราะ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า(ผลที่สุดก็คือ ถ้าได้ฝึกอ่านอัลกุรอ่านได้อย่างไพเราะแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะอ่านอัลกุรอ่านก็จะตามมาทันที เมื่ออ่านอัลกุรอ่านมาก ก็จะได้ภาคผลบุลมาก สิ่งที่ดีๆต่างๆก็จะหลั่งไหลเข้ามา ถือว่าเป็นเงาตามตัว) ในพระมหาคำภีร์อัลกุรอ่านนั้น มีแต่สิ่งที่ดีๆ อ่านก็ได้ผลบุญ เรียนก็ได้ผลบุญ สอนก็ได้ผลบุญ ดูก็ได้ผลบุญ ทบทวนก็ได้ผลบุญ แม้กระทั่งฟังอัลกุรอ่านก็ยังได้ภาคผลบุญ
     เล่าจากท่านหญิงอาอิซะห์(ร.ด.)ว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขามีความช่ำชองในอัลกุรอ่าน เขาจะได้อยู่ร่วมกับมะลาอิกะห์ที่ทรงเกียรติ ที่ภักดี และผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขาสับสนในการอ่าน และอ่านได้ด้วยความยากลำบาก เขาจะได้รับสองผลบุญ รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     ยิ่งกว่านั้นเราท่านทั้งหลายกำลังจะเข้าไปสู่เดือนร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 อันทรงเกียรติ การทำคุณความดีทุกๆชนิด ภาคผลบุญที่พระผู้เป็นเจ้าจะให้นั้น นับว่าทวีคูณมหาศาลอย่างมากมาย(ไม่มีผู้บริหารในโลกใบนี้คนใด ที่จะกล้าให้ได้มากมายขนาดนี้ เพราะกลัวหมด เพราะคำนึงถึงผลประกอบการ มากสุดคงไม่เกินสิบเท่า ต่างกับพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่บ่าวของพระองค์ ให้อย่างไม่กลัวหมดเพราะสำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ไม่มีคำว่าหมดอย่างแน่นอน) ขอให้เราท่านทั้งหลายแสดงความขอบพระคุณในพระผู้เป็นเจ้า ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้า ได้ประทานให้เราท่านทั้งหลาย โดยการทำอะมั้ลอิบาดะห์แขนงต่างๆให้มากๆ ให้มีคุณภาพ ดังนั้นขอให้เราท่านทั้งหลาย หมั่นสะสมคุณความดีกันไว้มากๆ วันนี้ตอนนี้เราท่านทั้งหลายยังไม่สามารถเห็นได้ แต่ในโลกหน้าอาคิเราะห์ เราท่านทั้งหลายจะได้เห็นกันอย่างแน่นอน
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า

 
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น
     ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا رواه البخاري (1810) ومسلم (1080) “ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     ดังนั้นไม่ว่าวิชาการแหละเทคโนโลยีจะล้ำยุค ทันสมัยสักแค่ใหนก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหลักศาสนาที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดมาได้ การเคลื่อนที่ของเทหะวัตถุบนท้องฟ้าโดยเฉพาะดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ก่อให้เกิดความแตกต่างกันทางเวลา เนื่องด้วยมนุษย์ได้อาศัยอยู่ทุกทิศทุกทางในโลกใบนี้ ทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ดังนั้นการปฏิบัติศาสนกิจละหมาด5เวลาต้องขึ้นอยู่กับเวลาของดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น เรียกว่าใช้ระบบสุริยะ และการเริ่มต้นขึ้นเดือนใหม่ วันที่1ของเดือนอิสลามต้องขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ของจันทร์ดวงใหม่(นิวมูน จันทร์ดับ) เรียกว่าใช้ระบบจันทรคติ ดังนั้นดวงอาทิตย์ขึ้นทางประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันออกก่อนประเทศที่อยู่ทางทิศตะวันตกหนึ่งชั่วโมงหนึ่งหรือมากกว่าตามระยะทางที่แตกต่างกันไป(เพราะโลกของเราโคจรทวนเข็มนาฬิกา ถ้าวันศุกร์ใดที่โลกของเราโคจรตามเข็มนาฬิกาวันนั้นแหละคือวันกิยามะห์)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า

พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา) อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์ พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน) ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์) แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่ ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์ เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์ ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้
     นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555ตรงกับวันที่ 29 ซะบาน ฮ.ศ.1433 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2555 เป็นวันที่1 ซะบาน ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555จึงเป็นวันที่ 29 ซะบาน ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433
     สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555 เวลา11.24.03วินาที ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.50.01 วินาที ดวงจันทร์ตก18.51.55วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว1 นาที 54 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.46.26วินาที ดวงจันทร์ตก18.48.37วินาที มี เวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว02นาที11วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.34.55วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.28วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที34วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.36.07วินาที ดวงจันทร์ตก18.40.46 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที39วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.35.00วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.40วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที40วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.34.30 วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.40วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที34วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.34.47วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.35วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที48วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.35.19วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.54วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที35วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก18.34.28วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.00วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที32วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.38.51วินาที ดวงจันทร์ตก18.43.19วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที28วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.51.54วินาที ดวงจันทร์ตก18.38.42วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว13นาที12วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.36.04วินาที ดวงจันทร์ตก18.40.32วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว4นาที28วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก18.34.13วินาที ดวงจันทร์ตก 18.34.59วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว0นาที46วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.50.27วินาที ดวงจันทร์ตก 18.52.19วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว1นาที52วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดังนั้นวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 ตรงกับวันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า

ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน) และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน เขาเสียชีวิตไป ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ รายงานโดย บุคอรี มุสลิม วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง ละหมาดแล้วหรือยัง ทำอะม้าน อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2555 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
-สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.28.08 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.56.06วินาที ดุฮ์ริเวลา12.22.35วินาที อัสริเวลา15.45.29 วินาที มักริบเวลา18.49.00วินาที อีซาเวลา20.07.25
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.30.17 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.58.10วินาที ดุฮ์ริเวลา12.24.27วินาที อัสริเวลา15.47.26 วินาที มักริบเวลา18.50.39วินาที อีซาเวลา20.09.00
-สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา04.12.12วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.43.30วินาที ดุฮ์ริเวลา12.26.24วินาที อัสริเวลา15.41.34วินาที มักริบเวลา19.09.08 วินาที อีซาเวลา20.29.58 วินาที
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา04.03.39วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.37.13 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.27.20วินาที อัสริเวลา15.49.40วินาที มักริบเวลา19.17.17 วินาที อีซาเวลา20.39.50วินาที
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า


”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8
     หวังใจว่าโลกหน้าอาคิเราะห์ จะได้เห็นพระพักตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้าถ้วนหน้ากัน
รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

asizsama:
ส่งสัยครับ
ขอมูลอะไรเนีบ เยอะจริงๆๆ

ไม่ทราบว่าผู้โพสต์ได้อ่านบางหรือเปล่า หรือ คอป ว่าง ๆๆ เฉยๆๆๆๆ

ช่วยตอบที่

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version