เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์
บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
:salam:
การที่เราท่านทั้งหลายได้มีการศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น นับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว จะมีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้มีศรัทธาต่อเจ้าของ ของทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ซึ่งพระองค์ทรงเป็นเจ้าของตัวจริง เป็นเจ้าของจริงๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของแบบการอ้างตน หรือเป็นเจ้าของแบบอุปโลคขึ้นมาเองใดๆทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเราท่านทั้งหลาย ได้มีการขยันทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ในทุกๆที่ทุกๆเวลาที่เรามีแล้ว เชื่อได้เลยว่า เราท่านทั้งหลายนั้นจะได้รับความยินดีจากพระผู้เป็นเจ้า จะได้รับสิ่งที่ดีๆจากพระผู้เป็นเจ้าในโลกหน้าอาคิเราะห์อย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือจะยากจน ก็ไม่สามารถ ไม่มีสิทธิจับจองพื้นที่ ในสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะว่าเงินแหละทรัพย์สินเงินทอง ไม่สามารถจับจองพื้นที่ ในสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ มีแต่ความศรัทธาแหละคุณความดีเท่านั้น ที่สามารถนำไปจับจองพื้นที่ในสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้(ความจริงมีอยู่ว่าทรัพย์สินเงินทอง ก็สามารถนำพาเราท่านทั้งหลายให้ได้พำนักอยู่ในสรวงสวรรค์ชั้นสูงๆได้ ถ้าเราท่านทั้งหลายบริหารจัดการ แหละใช้จ่ายไปในทางของพระองค์)
เล่าจากอะบีซะอี๊ด(رَضِيَ اللهُ تَعَالَي عَنْهُ)ว่าแท้จริง ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าว่า แท้จริงแท้จริงชาวสวรรค์จะชะเงื้อดูชาวสวรรค์ ในห้องต่างๆที่อยู่ถัดขึ้นไป เหมือนที่ท่านทั้งหลายชะเงื้อดูดาวประจำเมืองที่โคจรไปในขอบฟ้า จากทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก(ที่อยู่สูงขึ้นไป ที่มีแสงสว่างอันสวยงาม) เพราะความเหลื่อมล้ำของพวกเขา พวกเขา(บรรดาอัครสาวก)ได้กล่าวว่า โอ้ร่อซูลุ้ลลอห์นั่นคือตำแหน่งบรรดานบี ที่ผู้อื่นจะขึ้นไปไม่ถึง ท่านได้กล่าวว่าหามิได้ สาบานต่อผู้ซึ่งที่ชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมือของพระองค์ว่า บรรดาผู้ชายที่มีศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)(ที่มีคุณธรรม ที่มีความดี) และเชื่อมั่นต่อบรรดาศาสนทูต รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมีรี
ทิศกิบลัตของแต่ละตำบลจะมีทิศที่แตกต่างกัน หากลองเอาลูกโลกจำลองมาทดลอง ลากเส้นไปตามความโค้งของลูกโลกจำลอง จากจุดใดจุดหนึ่งไปยังมหานครมักกะห์ จะเห็นได้ชัดว่าแต่ละจุดบนพื้นโลกจะมีทิศกิบลัตเฉพาะตัว ของจุดใครจุดมัน ไม่เหมือนกัน ดังนั้นในประเทศไทย แต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอ แต่ละตำบลก็จะมีทิศกิบลัตของตัวเอง
ในช่วงแรกของการเผยแผ่อิสลามของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ มุสลิมหันไปทางมัสยิดอัลอักซอในกรุงเยรูซาเล็ม (ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิสราเอล) แต่ต่อมาหลังจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อพยพจากมักกะห์ ไปยังเมืองมาดินะห์ได้ประมาณสิบหกเดือน พระองค์ทรงลงบัญญัติให้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)เปลี่ยนจุดศูนย์รวมแห่งใหม่ ไปเป็นที่มัสยิดอัลหะรอมในมหานครมักกะห์แทนที่เดิม (ปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอุดิอารเบีย ) ดังนั้นที่เราท่านทั้งหลายเห็นมุสลิมในเมืองไทยปูพรมละหมาดก็คือหันไปทางทิศนี้ ซึ่งตามความเป็นจริงคือทิศตะวันตกเฉียงไปทางเหนือเล็กน้อย
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ปัจจุบันสามารถหาทิศกิบลัตทางภาพถ่ายดาวเทียมได้ ถ้าไม่ตรงก็เปลี่ยนซอฟ(แถว)ให้ตรง เท่านั้นเอง แต่ในการปฏิบัติจริงๆ ที่เปลี่ยนยากที่สุดก็คือจิตใจ ทั้งๆที่นำหลักฐานทุกอย่างชี้แจงชัดๆแล้ว ก็ยังเฉไฉออกจากทางที่ถูกต้องอีก เพราะอีหม่านยังไม่แข็งพอ เพราะความเข้มข้นในศรัทธายังไม่มากพอ
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَكَذَلِكَ جَعَلْنَاكُمْ أُمَّةً وَسَطًا لِتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ وَيَكُونَ الرَّسُولُ عَلَيْكُمْ شَهِيدًا وَمَا جَعَلْنَا الْقِبْلَةَ الَّتِي كُنْتَ عَلَيْهَا إِلَّا لِنَعْلَمَ مَنْ يَتَّبِعُ الرَّسُولَ مِمَّنْ يَنْقَلِبُ عَلَى عَقِبَيْهِ وَإِنْ كَانَتْ لَكَبِيرَةً إِلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ إِنَّ اللَّهَ بِالنَّاسِ لَرَءُوفٌ رَحِيمٌ
{وَكَذَلِكَ} كَمَا هَدَيْنَاكُمْ إلَيْهِ {جَعَلْنَاكُمْ} يَا أُمَّة مُحَمَّد {أُمَّةً وَسَطًا} خِيَارًا عُدُولًا {لِتَكُونُوا شُهَدَاء عَلَى النَّاس} يَوْم الْقِيَامَة أَنَّ رُسُلهمْ بَلَّغَتْهُمْ {وَيَكُون الرَّسُول عَلَيْكُمْ شَهِيدًا} أَنَّهُ بَلَّغَكُمْ {وَمَا جَعَلْنَا} صَيَّرْنَا {الْقِبْلَة} لَك الْآن الْجِهَة {الَّتِي كُنْت عَلَيْهَا} أَوَّلًا وَهِيَ الْكَعْبَة وَكَانَ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي إلَيْهَا فَلَمَّا هَاجَرَ أُمِرَ بِاسْتِقْبَالِ بَيْت الْمَقْدِس تَأَلُّفًا لِلْيَهُودِ فَصَلَّى إلَيْهِ سِتَّة أَوْ سَبْعَة عَشْر شَهْرًا ثُمَّ حُوِّلَ {إلَّا لِنَعْلَم} عِلْم ظُهُور {مَنْ يَتَّبِع الرَّسُول} فَيُصَدِّقهُ {مِمَّنْ يَنْقَلِب عَلَى عَقِبَيْهِ} أَيْ يَرْجِع إلَى الْكُفْر شَكًّا فِي الدِّين وَظَنًّا أَنَّ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي حِيرَة مِنْ أَمْره وَقَدْ ارْتَدَّ لِذَلِك جَمَاعَة {وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ {وَمَا كَانَ اللَّه لِيُضِيعَ إيمَانكُمْ} أَيْ صَلَاتكُمْ إلَى بَيْت الْمَقْدِس بَلْ يُثِيبكُمْ عَلَيْهِ لِأَنَّ سَبَب نُزُولهَا السُّؤَال عَمَّنْ مَاتَ قَبْل التحويل {إن الله بالناس} المؤمنين {لرؤوف رَحِيم} فِي عَدَم إضَاعَة أَعْمَالهمْ وَالرَّأْفَة شِدَّة الرَّحْمَة وَقَدَّمَ الْأَبْلَغ لِلْفَاصِلَةِ
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกท่านเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกท่านจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ชาติทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกท่านทั้งหลาย และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่ท่านเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันสันเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(ในจิตใจอ้างโน่นอ้างนี่ ไม่ยอมเปลี่ยน) นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่ แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143
การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม
ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 ตรงกับวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 จึงเป็นวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1434 ว่า
-สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 เวลา 15.41.38 วินาที วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1434 ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ วันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1434 (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555(ดวงจันทร์อยู่ทางด้านขาของกลุ่มดาว OPHIUCHUS (กลุ่มดาวคนแบกงู) กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 357492.00กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 357310.88 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.52.40 วินาที ดวงจันทร์ตก17.57.08 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 04 นาที 29 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 17.52.06 วินาที ดวงจันทร์ต 17.56.23วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 4 นาที 17 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.02.20 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.05.50 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 03 นาที 30 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.03.52 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.07.25 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 33 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.03.14 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.06.43 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 29 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.02.01 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.05.30 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 29 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.04.07 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.07.34 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 28 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.02.45 วินาที ดวงจันทร์ตก18.06.16 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 31วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก 18.01.45 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.05.14 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.04.30 วินาที ดวงจันทร์ตก18.08.12 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 42 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17.55.27 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.00.05 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 4 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.02.23 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.05.57 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 34 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก17.31.55 วินาที ดวงจันทร์ตก 17.35.44 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 49วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17.52.42 วินาที ดวงจันทร์ตก 17.57.12 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 4 นาที 30วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2555 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนซอฟัร ฮ.ศ.1434
แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
ดังนั้นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2555
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน) และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน เขาเสียชีวิตไป ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
สำหรับวันนี้วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2555 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
-สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.05.02 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.29.53 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.09.40 วินาที อัสริเวลา15.24.39 วินาที มักริบเวลา17.49.26 วินาที อีซาเวลา19.05.31 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.06.43 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.31.31 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.11.32 วินาที อัสริเวลา15.26.39 วินาที มักริบเวลา17.51.31.วินาที อีซาเวลา19.07.34 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา05.19.32 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.44.48 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.13.32 วินาที อัสริเวลา15.18.28 วินาที มักริบเวลา17.42.12 วินาที อีซาเวลา18.58.27 วินาที
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา05.24.34 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.50.31 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.14.29 วินาที อัสริเวลา15.14.24 วินาที มักริบเวลา17.38.22 วินาที อีซาเวลา18.55.07 วินาที
พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله ช่วงนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นขึ้นปีใหม่ หลายท่านคงได้รับปฏิทินอิสลามที่มีการบอกเวลาละหมาด ดังนั้นขอให้เราท่านทั้งหลายตระหนักถึงความสำคัญของการละหมาดให้มาก เพราะว่าการละหมาดนั้นเป็นอิบาดัตชนิดเดียวที่ ร่อซูลุ้ลลอห์ได้รับพระบัญชาใช้จากพระผู้เป็นเจ้าด้วยกับตัวของท่านเอง เมื่อเราท่านทั้งหลายนึกคิดอยู่เสมอว่าการละหมาดนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆๆๆ สำหรับการที่ได้เกิดมาเป็นผู้ศรัทธา รับรองได้ว่ายากที่เราท่านทั้งหลายจะขาดละหมาด
ในการคำนวณเวลาละหมาดนั้น ในฐานะที่ผมเองได้ศึกษามาโดยตรง ผมจะอยากขอแนะนำว่า ไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะดูปฏิทินหรือดูเวลาละหมาดทางใหนก็แล้วแต่ ปัญหาที่พบอยู่บ่อยๆก็คือเวลาของการละหมาดซุบฮิ จากการศึกษาของผมเอง ได้พบว่าผู้รู้(อาเล็ม)ในวิชาฟะลักในสมัยก่อนหลายต่อหลายท่าน รวมถึงสมัยนี้หลายต่อหลายท่าน ได้คำนวณเวลาละหมาด ได้บอกว่าเวลาซุบฮิต้อง 20 องศา ก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้นจริง(คืออยู่ต่ำกว่าขอบฟ้า20องศา ในวิธีการคำนวณนั้นต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ หาค่าแธนพีส่วนสองเท่ากับสแควรรูตเศษซายวงเล็บอาร์ลบซี คูณ ซายวงเล็บอาร์ลบเอสส่วนซายวงเล็บอาร์ลบพี คูณ ซายอาร์ ต่อจากนี้ยังมีขั้นตอนอีกมากมาย กว่าจะได้เวลาละหมาดซุบฮิ จากการที่ผมได้ดูปฏิทินที่มีแจกในปัจจุบันนี้ เวลาซุบฮิยังอยู่ในประมาณ20องศา ตรงนี้ผมไม่ห่วง ต่างกันนิดหน่อยอยู่ที่ตำแหน่งแลต-ลองที่คำนวณ (ตรงนี้สำคัญมากๆๆๆ ถ้าคำนวนตรงใจกลางเมือง ด้านชานเมืองอาจยังไม่เข้าเวลาก็เป็นได้ นักทำปฏิทินต้องให้ความสำคัญในสิ่งที่เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆนี้ แต่ตามพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเพราะถ้าเริ่มละหมาดก่อนเข้าเวลา ก็ใช้ไม่ได้นั่นเอง) แหละค่าเวลาเผื่อ แต่ที่เป็นห่วงก็คือเวลาซุบฮิ ที่ต่างไปกว่าปฏิทินมาก บางทีมากถึง12นาที บางทีมากถึง8นาที (อย่างนี้ไม่เรียกว่า20องศาแล้ว) ซึ่งปัญหานี้ก็จะเกิดขึ้นช่วงเดือนร่อมะดอนนั่นเองคือเข้าเวลาละหมาดซุบฮิจริงๆแล้วแต่ยังรับประทานอาหารกันอยู่เลย ซึ่งตรงนี้ควรตระหนักให้มาก
รายงานจากท่านอะบูฮุรอยเราะห์ ความว่า ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
إِنَّ فِي الْجَنَّةِ مِائَةَ دَرَجَةٍ أَعَدَّهَا اللَّهُ لِلْمُجَاهِدِينَ فِي سَبِيلِ اللَّهِ، مَا بَيْنَ الدَّرَجَتَيْنِ كَمَا بَيْنَ السَّمَاءِ وَالأَرْضِ، فَإِذَا سَأَلْتُمُ اللَّهَ فَاسْأَلُوهُ الْفِرْدَوْسَ، فَإِنَّهُ أَوْسَطُ الْجَنَّةِ وَأَعْلَى الْجَنَّةِ، أُرَاهُ فَوْقَهُ عَرْشُ الرَّحْمَنِ، وَمِنْهُ تَفَجَّرُ أَنْهَارُ الْجَنَّةِ
"แท้จริงในสวรรค์นั้นมี ระดับชั้น ที่อัลเลาะฮ์ทรงตระเตรียมมันไว้สำหรับบรรดานักรบในหนวิถีทางของอัลเลาะฮ์ ซึ่งระหว่างสองชั้นนั้นห่างกันระหว่างฟ้าและแผ่นดิน ดังนั้นเมื่อพวกท่านได้วอนขอต่ออัลเลาะฮ์ ก็จะขอพระองค์กับสวรรค์ฟิรเดาซ์เถิด เพราะมันเป็นสวรรค์ที่ดีเลิสที่สุดและชั้นสูงที่สุด ฉันได้เคยเห็นมันอยู่ใต้บัลลังก์ของอัลเลาะฮ์ และมีบรรดาแม่น้ำในสวรรค์ไหลพุ่งออกมาจากมัน" ซอเฮียะห์บุคอรี
นับว่าเป็นรางวัลที่สูงค่ามาก เป็นรางวัลอันเลอค่า(เป็นสิ่งที่ดวงตาไม่เคยได้เห็น หูไม่เคยได้ยิน แม้กระทั่งในจินตนาการก็ไม่เคยที่จะจินตนาการไปได้ถึงขนาดนี้เลย)ที่พระองค์ตระเตรียมไว้ให้กับปวงบ่าวของพระองค์ เป็นรางวัลตอบแทนที่ปวงบ่าวของพระองค์ที่ได้มีการมุ่งมั่น ทำคุณความดีแขนงต่างๆกัน มุ่งมั่นทำเพื่อพระองค์ เพื่อสนองตอบพระบัญชาของพระองค์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
إِنَّ الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ كَانَتْ لَهُمْ جَنَّاتُ الْفِرْدَوْسِ نُزُلًا
{إنَّ الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَات كَانَتْ لَهُمْ} فِي عِلْم اللَّه {جَنَّات الْفِرْدَوْس} هُوَ وَسَط الْجَنَّة وَأَعْلَاهَا وَالْإِضَافَة إلَيْهِ لِلْبَيَانِ {نُزُلًا} مَنْزِلًا
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา(ต่อพระผู้เป็นเจ้า ต่อท่านนบีมุฮัมหมัด ซ.ล.และต่อพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน)และปฏิบัติคุณความดี(ซึ่งสร้างความพึงพอพระทัยแด่พระผู้เป็นเจ้า)สำหรับพวกเขานั้นคือสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส เป็นที่พำนัก(เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด)ซูเราะห์อัลกะห์ฟิ 18 อายะห์ที่107
นักวิชาการได้บอกว่าอายะห์กุรอ่านที่ได้กล่าวมานั้น มีข้อคิดหลายอย่างหลายประการด้วยกัน
1.พระผู้เป็นเจ้าได้แจ้งบอกกับผู้ปฏิเสธศรัทธา (แหละปฏิบัติไม่ดี)ว่า จะต้องได้รับนรกยะฮันนัมเป็นสิ่งตอบแทน(ซึ่งได้มีปรากฏอยู่ในอายะห์ก่อนหน้านี้) ต่อมาพระผู้เป็นเจ้าก็ได้แจ้งถึงวิธีการแก้ไขไว้ให้อีกด้วย (เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อจะได้รอรับสิ่งดีๆในโลกหน้าอาคิเราะห์) คือให้เปลี่ยนแปลงตัวเองจากการที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา มาเป็นผู้ศรัทธาและปฏิบัติความดี ดังนั้นสัญญามั่นที่พระองค์ได้ทรงให้ไว้ก็คือจะตอบแทนด้วยสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส(เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด พิเศษสุดๆ)
2.คำว่าปฏิบัติความดีได้อะตอฟไปที่ศรัทธา ชี้ให้เห็นว่าคำว่า عَمِلُوا เป็นคำกริยา(ฟิอิ้ล)ได้อะตอฟไปที่คำว่า آمَنُوا ซึ่งก็เป็นคำกริยา(ฟิอิ้ล)เช่นกัน ตามหลักนะฮูถือว่าใช้ได้ ทำได้นั่นเอง หลักอันนี้ก็มีปรากฏอยู่ในคำกลอนนะฮู ที่รู้จักกันในนามอัลฟียะห์ว่า
وَحَذْفَ مَتْبُوْعٍ بَدَاهُنَااسْتَبِحْ وَعَطْفُكَ الْفِعْلَ عَلَى الْفِعْلِ يَصِحْ
การตัดคำที่ถูกตามอย่างชัดแจ้งตรงนี้นั้นให้กระทำได้(คือการลบมะตูฟอะลัยนั้นกระทำได้)
และการอะตอฟของท่านที่ฟิอิ้ลไปยังฟิอิ้ลนั้นถูกต้อง (คือถือว่ากระทำได้)
3.ขึ้นชื่อว่าสวนสวรรค์ก็นับว่าดีสุดๆแล้ว แต่ที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส ดีสุด พิเศษสุด มีเกียรติสุด
4.ในดุนยานี้ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้นมากมายเหลือเกิน บางส่วนจากความรักก็คือได้ปลูกบ้านสร้างเรือนไว้ให้กับลูก เพื่อให้ลูกได้อยู่อย่างสบาย ไม่น้อยหน้าใคร แต่อันความรักที่พระผู้เป็นเจ้ามีต่อบ่าวนั้นมีมากมายเหลือเกิน ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ สำหรับผู้มีศรัทธาและปฏิบัติคุณความดีแล้ว สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้าง เตรียมไว้ให้เป็นสถานที่พำนักอาศัยในโลกหน้าอาคิเราะห์ก็คือสวนสวรรค์ชั้นฟิรเดาส ดีสุด พิเศษสุด มีเกียรติสุด
คำว่า نُزُلًاนักวิชาการบอกว่าอยู่ในหน้าที่ฮาลจากคำว่า جَنَّاتُ ส่วนคำว่า لَهُمْ อยู่ในหน้าที่เป็นค่อบะรุฮา
คำว่า فِي عِلْم اللَّه ถ้าเราจะพูดจริงๆแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงวันกิยามะห์ยังไม่มีใครได้เข้าสวรรค์เลย แต่ในอายะห์กุรอ่านที่กล่าวมานี้ใช้ฟิอิ้ลมาดี(คือเหมือนว่าเกิดขึ้นมาแล้ว) ตรงนี้ก็คือในเรื่องการที่จะได้ไปอยู่ในสวรรค์ฟิรเดาสำหรับผู้มีศรัทธาและปฏิบัติคุณความดีนั้น จริงอยู่ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้น แต่อันความจริงแล้ว สิ่งนี้อยู่ในความรอบรู้ของพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่ยังไม่ได้สร้างเสียอีก
การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจน ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม
ดังนั้นวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 29 ซอฟัร ฮ.ศ.1434 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2555 เป็นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2555 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556 เวลา 02.43.35 วินาที (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
วันวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556(ดวงจันทร์อยู่ทางด้าน หัวของกลุ่มดาวแพะทะเล CAPRICORNUS กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง) ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 364194.34กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 363616.33 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.08.33 วินาที ดวงจันทร์ตก18.45.41 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 37 นาที 07 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 18.07.49 วินาที ดวงจันทร์ต 18.44.23วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 36 นาที 34 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.17.09 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.50.43 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 34 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.18.41 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.52.16 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 34 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.18.02 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.51.30 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 28 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.16.50 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.50.23 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 32 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.18.52 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.52.12 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 20 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.17.34 วินาที ดวงจันทร์ตก18.51.09 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 35วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก 18.16.35 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.50.09 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 34วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.19.24 วินาที ดวงจันทร์ตก18.53.20 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 56 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.11.20 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.48.37 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 37 นาที 17 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.17.16 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.51.00 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33 นาที 44 วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก17.47.57 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.24.54 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 36 นาที 56วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.08.33 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.45.41 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 37 นาที 07วินาที ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434
แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืดสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
ดังนั้นวันที่ 1ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ.2556
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน) และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน เขาเสียชีวิตไป ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
วันนี้วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556 (เป็นวันเด็กแห่งชาติ อย่าลืมส่งให้ลูกเรียนศาสนาด้วย เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
-สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.19.48 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.43.53 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.25.07 วินาที อัสริเวลา15.41.13 วินาที มักริบเวลา18.06.26 วินาที อีซาเวลา19.21.48 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.21.55 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.46.00 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.27.14 วินาที อัสริเวลา15.43.20 วินาที มักริบเวลา18.08.33.วินาที อีซาเวลา19.23.55 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา05.33.29 วินาที ตะวันขึ้นเวลา 07.00.06 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.29.03 วินาที อัสริเวลา15.36.05 วินาที มักริบเวลา17.58.09 วินาที อีซาเวลา19.15.47 วินาที
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา05.38.05 วินาที ตะวันขึ้นเวลา07.03.12 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.29.55 วินาที อัสริเวลา15.32.22 วินาที มักริบเวลา17.56.47 วินาที อีซาเวลา19.12.46 วินาที
พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ได้กล่าวว่า ลูกหลานอาดัม ได้กล่าวหาว่าเราโกหก โดยเขาไม่มีสิทธิเช่นนั้นเลย และเขาได้ด่าเรา โดยเขาไม่มีสิทธิเช่นนั้นเลย ที่เขากล่าวหาว่าเราโกหกคือ การที่เขากล่าวว่า เราไม่สามารถฟื้นคืนเขาขึ้นมาใหม่ได้อีก เหมือนที่เราสร้างเขาในตอนต้น ส่วนที่เขาด่าเราก็คือ การที่เขากล่าวว่า อัลเลาะฮ์มีบุตร ทั้งๆที่เราเป็นที่พึ่ง ซึ่งไม่ให้กำเนิดบุตร และไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมเรา รายงานโดยบุคอรี
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
การมีอีหม่าน การมีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่สิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แหละสิ่งนี้เอง จะเป็นสิ่งที่นำพาเราท่านทั้งหลาย ในฐานะบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ไปสู่ความผาสุก นำไปรับสรวงสวรรค์ นำพาเราท่านทั้งหลายสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ในโลกหน้าอาคิเราะห์ได้อย่างแน่นอน
กิบลัตนั้น ก็คืออัยนุ้ลกะบะห์ มิใช่ยิฮะตุ้ลกะบะห์ ตรงนี้ต้องดูหนังสือให้มากนะครับ สำหรับผู้รู้ที่สังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์
กิบลัตนั้นก็คือจุดๆหนึ่ง หรือสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ผู้คนทั่วทุกมุมโลก จำเป็นต้องผินเข้าหา ในขณะปฏิบัติศาสนกิจ ในขณะละหมาด เพราะว่าการผินเข้าหากิบลัตนั้น ถือว่าเป็นซารัต เป็นกฏเกณฑ์ เป็นกฏระเบียบข้อหนึ่ง ที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ เพื่อให้การละหมาดของเราท่านทั้งหลาย มีผลใช้ได้ เป็นการละหมาดที่ไม่สูญเปล่า แหละเป็นการละหมาด ที่ถูกตอบรับจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ที่เรียกว่ากิบลัต ก็เพราะว่าทุกๆคนทั่วทุกมุมโลก ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ จะต้องผินเข้าหาในขณะเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า โดยมาในรูปแบบ ของการทำละหมาด ที่เรียกว่ากะบะห์ ก็เพราะว่ารูปทรงเป็นจุดเด่น สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม แต่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมจตุรัส สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่เรียกว่าบัยตุ้ลลอฮ์ ก็เพราะว่าทุกๆปีจะมีผู้คนแวะเวียนไปที่บัยตุ้ลลอฮ์อยู่ตลอดเวลา
ขอย้ำครับว่า สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นแนวคิด เป็นแนวปฏิบัติ ของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ และเป็นแนวปฏิบัติของ ทุกๆคนที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ ทุกๆมัสยิดที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ ) เหตุที่ผมต้องนำเรื่องกิบลัตมากล่าวใหม่อีกก็เพราะ หลายครั้งหลายหน ที่ผมได้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้รู้ในบ้านเราเมืองเราหลายๆท่าน ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ แต่การพูดคุยกลับได้ความคิดเห็นแบบ ยิฮะตุ้ลกะบะห์ มิใช่อัยนุ้ลกะบะห์
หรือจะพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือ การผินสู่กิบลัตแบบอัยนุ้ลกะบะห์นั้นก็คือ การผินสู่กิบลัตแบบละเอียด ส่วนการผินสู่กิบลัตแบบยิฮะตุ้ลกะบะห์นั้นก็คือ การผินสู่กิบลัตแบบหยาบๆ
เรื่องกิบลัตนี้ผมชื่นชมท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ เรียกว่าท่านปฏิบัติแบบละเอียดที่สุดเท่าที่มีความสามารถ มิใช่ปฏิบัติแบบหยาบๆๆๆ เป็นตัวอย่างที่ดีในการเป็นนักพัฒนา สมัยท่านท่านบอกให้ดูดวงอาทิตย์ ดูภูเขา ดูดวงดาวเพื่อกำหนดตำแหน่งที่วิหารกะบะห์ได้ตั้งอยู่ ท่านไม่ได้บอกให้เพียงแค่ผินไปสู่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่เท่านั้น)
นักวิชาการระดับมัซฮับ จึงมีความคิดที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับการผินหน้าอกไปทางกิบลัตในขณะละหมาด
ดังนั้นมัซฮับซาฟิอี ซึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยึดตามมัซฮับนี้ ถือว่าจะต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เลยเท่าที่มีความสามารถที่สุด พูดง่ายๆก็คือถ้ารู้แน่ชัดว่ายังหันไม่ตรงกะบะห์ ที่ผ่านมาการละหมาดถือว่าใช้ได้เพราะทำสุดความสามารถแล้ว แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกต้อง การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้อีกแล้ว หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถดูได้ที่หนังสืออั้ลอุม(ของท่านอิหม่ามซาฟิอีเล่มที่1หน้า114) และหนังสือฟิกห์4มัซฮับเล่มที่1หน้า178)(บางทีหนังสืออาจพิมพ์ต่างวาระกัน เล่มแหละหน้าอาจไม่เหมือนที่กล่าวมานี้ แต่ให้เข้าไปดูในบทที่ว่าด้วยเรื่องการผินสู่ทิศกิบลัตก็จะพบอย่างแน่นอน)
ยิ่งถ้าเป็นนักดาราศาสตร์อิสลามแล้ว แต่ถ้ายังไม่ให้ความสำคัญในการผินสู่ทิศกิบลัตให้ตรงตามองศาที่สถานที่ตัวเองตั้งอยู่แล้ว คำตอบณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าก็คือความรู้ไม่นำพาสู่การปฏิบัติ เพราะว่าคำนวณได้ รู้ แต่ทำไมจิตใจจึงผินไปสู่ทิศกิบลัตกะบะห์ตามองศาให้ตรงไม่ได้
เพราะการศึกษาดาราศาสตร์อิสลามนั้น เพื่อที่จะแยกแยะให้รู้ถึงสิ่งที่ละเอียด เรียกว่าพัฒนาจากสิ่งที่หยาบๆๆๆสู่สิ่งที่ละเอียดๆๆๆ(ยิ่งสมัยนี้แลต ลองของสถานที่ที่เราท่านทั้งหลายตั้งอยู่นั้น ได้ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานสากลตั้งนานมาแล้ว แลต ลองของกะบะห์ก็ได้ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานสากลตั้งนานมาแล้ว ใช้เวลาเพียงแค่ครู่เดียวก็สามารถรู้ได้ว่ากะบะห์อยู่ตรงไหน แต่ปัญหาใหญ่ที่พบอยู่เป็นประจำก็คือเมื่อรู้แล้วว่าแถวละหมาดไม่ตรงกับกะบะห์ ทำไมจึงไม่สามารถเปลี่ยนแถวละหมาดให้ตรงกับกะบะห์ได้ เป็นเพราะอะไรครับ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัยร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)มาแล้ว ก็เพราะว่าทุกยุคทุกสมัยมีบุคคลอยู่2จำพวกด้วยกัน 1.บรรดาบุคคลที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ได้ทรงแนะนำให้ได้รับทางนำ 2.บรรดาบุคคลที่ไม่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَإِنْ كَانَتْ لَكَبِيرَةً إِلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ
{وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ
และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(จะไม่ทำตามสำหรับผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ใจต่อพระผู้เป็นเจ้า) นอกจากบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น(ทำได้ง่ายมากถือว่าเป็นเรื่องเล็กสำหรับพวกเขาเพราะเขาเหล่านั้นบริสุทธิ์ใจต่อพระผู้เป็นเจ้า)ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143
คือถ้าเป็นคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆก็แล้วแต่ ทำตามได้ง่ายทั้งนั้น จะไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้นในจิตใจ นี่แหละคือลักษณะของบรรดาบุคคลที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า
คำว่า إِنْ ในอายะห์ที่กล่าวมานี้ตรงกับคำกลอนอันทรงคุณค่า อัลฟียะห์ ที่บอกว่า
وَالْفِعْلُ اِنْ لَمْ يَكُ نَاسِخًافَلاَ تُلْفِيْهِ غَالِبًابِاِنْ ذِيْ مُوْصََلاًและฟิอิ้ลนั้นถ้าไม่ใช่ฟิอิ้ลนะวาซิคท่านก็จะไม่พบ(ว่าตกหลังจาก إِنْ) โดยมากแล้วฟิอิ้ลนะวาซิคจะถูกเชื่อมต่อกับ إِنْ ตัวนี้
จากคำกลอนตรงนี้ให้ดูตรงคำว่า غَالِبًا ดังนั้นจึงสรุปความได้ว่าฟิอิ้ลที่ตกหลังจาก إِنْ มุคอฟฟะฟะห์ส่วนใหญ่โดยมากแล้วต้องเป็นكانและพี่น้องของมันและظنّและพี่น้องของมัน(เพราะเป็นฟิอิ้ลนะวาซิค ยกเลิกการอ่านเดิมของมุบตะดาแหละค่อบัร) ส่วนฟิอิ้ลที่นอกจากนี้จะมีน้อยที่ตกหลังจากإِنْ มุคอฟฟะฟะห์ ดังนั้นในอายะห์กุรอ่านที่กล่าวมาแล้ว كَانَتْ ที่อยู่หลัง إِنْ จากผันมาจากكان ซึ่งอยู่ในรูปของเบอร์4
คำว่า لَكَبِيرَةًลามตัวนี้เรียกว่าลามฟาริเกาะห์ ต้องใส่เพิ่มเข้ามาเพื่อแยกบอกให้รู้ว่า إِنْ ตัวนี้เป็น إِنْ มุคอฟฟะฟะห์ มิใช่ إِنْ นาฟิยะห์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَلَئِنْ أَتَيْتَ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ بِكُلِّ آيَةٍ مَا تَبِعُوا قِبْلَتَكَ وَمَا أَنْتَ بِتَابِعٍ قِبْلَتَهُمْ وَمَا بَعْضُهُمْ بِتَابِعٍ قِبْلَةَ بَعْضٍ وَلَئِنِ اتَّبَعْتَ أَهْوَاءَهُمْ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ إِنَّكَ إِذًا لَمِنَ الظَّالِمِينَ
{وَلَئِنْ} لَام الْقَسَم {أَتَيْت الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَاب بِكُلِّ آيَة} عَلَى صِدْقك فِي أَمْر الْقِبْلَة {مَا تَبِعُوا} أَيْ لَا يَتْبَعُونَ {قِبْلَتك} عِنَادًا {وَمَا
أَنْت بِتَابِعٍ قِبْلَتهمْ} قَطْع لِطَمَعِهِ فِي إسْلَامهمْ وَطَمَعهمْ فِي عَوْده إلَيْهَا {وَمَا بَعْضهمْ بِتَابِعٍ قِبْلَة بَعْض} أَيْ الْيَهُود قِبْلَة النَّصَارَى وَبِالْعَكْسِ {وَلَئِنْ اتَّبَعْت أَهْوَاءَهُمْ} الَّتِي يَدْعُونَك إلَيْهَا {مِنْ بَعْد مَا جَاءَك مِنْ الْعِلْم} الْوَحْي {إنَّك إذًا} إنْ اتَّبَعْتهمْ فَرْضًا {لمن الظالمين}
และแน่นอน ถ้าหากท่านได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของท่าน และท่านก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากท่านไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังท่านแล้ว แน่นอนทันใดนั้น ท่านก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่145
การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม
ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 เวลา 14.20.05 วินาที (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556(ดวงจันทร์อยู่ทางด้าน แขนของกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ AQUARIUS กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง) ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 364194.34กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 370895.33 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.22.19 วินาที ดวงจันทร์ตก18.25.54 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 35 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 18.20.58 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.24.05วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 07 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.26.29 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.27.06 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.27.57 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.28.36 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.27.12 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.27.45 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 33 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.26.09 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.26.45 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 36วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.27.51 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.28.17 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 26 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.26.54 วินาที ดวงจันทร์ตก18.27.32 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก 18.25.56 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.26.33 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 37วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.29.02 วินาที ดวงจันทร์ตก18.29.59 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 57 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.25.09 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.28.53 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 44 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.26.47 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.27.33 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0 นาที 47 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก17.02.31 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.05.52 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 21วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.22.19 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.25.54 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 3 นาที 35วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือนร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1434
แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
ดังนั้นวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน) และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน เขาเสียชีวิตไป ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
วันนี้วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 (อย่าลืมส่งให้ลูกเราเรียนศาสนาด้วยครับ เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราท่านทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
-สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.21.22 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.42.21 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.31.01 วินาที อัสริเวลา15.51.02 วินาที มักริบเวลา18.19.51 วินาที อีซาเวลา19.32.25 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.23.28 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.44.27 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.33.07 วินาที อัสริเวลา15.53.09 วินาที มักริบเวลา18.21.58.วินาที อีซาเวลา19.34.32 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา05.30.31 วินาที ตะวันขึ้นเวลา 06.53.58 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.34.53 วินาที อัสริเวลา15.50.31 วินาที มักริบเวลา18.16.04 วินาที อีซาเวลา19.30.49 วินาที
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา05.33.13 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.55.14 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.35.45 วินาที อัสริเวลา15.48.44 วินาที มักริบเวลา18.16.33 วินาที อีซาเวลา19.29.42 วินาที
พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاطِرُ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ جَعَلَ لَكُمْ مِنْ أَنْفُسِكُمْ أَزْوَاجًا وَمِنَ الْأَنْعَامِ أَزْوَاجًا يَذْرَؤُكُمْ فِيهِ لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{فَاطِر السَّمَاوَات وَالْأَرْض} مُبْدِعهمَا {جَعَلَ لَكُمْ مِنْ أَنْفُسكُمْ أَزْوَاجًا} حَيْثُ خَلَقَ حَوَّاء مِنْ ضِلْع آدَم {وَمِنْ الْأَنْعَام أَزْوَاجًا} ذُكُورًا وَإِنَاثًا {يَذْرَؤُكُمْ} بِالْمُعْجَمَةِ يَخْلُقكُمْ {فِيهِ} فِي الْجَعْل الْمَذْكُور أَيْ يُكَثِّركُمْ بِسَبَبِهِ بِالتَّوَالُدِ وَالضَّمِير لِلْأَنَاسِيِّ وَالْأَنْعَام بِالتَّغْلِيبِ {لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
พระองค์ อ.ล.(ซ.บ.) ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์ทรงทำให้มีคู่ครองแก่พวกท่าน จากตัวของพวกท่านเอง และจากปศุสัตว์ทรงให้มีคู่ผัวเมีย ด้วยเหตุนี้พระองค์ทรงแพร่พันธุ์พวกท่านให้มากมาย ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์(ในทุกๆรูปแบบ กาฟที่อยู่ในคำว่ากะมิสลิฮีนั้นเป็นกาฟ ราอิดะห์ ส่วนคำว่าซัยอุนนั้นเป็นอิสมุฮา มุอั๊คค๊อร) และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น ซูเราะห์ที่ 42(อัซซูรออฺ) อายะห์ที่ 11
มีการอ้างว่าพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมามาใหม่ บ้างก็บอกว่าพระผู้เป็นเจ้ามีมือบ้าง บ้างก็บอกว่าพระผู้เป็นเจ้ามีหน้าบ้าง บ้างก็บอกว่าพระผู้เป็นเจ้ามีที่อยู่บ้าง บ้างก็พยายามหาที่อยู่ให้พระผู้เป็นเจ้าว่าอยู่ที่ตรงนั้นตรงนี้บ้าง นำมาทำโดยถือเป็นอิบาดะห์ชนิดหนึ่ง สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนา (เพราะรูปแบบของอิบาดะห์ต่างๆนั้นก็คือ ต้องมีคำสั่งใช้มาจากพระผู้เป็นเจ้า มาจากร่อซูลุ้ลลอห์) บางทีก็เลยเถิดถึงว่า อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลาแล้วไม่ต้องละหมาดหรอกเพราะนี่ไม่ใช่เราแต่นี่คือพระผู้เป็นเจ้า สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา
ชี้ให้เห็นว่าต่อไปนี้ถ้าเราท่านทั้งหลายรู้จักคิดคือคิดให้เป็น เราท่านทั้งหลายจะทุกข์ยากสุขง่าย วิธีคิดก็คือไม่ว่าอะไรก็ตามที่ได้มาเกิดขึ้นกับตัวของเราท่านทั้งหลาย ให้เราท่านทั้งหลายคิดว่า สิ่งนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้มาจากใครหรือไม่ได้มาจากสิ่งใดเลย ความอดทนก็จะเกิดกับเราท่านทั้งหลายทันที บางทีอาจจะมีความโกรธอยู่บ้างแต่ก็แค่แป๊ปเดียว บางทีอาจจะมีความทุกข์ใจอยู่บ้างแต่ก็แค่แป๊ปเดียว(นี่คือหลักคิดเท่านั้นเรียกว่าเตาฮีดุ้ลอัฟอาล แต่ในฮุก่มของศาสนาก็ต้องดำเนินไปตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเราท่านทั้งหลายเจ็บป่วยเป็นนั่นเป็นนี่ ก็ให้เราท่านทั้งหลายคิดว่านี่เป็นสิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้มาจากคนนั้นคนนี้ ไม่ได้มาจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ ความสุขทางใจจะเกิดขึ้นทันที แต่สำหรับในการใช้ชีวิตจริงแล้ว ก็ให้เราท่านทั้งหลายต้องมีการรักษาเยียวยาอย่างสุดความสามารถเท่าที่เราท่านทั้งหลายจะทำได้ ส่วนร่างกายนั้นถ้าเราท่านทั้งหลายมีความอดทน เราท่านทั้งหลายก็จะได้รับภาคผลบุลอีกต่อหนึ่ง)
ฟากฟ้าแหละแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่นั้นพระผู้เป็นเจ้ายังสร้างมาตั้งนานแล้วโดยไม่มีตัวอย่างแหละไม่มีรูปแบบมาก่อนเลย ส่วนในเรื่องการสร้างสิ่งอื่นๆนั้นเล็กน้อยมากสำหรับพระองค์
การได้รับฟังการอัญเชิญพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ด้วยท่วงทำนองที่ไพเราะ ก็ได้ภาคผลบุญ อีกทั้งได้รับความสุขทางใจอีกด้วย การอัญเชิญพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นในปัจจุบันนี้ สามารถหาฟังได้ไม่ยากในโลกของอินเตอร์เน็ต นับว่าเป็นสิ่งมีคุณค่ามาก แต่ถ้าจะบอกว่าการอัญเชิญพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านในรูปแบบของเทปคลาสเส็ทนั้น ในปัจจุบันนี้นับว่าหาฟังได้ยากแล้ว เพราะหมดยุคของเทปคลาสเส็ทไปนานแล้ว สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำก็คือสำหรับนักศึกษาที่สนใจในการเรียนทำนองพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านทั้ง7ทำนองนั้น อย่าได้มองข้ามนักกอรีที่ได้เคยอ่านอัดเสียงไว้ในรูปแบบของเทปคลาสเส็ท เป็นการใช้น้ำเสียงที่ไพเราะมาก ได้ฟังแล้วซาบซึ้งกินใจมาก สามารถนำมาเป็นตัวอย่างที่ดีมากในการใช้น้ำเสียงแหละท่วงทำนอง
พระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นไม่ว่าจะอยู่ในยุคใหน สมัยใหนก็ไพเราะลึกซึ้งกินใจ ล้ำลึกแหละนำสมัยอยู่ตลอดเวลา จะไม่มีคำว่าหมดยุคของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านอย่างเป็นอันขาด เพราะนั่นคือพระดำรัสแห่งพระผู้เป็นเจ้า นอกจากเมื่อวันสิ้นโลกมาถึง
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ไม่รับฟังสิ่งใด เหมือนกับที่พระองค์รับฟัง นบีที่มีเสียงดี ที่ท่านจะอ่านกุรอ่านเป็นท่วงทำนอง โดยส่งเสียงดัง รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
เล่าจากท่านหญิงอาอิซะห์(ร.ด.)ว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขามีความช่ำชองในอัลกุรอ่าน เขาจะได้อยู่ร่วมกับมะลาอิกะห์ที่ทรงเกียรติ ที่ภักดี และผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขาสับสนในการอ่าน และอ่านได้ด้วยความยากลำบาก เขาจะได้รับสองผลบุญ รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَوَلَمْ يََتََفَكَّرُوْافِىْ اَنْفُسَهُمْ مَا خَلَقَ اللهُ السَّمَوَاتِ وَالاَرْضِِِ وَمَابَيْنَهُمَااِلاَّ بِالْحَقِِّ وَاَجَلٍ مُسَمَّى وَاِنْ كَثِيْرًا مِنَ النَّاسِ بِلِقَآىءِرَبِّهِمْ لَكَا فِرُوْنَ
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา) อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์ พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน) ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์) แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่ ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์ เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์ ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม
ดังนั้นวันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุสซานี ฮ.ศ.1434 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุสซานี ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556 เวลา 02.50.59 วินาที (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556(ดวงจันทร์อยู่ทางด้าน ท้องของกลุ่มดาวปลา PISES กลุ่มดาวนี้ไม่สามารถเห็นได้เพราะฟ้ายังไม่มืด ถึงแม้ฟ้าจะมืดเพราะฝนมาก็ไม่สามารถเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เพราะเมฆก็จะบัง) ทางด้านบนซ้ายของดวงจันทร์จะมีดาวอังคารMARS อยู่ ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 384524.98 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 383817.10 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.28.57 วินาที ดวงจันทร์ตก18.56.08 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 11 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 18.26.46 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.53.22วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 36 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.26.56 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.50.20 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 24 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.28.19 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.51.44 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 24 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.27.28 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.50.46 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 18 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.26.35 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.49.57 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 23วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.27.50 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.50.59 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 09 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.27.21 วินาที ดวงจันทร์ตก18.50.46 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 25วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
- ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก 18.26.25 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.49.50 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 24วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.31.16 วินาที ดวงจันทร์ตก18.55.10 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23 นาที 54 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.31.51 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.59.11 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 20 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.27.30 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.51.05 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23. นาที 35 วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก18.10.16 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.37.26 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 10วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.28.57 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.56.08 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27 นาที 11วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือน ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434
แหละทั่วทั้งประเทศไทย สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง ดังนั้นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2556
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน) และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน เขาเสียชีวิตไป ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
วันนี้วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2556 (อย่าลืมส่งให้ลูกเราเรียนศาสนาด้วย เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราท่านทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
-สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.08.12 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.27.11 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.26.51 วินาที อัสริเวลา15.47.46 วินาที มักริบเวลา18.26.43 วินาที อีซาเวลา19.37.29 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.10.18 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.29.17 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.28.57 วินาที อัสริเวลา15.49.53 วินาที มักริบเวลา18.28.49.วินาที อีซาเวลา19.39.36 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา05.10.34 วินาที ตะวันขึ้นเวลา 06.32.14 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.30.40 วินาที อัสริเวลา15.54.24 วินาที มักริบเวลา18.29.25 วินาที อีซาเวลา19.42.33 วินาที
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา05.10.22 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.30.47 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.31.32 วินาที อัสริเวลา15.55.35 วินาที มักริบเวลา18.32.38 วินาที อีซาเวลา19.44.19 วินาที
พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله ช่วงเดือนเมษายนนี้บ้านเราเมืองเราโดนความร้อนจากดวงอาทิตย์แบบตรงๆเลย เรียกว่าตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ ช่วงนี้จึงร้อนมากกว่าเดือนอื่นๆ อากาศร้อนแต่ขอให้เราท่านทั้งหลายทำใจให้เย็นสบายๆ อย่าไปร้อนตามอากาศ
เรื่องคิลาฟียะห์(ปัญหาศาสนาที่คิดเห็นไม่ตรงกัน)ก็ให้ใช้เหตุ ใช้ผลเข้าหาพูดคุยกัน อย่าใช้อารมณ์เข้าหากัน อย่าเอาแพ้ชนะเป็นที่ตั้ง(อย่าโต้เถียงกันเพื่อพยายามบอกให้เห็นว่าอีกฝ่ายรู้น้อยกว่า เพราะการทำลักษณะดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เลย มิหนำซ้ำยังไม่ได้รับภาคผลบุญจากพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย) แต่ให้เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง
ในเรื่องของเหนียต(อาจจะรวมถึงการกล่าวอุซอลลีด้วยนั้น) ผมอยากจะให้คณาจารย์ทั้งสองฝ่าย พิจรณาพระดำรัสแห่งพระผู้เป็นเจ้าให้มากๆๆๆ ผมเชื่อว่าจะสามารถรู้ได้เอง
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَمَا أُمِرُوا} فِي كِتَابهمْ التَّوْرَاة وَالْإِنْجِيل {إِلَّا لِيَعْبُدُوا اللَّه} أَيْ أَنْ يَعْبُدُوهُ فَحُذِفَتْ أَنْ وَزِيدَتْ اللَّام {مُخْلِصِينَ لَهُ الدِّين} مِنْ الشِّرْك
และพวกเขามิได้ถูกบัญชาให้กระทำอื่นใดนอกจากเพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ เป็นผู้มีเจตนาบริสุทธิ์ในการภักดีต่อพระองค์ ซูเราะห์อัลบัยยินะห์98 อายะห์ที่5
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاعْبُدِ اللَّهَ مُخْلِصًا لَهُ الدِّينَ{فَاعْبُدِ اللَّه مُخْلِصًا لَهُ الدِّين} مِنْ الشِّرْك أَيْ مُوَحِّدًا لَهُ
ดังนั้นท่านจงเคารพภักดีต่อพระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.) โดยเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ใจในศาสนาต่อพระองค์ ซูเราะห์อัซซุมัร39 อายะห์ที่2
คำว่า مُخْلِصًاอยู่ในหน้าที่ฮาล
ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า
إنما الأعمال بالنيات
แท้จริงบรรดาการปฏิบัตินั้นขึ้นอยู่กับการเจตนา(เป็นฮะดิษเลขที่1ของท่านอิหม่ามบุคอรี)
ตรงนี้เองถ้าพิจรณากันให้ลึกๆแล้ว จะพบว่าในเรื่องคิลาฟียะห์(ปัญหาศาสนาที่คิดเห็นไม่ตรงกัน) นั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น เพื่อให้รู้ถึงความถูกต้องจริงๆในบัญญัติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า เรียกว่าเตาฮีดอัฟอ้าล
หนังสือตำรับตำราทางศาสนาที่ได้ผ่านการร่ำเรียนมานั้น โดยเฉพาะหนังสือตำรับตำราที่ได้มีการเรียนผ่านครูมา มีการจดบันทึกมานั้น ต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่ให้มากสักนิด บางทีอาจจะเป็นอาหารของปลวกไปแล้ว ให้หมั่นตรวจเช็คประจำๆหน่อย
การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَوَلَمْ يََتََفَكَّرُوْافِىْ اَنْفُسَهُمْ مَا خَلَقَ اللهُ السَّمَوَاتِ وَالاَرْضِِِ وَمَابَيْنَهُمَااِلاَّ بِالْحَقِِّ وَاَجَلٍ مُسَمَّى وَاِنْ كَثِيْرًا مِنَ النَّاسِ بِلِقَآىءِرَبِّهِمْ لَكَا فِرُوْنَ
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา) อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์ พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน) ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์) แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่ ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์ เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์ ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม
ดังนั้นวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา(เอาวาล) ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร) ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย จันทร์ดับ ตรงกับวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 เวลา 16.35.16 วินาที (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)” รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์ดวงเล็กกว่าดวงอาทิตย์มาก แต่อยู่ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์ ดังนั้นในวันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 ดวงจันทร์เริ่มแตะขอบฟ้าก่อนดวงอาทิตย์ประมาณเวลา18.20 นาที แต่ดวงอาทิตย์เริ่มแตะขอบฟ้าประมาณเวลา18.25 นาที ถึงกระนั้นดวงจันทร์กลับตกหลังจากดวงอาทิตย์ประมาณ1นาทีกว่า สาเหตุเพราะอยู่ใกล้โลกมากกว่าดวงอาทิตย์นั่นเอง ทางด้านบนซ้ายของดวงจันทร์จะมีดาวอังคารMARS อยู่ มุมเงยประมาณ1องศา แต่ในวันดังกล่าวด้านบนซ้ายของดวงจันทร์จะมีดาวศุกร์VENUSอยู่ มุมเงยประมาณ3องศา ตรงนี้อาจจะมีคนเข้าใจผิดว่าเป็นดวงจันทร์ ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 393078.29 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 392476.06 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.31.45 วินาที ดวงจันทร์ตก18.30.24 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 01 นาที 21 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 18.28.44 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.27.06วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 01 นาที 38 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.23.35 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.20.39 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 56 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.24.54 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.21.59 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 54 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.23.55 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.20.57 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 58 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.23.12 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.20.15 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 57วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.24.01 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.21.00 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 03 นาที 01 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.24.00 วินาที ดวงจันทร์ตก18.21.04 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.รามัน ดวงอาทิตย์ตก 18.23.06 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.20.10 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02 นาที 56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.27.00 วินาที ดวงจันทร์ตก18.24.17 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02นาที 43 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.34.44 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.33.30 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1 นาที 14 วินาที
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.24.25 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.21.34 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 02. นาที 51 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก18.14.10 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.12.25
วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1 นาที 45 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.31.45 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.30.24 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 01 นาที 21วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
***ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1เดือน ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร) ฮ.ศ.1434
แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ดังนั้นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร) ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ.2556
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน) และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน เขาเสียชีวิตไป ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
วันนี้วันจันทร์ที่ 8เมษายน พ.ศ.2556 (อย่าลืมส่งให้ลูกเราเรียนศาสนาด้วย เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราท่านทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
-สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.47.54 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.08.09 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.18.41 วินาที อัสริเวลา15.33.12 วินาที มักริบเวลา18.29.25 วินาที อีซาเวลา19.41.19
วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.50.00 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.10.16 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.20.48 วินาที อัสริเวลา15.35.18 วินาที มักริบเวลา18.31.32.วินาที อีซาเวลา19.43.26 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา04.43.16 วินาที ตะวันขึ้นเวลา 06.06.52 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.22.30 วินาที อัสริเวลา15.47.42 วินาที มักริบเวลา18.38.28 วินาที อีซาเวลา19.53.15 วินาที
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา04.39.59 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.02.38 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.23.22 วินาที อัสริเวลา15.51.59 วินาที มักริบเวลา18.44.29 วินาที อีซาเวลา19.58.04 วินาที
พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version