ผู้เขียน หัวข้อ: ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์  (อ่าน 17812 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: เพื่อพระองค์อ.ล.(ซ.บ.) ดวงอาทิตย์ฯลฯ
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: พ.ค. 10, 2013, 06:38 AM »
+1
السلام عليكم ورحمة الله
  การที่เราท่านทั้งหลายมีความรักอันบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น นับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เป็นสิ่งที่อยู่ด้านใน สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่มีใครสามารถที่จะล่วงรู้ได้ นอกจากตัวของเราท่านทั้งหลายเองแหละพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
     ดังนั้นไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะทำอะมั้ลอิบาดะห์ชนิดใดๆก็ตาม ก็ขอให้เราท่านทั้งหลายทำไปเพื่อพระองค์อ.ล.(ซ.บ.)เท่านั้น (มิใช่ทำไปเพื่อคนนั้นคนนี้ มิใช่ทำไปเพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ มิใช่ทำไปเพื่ออยากได้สรวงสวรรค์ของพระองค์ เพราะนั่นก็เท่ากับว่าขาดความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์)
     เสื้อผ้าที่นำมาสวมใส่ละหมาด5เวลาแหละเวลาละหมาดอื่นๆ ก็ดีนั้น สมควรอย่างยิ่ง ที่ต้องให้เป็นของที่ดีที่เราท่านทั้งหลายสามารถจะหามาได้ เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่า  เราท่านทั้งหลายกำลังเข้าเฝ้าพระองค์อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงมองเราท่านทั้งหลายอยู่
     จริงอยู่ที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มองที่ภายนอก แต่เราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างนึงว่า บางคนออกไปข้างนอกแต่งเนื้อแต่งตัวดูดี เพราะอายผู้คนที่จะมองเห็น แต่เวลาละหมาด5เวลาหรือเวลาละหมาดอื่นๆกลับใส่อะไรก็ได้ เก่าบ้างขาดบ้าง ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น ทั้งๆเสื้อผ้าที่ดีๆก็ยังมีอยู่อีกมากมาย
          เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พวกท่านจะยังไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่านจะมีศรัทธา และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักกัน ฉันจะไม่ชี้พวกท่านไปสู่สิ่งหนึ่ง หรือ? ถ้าพวกท่านปฏิบัติสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็จะรักกัน พวกท่านจงแพร่กล่าวสลามในหมู่พวกท่านเถิด รายงานโดย มุสลิม
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
    เล่าจากอะบีอับดิรเราะห์มานอับดิลลาห์บุตรมัสอูด(ร.ด.)ว่า ฉันได้ถามร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ว่าอะมั้ลใด การกระทำใดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงรักทรงโปรดปรานที่สุด ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ตอบว่าการทำดีการปรนนิบัตรดีต่อบิดามารดา ฉันก็ได้ถามต่อว่าถัดจากนั้นคือสิ่งใด ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ตอบว่าการต่อสู้ในวิธีทางของพระองค์อัลเลาะห์รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์จากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่าต้อยต่ำเหลือเกิน ต้อยต่ำเหลือเกิน ต้อยต่ำเหลือเกิน สำหรับบุคคลที่คนหนึ่งคนใดจากบิดามารดาของเขาหรือทั้งสองคนเข้าสู่วัยชรา เขาไม่ได้เข้าสวรรค์ รายงานโดยมุสลิม
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري   ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَوَلَمْ يََتََفَكَّرُوْافِىْ اَنْفُسَهُمْ مَا خَلَقَ اللهُ السَّمَوَاتِ وَالاَرْضِِِ وَمَابَيْنَهُمَااِلاَّ بِالْحَقِِّ وَاَجَلٍ مُسَمَّى وَاِنْ كَثِيْرًا مِنَ النَّاسِ بِلِقَآىءِرَبِّهِمْ لَكَا فِرُوْنَ
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ               
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร) ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร) ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 เดือนร่อยับ ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556 เวลา 07.28.22 วินาที  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่ที่กลุ่มดาววัว (Taurus)มุมเงยประมาณ 3 องศา ทางด้านบนของดวงจันทร์จะมีดาวศุกร์VENUSอยู่ มุมเงยประมาณ 10 องศา ตรงนี้อาจจะมีคนเข้าใจผิดว่าเป็นดวงจันทร์ ในส่วนของดาวอังคาร แหละดาวพุธ ได้ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 393078.29 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 402126.96 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.37.06 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.09 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 19 นาที 03 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  18.33.20 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.52.13วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 53 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.23.23 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.43 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 19 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.24.37 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.59 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 22 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.23.32 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.51 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 19 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.22.59 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.18 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 18วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.23.24 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.42 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 18 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.23.48 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.42.08 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 20 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 18.22.57 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.15 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 19 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.27.12 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.40 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 28 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.40.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.59.19 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 19 นาที 10 วินาที
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.24.28 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.50 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 22 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.20.32 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.39.03
 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 31 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 18.37.06 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.56.09 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 19 นาที 03วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1 เดือน ร่อยับ ฮ.ศ.1434 แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ดังนั้นวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคมพ.ศ.2556 
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
     วันนี้วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556  (อย่าลืมส่งให้ลูกเราเรียนศาสนาด้วย เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราท่านทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.26.43 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.51.35 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.13.12 วินาที อัสริเวลา15.27.45 วินาที มักริบเวลา18.35.00 วินาที อีซาเวลา19.50.55
 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.28.50 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.53.42 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.15.19 วินาที  อัสริเวลา15.29.52 วินาที  มักริบเวลา18.37.06วินาที  อีซาเวลา19.53.02 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.14.24 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.43.55 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.17.04 วินาที  อัสริเวลา15.36.02 วินาที  มักริบเวลา18.50.28วินาที  อีซาเวลา20.10.22 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.07.33 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.36.43 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.17.55 วินาที  อัสริเวลา15.43.48 วินาที  มักริบเวลา18.59.27 วินาที  อีซาเวลา20.18.36 วินาที 
    พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
 รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 23, 2014, 11:13 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ abiatiya

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 316
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
    • Nurul Islam Patong
Re: เพื่อพระองค์อ.ล.(ซ.บ.) ดวงอาทิตย์ฯลฯ
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: พ.ค. 10, 2013, 07:43 AM »
0
 :salam:

ด้วยความเคารพต่อผู้โพสสาระเนื้อหานี้ แต่ เนื้อหาของท่านนั้นยาวนัก และไม่มีการแบ่งช่วงพารากราฟ ทำให้เนื้อหาไม่ค่อยอยากที่จะทำให้อ่านเท่าไหร่นัก จากการติดตามการโพสของท่าน มีสมาชิกหลายท่านเคยแนะนำไปบ้างแล้วในเรื่องการโพส พยายามจัดช่วงพารากราฟ ให้ดี เนื้อหาท่านจะน่าอ่านยิ่งขึ้น ไม่เสียแรงเปล่าครับ

ลองพิจารณาครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 10, 2013, 07:45 AM โดย abiatiya »
(\__/)
(='.'=) ไม่มีอะไรสายเกินกว่า 8 โมงเช้า...
(")_(")

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: เพื่อพระองค์อ.ล.(ซ.บ.) ดวงอาทิตย์ฯลฯ
« ตอบกลับ #62 เมื่อ: พ.ค. 10, 2013, 10:06 PM »
0
:salam:

ด้วยความเคารพต่อผู้โพสสาระเนื้อหานี้ แต่ เนื้อหาของท่านนั้นยาวนัก และไม่มีการแบ่งช่วงพารากราฟ ทำให้เนื้อหาไม่ค่อยอยากที่จะทำให้อ่านเท่าไหร่นัก จากการติดตามการโพสของท่าน มีสมาชิกหลายท่านเคยแนะนำไปบ้างแล้วในเรื่องการโพส พยายามจัดช่วงพารากราฟ ให้ดี เนื้อหาท่านจะน่าอ่านยิ่งขึ้น ไม่เสียแรงเปล่าครับ

ลองพิจารณาครับ
    ไม่เป็นไรครับ ผมจะบอกอะไรให้ ถ้ารู้สึกว่ายาวไป แต่สำหรับผมการโพสเกือบทุกครั้งยาวกว่านี้มาก ผมต้องตัดด้วยซ้ำ เพราะยาวเกินจำนวนอักษรที่อนุญาตให้โพส ถึงแม้จะไม่มีใครอ่านบทความที่ผมโพสเลย ก็ไม่เป็นไร
     ส่วนคำว่าเสียแรงเปล่า ผมแนะนำว่าไม่ใช่หรอกครับ ถ้าเรียนศาสนามา จะรู้เลยว่าแค่ตั้งใจทำดีเฉยๆ ก็ได้ผลบุญแล้ว ถึงแม้ยังไม่ได้ทำก็ตาม หรือแม้ว่าจิตใจไม่เคยหวังเอาผลบุลเลยก็ตามเรียกว่าบริสุทธิ์จริงๆ ก็ยังได้ภาคผลบุญเลยเพราะอะไรครับ ก็เพราะเจ้าของผลบุญนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่คือพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง
     ละหมาดความดีทุกๆอย่าง ผมเชื่อเลยว่าทุกคนไม่มีใครอยากทำหรอกเพราะมันฝืนกับอารมณ์ความรู้สึก แต่ที่เราท่านทั้งหลายทำก็เพราะยำเกรงพระผู้เป็นเจ้าใช่ใหม ถ้าคำตอบออกมาว่าใช่ ก็แสดงว่าอารมณ์ความรู้สึกของเราท่านทั้งหลายใฝ่ไปในทางที่ดีแล้ว
     มองต่างแต่ไม่มองแตก
       
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re:ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำ ใครจะทำได้ฯลฯ
« ตอบกลับ #63 เมื่อ: พ.ค. 27, 2013, 05:29 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
     กิบลัตนั้นก็คือ(ขอย้ำครับว่า  สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นแนวคิด  เป็นแนวปฏิบัติของท่านอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  และเป็นแนวปฏิบัติของทุกๆคนที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  ทุกๆมัสยิดที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  )  จุดๆหนึ่งหรือสถานที่แห่งหนึ่ง  ที่ผู้คนทั่วทุกมุมโลก  จำเป็นต้องผินเข้าหา  ในขณะปฏิบัติศาสนกิจในขณะละหมาด  เพราะว่าการผินเข้าหากิบลัตนั้น  ถือว่าเป็นซารัตเป็นกฏเกณฑ์  เป็นกฏระเบียบข้อหนึ่งที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ  เพื่อให้การละหมาดของเราท่านทั้งหลายมีผลใช้ได้  เป็นการละหมาดที่ไม่สูญเปล่า  แหละเป็นการละหมาด  ที่ถูกตอบรับจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  ที่เรียกว่ากิบลัตก็เพราะว่าทุกๆคนทั่วทุกมุมโลก  ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้จะต้องผินเข้าหาในขณะเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า  โดยมาในรูปแบบของการทำละหมาด  ที่เรียกว่ากะบะห์  ก็เพราะว่ารูปทรงเป็นจุดเด่น สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม แต่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมจตุรัส สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่เรียกว่าบัยตุ้ลลอฮ์ ก็เพราะว่าทุกๆปีจะมีผู้คนแวะเวียนไปที่บัยตุ้ลลอฮ์อยู่ตลอดเวลา
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَوَلِّ وَجْهك} اسْتَقْبِلْ فِي الصَّلَاة {شَطْر} نَحْو {الْمَسْجِد الْحَرَام} أَيْ الْكَعْبَة
  ดังนั้นท่านจงผินใบหน้าของท่าน(หน้าอกของท่าน)ไปในทางมัสยิดฮะรอม(ไปในทางกะบะห์)
        ตรงคำว่า  “ท่านจงผินใบหน้าของท่าน”คำว่า "ใบหน้า  นักอธิบายอัลกุรอ่านให้ความหมายว่า  "หน้าอก"  ตรงนี้ตามหลักบะลาเฆาะร์  เรียกว่า "มะยาร  มุรซั้ล  มิมบาบิอิตลากิ้ลยุร  วะอิรอดะติ้ลกุ้ล"  คือพระผู้เป็นเจ้า พูดแค่ใบหน้า  แต่ความหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่จะสั่งใช้  ก็คือทั้งหมดร่างกายเลย  ดังนั้น เมื่อละหมาดจำเป็นต้องผินหน้าอกไปทางกิบลัต  แค่ผินหน้าอกร่างกายทุกส่วน  ก็จะหันไปทางกิบลัตทั้งหมดเลย  โดยอัตโนมัต
คำว่า {شَطْر}  อยู่ในหน้าที่    ظرف مكان  เรียกอีกอย่างว่า مفعول فيه คือพระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดแต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะผินไปในทางใหนดี ก็เลยมีใส่ ظرف مكانมา จึงเข้าใจได้อย่างแน่ชัดเลยว่า ที่พระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดนั้น พระองค์ใช้ให้ผินไปในทางกะบะห์
        ดังนั้น ถ้าจะหันเพียงใบหน้าอย่างเดียวไปทางกิบลัต  การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้  แหละตรงคำว่าไปทางมัสยิดดิลฮารอม  ตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญในการอธิบายอัลกุรอ่าน  ให้ความหมายว่า "อัยนุลกะบะห์"  คือต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เท่านั้น  การละหมาดจึงจะใช้ได้  ซึ่งตรงกับแนวคิดของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  มิใช่ว่าผินไปตรงใหนก็ได้  ในทางทิศตะวันตก
     คำว่า مفعول فيه นั้นได้ได้มีระบุไว้ในอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่าว่า)
اَلظَّرْفُ وَقْتٌ اَوْمَكَانٌ ضُمِّنَا          فِيْ بِاطَّرَادٍكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
1.   คำว่า وَقْتٌคือاسمٌ دالٌّّ على الوقت
2.   คำว่าمَكَانٌ คือاسمٌ دالٌّ على الزمان
3.   คำว่าكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا คือومثالُ ذلك الظرف كَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
ظرف      ก็คือเวลาหรือสถานที่ ที่ได้รวมทั้งสองไว้ กับความหมาย فِيْ  โดยหลักเกณฑ์ทั่วๆไปเช่นاُمْكُثْ هُنَااَزْمُنًاท่านจงพักที่นี่ได้ตลอด ตรงตัวอย่างอันนี้ ในคำว่าهُنَا ถือว่าเป็น  ظرفمكانส่วนคำว่าاَزْمُنًا ถือว่าเป็นظرف زمان  ซึ่งทั้งสองนี้ได้รวมความหมาย فِيْไว้ ความหมายก็คือاُمْكُثْ فِي هذَااْلمَوْضِعِ فِيْ اَزْمُنٍ   
     เราท่านทั้งหลายสามารถหาความเข้าใจได้ในหนังสือซะเราะห์อิบนุอะเก้ลเพราะเป็นหนังสือที่อธิบายบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่า) โดยเฉพาะในคำว่าبِاطَّرَادٍ ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย
     ส่วนที่บอกว่าต้องผินไปในทางกะบะห์เลยนั้น มีฮาดิสที่ยืนยันว่า  ให้ผินไปหาจุดตั้งวิหารกะบะห์เท่านั้น  ต้องผินให้ตรงวิหารกะบะห์  ตามความสามารถที่สูงสุดขณะนั้น  ไม่ใช่ว่า  ผินไปในทางที่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่ มีฮะดิษที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ رَجَاءٍ، قَالَ: حَدَّثَنَا إِسْرَائِيلُ، عَنْ أَبِي إِسْحَاقَ، عَنِ البَرَاءِ بْنِ عَازِبٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، قَالَ: " كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، سِتَّةَ عَشَرَ أَوْ سَبْعَةَ عَشَرَ شَهْرًا، وَكَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُحِبُّ أَنْ يُوَجَّهَ إِلَى الكَعْبَةِ، فَأَنْزَلَ اللَّهُ: {قَدْ نَرَى تَقَلُّبَ وَجْهِكَ فِي السَّمَاءِ} [البقرة: 144] ، فَتَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ "، وَقَالَ السُّفَهَاءُ مِنَ النَّاسِ، وَهُمُ اليَهُودُ: {مَا وَلَّاهُمْ} [البقرة: 142] عَنْ قِبْلَتِهِمُ الَّتِي كَانُوا عَلَيْهَا، قُلْ لِلَّهِ المَشْرِقُ [ص:89] وَالمَغْرِبُ يَهْدِي مَنْ يَشَاءُ إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ فَصَلَّى مَعَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَجُلٌ، ثُمَّ خَرَجَ بَعْدَ مَا صَلَّى، فَمَرَّ عَلَى قَوْمٍ مِنَ الأَنْصَارِ فِي صَلاَةِ العَصْرِ نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، فَقَالَ: هُوَ يَشْهَدُ: أَنَّهُ صَلَّى مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَأَنَّهُ تَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ، فَتَحَرَّفَ القَوْمُ، حَتَّى تَوَجَّهُوا نَحْوَ الكَعْبَةِ
ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี จากท่านบัรรออ์ลูกของท่านอาริบ กล่าวว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เคยละหมาดโดยผินหน้าไปทางบัยตุ้ลมักดิสประมาณ 16 หรือ 17 เดือนแต่ท่านเองชอบที่จะผินไปทางบัยตุ้ลลอห์ พระผู้เป็นเจ้าจึงประทานอัลกุรอ่านลงมาว่า แน่นอนเรามองเห็นท่าน แหงนหน้าขึ้นไปทางฟากฟ้า(เพื่อรอรับวะฮีให้เปลี่ยนกิบลัตมาอย่างเดิม) อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่144 แล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็ผินหน้าไปทางกะบะห์(เวลาละหมาด) พวกคนเขลา ก็คือพวกยะฮูดีกล่าวว่า มีอะไรที่ทำให้พวกเขาผินออกไป จากทิศทางที่พวกเขาเคยผินไปหรือ อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 อัลกุรอ่านลงมาอีกว่า ท่านจงตอบแก่พวกนั้นว่า ทั้งทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้น เป็นสิทธิของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทั้งสิ้น พระองค์ทรงชี้นำบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์สู่แนวทางอันเที่ยงตรง อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 มีชายคนหนึ่งได้ละหมาดพร้อมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ต่อมาเขาก็ออกมาข้างนอกหลังจากละหมาด เขาเดินผ่านกลุ่มชาวอันซอร กำลังละหมาดอัสริ ผินหน้าไปทางบัยติ้ลมักดิส ต่อมาเขาได้กล่าวว่าเขายืนยันว่าแท้จริงเขาได้ละหมาดร่วมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยผินไปทางกะบะห์ กลุ่มชนนั้นก็เห็นตามด้วย จนกระทั่งพวกเขาทั้งหมดผินหน้าไปทางกะบะห์ ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี
     นักวิชาการระดับมัซฮับ จึงมีความคิดที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับการผินหน้าอกไปทางกิบลัตในขณะละหมาด
ดังนั้นมัซฮับซาฟิอี ซึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยึดตามมัซฮับนี้ ถือว่าจะต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เลย (เรียกว่าอัยนุ้ลกะบะห์ ไม่ใช่ยิฮะตุ้ลกะบะห์)เท่าที่มีความสามารถที่สุด พูดง่ายๆก็คือถ้ารู้แน่ชัดว่ายังหันไม่ตรงกะบะห์ ที่ผ่านมาการละหมาดถือว่าใช้ได้เพราะทำสุดความสามารถแล้ว แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกต้อง การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้อีกแล้ว หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถหาดูได้ที่หนังสืออั้ลอุม(ของท่านอิหม่ามซาฟิอีเล่มที่1)
(قَالَ الشَّافِعِيُّ) : وَمَنْ كَانَ فِي مَوْضِعٍ مِنْ مَكَّةَ لَا يَرَى مِنْهُ الْبَيْتَ، أَوْ خَارِجًا عَنْ مَكَّةَ فَلَا يَحِلُّ لَهُ أَنْ يَدَعَ كُلَّمَا أَرَادَ الْمَكْتُوبَةَ أَنْ يَجْتَهِدَ فِي طَلَبِ صَوَابِ الْكَعْبَةِ بِالدَّلَائِلِ مِنْ النُّجُومِ وَالشَّمْسِ وَالْقَمَرِ وَالْجِبَالِ وَمَهَبِّ الرِّيحِ وَكُلِّ مَا فِيهِ عِنْدَهُ دَلَالَةٌ عَلَى الْقِبْلَةِ
 และหนังสือฟิกห์4มัซฮับเล่มที่1หน้า178 หนังสืออาจจะพิมพ์ต่างวาระกัน หน้าอาจจะไม่ตรงกับนี้ ก็ให้ดูในบทที่ว่าด้วยเรื่องกิบลัต)
         พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَلَئِنْ} لَام الْقَسَم {أَتَيْت الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَاب بِكُلِّ آيَة} عَلَى صِدْقك فِي أَمْر الْقِبْلَة {مَا تَبِعُوا} أَيْ لَا يَتْبَعُونَ {قِبْلَتك} عِنَادًا {وَمَا أَنْت بِتَابِعٍ قِبْلَتهمْ} قَطْع لِطَمَعِهِ فِي إسْلَامهمْ وَطَمَعهمْ فِي عَوْده إلَيْهَا {وَمَا بَعْضهمْ بِتَابِعٍ قِبْلَة بَعْض} أَيْ الْيَهُود قِبْلَة النَّصَارَى وَبِالْعَكْسِ {وَلَئِنْ اتَّبَعْت أَهْوَاءَهُمْ} الَّتِي يَدْعُونَك إلَيْهَا {مِنْ بَعْد مَا جَاءَك مِنْ الْعِلْم} الْوَحْي {إنَّك إذًا} إنْ اتَّبَعْتهمْ فَرْضًا {لمن الظالمين}
และแน่นอน ถ้าหากท่านได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของท่าน และท่านก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากท่านไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังท่านแล้ว แน่นอนทันใดนั้น ท่านก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่145
     วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556 ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮัอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
     ถ้าหากว่าบางคนยังไม่ค่อยจะแน่ใจว่าดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์ ในวันที่อังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556 จริงหรือเปล่า ก็สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ง่ายๆก็คือถ้าไม่ได้ไปอยู่ที่มัสยิดฮะรอม ณวันนั้น ถ้าติดจานดำ ลองเปิดดูช่องที่ถ่ายมัสยิดฮะรอมดู บ้านผมช่อง316 ในเวลา 16.18 น. ของอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556  (ตามเวลาของบ้านเรา)ก็จะได้ยินเสียงอะซานที่มัสยิดฮะรอม และลองมองไปที่กะบะห์ดู ก็จะไม่เห็นเงาของกะบะห์เลย หรือจะสังเกตเงาของคนที่อยู่ในลานตอวาฟก็ได้ เงาจะอยู่บริเวณลำตัวของเขาเลย เงาจะไม่เอนไปด้านใหนๆเลย ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมานี้ ก็เพราะว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงกะบะห์ อยู่ตรงศรีษะของเขานั่นเอง
     วันที่สามารถดูเงาของดวงอาทิตย์เพื่อกำหนดทิศกิบลัตได้อีก(อย่าดูดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าโดยเด็ดขาด)
1.   วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
2.   วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
3.   วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
4.   วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
5.   วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
     ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ปัจจุบันสามารถหาทิศกิบลัตทางภาพถ่ายดาวเทียมได้ ถ้าไม่ตรงก็เปลี่ยนซอฟ(แถว)ให้ตรง เท่านั้นเอง แต่ในการปฏิบัติจริงๆ ที่เปลี่ยนยากที่สุดคือจิตใจคน ทั้งๆที่นำหลักฐานทุกอย่างชี้แจงชัดๆแล้ว ก็ยังเฉไฉออกจากทางที่ถูกต้องอีก เพราะอีหม่านยังไม่แข็งพอ ถ้าเราท่านทั้งหลายย้อนกลับไปมองบุคคลในสมัยร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)(ดังในฮะดิษที่ได้กล่าวมา) เปลี่ยนง่ายเพราะได้รับทางนำ (ถ้าจะดูให้ดีๆแล้วในสมัยของท่านอิหม่ามซาฟิอี ท่านมีความพยายามอย่างมากที่จะหากิบลัตให้ได้ แม้จะยากลำบากสักเพียงใด จะดูดวงดาวก็เอา ดูดวงอาทิตย์ก็เอาฯลฯ อย่างที่ผมได้กล่าวมาในหนังสืออัลอุมของท่าน เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้รับคำสั่งใช้จากพระผู้เป็นเจ้าให้ผินไปทางกะบะห์เลย ดังฮะดิษที่มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิมว่า
حَدَّثَنَا شَيْبَانُ بْنُ فَرُّوخَ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الْعَزِيزِ بْنُ مُسْلِمٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ اللهِ بْنُ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، ح وحَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ - وَاللَّفْظُ لَهُ - عَنْ مَالِكِ بْنِ أَنَسٍ، عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، قَالَ: بَيْنَمَا النَّاسُ فِي صَلَاةِ الصُّبْحِ بِقُبَاءٍ إِذْ جَاءَهُمْ آتٍ فَقَالَ: «إِنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَدِ اُنْزِلَ عَلَيْهِ اللَّيْلَةَ، وَقَدْ أُمِرَ أَنْ يَسْتَقْبِلَ الْكَعْبَةَ فَاسْتَقْبِلُوهَا، وَكَانَتْ وُجُوهُهُمْ إِلَى الشَّامِ، فَاسْتَدَارُوا إِلَى الْكَعْبَةِ»
  เล่าจากท่านอิบนุอุมัรว่า ขณะที่ประชาชนได้ละหมาดซุบฮิที่มัสยิดกุบาอ์ มีคนหนึ่งเดินทางมาถึงพวกเขาและพูดว่า แท้จริงเมื่อคืนนี้ อัลกุรอ่านได้ถูกประทานให้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยกำหนดให้ผู้ละหมาดผินหน้าไปทางกะบะห์ ดังนั้นพวกเขาจึงผินไปทางกะบะห์โดยที่หน้าของพวกเขากำลังผินไปทางเมืองซามเปลี่ยนหันไปทางกะบะห์ ระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิม 
     แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก   จนไม่สามารถมอง  ด้วยตาเปล่าได้  ดังนั้นในเมื่อ  วันและเวลาดังกล่าว(อังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556) ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮับ  อิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
     ตรวจสอบเวลามาตรฐานได้ที่ กดโทร 181
     วิธีการก็คือ  ถ้ามัสยิดใด  หรือบ้านของใครมีหน้าต่างทางทิศตะวันตก  ให้เปิดหน้าต่างออก  และหน้าต่าง  ด้านแนวตั้งของวงกบ ด้านใดก็ได้  ต้องสร้างได้ฉาก(ขอย้ำต้องได้ฉาก  ที่สำคัญกว่านั้นคือ  ห้ามมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด  ถ้าจะมองแดดนานๆ ควรใส่แว่นกันแดดด้วย ย้ำนะครับคือถ้าจะมองดวงอาทิตย์ตรงๆต้องใช้แว่นที่มีฟิลเตอร์กันแสงเท่านั้น มีอยู่2แบบ แบบที่1มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงนวลขาวแบบดวงจันทร์เลย  แบบที่2มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงสีส้ม)  ดังนั้นเงาที่ทอดลงมาให้เห็น  นั่นแหละครับคือแนวกิบลัตที่ถูกต้อง  ให้ขีดเส้นเอาไว้  สังเกตให้ดีเส้นนี้จะชี้ไปทางทิศตะวันตก
     กรณีถ้าอยู่ในบ้านเวลาละหมาดก็ให้นำผ้าซายะดะห์  ด้านข้างมาวาง  ให้ตรงกับเส้นนี้  แต่ถ้าเป็นกรณีของมัสยิด  เมื่อขีดเส้น  ที่ชี้ไปทางทิศตะวันตก  อย่างที่ว่ามาได้แล้ว  ให้นำไม้บรรทัดแบบฉาก  หรือไม้ทีก็ได้  มาวางทาบเส้นให้พอดี  แล้วขีดเส้นด้านล่างเพิ่มเข้าไป  สังเกตตอนนี้จะมีอยู่ 2เส้น 
เส้นที่ 1 คือเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์
เส้นที่ 2 คือ เส้นแนวนอนที่ตั้งฉาก  กับเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์   
     ดังนั้น เส้นที่ 2  นี้แหละคือเส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)ในมัสยิด     สำหรับมัสยิด  ที่ไม่มีหน้าต่าง  ทางด้านทิศตะวันตกเลย  การวัดเงาก็ต้องหาไม้หรือเสาก็ได้  หรืออะไรก็ได้ ตั้งขึ้นให้ได้ฉาก  ตรงบริเวณด้านข้างมัสยิด  แล้วรอเวลา 16.18 น.หรือเวลา16.19 ตามวันและเวลาดังกล่าว เพื่อขีดเส้นวัดเงา  ทำตามขั้นตอน  แล้วลากเส้นแนวนอนอย่างที่บอกมา  เข้ามาในมัสยิด  ก็จะได้เส้นแนวซอฟ (แถวละหมาด) เช่นกัน
     วิธีการวัดทิศกิบลัตดังกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  และทำได้อย่างสดวกสบายมาก  สำหรับผู้ที่ต้องการความถูกต้อง  ในการผินสู่ทิศกิบลัต  แต่สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลาม  ผู้เชี่ยวชาญ มีอีกหลายวิธี  ที่สามารถ  หาทิศกิบลัตได้  และหาได้ทุกๆวันเลย
     ส่วนในเรื่องของการคำนวนนั้น  มีขั้นมีตอน  ที่สลับซับซ้อนมาก  ขั้นแรกต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ก่อน  จากนั้นต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของบัยตุ้ลอฮ์  และต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของสถานที่  ที่จะหาทิศกิบลัต  จากนั้นก็จะมีค่า  SIN  COS  TAN  เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ดำเนินตามขั้นตอนของสูตร  ต่างๆนาๆอีกมากมาย ฯลฯ 
     สิ่งที่นำมาต่อไปนี้เป็นข้อความเกี่ยวกับดวงอาทิตย์อยู่เหนือกะบะห์ ค้นหาข้อมูลได้ดังนี้      http://www.qasweb.org/astronomy_events/item.php?id=441
     สำหรับประเทศไทย  การผินไปทางวิหารกะบะห์  ตรงนี้มีอยู่  4  ระดับด้วยกัน 
ระดับสูงสุดคือ 1 รู้ได้ด้วยตัวเอง
ระดับที่ 2  ผินตามคำบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้
ระดับที่ 3  ผินโดยการวิเคราะห์
ระดับที่ 4  ผินตามการวิเคราะห์ของผู้อื่น 
     ดังนั้นถ้าผู้รู้ในวิชาดาราศาสตร์อิสลาม  รู้ว่ามัสยิดนี้ๆ  ยังหันไม่ตรงกิบลัต  และได้มีการบอกผู้มีอำนาจหน้าที่  ในมัสยิดแห่งนั้น  แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น  ยังไม่จัดการเปลี่ยนแปลง  และแก้ไข  ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในผลบาปตรงนี้  ก็คือผู้ที่มีอำนาจในมัสยิดแห่งนั้น  เรียกว่ารับแบบเต็มๆ  เพราะรู้แล้วไม่ทำตามที่รู้  ที่สำคัญ  ยังพาคนอื่นทำแบบผิดๆไปด้วย  ถ้าเราเข้าใจหลัก  ในการหลอกลวงของซัยตอน  มารร้าย  เราท่านทั้งหลายจะรู้เท่าทันมันได้ทันที  ซัยตอนมารร้ายมันจะไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้เปลี่ยน  ให้ตรงกับกะบะห์  อย่าไปทำๆ  มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน  มันจะบอกว่า  อย่าเปลี่ยนเลยจะทำให้เกิดการแตกแยกได้  ผู้ใหญ่ทำมาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้แล้ว  ต้องตรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือเกินไปหรือเปล่า  ผู้รู้รุ่นก่อนไม่เห็นเขาจะติเลย  ฯลฯ
     เฉกเช่นเดียวกันพอได้เวลาละหมาด  มันก็จะบอกว่า  เดี๋ยวค่อยละหมาดก็ได้  เหลือเวลาอีกเยอะ  เดี๋ยวๆๆๆ  เดี๋ยวจนไม่ได้ละหมาดจนได้  หรือถ้ามันหลอกคนไม่ให้ละหมาดไม่สำเร็จ  มันก็จะหาวิธีหลอกลวงต่างๆนานาๆ  เพื่อให้ภาคผลบุลของคนๆนั้น  ลดน้อยลงมันไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้ละหมาด  อย่าไปทำ  ซึ่งวิธีการหลอกลวงของซัยตอนมารร้ายนี้  มันได้เคยมาบอกแก่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.)  ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  เพื่อให้ประชาชาติของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)   รู้เท่าทันกลลวงของมัน  นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง  ของพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า)
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَكَذَلِكَ} كَمَا هَدَيْنَاكُمْ إلَيْهِ {جَعَلْنَاكُمْ} يَا أُمَّة مُحَمَّد {أُمَّةً وَسَطًا} خِيَارًا عُدُولًا {لِتَكُونُوا شُهَدَاء عَلَى النَّاس} يَوْم الْقِيَامَة أَنَّ رُسُلهمْ بَلَّغَتْهُمْ {وَيَكُون الرَّسُول عَلَيْكُمْ شَهِيدًا} أَنَّهُ بَلَّغَكُمْ {وَمَا جَعَلْنَا} صَيَّرْنَا {الْقِبْلَة} لَك الْآن الْجِهَة {الَّتِي كُنْت عَلَيْهَا} أَوَّلًا وَهِيَ الْكَعْبَة وَكَانَ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي إلَيْهَا فَلَمَّا هَاجَرَ أُمِرَ بِاسْتِقْبَالِ بَيْت الْمَقْدِس تَأَلُّفًا لِلْيَهُودِ فَصَلَّى إلَيْهِ سِتَّة أَوْ سَبْعَة عَشْر شَهْرًا ثُمَّ حُوِّلَ {إلَّا لِنَعْلَم} عِلْم ظُهُور {مَنْ يَتَّبِع الرَّسُول} فَيُصَدِّقهُ {مِمَّنْ يَنْقَلِب عَلَى عَقِبَيْهِ} أَيْ يَرْجِع إلَى الْكُفْر شَكًّا فِي الدِّين وَظَنًّا أَنَّ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي حِيرَة مِنْ أَمْره وَقَدْ ارْتَدَّ لِذَلِك جَمَاعَة {وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ {وَمَا كَانَ اللَّه لِيُضِيعَ إيمَانكُمْ} أَيْ صَلَاتكُمْ إلَى بَيْت الْمَقْدِس بَلْ يُثِيبكُمْ عَلَيْهِ لِأَنَّ سَبَب نُزُولهَا السُّؤَال عَمَّنْ مَاتَ قَبْل التحويل {إن الله بالناس} المؤمنين {لرؤوف رَحِيم} فِي عَدَم إضَاعَة أَعْمَالهمْ وَالرَّأْفَة شِدَّة الرَّحْمَة وَقَدَّمَ الْأَبْلَغ لِلْفَاصِلَةِ
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกท่านเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกท่านจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกท่าน และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่ท่านเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันส้นเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(อ้างโน่นอ้างนี่ ไม่ยอมเปลี่ยน) นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143 (คำว่าหันส้นเท้ากลับลองดูในแผนที่โลก หรือดูที่ลูกโลกถ้าใครมี ก็จะพบเลยว่ามาดินะห์อยู่กลาง มักกะห์อยู่ใต้ บัยตุ้ลมักดิสเยรูซาเล็มอยู่เหนือ)
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     ดวงอาทิตย์นั้นในทุกๆปีก็จะโคจรมาตรงกับกะบะห์อย่างนี้ทุกๆปี (ตามหลักวิชาการเรียกว่า เป็นค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์) สิ่งนี้จะเกิดขึ้นทุกๆปี ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำ ใครจะทำได้ ขอย้ำว่าสิ่งนี้ที่เราท่านทั้งหลายเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากๆๆๆ แต่สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของความสามารถของพระองค์เท่านั้น
     รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:02 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re:อิจติมาอ์ฯลฯ
« ตอบกลับ #64 เมื่อ: มิ.ย. 06, 2013, 08:13 PM »
0
   
     
:salam:
     สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลามแล้ว ต้องมองการไกล ต้องมองให้ไกล ต้องมองไปข้างหน้า แล้วจะไม่ก่อน NEWMOON (เพราะอย่าลืมว่าร่อซูล้ลลอห์(ซ.ล.)ใช้ให้ดูจันทร์เสี้ยว ถ้าก่อน NEWMOON จะเอาจันทร์เสี้ยวที่ใหนดู ฯลฯ)
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     ความจริงที่ปรากฏก็คือขณะที่ประเทศหนึ่งดวงอาทิตย์ตก  อีกประเทศหนึ่งรุ่งอรุณ  เวลาทุกเวลาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของประเทศที่อยู่แตกต่างกันไป  สิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า  ด้วยความแตกต่างทางเวลานี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในเรื่องการละหมาด5เวลา(เป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะละหมาดดุฮ์ริพร้อมกัน  ละหมาดอัสริพร้อมกัน  ฯลฯ)ดังนั้นการที่จะกล่าวอ้างว่าเพื่อความเป็นเอกภาพของอุมมะห์มุสลิมมุสลิมะห์ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ควรจะทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่ง เวลาเดียวกันและวันเดียวกัน  การกล่าวอ้างแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา  เรียกว่าคิดเอาเอง จินตนาการเอาเองเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงเราท่านทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ขณะที่มุสลิมที่อยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียละหมาดซุบฮิ  มุสลิมที่อยู่ในอเมริกาเหนืออาจยังทำละหมาดอิซาของวันก่อนไม่เสร็จเลย ดังนั้นถ้าพระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการให้มุสลิมทั่วทุกมุมโลกทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่งเวลาเดียวกันและวันเดียวกัน เพื่อต้องการให้เกิดความเป็นเอกภาพอย่างที่ใครบางคนกล่าวอ้างแล้ว เอกภาพดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้เลย เพราะความแตกต่างทางด้านเวลาที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 {أو لم يَتَفَكَّرُوا فِي أَنْفُسهمْ} لِيَرْجِعُوا عَنْ غَفْلَتهمْ {مَا خَلَقَ اللَّه السَّمَاوَات وَالْأَرْض وَمَا بَيْنهمَا إلَّا بِالْحَقِّ وَأَجَل مُسَمًّى} لِذَلِكَ تَفْنَى عِنْد انْتِهَائِهِ وَبَعْده الْبَعْث {وَإِنَّ كَثِيرًا مِنْ النَّاس} أَيْ كُفَّار مَكَّة {بِلِقَاءِ رَبّهمْ لَكَافِرُونَ} أَيْ لَا يؤمنون بالبعث بعد الموت
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ผมเองเคยได้ยินคนหนึ่งกล่าวว่า  การดูจันทร์เสี้ยวไม่เหมือนกับการละหมาด5เวลา  เพราะการละหมาด5เวลาใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนด  แต่ละประเทศจึงมีเวลาการละหมาด5เวลาไม่เหมือนกัน  ไม่ตรงกัน  ตามกันไม่ได้  แต่ดวงจันทร์นั้นมีอยู่ดวงเดียว  การดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์อย่างสิ้นเชิง  ดังนั้นไม่ว่าที่ใดในโลกเห็นจันทร์เสี้ยว  ที่อื่นประเทศอื่นก็ต้องเข้าเดือนหรือต้องออกเดือนเหมือนกันด้วย  จะอย่างไรก็ดีคำพูดลักษณะนี้ถือว่ายังไม่ถูกต้อง  ยังไม่ตรงกับความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา การที่บอกว่าดวงจันทร์นั้นมีอยู่ดวงเดียวการดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ผมได้ยินผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า  แล้วดวงอาทิตย์มีอยู่หลายดวงหรือ  แต่ละจังหวัดแต่ละประเทศจึงมีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน   
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี       
     วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   ดังนั้นวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่29 ร่อยับ ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อยับ ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ซะบาน ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 เวลา 22.56.19 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ซะบาน ฮ.ศ.1434  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
       วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่ที่กลุ่มดาววัว TAURUS ดวงจันทร์ในวันนี้ตกก่อนดวงอาทิตย์ ซึ่งดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้าประมาณ 3 องศา ส่วนด้านบนของดวงอาทิตย์ ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มแตะขอบฟ้ามีดาวพฤหัสบดีJUPITERอยู่ มุมเงยประมาณ7องศา แหละทางด้านบนของดาวพฤหัสบดีมีดาวศุกร์VENUSอยู่ มุมเงยประมาณ 18 องศา  ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 405961.07 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 405799.71 กิโลเมตร
     วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.45.45วินาที  ดวงจันทร์ตก19.30.59วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที46วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.41.32วินาที ดวงจันทร์ตก18.26.53วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที39วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.28.49วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.23วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.30.01วินาที  ดวงจันทร์ตก18.16.38วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.28.52วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.29วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.28.25วินาที  ดวงจันทร์ตก18.14.58วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที27วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.28.35วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.17วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที18วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.29.13วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.48วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.28.23วินาที  ดวงจันทร์ตก18.14.56วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที28วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.32.52วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.26วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.48.51วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.10วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที42วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.30.02วินาที  ดวงจันทร์ตก18.16.33วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.29.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.14.06วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์15นาที40วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.45.45วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.30.59วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที46วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
     ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย เพราะว่าดวงจันทร์ได้ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดังนั้นวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2556 ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 6  มิถุนายน พ.ศ.2556  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.19.19 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.47.57วินาที ดุฮ์ริเวลา12.15.27วินาที อัสริเวลา15.40.02 วินาที มักริบเวลา 18.43.02 วินาที อีซาเวลา 20.02.11
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.21.26 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.50.04วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.17.34วินาที  อัสริเวลา15.42.09 วินาที  มักริบเวลา18.45.09 วินาที  อีซาเวลา 20.04.17
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.02.34 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.36.56 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.19.21 วินาที  อัสริเวลา 15.37.13 วินาที  มักริบเวลา 19.01.53 วินาที  อีซาเวลา 20.25.51 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา03.53.32วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.28.05 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.20.13วินาที  อัสริเวลา15.41.32วินาที  มักริบเวลา19.12.29  วินาที  อีซาเวลา20.36.07วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
     รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:03 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
     ผมเองเคยได้ยินบางคนได้บอกว่า  ขึ้น 1 ค่ำมีเดือนแล้ว  บวช(ถือศิลอด)ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นก็ได้บวช(ถือศิลอด)ไปเรื่อยพอนับว่าครบเดือนแล้วก็ออกบวชเลย ไม่ได้สนใจการดูดวงจันทร์เสี้ยวจริงเลย  ไม่ใช่แค่คิดเล่นๆ  เขาก็ยึดเป็นหลักปฏิบัติจริงๆ 
     ตรงนี้ตัวผมเอง ขอให้ได้ดูคำสั่งใช้ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)เป็นหลักสำคัญในการปฏิบัติ ขอแนะนำว่า  ให้ฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น(เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรี ได้มีการประกาศให้ดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่1ของเดือนร่อมะดอน(แหละวันที่1ของเดือนใหม่ทุกๆเดือน) ซึ่งตรงกับคำสั่งใช้ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) 
     กล่าวคือก็เพราะว่า  ถ้าวันที่ขึ้น 1 ค่ำ  ยังไม่ใช่วันที่ 1 ของเดือนรอมาดอน(คือไม่มีการเห็นดวงจันทร์เสี้ยวจริง)  แล้วก็ถือศิลอดตามการขึ้น1ค่ำ เท่ากับว่าท่านขาด  การถือศิลอดในวันนั้นของเดือนร่อมะดอนไป  เท่ากับว่าท่านสูญเปล่า  ในการถือศิลอดไปแล้ว  ที่สำคัญที่สุดการกระทำดังกล่าว  ยังไม่เป็นไปตามคำสั่งใช้  ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  แหละยังไม่ใช่  การปฏิบัติตาม  แนวทางของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อีกด้วย นั่นก็หมายความว่าไม่ได้ทำตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ที่มีบัญชาต่อท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)   
     ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลักการของศาสนา  จะเริ่มต้นขึ้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องประกอบด้วย 1. วันที่จะดูจันทร์เสี้ยว  ต้องเป็นวันที่ 29 ของเดือนอิสลาม  2. ต้องมีการเห็นจันทร์สี้ยวจริงเท่านั้น  ถ้าหากในการคำนวน  ระบุชัดเจนว่าสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ  กลับไม่มีผู้ใดเห็นจันทร์เสี้ยว  อย่างนี้ก็จะเริ่มขึ้นเดือนใหม่  ไม่ได้อย่างเด็ดขาด(นักดาราศาสตร์อิสลาม  สามารถคำนวนได้  แต่สิ่งที่นักดาราศาสตร์อิสลาม  ไม่สามารถคำนวนได้  ก็คือ ณ วันที่ดูจันทร์เสี้ยวนั้น  จะมีพื้นที่ใดบ้าง  ที่จะมีเมฆมาบดบัง  จะมีพื้นที่ใดบ้าง  ที่จะฝนมา  ฟ้าจะมืด  จะมีพื้นที่ใดบ้าง  ที่ฝนมา  ฟ้ามืด ) นี่ก็แสดงให้เห็นว่า  ไม่มีผู้ใด  ที่จะมีความสามารถ  ที่จะมีความรอบรู้  ที่จะมีเดชานุภาพ  เทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าได้เลย
          การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     ดังนั้นตรงคำที่รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้บอกว่าถ้ามีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน(คือมีเมฆมามาปกคลุมทำให้ไม่สามารถเห็นดวงจันทร์เสี้ยวได้) ทั้งๆที่มีจันทร์เสี้ยว ถึงกระนั้นท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็ได้ใช้ ให้อย่าพึ่งขึ้นเดือนใหม่ โดยให้นับเดือนซะบานเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งวัน คือให้เดือนซะบาน(ที่ไม่มีการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น มี30วันเลย) ตรงนี้ก็ถือว่าชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะถือศิลอดโดยยึดถือว่า ขึ้น1 ค่ำมีเดือนแล้วบวชได้เลย จึงไม่ใช่แนวทางของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อย่างแท้จริง
     แต่ถ้าหากสมมุติว่าปีใดมีการดูจันทร์เสี้ยวแล้วเห็นจันทร์เสี้ยวจริง แล้วสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้เป็นวันที่1ของเดือนร่อมะดอน ซึ่งในวันดังกล่าวตรงกับขึ้น1ค่ำพอดี ก็ถือว่าคนละประเด็นกับที่ได้กล่าวมา
     ผู้ศรัทธาที่อาศัยอยู่ทั่วทุกมุมของโลกใบนี้ต่างก็มีความรู้สึกยินดีและดีใจ  ในการมาเยือนของเดือนร่อมะดอนอันมีเกียตรินี้เช่นกัน  ถ้าจะถามว่าเราท่านทั้งหลายถือศิลอดกันได้อย่างไร  ถือศิลอดเพราะไม่หิวอย่างนั้นหรือ  ถือศิอดเพราะทำตามกระแสที่คนทั่วไปเขาถือกันอย่างนั้นหรือ  คำตอบก็คือคงไม่ใช่  แต่ที่เราท่านทั้งหลายถือศิลอดกันได้ก็เพราะว่าเราท่านทั้งหลายมีศรัทธา  มีอีหม่าน มีการยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  ที่สำคัญอย่างยิ่ง ผลดีนานับประการในโลกดุนยานี้  แหละสิ่งดีๆอย่างมากมายในสรวงสวรรค์  ยังคงรอเราท่านทั้งหลายอยู่ในโลกหน้าอาคิเราะห์อย่างแน่นอน   
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
        {يأيها الَّذِينَ آمَنُوا كُتِبَ} فُرِضَ {عَلَيْكُمْ الصِّيَام كَمَا كُتِبَ عَلَى الَّذِينَ مِنْ قَبْلكُمْ} مِنْ الْأُمَم {لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ} الْمَعَاصِي فَإِنَّهُ يَكْسِر الشَّهْوَة الَّتِي هي مبدؤها
     โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การถือศีลอดนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกท่านแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ถูกกำหนดแก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกท่านมาแล้วเพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรง(ในการล่วงล้ำเข้าไปทำในสิ่งที่ไม่ดี)  ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์  อายะห์ที่ 183   
     การถือศิลอดในเดือนร่อมะดอนได้ถูกกำหนดขึ้นให้ปฏิบัติ  ในปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 2 เดือนซะบาน  ตรงนี้พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าโอ้บรรดาผู้ศรัทธา  ตรงนี้เองถ้าจะพูดตามหลักนะฮูเรียกว่าประกอบด้วยฮุรุฟนิดาอ์แหละมุนาดา  จุดประสงค์หลักก็คือพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกบรรดาผู้ศรัทธา  เพื่อที่จะสั่งใช้ให้ทำความดีงามอะไรบางอย่าง  ให้บรรดาผู้ศรัทธามีความสนใจในการทำความดี  ความดีงามอันนี้ก็คือการถือศิลอดในเดือนร่อมะดอนนั่นเอง  ซึ่งความดีงามอันนี้ทำได้ยากมากสำหรับผู้ที่ในหัวใจของเขาไม่มีการศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า  เพราะต้องมีการตั้งใจต้องอดน้ำอดข้าวอดกลั้นการกระทำต่างๆ  ที่ทำให้การถือศิลอดมีผลใช้ไม่ได้  เริ่มตั้งแต่แสงอรุณจริงขึ้น(ซุบฮิ)กระทั่งดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า(มัฆริบ)  สิ่งที่มักจะได้ยินอยู่เป็นประจำก็คืออดกันทั้งวัน  กินน้ำก็ไม่ได้ กินข้าวก็ไม่ได้ กินอะไรไม่ได้เลยก็หิวมากนะซิ อยู่ได้อย่างไร 
     สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาแหละมีความหวังในพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า  สิ่งที่ได้เกิดขึ้นตอนนี้ถ้าจะแบ่งก็จะแบ่งได้2ประการก็คือ 1.ความรู้สึกดีๆความรู้สึกอยากทำความดี(อยากถือศิลออดอยากอ่านกุรอ่านฯลฯ)  เพื่อสนองพระบัญชาใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้าก็จะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ศรัทธาอย่างแน่นอน  ประการที่2ก็คือ รัศมีแห่งความศรัทธาก็จะส่องแสงสว่างไสวอยู่ในหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธา  เปี่ยมล้นอยู่ในใจของผู้ศรัทธาเตรียมพร้อมที่จะทำความดีเพื่อสนองพระบัญชาใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้า 
     ถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลายสังเกตุให้ดีพระผู้เป็นเจ้าเรียกบ่าวที่ถูกสร้าง  พระองค์จะใช้คำว่ายานำหน้าเสมอยกตัวอย่างเช่นยามุฮัมมัดโอ้มุฮัมมัด  ส่วนในต้นอายะห์ที่183ของซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์ที่กล่าวมานั้น  พระองค์ใช้คำว่ายาอัยยุฮัลละรีนะอามะนู  เพราะคำว่าอัลละรี  มีอลิฟลามอยู่ข้างหน้าตามหลักนะฮูเรียกว่าเป็นมุรักกัรจึงต้องเพิ่มอัยยุฮาหลังจากยา  จึงเป็นคำว่ายาอัยยุฮัลละรีนะอามะนู  ในส่วนของเราท่านทั้งหลายซึ่งอยู่ในฐานะบ่าวที่ถูกสร้าง  ถ้าจะเรียกหรือวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างจะไม่ใช้คำว่ายาอัลลอฮ์ตรงๆ  ให้ลบยาออกแล้วเพิ่มมีมที่มีเครื่องหมายซัดดะห์เข้าไปแทนหลังจากคำว่าอัลลอฮ์  ดังนั้นถ้าหากว่าเราท่านทั้งหลายในฐานะบ่าวผู้ถูกสร้าง  จะวอนขอเรียกพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างจะใช้คำว่าอัลลอฮุมมะแทนคำว่ายาอัลลอฮุ  ซึ่งเราท่านทั้งหลายจะพบคำว่าอัลลอฮุมมะอยู่เป็นประจำในตอนเริ่มต้นของดุอาภาษาอะหรับ  คำว่าอัลลอฮุมมะนี้นั้นเรียกว่ามุนาดามุรอกคอมอัสลุฮูยาอัลลอฮุ
     เล่าจากท่านอิบนุอุมัร(ร.ด.)เมื่อท่านนบี(ซ.ล.)ละศิลอดท่านกล่าวขอพรว่า  อัลลอฮุมมะละกะซุมตุ  วะอะลาริสกิก้า  อัฟตอรตุ(โอ้พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าถือศิลอดเพื่อพระองค์และข้าพเจ้าละศิลอดด้วยริสกีของพระองค์)  รายงานโดยอะบูดาวูดและต๊อบรอนี
     คำว่ากู่ติบะ นักอธิบายอัลกุรอ่านขยายความว่าฟู่ริด้อ แปลว่าถูกให้เป็นฟัรดู  คำว่ากะมากู่ติบะตามหลักบาลาเฆาะห์เรียกว่า  อัตตัซบีห์ฟิ้ลฟะรีเดาะห์ ลาฟิ้ลกัยฟิยะติวัสสะวาบ คือนบีองค์ก่อนก็ต้องถือศิลอดเหมือนกันพระผู้เป็นได้มีฟัรดูใช้เหมือนกัน  แต่รูปแบบแหละภาคผลบุญที่จะได้รับจากพระผู้เป็นเจ้านั้นแตกต่างกับในยุคสมัยของเรา(ของนบีมุฮัมมัด ซ.ล.)อย่างมาก
     คำว่าอัซซิยามตามหลักนะฮูเรียกว่านาอิบุ้ลฟาแอ้ล จึงแปลว่าโอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย การถือศีลอด(ในเดือนร่อมาดอน)นั้นได้ถูกเป็นฟัรดูแก่พวกท่านแล้ว  แหละอีกประการหนึ่งคำว่าอัซซิยามกับคำว่าอัซเซามุแปลว่าการถือศิลอดเหมือนกัน  แต่มีอายะห์หนึ่งที่มีระบุไว้ในซูเราะห์มัรยัม  อายะห์ที่ 26  ตรงนั้นไม่ได้แปลว่าการถือศิลอดแต่แปลว่างดเว้นจากการพูด  คือพระผู้เป็นเจ้าสั่งให้พระนางมัรยัมอย่าพูดอะไรทั้งสิ้น(หลังจากที่พระนางมัรยัมคลอดนบีอีซาเสร็จเรียบร้อยแล้วแหละได้อุ้มนบีอีซาเข้ามาที่กลุ่มชนของนาง) 
     คำว่าละอัลละกุมตัตตะกูน  เพื่อว่าพวกท่านจะได้ยำเกรง(ในการล่วงล้ำเข้าไปทำในสิ่งที่ไม่ดี)  ดังนั้นจุดประสงค์แหละผลดีอีกอย่างของการถือศิลอดก็คือ  สามารถยับยั้งไม่ให้เราท่านทั้งหลายล่วงล้ำเข้าไปทำในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามเอาไว้ได้  มารร้ายที่ถูกสาปแช่งจากพระผู้เป็นเจ้าก็จะหลอกลวงได้ยากมากยิ่งขึ้น  เพราะว่าคนเราเวลาหิวเวลากระหายก็จะไม่ค่อยมีแรงร่างกายอ่อนเพลีย  อยากจะนอนพัก(ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า  การนอนของผู้ที่ถือศิลอดถือว่าเป็นอิบาดะห์ด้วยคือนอนก็ยังได้รับภาคผลบุญ ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย)  แรงที่จะไปทำไม่ดีต่างๆก็จะไม่มีโดยอัตโนมัต
     เล่าจากอับดิ้ลลาฮ์อิบนิมัสอูด(ร.ด.) พวกเราเป็นคนหนุ่มอยู่กับท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ซ.ล.)และพวกเราก็ไม่มีทรัพย์สินอะไร  ท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ซ.ล.)ได้กล่าวกับพวกเราว่า  พวกคนหนุ่มทั้งหลายเฉพาะผู้ที่มีความสามารถด้านค่าใช้จ่ายให้เขาจงแต่งงานเถิด  เพราะการแต่งงานทำให้สายตาลดต่ำลงและรักษาอวัยวะสืบพันธ์ได้ดียิ่ง  และผู้ที่ไม่มีความสามารถ(แต่งงาน)ให้เขาถือศิลอดเถิดเพราะการถือศิลอด(สามารถ)ตัดความต้องการทางเพศของเขาลงได้  รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
     การถือศีลอด(ในเดือนร่อมาดอน)นั้นได้ถูกเป็นฟัรดูนั่นก็หมายความว่าทำแล้วได้ภาคผลบุลจากพระผู้เป็นเจ้า  แต่ถ้าละเลยไม่ทำไม่ใส่ใจก็จะเกิดโทษอย่างแน่นอนด้วยคำดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าที่ว่าเดือนรอมฏอนนั้น  เป็นเดือนที่อัลกรุอานได้ถูกประทานลงมาเป็นข้อแนะนำสำหรับมวลมนุษย์  และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้น  และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ  ดังนั้นผู้ใดในหมูพวกท่านเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้วก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น  และผู้ใดป่วยหรืออยู่ในการเดินทางก็จงถือใช้ในวันอื่นแทน  พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกท่าน  และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกท่านและเพื่อที่พวกท่านจะได้ให้ครบถ้วนซึ่งจำนวนวัน(ของเดือนร่อมะดอน)  และเพื่อพวกท่านจะได้ให้ความเกรียงไกรแด่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ในสิ่งที่พระองค์ทรงแนะนำแก่พวกท่าน และเพื่อพวกท่านจะขอบคุณ  ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์  อายะห์ที่ 185   
     การถือศิลอดในปีนี้ใกล้จะเริ่มต้นแล้วให้เดือนร่อมะดอนเป็นจุดเริ่มต้นในการทำคุณความดีแขนงต่างๆต่อพระผู้เป็นเจ้า  การถือศิลอด งดเว้นคำพูดที่ไร้สาระ ทำจิตใจให้บริสุทธ์ อ่านกุรอ่าน ริกรุลลอฮ์ บริจาคทาน ละหมาดสุนัตต่างๆในยามค่ำคืน ทบทวนวิชาทางศาสนาต่างๆที่ร่ำเรียนมา ตั้งเจตนาหยุดพักในมัสยิดเพื่อทำคุณความดีชนิดต่างๆเพื่อพระผู้เป็นเจ้า  ให้เดือนร่อมะดอนเป็นจุดเริ่มต้น  เป็นต้นแบบในการทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในเดือนอื่นๆอีกต่อไป  ผลดีแหละภาคผลบุญไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ใดเลย  นอกจากจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ปฏิบัตินั่นเอง  ทั้งในโลกดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์  สิ่งที่ดีๆนานับประการ  สิ่งที่ตาไม่เคยเห็นหูไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งใจก็ยังคิดไม่ถึง  สิ่งต่างๆเหล่านี้แหละกำลังรอเราท่านทั้งหลายอยู่ในสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าในโลกหน้าอาคิเราะห์
     ความจริงที่ปรากฏก็คือขณะที่ประเทศหนึ่งดวงอาทิตย์ตก  อีกประเทศหนึ่งรุ่งอรุณ  เวลาทุกเวลาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของประเทศที่อยู่แตกต่างกันไป  สิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า  ด้วยความแตกต่างทางเวลานี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในเรื่องการละหมาด5เวลา(เป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะละหมาดดุฮ์ริพร้อมกัน  ละหมาดอัสริพร้อมกัน  ฯลฯ)ดังนั้นการที่จะกล่าวอ้างว่าเพื่อความเป็นเอกภาพของอุมมะห์มุสลิมมุสลิมะห์ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ควรจะทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่ง เวลาเดียวกันและวันเดียวกัน  การกล่าวอ้างแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา  เรียกว่าคิดเอาเอง จินตนาการเอาเองเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงเราท่านทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ขณะที่มุสลิมที่อยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียละหมาดซุบฮิ  มุสลิมที่อยู่ในอเมริกาเหนืออาจยังทำละหมาดอิซาของวันก่อนไม่เสร็จเลย ดังนั้นถ้าพระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการให้มุสลิมทั่วทุกมุมโลกทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่งเวลาเดียวกันและวันเดียวกัน เพื่อต้องการให้เกิดความเป็นเอกภาพอย่างที่ใครบางคนกล่าวอ้างแล้ว เอกภาพดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้เลย เพราะความแตกต่างทางด้านเวลาที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 {أو لم يَتَفَكَّرُوا فِي أَنْفُسهمْ} لِيَرْجِعُوا عَنْ غَفْلَتهمْ {مَا خَلَقَ اللَّه السَّمَاوَات وَالْأَرْض وَمَا بَيْنهمَا إلَّا بِالْحَقِّ وَأَجَل مُسَمًّى} لِذَلِكَ تَفْنَى عِنْد انْتِهَائِهِ وَبَعْده الْبَعْث {وَإِنَّ كَثِيرًا مِنْ النَّاس} أَيْ كُفَّار مَكَّة {بِلِقَاءِ رَبّهمْ لَكَافِرُونَ} أَيْ لَا يؤمنون بالبعث بعد الموت
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ผมเองเคยได้ยินคนหนึ่งกล่าวว่า  การดูจันทร์เสี้ยวไม่เหมือนกับการละหมาด5เวลา  เพราะการละหมาด5เวลาใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนด  แต่ละประเทศจึงมีเวลาการละหมาด5เวลาไม่เหมือนกัน  ไม่ตรงกัน  ตามกันไม่ได้  แต่ดวงจันทร์นั้นมีอยู่ดวงเดียว  การดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์อย่างสิ้นเชิง  ดังนั้นไม่ว่าที่ใดในโลกเห็นจันทร์เสี้ยว  ที่อื่นประเทศอื่นก็ต้องเข้าเดือนหรือต้องออกเดือนเหมือนกันด้วย  จะอย่างไรก็ดีคำพูดลักษณะนี้ถือว่ายังไม่ถูกต้อง  ยังไม่ตรงกับความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา การที่บอกว่าดวงจันทร์นั้นมีอยู่ดวงเดียวการดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ผมได้ยินผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า  แล้วดวงอาทิตย์มีอยู่หลายดวงหรือ  แต่ละจังหวัดแต่ละประเทศจึงมีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน   
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี       
     รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 07, 2013, 11:36 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
     วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   ดังนั้นวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่29 ซะบาน ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 ซะบาน ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 เวลา 14.14.20 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
       วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณเข่าของกลุ่มดาวคนคู่ Gimini ดวงจันทร์ในวันนี้ตกก่อนดวงอาทิตย์ ซึ่งดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้าประมาณ 37 ลิปดา 36ฟิลิปดา ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 405555.48 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 405745.81กิโลเมตร
     วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.48.23วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.07วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที16วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.48.05วินาที ดวงจันทร์ตก18.45.11วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์2นาที54วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.34.40วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.05วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที35วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.35.50วินาที  ดวงจันทร์ตก18.35.19วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที30วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.34.43วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.14วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที29นาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.34.12วินาที  ดวงจันทร์ตก18.33.37วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที35วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.34.25วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.04วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที21วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.35.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.30วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที34วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.34.13วินาที  ดวงจันทร์ตก18.33.36วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที37วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.38.39วินาที  ดวงจันทร์ตก18.37.59วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที41วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.54.22วินาที  ดวงจันทร์ตก18.51.12วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที10วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.35.49วินาที  ดวงจันทร์ตก18.35.09วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที41วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.23.17วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.18.37วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์4นาที40วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.51.19วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.48.06วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที13วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
     ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย เพราะว่าดวงจันทร์ได้ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดังนั้นวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2556 ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2556 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.25.39 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.54.16วินาที ดุฮ์ริเวลา12.21.43วินาที อัสริเวลา15.46.07 วินาที มักริบเวลา 18.49.06 วินาที อีซาเวลา 20.08.06
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.27.49วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.56.21วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.23.35วินาที  อัสริเวลา15.48.02 วินาที  มักริบเวลา18.50.45 วินาที  อีซาเวลา 20.09.41
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.09.03 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.41.11วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.25.37 วินาที  อัสริเวลา 15.43.04 วินาที  มักริบเวลา 19.09.56 วินาที  อีซาเวลา 20.31.30 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.00.01วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.34.33 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.26.28วินาที  อัสริเวลา15.47.54วินาที  มักริบเวลา19.18.15  วินาที  อีซาเวลา20.41.39วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:04 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
     วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   ดังนั้นวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่29 ซะบาน ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 ซะบาน ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 เวลา 14.14.20 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
       วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณเข่าของกลุ่มดาวคนคู่ Gimini ดวงจันทร์ในวันนี้ตกก่อนดวงอาทิตย์ ซึ่งดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้าประมาณ 37 ลิปดา 36ฟิลิปดา ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 405555.48 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 405745.81กิโลเมตร
     วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.48.23วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.07วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที16วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.48.05วินาที ดวงจันทร์ตก18.45.11วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์2นาที54วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.34.40วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.05วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที35วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.35.50วินาที  ดวงจันทร์ตก18.35.19วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที30วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.34.43วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.14วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที29นาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.34.12วินาที  ดวงจันทร์ตก18.33.37วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที35วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.34.25วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.04วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที21วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.35.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.30วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที34วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.34.13วินาที  ดวงจันทร์ตก18.33.36วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที37วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.38.39วินาที  ดวงจันทร์ตก18.37.59วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที41วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.54.22วินาที  ดวงจันทร์ตก18.51.12วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที10วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.35.49วินาที  ดวงจันทร์ตก18.35.09วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์0นาที41วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.23.17วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.18.37วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์4นาที40วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.51.19วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.48.06วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที13วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
9.สำหรับกำปงลาดบัวขาวของเรา  ดวงอาทิตย์ตก18.49.15 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.02วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวง
-มุมทิศของดวงจันทร์  จากจุดทิศเหนือกวาดไปทางขวามือ  ขนานกับเส้นขอบฟ้าจะเท่ากับ 288องศา 22ลิปดา 03ฟิลิปดา 
-ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้าอยู่ที่0องศา 50ลิปดา 39ฟิลิปดา  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
     ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย เพราะว่าดวงจันทร์ได้ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดังนั้นวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2556 ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2556 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.25.39 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.54.16วินาที ดุฮ์ริเวลา12.21.43วินาที อัสริเวลา15.46.07 วินาที มักริบเวลา 18.49.06 วินาที อีซาเวลา 20.08.06
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.27.49วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.56.21วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.23.35วินาที  อัสริเวลา15.48.02 วินาที  มักริบเวลา18.50.45 วินาที  อีซาเวลา 20.09.41
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.09.03 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.41.11วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.25.37 วินาที  อัสริเวลา 15.43.04 วินาที  มักริบเวลา 19.09.56 วินาที  อีซาเวลา 20.31.30 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.00.01วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.34.33 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.26.28วินาที  อัสริเวลา15.47.54วินาที  มักริบเวลา19.18.15  วินาที  อีซาเวลา20.41.39วินาที 
-สำหรับกำปงลาดบัวขาวของเรา  ซุบฮิเวลา04.26.23วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.54.54วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.22.04วินาที  อัสริ เวลา15.46.33วินาที  มักริบเวลา18.49.11วินาที  อีซาเวลา20.08.06วินาที
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8  รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: มหัศจรรย์แห่งลายนิ้วมือ ฯลฯ
« ตอบกลับ #68 เมื่อ: ส.ค. 04, 2013, 09:21 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
وعن ابي هريرةَ رضي اللهُ عنه اَنَّ رسولَ اللهِ صلعم قا ل مَن قا ل لاالهَ الا اللهُ وَحْدَهُ لاَشَرِيْكَ لَهُ لَهُ اْلمُلْكُ وَلَهُ الْحَمْدُوَهُوَعَلَى كُلِّ شَيْءٍقَدِيْرٌفِيْ يَوْمٍ مِاءَةَ مَرَّةٍ كانََتْ له عدلُ عشرِ رِقابٍ وكُتِب له ماءةُ حسنةٍ ومُحيَت عنه ماءةُسيئةٍ وكانت له حِرزًامن الشيطان يومَه ذلك حتي يُمسىَ ولم ياتِ احدُ بافضلِ مِمَّا جاء به الارجلٌ عَمِل اكثرَمنه مُتَّفَقٌ عليه
     เล่าจากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวว่า ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์ วะห์ดะฮูลาซะรีกะละห์ละฮุ้ลมุลกุ วะละฮุ้ลฮัมดู้ วะฮุวะอะลา ก้ลลิซัยอินก่อดีร วันละหนึ่งร้อยครั้ง เขาจะได้รับผลบุลเท่ากับปลดปล่อยทาส10คน และจะถูกบันทึกความดีให้100ความดี  และความชั่วจะถูกลบออกไป100ความชั่ว และจะได้รับการคุ้มครองให้พ้นจากซัยตอนในวันนั้นจนกระทั่งถึงเวลาเย็น และไม่มีใครที่จะได้นำผลบุล ที่ดียิ่งกว่าเขานำมา    นอกจากบุคคลที่ปฏิบัติมากกว่าเขา รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     เล่าจากอับดิ้ลลาฮ์อิบนิมัสอูด(ร.ด.) พวกเราเป็นคนหนุ่มอยู่กับท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ซ.ล.)และพวกเราก็ไม่มีทรัพย์สินอะไร  ท่านร่อซูลุ้ลลอฮ์(ซ.ล.)ได้กล่าวกับพวกเราว่า  พวกคนหนุ่มทั้งหลายเฉพาะผู้ที่มีความสามารถด้านค่าใช้จ่ายให้เขาจงแต่งงานเถิด  เพราะการแต่งงานทำให้สายตาลดต่ำลงและรักษาอวัยวะสืบพันธ์ได้ดียิ่ง  และผู้ที่ไม่มีความสามารถ(แต่งงาน)ให้เขาถือศิลอดเถิดเพราะการถือศิลอด(สามารถ)ตัดความต้องการทางเพศของเขาลงได้  รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
     ไม่ว่าจะในสังคมใหน เชื้อชาติใหน ก็ล้วนแล้วแต่ ให้ความสำคัญในการกล่าวทักทายซึ่งกันและกันทั้งนั้น เพราะเป็นการแสดงออกให้เห็นว่า เราพร้อมที่จะพูดคุยกัน เราพร้อมที่จะหยิบยื่นสิ่งที่ดีๆให้แก่กันและกัน เราพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวต่างๆของกันแหละกัน เราพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ตามกำลังความสามารถที่มีอยู่(ยิ่งในแวดวงของการทำการค้า ในห้างร้านบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการต่างๆนั้น การทักทายกันซึ่งกันและกันแหละการทักทายกับลูกค้านั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เป็นกฎข้อบังคับข้อหนึ่งของทางบริษัทเลย ก็เพราะว่าสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ทำให้ธุรกิจการค้าเจริญเติบโต ก้าวไกลไปข้างหน้าเลยทีเดียว
     ในปัจจุบันนี้เราท่านทั้งหลายพบปะเจอะเจอกัน ให้สลามกัน ทักทายกัน ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลาย รักแหละเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า มิใช่ว่าจะเจาะจงเฉพาะ เลือกปฏิบัติแค่ใน2วันอีดเท่านั้น
      เล่าจากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พวกท่านจะยังไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่านจะมีศรัทธา และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักกัน ฉันจะไม่ชี้พวกท่านไปสู่สิ่งหนึ่ง หรือ? ถ้าหากว่าพวกท่านปฏิบัติสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็จะรักกัน พวกท่านจงแพร่กล่าวสลามในหมู่พวกท่านเถิด รายงานโดย มุสลิม
        เล่าจากอับดิลลาหฮ์บุตรอัมร์บุตรอาซ(ร.ด.)ว่า มีชายคนหนึ่งถามท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ว่า อิสลามประการใดดีที่สุด ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ตอบว่า การที่ท่านเลี้ยงอาหาร กล่าวทักทายสลามทั้งคนที่ท่านรู้จัก และคนที่ท่านไม่รู้จัก รายงานโดยบุคอรี มุสลิม     
       แม้กระทั่งบรรดามะลาอิกะห์(บ่าวที่มีแต่ความดี บ่าวที่ทำแต่ความดี)  ก็ยังได้มีการให้สลามแก่ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ที่ประกอบคุณความดี ในค่ำคืนของเดือนร่อมะดอน เพราะในช่วงสิบคืนสุดท้ายของเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรตินั้น จะมีอยู่คืนหนึ่งที่บรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้า จะลงมาสู่โลกนี้ ลงมาโดยได้รับการอนุมัติจากพระผู้เป็นเจ้า คืนที่ว่านั้นก็คือ คืนลัยละตุ้ลก๊อดร เมื่อบรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์เห็นมุมินชาย เห็นมุมินะห์หญิง เอาจริงเอาจังในการทำอะมั้ลอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้า อดหลับอดนอนเพื่อทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้า บรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์ของพระผู้เป็นเจ้าก็จะให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา)
     ดังนั้นในคืนลัยละตุ้ลก๊อดรนั้นจะมีการให้สลาม (ขอความสันติสุข) จากบรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งคืน ตลอดไปกระทั่งฟะยัรแสงอรุณขึ้น(คือว่าในครั้งที่พระผู้เป็นเจ้าจะสร้างนบีอาดัม บรรดามะลาอิกะห์ได้ห้ามไว้ อ้างในทำนองว่ามนุษย์ จะมาทำไม่ดีในหน้าพื้นแผ่นดินนี้ อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้ทราบกันมาแล้ว ดังนั้นเมื่อบรรดามะลาอิกะห์ ได้ลงมาเห็นมุมินชาย มุมินะห์หญิงได้ทำอะมั้ลอิบาดะห์กัน เอาจริงเอาจังในการทำคุณความดีกัน ในค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดรดังกล่าวมานั้น บรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์จึงได้ให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา)
     ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر {سَلَام هِيَ} خَبَر مُقَدَّم وَمُبْتَدَأ {حَتَّى مَطْلَع الْفَجْر} بِفَتْحِ اللَّام وَكَسْرهَا إِلَى وَقْت طُلُوعه جُعِلَتْ سَلَامًا لِكَثْرَةِ السَّلَام فِيهَا مِنْ الْمَلَائِكَة لا تَمُرّ بِمُؤْمِنٍ وَلَا بِمُؤْمِنَةٍ إِلَّا سَلَّمَتْ عَلَيْهِ
ِ
คืนนั้นมีความศานติจนกระทั่งรุ่งอรุณ  ซูเราะห์ที่97 อัลก๊อดร อายะห์ที่ 5
          คำว่า  سَلاَمٌ ซะลามุนเป็นค่อบัรมุก๊อดดัม คำว่า  هِىَ ฮิย่า อยู่ในหน้าที่เป็นมุบตะดามู่อั๊คค๊อร(นักวิชาการบางท่านบอกว่า ตรงคำว่าซะลามุนนี้เรียกว่าฮะรัฟมุดอฟ ตั๊กดีรว่า ฮิย่า ราตู้ซะลามะติน)
     คำว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر นักวิชาการทางหลักไวยกรณ์อาหรับนะฮูนั้น ได้นำอายะห์กุรอ่านอายะห์นี้ไปเป็นตัวอย่างในการอธิบายในเรื่องของฮุรูฟยาร อย่างเช่นในหนังสือتسهيل نيل الاماني  (หน้าที่10บรรทัดที่8 หนังสืออาจพิมพ์ต่างวาระกัน หน้าอาจจะไม่เหมือนกันแต่ให้ดูเรื่องของฮุรุฟยารในตัวของ حَتَّى   แล้วก็จะเจออย่างแน่นอน) ในหนังสือนี้ได้ระบุว่าฮุรุฟยารที่16ก็คือ  حَتَّى  ส่วนความหมายของ حَتَّىที่เป็นฮุรุฟยารนั้น ก็คือการสิ้นสุด
    แหละคำว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر นักวิชาการทางหลักไวยกรณ์อาหรับนะฮูนั้น ได้นำอายะห์กุรอ่านอายะห์นี้ไปเป็นตัวอย่างในการอธิบายในเรื่องของฮุรูฟยารอีกเช่นกัน อย่างเช่นในหนังสืออิบนุอะเก้ล ซึ่งเป็นหนังสือที่อธิบายหนังสืออัลฟียะห์(คำกลอนวิชานะฮู) บทที่ว่าด้วยเรื่องฮุรุฟยาร  ถ้อยคำในบทกลอนอัลฟียะห์ มีระบุไว้ดังต่อไปนี้
ِللاِنْتِهاحتى ولامٌ واِلى         ومِنْ وَباءٌيُفْهِمانِ بَدَلا
     حَتَّى นั้นใช้สำหรับความหมาย สิ้นสุด (ถึงจุดหมาย) และ لامٌ اِلى นั้นก็มีความหมายสิ้นสุด (ถึงจุดหมาย) และส่วนمِنْ  باءٌทั้งสองให้ความเข้าใจว่ามีความหมายว่าแทน(เปลี่ยน) 
     ให้สังเกตตรงคำว่า حَتَّىในคำกลอนตรงนี้อยู่ในหน้าที่มุบตะดามุอัคค๊อร (ไม่ใช่ฮุรุฟยาร)
ในหนังสืออิบนุอะเก้ลที่อธิบายคำกลอนตรงนี้ก็จะมีการยกตัวอย่างอายะห์กุรอ่าน ที่ว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر อีกเช่นกัน
     ดังนั้นในอายะห์กุรอ่านตรงนี้ระบุอย่างชัดเจนเลยว่า คืนนั้นมีความศานติตลอดไปจนกระทั่งรุ่งอรุณ คือความศานตินั้นมีอยู่ตลอดทั้งคืนเลยในคืนลัยละตุ้ลก๊อดร จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ เมื่อเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ (เพราะว่าใช้คำว่า حَتَّى ต้องอย่าลืมว่า حَتَّى ตรงนี้เป็นฮุรุฟยาร มีความหมายว่า จนกระทั่ง ชี้ถึงการสิ้นสุด)     
     ขอให้เราท่านทั้งหลายสังเกตตรงคำว่า مَطْلَعِ الْفَجْرแปลว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ดังนั้นคำว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณตรงนี้ก็คือ เริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณของเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้น ของประเทศใครก็ประเทศนั้นเท่านั้น มิใช่ว่าพักอาศัยอยู่ในเมืองไทย พอค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดร ความศานติจะคงอยู่ตลอดไป จนกระทั่งถึงเวลารุ่งอรุณของมักกะห์ หรือประเทศกลุ่มอาหรับ หรือประเทศอื่นๆทั่วทุกมุมโลก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ(อยู่ในเมืองไทยความศานตินั้นก็จะมีอยู่ตลอดไป ทั้งคืนเลยในคืนลัยละตุ้ลก๊อดร จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ เมื่อเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณของแต่ละ สถานที่ต่างๆในเมืองไทยเท่านั้น จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับรุ่งอรุณของประเทศอื่นใดๆทั้งสิ้น
     ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือพอเมืองไทยเริ่มเข้าเวลาซุบฮิ หรือเรียกอีกอย่างนึงว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ทางประเทศนิวซีแลนด์สว่างไปตั้งนานแล้ว หรือเมืองไทยเข้าเวลาซุบฮิ หรือเรียกอีกอย่างว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ทางมักกะห์ หรือประเทศอื่นในประเทศกลุ่มอาหรับ ยังอยู่ในช่วงเวลากลางคืนอยู่เลย อย่างที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่)
   สามารถอ่านบทความทั้งหมดต่อได้ที่ https://www.facebook.com/aubdulaudli?ref=tn_tnmn
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 25, 2014, 04:55 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: มหัศจรรย์แห่งลายนิ้วมือ ฯลฯ
« ตอบกลับ #69 เมื่อ: ส.ค. 05, 2013, 03:49 PM »
0
:salam:
ญะซากั้ลลอฮู้...คอยรอน
ใกล้จะถึงวันรายอแล้ว... อย่าลืมนะครับ
https://www.facebook.com/aubdulaudli?ref=tn_tnmn
(พิมพ์ด้วยใจ...สองครั้งที่
โดนไวรัสเล่นงาน...ผมต้องลงวินโดร์ก่อน
ทั้งสองครั้งจึงได้ลงบทความ...สนุกดี
อั้ลฮำดุลิ้ลลาฮ์)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 06, 2013, 03:49 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: มหัศจรรย์แห่งลายนิ้วมือ ฯลฯ
« ตอบกลับ #70 เมื่อ: ส.ค. 06, 2013, 09:50 AM »
0
วะอะลัยกุมมุสลาม

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ...

ปล.ต้องขอลบความเห็นของตัวเองก่อนหน้านี้นะคะ...
เพราะเชื่อว่า...เจ้าของกระทู้ได้อ่านมันเรียบร้อยแล้ว ^^


วัสลามค่ะ



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re:จะนานแค่ใหนก็ต้องเปลี่ยนแปลงได้ ฯลฯ
« ตอบกลับ #71 เมื่อ: ส.ค. 07, 2013, 06:15 AM »
0
      

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

وعن عائشةَرضي الله عنها قالتْ كان رسولُ الله صلعم ِاذادخَل العشرُاَحْيَ الليلَ وايْقَظَ اهلَه
وشَدَّالمِئْزرَ متفق عليه                                       
     เล่าจากท่านหญิงอาอิซะห์(ร.ด.) ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)นั้น เมื่อเข้าสู่สิบวันสุดท้ายของเดือนร่อมะดอน ท่านจะทำให้กลางคืนมีชีวิตชีวา ด้วยการทำคุณความดี  ท่านจะปลุกครอบครอบครัวของท่านและท่านจะผูกผ้าคาดเอว(เอาจริงเอาจังในการทำคุณความดี รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
    ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามในเรื่องราวของศาสนา ที่ได้กระทำกันอยู่นั้น ถ้ายังไม่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลาม ถ้ายังไม่เป็นไปตามพระประสงค์จริงๆของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ถ้ายังไม่เป็นไปตามคำสั่งใช้ของร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จริงๆแล้ว   จะนานแค่ใหนก็แล้วแต่ ที่ได้กระทำกันมา ก็ต้องเปลี่ยนแปลงได้ ต้องเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามคำสั่งใช้ของร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ต้องเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ทั้งนี้ก็เพื่อความผาสุกของเราท่านทั้งหลายเอง ทั้งในโลกดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์ตลอดไป
     วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1  ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1434
สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ  ตรงกับวันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2556 เวลา 04.50.44 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพุธที่ 7 สิงหาคม  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ร่อมะดอน ฮ.ศ.1434 
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     วันพุธที่ 7 สิงหาคมพ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณด้านหน้า เท้าหน้าของกลุ่มสิงห์โต Leo ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 399084.97 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 399566.82กิโลเมตร
     วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.44.28วินาที  ดวงจันทร์ตก18.53.09วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว8นาที41วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.41.13วินาที ดวงจันทร์ตก18.50.18วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว9นาที5วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.32.01วินาที  ดวงจันทร์ตก18.44.20วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที19วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.33.16วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.40วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที24วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.32.12วินาที  ดวงจันทร์ตก18.44.39วินาทีมีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที27นาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.31.38วินาที  ดวงจันทร์ตก18.43.56วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที19วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.32.06วินาที  ดวงจันทร์ตก18.44.43วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที37วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.32.26วินาที  ดวงจันทร์ตก18.44.45วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที19วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.31.34วินาที  ดวงจันทร์ตก18.43.51วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที16วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.35.47วินาที  ดวงจันทร์ตก18.47.55วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที08วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.47.55วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.35วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว8นาที39วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.33.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.13วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที10วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.30.24วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.37.45วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว7นาที21วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.44.52วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.53.30วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว8นาที37วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
     ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันพุธที่ 7สิงหาคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
(เพราะว่าการทำมุมกันนั้น ยังมีน้อยเกินไป น้อยเกินที่จะเห็นแสงจันทร์เสี้ยวได้ แหละอีกประการหนึ่ง ที่ควรคำนึงถึงก็คือ ถ้าหากว่าเริ่มเดือนใหม่ ในวันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคมพ.ศ. 2556 วันที่จะดูจันทร์เสี้ยวในครั้งต่อไปนั้น ก็จะดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์ทันที)
     ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคมพ.ศ.2556 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
     แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
     เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
    วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้วันพุธที่ 7  สิงหาคม พ.ศ.2556  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.38.03 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.02.16วินาที ดุฮ์ริเวลา12.22.36วินาที อัสริเวลา15.34.15 วินาที มักริบเวลา 18.42.46 วินาที อีซาเวลา 19.57.54
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.37.40วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.01.50วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.22.01วินาที  อัสริเวลา15.33.49 วินาที  มักริบเวลา18.42.03 วินาที  อีซาเวลา 19.57.07
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.07.30 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.42.52 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.24.55 วินาที  อัสริเวลา 15.43.13 วินาที  มักริบเวลา 19.06.59 วินาที  อีซาเวลา 20.31.49 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.19.50วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.52.11วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.26.53วินาที  อัสริเวลา15.53.38วินาที  มักริบเวลา19.01.17วินาที  อีซาเวลา20.23.21วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:06 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: ความรักของพ่อแม่ ฯลฯ
« ตอบกลับ #72 เมื่อ: ก.ย. 04, 2013, 06:13 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
เราในฐานะผู้เป็นลูก ที่สำคัญเราท่านทั้งหลายได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธา มีอีหม่านต่อพระผู้เป็นเจ้า เราท่านทั้งหลายต้องนึกถึงพระคุณของผู้เป็นบิดามารดาให้มากๆ  ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ไม่หวังจะได้อะไรตอบแทนเลย   พ่อแม่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้เป็นคนดี  พ่อแม่ทุ่มเททุกอย่างเพื่ออยากจะเห็นว่า ลูกนั้นเป็นคนดีของพระผู้เป็นเจ้า  หวังลึกๆว่าโลกหน้าอาคิเราะห์ลูกของเราต้องได้อยู่อย่างสุขสบายอย่างแน่นอน เมื่อลูกเป็นคนดีได้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรพ่อแม่ก็จะสบายใจ ปลาบปลื้มใจอีกด้วย
**ความรักความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้น ไม่มีระยะเวลา ไม่มีอายุ ไม่มีกำแพงอะไรมากีดขวางได้ เพราะพ่อแม่ของเราทุกๆคน คิดอยู่เสมอว่าลูกคือแก้วตาแหละดวงใจ ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กแบเบาะก็ห่วงคอยทะนุทนอม แม้ยุงสักตัวก็ไม่ยอมให้มีในที่นอนของลูก คอยปกป้องลูกคอยให้โอกาส ช่วยเหลือสนับสนุนลูก พร้อมเสมอที่จะให้อภัยต่อลูกอยู่ตลอดเวลา ในบางครั้งที่ลูกทำผิดทำพลาดไป คนที่เป็นพ่อเป็นแม่พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ แม้ลูกจะแต่งงานออกเย่าออกเรือนไปแล้ว ความรักความห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น ก็ยังเหมือนเดิมไม่ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่ประการใด(บุคคลที่ได้เป็นพ่อเป็นแม่คนเท่านั้น ที่จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ได้)   ดังนั้นพระคุณของพ่อแม่ มีมากมายเหลือเกิน ถ้าจะพูดถึงการทดแทนพระคุณของพ่อแม่แล้ว ทดแทนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอย่างแน่นอน แต่เราในฐานะผู้เป็นลูกถึงอย่างไรก็ตาม ก็จะต้องทดแทนพระคุณของพ่อแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า บุตรไม่มีโอกาสที่จะตอบแทน(พระคุณ)บิดามารดาได้ นอกจากเขาจะพบว่าบิดามารดาเป็นทาส และเขาได้ซื้อมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ  รายงานโดยมุสลิม
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَوَصَّيْنَا الْإِنْسَان بِوَالِدَيْهِ} أَمَرْنَاهُ أَنْ يَبَرّهُمَا {حَمَلَتْهُ أُمُّه} فَوَهَنَتْ {وَهْنًا عَلَى وَهْن} أَيْ ضَعُفَتْ لِلْحَمْلِ وَضَعُفَتْ لِلطَّلْقِ وَضَعُفَتْ لِلْوِلَادَةِ {وَفِصَالُه} أَيْ فِطَامُه {فِي عَامَيْنِ} وَقُلْنَا لَهُ {أَنْ اُشْكُرْ لِي وَلِوَالِدَيْك إلَيَّ الْمَصِيرُ} أَيْ الْمَرْجِعُ
และเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)ได้สั่งแก่มนุษย์เกี่ยวกับบิดา มารดาของเขา(เราได้ใช้ให้มนุษย์นั้น ให้ทำดีให้กตัญญูรู้คุณบิดา มารดาของเขา) โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขา อ่อนเพลียลงครั้งแล้วครั้งเล่า(ทั้งในช่วงตั้งครรภ์ ทั้งในช่วงใกล้จะคลอด แหละทั้งในช่วงคลอด) และการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี
(และเราหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่มนุษย์ว่า) ท่านจงขอบคุณ(นึกถึงพระคุณของ)ข้า และบิดามารดาของท่าน ยังเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)นั้น คือการกลับไป ซูเราะห์ลุกมาน 31อายะห์ที่14
**คำว่า أُمُّه ตามหลักวิชาไวยกรณ์อะหรับนั้น ประกอบด้วยฟาอิ้ลแหละมู่ดอฟุนอิลัย ดังนั้นคำว่าอุมมู่เป็นฟาอิ้ล เป็นประธานของกริยานี้  ในอายะห์กุรอ่านตรงนี้คำกริยาก็คืออุ้มครรภ์ ประธานหรือเจ้าของที่เป็นผู้อุ้มครรภ์ก็คือมารดา ดังนั้นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีความลำบากยากเข็นอย่างมากมายในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทนุทนอมลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ ผู้ที่คอยให้ความรัก คอยให้ความห่วงใยต่อลูกน้อย คอยสรรหาอาหารดีๆที่มีประโยชน์ให้ลูกน้อย ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้า เห็นตาลูกน้อยด้วยซ้ำไป ผู้ที่มีความรักอันบริสุทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมนี้ ก็คือมารดาของเราท่านทั้งหลายเอง ต้องสำนึกแหละทดแทนบุญคุณของท่านให้มากๆ
**เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตรอัมร์ บุตรอัลอาส(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.)ว่า บาปใหญ่นั้นได้แก่ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์(ซ.บ.) การเนรคุณบิดามารดา การฆ่าคน และการสาบานโดยเจตนาเป็นเท็จ รายงานโดยบุคอรี
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)ได้ระบุถึงเรื่องราวของฟาอิ้ลว่า
وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ فَاِنْ ظَهَرْ         فَهْوَ وَاِلاَّ فَضَمِيْرٌ اسْتَتَر
และหลังจากฟิอิ้ลนั้นก็เป็นฟาอิ้ล(ฟาอิ้ลต้องตกหลังจากฟิอิ้ล) ดังนั้นหากฟาอิ้ลเผยตัว(รอเฮร) ก็เป็น(เหมือนตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็คือในคำกลอนที่อยู่ก่อนหน้านี้)
และหากว่ามิใช่เช่นนั้น(ฟาอิ้ลไม่เผยตัว ไม่รอเฮร)ก็ต้องเป็นด่อเมรที่ซ่อนเร้น
**ตรงคำว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ ตรงนี้มีรายละเอียด เมื่อพิจรณาตรงนี้ก็จะพบว่า ถือว่าเป็นกฏเกณฑ์สำคัญของคำที่เป็นฟาอิ้ลนั้นต้องอยู่หลังจากฟิอิ้ล(นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในภาษอะหรับ ดำเนินตาม แนวทางบะซ่อรียูน) ดังเช่นในอายะห์กุรอ่านที่ได้กล่าวมา
  {حَمَلَتْهُ أُمُّه} หรือพูดง่ายๆว่าจะเอาประธานอยู่ก่อนกริยาไม่ได้โดยเด็ดขาด ถือว่าผิดกฎไวยกรณ์อะหรับ (เราท่านทั้งหลายจะพบว่าจะพบว่ามัฟอูลมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในซูเราะห์ฟาติฮะห์ اِيَّاكَ نَعْبُدُ) ค่อบัรมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในคำกลอนอัลฟียะห์ตรงนี้ในคำว่า  بَعْدَ فِعْلٍก็อยู่ในหน้าที่ค่อบัรมู่ก๊อดดัม) ค่อบะรู่ฮามู่ก๊อดดำก็มี แต่ทว่าฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด)
**อันที่จริงแล้วมีอีกแนวทางของหลักไวยกรณ์อะหรับคือแนวทางกูฟียูน ได้บอกว่าฟาอิ้ลสามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีแล้วจะพบว่าผู้ประพันธ์บทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)นี้นั้น ท่านก็มีแนวคิดเดียวกันกับแนวทางบะซ่อรียูน ก็คือฟาอิ้ลจะไม่สามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้ พูดอีกอย่างก็คือฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด เพราะดังในบทกลอนของท่านที่ว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ
**ผมเองได้เคยนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องของค่อบะรู่ฮามู่ก๊อดดำมาแล้ว ในช่วงก่อนจะเข้าร่อมะดอนของปีที่แล้ว เพื่อทบทวนความทรงจำ ข้อความที่ผมได้เคยนำเสนอไปนั้นมีดังต่อไปนี้
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ไม่รับฟังสิ่งใด เหมือนกับที่พระองค์รับฟัง นบีที่มีเสียงดี ที่ท่านจะอ่านกุรอ่านเป็นท่วงทำนอง โดยส่งเสียงดัง รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَلَمْ يَكُنْ لَهُ كُفُوًا أَحَدٌ} أَيْ مُكَافِئًا وَمُمَاثِلًا وَلَهُ مُتَعَلِّق بِكُفُوًا وَقُدِّمَ عَلَيْهِ لِأَنَّهُ مَحَطّ الْقَصْد بِالنَّفْيِ وَأُخِّرَ أَحَد وَهُوَ اِسْم يكن عن خبرها رعاية للفاصلة
และไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม(เหมือน)กับพระองค์ ซูเราะห์อัลอิคลาส112  อายะห์ที่4
**คำในพระมหาคำภีร์อัลกุรอ่าน พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงวางมาไว้อย่างสวยสดงดงาม เรียกว่ามีความไพเราะอยู่ในตัวอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น อย่างในซูเราะห์ที่เราท่านทั้งหลายอ่านกันอยู่เป็นประจำ ซูเราะห์อัลอิคลาส หรือที่เราท่านทั้งหลายพูดกันติดปากว่า ซูเราะห์กุ้ลฮู่วั้ลลอฮ์ ตรงคำว่ากุฟู่วันอะฮัด(อายะห์ที่4 ตอนจบซูเราะห์)นั้น ถ้าดูตามหลักไวยกรณ์อะหรับแล้ว คำว่ากุฟู่วันเป็นค่อบะรุฮา ในส่วนของคำว่าอะฮัดเป็นอิสมุฮา อิสมุฮาต้องอยู่ก่อนค่อบะรุฮา เดิมๆก็คืออะฮะดุนกุฟู่วัน
**ดังนั้นถ้าจะใช้แบบนี้(อะฮะดุนกุฟู่วัน) ความไพเราะในซูเราะห์ กุ้ลฮู่วั้ลลอฮ์ ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขอเราท่านทั้งลายลองอ่านตั้งแต่ต้นซูเราะห์ดู อายะห์ที่1จบที่อะฮัด อายะห์ที่2จบที่ซอมัด อายะห์ที่3จบที่ยูลัด อายะห์ที่4จบที่อะฮัด ดังนั้นถ้าอายะห์ที่4จบที่อะฮะดุนกุฟู่วัน(ตามหลักเดิมไวยกรณ์อะหรับ) ลองอ่านตั้งแต่อายะห์แรกดู ก็จะฟังดูแปลกๆ คือรู้สึกว่าขัดๆในการอ่าน แหละจะไม่ได้ความไพเราะในอัลกุรอ่านตอนจบอายะห์ ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าเลยได้จบอายะห์ที่4ด้วยกุฟู่วันอะฮัด ความไพเราะในตอนท้ายอายะห์แต่ละอายะห์ก็จะเกิดขึ้นทันที ตรงนี้เรียกว่าอิสมู่ฮามู่อัคคอรและค่อบะรู่ฮามุก๊อดดำ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รี่อายะตันลิ้ลฟาซิละห์
**ในมะตันอัลฟียะห์(เป็นคำกลอนเกี่ยวกับวิชาไวยกรณ์อะหรับ ที่ทรงคุณค่ายิ่ง ซึ่งได้มีนักวิชาการเห็น แหละตะหนักถึงคุณค่าในคำกลอนนี้ ท่านจึงได้แต่งตำราเพื่อเป็นการอธิบายคำกลอนนี้ ที่นักศึกษารู้จักกันในนามว่า อิบนุอาเก้ล)ลองดูในมะตันอัลฟียะห์ บทของ กานะวะอัควาตุฮา ในตอนท้ายของคำกลอนที่บอกว่า ซัยยี่ดันอุมัร ที่จบด้วยอุมัร ก็เพื่อจะได้คล้องจองกับคำว่าวั้ลค่อบัรในคำกลอนก่อนหน้านั้น(คือเอาคำว่าซัยยี่ดันมาอยู่ก่อน คำว่าอุมัร ทั้งๆที่ซัยยี่ดัน เป็นค่อบะรุฮา เพื่อจะได้เกิดความคล้องจอง ดังนั้นถ้าในคำกลอนตรงนี้จบตรงที่ว่า อุมะรุซัยยิดา ความคล้องจอง ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน)
**ดังนั้นการได้อ่าน พระมหาคำภีร์อัลกุรอ่านได้ถูกต้องตามหลักตัจวีด และได้มีการอ่านในแบบทำนองที่ไพเราะ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า(ผลที่สุดก็คือ ถ้าได้ฝึกอ่านอัลกุรอ่านได้อย่างไพเราะแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะอ่านอัลกุรอ่านก็จะตามมาทันที เมื่ออ่านอัลกุรอ่านมาก ก็จะได้ภาคผลบุลมาก สิ่งที่ดีๆต่างๆก็จะหลั่งไหลเข้ามา ถือว่าเป็นเงาตามตัว)
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ไม่รับฟังสิ่งใด เหมือนกับที่พระองค์รับฟัง นบีที่มีเสียงดี ที่ท่านจะอ่านกุรอ่านเป็นท่วงทำนอง โดยส่งเสียงดัง รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**ในพระมหาคำภีร์อัลกุรอ่านนั้น มีแต่สิ่งที่ดีๆ  อ่านก็ได้ผลบุญ เรียนก็ได้ผลบุญ สอนก็ได้ผลบุญ ดูก็ได้ผลบุญ ทบทวนก็ได้ผลบุญ แม้กระทั่งฟังอัลกุรอ่านก็ยังได้ภาคผลบุญ
**เล่าจากท่านหญิงอาอิซะห์(ร.ด.)ว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขามีความช่ำชองในอัลกุรอ่าน เขาจะได้อยู่ร่วมกับมะลาอิกะห์ที่ทรงเกียรติ ที่ภักดี และผู้ที่อ่านอัลกุรอ่านโดยเขาสับสนในการอ่าน และอ่านได้ด้วยความยากลำบาก เขาจะได้รับสองผลบุญ รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**ท่านร่อซูลุ้ลลออ์(ซ.ล.)ได้ประสูติขึ้นมา ท่านก็เคยเป็นลูก ท่านก็มีพ่อมีแม่เหมือนเราท่านทั้งหลายนี้แหละ สิ่งที่ได้ยินอยู่เป็นประจำก็คือ การขัดแย้งในวงกว้างเกี่ยวกับเรื่องการจัดเมาลิดนบี แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีน้อยมากที่จะพูดถึงความสำคัญ พระคุณของพ่อแม่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง การทำดีต่อพ่อแม่นั้นนับว่าเป็นภาคผลบุลที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ แค่เป็นคนดี ช่วยเหลือห่วงใย ถามไถ่เอาใจใส่ท่านทั้งสอง แค่นี้หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ท่านทั้งสองก็สุขใจมากแล้ว
**สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยก็คือ การนึกถึงพระคุณของพระผู้เป็นเจ้านั้น นับว่าหายากมากๆ จะมีก็จำกัดอยู่ที่ผู้คน หมู่ยินกลุ่มน้อยเท่านั้น การตั้งภาคีการนำสิ่งอื่นมาเทียบเทียมเทียบเท่ากับพระผู้เป็นเจ้านั้น กลับมีทุกยุคทุกสมัย ซึ่งมีอยู่อย่างมากมายอีกด้วย ดังนั้นเราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ซัยตอนมารร้ายเฝ้ารอโอกาสรอคอยอยู่ตลอดเวลา ที่จะคอยชักจูงชี้นำให้มนุษย์แหละยิน หลงทางตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า ลืมที่จะนึกถึงพระคุณแห่งพระผู้เป็นเจ้า เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ กระทั่งทิ้งการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในที่สุด
**ในสมัยที่ร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ยังมีชีวิตอยู่ พระผู้เป็นเจ้าเคยแจ้งถึงข่าวใหญ่ ให้ท่านได้รับทราบ ((เป็นฮะดิษกุดซีย์ จากท่านมุอาซ เนื้อความของฮะดิษมีอยู่ว่า แท้จริงข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)  ยินแหละมนุษย์ ตกเป็นข่าวใหญ่มาก คือข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แต่ผู้อื่นกลับได้รับการกราบไหว้ แหละข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง โปรยปรายริสกีโชคผลต่างๆมาให้(อย่างมากมาย) แต่ผู้อื่นกลับได้รับการขอบพระคุณ รายงานโดยบัยฮะกี ฮากิม))
จากฮะดิษกุดซีย์บทนี้ ทำให้เราท่านทั้งหลายมีข้อคิดสะกิดใจได้ว่า การดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมาแหละในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นหรือเปล่า ถ้าไม่เหมือนก็อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์ แต่ถ้าการดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลาย ในอดีตที่ผ่านมาและในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นแล้ว เราท่านทั้งหลายต้องรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้ไปในทางที่ถูกต้อง เพื่อความผาสุกจะได้เกิดขึ้นกับเราท่านทั้งหลายเอง ทั้งในโลกดุนยาแหละโลกหน้าอาคิเราะห์ (ในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นถ้าทุกข์ก็ทุกข์ตลอดไป ถ้าสุขก็ยิ่งสุขตลอดไป นั่นถือเป็นรางวัล เป็นรางวัลแด่ผู้ศรัทธา)
**ความรักที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้แก่บ่าวของพระองค์นั้น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว พระองค์จะไม่ใช่บิดาของใคร(เพราะพระองค์ทรงอะระลียุน ก่อดีมุน) แต่ความรักความหวังดี การให้อภัยที่พระองค์ทรงมีให้แก่บ่าวนั้น นับว่าความรักของคนที่เป็นพ่อ ความรักของคนที่เป็นแม่ที่มีต่อลูก ไม่สามารถเทียบเทียมได้เลย ยิ่งใหญ่มาก
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: หนึ่งเดือนตามศาสนบัญญัติ ฯลฯ
« ตอบกลับ #73 เมื่อ: ก.ย. 04, 2013, 09:12 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ในการกำหนดจำนวนวันในแต่ละเดือนของอัลอิสลามนั้น อย่างน้อยที่สุด1เดือนต้องมี29วัน ถึงแม้ว่าตามธรรมชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างสรรค์มานั้น ณวันนั้น(หลังเข้าเวลามัฆริบของวันที่29)จะมีดวงจันทร์ที่เป็นเสี้ยวแล้ว แต่ไม่มีผู้ที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว สืบเนื่องจากมีสิ่งหนึ่งมาบดบัง ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็ได้มีคำสั่งใช้ให้นับเดือนนั้นว่ามี30วัน โดยที่ท่านไม่ยึดติดกับหลักของธรรมชาติแต่ประการใด
** حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مَسْلَمَةَ، حَدَّثَنَا مَالِكٌ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ دِينَارٍ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، قَالَ: «الشَّهْرُ تِسْعٌ وَعِشْرُونَ لَيْلَةً، فَلاَ تَصُومُوا حَتَّى تَرَوْهُ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوا العِدَّةَ ثَلاَثِينَ»
จากอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร เล่าว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า หนึ่งเดือนอาจมี 29คืน(และ29วัน) ดังนั้นอย่าได้ถือศิลอดจนกว่าจะเห็นจันทร์เสี้ยว แต่ถ้าหากมืดครึ้ม(ฝนมา ฟ้ามืด ฝนตก หรือมีเมฆหนามาบดบัง หรือมีสิ่งอะไรก็แล้วแต่มาบดบัง)ก็ให้กำหนด(เดือนซะบาน)30วัน รายงานโดย บุคอรี
**ตอนนี้เป็นหลักธรรมชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา โลกเรามีบริวารดวงเดียวก็คือดวงจันทร์นั่นเอง ดวงจันทร์โคจรรอบโลก1เดือนเป็นเวลา27วัน7ชม.43นาที11.5วินาที แต่ถ้าจะนับเวลาจากจันทร์ดับ ถึงจันทร์ดับครั้งต่อไปนั้นจะเป็นระยะเวลานาน29วัน12ชม.44นาที2.8วินาที ตามหลักวิชาการเรียกว่า1เดือนจันทรคติ ดังนั้น1เดือนจันทรคติก็จะมีระยะเวลาคงที่อยู่อย่างนี้ ตามหลักธรรมชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา ซึ่งต่างกับ1เดือนตามศาสนบัญญัติ
**หลักธรรมชาติจะดำเนินไปอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไปตามหลักธรรมชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา แต่ถ้าตามหลักของศาสนาอัลอิสลามแล้ว จะพิจรณาการเห็นจันทร์เสี้ยวในวันที่29ของเดือนอิสลามเป็นเกณฑ์มาตรฐาน กล่าวคือถ้าเห็นจันทร์เสี้ยวในช่วงหลังมัฆริบของวันที่29 เดือนนั้นก็ต้องมี29วันตามกฏเกณฑ์ของศาสนาอิสลาม แต่ถ้าหากว่าในช่วงหลังมัฆริบของวันที่29 ของเดือนอิสลามนั้น ไม่มีการเห็นจันทร์เสี้ยว(ทั้งๆที่ตามหลักธรรมชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา ณวันนั้น ดวงจันทร์ได้เริ่มมีเสี้ยวแล้ว แต่มีสิ่งอื่นมาบดบังสายตา) ตามกฏเกณฑ์ของศาสนาอิสลาม ให้ยึดถือว่าเดือนนั้นมี30วัน ดังเช่นตามตัวบทฮะดิษข้างต้นนั้น เรียกว่าพิจรณาการเห็นจันทร์เสี้ยว ไม่พิจรณาการมีจันทร์เสี้ยว
**จากอิบนิมัสอูด(ร.ด.) ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า  แท้จริงความสัจจริงจะนำไปสู่ความดี  และความดีนำพาไปสู่สรวงสวรรค์  แท้จริงมีผู้รักษาความสัจจริง จนได้รับการบันทึก ณพระองค์อัลลอฮ์ว่า  เป็นผู้ที่มีความสัจจริง  และแท้จริงการโกหกจะนำไปสู่ความชั่ว  และความชั่วจะนำไปสู่ไฟนรก  แท้จริงมีผู้โกหกเป็นประจำจนเขาถูกบันทึกไว้ ณพระองค์อัลลอฮ์ว่า  เป็นจอมโกหก  รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่29 เซาวาล ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1434
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ.2556 เวลา 18.36.10 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1434 
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณด้านบน ของกลุ่มดาวเซกซ์แทนต์ ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 391713.09 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็ประมาณ จะอยู่ 392327.36กิโลเมตร
**วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.24.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.09.56วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที58วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.24.44วินาที ดวงจันทร์ตก18.10.02วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 14นาที42วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.20.17วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.24วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์12นาที53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.21.36วินาที  ดวงจันทร์ตก18.08.47วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์12นาที49วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.20.38วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.50 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 12นาที48วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.19.55วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.01วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 12นาที53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.20.47วินาที  ดวงจันทร์ตก18.08.04วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์12นาที42วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.20.42วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.49วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์12นาที52วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.19.48วินาที  ดวงจันทร์ตก18.06.53วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 12นาที 55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.23.39วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.43วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์12นาที56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.30.37วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.45วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 14นาที52วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.21.05วินาที  ดวงจันทร์ตก18.08.07วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 12นาที 58วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.12.01วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.56.11วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์15นาที51วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.27.39วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.12.43วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที55วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน (เพราะว่าดวงจันทร์ได้ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์)
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ.2556 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ.2556  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.44.59 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.05.19วินาที ดุฮ์ริเวลา12.15.52วินาที อัสริเวลา15.30.25 วินาที มักริบเวลา 18.26.15 วินาที อีซาเวลา 19.38.01วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.46.58วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.07.14วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.17.44วินาที  อัสริเวลา15.32.05 วินาที  มักริบเวลา18.28.02 วินาที  อีซาเวลา 19.39.46วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.40.32 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.02.12 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.19.41วินาที  อัสริเวลา 15.44.44 วินาที  มักริบเวลา 18.36.51 วินาที  อีซาเวลา19.49.27วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.37.15วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.59.59วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.20.32วินาที  อัสริเวลา15.48.54วินาที  มักริบเวลา18.40.44วินาที  อีซาเวลา20.23.21วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:07 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re:นิ้วก้อยบังดวงจันทร์ ฯลฯ
« ตอบกลับ #74 เมื่อ: ต.ค. 04, 2013, 09:05 AM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**การที่เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาอยู่ในศาสนาอิสลามนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด เพราะเท่ากับว่าเป็นก้าวแรก ที่จะทำให้เราท่านทั้งหลายได้พบกับสิ่งที่ถูกต้อง ได้พบกับความดีงาม ได้พบกับความสุขอันยิ่งใหญ่ทั้งโลกดุนยานี้ แหละโลกหน้าอาคิเราะห์ หลังจากนี้หน้าที่สำคัญของเราท่านทั้งหลาย ต้องคิดพิจารณาว่า จะทำอย่างไรให้เราท่านทั้งหลาย ได้อยู่ในศาสนาอันถูกต้องนี้ตลอดไป กระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
**เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งที่จะนำพาเราท่านทั้งหลาย ไปพบกับความดีงามในอะหลั่ม(ในโลก)หลังความตาย แหละโลกหน้าอาคิเราะห์นั้น ไม่ใช่เงินไม่ใช่ทอง ไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน ไม่ใช่สมัครพรรคพวก  หากแต่ว่าสิ่งนั้นก็คือ การมีอีหม่านศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงจังและจริงใจเท่านั้น ผมเชื่อว่ายังมีพี่น้องเราหลายๆท่าน พยายามแสวงหา ความมั่นคงให้กับชีวิต  พยายามแสวงหา ความมั่นคงให้กับหน้าที่การงาน คิดแหละใส่ใจเฉพาะเรื่องของโลกดุนยาเท่านั้น โดยลืมที่จะสนใจ ลืมที่จะนึกถึง ความมั่นคงในโลกหน้าอาคิเราะห์ เพราะนั่นคือความมั่นคงที่แท้จริง เป็นความมั่นคงที่จะอยู่คู่กับเราตลอดไปและตลอดกาลๆๆๆ 
**การมีอีหม่าน การมีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่สิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แหละสิ่งนี้เอง จะเป็นสิ่งที่นำเราท่านทั้งหลาย ในฐานะบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า นำไปรับกับความผาสุก นำไปรับสรวงสวรรค์ นำพาเราท่านทั้งหลายสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ในโลกหน้าอาคิเราะห์ได้อย่างแน่นอน
**ไม่มีการภักดีใด ที่จะยิ่งใหญ่ กว่าการภักดี ต่อพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นขอให้เราท่านทั้งหลายจงทำละหมาดให้ครบ5เวลา ฯลฯ แหละเวลาเข้าไปอยู่ในมัสยิด ควรที่จะเหนียตว่าหยุดพักในมัสยิด(เอี๊ยะตี่กาฟมัสยิด)ด้วย ไม่มีการติดต่อใด ที่จะยิ่งใหญ่ กว่าการติดต่อ กับพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นเวลาเข้ามัสยิดควรจะปิดโทรศัพท์ เลิกพูดคุยในสิ่งที่ไร้สาระ ซิกีร อ่านกุรอ่านให้ไพเราะที่สุด เท่าที่จะทำได้
**แม้กระทั่งสมมุติว่า(เป็นสิ่งสมมุติเท่านั้น)พระผู้เป็นเจ้า จะไม่มีอะไรตอบแทนให้เลยก็ตาม แต่เราท่านทั้งหลายก็ยัง ต้องการที่จะเป็นบ่าวของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง เราท่านทั้งหลายก็ยังต้องการที่จะภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  เราท่านทั้งหลายก็ยังต้องการที่จะเชื่อฟังแหละทำตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง เรียกว่าเราท่านทั้งหลายมีความรักอันบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเราท่านทั้งหลายแล้ว เราท่านทั้งหลาย จะขออะไร อยากจะได้อะไร อินซาอัลลอฮ์เราท่านทั้งหลายจะได้สมความปรารถนาอย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างหนึ่งว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของ เจ้าของ ของทุกๆสิ่งในโลกดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์ นั้นก็คือพระผู้เป็นเจ้าของเราท่านทั้งหลายนั่นเอง
**คำชม คำสรรเสริญใดๆก็ตามที่เราท่านทั้งหลายได้ยินนั้น ทั้งหมดนั้น(ทั้ง4นั้น) สุดท้ายแล้วก็ต้องย้อนกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ท่านเป็นจุดเริ่มของทุกๆสิ่ง พระองค์ท่านเป็นเจ้าของของทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง
**ดังที่พระองค์ได้ทรงดำรัสไว้ว่า
الحمدُلِلَّهِ ربِّ العالمِين
มวลการสรรเสริญทั้งมวลนั้น(ทั้ง4นั้น 1.พระองค์สรรเสริญพระองค์เอง 2.พระองค์สรรเสริญบ่าว 3.บ่าวสรรเสริญพระองค์ 4.บ่าวสรรเสริญบ่าวกันเอง)เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)  ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของ ของบรรดาโลกทั้งหลาย ซูเราะห์อัลฟาติฮะห์1 อายะห์ที่2
 **ครั้งหนึ่งผมเองได้ละหมาดแล้วกำลังขอดุอาอยู่ ได้เห็นมดดำตัวหนึ่งเดินวิ่งอยู่บนผ้าซะยะดะห์ที่ผมใช้ปูละหมาด วิ่งเร็วมาก ไปทางขวาบ้างทางซ้ายบ้าง ผมไม่รู้หรอกว่ามดดำตัวนั้นวิ่งทำไมหรือวิ่งหาอะไร แต่สิ่งที่ผมรู้ได้อย่างแน่ชัดเลยก็คือ ความยิ่งใหญ่แหละเดชานุภาพความสามารถของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งเล็กมากๆอย่างมดดำ พระองค์ยังสามารถสร้างให้เดินวิ่งได้ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ ผมนั่งมองแล้วก็พิจรณา ผมรู้สึกทึ่งมาก แต่สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งมากกว่านั้นก็คือ พอมดดำตัวนั้นวิ่งหายไปจากผ้าซะยะดะห์ บริเวณเดิมที่ผมเห็นมดดำในตอนแรกตัวเมื่อกี้นั้น ผมได้เห็นมดอีกตัวหนึ่งไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่และมาได้อย่างไร รู้แต่ว่ามดตัวนั้นเล็กมากกว่ามดดำตัวเมื่อกี้นี้มาก  เล็กประมาณ1/3ของมดดำตัวเมื่อกี้นี้อีกเดินไปมา(ซึ่งในใจของผมเองณตอนนั้น รู้สึกได้ถึงความสามารถแหละความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า)  อีกอย่างก็คือมดนั้นพระผู้เป็นเจ้าให้ สามารถแบกของที่หนักกว่าน้ำหนักตัว หลายเท่าตัวนัก พระมหาคำภีย์กุรอ่านพระผู้เป็นเจ้าได้ระบุเรื่องราวของมด ไว้ในซูเราะห์นัมลิ
**อันเส้นผมบังภูเขาได้ฉันใด ความกว้างของนิ้วก้อยก็สามารถบดบังดวงจันทร์เพ็ญได้ฉันนั้น(กำนิ้วทั้ง4 เว้นนิ้วก้อยไว้ หาดวงจันทร์เต็มดวงว่าอยู่ตรงใหน หลับตาข้างนึง ยืดมือข้างที่กำนิ้วเมื่อกี้ให้ตึง นำนิ้วก้อยไปทาบที่ดวงจันทร์เต็มดวง เชื่อหรือไม่ว่า นิ้วก้อยบังดวงจันทร์เต็มดวงได้มิด เช่นเดียวกันนำนิ้วก้อยไปทาบที่ดวงอาทิตย์ก็บังมิด แต่ไม่แนะนำเพราะแสงของดวงอาทิตย์ทำลายสายตาได้ ใช้วิธีมองผ่านฟิลเตอร์แล้วนำนิ้วก้อยไปทาบที่ดวงอาทิตย์)
**ถ้าเราท่านทั้งหลายมองไปรอบๆตัว เราท่านทั้งหลายก็จะพบกับสิ่งมหัศจรรย์อย่างมากมาย ที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างสรรค์มา นี่แค่สิ่งเราท่านทั้งหลายสามารถมองเห็นและสำผัสได้เท่านั้น ยังมหัศจรรย์ขนาดนี้ แล้วโลกของมะลาอิกะห์ โลกของยิน โลกในขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา โลกหลังความตาย แหละโลกหน้าอาคิเราะห์จะยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ขนาดใหน
**ดังนั้นขอให้เราท่านทั้งหลายมีอีหม่านแหละทำตามคำสั่งใช้ คำสั่งห้ามของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้จะสามารถนำพาเราท่านทั้งหลายไปพบกับสิ่งที่ดีงาม ทั้งในดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์ได้อย่างแน่นอน 
**พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ท่านได้ทรงสรรเสริญพระองค์เอง ด้วยพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
{نِعْمَ الْمَوْلَى} هُوَ {وَنِعْمَ النَّصِيْرُ} أَيْ النَّاصِرُ لَكُمْ
พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองที่ดีเยี่ยมที่สุด  พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือที่ดีเยี่ยมที่สุด ซูเราะห์อัลอันฟาล8 อายะห์ที่40 และซูเราะห์อัลฮัจย์22 อายะห์ที่78
**การสรรเสริญลักษณะแบบนี้นั้น ตามหลักวิชาการเรียกว่า   قديم لقديم แหละคำว่า “ฮุว่า”ที่นักตัฟซีรกุรอ่านได้ตัฟซีรออกมานั้น ก็เพราะอยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าالمخصوص بالمدح 
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)ได้ระบุเกี่ยวกับเรื่อง نِعْمَ وَبِِئْسَไว้อย่างชัดเจนว่า
**فِعْلاَنِ غَيْرُمُتَصَرِّفَيْنِ         نِعْمَ وَبِِئْسَ رَافِعَانِ اسْمَيْنِ
**(เนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า)เป็น2ฟิอิ้ลที่ไม่ใช่มุตะซอรเรฟ(คือกระจาย ผันคำไม่ได้เรียกว่ายามิด)         เนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่าทั้ง2เป็นผู้ทำให้อ่านร่อเฟาะกับอี่เซ็มของทั้ง2(คือเป็นฟาเอ้ลของทั้ง2นั่นเอง ก็คือเนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า เมื่อทั้ง2เป็นฟิอิ้ล ก็ต้องมีฟาเอิ้ลเป็นสิ่งปกติธรรมดา)
**ผมเองเมื่อได้ยินคำว่าฟาเอ้ลหรือฟาอี่ลุน ซึ่งอยู่ในรูปของอิเซ็มฟาเอ้ล ทำให้ผมนึกถึงพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถ้าสามารถเข้าได้ลึกถึงความลี้ลับ หรือสามารถเข้าได้ลึกถึงเคล็ดลับต่างๆ ของพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้านั้น จะสามารถพบกับความมหัศจรรย์ต่างๆอย่างมากมาย อินซาอัลลอฮ์
**อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันอีดิ้ลอัดฮาแล้ว วันอีดนั้นจะหวนกลับมาทุกๆปี แต่สิ่งที่กำลังค่อยๆเลือนหายไป พร้อมกับการกลับมาของวันอีดทุกๆปี ก็คือบรรยากาศของวันอีด สมัยก่อนเมื่อถึงวันอีดทีบรรยากาศจะคึกคัก ทุกคนสนุกและดีใจ แต่ปัจจุบันนี้พอถึงวันอีดที บรรยากาศค่อนข้างจะเงียบเหงา 
** สะละมัตฮะรีรอยอ
**วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณข้อมือของกลุ่มดาวหญิงสาว Virgo ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 379112.88 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 379727.20กิโลเมตร
**วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.05.41วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.45วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว10นาที04วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.03.50วินาที ดวงจันทร์ตก18.14.07วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว10นาที17วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก17.56.30วินาที  ดวงจันทร์ตก18.08.28วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว11นาที59วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.06.14วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.34วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที20วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.05.23วินาที  ดวงจันทร์ตก18.17.44วินาทีมีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที21นาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.04.29วินาที  ดวงจันทร์ตก18.16.44วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที15วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.05.48วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.15วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที28วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.05.14วินาที  ดวงจันทร์ตก18.17.31วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที16วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.04.19วินาที  ดวงจันทร์ตก18.16.32วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที14วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.07.45วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.57วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที12วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.08.47วินาที  ดวงจันทร์ตก18.18.53วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว10นาที06วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.05.21วินาที  ดวงจันทร์ตก18.17.32วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว12นาที11วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.48.56วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.57.57วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว9นาที01วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.05.53วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.15.55วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว10นาที02วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
(เพราะว่าการทำมุมกันนั้น ยังมีน้อยเกินไป น้อยเกินที่จะเห็นแสงจันทร์เสี้ยวได้ และดวงจันทร์ก็ฟอยู่ต่ำมาก แหละอีกประการหนึ่ง ที่ควรคำนึงถึงก็คือ ถ้าหากว่าเริ่มเดือนใหม่ ในวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556 วันที่จะดูจันทร์เสี้ยวในครั้งต่อไปนั้น ก็จะดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์ทันที)
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ.2556 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 4  ตุลาคม พ.ศ.2556  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.47.26 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.06.29วินาที ดุฮ์ริเวลา12.05.34วินาที อัสริเวลา15.26.27 วินาที มักริบเวลา 18.04.28 วินาที อีซาเวลา 19.15.15
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.49.18วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.08.19วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.07.26วินาที  อัสริเวลา15.28.16 วินาที  มักริบเวลา18.06.22 วินาที  อีซาเวลา 19.17.07
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.50.19 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.10.06วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.09.23 วินาที  อัสริเวลา 15.32.25 วินาที  มักริบเวลา 18.08.22 วินาที  อีซาเวลา 19.19.30 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.50.18วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.10.48วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.10.14วินาที  อัสริเวลา15.33.19วินาที  มักริบเวลา18.09.20วินาที  อีซาเวลา19.20.58วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 07, 2014, 07:11 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

 

GoogleTagged