เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์

<< < (2/20) > >>

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
       ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างมานั้น  ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่  ไม่มีผู้ใดสามารถสร้าง  หรือประดิษย์ขึ้นมาได้

       ยกตัวอย่างเช่น  ตะเกียงใบใหญ่  ที่ให้แสงสว่างแก่มนุษยชาติ  ส่องสว่างแก่พืชผัก  ผลไม้  ไม่ใช่พึ่งจะส่อง  แต่ส่องสว่างมานานแล้ว  สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่  เดชานุภาพ  และความสามารถของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น  ที่สำคัญตะเกียงใบใหญ่ใบนี้  ยังประโยชน์นานับประการ  ให้แก่มนุษยชาติตั้งแต่สมัยอดีตกาล  และจะคงยังประโยชน์ต่อไป  จวบจนถึงวันกิยามะห์

       ตะเกียงใบนี้ไม่เคยที่จะดับเลย  เชื้อเพลิงของตะเกียง  ก็ไม่เคยแม้กระทั่งที่จะหมดลง  ตะเกียงที่บอกมาทั้งหมดนี้  ก็คือดวงอาทิตย์นั่นเอง  ความใหญ่ของดวงอาทิตย์ ถ้าจะเทียบกับโลกของเรา ใหญ่กว่าโลกของเราถึง100เท่า ถ้าจะเทียบกับดวงจันทร์ ใหญ่กว่าดวงจันทร์ถึง 400 เท่าเลยทีเดียว อุณหภูมิของดวงอาทิตย์สูงสุดอยู่ที่ 11000 F อุณหภูมิของดวงอาทิตย์ต่ำสุดอยู่ที่ 7000 F

       สำหรับดวงจันทร์อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ +280 F อุณหภูมิต่ำสุดของดวงจันทร์อยู่ที่ -275 F ในวันพุธที่ 27 เมษายน 2554  ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก 150556374.2 กิโลเมตร ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์คือ 13องศา 48 ลิปดา 50 ฟิลิปดา

       ดังนั้น สำหรับในเขตกรุงเทพฯ ในวันพุธที่ 27 เมษายน 2554  เวลาประมาณ 12.15 น.หรือ12.16 น.(จะตรงกับเวลาใดขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งของเขตนั้นๆเพราะพื้นที่ในกรุงเทพฯกว้างมาก) ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือศรีษะพอดี (90องศา)  ดังนั้นไม่ว่าใคร วัตถุอะไร หรือสิ่งก่อสร้างใดๆก็ตามแต่ ที่ตั้งฉากกับพื้นดิน เงาของสิ่งนั้นจะเท่าตัวพอดี (ไม่มีเงาให้เห็นใดๆทั้งสิ้นเลย)

       พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า


       “และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า” ซูเราะห์ นูฮ์ อายะห์ที่ 16 

       ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าซีรอจกับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)

       แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก  ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้  ใจกลางของดวงอาทิตย์มีความร้อนสูงมาก  สูงถึง 14 ล้านองศาเซลเซียส  ส่วนพื้นผิวของดวงอาทิตย์  ที่เย็นกว่าบริเวณอื่น  จะเห็นเป็นจุดมืด ห้ามมองด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด (จุดมืดนี้เรียกว่า Sunspots)

       พี่น้องครับ มีสิ่งต่างๆมากมายที่  พระผู้เป็นเจ้าให้กับเรา  ลองสำรวจตัวเองว่า  วันนี้เราทำดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง ละหมาดครบหรือยัง  ถ้าทำครบแล้ว  ก็ให้รักษาความดีงามนี้ต่อไป  เพื่อเป็นเสบียง เป็นทุน ที่เราท่านทั้งหลายจะได้นำไปใช้ในโลกหน้าอาคิเราะห์  ภาพถ่ายด้านล่างเป็นภาพถ่ายทางดาวเทียม  แสดงถึงการผินไปสู่ทิศกิบลัต(กะบะห์)ได้ตรงและถูกต้อง ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา



บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
         ในช่วงระยะเวลาในแต่ละปี ทุกๆปี  ด้วยความยิ่งใหญ่  เดชานุภาพ และความสามารถของพระผู้เป็นเจ้า  พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า


         "และแท้จริงพระเจ้าของท่านนั้น  แน่นอนพระองค์คือ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงเมตาตาเสมอ" อัซซุอะรออฺ อายะห์ที่ 104

         พระองค์สามารถบังคับให้ดวงอาทิตย์  มาอยู่เหนือกะบะห์พอดีได้  ไม่ใช่พึ่งมาตรงแต่ตรงมาตั้งนานแล้ว  ถ้าเราจะสังเกตุกันดีๆ  เราจะพบว่าในช่วงระยะเวลาภายใน 1 ปี  บางเดือนดวงอาทิตย์จะอยู่ทางเหนือบ้าง  บางเดือนดวงอาทิตย์อยู่ทางใต้บ้าง  บางเดือนดวงอาทิตย์ตกไว (มัฆริบไว มืดไว)  บางเดือนดวงอาทิตย์ตกช้า(มัฆริบช้า มืดช้า)  นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง  ที่เราท่านทั้งหลายสามารถสังเกตุได้  ด้วยการที่โลกหมุนรอบตัวเอง  และในขณะเดียวกัน  ก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ไปด้วย  ค่าการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์  ในแต่ละวันจึงไม่เท่ากัน  ตามวิชาการเรียกว่า  ค่าดิคลิเนชั่นดวงอาทิตย์  อาจจะยากสักนิดนึง

         สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐาน  ทางฟาลากียะห์  แนะนำว่าค่อยๆทำความเข้าใจ  ดังนั้นในรอบ 1 ปี จึงมีอยู่ 2 เดือน ที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือกะบะห์พอดี เดือนที่ 1 คือช่วงขาไป ซึ่งตรงกับเดือนพฤษภาคม  เดือนที่2  คือช่วงขากลับ  ซึ่งตรงกับเดือนกรกฎาคม

         ส่วนเรื่องของวันที่นั้น  ไม่ใช่ว่า  มีแค่ 2 วันในรอบ 1 ปี  จริงๆแล้วมีอยู่หลายวัน  แต่ว่า วันที่จะแนะนำคือ

       1. วันที่ 28 พฤษภาคม  เวลา 16.18 นาที  ตามเวลาประเทศไทย (เวลา 12.18 นาที ตามเวลาซาอุดิอาราเบีย  และเวลา 9.18 นาที ตามเวลากรีนิช เวลามาตรฐานโลก) 

       2. วันที่ 16 กรกฎาคม  เวลา  16.27 นาที ตามเวลาประเทศไทย (เวลา 12.27 นาที ตามเวลาซาอุดิอาราเบีย  และเวลา 9.27 นาที  ตามเวลากรีนิช เวลามาตรฐานโลก)

       ดังนั้น  ถ้าผู้ใดมีโอกาสอยู่ในมัสยิดฮารอม  ในวันเวลาดังกล่าว  ท่านจะพบว่าบริเวณด้านล่างของกะบะห์  ทั้ง 4 ด้าน  จะไม่มีเงาให้เห็นเลย  (มีข้อแม้อยู่นิดนึงว่า ถ้ากะบะห์ตั้งฉาก  กับพื้นบริเวณรอบๆกะบะห์)  ตามกฏวิชาการมีอยู่ว่า เมื่อดวงอาทิตย์อยู่เหนือสิ่งใด ในขณะเดียวกันสิ่งนั้น ตั้งฉากกับพื้นดิน  จะไม่ปรากฏเงาให้เห็นเลย

       พี่น้องครับอย่าทิ้ง  อย่าละเลยการละหมาด  เพราะการละหมาด  คือเสาหลักของศาสนา และการละหมาดก็เป็นอิบาดะห์ชนิดเดียว  ที่รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ขึ้นไปรับด้วยกับตัวของท่านเอง  ในค่ำคืนเมี๊ยะรอจ  ทำตามใช้  ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

خيرالاخوان:
จบสวยดี

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
 :salam:
      
           สุริยุปราคาที่เกิดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 2 ครั้งด้วยกัน ซึ่งพระองค์เสด็จทอดพระเนตรร่วมกับบาทหลวงเยซูอิต ชาวฝรั่งเศส ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2228  ซึ่งเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงโดยเสด็จทอดพระเนตรที่เมืองละโว้ ผ่านกล้องโทรทรรศน์ และครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2231 ซึ่งเป็นสุริยุปราคาบางส่วน สันนิษฐานว่าทรงเสด็จทอดพระเนตร ณ พระตำหนักเย็น ทะเลชุบศรทั้ง 2 ครั้งโดยทอดพระเนตรภาพดวงอาทิตย์บนฉากที่รับภาพจากกล้องโทรทรรศน์ที่บาทหลวงตั้งถวายให้ทอดพระเนตร  
         จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระปรีชาสามารถทางด้านดาราศาสตร์ โดยทรงศึกษาวิชาการด้านนี้ด้วยพระองค์เองจากตำราโหราศาสตร์ไทยและตำราโหราศาสตร์สากล  ทรงวัดเส้นรุ้งเส้นแวงด้วยพระองค์เองทรงคำนวณว่าจะเกิด สุริยุปราคาเต็มดวง ที่บ้านคลองลึกตำบลหว้ากอ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ได้อย่างแม่นยำ ทั้งๆที่ทรงคำนวนไว้ล่วงหน้าถึง 2 ปี โดยทรงใช้กล้องโทรทรรศน์ส่วนพระองค์ในการทอดพระเนตร ทำให้พระองค์ทรงได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ และทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็น "พระบิดาแห่งดาราศาสตร์ไทย" และในที่ 18 สิงหาคม ก็ได้รับการกำหนดให้เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ของทุกปี การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในครั้งนี้ จึงนับว่ามีความสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยเหตุการณ์หนึ่งทีเดียว
   สุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยที่สำคัญมีอยู่ 4 ครั้งด้วยกัน คือ เมื่อ พ.ศ. 2411 พ.ศ. 2418 พ.ศ. 2472 และ พ.ศ. 2498 ตามลำดับ
  สุริยุปราคา หรือ สุริยคราส เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน โดยมีดวงจันทร์อยู่ตรงกลาง เงาของดวงจันทร์จะทอดมายังโลก ทำให้คนบนโลก (บริเวณเขตใต้เงามืดของดวงจันทร์) มองเห็นดวงอาทิตย์เว้าแหว่ง หรือบางแห่งเห็นดวงอาทิตย์มืดหมดทั้งดวง ช่วงเวลาที่เกิดสุริยุปราคาจะกินเวลาไม่นานนัก เช่น เมื่อวันที่ 24 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2538 ประเทศไทยสามารถมองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้นาน 3 ชั่วโมง นับตั้งแต่ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนเข้าจนเคลื่อนออก

          สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นเฉพาะในเวลากลางวันและตรงกับวันแรม 15 ค่ำ หรือวันขึ้น 1 ค่ำ เท่านั้น ตำแหน่งบนพื้นโลกที่อยู่ใต้เงามืดของดวงจันทร์จะมองเห็นดวงอาทิตย์มืดทั้งดวงเรียกว่า สุริยุปราคาเต็มดวง ท้องฟ้าจะมืดไปชั่วขณะ ในขณะที่ตำแหน่งบนพื้นโลกที่อยู่ภายใต้เงามัวจะมองเห็นดวงอาทิตย์ถูกบังไปบางส่วน เรียกว่า สุริยุปราคาบางส่วน สำหรับการเกิดสุริยุปราคาในช่วงที่ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกมากกว่าปกติ ทำให้เงามืดของดวงจันท์ทอดตัวไปไม่ถึงพื้นโลก แต่ถ้าต่อขอบของเงามืดออกไปจนสัมผัสกับพื้นผิวโลกจะเกิดเป็นเขตเงามัวขึ้น ตำแหน่งที่อยู่ภายใต้เงามัวนี้จะมองเห็นสุริยุปราคาวงแหวนดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์มาก แต่ที่เรามองเห็นดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้มิด ก็เพราะดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์
   ดังนั้นในการมองดวงอาทิตย์ ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยกรองรังสีบางชนิดที่จะเข้าสู่ตา การใช้แว่นกันแดดในการมองเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่สามารถป้องกันสิ่งที่เป็นอันตราย รวมทั้งรังสีอินฟราเรดที่ตามองไม่เห็นซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเรตินาได้ การสังเกตจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ทำมาโดยเฉพาะ จึงจะสามารถมองดวงอาทิตย์ตรงๆ ได้
     สุริยุปราคาไม่สามารถเกิดขึ้นจากการที่ดาวเทียมไปบังดวงอาทิตย์ได้ เนื่องจากดาวเทียมหรือสถานีอวกาศนั้นมีขนาดเล็กมาก ไม่พอที่จะบังแสงจากดวงอาทิตย์ได้เหมือนดวงจันทร์ หากจะเกิดสุริยุปราคาจากดาวเทียมนั้น ดาวเทียมต้องมีขนาดประมาณ 3.35 กิโลเมตร ทำให้การเคลื่อนทีของดาวเทียมหรือสถานีอวกาศนั้นเป็นได้เพียงการผ่านเท่านั้น เช่นเดียวกับการผ่านของดาวพุธและดาวศุกร์ ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ และสังเกตได้ยาก ส่วนความสว่างของแสงจากดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้ลดลงไปจากเดิมเเน่นอน
     ส่วนถ้าเราท่านทั้งหลาย  จะย้อนดูหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม  ในยุคญาฮิลียะห์  เชื่อกันว่า  เมื่อเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา  ความเชื่อของคนสมัยนั้นคือจะมีคนใหญ่คนโตเสียชีวิต  และบังเอิญในวันที่เกิดสุริยุปราคา  ท่านอิบรอฮีมบุตรชายของท่านนบีก็ได้เสียชีวิต   เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนในสมัยนั้น  เข้าใจผิด  และป้องกันไม่ให้เชื่อผิดๆ  รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จึงได้พูดขึ้นว่า  สุริยุปราคาและจันทรุปราคา  ทั้ง2จะไม่เกิดขึ้นเพราะการตายของผู้ใด  และเพราะการมีชีวิตอยู่ของผู้ใด
   รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า “แท้จริงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้น  ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า  ทั้งสองไม่ได้เกิดคราสเพราะการตายของผู้ใด  และไม่ใช่เพราะการมีชีวิตอยู่ของผู้ใด  เมื่อพวกท่านพบเหตุการณ์ดังกล่าว  พวกท่านจงละหมาดและขอดุอา  จนกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกท่านจะคลายออก(สว่าง)”  รายงานโดยมุสลิม   ดังนั้นมีสุนัตให้อาบน้ำเพื่อละหมาดสุริยุปราคา(กุซูฟ)และจันทรุปราคา(คุซูฟ)  อาบเหมือนกับตอนที่จะไปละหมาดวันศุกร์  
   มีสุนัตให้ละหมาดสุริยุปราคา(กุซูฟ)  และจันทรุปราคา(คุซูฟ)  แบบญะมาอะห์  เมื่อละหมาดเสร็จแล้วให้ผู้นำที่มีความรู้ขึ้นคุตบะห์  ซึ่งวิธีการก็เหมือนกับคุตบะห์ในวันศุกร์  ทั้งในเรื่องรุกุ่นและซารัต  เป้าหมายหลักก็คือ  ให้ผู้คนหันมาเอาใจใส่เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆตัว  ว่าถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำ  ใครจะทำได้  หันมาสำรวจตัวเองว่า  วันนี้เราทำความดีเพื่อพระองค์หรือยัง  และเราได้นำพาบุคคลรอบข้างของเรา  เข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าหรือยัง  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลมาสู่ท่าน  และสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
 

Al Fatoni:
จซากัลลอฮุฅ็อยร็อนสำหรับข้อมูลดีๆ ครับ ยอมรับว่าไม่ค่อยได้รู้เรื่องดาราอิสลามเ่่ท่าไรหรอก เพราะไม่ค่อยถนัดเรื่องคำนวณด้วย ชื่นชมกับความสามารถที่ได้ถึงนำเสนอแบบนี้ ผิดถูกก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่อย่าบ่อยละกัน อิอิิ เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ๆ ...

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version