เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์

<< < (13/20) > >>

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله  การที่เราท่านทั้งหลายมีความรักอันบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น นับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เป็นสิ่งที่อยู่ด้านใน สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่มีใครสามารถที่จะล่วงรู้ได้ นอกจากตัวของเราท่านทั้งหลายเองแหละพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
     ดังนั้นไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะทำอะมั้ลอิบาดะห์ชนิดใดๆก็ตาม ก็ขอให้เราท่านทั้งหลายทำไปเพื่อพระองค์อ.ล.(ซ.บ.)เท่านั้น (มิใช่ทำไปเพื่อคนนั้นคนนี้ มิใช่ทำไปเพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ มิใช่ทำไปเพื่ออยากได้สรวงสวรรค์ของพระองค์ เพราะนั่นก็เท่ากับว่าขาดความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์)
     เสื้อผ้าที่นำมาสวมใส่ละหมาด5เวลาแหละเวลาละหมาดอื่นๆ ก็ดีนั้น สมควรอย่างยิ่ง ที่ต้องให้เป็นของที่ดีที่เราท่านทั้งหลายสามารถจะหามาได้ เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่า  เราท่านทั้งหลายกำลังเข้าเฝ้าพระองค์อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงมองเราท่านทั้งหลายอยู่
     จริงอยู่ที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มองที่ภายนอก แต่เราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างนึงว่า บางคนออกไปข้างนอกแต่งเนื้อแต่งตัวดูดี เพราะอายผู้คนที่จะมองเห็น แต่เวลาละหมาด5เวลาหรือเวลาละหมาดอื่นๆกลับใส่อะไรก็ได้ เก่าบ้างขาดบ้าง ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น ทั้งๆเสื้อผ้าที่ดีๆก็ยังมีอยู่อีกมากมาย
          เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พวกท่านจะยังไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่านจะมีศรัทธา และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักกัน ฉันจะไม่ชี้พวกท่านไปสู่สิ่งหนึ่ง หรือ? ถ้าพวกท่านปฏิบัติสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็จะรักกัน พวกท่านจงแพร่กล่าวสลามในหมู่พวกท่านเถิด รายงานโดย มุสลิม
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
    เล่าจากอะบีอับดิรเราะห์มานอับดิลลาห์บุตรมัสอูด(ร.ด.)ว่า ฉันได้ถามร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ว่าอะมั้ลใด การกระทำใดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงรักทรงโปรดปรานที่สุด ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ตอบว่าการทำดีการปรนนิบัตรดีต่อบิดามารดา ฉันก็ได้ถามต่อว่าถัดจากนั้นคือสิ่งใด ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ตอบว่าการต่อสู้ในวิธีทางของพระองค์อัลเลาะห์รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์จากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่าต้อยต่ำเหลือเกิน ต้อยต่ำเหลือเกิน ต้อยต่ำเหลือเกิน สำหรับบุคคลที่คนหนึ่งคนใดจากบิดามารดาของเขาหรือทั้งสองคนเข้าสู่วัยชรา เขาไม่ได้เข้าสวรรค์ รายงานโดยมุสลิม
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري   ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَوَلَمْ يََتََفَكَّرُوْافِىْ اَنْفُسَهُمْ مَا خَلَقَ اللهُ السَّمَوَاتِ وَالاَرْضِِِ وَمَابَيْنَهُمَااِلاَّ بِالْحَقِِّ وَاَجَلٍ مُسَمَّى وَاِنْ كَثِيْرًا مِنَ النَّاسِ بِلِقَآىءِرَبِّهِمْ لَكَا فِرُوْنَ
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ               
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
***วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม 
      ดังนั้นวันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร) ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ(อาเคร) ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556 ทางสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่ 1 เดือนร่อยับ ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556 เวลา 07.28.22 วินาที  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
     วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่ที่กลุ่มดาววัว (Taurus)มุมเงยประมาณ 3 องศา ทางด้านบนของดวงจันทร์จะมีดาวศุกร์VENUSอยู่ มุมเงยประมาณ 10 องศา ตรงนี้อาจจะมีคนเข้าใจผิดว่าเป็นดวงจันทร์ ในส่วนของดาวอังคาร แหละดาวพุธ ได้ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 393078.29 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 402126.96 กิโลเมตร
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.37.06 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.09 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 19 นาที 03 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก  18.33.20 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.52.13วินาที    มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 53 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก 18.23.23 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.43 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 19 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก 18.24.37 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.59 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 22 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก 18.23.32 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.51 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 19 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก 18.22.59 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.18 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 18วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.23.24 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.42 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 18 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.23.48 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.42.08 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 20 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก 18.22.57 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.41.15 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 19 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.27.12 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.40 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 28 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.40.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.59.19 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 19 นาที 10 วินาที
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.24.28 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.50 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 22 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.20.32 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.39.03
 วินาที   มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 18 นาที 31 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 18.37.06 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.56.09 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 19 นาที 03วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว เพื่อกำหนดวันที่1 เดือน ร่อยับ ฮ.ศ.1434 แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ดังนั้นวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคมพ.ศ.2556 
ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง(อย่าโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ทั้งๆที่ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพราะต้องแบกรับ ผลบาปของคนอื่นทั้งหมด การโกหกอย่างนี้ ถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้ทำ เพราะมีหลักการศาสนา บอกไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า จะเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้นั้น ต้องสืบเนื่องมาจากการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น หรือถ้าไม่เห็นจริงก็เลื่อนไปอีกหนึ่งวัน ดังฮะดิษที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นนอกจากกรณีดังกล่าวจะไม่สามารถเริ่มขึ้นต้นเดือนใหม่ได้เลย จะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวทั้งๆที่ ไม่ได้เห็นจันทร์เสี้ยวจริง เพียงเพื่อให้ได้จุดประสงค์อะไรบางอย่าง ถือว่าเกิดโทษอย่างมากมาย แหละต้องแบกรับผลบาปของผู้อื่นทั้งหมด ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย โลกนี้วันนี้ อาจไม่สามารถเห็นได้ แต่โลกหน้าอาคิเราะห์ จะต้องได้เห็นผลบาปอย่างแน่นอน)
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี)  ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”ซูเราะห์อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
     ในปัจจุบันนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การตรวจสอบดวงจันทร์เสี้ยว ก่อนการดูจันทร์เสี้ยวจริงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูลักษณะการตกของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ไม่ว่าจะอยู่ในบริเวณใหนในประเทศไทย ก็ทำได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งดูทางโทรศัพท์มือถือก็ยังสามารถทำได้เลย ในเรื่องของความถูกต้องนั้นเราท่านไม่ต้องกังวลเลย เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าการเคลื่อนที่ของดวงดาวต่างๆในจักวาลนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงกำกับและดูแลอยู่ จะไม่คลาดเคลื่อนเลยแม้สักวินาทีเดียว ดังนั้นเราท่านทั้งหลายจึงพบว่าไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ของ ประเทศไหน ชนชาติใดจะเหมือนกันหมด
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
     วันนี้วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2556  (อย่าลืมส่งให้ลูกเราเรียนศาสนาด้วย เพราะนั่นคือสิ่งป้องกันลูกของเราท่านทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา ที่มาจากซัยตอนมารร้าย)เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.26.43 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.51.35 วินาที ดุฮ์ริเวลา12.13.12 วินาที อัสริเวลา15.27.45 วินาที มักริบเวลา18.35.00 วินาที อีซาเวลา19.50.55
 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.28.50 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.53.42 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.15.19 วินาที  อัสริเวลา15.29.52 วินาที  มักริบเวลา18.37.06วินาที  อีซาเวลา19.53.02 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา04.14.24 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.43.55 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.17.04 วินาที  อัสริเวลา15.36.02 วินาที  มักริบเวลา18.50.28วินาที  อีซาเวลา20.10.22 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.07.33 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.36.43 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.17.55 วินาที  อัสริเวลา15.43.48 วินาที  มักริบเวลา18.59.27 วินาที  อีซาเวลา20.18.36 วินาที 
    พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ภาคผลบุญของความดี) ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน(ผลตอบแทนของความชั่ว)”อัลซิลซาล99 อายะห์ที่7-8
 รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

abiatiya:
 :salam:

ด้วยความเคารพต่อผู้โพสสาระเนื้อหานี้ แต่ เนื้อหาของท่านนั้นยาวนัก และไม่มีการแบ่งช่วงพารากราฟ ทำให้เนื้อหาไม่ค่อยอยากที่จะทำให้อ่านเท่าไหร่นัก จากการติดตามการโพสของท่าน มีสมาชิกหลายท่านเคยแนะนำไปบ้างแล้วในเรื่องการโพส พยายามจัดช่วงพารากราฟ ให้ดี เนื้อหาท่านจะน่าอ่านยิ่งขึ้น ไม่เสียแรงเปล่าครับ

ลองพิจารณาครับ

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:

--- อ้างจาก: abiatiya ที่ พ.ค. 10, 2013, 07:43 AM --- :salam:

ด้วยความเคารพต่อผู้โพสสาระเนื้อหานี้ แต่ เนื้อหาของท่านนั้นยาวนัก และไม่มีการแบ่งช่วงพารากราฟ ทำให้เนื้อหาไม่ค่อยอยากที่จะทำให้อ่านเท่าไหร่นัก จากการติดตามการโพสของท่าน มีสมาชิกหลายท่านเคยแนะนำไปบ้างแล้วในเรื่องการโพส พยายามจัดช่วงพารากราฟ ให้ดี เนื้อหาท่านจะน่าอ่านยิ่งขึ้น ไม่เสียแรงเปล่าครับ

ลองพิจารณาครับ

--- End quote ---
    ไม่เป็นไรครับ ผมจะบอกอะไรให้ ถ้ารู้สึกว่ายาวไป แต่สำหรับผมการโพสเกือบทุกครั้งยาวกว่านี้มาก ผมต้องตัดด้วยซ้ำ เพราะยาวเกินจำนวนอักษรที่อนุญาตให้โพส ถึงแม้จะไม่มีใครอ่านบทความที่ผมโพสเลย ก็ไม่เป็นไร
     ส่วนคำว่าเสียแรงเปล่า ผมแนะนำว่าไม่ใช่หรอกครับ ถ้าเรียนศาสนามา จะรู้เลยว่าแค่ตั้งใจทำดีเฉยๆ ก็ได้ผลบุญแล้ว ถึงแม้ยังไม่ได้ทำก็ตาม หรือแม้ว่าจิตใจไม่เคยหวังเอาผลบุลเลยก็ตามเรียกว่าบริสุทธิ์จริงๆ ก็ยังได้ภาคผลบุญเลยเพราะอะไรครับ ก็เพราะเจ้าของผลบุญนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่คือพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง
     ละหมาดความดีทุกๆอย่าง ผมเชื่อเลยว่าทุกคนไม่มีใครอยากทำหรอกเพราะมันฝืนกับอารมณ์ความรู้สึก แต่ที่เราท่านทั้งหลายทำก็เพราะยำเกรงพระผู้เป็นเจ้าใช่ใหม ถ้าคำตอบออกมาว่าใช่ ก็แสดงว่าอารมณ์ความรู้สึกของเราท่านทั้งหลายใฝ่ไปในทางที่ดีแล้ว
     มองต่างแต่ไม่มองแตก
       

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته     กิบลัตนั้นก็คือ(ขอย้ำครับว่า  สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นแนวคิด  เป็นแนวปฏิบัติของท่านอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  และเป็นแนวปฏิบัติของทุกๆคนที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  ทุกๆมัสยิดที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  )  จุดๆหนึ่งหรือสถานที่แห่งหนึ่ง  ที่ผู้คนทั่วทุกมุมโลก  จำเป็นต้องผินเข้าหา  ในขณะปฏิบัติศาสนกิจในขณะละหมาด  เพราะว่าการผินเข้าหากิบลัตนั้น  ถือว่าเป็นซารัตเป็นกฏเกณฑ์  เป็นกฏระเบียบข้อหนึ่งที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ  เพื่อให้การละหมาดของเราท่านทั้งหลายมีผลใช้ได้  เป็นการละหมาดที่ไม่สูญเปล่า  แหละเป็นการละหมาด  ที่ถูกตอบรับจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  ที่เรียกว่ากิบลัตก็เพราะว่าทุกๆคนทั่วทุกมุมโลก  ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้จะต้องผินเข้าหาในขณะเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า  โดยมาในรูปแบบของการทำละหมาด  ที่เรียกว่ากะบะห์  ก็เพราะว่ารูปทรงเป็นจุดเด่น สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม แต่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมจตุรัส สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่เรียกว่าบัยตุ้ลลอฮ์ ก็เพราะว่าทุกๆปีจะมีผู้คนแวะเวียนไปที่บัยตุ้ลลอฮ์อยู่ตลอดเวลา
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَوَلِّ وَجْهك} اسْتَقْبِلْ فِي الصَّلَاة {شَطْر} نَحْو {الْمَسْجِد الْحَرَام} أَيْ الْكَعْبَة
  ดังนั้นท่านจงผินใบหน้าของท่าน(หน้าอกของท่าน)ไปในทางมัสยิดฮะรอม(ไปในทางกะบะห์)
        ตรงคำว่า  “ท่านจงผินใบหน้าของท่าน”คำว่า "ใบหน้า  นักอธิบายอัลกุรอ่านให้ความหมายว่า  "หน้าอก"  ตรงนี้ตามหลักบะลาเฆาะร์  เรียกว่า "มะยาร  มุรซั้ล  มิมบาบิอิตลากิ้ลยุร  วะอิรอดะติ้ลกุ้ล"  คือพระผู้เป็นเจ้า พูดแค่ใบหน้า  แต่ความหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่จะสั่งใช้  ก็คือทั้งหมดร่างกายเลย  ดังนั้น เมื่อละหมาดจำเป็นต้องผินหน้าอกไปทางกิบลัต  แค่ผินหน้าอกร่างกายทุกส่วน  ก็จะหันไปทางกิบลัตทั้งหมดเลย  โดยอัตโนมัต
คำว่า {شَطْر}  อยู่ในหน้าที่    ظرف مكان  เรียกอีกอย่างว่า مفعول فيه คือพระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดแต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะผินไปในทางใหนดี ก็เลยมีใส่ ظرف مكانมา จึงเข้าใจได้อย่างแน่ชัดเลยว่า ที่พระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดนั้น พระองค์ใช้ให้ผินไปในทางกะบะห์
        ดังนั้น ถ้าจะหันเพียงใบหน้าอย่างเดียวไปทางกิบลัต  การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้  แหละตรงคำว่าไปทางมัสยิดดิลฮารอม  ตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญในการอธิบายอัลกุรอ่าน  ให้ความหมายว่า "อัยนุลกะบะห์"  คือต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เท่านั้น  การละหมาดจึงจะใช้ได้  ซึ่งตรงกับแนวคิดของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  มิใช่ว่าผินไปตรงใหนก็ได้  ในทางทิศตะวันตก
     คำว่า مفعول فيه นั้นได้ได้มีระบุไว้ในอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่าว่า)
اَلظَّرْفُ وَقْتٌ اَوْمَكَانٌ ضُمِّنَا          فِيْ بِاطَّرَادٍكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
1.   คำว่า وَقْتٌคือاسمٌ دالٌّّ على الوقت
2.   คำว่าمَكَانٌ คือاسمٌ دالٌّ على الزمان
3.   คำว่าكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا คือومثالُ ذلك الظرف كَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
ظرف      ก็คือเวลาหรือสถานที่ ที่ได้รวมทั้งสองไว้ กับความหมาย فِيْ  โดยหลักเกณฑ์ทั่วๆไปเช่นاُمْكُثْ هُنَااَزْمُنًاท่านจงพักที่นี่ได้ตลอด ตรงตัวอย่างอันนี้ ในคำว่าهُنَا ถือว่าเป็น  ظرفمكانส่วนคำว่าاَزْمُنًا ถือว่าเป็นظرف زمان  ซึ่งทั้งสองนี้ได้รวมความหมาย فِيْไว้ ความหมายก็คือاُمْكُثْ فِي هذَااْلمَوْضِعِ فِيْ اَزْمُنٍ   
     เราท่านทั้งหลายสามารถหาความเข้าใจได้ในหนังสือซะเราะห์อิบนุอะเก้ลเพราะเป็นหนังสือที่อธิบายบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่า) โดยเฉพาะในคำว่าبِاطَّرَادٍ ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย
     ส่วนที่บอกว่าต้องผินไปในทางกะบะห์เลยนั้น มีฮาดิสที่ยืนยันว่า  ให้ผินไปหาจุดตั้งวิหารกะบะห์เท่านั้น  ต้องผินให้ตรงวิหารกะบะห์  ตามความสามารถที่สูงสุดขณะนั้น  ไม่ใช่ว่า  ผินไปในทางที่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่ มีฮะดิษที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ رَجَاءٍ، قَالَ: حَدَّثَنَا إِسْرَائِيلُ، عَنْ أَبِي إِسْحَاقَ، عَنِ البَرَاءِ بْنِ عَازِبٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، قَالَ: " كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، سِتَّةَ عَشَرَ أَوْ سَبْعَةَ عَشَرَ شَهْرًا، وَكَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُحِبُّ أَنْ يُوَجَّهَ إِلَى الكَعْبَةِ، فَأَنْزَلَ اللَّهُ: {قَدْ نَرَى تَقَلُّبَ وَجْهِكَ فِي السَّمَاءِ} [البقرة: 144] ، فَتَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ "، وَقَالَ السُّفَهَاءُ مِنَ النَّاسِ، وَهُمُ اليَهُودُ: {مَا وَلَّاهُمْ} [البقرة: 142] عَنْ قِبْلَتِهِمُ الَّتِي كَانُوا عَلَيْهَا، قُلْ لِلَّهِ المَشْرِقُ [ص:89] وَالمَغْرِبُ يَهْدِي مَنْ يَشَاءُ إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ فَصَلَّى مَعَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَجُلٌ، ثُمَّ خَرَجَ بَعْدَ مَا صَلَّى، فَمَرَّ عَلَى قَوْمٍ مِنَ الأَنْصَارِ فِي صَلاَةِ العَصْرِ نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، فَقَالَ: هُوَ يَشْهَدُ: أَنَّهُ صَلَّى مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَأَنَّهُ تَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ، فَتَحَرَّفَ القَوْمُ، حَتَّى تَوَجَّهُوا نَحْوَ الكَعْبَةِ
ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี จากท่านบัรรออ์ลูกของท่านอาริบ กล่าวว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เคยละหมาดโดยผินหน้าไปทางบัยตุ้ลมักดิสประมาณ 16 หรือ 17 เดือนแต่ท่านเองชอบที่จะผินไปทางบัยตุ้ลลอห์ พระผู้เป็นเจ้าจึงประทานอัลกุรอ่านลงมาว่า แน่นอนเรามองเห็นท่าน แหงนหน้าขึ้นไปทางฟากฟ้า(เพื่อรอรับวะฮีให้เปลี่ยนกิบลัตมาอย่างเดิม) อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่144 แล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็ผินหน้าไปทางกะบะห์(เวลาละหมาด) พวกคนเขลา ก็คือพวกยะฮูดีกล่าวว่า มีอะไรที่ทำให้พวกเขาผินออกไป จากทิศทางที่พวกเขาเคยผินไปหรือ อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 อัลกุรอ่านลงมาอีกว่า ท่านจงตอบแก่พวกนั้นว่า ทั้งทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้น เป็นสิทธิของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทั้งสิ้น พระองค์ทรงชี้นำบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์สู่แนวทางอันเที่ยงตรง อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 มีชายคนหนึ่งได้ละหมาดพร้อมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ต่อมาเขาก็ออกมาข้างนอกหลังจากละหมาด เขาเดินผ่านกลุ่มชาวอันซอร กำลังละหมาดอัสริ ผินหน้าไปทางบัยติ้ลมักดิส ต่อมาเขาได้กล่าวว่าเขายืนยันว่าแท้จริงเขาได้ละหมาดร่วมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยผินไปทางกะบะห์ กลุ่มชนนั้นก็เห็นตามด้วย จนกระทั่งพวกเขาทั้งหมดผินหน้าไปทางกะบะห์ ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี
     นักวิชาการระดับมัซฮับ จึงมีความคิดที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับการผินหน้าอกไปทางกิบลัตในขณะละหมาด
ดังนั้นมัซฮับซาฟิอี ซึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยึดตามมัซฮับนี้ ถือว่าจะต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เลย (เรียกว่าอัยนุ้ลกะบะห์ ไม่ใช่ยิฮะตุ้ลกะบะห์)เท่าที่มีความสามารถที่สุด พูดง่ายๆก็คือถ้ารู้แน่ชัดว่ายังหันไม่ตรงกะบะห์ ที่ผ่านมาการละหมาดถือว่าใช้ได้เพราะทำสุดความสามารถแล้ว แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกต้อง การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้อีกแล้ว หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถหาดูได้ที่หนังสืออั้ลอุม(ของท่านอิหม่ามซาฟิอีเล่มที่1)
(قَالَ الشَّافِعِيُّ) : وَمَنْ كَانَ فِي مَوْضِعٍ مِنْ مَكَّةَ لَا يَرَى مِنْهُ الْبَيْتَ، أَوْ خَارِجًا عَنْ مَكَّةَ فَلَا يَحِلُّ لَهُ أَنْ يَدَعَ كُلَّمَا أَرَادَ الْمَكْتُوبَةَ أَنْ يَجْتَهِدَ فِي طَلَبِ صَوَابِ الْكَعْبَةِ بِالدَّلَائِلِ مِنْ النُّجُومِ وَالشَّمْسِ وَالْقَمَرِ وَالْجِبَالِ وَمَهَبِّ الرِّيحِ وَكُلِّ مَا فِيهِ عِنْدَهُ دَلَالَةٌ عَلَى الْقِبْلَةِ
 และหนังสือฟิกห์4มัซฮับเล่มที่1หน้า178 หนังสืออาจจะพิมพ์ต่างวาระกัน หน้าอาจจะไม่ตรงกับนี้ ก็ให้ดูในบทที่ว่าด้วยเรื่องกิบลัต)
         พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَلَئِنْ} لَام الْقَسَم {أَتَيْت الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَاب بِكُلِّ آيَة} عَلَى صِدْقك فِي أَمْر الْقِبْلَة {مَا تَبِعُوا} أَيْ لَا يَتْبَعُونَ {قِبْلَتك} عِنَادًا {وَمَا أَنْت بِتَابِعٍ قِبْلَتهمْ} قَطْع لِطَمَعِهِ فِي إسْلَامهمْ وَطَمَعهمْ فِي عَوْده إلَيْهَا {وَمَا بَعْضهمْ بِتَابِعٍ قِبْلَة بَعْض} أَيْ الْيَهُود قِبْلَة النَّصَارَى وَبِالْعَكْسِ {وَلَئِنْ اتَّبَعْت أَهْوَاءَهُمْ} الَّتِي يَدْعُونَك إلَيْهَا {مِنْ بَعْد مَا جَاءَك مِنْ الْعِلْم} الْوَحْي {إنَّك إذًا} إنْ اتَّبَعْتهمْ فَرْضًا {لمن الظالمين}
และแน่นอน ถ้าหากท่านได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของท่าน และท่านก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากท่านไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังท่านแล้ว แน่นอนทันใดนั้น ท่านก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่145
     วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556 ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮัอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
     ถ้าหากว่าบางคนยังไม่ค่อยจะแน่ใจว่าดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์ ในวันที่อังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556 จริงหรือเปล่า ก็สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ง่ายๆก็คือถ้าไม่ได้ไปอยู่ที่มัสยิดฮะรอม ณวันนั้น ถ้าติดจานดำ ลองเปิดดูช่องที่ถ่ายมัสยิดฮะรอมดู บ้านผมช่อง316 ในเวลา 16.18 น. ของอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556  (ตามเวลาของบ้านเรา)ก็จะได้ยินเสียงอะซานที่มัสยิดฮะรอม และลองมองไปที่กะบะห์ดู ก็จะไม่เห็นเงาของกะบะห์เลย หรือจะสังเกตเงาของคนที่อยู่ในลานตอวาฟก็ได้ เงาจะอยู่บริเวณลำตัวของเขาเลย เงาจะไม่เอนไปด้านใหนๆเลย ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมานี้ ก็เพราะว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงกะบะห์ อยู่ตรงศรีษะของเขานั่นเอง
     วันที่สามารถดูเงาของดวงอาทิตย์เพื่อกำหนดทิศกิบลัตได้อีก(อย่าดูดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าโดยเด็ดขาด)
1.   วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
2.   วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
3.   วันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
4.   วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
5.   วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2556 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
     ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ปัจจุบันสามารถหาทิศกิบลัตทางภาพถ่ายดาวเทียมได้ ถ้าไม่ตรงก็เปลี่ยนซอฟ(แถว)ให้ตรง เท่านั้นเอง แต่ในการปฏิบัติจริงๆ ที่เปลี่ยนยากที่สุดคือจิตใจคน ทั้งๆที่นำหลักฐานทุกอย่างชี้แจงชัดๆแล้ว ก็ยังเฉไฉออกจากทางที่ถูกต้องอีก เพราะอีหม่านยังไม่แข็งพอ ถ้าเราท่านทั้งหลายย้อนกลับไปมองบุคคลในสมัยร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)(ดังในฮะดิษที่ได้กล่าวมา) เปลี่ยนง่ายเพราะได้รับทางนำ (ถ้าจะดูให้ดีๆแล้วในสมัยของท่านอิหม่ามซาฟิอี ท่านมีความพยายามอย่างมากที่จะหากิบลัตให้ได้ แม้จะยากลำบากสักเพียงใด จะดูดวงดาวก็เอา ดูดวงอาทิตย์ก็เอาฯลฯ อย่างที่ผมได้กล่าวมาในหนังสืออัลอุมของท่าน เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้รับคำสั่งใช้จากพระผู้เป็นเจ้าให้ผินไปทางกะบะห์เลย ดังฮะดิษที่มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิมว่า
حَدَّثَنَا شَيْبَانُ بْنُ فَرُّوخَ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الْعَزِيزِ بْنُ مُسْلِمٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ اللهِ بْنُ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، ح وحَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ - وَاللَّفْظُ لَهُ - عَنْ مَالِكِ بْنِ أَنَسٍ، عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، قَالَ: بَيْنَمَا النَّاسُ فِي صَلَاةِ الصُّبْحِ بِقُبَاءٍ إِذْ جَاءَهُمْ آتٍ فَقَالَ: «إِنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَدِ اُنْزِلَ عَلَيْهِ اللَّيْلَةَ، وَقَدْ أُمِرَ أَنْ يَسْتَقْبِلَ الْكَعْبَةَ فَاسْتَقْبِلُوهَا، وَكَانَتْ وُجُوهُهُمْ إِلَى الشَّامِ، فَاسْتَدَارُوا إِلَى الْكَعْبَةِ»
  เล่าจากท่านอิบนุอุมัรว่า ขณะที่ประชาชนได้ละหมาดซุบฮิที่มัสยิดกุบาอ์ มีคนหนึ่งเดินทางมาถึงพวกเขาและพูดว่า แท้จริงเมื่อคืนนี้ อัลกุรอ่านได้ถูกประทานให้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยกำหนดให้ผู้ละหมาดผินหน้าไปทางกะบะห์ ดังนั้นพวกเขาจึงผินไปทางกะบะห์โดยที่หน้าของพวกเขากำลังผินไปทางเมืองซามเปลี่ยนหันไปทางกะบะห์ ระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิม 
     แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก   จนไม่สามารถมอง  ด้วยตาเปล่าได้  ดังนั้นในเมื่อ  วันและเวลาดังกล่าว(อังคารที่ 28 พฤษภาคม 2556) ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮับ  อิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
     ตรวจสอบเวลามาตรฐานได้ที่ กดโทร 181
     วิธีการก็คือ  ถ้ามัสยิดใด  หรือบ้านของใครมีหน้าต่างทางทิศตะวันตก  ให้เปิดหน้าต่างออก  และหน้าต่าง  ด้านแนวตั้งของวงกบ ด้านใดก็ได้  ต้องสร้างได้ฉาก(ขอย้ำต้องได้ฉาก  ที่สำคัญกว่านั้นคือ  ห้ามมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด  ถ้าจะมองแดดนานๆ ควรใส่แว่นกันแดดด้วย ย้ำนะครับคือถ้าจะมองดวงอาทิตย์ตรงๆต้องใช้แว่นที่มีฟิลเตอร์กันแสงเท่านั้น มีอยู่2แบบ แบบที่1มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงนวลขาวแบบดวงจันทร์เลย  แบบที่2มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงสีส้ม)  ดังนั้นเงาที่ทอดลงมาให้เห็น  นั่นแหละครับคือแนวกิบลัตที่ถูกต้อง  ให้ขีดเส้นเอาไว้  สังเกตให้ดีเส้นนี้จะชี้ไปทางทิศตะวันตก
     กรณีถ้าอยู่ในบ้านเวลาละหมาดก็ให้นำผ้าซายะดะห์  ด้านข้างมาวาง  ให้ตรงกับเส้นนี้  แต่ถ้าเป็นกรณีของมัสยิด  เมื่อขีดเส้น  ที่ชี้ไปทางทิศตะวันตก  อย่างที่ว่ามาได้แล้ว  ให้นำไม้บรรทัดแบบฉาก  หรือไม้ทีก็ได้  มาวางทาบเส้นให้พอดี  แล้วขีดเส้นด้านล่างเพิ่มเข้าไป  สังเกตตอนนี้จะมีอยู่ 2เส้น 
เส้นที่ 1 คือเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์
เส้นที่ 2 คือ เส้นแนวนอนที่ตั้งฉาก  กับเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์   
     ดังนั้น เส้นที่ 2  นี้แหละคือเส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)ในมัสยิด     สำหรับมัสยิด  ที่ไม่มีหน้าต่าง  ทางด้านทิศตะวันตกเลย  การวัดเงาก็ต้องหาไม้หรือเสาก็ได้  หรืออะไรก็ได้ ตั้งขึ้นให้ได้ฉาก  ตรงบริเวณด้านข้างมัสยิด  แล้วรอเวลา 16.18 น.หรือเวลา16.19 ตามวันและเวลาดังกล่าว เพื่อขีดเส้นวัดเงา  ทำตามขั้นตอน  แล้วลากเส้นแนวนอนอย่างที่บอกมา  เข้ามาในมัสยิด  ก็จะได้เส้นแนวซอฟ (แถวละหมาด) เช่นกัน
     วิธีการวัดทิศกิบลัตดังกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  และทำได้อย่างสดวกสบายมาก  สำหรับผู้ที่ต้องการความถูกต้อง  ในการผินสู่ทิศกิบลัต  แต่สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลาม  ผู้เชี่ยวชาญ มีอีกหลายวิธี  ที่สามารถ  หาทิศกิบลัตได้  และหาได้ทุกๆวันเลย
     ส่วนในเรื่องของการคำนวนนั้น  มีขั้นมีตอน  ที่สลับซับซ้อนมาก  ขั้นแรกต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ก่อน  จากนั้นต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของบัยตุ้ลอฮ์  และต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของสถานที่  ที่จะหาทิศกิบลัต  จากนั้นก็จะมีค่า  SIN  COS  TAN  เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ดำเนินตามขั้นตอนของสูตร  ต่างๆนาๆอีกมากมาย ฯลฯ 
     สิ่งที่นำมาต่อไปนี้เป็นข้อความเกี่ยวกับดวงอาทิตย์อยู่เหนือกะบะห์ ค้นหาข้อมูลได้ดังนี้      http://www.qasweb.org/astronomy_events/item.php?id=441
     สำหรับประเทศไทย  การผินไปทางวิหารกะบะห์  ตรงนี้มีอยู่  4  ระดับด้วยกัน 
ระดับสูงสุดคือ 1 รู้ได้ด้วยตัวเอง
ระดับที่ 2  ผินตามคำบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้
ระดับที่ 3  ผินโดยการวิเคราะห์
ระดับที่ 4  ผินตามการวิเคราะห์ของผู้อื่น 
     ดังนั้นถ้าผู้รู้ในวิชาดาราศาสตร์อิสลาม  รู้ว่ามัสยิดนี้ๆ  ยังหันไม่ตรงกิบลัต  และได้มีการบอกผู้มีอำนาจหน้าที่  ในมัสยิดแห่งนั้น  แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น  ยังไม่จัดการเปลี่ยนแปลง  และแก้ไข  ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในผลบาปตรงนี้  ก็คือผู้ที่มีอำนาจในมัสยิดแห่งนั้น  เรียกว่ารับแบบเต็มๆ  เพราะรู้แล้วไม่ทำตามที่รู้  ที่สำคัญ  ยังพาคนอื่นทำแบบผิดๆไปด้วย  ถ้าเราเข้าใจหลัก  ในการหลอกลวงของซัยตอน  มารร้าย  เราท่านทั้งหลายจะรู้เท่าทันมันได้ทันที  ซัยตอนมารร้ายมันจะไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้เปลี่ยน  ให้ตรงกับกะบะห์  อย่าไปทำๆ  มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน  มันจะบอกว่า  อย่าเปลี่ยนเลยจะทำให้เกิดการแตกแยกได้  ผู้ใหญ่ทำมาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้แล้ว  ต้องตรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือเกินไปหรือเปล่า  ผู้รู้รุ่นก่อนไม่เห็นเขาจะติเลย  ฯลฯ
     เฉกเช่นเดียวกันพอได้เวลาละหมาด  มันก็จะบอกว่า  เดี๋ยวค่อยละหมาดก็ได้  เหลือเวลาอีกเยอะ  เดี๋ยวๆๆๆ  เดี๋ยวจนไม่ได้ละหมาดจนได้  หรือถ้ามันหลอกคนไม่ให้ละหมาดไม่สำเร็จ  มันก็จะหาวิธีหลอกลวงต่างๆนานาๆ  เพื่อให้ภาคผลบุลของคนๆนั้น  ลดน้อยลงมันไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้ละหมาด  อย่าไปทำ  ซึ่งวิธีการหลอกลวงของซัยตอนมารร้ายนี้  มันได้เคยมาบอกแก่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.)  ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  เพื่อให้ประชาชาติของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)   รู้เท่าทันกลลวงของมัน  นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง  ของพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า)
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَكَذَلِكَ} كَمَا هَدَيْنَاكُمْ إلَيْهِ {جَعَلْنَاكُمْ} يَا أُمَّة مُحَمَّد {أُمَّةً وَسَطًا} خِيَارًا عُدُولًا {لِتَكُونُوا شُهَدَاء عَلَى النَّاس} يَوْم الْقِيَامَة أَنَّ رُسُلهمْ بَلَّغَتْهُمْ {وَيَكُون الرَّسُول عَلَيْكُمْ شَهِيدًا} أَنَّهُ بَلَّغَكُمْ {وَمَا جَعَلْنَا} صَيَّرْنَا {الْقِبْلَة} لَك الْآن الْجِهَة {الَّتِي كُنْت عَلَيْهَا} أَوَّلًا وَهِيَ الْكَعْبَة وَكَانَ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي إلَيْهَا فَلَمَّا هَاجَرَ أُمِرَ بِاسْتِقْبَالِ بَيْت الْمَقْدِس تَأَلُّفًا لِلْيَهُودِ فَصَلَّى إلَيْهِ سِتَّة أَوْ سَبْعَة عَشْر شَهْرًا ثُمَّ حُوِّلَ {إلَّا لِنَعْلَم} عِلْم ظُهُور {مَنْ يَتَّبِع الرَّسُول} فَيُصَدِّقهُ {مِمَّنْ يَنْقَلِب عَلَى عَقِبَيْهِ} أَيْ يَرْجِع إلَى الْكُفْر شَكًّا فِي الدِّين وَظَنًّا أَنَّ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي حِيرَة مِنْ أَمْره وَقَدْ ارْتَدَّ لِذَلِك جَمَاعَة {وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ {وَمَا كَانَ اللَّه لِيُضِيعَ إيمَانكُمْ} أَيْ صَلَاتكُمْ إلَى بَيْت الْمَقْدِس بَلْ يُثِيبكُمْ عَلَيْهِ لِأَنَّ سَبَب نُزُولهَا السُّؤَال عَمَّنْ مَاتَ قَبْل التحويل {إن الله بالناس} المؤمنين {لرؤوف رَحِيم} فِي عَدَم إضَاعَة أَعْمَالهمْ وَالرَّأْفَة شِدَّة الرَّحْمَة وَقَدَّمَ الْأَبْلَغ لِلْفَاصِلَةِ
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกท่านเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกท่านจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกท่าน และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่ท่านเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันส้นเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(อ้างโน่นอ้างนี่ ไม่ยอมเปลี่ยน) นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143 (คำว่าหันส้นเท้ากลับลองดูในแผนที่โลก หรือดูที่ลูกโลกถ้าใครมี ก็จะพบเลยว่ามาดินะห์อยู่กลาง มักกะห์อยู่ใต้ บัยตุ้ลมักดิสเยรูซาเล็มอยู่เหนือ)
     เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
     ดวงอาทิตย์นั้นในทุกๆปีก็จะโคจรมาตรงกับกะบะห์อย่างนี้ทุกๆปี (ตามหลักวิชาการเรียกว่า เป็นค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์) สิ่งนี้จะเกิดขึ้นทุกๆปี ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำ ใครจะทำได้ ขอย้ำว่าสิ่งนี้ที่เราท่านทั้งหลายเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากๆๆๆ แต่สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของความสามารถของพระองค์เท่านั้น
     รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
   
      :salam:     สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลามแล้ว ต้องมองการไกล ต้องมองให้ไกล ต้องมองไปข้างหน้า แล้วจะไม่ก่อน NEWMOON (เพราะอย่าลืมว่าร่อซูล้ลลอห์(ซ.ล.)ใช้ให้ดูจันทร์เสี้ยว ถ้าก่อน NEWMOON จะเอาจันทร์เสี้ยวที่ใหนดู ฯลฯ)
     การดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้) ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     ความจริงที่ปรากฏก็คือขณะที่ประเทศหนึ่งดวงอาทิตย์ตก  อีกประเทศหนึ่งรุ่งอรุณ  เวลาทุกเวลาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของประเทศที่อยู่แตกต่างกันไป  สิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า  ด้วยความแตกต่างทางเวลานี้จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในเรื่องการละหมาด5เวลา(เป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะละหมาดดุฮ์ริพร้อมกัน  ละหมาดอัสริพร้อมกัน  ฯลฯ)ดังนั้นการที่จะกล่าวอ้างว่าเพื่อความเป็นเอกภาพของอุมมะห์มุสลิมมุสลิมะห์ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ควรจะทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่ง เวลาเดียวกันและวันเดียวกัน  การกล่าวอ้างแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา  เรียกว่าคิดเอาเอง จินตนาการเอาเองเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงเราท่านทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ขณะที่มุสลิมที่อยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียละหมาดซุบฮิ  มุสลิมที่อยู่ในอเมริกาเหนืออาจยังทำละหมาดอิซาของวันก่อนไม่เสร็จเลย ดังนั้นถ้าพระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการให้มุสลิมทั่วทุกมุมโลกทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่งเวลาเดียวกันและวันเดียวกัน เพื่อต้องการให้เกิดความเป็นเอกภาพอย่างที่ใครบางคนกล่าวอ้างแล้ว เอกภาพดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้เลย เพราะความแตกต่างทางด้านเวลาที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 {أو لم يَتَفَكَّرُوا فِي أَنْفُسهمْ} لِيَرْجِعُوا عَنْ غَفْلَتهمْ {مَا خَلَقَ اللَّه السَّمَاوَات وَالْأَرْض وَمَا بَيْنهمَا إلَّا بِالْحَقِّ وَأَجَل مُسَمًّى} لِذَلِكَ تَفْنَى عِنْد انْتِهَائِهِ وَبَعْده الْبَعْث {وَإِنَّ كَثِيرًا مِنْ النَّاس} أَيْ كُفَّار مَكَّة {بِلِقَاءِ رَبّهمْ لَكَافِرُونَ} أَيْ لَا يؤمنون بالبعث بعد الموت
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
     ผมเองเคยได้ยินคนหนึ่งกล่าวว่า  การดูจันทร์เสี้ยวไม่เหมือนกับการละหมาด5เวลา  เพราะการละหมาด5เวลาใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนด  แต่ละประเทศจึงมีเวลาการละหมาด5เวลาไม่เหมือนกัน  ไม่ตรงกัน  ตามกันไม่ได้  แต่ดวงจันทร์นั้นมีอยู่ดวงเดียว  การดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์อย่างสิ้นเชิง  ดังนั้นไม่ว่าที่ใดในโลกเห็นจันทร์เสี้ยว  ที่อื่นประเทศอื่นก็ต้องเข้าเดือนหรือต้องออกเดือนเหมือนกันด้วย  จะอย่างไรก็ดีคำพูดลักษณะนี้ถือว่ายังไม่ถูกต้อง  ยังไม่ตรงกับความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา การที่บอกว่าดวงจันทร์นั้นมีอยู่ดวงเดียวการดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ผมได้ยินผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า  แล้วดวงอาทิตย์มีอยู่หลายดวงหรือ  แต่ละจังหวัดแต่ละประเทศจึงมีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน   
     ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่ที่มีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกัน  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกันวันที่1ของเดือนอิสลามที่แตกต่างกัน ก็เพราะตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศแตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ยังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามและหลักการของอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการอิสลามจะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเรื่องนะยิสเลย  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ก่อนจะเริ่มละหมาดเสียอีก
     มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์ให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่นที่อยู่ห่างไกล และถ้ามีประเทศใดที่อยู่ห่างไกลเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์ในเมืองนั้นกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เพราะเริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้ عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى. ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์ในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์ในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี       
     วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   ดังนั้นวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 ตรงกับวันที่29 ร่อยับ ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อยับ ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ซะบาน ฮ.ศ.1434
-สำหรับประเทศไทย  จันทร์ดับ  ตรงกับวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 เวลา 22.56.19 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1ซะบาน ฮ.ศ.1434  (เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
       วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่ที่กลุ่มดาววัว TAURUS ดวงจันทร์ในวันนี้ตกก่อนดวงอาทิตย์ ซึ่งดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้าประมาณ 3 องศา ส่วนด้านบนของดวงอาทิตย์ ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มแตะขอบฟ้ามีดาวพฤหัสบดีJUPITERอยู่ มุมเงยประมาณ7องศา แหละทางด้านบนของดาวพฤหัสบดีมีดาวศุกร์VENUSอยู่ มุมเงยประมาณ 18 องศา  ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกประมาณ 405961.07 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเราก็จะอยู่ประมาณ 405799.71 กิโลเมตร
     วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.45.45วินาที  ดวงจันทร์ตก19.30.59วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที46วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.41.32วินาที ดวงจันทร์ตก18.26.53วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที39วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก18.28.49วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.23วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก18.30.01วินาที  ดวงจันทร์ตก18.16.38วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก18.28.52วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.29วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก18.28.25วินาที  ดวงจันทร์ตก18.14.58วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที27วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.28.35วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.17วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที18วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.29.13วินาที  ดวงจันทร์ตก18.15.48วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก18.28.23วินาที  ดวงจันทร์ตก18.14.56วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที28วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.32.52วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.26วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.48.51วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.10วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที42วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.30.02วินาที  ดวงจันทร์ตก18.16.33วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์13นาที29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.29.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.14.06วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์15นาที40วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.45.45วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.30.59วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์14นาที46วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
     ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2556 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย เพราะว่าดวงจันทร์ได้ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน ดังนั้นวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1434 ตรงกับวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2556 ในทางการปฏิบัติจริงๆให้พี่น้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
     คนทุกคนต่างก็มีหน้าที่แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลามคอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยแหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุลหรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาปก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม)เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามาและ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์  รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
     วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 6  มิถุนายน พ.ศ.2556  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.19.19 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.47.57วินาที ดุฮ์ริเวลา12.15.27วินาที อัสริเวลา15.40.02 วินาที มักริบเวลา 18.43.02 วินาที อีซาเวลา 20.02.11
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.21.26 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.50.04วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.17.34วินาที  อัสริเวลา15.42.09 วินาที  มักริบเวลา18.45.09 วินาที  อีซาเวลา 20.04.17
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.02.34 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.36.56 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.19.21 วินาที  อัสริเวลา 15.37.13 วินาที  มักริบเวลา 19.01.53 วินาที  อีซาเวลา 20.25.51 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา03.53.32วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.28.05 วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.20.13วินาที  อัสริเวลา15.41.32วินาที  มักริบเวลา19.12.29  วินาที  อีซาเวลา20.36.07วินาที 
     พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
     พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
     รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version