เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์

<< < (11/20) > >>

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:

--- อ้างจาก: asizsama ที่ ก.ค. 18, 2012, 02:35 AM ---ส่งสัยครับ
ขอมูลอะไรเนีบ เยอะจริงๆๆ

ไม่ทราบว่าผู้โพสต์ได้อ่านบางหรือเปล่า หรือ คอป ว่าง ๆๆ เฉยๆๆๆๆ

ช่วยตอบที่

--- End quote ---
     เขียนให้ถูกต้องด้วย เยอะหรือน้อยไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญก็คือความถูกต้องจริงๆ อยู่ตรงใหน  ที่สำคัญอีกประการก็คือ จิตใจยอมรับความถูกต้องจริงๆได้หรือเปล่า (เขียนยังไม่ถูกเลย ยังไม่ชัดเจนอีกด้วย จะให้ตอบอย่างไรครับ ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ) 
     ถ้ามีเวลาว่าง ก็โพสบทความเป็นกระทู้ใหม่ ลงในกระดานสนทนาของเว็ปไซร์นี้ บ้างก็ได้นะครับ เพื่อว่าความรู้ของท่านอาจจะยังประโยชน์ให้ก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่มีเวลา ก็คงจะไม่ได้เห็นบทความของท่าน เวลาเป็นสิ่งมีค่า ต้องแบ่งเวลาเพื่อโลกอาคิเราะห์
     เล่าจากท่านอะนัส(ร.ด.)จากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า สามประการนี้มีอยู่ที่ผู้ใด เขาจะรู้รสความหวานของการศรัทธา คือพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และศาสนทูตของพระองค์เป็นที่รักของเขายิ่งกว่าสิ่งใด การที่เขารักผู้หนึ่งโดยที่เขาจะไม่รักผู้นี้ นอกจากรักเขาเพราะพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) และเขารังเกียจที่จะหวนกลับไปสู่สภาพการไร้ศรัทธา(กุฟุร) ภายหลังจากที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ช่วยให้เขารอดพ้นจากสภาพนั้นแล้ว เหมือนกับที่เขารังเกียจ จะถูกโยนลงสู่ไปในไฟนรก รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
ขอพระองค์ทรงแนะนำพวกข้าพระองค์ซึ่งทางอันเที่ยงตรง(คือ) ทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปราณแก่พวกเขา มิใช่ในทางของพวกที่ถูกกริ้ว และมิใช่ทางของพวกที่หลงผิด ซูเราะห์ฟาติฮะห์ อายะห์ที่ 6-7
ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้ามคือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
       

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
    السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
     การทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถือว่าเราท่านทั้งหลายจำเป็นต้องทำ ชนิดที่ว่าจะขาดไม่ได้ แม้ว่าจะผ่านล่วงเลยเดือนร่อมะดอนไปแล้วก็ตาม เพราะว่าหลายท่านได้เจาะจงให้ความสำคัญในการประกอบคุณความดีในเดือนร่อมะดอนเท่านั้น โดยเดือนอื่นวันอื่นก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้ ถือว่ายังเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก ในโลกนี้วันนี้ ขอให้เราท่านทั้งหลาย ทำคุณความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้มีคุณภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วโลกหน้าอาคิเราะห์ เราท่านทั้งหลายจะพบกับความสุขสบายอย่างแน่นอน เป็นความสุขสบายที่อยู่คู่กับเราท่านทั้งหลาย ตลอดกาลและตลอดไป
     ในปัจจุบันนี้เราท่านทั้งหลายพบปะเจอะเจอกัน ให้สลามกัน ทักทายกัน ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลาย รักแหละเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่จะเจาะจงเฉพาะเลือกปฏิบัติแค่2วันอีดเท่านั้น
     แหละไม่ว่าจะในสังคมใหน เชื้อชาติใหนก็ล้วนแล้วแต่ ให้ความสำคัญในการกล่าวทักทายซึ่งกันและกันทั้งนั้น เพราะเป็นการแสดงออกให้เห็นว่า เราพร้อมที่จะพูดคุยกัน เราพร้อมที่จะหยิบยื่นสิ่งดีๆให้แก่กันและกัน เราพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวต่างๆซึ่งกันแหละกัน เราพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ตามกำลังความสามารถที่มีอยู่
     แม้กระทั่งบรรดามะลาอิกะห์ ก็ยังได้มีการให้สลามแก่ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ที่ประกอบคุณความดี ในค่ำคืนของเดือนร่อมะดอน เพราะในช่วงสิบคืนสุดท้ายของเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรติ จะมีอยู่หนึ่งคืนที่บรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้า จะลงมาสู่โลกนี้ ลงมาโดยได้รับการอนุมัติจากพระผู้เป็นเจ้า คืนที่ว่านั้นก็คือ คืนลัยละตุ้ลก๊อดร เมื่อบรรดาเทวฑูตเห็นมุมินชาย เห็นมุมินะห์หญิง เอาจริงเอาจังในการทำอะมั้ลอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้า บรรดาเทวฑูตของพระผู้เป็นเจ้าก็จะให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆ)
     ดังนั้นในคืนนั้นจะมีการให้สลาม (ขอความสันติสุข) จากบรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งคืน กระทั่งฟะยัรแสงอรุณขึ้น(คือว่าในครั้งที่พระผู้เป็นเจ้าจะสร้างนบีอาดัม บรรดามะลาอิกะห์ได้ห้ามไว้ อ้างในทำนองว่ามนุษย์ จะมาทำไม่ดีในหน้าพื้นแผ่นดินนี้ อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้ทราบกันมาแล้ว ดังนั้นเมื่อบรรดามะลาอิกะห์ ได้ลงมาเห็นมุมินชาย มุมินะห์หญิงได้ทำอะมั้ลอิบาดะห์ ในค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดรดังกล่าว บรรดามะลาอิกะห์จึงได้ให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้น) ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสว่า
سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْرِคืนนั้นมีความศานติจนกระทั่งรุ่งอรุณ  ซูเราะห์ที่97 อัลก๊อดร อายะห์ที่ 5
     คำว่าซะลามุนเป็นค่อบัรมุก๊อดดัม คำว่าฮิย่า อยู่ในหน้าที่เป็นมุบตะดามู่อั๊คค๊อร(นักวิชาการบางท่านบอกว่า ตรงคำว่าซะลามุนนี้เรียกว่าฮะรัฟมุดอฟ ตั๊กดีรว่า ฮิย่า ราตู้ซะลามะติน)
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พวกท่านจะยังไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่านจะมีศรัทธา และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักกัน ฉันจะไม่ชี้พวกท่านไปสู่สิ่งหนึ่ง หรือ? ถ้าพวกท่านปฏิบัติสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็จะรักกัน พวกท่านจงแพร่กล่าวสลามในหมู่พวกท่านเถิด รายงานโดย มุสลิม
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري (1810)  ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَوَلَمْ يََتََفَكَّرُوْافِىْ اَنْفُسَهُمْ مَا خَلَقَ اللهُ السَّمَوَاتِ وَالاَرْضِِِ وَمَابَيْنَهُمَااِلاَّ بِالْحَقِِّ وَاَجَلٍ مُسَمَّى وَاِنْ كَثِيْرًا مِنَ النَّاسِ بِلِقَآىءِرَبِّهِمْ لَكَا فِرُوْنَ
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวัน วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1433 วันอีดิ้ลฟิตรี่
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 เวลา 22.54.27วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1433 วันอีดิ้ลฟิตรี่  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)
     วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.39.24 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.28วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน  เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 23นาที 56 วินาที
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.36.21วินาที ดวงจันทร์ตก18.12.37วินาที    ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 23นาที 44 วินาที 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.28.43วินาที  ดวงจันทร์ตก18.06.47วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน  เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 56 วินาที
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.29.59วินาที  ดวงจันทร์ตก18.08.07 วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 52 วินาที 
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.28.57วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.06วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 51 วินาที 
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.28.20 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.06.23วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 57 วินาที 
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.28.56วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.11วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 45 วินาที
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.29.08 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.12วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดวง เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 56 วินาที
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.28.16วินาที  ดวงจันทร์ตก18.06.18วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 58 วินาที
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.32.21วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.22วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 21นาที 59 วินาที
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.42.47วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.53วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 23นาที 54 วินาที
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.29.41วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.40วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 22นาที 01 วินาที
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.22.43วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.57.49วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 24นาที 54 วินาที
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.39.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.15.48วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 23นาที 57 วินาที
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์
ดังนั้นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1433 วันอีดิ้ลฟิตรี่ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.  2555
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ ไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ خَيْرًايَرَهُوَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ
 شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
     อย่างเช่นในวันนี้ ทั่วทั้งประเทศไทย ดวงจันทร์ตกไปก่อนดวงอาทิตย์(ตกก่อนมัฆริบ) คือตกก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มดูจันทร์เสี้ยว ดังนั้นจึงปิดประเด็นที่จะเห็นจันทร์เสี้ยวไปได้เลย ไม่เห็นแน่นอน
     วันนี้วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2555  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.41.17วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.03.53วินาที ดุฮ์ริเวลา12.20.51วินาที อัสริเวลา15.27.40วินาที มักริบเวลา18.37.39วินาที อีซาเวลา19.51.23
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.43.19 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.05.52วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.22.43วินาที  อัสริเวลา15.29.14 วินาที  มักริบเวลา18.39.24วินาที  อีซาเวลา19.53.04
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.32.23วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.56.56วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.36วินาที  อัสริเวลา15.47.12วินาที  มักริบเวลา18.51.59 วินาที  อีซาเวลา20.07.00วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.27.12วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.53.09วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.25.32วินาที  อัสริเวลา15.53.25วินาที  มักริบเวลา18.57.36วินาที  อีซาเวลา20.13.39วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ خَيْرًايَرَهُوَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
          السلام عليكم ورحمة الله وبركاته     
   ความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้านั้น ไม่สามารถที่จะบรรยายออกมาได้ แต่ที่มวลมุสลิมแหละมวลมุมิน ทั้งชายแหละหญิงทราบกันเป็นอย่างดีก็คือ ถ้าหากสมมุติว่า(เป็นแค่เรื่องสมมุติเท่านั้น)ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง(ที่สามารถมองเห็นได้และที่ไม่สามารถมองเห็นได้นั้น)จะไม่สามารถมีขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
     ที่ผ่านมาเราท่านทั้งหลายได้ร่วมแสดงความยินดีกัน แหละได้มีการรื่นเริงกันในวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี่ (หลังจากที่เราท่านทั้งหลาย ได้มุ่งมั่นปฏิบัติศาสนกิจ อดทนต่อความหิวและกระหาย อดทนต่อความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เพื่อปฏิบัติศาสนกิจในยามค่ำคืน ในช่วงของเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรติที่ผ่านมา)
     ดังนั้นวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี่ที่ผ่านมา นั่นก็เป็นเพียงแค่บางส่วน ในรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่บ่าว ให้ปวงบ่าวของพระององค์ได้มีช่วงเวลาแห่งการผักผ่อน ให้ปวงบ่าวของพระองค์ได้แลเห็นผู้คนต่างๆ ที่มีการแต่งกายกันอย่างสวยสดงดงาม มองไปทางไหนก็สบายตาสบายใจ ผู้คนต่างทักทายปราศัยกันด้วยใบหน้าที่ชื่นมื่น เต็มไปด้วยรอยยิ้ม คนที่เคยบาดหมางกัน ต่างก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน
     ในวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี่นั้น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือเป็นคนที่ไม่ดีของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าก็ให้สิทธินี้เหมือนๆกัน ให้มีการรื่นเริงเหมือนๆกัน ให้มีลักษณะดังกล่าวมานี้เหมือนๆกัน
     สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเฉพาะในโลกดุนยาใบนี้เท่านั้น แต่ในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นแล้ว เป็นอะไรที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่ว่า กรณีของคนที่ทำบาป คนที่ไร้ศรัทธา คนกาเฟรนั้น((เราแหละท่านทั้งหลาย ขอความคุ้มครองจากพระผู้เป็นเจ้า ให้พ้นจากสิ่งดังกล่าวมาด้วยเถิด)) ลูกของเขาที่เขาเคยรัก มอบความรักและเป็นห่วงเป็นใย เป็นทั้งแก้วตาแหละดวงใจในโลกดุนยานี้ เมื่อเขาได้เห็นลูกๆในโลกหน้าอาคิเราะห์ เขาจำได้อีกด้วยเขาจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ญาติพี่น้องที่เขาเคยรักและให้การช่วยเหลือ เคยเยี่ยมเยียนทักทายกัน ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ตอนที่มีชีวิตอยู่ในโลกดุนยาใบนี้ ในวันนั้นความรัก ความเป็นห่วงเป็นใยจะไม่หลงเหลืออยู่อีกเลย คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าได้เท่านั้น (ในโลกนี้มีเรื่องราวต่างๆให้คิดเยอะ แต่ในโลกอาคิเราะห์ เขาคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าได้ คิดแค่เรื่องเดียวเท่านั้น) คิดแม้กระทั่งว่าถ้าเอาลูก เอาภรรยา เอาญาติพี่น้อง เอาผู้คนทั่วไปในหน้าพื้นแผ่นดินนี้ มาเป็นค่าไถ่ เพียงเพื่อให้ตัวเขาเองได้รอดพ้น จากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าได้ เขาก็จะทำ เพราะตัวเขาเองรู้แล้วว่าในวันนั้น จะต้องโดนลงโทษจริงๆอย่างแน่นอน ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไปแล้ว (นี่ก็แสดงให้เห็นว่าในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้น การลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า รุนแรงและหนักหน่วงยิ่ง) แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นไม่สามารถเป็นดั่งที่เขาคาดหวังไว้ได้ สายเกินกว่าที่เขาจะกลับตัวได้แล้ว สายเกินกว่าที่พระผู้เป็นเจ้าจะให้อภัยได้อีกต่อไปแล้ว ขุมนรก แหละการทรมานชนิดต่างๆกำลังรอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า((เราแหละท่านทั้งหลาย ขอความคุ้มครองจากพระผู้เป็นเจ้า ให้พ้นจากสิ่งดังกล่าวมาด้วยเถิด))
     ส่วนในกรณีของผู้ที่มีศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า ในวันกิยามะห์นั้นเมื่อเขาได้เห็นลูก เห็นภรรยา เห็นญาติพี่น้อง เห็นแหละก็จำได้อีกด้วย เขาก็จะทำเหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีการทักทายปราศัยกัน ไม่มีการถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบกัน ใดๆทั้งสิ้นเลย เพราะในวันนั้นต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับภารกิจของตัวเองเท่านั้น คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَلاَيَسْاَلُ حَمِيْمٌ حَمِيْمًاและมิตรสหายจะไม่ถามถึงกัน ซูเราะห์  المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 10
     (ตรงนี้นักวิชาการให้ทัศนะว่า อ่านสระฟัตฮะห์ที่ยาในคำว่า يَساَل  ให้ตักดีรหรือสมมุติคำشفاعتً ขึ้นมา เป็นมัฟอู๊ลตัวที่สอง แหละนักวิชาการก็ยังให้ทัศนะอีกว่า อ่านสระดอมมะห์ที่ยาในคำว่า يُساَل ก็ได้ ให้ตักดีรหรือสมมุติคำعَنْ حميمٍ ขึ้นมา)
     ในส่วนของประโยคนี้ ถือว่าเป็นประโยคที่เริ่มต้นขึ้นมาใหม่เลย เรียกว่าอิสตินาฟ คล้ายๆกับตักดีรคำถามขึ้นมาว่า ที่เขาไม่ถามไถ่กันนั้น ไม่มีการถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบกัน เขาไม่เห็นกันหรืออย่างไร ก็จะได้คำตอบว่า ถึงเขาเห็นกัน ก็ไม่ถามไถ่กัน เพราะต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับภารกิจของตัวเอง
يُبَصَّرُوْنَهُمْ يَوَدُّالْمُجْرِمُ لَوْيَفْتَدِىْمِنْ عَذَابِ يَوْمِءِذٍبِِبَنِيْهِถึงแม้ว่าพวกเขาจะประสานสายตาซึ่งกันและกันก็ตาม ผู้ที่ประพฤติชั่ว(กาเฟร)ก็ใคร่คิดจะไถ่ตน ให้พ้นจากการลงโทษของพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ในวันนั้นด้วยบุตรหลานของเขา ซูเราะห์  المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 11
     ((คำว่าيوم เป็นمُتصرِّف อ่านได้สองอย่าง 1.นักวิชาการส่วนอ่านว่าيَوْمِ ตักดีรว่าمِنْ عَذابِ يومِ القِيامَتِ 2.นักวิชาการอีกบางส่วน อ่านว่า يَوْمَคือمِنْ عَذَابِ يَوْمَءِذٍبِِبَنِيْهِ  คือว่าถ้ากล่าวแค่ว่า مِنْ عَذابِให้พ้นจากการลงโทษของพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)เฉยๆ ก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ให้พ้นในวันใหน ให้พ้นในวันอะไร แต่เมื่อมีการระบุอย่างชัดเจนว่า مِنْ عَذَابِ يَوْمَءِذٍبِِبَنِيْهِก็สามารถรู้ได้ทันทีเลยว่า วันนั้นก็คือวันกิยามะห์ คือให้พ้นจากการลงโทษของพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ในวันกิยามะห์))
وَصَاحِبَتِهِ وَاَخِيْهِและด้วยภริยาของเขา และด้วยพี่น้องของเขา ซูเราะห์  المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 12
وَفَصِيْلَتِهِ اَلَّتِىْ تُءْوِيْهِและด้วยญาติพี่น้องของเขา ซึ่งได้ให้ที่พักอาศัยแก่เขา ซูเราะห์  المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 13
وَمَنْ فِى اْلاَرْضِ جَمِيْعًاثُمَّ يُنْجِيْهِ    และด้วยผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวล เพื่อที่จะให้เขารอดพ้นจากการลงโทษ ซูเราะห์ المَعَارِجْ70 อายะห์ที่ 14 ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นได้ว่า สิ่งที่สามารถทำให้เราท่านทั้งหลาย ได้พบกับชัยชนะ ได้พบกับสิ่งที่ดีงาม ทั้งในโลกดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์นั้น ก็จะหนีไม่พ้นการมีอีหม่านศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แหละการประกอบคุณความดีแขนงต่างๆต่อพระผู้เป็นเจ้า อย่างมุ่งมั่น ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ที่ทำให้พระผู้เป็นเจ้าริดอยินดี โลกนี้วันนี้ยังไม่สาย เกินที่กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีสำหรับคนที่ได้ก้าวผิดพลาดไป พระผู้เป็นเจ้ายังพร้อมที่จะให้อภัยอยู่เสมอ การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا رواه البخاري (1810) ومسلم (1080) “ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080) ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์) แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่ ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์ เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์ ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1433 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่1 เซาวาล ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวัน วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 -สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 เวลา 05.10.39วินาที ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวัน อาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080) วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.19.10 วินาที ดวงจันทร์ตก18.20.55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 01นาที 45 วินาที 2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.16.51วินาที ดวงจันทร์ตก18.18.56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 02นาที 05 วินาที 3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.14.25วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 00 วินาที -ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.15.46วินาที ดวงจันทร์ตก18.20.51 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05.นาที 05 วินาที -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.14.51วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.58วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 07 วินาที -ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.14.03วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.03วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 00 วินาที -ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.15.05วินาที ดวงจันทร์ตก18.20.22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 17 วินาที - ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.14.50วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.50วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดวง เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 05นาที 01วินาที - ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก18.13.55วินาที ดวงจันทร์ตก18.18.53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 04นาที 58 วินาที 4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.17.37วินาที ดวงจันทร์ตก18.22.29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 04นาที 52 วินาที 5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.22.23วินาที ดวงจันทร์ตก18.24.08วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 01นาที 45 วินาที 6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.15.07วินาที ดวงจันทร์ตก18.19.59วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 04นาที 52 วินาที 7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก18.01.19วินาที ดวงจันทร์ตก 18.01.48วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 00นาที 29 วินาที 8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.19.26วินาที ดวงจันทร์ตก 18.21.08วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน เพราะดวงจันทร์ตกหลังดวงอาทิตย์ 01นาที 42 วินาที
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดังนั้นวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 ตรงกับวันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555 ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาติให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ ไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน) พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ خَيْرًايَرَهُوَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.41.17วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.03.53วินาที ดุฮ์ริเวลา12.20.51วินาที อัสริเวลา15.27.40วินาที มักริบเวลา18.37.39วินาที อีซาเวลา19.51.23
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.56.22 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.07.32วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.14.32วินาที  อัสริเวลา15.31.50วินาที  มักริบเวลา18.21.22วินาที  อีซาเวลา19.32.28
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.52.37วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.04.30วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.16.24วินาที  อัสริเวลา15.41.41วินาที  มักริบเวลา18.28.01 วินาที  อีซาเวลา19.39.47วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.50.42วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.03.15วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.17.21วินาที  อัสริเวลา15.44.54วินาที  มักริบเวลา18.31.05วินาที  อีซาเวลา19.43.30วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้น นั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา คนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ خَيْرًايَرَهُوَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّتٍ شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
 รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา


บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
    السلام عليكم ورحمة الله وبركاته           
     อีกไม่กี่วันเราท่านทั้งหลายก็กำลังจะถึงวันรื่นเริง วันเฉลิมฉลองในรอบปีนี้อีกหนึ่งวัน วันนั้นก็คือวันอีดอีดิ้ลอัดฮา ซึ่งกำลังจะมาถึงเราท่านทั้งหลายอีกไม่กี่วันนี้
     หลังจากที่ผู้ศรัทธาทั่วทุกมุมโลกได้ไปร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ ในการประกอบพิธีฮัจย์ พระผู้เป็นเจ้าจึงได้กำหนดให้มีวันอีดอีดิ้ลอัดฮา ให้เป็นวันรื่นเริง ให้เป็นวันเฉลิมฉลองในรอบปีนี้อีกหนึ่งวัน หลังจากที่ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มุ่งมั่นประกอบคุณความดี (วันอีดอีดิ้ลอัดฮาจึงเป็นวันรื่นเริง เป็นวันเฉลิมฉลอง ของคนทั่วทุกมุมโลก)
     เราท่านทั้งหลายจะพบว่าในวันอีดทั้งสองนั้น จะมีการกล่าวตั๊กบีร เพื่อเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่าพระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆสิ่ง แหละมวลมุสลิมนั้นมีวิธีการรื่นเริง แหละเฉลิมฉลอง เป็นรูปแบบที่ดีงาม นั่นก็คือได้มีการร่วมกันกล่าว ได้มีการส่งเสียงตั๊กบีร อย่างกึกก้องพร้อมเพรียงกัน เพื่อรำลึกแหละย้ำเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นในทุกๆบ้านที่มวลมุสลิมอาศัยอยู่ ในทุกๆสถานที่มวลมุสลิมได้เดินผ่านไปผ่านมา ในทุกๆมัสยิดที่มวลมุสลิมได้ไปร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ แหละในทุกๆสถานที่ที่มวลมุสลิมได้ไปรวมกันเพื่อประกอบคุณความดี เราท่านทั้งหลายจะพบว่าความเงียบเหงาจะไม่เกิดขึ้นเลย จะมีเสียงกล่าวตั๊กบีรอย่างกึกก้องอยู่ตลอดเวลา ทั้งในยามค่ำคืนแหละในช่วงเช้าก่อนที่จะมีการละหมาดอีด แหละหลังละหมาดทุกๆเวลา ถึงเวลาอัสริของวันที่สามในวันตัซรีก
     นักวิชาการยังได้บอกอีกว่า ให้สังเกตดูในวันอีดทั้งสองวันนั้น(อีดิ้ลฟิตริแหละอีดิ้ลอัดฮา) ในการละหมาดอีดทั้งสองตอนร๊อกอัตแรก มีการตั๊กบีร7ครั้ง ร๊อกอัตที่สอง มีการตั๊กบีร5ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์แรก มีการตั๊กบีร9ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์ที่สอง มีการตั๊กบีร7ครั้ง ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้นั้น ถ้าจะสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าการตั๊กบีรทั้งหมดนั้นเป็นจำนวนเลขคี่ทั้งหมดเลย
     นักวิชาการยังได้บอกอีกว่า สาเหตุที่ในตอนคุตบะห์แรก ของการละหมาดอีดทั้งสอง มีการตั๊กบีรถึง9ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์ที่สอง มีการตั๊กบีรถึง7ครั้ง การกล่าวตั๊กบีรดังกล่าวมานั้น เป็นจำนวนคี่ทั้งหมดเลย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า มีจุดประสงค์ให้ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ได้มีการนึกแหละรำลึกถึงว่า พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงนั้นมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หนึ่งเดียวเท่านั้น (1เป็นจำนวนคี่) ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ยังทรงเป็นที่พึ่งพาของทุกๆสรรพสิ่งอีกด้วย
     ส่วนในการละหมาดอีดทั้งสองนั้น ตอนร๊อกอัตแรก ที่มีการกล่าวตั๊กบีร7ครั้ง ก็เพราะให้เราท่านทั้งหลาย มีการนึกแหละรำลึกถึงว่า ยังมีการปฏิบัติศาสนกิจที่ยิ่งใหญ่ ที่จำเป็นต้องกระทำ ในกรณีของบุคคลที่ครบในเงื่อนไข การปฏิบัติศาสนกิจที่ว่านั้นก็คือ การทำฮัจย์นั่นเอง เลข7ที่ตรงกันก็คือ ต่อวาฟมี7รอบ ซะแอมี7รอบ ขว้างเสาหินแต่ละต้นมี7เม็ด ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เราท่านทั้งหลาย มีการนึกแหละรำลึกถึงการสร้างที่ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ได้ทรงสร้างมา ที่สำคัญทรงสร้างเพียงพระองค์เดียวอีกด้วย คือพระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าให้มี7ชั้น ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มี7ชั้น ได้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่งที่อยู่ในฟากฟ้าแหละพื้นแผ่นดินภายใน7วัน(คือ6วัน ส่วนวันที่7นั้น พระองค์ได้ทรงสร้างท่านนบีอาดำคือทรงได้สร้างในวันศุกร์) แหละอีกประการหนึ่งเลขคี่ที่รองลงมาที่ใกล้เคียงเลข7มากที่สุด ก็คือเลข5 ดังนั้นการกล่าวตั๊กบีรในการละหมาดอีดทั้งสอง(อีดิ้ลฟิตริแหละอีดิ้ลอัดฮา)  ร๊อกอัตที่สองจึงมีการตั๊กบีรถึง5ครั้ง
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَللهُ الَّذِى خَلَقَ سَبْعَ سَموَاتٍ وَمِنَ اْلاَرْضِ مِثْلَهُنَّ يَتَنَزَّلُ اْلاَمْرُبَيْنَهُنَّ لِتَعْلَمُوْااَنَّ اللهَ عَلى كُلِّ شَيْءٍ قَدِيْرٌوَاَنَّ اللهَ قَدْاَحَاطَ بِِكُلِّ شَىْءٍ عِلْمًاพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงสร้างฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินก็อย่างนั้น(ก็ทรงสร้างเจ็ดชั้นเช่นเดียวกัน) พระบัญชาวะฮี จะลงมาท่ามกลางมันทั้งหลาย(ชั้นฟ้าและแผ่นดิน)เพื่อพวกท่านจะได้รู้ว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้น ทรงอนุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้น ทรงห้อมล้อมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยความรอบรู้(ของพระองค์ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะมาปิดบังความรอบรู้ของพระองค์ได้)     
ซูเราะห์ اَلطَّلاَق) 65 อายะห์ที่ 12)
     คำว่า مِثْلَهُنَّ ในอายะห์นี้นั้น นักวิชาการได้ให้ความคิดเห็นต่างกัน โดยส่วนมากให้อ่านว่า مِثْلَهُنَّ คืออ่านสระฟัตฮะห์ที่ตัวลาม อยู่ในหน้าที่มัฟอูลให้กับฟิอิ้ลที่ถูกลบไป
مَفْعُوْلٌ لِفِعْلٍ مَحْذُوْفٍ اي وَخلَقَ مِثلَهُنَّ فِى الْعَدَدِمِنَ اْلاَرْضِ
     ส่วนนักวิชาการอีกบางส่วนอ่านว่า คืออ่านสระดอมมะห์ที่ตัวลาม  مِثْلُهُنَّ เป็นมุบต่าดามู่อั๊กค๊อร ส่วนคำว่า  مِنَ اْلاَرْضِอยู่ในหน้าที่ เป็นค่อบัรมู่ก๊อดดัม
     เช่นเดียวกันจากอายะห์ตรงนี้(ตรงคำว่าلِتَعْلَمُوْا  ลามตัวนี้เรียกว่า เป็นลามที่ชี้ถึงการบอกสาเหตุ เป็นعِلَّْةْให้กับคำว่าخَلَقَ หรือ  يَتَنَزَّلُ) ดังนั้นจากอายะห์ตรงนี้จึงชี้ชัดให้เห็นได้ว่า สาเหตุที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างฟากฟ้าทั้งเจ็ดมาแหละสาเหตุที่พระองค์ ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินทั้งเจ็ดขึ้นมา หรือที่พระองค์ทรงลงวะฮีมา(แหละทรงบริหารจัดการในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างนั้น) พระองค์สร้างฟ้าทั้งเจ็ดแหละแผ่นดินทั้งเจ็ดมาทำไม สาเหตุก็คือเพื่อให้ได้รู้ว่าพระองค์ทรงมีความสามารถ(พระองค์ทรงทำได้ ที่ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงพบได้ว่าไม่เคยได้ยินใครเลยที่อ้างว่าสร้างฟ้ามา แหละไม่เคยได้ยินใครเลยที่อ้างว่าสร้างพื้นแผ่นดินมา ก็เพราะว่าไม่มีใครที่จะสามารถทำได้)
     แหละการที่พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าให้มีถึงเจ็ดชั้น ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มีถึงเจ็ดชั้น ทำไมพระองค์จึงได้ทรงสร้างฟ้าให้มีถึงเจ็ดชั้น ทำไมพระองค์ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มีถึงเจ็ดชั้น สาเหตุก็คือเพื่อให้ได้รู้ว่าพระองค์ ไม่ใช่แค่มีความสามารถเท่านั้น(ไม่ใช่แค่ทำได้เท่านั้น) แต่อันความเป็นจริงแล้ว พระองค์ทรงมีความสามารถที่สมบูรณ์แบบ ที่ไม่มีใครเลยที่เทียบเทียมพระองค์ได้ แหละอีกทั้งพระองค์ยังทรงมีความรอบรู้ที่สมบูรณ์แบบอีกเช่นกัน ดังนั้นจงกล่าวซะฮาดะห์กันมากๆ จงทำคุณความดีตามรูปแบบ ตามวิถีทางแห่งอัลอิสลามกันมากๆ
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري (1810)  ومسلم (1080)
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี (1810) และมุสลิม (1080)         
     จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา     
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
*****วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันวันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 นั่นก็หมายถึงว่า จะเป็นการกำหนดวันอีดอีดิ้ลอัดฮาอีกด้วย)
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2555 เวลา 19.02.32วินาที  วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555(ดวงจันทร์อยู่ทางด้านล่างของกลุ่มดาว LIBRA  กลุ่มดาวคันชั่ง กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 360819.21กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 360960.58กิโลเมตร)     
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.58.37 วินาที  ดวงจันทร์ตก18..37.39 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 39 นาที 03 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  17.57.03วินาที ดวงจันทร์ต   18.36.30วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 39 นาที 27 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.00.03 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.43.00 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 42 นาที 57 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.01.29 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.44.32 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 43นาที 03 วินาที
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.00.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.43.47 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 43 นาที 06 วินาที
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 17.59.43 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.39 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 42 นาที 57 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.01.12 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.44.29 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.00.28 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.43.26วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 17.59.31วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.26 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.02.49 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.35 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.01.39 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.40.41 วินาที   ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.00.29 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.43.16 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.39.31วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.17.04 วินาที   ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 17.58.47 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.37.46 วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433
 แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
ดังนั้นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 ตรงกับวันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2555 ดังนั้นวันอีดอีดิ้ลอัดฮาฮ.ศ.1433 ตรงกับวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2555
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ ไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُوَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ
 شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان
     วันนี้วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2555  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.47.58วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.07.18วินาที ดุฮ์ริเวลา12.03.16วินาที อัสริเวลา15.24.26วินาที มักริบเวลา17.59.03วินาที อีซาเวลา19.10.08
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.49.48 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.09.06วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.05.08วินาที  อัสริเวลา15.26.16 วินาที  มักริบเวลา18.00.59วินาที  อีซาเวลา19.12.01
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.52.42วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.12.40วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.07.01วินาที  อัสริเวลา15.28.13วินาที  มักริบเวลา18.01.05 วินาที  อีซาเวลา19.12.25วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.53.35วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.14.14วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.07.57วินาที  อัสริเวลา15.28.22วินาที  มักริบเวลา18.01.21วินาที  อีซาเวลา19.13.09วินาที 
      พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُوَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา








บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته     
     ใกล้ที่จะถึงการเริ่มต้นขึ้นฮิจเราะห์ศักราชที่ 1434 ใหม่ขึ้นมาทุกที ขอให้เราท่านทั้งหลายจงสำรวจ แหละได้ประเมินตัวของเราท่านทั้งหลายเองว่า ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น เราท่านทั้งหลายได้ทำคุณความดีมากน้อยเพียงใด แหละได้ก้าวผิดพลั้งไปกระทำ ในสิ่งที่ขัดกับหลักบัญญัติของศาสนามากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ไม่ใช่อื่นใด แต่เพื่อให้เราท่านทั้งหลายจะได้มีการสำนึกผิด นำพาตัวเองให้มีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น เพื่อให้อยู่ภายใต้กรอบที่ว่า เราท่านทั้งหลายจะเปลี่ยนแปลงตัวของเราท่านทั้งหลายเอง ไปในหนทางที่ดีขึ้น ไปในหนทางที่สร้างความยินดี(รี่ดอ)ให้กับพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น
     ถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลาย จะย้อนกลับไปดูในหน้าประวัติศาสน์ อันเรื่องจริงๆแล้วท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ได้เคยกระทำไว้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ประชาชาติของท่านได้รับทราบแหละรับรู้ว่า การขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นตัวช่วยที่ดียิ่ง สำหรับผู้ที่หวังจะได้รับความผาสุกในโลกหน้าอาคิเราะห์ สำหรับผู้ที่หวังว่าจะได้เห็นพระพักษ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าในโลกหน้าอาคิเราะห์
     ถ้าเราท่านทั้งหลายจะพิจรณาดีๆแล้ว ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ท่านเป็นบุคคลที่ถูกมะซูม(ไม่มีความผิด) แต่กระนั้นตัวของท่านเองก็ยัง ได้มีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าในทุกๆวัน ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว การขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าในทุกๆวันนั้น ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่การขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าของท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ในแต่ละวันนั้นมีจำนวนหลายสิบครั้งด้วยกัน สาเหตุที่ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กระทำอย่างนั้น ก็เพราะว่าท่านได้ตระหนักถึงว่า ท่านอยู่ในฐานะบ่าว แต่พระผู้เป็นเจ้านั้นพระองค์ทรงอยู่ในฐานะนาย ยิ่งกว่านั้นยังแสดงถึงความมีมารยาท ยังแสดงถึงความนอบน้อมที่บ่าวต้องมีต่อนาย แหละเพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงจัง เรื่องนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดีงามที่ท่านได้มอบให้กับประชาชาติของท่าน
     ยิ่งไปกว่านั้นนักวิชาการยังได้บอกอีกว่า ควรอย่างยิ่งที่เราท่านทั้งหลายจะต้องขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงจังและรีบด่วน ก็เพราะท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้มีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าในทุกๆวัน
وَعَنْ أَبِيْ هُرَيْرَةَ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُوْلُ وَاللهِ إِنِّيْ لأَسْتَغْفِرُاللهَ وَاَتُوْبُ اِلَيْهِ فِي الْيَوْمِ اَكْثَرَمِنْ سَبْعِيْنَ مَرَّةً رَوَاهُ اْلبُخَارِيُّ     
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ฉันได้ยินรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ขอสาบานต่อพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ตัวฉันเองจะต้องขอลุกโทษต่อพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) และสำนึกผิด กลับตัวไปหาพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) มากกว่าวันละเจ็ดสิบครั้ง รายงานโดยบุคอรี
     เราท่านทั้งหลายก็อยู่ในฐานะบ่าวเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นเราท่านทั้งหลายทุกๆคน ล้วนแล้วแต่มีความผิดด้วยกันทั้งนั้น เพราะว่าเราท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นในทุกๆวันขอให้เราท่านทั้งหลายจงมีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าให้มากๆ รวมถึงต้องเสียใจในความผิดที่ได้ทำมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น จะต้องไม่หวนกลับไปกระทำความผิดนั้นๆอีกเป็นอันขาด ส่วนถ้าเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับบุคคนอื่น จะต้องเพิ่มอีกข้อก็คือ จะต้องนำไปชดใช้เขา แหละต้องขออภัย(มะอัฟ)จากเขาอีกด้วย จะต้องทำให้ได้ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ การขอลุกโทษจึงจะมีผลใช้ได้
     นะยิสจะล้างให้สะอาดได้ก็ต้องใช้น้ำล้างฉันใด บาปกรรมแหละความผิดก็ต้องใช้การขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นตัวช่วยในการลบล้างฉันนั้น
     ท่านอุมัรบินค๊อตต๊อบได้ถูกถาม ถึงเรื่องการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านได้บอกว่า เมื่อขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจแล้ว จะต้องไม่หวนกลับไปทำซ้ำใหม่อีก ให้เหมือนกับน้ำนมที่เมื่อได้ไหลออกมาจากเต้านมแล้ว จะไม่สามารถกลับไปในเต้านมได้ใหม่อีก
     ท่านฮาซันบาซอรี ได้บอกถึงการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าไว้ว่า ขั้นแรกต้องเสียใจ ต่อมาต้องขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยกับลิ้น เลิกไม่ทำอีก ลึกๆของจิตใจต้องคิดตั้งใจจริงว่าจะไม่กลับไปทำอีก
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
يَااَيُّهَاالَّذِيْ آمَنُوْاتُوْبُوْااِلَي اللهِ تَوْبَةً نَصُوْحًاعَسَي رَبُّكُمْ اَنْ يُكَفِّرَعَنْكُمْ سَيِّآتِكُمْโอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย ท่านทั้งหลายจงขอลุกโทษต่อพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ด้วยการขอลุกโทษอย่างจริงจังเถิด บางทีพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่าน จะลบล้างความผิดของพวกท่านออกจากพวกท่าน ซูเราะห์(التحريم)66 อายะห์ที่8
     ตรงคำว่าنَصُوْحًا  นั้นนักวิชาการได้บอกว่าอ่านได้2อย่าง 1.ที่แข็งแรงที่สุด ส่วนมากที่สุดให้อ่านสระฟัตตะห์ที่ตัวนูนคืออ่านว่าنَصُوْحًا อ่านแบบซีฆอตมุบาล่าเฆาะห์
اىتوبةً بالِغةً في النَّصْح
2.แหละนักวิชาการยังได้บอกอีกว่า มีบางส่วนตรงคำว่าنصُوْحًا  นี้ให้อ่านสระดอมมะห์ที่ตัวนูนคืออ่านว่าنُصُوْحًا อ่านแบบซีฆอตมัสดัร เป็นการอ่านของท่านอบูบักรจากท่านอาซิม แหละเป็นการอ่านของท่านคอริยะห์จากท่านนาเฟี๊ยะ
اىتوبةَ نصْحٍ لأَنْفسِكم
     ขอให้เราท่านทั้งหลายสังเกตุให้ดีๆ ถ้าเราท่านทั้งหลายมีการขอลุกโทษต่อพระผู้เป็นเจ้า แล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงรับ ใครได้รับประโยชน์ ก็เราท่านทั้งหลายเองที่ได้รับ ถ้าเราท่านทั้งหลายทำคุณความดีแขนงต่างๆต่อพระผู้เป็นเจ้า โลกหน้าอาคิเราะห์ใครได้รับผลประโยชน์ ก็เราท่านทั้งหลายเองที่ได้รับ นี่แหละเรียกว่าพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงหวังดีแหละพร้อมที่จะหยิบยื่นสิ่งดีๆให้แก่บ่าวของพระองค์อยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าใครกันบ้างที่จะตอบรับ ความปารถนาดีจากพระผู้เป็นเจ้าบ้างเท่านั้นเอง
     อายะห์กุรอ่านที่ได้กล่าวมานั้น ถ้าเราท่านทั้งหลายจะมองให้ดีๆก็จะพบว่า พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้ปวงบ่าวของพระองค์ได้มีการขอลุกโทษต่อพระองค์อย่างจริงจัง คือพระองค์ได้บอกเน้นย้ำให้มีการขอลุกโทษกันอย่างจริงจัง โดยใช้การกล่าวคำว่า تَوْبَةًنَصُوْحًا ขึ้นมา(คือถ้าพระองค์กล่าวแค่ว่า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย ท่านทั้งหลายจงขอลุกโทษต่อพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)) ถ้ากล่าวแค่นี้ เราท่านทั้งหลายก็จะไม่สามารถทราบได้เลยว่า ขอลุกโทษแบบใหนที่พระองค์จะทรงใช้ ขอลุกโทษแบบใหนที่จะมีผล แต่พอพระองค์กล่าวเน้นย้ำเพิ่มขึ้นมาว่า تَوْبَةًنَصُوْحًاเราท่านทั้งหลายก็เข้าใจได้เลยว่าการขอลุกโทษ ที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงใช้ แหละทรงตอบรับนั้นต้องขอลุกโทษแบบจริงจัง
      ดังนั้นคำว่าتُوْبُوْا กับคำว่าتَوْبَةً นี้ผันมาจากอักษรเดียวกัน คำว่าتَوْبَةًนี้จะเห็นได้ว่าอ่านน่าซอบ อยู่ในหน้าที่เป็นมัฟอูลุ้ลมุตลัก หรือเรียกอีกอย่างว่ามัสดัร ทำไมจึงเรียกมัฟอูลุ้ลมุตลักว่ามัสดัร ก็เพราะคือเป็นคำที่บอกถึงอาการนามโดยไม่มีเวลาเข้ามาเกี่ยงข้อง
     คืออย่างนี้ คำกริยาในภาษาอะหรับที่เรียกว่าฟิอิ้ลนั้น ใน1คำจะมีอยู่2เครื่องหมาย(ใน1คำจะชี้บอกถึง2อย่าง) 1.เหตุการณ์ หรือที่เราพูดกันติดปากก็คือคำกริยา 2.เวลา (หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่า คือในฟิอิ้ลนั้นจะชี้บอกให้รู้ถึง2อย่าง1.บอกถึงเหตุการณ์ 2.บอกถึงเวลา)
     ยกตัวอย่างเช่นในคำว่าتُوْبُوْا เหตุการณ์ กริยาที่อยู่ในนี้คือ1.ท่านทั้งหลายจงขอลุกโทษ 2.ส่วนเวลาที่อยู่ในนี้คือเวลาอนาคตเพราะคำว่าتُوْبُوْا เป็นฟิอิ้ลอะมัร ต่อมาพอจะเน้นย้ำให้มีการขอลุกโทษอย่างจริงจัง ที่เรียกว่ามัฟอูลุ้ลมุตลัก ก็ต้องทำให้คำในภาษาอะหรับนั้นให้ไม่มีเครื่องหมายของเวลาอยู่ในนั้น ให้เหลือแค่เหตุการณ์ กริยาไว้เท่านั้น แล้วจะทำอย่างไรดี วิธีการก็คือต้องแปลงหรือผันคำนั้น(ฟิอิ้ลนั้น)ให้ไปอยู่ในรูปของมัสดัร แค่นี้ก็ไม่มีเวลาอยู่ในนั้นแล้ว ดังนั้นจึงได้คำว่าتَوْبَةً มา
     ดั่งที่คำกลอนวิชานะฮู ที่รู้จักกันในนามอัลฟียะห์ได้บอก ถึงเรื่องของมัฟอูลุ้ลมุตลักไว้ว่า
اَلْمَصْدَرُاسْمُ مَاسِوَى الزَّمَانِ مِنْ         مَدْلُوْلَيِ الْفِعْلِ كَأَمْنِ مِنْ اَمِنْมัสดัร(หรือมัฟอูลุ้ลมุตลัก)นั้นคืออิเซ็ม(คำนาม)ของสิ่งหนึ่ง(กริยา)อื่นจากเวลา(ไม่มีเวลาในนั้นคือไม่ใช่ฟิอิ้ลแต่ผันมาจากฟิอิ้ลเดียวกัน)
จาก2เครื่องหมายของฟิอิ้ลเช่นคำว่าأَمْنً ที่มาจากคำว่า   اَمِنَ 
قوله مِنْ مَدْلُوْلَيِ اي مِنْ أَحَدِمَدْلُوْلَيِ الْفِعْلِ
قوله كَأَمْنِ مِنْ اَمِنْ اي وَمِثاَلُ ذلِكَ المصدركاءِنٌ كَأمْن مأخوذٌمن اَمِن
     ดังนั้นทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น บอกให้เราท่านทั้งหลายได้รู้ว่า การขอลุกโทษอย่างจริงจังต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง สำหรับเราๆท่านๆที่อยู่ในฐานะบ่าวของพระองค์
   ***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 นั่นก็หมายถึงว่า จะเป็นการกำหนดวันขึ้นปีใหม่ ฮิจเราะห์ศักราช 1434)
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 เวลา 05.08.02วินาที  ดังนั้นวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1433 ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555(ดวงจันทร์อยู่ทางเกือบทางด้านบนของกลุ่มดาว LIBRA  กลุ่มดาวคันชั่ง กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 357392.92กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 357361.06 กิโลเมตร ส่วนทางด้านบนของดวงจันทร์จะมีดาวพุธอยู่(MERCURY) ดาวพุธนั้นใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์1รอบ เท่ากับ88วันของโลกเรา
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.48.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.14.26 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 16 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  17.47.10 วินาที ดวงจันทร์ต   18.13.32วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 22 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 17.54.48 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.22.23 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 35 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 17.56.18 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.23.58 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27นาที 40 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.00.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.43.47 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 39 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 17.54.29 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.22.03 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 34 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 17.56.21 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.24.05 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 43วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก17.55.13 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.22.49วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 36วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 17.54.15 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.21.48 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 33วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 17.57.11 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.24.48 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 37 วินาทีสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17.50.58 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.17.20 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 22 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 17.54.59 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.22.32 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 34 วินาทีสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.27.56 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.53.09 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25 นาที 13วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 17.48.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.14.26 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 32 นาที 19วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ข่อนข้างยาก แต่ก็พอจะมีโอกาส
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนมุฮัรรอม ฮ.ศ.1434
 แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บดบัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เห็นค่อนข้างยาก
ดังนั้นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 
แต่ถ้าฝนมาฟ้ามืด เมฆบดบัง จะไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ดังนั้นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُوَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
     ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
     วันนี้วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2555  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.53.03 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.15.06 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.00.52วินาที อัสริเวลา15.19.23วินาที มักริบเวลา17.46.29วินาที อีซาเวลา19.00.05 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.54.48 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.16.49วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.02.44 วินาที  อัสริเวลา15.21.19 วินาที  มักริบเวลา17.48.30วินาที  อีซาเวลา19.02.04 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา05.03.59วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.26.30วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.04.40วินาที  อัสริเวลา15.16.42วินาที  มักริบเวลา17.42.38 วินาที  อีซาเวลา18.56.22วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.07.32 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.30.41วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.05.37 วินาที  อัสริเวลา15.14.09 วินาที  มักริบเวลา17.40.18วินาที  อีซาเวลา18.54.29 วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُوَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version