ผู้เขียน หัวข้อ: ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์  (อ่าน 18557 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: ฝนฟ้าในอิสลาม ฯลฯ
« ตอบกลับ #75 เมื่อ: พ.ย. 03, 2013, 08:11 AM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ฝนฟ้าในอิสลาม
**หน้าฝนกำลังจะผันผ่านไป ด้วยสาเหตที่เราท่านทั้งหลายมีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ผู้ศรัทธาย่อมสามารถรับรู้ได้เลยว่า ฝนฟ้านั้นเกิดมาจากอะไร แหละเกิดมาได้อย่างไร ซึ่งได้รับรู้กันมาเนิ่นนานแล้ว เป็นระยะเวลาถึงพันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว เฉพาะในยุคสมัยของประชาชาติท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) รู้ได้ทั้งๆที่ในขณะนั้นโลกยังไม่ได้เจริญรุดหน้าเหมือนทุกวันนี้ และรับรู้ได้อย่างถูกต้องกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงอีกด้วย ที่รู้ได้ก็เพราะ พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระผู้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่ง ได้บอกเอาไว้ เรื่องราวของฝนฟ้านั้น เป็นเศษเสี้ยวเล็กๆในความสามารถของพระองค์
**ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่บอก ใครจะบอกได้
**พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสว่า
{أَلَمْ تَرَ أَنَّ اللَّه يُزْجِي سَحَابًا} يَسُوقهُ بِرِفْقٍ {ثُمَّ يُؤَلِّف بَيْنه} يَضُمّ بَعْضه إلَى بَعْض فَيَجْعَل الْقِطَع الْمُتَفَرِّقَة قِطْعَة وَاحِدَة {ثُمَّ يَجْعَلهُ رُكَامًا} بَعْضه فَوْق بَعْض {فَتَرَى الْوَدْق} الْمَطَر {يَخْرُج مِنْ خِلَاله} مَخَارِجه {وَيُنَزِّل مِنْ السَّمَاء مِنْ} زَائِدَة {جِبَال فِيهَا} فِي السَّمَاء بَدَل بِإِعَادَةِ الْجَارّ {مِنْ بَرَد} أَيْ بَعْضه {فَيُصِيب بِهِ مَنْ يَشَاء وَيَصْرِفهُ عَنْ مَنْ يَشَاء يَكَاد} يَقْرُب {سَنَا بَرْقه} لَمَعَانه {يَذْهَب بِالْأَبْصَارِ} النَّاظِرَة لَهُ أَيْ يَخْطَفهَا
ท่านไม่สังเกตหรอกหรือ แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงขับเมฆ(ให้ล่องลอยไปในทิศทางต่างๆที่พระองค์ทรงประสงค์) หลังจากนั้นพระองค์ทรงบันดาลให้มีการประสานกันระหว่างมัน หลังจากนั้นทรงบันดาล ให้มันเป็นกลุ่มก้อนมหึมา แล้วท่านก็มองเห็นน้ำฝนออกมาจากซอกของมัน และพระองค์ทรงให้ฝนลูกเห็บตกลงมาจากฝากฟ้า จาก(เมฆอันประหนึ่ง)ภูเขา แล้วพระองค์ก็ให้ลูกเห็บนั้นประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงผันแปรมันไปจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ อันประกายแสงแห่งฟ้าแลบจากเมฆนั้น เกือบขจัดสายตา(ให้มืดบอดลง) ซูเราะห์อันนูร24 อายะห์ที่43
**น้ำฝนอันอ่อนนุ่ม พระผู้เป็นเจ้าก็สามารถทำให้ลงมาจากฝากฟ้าได้ น้ำฝนแบบแข็งๆที่เราท่านทั้งหลายเรียกกันว่าฝนลูกเห็บ พระผู้เป็นเจ้าก็สามารถทำให้ลงมาจากฝากฟ้าได้ สิ่งที่ร่วงลงมาจากฝากฟ้า ที่ผู้คนทั้งหลายทั่วๆไป ต่างเฝ้ารอคอยดูถึงความสวยงาม ที่ผู้คนทั่วไปเรียกกันว่าฝนดาวตกนั้น(ในเดือนพศจิกายนนี้ มาจากกลุ่มดาวสิงโต) พระผู้เป็นเจ้าก็สามารถทำให้ลงมาจากฝากฟ้าได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆในความสามารถของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมาเพื่อยังประโยชน์แด่มนุษย์ชาติ
**บางสิ่งบางอย่างพระผู้เป็นเจ้าได้ให้มาไม่เหมือนกัน ทั้งรูปร่างหน้าตา อีกทั้งสุขภาพความแข็งแรง ฐานะทางด้านการเงิน แต่ความต่างที่มีในแต่ละบุคคลนั้น ไม่ได้หมายความรวมถึงว่า จะมีความเหลื่อมล้ำเลยกัน ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า เพราะสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้านำมาพิจรณานั้น คือความจริงใจ ความอิคลาสบริสุทธิ์ใจที่บ่าวมีต่อพระองค์ ในการปฏิบัติคุณความดีแขนงต่างๆ
**ความจริงที่เราท่านทั้งหลายสามารถเห็นได้ก็คือ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงให้แก่บ่าวของพระองค์ไม่เหมือนกัน แต่พระองค์ก็ได้ให้มีอีกสิ่งหนึ่งมาทดแทนกันและกัน นั่นแสดงถึงความยุติธรรมของพระองค์ ขึ้นอยู่ที่ว่าเราท่านทั้งหลายจะพยายามทำคุณความดีมากน้อยเท่าไหร่เท่านั้นเอง หลายๆท่านอาจจะมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป บางครั้งในบางทีอาจจะคิดว่า ไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าใดนัก แต่คุณค่าที่แท้จริงณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้านั้น เป็นสิ่งที่พระองค์เคยสรรเสริญมาแล้ว เมื่อครั้งอดีตกาล เป็นภาคผลบุญที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถช่วยเหลือเราท่านทั้งหลายได้ ทั้งในดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์
**ได้มีระบุไว้ในหนังสือซอเอี๊ยะห์มุสลิมว่า
حَدَّثَنَا عَاصِمُ بْنُ النَّضْرِ التَّيْمِيُّ، حَدَّثَنَا الْمُعْتَمِرُ، حَدَّثَنَا عُبَيْدُ اللهِ، ح قَالَ: وَحَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ، حَدَّثَنَا لَيْثٌ، عَنِ ابْنِ عَجْلَانَ، كِلَاهُمَا عَنْ سُمَيٍّ، عَنْ أَبِي صَالِحٍ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ - وَهَذَا حَدِيثُ قُتَيْبَةَ - أَنَّ فُقَرَاءَ الْمُهَاجِرِينَ أَتَوْا رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالُوا: ذَهَبَ أَهْلُ الدُّثُورِ بِالدَّرَجَاتِ الْعُلَى، وَالنَّعِيمِ الْمُقِيمِ، فَقَالَ: «وَمَا ذَاكَ؟» قَالُوا: يُصَلُّونَ كَمَا نُصَلِّي، وَيَصُومُونَ كَمَا نَصُومُ، وَيَتَصَدَّقُونَ وَلَا نَتَصَدَّقُ، وَيُعْتِقُونَ وَلَا نُعْتِقُ، فَقَالَ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «أَفَلَا أُعَلِّمُكُمْ شَيْئًا تُدْرِكُونَ بِهِ مَنْ سَبَقَكُمْ وَتَسْبِقُونَ بِهِ مَنْ بَعْدَكُمْ؟ وَلَا يَكُونُ أَحَدٌ أَفْضَلَ مِنْكُمْ إِلَّا مَنْ صَنَعَ مِثْلَ مَا صَنَعْتُمْ» قَالُوا: بَلَى، يَا رَسُولُ اللهِ قَالَ: «تُسَبِّحُونَ، وَتُكَبِّرُونَ، وَتَحْمَدُونَ، دُبُرَ كُلِّ صَلَاةٍ ثَلَاثًا وَثَلَاثِينَ مَرَّةً» قَالَ أَبُو صَالِحٍ: فَرَجَعَ فُقَرَاءُ الْمُهَاجِرِينَ إِلَى رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالُوا: سَمِعَ إِخْوَانُنَا أَهْلُ الْأَمْوَالِ بِمَا فَعَلْنَا، فَفَعَلُوا مِثْلَهُ، فَقَالَ رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «ذَلِكَ فَضْلُ اللهِ يُؤْتِيهِ مَنْ يَشَاءُ»
จากท่านอะบูฮุรอยเราะห์เล่าว่า(ฮะดิษนี้มีการรายงานจากกุตัยบะห์ด้วย) พวกมุยาฮิรีน ผู้ที่ยากจนได้พากันมาหาท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)แล้วได้กล่าวว่า ผู้ที่ร่ำรวย ด้วยทั้งมีสถานะสูงส่ง และได้รับความจำเริญอย่างถาวรได้ออกไปแล้ว ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น พวกเขา(มุยาฮิรีนผู้ที่ยากจน)ก็กล่าวว่า พวกเขา(ผู้ที่ร่ำรวย)ละหมาดเหมือนกับพวกเราละหมาด พวกเขาถือศิลอดเหมือนกับพวกเราถือศิลอด พวกเขาสามารถทำทาน(ทำซอดะเกาะห์)แต่พวกเราไม่สามารถทำซอดะเกาะห์ได้ พวกเขาสามารถปลดปล่อยทาสได้ และพวกเราไม่สามารถปลดปล่อยทาสได้ ต่อมาท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จึงได้กล่าวว่า เอาใหมล๊ะ ฉันจะสอนพวกท่านถึงการปฏิบัติสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะได้รับผลบุญเหมือนกันคนยุคก่อน และได้รับผลบุญมากกว่าคนยุคต่อไป และจะไม่มีใครประเสริฐกว่าพวกท่าน เว้นแต่ผู้ที่ได้ปฏิบัติเหมือนอย่างที่พวกท่านปฏิบัติ พวกมุยาฮิรีน ผู้ที่ยากจน กล่าวว่าเอาครับ โอ้ท่านศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จึงได้กล่าวสอนว่า พวกท่านจงกล่าวตัสเบี๊ยะห์(ซุบฮานัลลอฮ์) และพวกท่านจงกล่าวตักบีร(อัลลอฮุอักบัร) และพวกท่านจงกล่าวตะห์มีด(อัลฮัมดุลิ้ลลาห์) หลังละหมาด อย่างละ33ครั้ง ท่านอะบูซอลิ๊ห์ได้กล่าวว่า พวกมุยาฮิรีน ผู้ที่ยากจน ได้กลับมาหาท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อีกครั้ง พวกเขากล่าวว่า พี่น้องของเราที่มีฐานะร่ำรวย ได้ยินรับรู้สิ่งที่พวกเราได้ปฏิบัติกัน พวกเขา(ที่ร่ำรวย)ก็ได้ปฏิบัติเหมือนกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จึงได้กล่าวว่า เป็นความโปรดปรานของพระองค์อัลลอห์(ซ.บ.) ที่ทรงประทานให้กับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
**ได้มีกล่าวไว้ในหนังสือซอเฮี๊ยะห์บุคอรี
ทาสของท่านอิบนุอับบาสได้เล่ากล่าวว่า อิบนุอับบาสได้บอกกับฉันว่ามีการกล่าวซิกิรเสียงดังๆหลังจากที่ประชาชน เสร็จจากการละหมาด5เวลา ในยุคสมัยของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซล.) และอิบนุอับบาสได้กล่าวต่ออีกว่า เมื่อฉันได้ยินเสียงซิกิรครั้งใด แสดงว่าได้ละหมาดเสร็จกันแล้ว
**พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสรรเสริญบ่าวของพระองค์ ซึ่งมีระบุไว้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
{نِعْمَ الْعَبْد} أَيْ سُلَيْمَان {إنَّهُ أَوَّاب} رَجَّاعٌ فِي التَّسْبِيح وَالذِّكْر فِي جَمِيع الْأَوْقَات
เรา(พระผู้เป็นเจ้า)ได้ให้นบีดาวูด(มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่าสุไลมาน) เขาเป็นบ่าวที่ประเสริฐสุด อีกทั้งมีจิตรกลับคืน(สู่เราด้วยการกล่าวตัสบี๊ห์และกล่าวซิกิรอย่างมากมายตลอดเวลา) ซูเราะห์ซ๊อด38 อายะห์ที่30
**อายะห์กุรอ่านตรงนี้ถือว่าเป็นการสรรเสริญประเภทที่2  ที่เรียกว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสรรเสริญบ่าวของพระองค์
**คำว่าสุไลมานในตัฟซีรนี้ตามหลักวิชาการแล้ว เหตที่นักตัฟซีรกุรอ่านได้ตัฟซีรออกมานั้น ก็เพราะคำว่าสุไลมานนั้น อยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าالمخصوص بالمدح แหละต้องมีการอ่านร่อเฟาะเท่านั้น ส่วนจะอ่านร่อเฟาะด้วยกับอะไรนั้น ต้องดูลักษณะของคำๆนั้นอีกทีนึง
**นักวิชาการได้บอกให้ทราบว่าคำที่เป็น المخصوص นั้นยังแบ่งเป็นได้3ลักษณะด้วยกัน นั่นก็คือ
1.เป็นมุบตะดามุอัคค๊อร(ส่วนค่อบัรมุก๊อดดัมนั้นก็คือยุมละห์ที่อยู่ก่อน)ข้อนี้ถือว่าเป็นที่ยึดถือมากที่สุดตามหลักนักวิชาการนะฮู เช่นอย่างในตัซีรที่ได้กล่าวมา  أَيْ سُلَيْمَان        ส่วนยุมละห์ก็คือنِعْمَ الْعَبْد
2.เป็นค่อบัร ส่วนตัวมุบตะดานั้นจำเป็นต้องลบไป จึงเป็นเหตให้ต้องสมมุติคำขึ้นมาว่า
اي هوسليمانُ اي الممدوحُ سليمان
3.เป็นมุบตะดาแต่ตัวค่อบัรนั้นจำเป็นต้องลบไป จึงเป็นเหตให้ต้องสมมุติคำขึ้นมาว่า(ข้อ3นี้เป็นความเห็นที่น้อยมากของนักวิชาการ ไม่เป็นที่แพร่หลาย)
اي سليمان الممدوح
**เรื่องราวของ المخصوص     นั้นได้มีระบุไว้ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนวิชานะฮูอันทรงคุณค่า)ว่า
وَيُذْكَرُالْمَخْصُوْصُ بَعْدُمُبْتَدَا         اَوْخَبَرَاسْمٍ لَيْسَ يَبْدُوْاَبَدًا
และคำที่เป็นمَخْصُوْصُนั้น ต้องถูกนำมา(ไว้)หลังจาก(อิเซ็มที่ถูกร่อเฟาะด้วยฟิอิ้ลทั้งสอง คือต้องถูกนำมาไว้หลังฟาอิ้ลของเนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า ด้วยเหตนี้เองนักตัฟซีรจึงได้ตัฟซีรคำว่าสุไลมานในอายะห์เมื่อสักครู่ขึ้นมา)นั้นโดยเป็นมุบตะดา(มุอั๊คค๊อร)   หรือ(ไม่เช่นนั้นคำที่เป็นمَخْصُوْصُ  ก็)เป็นค่อบัรของอิเซ็ม(ของมุบตะดา)ที่ไม่ปรากฏ(ที่ได้ถูกลบไป)ตลอดไป(คือมุบตะดาของคำที่เป็นمَخْصُوْصُ นั้นจะต้องไม่เปิดเผยตลอดไปเลย)
**ขอให้เราท่านทั้งหลายอย่าลืมอย่างนึงว่า เหตุที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสรรเสริญท่านนบีสุไลมาน ก็เหตุด้วยการกล่าวตัสเบี๊ยะห์แหละการกล่าวซิกิรอย่างมากมายของท่าน ตลอดเวลา ดังนั้นขอให้เราท่านทั้งหลายอย่าได้มองข้ามสิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็เพราะว่าการกล่าวตัสเบี๊ยะห์ และการกล่าวซิกิรอย่างเป็นประจำนั้น ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าแล้วถือว่ามีค่ามากกว่าเงิน มากกว่าทอง เป็นสิ่งทดแทน ที่ใครๆก็ทำได้ ขอให้มีแค่จิตรใจที่พร้อมที่จะภักดีต่อพระองค์ ก็เพียงพอแล้ว ยิ่งถ้าเราท่านทั้งหลายสามารถรู้ถึงเคล็ดลับต่างในคำตัสเบี๊ยะห์ และในการกล่าวซิกิรนั้นๆ ก็ถือว่าอัลฮัมดุลิ้ลาฮ์
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556  ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435(ขึ้นฮิจเราะห์ใหม่)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 เวลา 19.49.59 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์แหละอยู่สูงกว่าดาวพุธ Mercury ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 370213.98 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 370797.02กิโลเมตร
**วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก17.50.32วินาที  ดวงจันทร์ตก17.42.37วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก17.49.23วินาที ดวงจันทร์ตก17.41.24วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 58วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก17.55.22วินาที  ดวงจันทร์ตก17.47.25วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 57วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก17.56.51วินาที  ดวงจันทร์ตก17.48.57วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 54วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก17.56.07วินาที  ดวงจันทร์ตก17.48.11วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 56วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก17.55.03วินาที  ดวงจันทร์ตก17.47.04วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 58วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก17.56.47วินาที  ดวงจันทร์ตก17.48.51วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก17.55.47วินาที  ดวงจันทร์ตก17.47.51วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก17.54.50วินาที  ดวงจันทร์ตก17.46.51วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 59วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 17.57.53วินาที  ดวงจันทร์ตก17.50.03วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 51วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก17.53.28วินาที  ดวงจันทร์ตก17.45.40วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 48วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก17.55.39วินาที  ดวงจันทร์ตก17.47.43วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.32.28วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.23.57วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 8นาที 31วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก17.50.39วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.42.45วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 54วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ แหละวันที่ดูจันทร์เสี้ยวในครั้งนี้ดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.50.57 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.12.05วินาที ดุฮ์ริเวลา12.00.23วินาที อัสริเวลา15.20.01 วินาที มักริบเวลา 17.48.32 วินาที อีซาเวลา 19.01.17
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.52.43วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.13.49วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.02.15วินาที  อัสริเวลา15.21.56 วินาที  มักริบเวลา17.50.32 วินาที  อีซาเวลา 19.03.15
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.00.27 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.22.03วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.04.15 วินาที  อัสริเวลา 15.18.59 วินาที  มักริบเวลา 17.46.13 วินาที  อีซาเวลา 18.59.08 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.03.15วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.25.30วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.05.07วินาที  อัสริเวลา15.17.00วินาที  มักริบเวลา17.44.27วินาที  อีซาเวลา18.57.48วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 06:52 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re:อย่าลืมพระผู้เป็นเจ้า ฯลฯ
« ตอบกลับ #76 เมื่อ: ธ.ค. 02, 2013, 10:31 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ดังนั้นการสรรเสริญที่จะมีต่อไปนี้(ต่อจากบทความคราวที่แล้ว) คือบ่าวสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า อย่างเช่นที่เราท่านทั้งหลายได้กล่าวว่า อัลฮำดู่ลิ้ลลาฮ์
คำๆนี้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านก็ได้มีการกล่าวว่า อัลฮำดู่ลิ้ลลาฮ์ อีกเช่นกัน ซึ่งปรากฏอยู่ในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์อายะห์ที่2(ก็เพราะว่าอายะห์แรกก็คือบิสมิ้ลลาฮิรเราะห์มานิรร่อฮีมนั่นเอง)
สาเหตุที่คำว่า อัลฮำดู่ลิ้ลลาฮ์..... ซึ่งปรากฏอยู่ในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ ซึ่งถือว่าเป็นการสรรเสริญต่อพระผู้เป็นเจ้า ที่ออกมาจากปวงบ่าวนั้นก็เพราะว่า นักตัฟซีรกุรอ่านได้ให้ไปดูในคำว่า อียาก่านะบูดู้.....  ซึ่งก็ปรากฏอยู่ในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์อีกเช่นกัน เหตุผลก็คือความหมายของประโยคที่อยู่ก่อนอียาก่านะบูดู้.....นั้น ถือว่าเป็นการสมควรที่สุด ซึ่งต้องเป็นคำพูดที่ออกมาจากปวงบ่าวของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)
**ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นักวิชาการซึ่งผู้เชี่ยวชาญในการตัฟซีรอัลกุรอ่านจึงให้สมมุติคำขึ้นมาว่า
قولوابِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ مَالِكِ يَوْمِ الدِّينِ إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ اهْدِنَا الصِّرَاطَ الْمُستَقِيمَ صِرَاطَ الَّذِينَ أَنْعَمْتَ عَلَيْهِمْ غَيْرِ الْمَغضُوبِ عَلَيْهِمْ وَلَا الضَّالِّينَ
ดังที่มีระบุไว้ในคำอธิบายของนักตัฟซีรอัลกุรอ่านที่ว่า
وَيُقَدَّر فِي أَوَّلهَا قُولُوا لِيَكُونَ مَا قَبْل إيَّاكَ نَعْبُد مُنَاسِبًا لَهُ بِكَوْنِهَا من مقول العباد بسم الله الرحمن الرحيم
**มีรายละเอียดอีกนิดนึงว่า ในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์นั้น ถือว่ามีอยู่7อายะห์ด้วยกัน ดังนั้นทัศนะที่บอกว่าบิสมิ้ลลาเป็นส่วนหนึ่งจากซูเราะห์อัลฟาติฮะห์นั้น ให้ถือว่าอายะห์ที่ว่า ซี่รอต้อลล่ารี..... เป็นอายะห์ที่7
ส่วนในทัศนะที่ถือว่าบิสมิ้ลลาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากซูเราะห์อัลฟาติฮะห์นั้น ให้ถือว่าอายะห์ที่ว่า ฆอยริ้ลมัฆดู..... เป็นอายะห์ที่7 
**ท่านมุฮัมมัดบุตรท่านมาลิกอั(ผู้แต่ง ผู้เรียบเรียงอัลฟียะห์) ท่านก็ได้ทำการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าอีกเช่นกัน ซึ่งได้มีระบุไว้ในบทกลอน อัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่า)ของท่าน ซึ่งการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของท่านนั้น ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของบทกลอนอัลฟียะห์เลยทีเดียว
**การเริ่มต้นของบทกลอนอัลฟียะห์นั้นได้มีระบุไว้ว่า
قالَ محمدٌ هُوَابْنُ مالِكِ         اَحْمَدُرَبِّيَ اللهَ خَيْرَمَالِكِ
ท่านมุฮัมมัด คือบุตรท่านมาลิกได้กล่าวไว้ว่า         ฉันขอสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของฉัน (พระเจ้าของฉัน องค์อภิบาลของฉัน) คือพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุด(ทรงเป็นผู้ปกครองที่เลิศที่สุด)
**คำว่า   قالَ ในคำกลอนนี้นั้นเรียกว่า     مجازمرسل
เพราะใช้ฟิอิ้ลมาดี(แปลว่ากล่าวแล้ว) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นก็คือการที่(ผู้แต่ง เรียบเรียงอัลฟียะห์) กล่าวจริงๆนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นเลย(คือผู้แต่งตำรายังไม่ได้กล่าวเลย) แต่กำลังจะกล่าวหลังจากนี้
**การสรรเสริญประการสุดท้ายนั้นก็คือ บ่าวสรรเสริญบ่าวด้วยกันเอง(บ่าวชมบ่าวด้วยกันเอง)
**เรื่องจริงที่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นนั้นก็คือ บางคนถึงกับหลงในคำสรรเสริญเยินยอ หัวใจพองโต(ที่คนทั่วไปมักพูดกันว่า จะลอยแล้วๆ) จนกระทั่งลืมนึกถึงความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า ทรนง ภูมิใจ นึกแหละคิดเข้าข้างตัวเองเอาว่า สิ่งที่เกิดขึ้นได้นั้น เป็นความสามารถของตัวเองทั้งสิ้น โดยลืมนึกถึงการประทานให้ ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า เราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้นั้น จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น เพียงแต่ผ่านตัวของเราท่านทั้งหลายเท่านั้นเอง
**ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเราท่านทั้งหลายอ่านอัลกุรอ่านได้ถูกต้องแหละไพเราะฯลฯ(ที่นำการอ่านอัลกุรอ่านมายกตัวอย่างก็เพราะว่า ดีที่สุดคือคนเรียนอัลกุรอ่าน และสอนอัลกุรอ่าน) นั่นก็มาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นความสามารถของเราท่านทั้งหลายเอง ซึ่งพระองค์ต้องการทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งในความถูกต้องแหละความไพเราะของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน โดยผ่านมาจากตัวเราท่านทั้งหลายเท่านั้นเอง
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{ وَمَا بِكُم مّن نّعْمَةٍ فَمِنَ الله }
และไม่มีความโปรดปรานใดๆ ที่พวกท่านได้รับ(ที่มีอยู่ที่พวกท่าน อันได้แก่ เนีย๊ะมัติต่างๆ วิชาความรู้ ริสกี ความสุขสบายฯลฯ นอกจาก) นั่นมาจากพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทั้งสิ้น ซูเราะห์อันนะห์ลิ 16 อายะห์ที่53
ดังนั้นหน้าที่ของเราท่านทั้งหลายก็คือ ต้องขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้าให้มากๆ นึกถึงความโปรดปราณของพระผู้เป็นเจ้าให้มากๆ ที่พระองค์ได้เลือกให้แก่เราท่านทั้งหลาย อีกกระทั้งว่าเราท่านทั้งหลายต้องสอน แหละถ่ายทอดให้ผู้คนที่ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ให้ได้รับรู้ถึงสิ่งที่ถูกต้องมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าท่านยิ่งให้ท่านก็จะยิ่งได้ แล้วก็จะได้เพิ่มพูลจากพระผู้เป็นเจ้า
**ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้วิชาความรู้ทุกๆแขนง สืบทอดต่อๆกันไป รุ่นสู่รุ่นได้นั้นก็คือ ผู้รู้อย่าได้ปิดบังความรู้ อย่าได้หวงแหนความรู้ เรื่องจริงที่ปรากฏก็คือ ถ้าท่านยิ่งให้ ท่านก็จะยิ่งได้จากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด(ที่เราท่านทั้งหลายยังมองไม่เห็น)ก็คือภาคผลบุญจากพระผู้เป็นเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นความเป็นจริงแล้ว ภาคผลบุญอันนี้แหละ จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับเราท่านทั้งหลายทั้งในโลกหลังความตาย แหละโลกหน้าอาคิเราะห์(โลกที่เงินทองไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรได้เลย โลกที่เงินทองทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน จะไม่มีความหมายอะไรเลย)
**ต้องขอดุอาจากพระผู้เป็นเจ้า นักเรียนตั้งใจเรียน ครูตั้งใจสอน ผู้ปกครองตั้งใจส่ง อินซาอัลลอฮ์จะได้วิชา(เป็นคำพูดของญาติผู้ใหญ่ที่ได้ผล)อย่างแน่นอน
**คำว่า พอใจในสิ่งที่ตนเองมี(ในทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง) นั้น ถ้ามีอยู่ที่ใครแล้ว ความสุขกายสบายใจก็จะเกิดขึ้น กับคนๆนั้นทันที ข้อคิดอันนี้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้เคยบอกมาแล้ว ตั้งแต่พันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า ความร่ำรวยไม่ได้อยู่ที่มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ความร่ำรวยนั้น อยู่ที่ความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**เล่าจากอิบนิมัสอูด(ร.ด.)ว่า จะไม่มีการอิจฉากัน นอกจากสองประการนี้ คนที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ประทานทรัพย์สินให้แก่เขา เขาครอบครอง(ใช้ให้หมดไป)ในทางที่ถูกต้อง และผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ประทานความรู้ให้แก่เขา เขาได้ปฏิบัติตามความรู้นั้น และนำความรู้นั้นออกมาสอน รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**การดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้)
**ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่สามารถเห็นดวงจันทร์เสี้ยวได้) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     แหละท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ยังสั่งใช้ในเรื่องของการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ให้เอาเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้นด้วย ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น จะไปตามประเทศอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด(ต้องการบอกสิ่งที่ถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ประโยชน์จะเกิดเฉพาะผู้ที่แสวงหาความจริงเท่านั้น) อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้รับทราบกันมาแล้ว ตามที่ท่านอิบนิอับบัสได้บอกไว้ในช่วงท้ายฮะดิษ
     ผมขอให้แง่คิดง่ายๆว่า ง่ายๆไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ลองดูในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมดูว่า ในหนังสือดังกล่าวก่อนที่จะเริ่มฮะดิษ(กุร๊อยบ)บทนี้ ได้มีการตั้งชื่อบทนี้ไว้ว่าอย่างไร ถ้อยคำในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมเล่มดังกล่าวได้ตั้งชื่อบทไว้ว่า
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى، وَيَحْيَى بْنُ أَيُّوبَ، وَقُتَيْبَةُ، وَابْنُ حُجْرٍ، - قَالَ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى: أَخْبَرَنَا، وَقَالَ الْآخَرُونَ: - حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ وَهُوَ ابْنُ جَعْفَرٍ، عَنْ مُحَمَّدٍ وَهُوَ ابْنُ أَبِي حَرْمَلَةَ، عَنْ كُرَيْبٍ، أَنَّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ، بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ، قَالَ: فَقَدِمْتُ الشَّامَ، فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا، وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ، فَرَأَيْتُ الْهِلَالَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِينَةَ فِي آخِرِ الشَّهْرِ، فَسَأَلَنِي عَبْدُ اللهِ بْنُ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا، ثُمَّ ذَكَرَ الْهِلَالَ فَقَالَ: مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلَالَ؟ فَقُلْتُ: رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، فَقَالَ: أَنْتَ رَأَيْتَهُ؟ فَقُلْتُ: نَعَمْ، وَرَآهُ النَّاسُ، وَصَامُوا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ، فَقَالَ: " لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ، فَلَا نَزَالُ نَصُومُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلَاثِينَ، أَوْ نَرَاهُ، فَقُلْتُ: أَوَ لَا تَكْتَفِي بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ؟ فَقَالَ: لَا، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " وَشَكَّ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى فِي نَكْتَفِي أَوْ تَكْتَفِي
     บทสรุปนั้นก็คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ย่อมมีการผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความเห็นของอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ยุมโฮร)หรืออุละมาส่วนน้อย สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า มิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนใหญ่ จะถูกไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือมิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนน้อยจะผิดไปเสียทุกอย่าง ขอให้เราท่านทั้งหลายพิจรณาเป็นอย่างเป็นเรื่องไป
     สิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็คือสิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)นำมาบอกแก่เราท่านทั้งหลายไว้ สิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ทำให้เราท่านทั้งหลายเห็นฯลฯ(ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของศาสนา) เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะไม่ผิดเลยเพราะว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์(ซ.ล.)ไม่ได้พูด ไม่ได้บอก ไม่ได้ทำตามอารมณ์ของท่าน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้น ล้วนแล้วมาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ล้วนแล้วมาจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ต้องการให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มีการประพฤติ ได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้รู้กันได้ว่า ใครบ้างที่มีการภักดีต่อพระองค์
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556  ตรงกับวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556 เวลา 7.22.24 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์สูงกว่าดวงอาทิตย์แหละอยู่สูงกว่าดาวพุธ Mercury ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 360642.13 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 360892.76กิโลเมตร
**วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก17.49.19วินาที  ดวงจันทร์ตก18.16.17วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว26นาที 59วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก17.48.40วินาที ดวงจันทร์ตก18.15.26 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 46วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
3.ยะลา ดวงอาทิตย์ตก17.59.52วินาที  ดวงจันทร์ตก18.25.42วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25นาที 50วินาที  สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลายะหา ดวงอาทิตย์ตก17.58.45วินาที  ดวงจันทร์ตก18.24.33วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25นาที 49วินาที  สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลาเบตง ดวงอาทิตย์ตก118.00.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.25.48วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25นาที 45วินาที  สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.00.33วินาที  ดวงจันทร์ตก18.26.33วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที 00วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก17.52.08วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.16วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27นาที 09วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก17.58.25วินาที  ดวงจันทร์ตก17.24.17วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25นาที 52วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
นิดนึง
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก17.49.22วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.16.22วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว27นาที 0วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556  หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่เห็นได้ข่อนข้างยากสักนิดนึง
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2556 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2556  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.01.01 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.25.17วินาที ดุฮ์ริเวลา12.06.11วินาที อัสริเวลา15.21.54 วินาที มักริบเวลา 17.47.01 วินาที อีซาเวลา 19.02.36
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.02.43วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.26.57วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.08.03วินาที  อัสริเวลา15.23.53 วินาที  มักริบเวลา17.49.05 วินาที  อีซาเวลา 19.04.38
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.14.57 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.39.39วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.10.07 วินาที  อัสริเวลา 15.16.25 วินาที  มักริบเวลา 17.40.29 วินาที  อีซาเวลา 18.56.13 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.19.38วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.45.00วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.10.59วินาที  อัสริเวลา15.12.33วินาที  มักริบเวลา17.36.50วินาที  อีซาเวลา18.53.03วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 05, 2014, 07:48 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ Chanomsod

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
Re: อย่าลืมพระผู้เป็นเจ้า ฯลฯ
« ตอบกลับ #77 เมื่อ: ธ.ค. 03, 2013, 04:36 PM »
0
ยะซากั้ลลอฮุค็อยร็อน ค่ะ

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: เข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริ ตอนใหนแน่ ฯลฯ
« ตอบกลับ #78 เมื่อ: ธ.ค. 26, 2013, 03:23 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
   
**ช่วงนี้อากาศหนาวเย็นมากๆ อากาศที่ได้เปลี่ยนแปลงเป็นฤดูกาลต่างๆนั้น เป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น โดยพระองค์ได้ทรงสรรสร้างดวงอาทิตย์มา ให้มีค่าความเคลื่อนที่ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน ในรอบหนึ่งปี ค่าความเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์นี้ ตามหลักวิชาการจึงเรียกว่าค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์
**เวลาละหมาดฟัรดูทั้ง5เวลานั้น ได้ถูกบัญญัติขึ้นแก่ประชาชาติของท่านนบีมุฮำหมัด(ซ.ล.)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{أَقِمْ الصَّلَاة لِدُلُوكِ الشَّمْس} أَيْ مِنْ وَقْت زَوَالهَا {إلَى غَسَق اللَّيْل} إقْبَال ظُلْمَته أَيْ الظُّهْر وَالْعَصْر وَالْمَغْرِب وَالْعِشَاء {وَقُرْآن الْفَجْر} صَلَاة الصُّبْح {إنَّ قُرْآن الْفَجْر كَانَ مَشْهُودًا} تَشْهَدهُ ملائكة الليل وملائكة النهار
ท่านจงดำรงละหมาด(5เวลา ตามรุก่นและซะรัต เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย(คำว่าตะวันคล้อยตรงนี้ก็คือพ้น หรือคล้อยจากตรงกลางฟ้า แล้วกลางฟ้าคือตรงใหน กลางฟ้าก็คือเส้นเมอริเดี่ยนของสถานที่นั้นๆ หรือที่เรียกกันว่าเส้นลองติจูดของสถานที่นั้นๆนั่นเอง) จนกระทั่งพลบค่ำและการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณ แท้จริงการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยัน ซูเราะห์อัลอิสรออ์17 อายะห์ที่78
**คำว่า مِنْ وَقْت زَوَالهَا ที่นักตัฟซีรได้ตัฟซีรอย่างนี้แสดงว่า ลามในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นที่พระผู้เป็นเจ้าบอกว่า لِدُلُوكِ الشَّمْس ถือว่าเป็นลามอิบติดาอียะห์(ชี้ถึงการเริ่มต้น ก็แสดงว่าเริ่มต้นเข้าเวลาละหมาดฟัรดูดุฮ์ริก็คือ มื่อตะวันได้คล้อยไปแล้วเท่านั้น จะเริ่มต้นละหมาดฟัรดูดุฮ์ริก่อนตะวันคล้อยไม่ได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นก็จะพบว่าถ้าเริ่มละหมาดฟัรดูดุฮ์ริก่อนที่ตะวันจะคล้อย การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้โดยเด็ดขาด)
**แหละถือว่าได้อีกเหมือนกันที่ลามตัวนี้จะเป็นลามลิตตะลีล แหละก็ถือว่าได้อีกเหมือนกันที่ลามตัวนี้จะเป็นลาม ที่มีความหมายว่าบะด้า(มีความหมายว่า หลังจาก) สรุปก็คือว่าไม่ว่าลามตัวนี้จะมีความหมายว่าอย่างไรนั้น ก็จะต้องเริ่มเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริ เริ่มตั้งแต่ตะวันคล้อยไปแล้วเท่านั้น จะเริ่มต้นละหมาดฟัรดูดุฮ์ริก่อนที่ตะวันคล้อยไม่ได้โดยเด็ดขาด
**คำว่า وَقُرْآن الْفَجْر ที่นักตัฟซีรอัลกุรอ่านได้ตัฟซีรว่า صَلَاة الصُّبْح เพราะเป็นจุดประสงค์ของ  وَقُرْآن الْفَجْر ส่วนที่ใช้คำว่า وَقُرْآن الْفَجْر ก็เพราะว่าการอ่านอัลกุรอ่านนั้นเป็นรุก่นข้อนึงของการละหมาด
**อายะห์อัลกุรอ่าน ที่ระบุอยู่ข้างต้นนี้เป็นการระบุเวลาของการละหมาดทั้ง5เวลา กล่าวคือ ท่านจงดำรงละหมาด(เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย หมายถึงเวลาดุฮ์ริและเวลาอัสริ จนกระทั่งพลบค่ำหมายถึงการละหมาดตอนพลบค่ำ นั่นก็หมายถึงเวลามัฆริบและเวลาอิซาอ์ แหละส่วนการละหมาดยามรุ่งอรุณนั้นหมายถึงการละหมาดซุบฮิ   
**ดังนั้นเวลาจริงๆที่เราท่านทั้งหลายพบเห็นอยู่ทุกวันนี้ โดยมากทั่วๆไปจะคุ้นเคยอยู่กับเวลาสุริยคติปานกลาง หรือที่เราท่านทั้งหลายรู้จักกันว่า เวลาตามนาฬิกาข้อมือ(MSTย่อมาจาก Mean Solar Time) หรือเวลาของนาฬิกาแขวนต่างๆที่เราท่านทั้งหลายได้เห็นๆกันอยู่นั่นเอง
**เวลาสุริยคติปานกลางหรือเวลาของนาฬิกาข้อมือ (และเวลาของนาฬิกาแขวนนั้น) มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาใช้ เพื่อเป็นการแบ่งเวลาให้เราท่านทั้งหลาย รู้และดูกันได้อย่างง่ายๆ โดยแบ่งเวลาทั้งกลางวันแหละกลางคืนเท่าๆกันก็คือ24ชม.(กลางวัน12ชม. กลางคืนอีก12ชม. กลางวันเริ่มตั้งแต่6.00น.ถึง18.00น. ตรงนี้เองถ้าไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับหลักดาราศาสตร์แล้ว จะมีคนเข้าใจผิดคิดเอาเองว่า ทุกๆวันดวงอาทิตย์จะขึ้นเมื่อเวลา6.00น. และดวงอาทิตย์จะตกลับขอบฟ้าเวลา18.00น. และดวงอาทิตย์จะอยู่ตรงศรีษะเวลา12.00น.ในทุกๆวัน เป็นความเข้าใจที่ผิดแหละไม่ถูกต้อง ก็เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในโลกใบนี้นั้นไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย อย่างแน่นอน) เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้นั้นก็คือ เวลาของกลางวันแหละเวลาของกลางคืนไม่เท่ากัน
**ดังนั้นค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์นั้นมีความสำคัญมากๆต่อโลกของเราท่านทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นช่วงเดือนธันวาคมนี้ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์จะอยู่ไปทางใต้ประมาณลบ23 องศา นั่นก็แสดงว่าประเทศที่อยู่แถบขั้วโลกเหนือ ยุโรบ รัสเซีย จีน ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์แบบไม่ตรงๆ(ไม่เต็มที่)จึงทำให้อากาศหนาวเย็นมากๆ ลมพัดอากาศหนาวเย็นมา แม้กระทั่งกรุงเทพฯ ที่อยู่ที่เส้น13 ยังมีอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ แล้วประเทศที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกจะมีอากาศหนาวเย็นขนาดใหน อีกตัวอย่างก็คือช่วงเดือนเมษายน ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์จะอยู่ประมาณ 4ถึง14องศา นั่นก็แสดงว่าทั่วทั้งประเทศไทย กรุงเทพฯ(อยู่ที่เส้น13) แสงจากดวงอาทิตย์ได้ส่องลงมาตรงๆเลยจึงทำให้บ้านเราเมืองเรา อากาศร้อนจัดมากๆในช่วงเดือนเมษายนนั้น ส่วนช่วงเดือนมิถุนายน ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ จะขึ้นเหนือสุด จึงทำให้ประเทศแถบขั้วโลกใต้มีอากาศหนาวเย็นมากๆ ส่วนบางพื้นที่ก็เป็นฤดูฝน ฤดูกาลต่างๆจึงได้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุดังกล่าวมา
**แหละค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ ที่แตกต่างกัน ที่ไม่เท่ากันในแต่ละวันนี้เอง ได้ส่งผลทำให้เวลาของกลางคืนและเวลากลางวันนั้นไม่เท่ากันด้วย ในแต่ละวัน ดังนั้นถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าในบางวัน ในบางเดือนสว่างช้าและมืดไว(เวลากลางคืนมากกว่าเวลาตอนกลางวัน) แหละเราท่านทั้งหลายก็จะพบอีกว่า ในบางวัน ในบางเดือนสว่างไวและมืดช้า(เวลากลางวันมากกว่าเวลาตอนกลางคืน)เหตุการณ์อันนี้เราท่านทั้งหลายจะปฏิเสธกันไม่ได้เลย ก็เพราะว่าเราท่านทั้งหลายก็เห็นๆกันอยู่ ดังนั้นไม่ต้องดูอะไรให้มากมาย ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีๆแล้ว จะพบว่าบางปีแก้บวชยังไม่ถึง6โมงเย็นเลย(แสดงว่ามืดไว) ซึ่งในบางปีเราท่านทั้งหลายแก้บวชเกือบๆหนึ่งทุ่มก็ยังมี(แสดงว่ามืดช้า) นี่ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสรรสร้างมา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ยังประโยชน์ทั้งสิ้น
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{تُولِج} تُدْخِل {اللَّيْل فِي النَّهَار وَتُولِج النَّهَار} تُدْخِلهُ {فِي اللَّيْل}
فَيَزِيد كُلّ مِنْهُمَا بِمَا نَقَصَ مِنْ الْآخَر {وَتُخْرِج الْحَيّ مِنْ الْمَيِّت} كَالْإِنْسَانِ وَالطَّائِر مِنْ النُّطْفَة وَالْبَيْضَة {وَتُخْرِج الْمَيِّت} كَالنُّطْفَةِ وَالْبَيْضَة {مِنْ الْحَيّ وَتَرْزُق مَنْ تَشَاء بِغَيْرِ حِسَاب} أَيْ رِزْقًا وَاسِعًا
พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงให้กลางคืนเข้าไปในกลางวัน(คือทรงทำให้ส่วนหนึ่งของกลางคืนเข้าไปในกลางวัน ทำให้กลางวันยาว นานกว่ากลางคืน)และทรงให้กลางวันเข้าไปในกลางคืน(คือทรงทำให้ส่วนหนึ่งของกลางวันเข้าไปในกลางคืน ทำให้กลางคืนยาว นานกว่ากลางวัน) และทรงให้สิ่งที่มีชีวิต(อย่างเช่นมนุษย์แหละนก) ออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต(อย่างเช่นอสุจิแหละไข่ ตรงนี้ก็คือไข่นก) และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิต(อย่างเช่นอสุจิแหละไข่) ออกจากสิ่งที่มีชีวิต(อย่างเช่นมนุษย์แหละนก) และทรงให้ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยปราศจากการคำนวน ซูเราะห์อาลิอิมรอน3 อายะห์ที่27
**การแบ่งเวลาทั้งกลางวันแหละกลางคืนเท่าๆกัน24ชม.(ตามนาฬิกาข้อมือ นาฬิกาแขวน)นั้น นี่ก็คือเป็นการแบ่งเวลาของมนุษยชาติ ซึ่งมนุษยชาติเป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง เพื่อให้ง่ายต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะถ้าจะอาศัยเงาของแดดอย่างเดียวเพื่อกำหนดเวลาในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือใช้ในเชิงธุรกิจแล้ว ในช่วงหน้าฝนที่ไม่มีแดด หรือในตอนที่ฟ้ามืดครึ้ม หรือในขณะที่ฟ้ามืดยามค่ำคืน ก็จะไม่สามารถรับรู้ถึงเวลาณตอนนั้นๆได้เลย ว่ากี่โมงกี่ยามแล้ว
**ตรงนี้เองจึงทำให้ใครบางคนหรือใครหลายๆคน เข้าใจผิดคิดเอาเองว่า เมื่อกลางวันเริ่มตั้งแต่6.00น.ถึง18.00น. ดังนั้นเวลาที่ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ(ตรงเส้นเมอริเดี่ยน ณสถานที่ ที่นั้นๆ)ก็ต้องเป็นเวลา12.00น.เพราะเป็นเวลาที่อยู่ตรงกลางพอดี ต่อมาจึงได้เข้าใจผิดคิดเอาเองต่อไปอีกว่า เมื่อเลยเวลา12.00น.แป็ปเดียวประมาณ3-4วินาที ก็ถือว่าตะวันคล้อยแล้ว ก็ถือเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริแล้ว การเข้าใจในลักษณะแบบนี้นั้น ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลาม แหละไม่ถูกต้องตามหลักคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ที่บอกว่า ท่านจงดำรงละหมาด(5เวลา ตามรุก่นและซะรัต เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย(จริงๆ)
**ดังนั้นเวลาที่จะนำมาใช้ปฏิบัติศาสนกิจ ละหมาด5เวลาตามความหมายในอายะห์อัลกุรอ่านที่ได้กล่าวมา ก็คือเวลาของดวงอาทิตย์(ก็คือเวลาตามปฏิทินอิสลามนั่นเอง) เราท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่ว่า วันเวลาในโลกใบนี้นั้น ในบางวันดวงอาทิตย์ได้ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยน ณสถานที่ ที่แห่งหนึ่ง ก่อนเวลา12.00น.ก็มีด้วยซ้ำไป ยกตัอย่างเช่นวันศุกร์ที่27 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา  สถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ขึ้นจริงเวลา 5.49น. ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนจริงเวลา 11.51น.(เห็นใหมครับก่อน12.00น. ดวงอาทิตย์ได้ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนไปแล้ว) ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าจริงเวลา 17.53น. แหละในวันเวลาเดียวกัน ก็คือวันศุกร์ที่27 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา สถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ดวงอาทิตย์ขึ้นจริงเวลา 6.07น.(ตรงนี้ให้สังเกตว่า ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันแต่เวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจริง กับต่างกัน กับจังหวัดอุบลราชธานี)  ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนจริงเวลา 12.08น. ดวงอาทิตย์ได้ตกลับขอบฟ้าจริงเวลา 18.10น.
**ดังนั้นในวันศุกร์ที่27 กันยายน 2556ที่ผ่านมา สถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พอถึงเวลา12.01น.หรือ12.02น.หรือ12.03น.หรือ12.04น.หรือ12.05น. ได้เริ่มอาซานในวันศุกร์เลยถือว่าใช้ได้หรือไม่ คำตอบก็คือใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน อีกประการที่เป็นประเด็นสำคัญก็คือ พออะซานเสร็จผู้คนทั่วๆไป ก็ลุกขึ้นละหมาดสุนัตก่อนละหมาดวันศุกร์ก็ถือว่าใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะยังไม่เข้าเวลาดุฮ์ริ ดังนั้นจะถือว่า12.00น. ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนแล้ว ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะในวันเวลาดังกล่าวสถานที่แห่งนั้นในกรุงเทพฯ ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนเวลา12.08น. ดังนั้นเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริก็จะอยู่ที่12.09น. แหละที่ใช้ไม่ได้เลยอีกประการหนึ่งก็เพราะว่า คำสั่งใช้ที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งใช้เอาไว้แล้วว่า จะเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์ได้คล้อยไปแล้ว ตามหลักคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ที่บอกว่า ท่านจงดำรงละหมาด(5เวลา ตามรุก่นและซะรัต เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย ในอายะห์อัลกุรอ่านที่ได้กล่าวมา การละหมาดเป็นสิ่งที่ดี ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ใช่ว่าอยากจะอะซาน อยากจะละหมาดตอนใหนเวลาใดก็ได้ ตามแต่ใจ ต้องให้เริ่มเข้าเวลาก่อนจึงเริ่มอะซานได้ เริ่มละหมาดได้ นี่คือกติกาที่พระผู้เป็นเจ้าได้วางเอาไว้ เช่นเดียวกันในการแข่งขันวิ่ง ถ้านักกีฬาคนใดเริ่มสตาร์ทก่อนที่จะได้เวลา ที่กรรมการให้สัญญาณเริ่มวิ่ง เท่ากับเขาได้ทำฟาร์วแล้ว ถ้าเขาทำฟาร์วบ่อยๆก็โดนตัดออกจากการแข่งขันอย่างแน่นอน
**เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็คือ บ้านเราเมืองเราส่วนใหญ่แล้ว ยึดถือมัสฮับซาฟิอี(ร.ฮ.) ในวันศุกร์จะอาซานถึง3ครั้งด้วยกัน ก็คือเดิมๆการอาซานขณะที่ค่อเต็บนั่งบนมิมบัรจะขึ้นอ่านคุตบะห์(ถือว่าเป็นการอะซานครั้งที่1) และอิกอมะห์ก่อนละหมาด(การอิกอมะห์ก่อนละหมาดนับว่าเป็นการอาซานครั้งที่2) แต่เมื่อมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นในสมัยของท่านซัยยิดินาอุสมานบินอัฟฟาน จึงได้เพิ่มการอาซานอีกหนึ่งครั้ง จึงเป็นอาซาน3ครั้ง(ในสถานที่แห่งหนึ่งในตลาดของเมืองมะดีนะห์ชื่อว่าอัซเซารออ์) ดังนั้นท่านซัยยิดินาอุสมานบินอัฟฟาน ได้เพิ่มการอาซานอีกครั้งหนึ่งเมื่อตะวันได้เริ่มคล้อยไปแล้ว(เมื่อเริ่มเข้าเวลาดุฮ์ริไปแล้ว) ไม่ใช่อาซานก่อนตะวันจะคล้อย(ไม่ใช่อาซานก่อนเข้าเวลาดุฮ์ริ) แต่อย่างใด
**สรุปว่าเมื่อท่านซัยยิดินาอุสมานบินอัฟฟาน ได้เพิ่มอาซานไปอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นการอาซานเมื่อตะวันคล้อยไปแล้ว เมื่อเริ่มเข้าเวลาดุฮ์ริไปแล้วในวันศุกร์นั้นจึงกลายเป็นการอะซานครั้งที่1โดยปริยาย แหละการอะซานเมื่อค่อเต็บนั่งบนมิมบัรก็กลายเป็นการอะซานครั้งที่2 แหละการอิกอมะห์เพื่อจะกระทำละหมาดวันศุกร์ ก็ถือว่าเป็นการอะซานครั้งที่3
**ได้มีระบุในซอเฮี๊ยะห์บุคอรีว่า
حَدَّثَنَا آدَمُ، قَالَ: حَدَّثَنَا ابْنُ أَبِي ذِئْبٍ، عَنِ الزُّهْرِيِّ، عَنِ السَّائِبِ بْنِ يَزِيدَ، قَالَ: كَانَ النِّدَاءُ يَوْمَ الجُمُعَةِ أَوَّلُهُ إِذَا جَلَسَ الإِمَامُ عَلَى المِنْبَرِ عَلَى عَهْدِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَأَبِي بَكْرٍ، وَعُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، فَلَمَّا كَانَ عُثْمَانُ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ، وَكَثُرَ النَّاسُ زَادَ النِّدَاءَ الثَّالِثَ عَلَى الزَّوْرَاءِ قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ: " الزَّوْرَاءُ: مَوْضِعٌ بِالسُّوقِ بِالْمَدِينَةِ "
จากอัซซาอิบ อิบนุยะซีดเล่าว่า การอะซานในวันศุกร์นั้นครั้งแรกอะซานที่อิหม่ามนั่งที่มิมบัร(เกิดขึ้นใน)สมัยของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)และสมัยอะบีบักร และสมัยอุมัร ต่อมาในสมัยของอุสมาน ประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น การอะซานจึงเพิ่มขึ้นเป็นสามครั้งที่อัซเซารออ์ อะบูอับดุลลอฮ์กล่าวว่าอัซเซารออ์เป็นสถานที่แห่งหนึ่งในตลาดของเมืองมะดีนะห์
**ท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.) ท่านก็ได้ให้ความเห็นไว้ว่า จะต้องให้ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปก่อนเท่านั้น(เริ่มเข้าเวลาดุฮ์ริไปก่อนเท่านั้น) จึงจะเริ่มอะซานในวันศุกร์ได้ แหละท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.) ยังได้ให้ความเห็นอีกว่าถ้าอะซานในวันศุกร์ก่อนดวงอาทิตย์เริ่มคล้อย(ไม่นับว่าเป็นการอะซาน) ให้กลับมาอะซานใหม่หลังจากดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปแล้ว ซึ่งมีระบุไว้อย่างชัดเจนในหนังสืออัลอุมของท่าน
  [وَقْتُ الْأَذَانِ لِلْجُمُعَةِ]   
ِ (قَالَ: الشَّافِعِيُّ - رَحِمَهُ اللَّهُ تَعَالَى -) : وَلَا يُؤَذَّنُ لِلْجُمُعَةِ حَتَّى تَزُولَ الشَّمْسُ (قَالَ: الشَّافِعِيُّ) : وَإِذَا أُذِّنَ لَهَا قَبْلَ الزَّوَالِ أُعِيدَ الْأَذَانُ لَهَا بَعْدَ الزَّوَالِ فَإِنْ أَذَّنَ لَهَا مُؤَذِّنٌ قَبْلَ الزَّوَالِ وَآخَرُ بَعْدَ الزَّوَالِ أَجْزَأَ الْأَذَانُ الَّذِي بَعْدَ الزَّوَالِ وَلَمْ يُعَدْ الْأَذَانُ الَّذِي قَبْلَ الزَّوَالِ،
**ดังนั้นในปัจจุบันนี้(สมัยก่อนต้องดูเงาของวัตถุ)ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้อาซาน(มุอัรริน) ถ้าจะเพิ่มการอะซานแบบท่านซัยยิดินาอุสมานบินอัฟฟาน ในวันศุกร์ให้ดูก่อนว่า ณวันนั้นเข้าเวลาดูฮ์ริกี่โมง(ดูปฏิทินอิสลาม) เมื่อถึงเวลาดุฮ์ริแล้วจึงเริ่มอะซานได้ อย่าได้อะซานก่อนจะถึงเวลาละหมาดดุฮ์ริโดยเด็ดขาด
**อนึ่งเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมาจริงๆ ทรงสร้างให้เกิดขึ้นมาจริงๆในโลกดุนยาใบนี้นั้น เรียกว่าเวลาสุริยคติปรากฏ(ASTย่อมาจาก Apparent Solar Time) เป็นเวลาที่ใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น โดยที่จะรับรู้เวลาได้นั้น ต้องอาศัยการสังเกตเงาของวัตถุ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ในแต่ละวัน แต่ละวัน อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวัดเงาของดวงอาทิตย์นี้เรียกว่า นาฬิกาแดด ซึ่งปัจจุบันหาดูได้ยากมากๆ ซึ่งบางคนอาจไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำไป
**สาเหตุที่ผมเองได้นำเรื่องของเวลาทั้งเวลาของนาฬิกาข้อมือ แหละเวลาของนาฬิกาแดดมานำเสนอก็เพราะว่า เคยได้ยินคนๆหนึ่งพูดให้ฟังว่า มีผู้รู้สมัยก่อนได้พูดเชิงอธิบายให้คนเอาวามทั่วๆไปฟังว่า ให้ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ(หรือที่นาฬิกาแขวน)เมื่อถึงเวลา 12.00น.(ความหมายก็คือเขาเข้าใจผิดคิดเอาเองว่าเมื่อเวลา12.00น.ของทุกๆวัน ดวงอาทิตย์จะอยู่ตรงศีรษะแล้ว) หลังจากนั้นประมาณ3-4วินาที ก็เข้าเวลาดุฮ์ริแล้วเพราะตะวันได้คล้อยไปแล้ว ดังนั้นลูกศิษย์ลูกหาที่ไม่ได้ร่ำเรียนวิชาดาราศาสตร์อิสลามมา ก็เลยยึดถือปฏิบัตสืบต่อกันมาเลยว่า ในทุกๆวันพอเวลา12.00น.หลังจากนั้นประมาณ3-4วินาที ก็เข้าเวลาดุฮ์ริแล้ว บางคนก็เผื่อเวลาเป็น12.01 12.02 12.03 12.04 12.05น.บ้าง แล้วอาซานเลยโดยไม่ได้ใส่ใจเลยว่า ณวันนั้นเริ่มเข้าเวลาดุฮ์ริตามปฏิทินแล้วหรือยัง ตรงนี้ถือว่าถ้าได้ละหมาดดุฮ์ริก่อนเข้าเวลาดุฮ์ริตามปฏิทินณวันนั้น ถือว่าการละหมาดใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะดวงอาทิตย์ยังไม่ได้คล้อยเลย
**คำพูดที่บอกว่าทุกวันดูเวลานาฬิกาข้อมือ(หรือนาฬิกาแขวน) 12.00น. หลังจากนั้นประมาณ3-4วินาที ก็เข้าเวลาดุฮ์ริแล้ว ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลามอย่างแน่นอน ไม่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลามตรงที่ การที่จะเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริหรือเวลาละหมาดอื่นๆได้นั้น ตามหลักการของอัลอิสลามแล้วให้ใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น (วิธีการก็คือใช้เงาของวัตถุที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ เป็นตัวกำหนดเวลาละหมาดดุฮ์ริและเวลาละหมาดอัสริ แหละใช้การตกทั้งดวงของดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดเวลาละหมาดมัฆริบและเวลาละหมาดอิซา แหละใช้การขึ้นของดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดเวลาละหมาดซุบฮิ) ส่วนเวลาในนาฬิกาข้อมือ(หรือนาฬิกาแขวน)นั้น เป็นตัวช่วยให้เราท่านทั้งหลายดู(เทียบกับปฏิทินอิสลาม)เพื่อทำการละหมาดได้ถูกต้อง ได้ตรงตามเวลาที่ดวงตะวันได้คล้อยไปแล้วจริงๆ ณวันนั้นๆ แหละเป็นตัวช่วยให้เราท่านทั้งหลายดู(เทียบกับปฏิทินอิสลาม)เพื่อทำการละหมาดฟัรดูอื่นๆได้ถูกต้องตามเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการ
**บางคนอาจจะยังสงสัยว่า อ้าวแล้วทำไมเที่ยงตรง12.00น. ทำไมดวงตะวันจึงไม่ตรงศรีษระละ(จึงไม่ตรงเส้นเมอริเดี่ยนของที่สถานที่ต่างๆละ) คืออย่างนี้ในแต่ละวันนั้น เวลาที่ดวงอาทิตย์ตรงศรีษระ ตรงเส้นเมอริเดี่ยน จะมีเวลาที่ไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าสถานที่แห่งนั้นตั้งอยู่บริเวณใหน แล้วณวันนั้นๆค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์อยู่ที่เท่าไหร่นั่นเอง หลักวิชาการมีอยู่ว่าดวงอาทิตย์จะโคจรไปตามระนาบอิลิปติก เมื่อดวงอาทิตย์โคจรมาถึงเส้นเมอริเดี่ยน(ก็คือเส้นลองติจูดนั่นเอง)ของสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นก็จะเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะจริง แหละเวลาที่ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนจริงนั้นจะเป็นเวลาที่อยู่ตรงกลาง เป็นเวลาที่อยู่ครึ่งกลางระหว่างดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตกของวันนั้นๆ ของสถานที่นั้นๆ ดังนั้นจึงให้ดูปฏิทินอิสลาม(เพราะปฏิทินอิสลามได้คำนวณตามการเคลื่อนที่จริงของดวงอาทิตย์ ณวันนั้น)ก็จะสามารถรับรู้ได้เลยว่าในแต่ละวันนั้น ดวงอาทิตย์จะคล้อยหรือเข้าเวลาดุฮ์ริกี่โมง โดยให้ดูเทียบตามนาฬิกาข้อมือ หรือนาฬิกาแขวนได้เลย(ถ้าอยากจะรู้ถึงเวลาที่ถูกต้องจริงๆ ให้กด 181 แล้วโทรออก ก็จะสามารถเทียบเวลาได้ถูกต้องจริงๆตามมาตรฐานประเทศไทย)
**สรุปว่าในวันศุกร์นั้นจะเริ่มอะซานได้ ก็จะต้องให้ดวงอาทิตย์คล้อยไปก่อน จะต้องให้เข้าเวลาดุฮ์ริไปก่อนเท่านั้น(ดูปฏิทินอิสลามก็สามารถรู้ได้) จะถือว่าพอถึงเวลา12.00น.เลยไปประมาณ3-4วินาที คิดเองเออเองว่าดวงอาทิตย์คล้อยแล้ว เข้าเวลาดุฮ์ริแล้ว แล้วอะซานเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด การอะซานถือว่าใช้ไม่ได้ตามมติของอุละมาอ์ เพราะยังไม่เข้าเวลา นอกจากการอะซานของเวลาซุบฮิเท่านั้นที่อนุญาติให้อะซานครั้งแรกก่อนเข้าเวลาได้(ถ้าหากว่าตามปฏิทินอิสลามไม่ได้ระบุว่า ณวันนั้น เข้าเวลาดุฮ์ริเวลา12.00น.) โดยจะอ้างว่าผู้ใหญ่ บรรพบุรุษกระทำแบบนี้กันมาเป็นร้อยๆปีแล้ว ถือว่าไม่ได้โดยเด็ดขาด ก็เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าสั่งให้เอาดวงตะวันคล้อยเป็นเกณฑ์) ในข้อขัดแย้งต่างๆเกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้น เมื่อสิ่งใดไม่ตรงกับคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เป็นไปตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าทันที นั่นก็คือหน้าที่ของคนดี ผู้ที่ศรัทธา ซึ่งหวังในพระเมตาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งโลกดุนยาแห่งนี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์
**ในคนบางคนเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เป็นไปตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ ก็เพราะคิดอยู่เสมอว่า ถ้าจะเชื่อฟังตามคำตักเตือนของคนอื่น ก็เป็นการยอมรับโดยปริยายในความผิดของตน อันทำให้เกียรติต้องมัวหมอง จึงต้องรักษาเกียรติด้วยการกระทำผิดต่อไป เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่กระทำอยู่นั้นถูกต้องอยู่แล้ว ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ดีว่าได้กระทำความผิดอยู่
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَإِذَا قِيلَ لَهُ اتَّقِ اللَّه} فِي فِعْلك {أَخَذَتْهُ الْعِزَّة} حَمَلَتْهُ الْأَنَفَة وَالْحَمِيَّة عَلَى الْعَمَل {بِالْإِثْمِ} الَّذِي أُمِرَ بِاتِّقَائِهِ {فَحَسْبه} كَافِيه {جَهَنَّم وَلَبِئْسَ الْمِهَاد} الْفِرَاش هِيَ
และเมื่อมีผู้กล่าวกับเขาว่า จงยำเกรงพระองค์อัลเลาะห์ ซ.บ.เถิด(คือทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ และไม่ทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้) ความหยิ่งในเกียรติก็ยึดเอาเขาไว้ ให้กระทำบาปต่อไป สิ่งที่พอเพียงแก่เขาก็คือยะฮันนัม(นรก) และแน่นอนเป็นที่หลับนอนที่เลวร้ายยิ่ง(คือยะฮันนัม) ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์2 อายะห์ที่206
**ลามที่อยู่ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสว่า وَلَبِئْسَ ลามนี้อยู่ในฐานะเป็นยะวาบให้แก่ก่อซั่ม ดังนั้นจึงให้สมมุติคำขึ้นมาว่า  واللهِ
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)ได้ระบุเกี่ยวกับเรื่อง نِعْمَ وَبِِئْسَไว้อย่างชัดเจนว่า
**فِعْلاَنِ غَيْرُمُتَصَرِّفَيْنِ         نِعْمَ وَبِِئْسَ رَافِعَانِ اسْمَيْنِ
**(เนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า)เป็น2ฟิอิ้ลที่ไม่ใช่มุตะซอรเรฟ(คือกระจาย ผันคำไม่ได้เรียกว่ายามิด)         เนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่าทั้ง2เป็นผู้ทำให้อ่านร่อเฟาะกับอี่เซ็มของทั้ง2(คือเป็นฟาเอ้ลของทั้ง2นั่นเอง ก็คือเนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า เมื่อทั้ง2เป็นฟิอิ้ล ก็ต้องมีฟาเอิ้ลเป็นสิ่งปกติธรรมดา)
**คำว่า  هِيَ ที่นักตัฟซีรกุรอ่านได้ตัฟซีรออกมานั้น ก็เพราะอยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่า المخصوص بالذم
**ได้มีระบุไว้ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนวิชานะฮู)ว่า
وَيُذْكَرُالْمَخْصُوْصُ بَعْدُمُبْتَدَا         اَوْخَبَرَاسْمٍ لَيْسَ يَبْدُوْاَبَدًا
และคำที่เป็นمَخْصُوْصُนั้น ต้องถูกนำมาหลังจาก(อิเซ็มที่ถูกร่อเฟาะด้วยฟิอิ้ลทั้งสอง คือถูกนำมาไว้หลังฟาอิ้ลของเนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 06:54 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: เข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริ ตอนใหนแน่ฯลฯ
« ตอบกลับ #79 เมื่อ: ธ.ค. 31, 2013, 08:05 PM »
0
 :salam:
** เข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริ ตอนใหนแน่ด้านบน
**การดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้)
**ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่สามารถเห็นดวงจันทร์เสี้ยวได้) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     แหละท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ยังสั่งใช้ในเรื่องของการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ให้เอาเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้นด้วย ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น จะไปตามประเทศอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด(ต้องการบอกสิ่งที่ถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ประโยชน์จะเกิดเฉพาะผู้ที่แสวงหาความจริงเท่านั้น) อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้รับทราบกันมาแล้ว ตามที่ท่านอิบนิอับบัสได้บอกไว้ในช่วงท้ายฮะดิษ
     ผมขอให้แง่คิดง่ายๆว่า ง่ายๆไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ลองดูในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมดูว่า ในหนังสือดังกล่าวก่อนที่จะเริ่มฮะดิษ(กุร๊อยบ)บทนี้ ได้มีการตั้งชื่อบทนี้ไว้ว่าอย่างไร ถ้อยคำในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมเล่มดังกล่าวได้ตั้งชื่อบทไว้ว่า
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى، وَيَحْيَى بْنُ أَيُّوبَ، وَقُتَيْبَةُ، وَابْنُ حُجْرٍ، - قَالَ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى: أَخْبَرَنَا، وَقَالَ الْآخَرُونَ: - حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ وَهُوَ ابْنُ جَعْفَرٍ، عَنْ مُحَمَّدٍ وَهُوَ ابْنُ أَبِي حَرْمَلَةَ، عَنْ كُرَيْبٍ، أَنَّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ، بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ، قَالَ: فَقَدِمْتُ الشَّامَ، فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا، وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ، فَرَأَيْتُ الْهِلَالَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِينَةَ فِي آخِرِ الشَّهْرِ، فَسَأَلَنِي عَبْدُ اللهِ بْنُ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا، ثُمَّ ذَكَرَ الْهِلَالَ فَقَالَ: مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلَالَ؟ فَقُلْتُ: رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، فَقَالَ: أَنْتَ رَأَيْتَهُ؟ فَقُلْتُ: نَعَمْ، وَرَآهُ النَّاسُ، وَصَامُوا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ، فَقَالَ: " لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ، فَلَا نَزَالُ نَصُومُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلَاثِينَ، أَوْ نَرَاهُ، فَقُلْتُ: أَوَ لَا تَكْتَفِي بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ؟ فَقَالَ: لَا، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " وَشَكَّ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى فِي نَكْتَفِي أَوْ تَكْتَفِي
     บทสรุปนั้นก็คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ย่อมมีการผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความเห็นของอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ยุมโฮร)หรืออุละมาส่วนน้อย สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า มิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนใหญ่ จะถูกไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือมิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนน้อยจะผิดไปเสียทุกอย่าง ขอให้เราท่านทั้งหลายพิจรณาเป็นอย่างเป็นเรื่องไป
     สิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็คือสิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)นำมาบอกแก่เราท่านทั้งหลายไว้ สิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ทำให้เราท่านทั้งหลายเห็นฯลฯ(ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของศาสนา) เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะไม่ผิดเลยเพราะว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์(ซ.ล.)ไม่ได้พูด ไม่ได้บอก ไม่ได้ทำตามอารมณ์ของท่าน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้น ล้วนแล้วมาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ล้วนแล้วมาจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ต้องการให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มีการประพฤติ ได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้รู้กันได้ว่า ใครบ้างที่มีการภักดีต่อพระองค์
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซอฟัร ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ซอฟัร ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 เวลา 18.14.12 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 (ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์อยู่กลุ่มดาวโล่ scutum) ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 356987.78 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 357095.82กิโลเมตร
**วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.02.03วินาที  ดวงจันทร์ตก18.00.31วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์1นาที32วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.01.28วินาที ดวงจันทร์ตก17.59.35วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที54วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.13.22วินาที  ดวงจันทร์ตก18.09.18วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์4นาที4วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.12.01วินาที  ดวงจันทร์ตก18.08.06วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.13.47วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.09วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.04.51วินาที  ดวงจันทร์ตก18.03.31วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที20วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.11.40วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.51วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 48วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.42.53วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.41.09วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์1นาที45วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.02.06วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.00.36วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์1นาที30วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.15.39 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.40.33วินาที ดุฮ์ริเวลา12.20.14วินาที อัสริเวลา15.35.14 วินาที มักริบเวลา 17.59.59 วินาที อีซาเวลา 19.16.05
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.17.20วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.42.12วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.22.06วินาที  อัสริเวลา15.37.14 วินาที  มักริบเวลา18.02.03 วินาที  อีซาเวลา 19.18.08
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05..30.16วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.55.35วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.24.11 วินาที  อัสริเวลา 15.29.09 วินาที  มักริบเวลา 17.52.52 วินาที  อีซาเวลา 19.09.08 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.35.15วินาที  ตะวันขึ้นเวลา07.01.14วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.25.03วินาที  อัสริเวลา15.25.00วินาที  มักริบเวลา17.48.57วินาที  อีซาเวลา19.05.42วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 06:55 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
***พระผู้เป็นเจ้าทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่บกพร่อง
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{اللَّه الَّذِي رَفَعَ السَّمَاوَات بِغَيْرِ عَمَد تَرَوْنَهَا} أَيْ الْعَمَد جَمْع عِمَاد وَهُوَ الْأُسْطُوَانَة وَهُوَ صَادِق بِأَنْ لَا عَمَد أَصْلًا {ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْش} اسْتِوَاء يَلِيق بهْ {وَسَخَّرَ} ذَلَّلَ {الشَّمْس وَالْقَمَر كُلّ} مِنْهُمَا {يَجْرِي} فِي فَلَكه {لِأَجَلٍ مُسَمًّى} يَوْم الْقِيَامَة {يُدَبِّر الْأَمْر} يَقْضِي أَمْر مُلْكه {يُفَصِّل} يُبَيِّن {الْآيَات} دِلَالَات قُدْرَته {لَعَلَّكُمْ} يَا أَهْل مَكَّة {بِلِقَاءِ رَبّكُمْ} بِالْبَعْثِ {توقنون}
พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)เป็นผู้ทรงยกชั้นฟ้าโดยปราศจากเสาซึ่งที่พวกท่านทั้งหลายมองเห็น หลังจากนั้น(อะต๊อบนี้ไม่ได้มีความหมายถึงการเรียบเรียง)พระองค์ทรงมีอำนาจปกครอง(ควบคุม)เหนือบัลลังก์(ให้ความหมายแบบค่อละฟุซซอและห์) และทรงให้ดวงตะวันและดวงเดือนง่ายดาย(อยู่ในคำสั่งของพระองค์เพื่อยังประโยชน์แก่สรรพสิ่งทั้งมวล) ทุกสิ่งทั้งหมดได้โคจรไปตามวาระที่ถูกกำหนดไว้(ดูในซูเราะห์ยาซีนอายะห์38-40เพิ่มเติม) พระองค์ทรงบริหารกิจการงานทั้งหมด(ทั้งหมดในโลกเบื้องบน แหละในโลกเบื้องล่างฯลฯ) พระองค์ทรงจำแนกให้ชัดเจนบรรดาโองการ(สัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงถึงเดชานุภาพของพระองค์) เพื่อพวกท่านทั้งหลายจะได้มั่นใจ ในการได้พบกับพระผู้เป็นเจ้า(พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.))ของพวกท่าน(ด้วยการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ทั้งนี้ก็เพราะว่าผู้ที่มีความสามารถสรรสร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้นั้น ย่อมมีความสามารถทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้หลังจากที่ได้สิ้นชีพไปแล้ว) ซูเราะห์อัรเราะดู้ 13 อายะห์ที่2 
**คำว่า     ثُمّเดิมๆนั้น การอะต๊อบด้วยคำนี้นั้นจะมีความหมายตัรตีบอิงฟิซอล แต่ในอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้ถือว่า ไม่ได้มีความหมายตัรตีบอิงฟิซอล(ไม่ได้มีความหมายตามลำดับโดยทิ้งช่วงโดยเด็ดขาด)เพราะสำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว จะให้ความหมายแบบตัรตีบอิงฟิซอลไม่ได้โดยเด็ดขาด คือในอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้จะยึดถือว่า พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)เป็นผู้ทรงยกชั้นฟ้าโดยปราศจากเสาก่อน หลังจากนั้นจึงมีอำนาจปกครองเหนือบัลลังก์ ยึดถืออย่างนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
**ในอายะห์อัลกุรอ่านที่ระบุว่า คำว่า      ثُمّที่มีความหมายแบบตัรตีบอิงฟิซอล(มีความหมายตามลำดับโดยทิ้งช่วง)ก็มีเช่นกัน
***ดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 واللهُ خَلَقَكُمْ مِنْ تُرابٍ ثُم مِنْ نُطْفَةٍ
และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงสร้างพวกท่านมาจากดินหลังจากนั้นก็มาจากหยดน้ำอสุจิซูเราะห์ ฟาติร35 อายะห์ที่11 (และดูเพิ่มเติมที่ซูเราะห์มุมิน40 อายะห์ที่67)
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮู)ได้ระบุไว้ว่า
وَالْفَاءُلِلتَّرْتِيْبِ  بِاتِّصَالِ        وَثُمَّ لِلتَّرْتِيْبِ بِانْفِصَالِ
และฟานั้น(อะต๊อปคำที่มีความหมาย)ตามลำดับโดยต่อเนื่อง และ     ثُمّนั้น(อะต๊อปคำที่มีความหมาย)ตามลำดับโดยทิ้งช่วง
**ดังนั้นถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีๆในตัฟซีรยะลาลีน ตรงอายะห์อัลกุรอ่านที่ว่า  ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْش ได้ให้ความหมายว่า  اسْتِوَاء يَلِيق بهْ ซึ่งมีความหมายว่า หลังจากนั้นพระองค์ทรงอิสติวาอ์เหนือบัลลังก์ การอิสติวาอ์ที่เหมาะสมกับพระองค์เท่านั้น (ไม่เหมือนกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น) ดังนั้นการให้ความหมายอย่างนี้นั้นถือว่าเป็นการให้ความหมายในรูปแบบของบรรดาซะละฟุซซอและห์
**ส่วนนักวิชาการในยุคค่อละฟุซซอและห์ได้ให้ความหมายในรูปแบบแก้ไขว่า พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงมีอำนาจปกครอง(ควบคุม)เหนือบัลลังก์ นั่นก็หมายความว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีอำนาจปกครอง ทรงมีอำนาจปกครองควบคุมบังคับเหนือทุกๆสรรพสิ่งที่นอกเหนือจากพระองค์ ให้ดำเนินตามพระบัญชาของพระองค์ได้ทั้งหมดเลย ดังนั้นนักวิชาการจึงได้กล่าวไว้ว่าการให้ความหมายในทั้งสองรูปแบบนี้นั้น รวมถึงการยึดมั่นตามรูปแบบทั้งสองรูปแบบนี้นั้น ถือว่าถูกต้องใช้ได้
**ดังนั้นการที่จะให้ความหมายว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงนั่ง ประทับ สถิตอยู่บนบัลลังก์เลย เหมือนแบบเราๆท่านๆนั่งอยู่บนเก้าอี้ฯลฯ ไม่ได้โดยเด็ดขาด ซึ่งถือว่าผิดรูปแบบในการยึดมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างชัดเจน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่มีเรือนร่าง ไม่มีทิศ ไม่ต้องการที่ว่างฯลฯ นักวิชาการได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่นำพระผู้เป็นเจ้าไปเปรียบเทียบว่าเหมือนกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถือว่าถึงขั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาเลยทีเดียว ไม่ควรที่จะคิดแบบนั้นด้วย เพราะในเมื่อพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง พระองค์จะเหมือนกับสิ่งถูกสร้างได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในสติปัญญา หรือที่เราท่านทั้งหลายรู้กันว่ามุสตะฮีลปะด้าอะกอล
**สรุปว่าการยึดมั่นที่ถูกต้องนั้นก็คือ ไม่ได้ปฏิเสธการที่พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงอิสติวาอ์เหนือบัลลังก์ แต่ปฏิเสธการที่จะยึดมั่นว่าพระองค์ทรงนั่ง ประทับ สถิตอยู่บนบัลลังก์ เพราะพระองค์จะไม่เหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่ แหละพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)จะไม่เหมือนกับสิ่งใดๆทั้งสิ้นเลยโดยเด็ดขาด
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
  لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์(อัลเลาะห์(ซ.บ.)) และพระองค์ทรงได้ยินอีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَلَمْ يَكُنْ لَهُ كُفُوًااَحَدٌ
และไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์(อัลเลาะห์(ซ.บ.))ซูเราะห์อัลอิคลาส112 อายะห์ที่4
**ดังนั้นนักวิชาการที่ได้รับทางนำที่ถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ว่า เมื่อพบว่าอัลกุรอ่านอายะห์ใด หรือฮะดิษบทใดที่มีความหมายคล้ายๆกับว่าพระผู้เป็น จะไปเหมือน จะไปคล้ายกับสิ่งที่ถูกสร้าง(มัคโล๊ค) จะต้องให้ความหมายว่าหรือต้องตะวีล ให้เป็นสิ่งที่เหมาะสม แหละคู่ควรกับพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งเราท่านทั้งหลายไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นเช่นไร รู้ได้อย่างเดียวว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสม แหละคู่ควรกับพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นพอ โดยไม่เหมือนกับสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ต้องนำไปเปรียบเทียบ ไม่ต้องสงสัยต่อไม่ต้องถามต่อ
**ดังนั้นผู้ซึ่งที่รู้ถึงความหมายที่ถูกต้องที่สุดในคำว่าอิสติวาอ์อะลั้ลอัรซ์นั้นก็คือพระองค์(อัลเลาะห์(ซ.บ.)) ว่าอิสติวาอ์อะลั้ลอัรซ์คืออะไร หมายถึงอะไร อย่าลืมว่าอัลกุรอ่านเป็นภาษาอะหรับเพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล)เป็นคนอะหรับ สำนวนต่างๆในอัลกุรอ่านจึงสื่อให้คนอะหรับเข้าใจ ซึ่งบางทีความหมายที่ต้องการจริงๆอาจจะไม่ใช่ตามคำแปลแบบผิวเผินเลยก็เป็นได้ ผมจะยกตัวอย่างสักสิ่งหนึ่ง อย่างเช่นที่เขาพูดกันว่านายก.เหนือกว่านายข. คนฟังที่เป็นคนไทยจะเข้าใจได้เลยว่านายก.เหนือชั้นกว่านายข.(จะเรื่องใดบ้างก็แล้วแต่) ไม่ใช่ว่านายก.อยู่ข้างบน หรืออยู่ด้านบนนายข.แต่ประการใด แหละไม่ได้หมายความว่านายก.อยู่ภาคเหนือ และนายข. อยู่ภาคใต้ อีกตัวอย่างนึง อย่างที่คนไทยเราพูดกันติดปากว่า แกงสับนก(คนรุ่นใหม่อาจจะไม่เคยได้ยิน) เรื่องจริงที่คนไทยเข้าใจโดยทั่วไปก็คือ แกงน่าแกงจริงๆแต่ไม่ใช่ใส่นกสับไปในแกง แต่เป็นการใส่ปลาสับไปในแกงแทน เพียงแต่ชื่อที่เขาเรียกกันจนติดปากที่คนไทยเข้าใจก็คือแกงสับนก ไม่ใช่เรียกกันติดปากว่าแกงสับปลาหรือแกงปลาสับ
**ผมเองเห็นคำว่า اسْتِوَاء ทำให้ผมนึกถึงคำในหลักดาราศาสตร์ที่ว่า خَطّ الاستواء หมายถึงเส้นศูนย์สูตร(Equator)
**เส้นศูนย์สูตร(Equator)ของโลกนั้นก็คือ ระนาบของวงกลมใหญ่ที่อยู่บนผิวโลกโดยห่างจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เท่าๆกัน เก้าสิบองศา(เส้นลากตามแนวนอนของโลกใบนี้ เส้นแบ่งครึ่งโลกตามแนวนอน) แสดงว่าด้านบนเส้นนี้อีก90องศาเป็นขั้วโลกเหนือ แหละด้านล่างเส้นนี้อีก90องศาเป็นขั้วโลกใต้ ฟ้าก็มีเส้นศูนย์สูตรฟ้าอีกเช่นกัน โดยที่เส้นศูนย์สูตรฟ้าจะขนานกับเส้นศูนย์สูตรโลก ดังนั้นการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ตลอดทั้งปีจะทำมุมสูงสุด23.5องศา กับระนาบเส้นศูนย์สูตรฟ้า ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า ในขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์แกนโลกเอียง23.5องศานั่นเอง
**ขอให้เราท่านทั้งหลายได้พิจรณาดูถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ขอย้ำว่าเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆในอำนาจความสามารถของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น พระองค์สามารถบังคับให้ดวงอาทิตย์โคจรตามเส้นทางของมันทุกๆปีทุกๆปี และสามารถทำให้โลกนี้โคจรตามเส้นทางของมันทุกๆปีทุกๆปี พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้ดวงอาทิตย์มีค่าดิคลิเนชั่นเหมือนๆกันทุกๆปีทุกๆปี ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ สมัยที่ผมเรียนวิชาดาราศาสตร์อิสลามใหม่ ผมต้องสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ในน้ำร้อนบ้างแสบตาบ้างแต่ก็สนุกดี ซึ่งผมเองไม่แนะนำให้ใครนำไปทำอย่างนี้โดยเด็ดขาด เพราะว่าจะต้องรู้ถึงวิธีการทำที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะปลอดภัยกับสายตา สมัยนี้ดูผ่านฟิลเตอร์ก็นับว่าปลอดภัยกับสายตา แล้วก็ห้ามมองนานด้วย อีกอย่างห้ามนำฟิลเตอร์ไปติดกับกล้องสองตาโดยเด็ดขาด เพราะถึงแม้จะมีฟิลเตอร์แต่กล้องสองตาจะรับแสงมากกว่ากล้องตาเดียว ไม่ต้องดูอะไรมากมาย ลองลืมตาสองข้าง ลองเหลือบมองซ้ายขวาบนล่าง หลังจากนั้นหลับตาข้างเดียว แล้วลองเหลือบมองซ้ายขวาบนล่าง ก็จะสามารถรับรู้ได้เลยว่า แบบใหนเห็นมากกว่ากัน
**ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีแล้วพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกให้แกนโลกเอียง23.5องศา เมื่อโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์จะขึ้นด้านบนสูงสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลก23.5องศา ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว ด้านบนสูงสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลกมีถึง90องศาจนถึงขั้วโลกเหนือ
**ดังนั้นถ้าสมมุติว่าถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะกำหนดให้ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงไปเรื่อยๆจนถึง90องศาเลยจนถึงขั้วโลกเหนือ พระองค์ก็สามารถทำได้ ผลที่ตามมาที่เราท่านทั้งหลายสามารถสำผัสได้ก็คือ น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือก็จะละลายกลายเป็นน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ไม่มีอะไรจะสามารถต้านทานได้ ในขณะเดียวกันฝั่งขั้วโลกใต้ก็จะหนาวเหน็บเป็นน้ำแข็งทวีคูณไม่รู้จะกี่เท่ากี่เท่า กระทั่งสิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้(ทุกวันนี้แค่ดวงอาทิตย์ขึ้นด้านบนสูงสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลก23.5องศา ขั้วโลกใต้ยังหนาวเหน็บเป็นน้ำแข็งได้ขนาดนี้ ถ้าขึ้นสูงถึง90องศาจะเป็นอย่างไร) เช่นเดียวกันทั้งๆที่ด้านล่างสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลกมีถึง90องศาจนถึงขั้วโลกใต้ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะกำหนดให้ดวงอาทิตย์ลงไปเรื่อยๆจนถึง90องศาเลยจนถึงขั้วโลกใต้ พระองค์ก็สามารถทำได้ แต่ผลที่ตามมาที่เราท่านทั้งหลายสามารถสำผัสได้ก็คือ น้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ก็จะละลายกลายเป็นน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ไม่มีอะไรจะสามารถต้านทานได้ ในขณะเดียวกันฝั่งขั้วโลกเหนือก็จะหนาวเหน็บเป็นน้ำแข็งทวีคูณไม่รู้จะกี่เท่ากี่เท่า กระทั่งสิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้(ทุกวันนี้แค่ดวงอาทิตย์ลงสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลก23.5องศา ขั้วโลกเหนือยังหนาวเหน็บได้ขนาดนี้ มีหิมะสูงได้ขนาดนี้ ประเทศไทยเรายังหนาวได้ขนาดนี้ ถ้าดวงอาทิตย์ลงต่ำถึง90องศาจะเป็นอย่างไร) ทั้งหมดที่กล่าวมานี้นั้นเป็นอำนาจความสามารถของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ที่ใครก็ไม่สามารถจะกระทำได้ ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ยังประโยชน์แด่มวลสรรพสิ่งทั้งหลายอีกเช่นกัน
**อำนาจความสามารถฯลฯของพระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือทุกๆสรรพสิ่ง เพราะพระองค์เป็นพระผู้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่งทั้งมวล
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557 เวลา 4.38.34 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณแขนของกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ Aquarius) ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 358551.51 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 358185.28กิโลเมตร
**วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.18.08วินาที  ดวงจันทร์ตก18.48.32วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 30นาที24วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.17.08วินาที ดวงจันทร์ตก18.47.00วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 29นาที52วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.25.44วินาที  ดวงจันทร์ตก18.52.04วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที20วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.24.39วินาที  ดวงจันทร์ตก18.51.15วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที36วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.26.39วินาที  ดวงจันทร์ตก18.53.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที59วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.21.02วินาที  ดวงจันทร์ตก18.51.40วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 30นาที38วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.24.27วินาที  ดวงจันทร์ตก18.51.13วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที47วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.59.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.30.18วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 30นาที32วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.18.14วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.48.42วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 30นาที28วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.22.21 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.44.52วินาที ดุฮ์ริเวลา12.29.29วินาที อัสริเวลา15.47.40 วินาที มักริบเวลา 18.14.15 วินาที อีซาเวลา 19.28.11
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.24.05วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.46.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.31.21วินาที  อัสริเวลา15.49.37 วินาที  มักริบเวลา18.16.17 วินาที  อีซาเวลา 19.30.11
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05..33.59วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.56.52วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.33.24 วินาที  อัสริเวลา 15.44.38 วินาที  มักริบเวลา 18.10.08 วินาที  อีซาเวลา 19.24.11 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.37.43วินาที  ตะวันขึ้นเวลา07.01.14วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.34.15วินาที  อัสริเวลา15.41.48วินาที  มักริบเวลา18.07.31วินาที  อีซาเวลา19.22.02วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 06:57 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: ราอิดะห์ ฯลฯ
« ตอบกลับ #81 เมื่อ: ก.พ. 27, 2014, 08:26 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ไม่เหมือนกับสิ่งใด
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**ก๊าฟที่อยู่ในคำว่า كَمِثْلِهِ  ถือว่าเป็นก๊าฟที่เพิ่มมาเฉยๆ(ราอิดะห์)ไม่ได้มีความหมายอะไร ที่ถือว่าเป็นก๊าฟราอิดะห์ก็เพราะว่าไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) (พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดอีกด้วย)ส่วนคำว่า شَيْءٌ  ถือว่าเป็นอิสมุฮามุอั๊คค๊อร
ดังนั้นจึงให้ตั๊กดีรว่าلَيْسَ شَيْءٌمِثْلَهُ  ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)
**ดังนั้นถ้าจะอ้างว่าก๊าฟนี้ไม่ใช่ก๊าฟราอิดะห์ แสดงว่าก็จะต้องมีสิ่งที่ไปเหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)อย่างแน่นอน ก็เพราะว่า(ถ้าเป็นก๊าฟที่ไม่ใช่ก๊าฟราอิดะห์ก็จะต้องตั๊กดีรว่า لَيْسَ مِثْلَ مِثْلِهِ شَيْئٌ ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับของเหมือนของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)) ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยโดยเด็ดขาด ที่จะมีสิ่งที่เหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทุกรูปแบบ ดังเช่นหลักฐานทางอัลกุรอ่านข้างต้น ก๊าฟนี้จึงถือว่าเป็นก๊าฟราอิดะห์อย่างแน่นอน
**อนึ่งคำว่า لَيْسَ  นี้นั้นปฏิบัติงานก็เหมือนกับ كَانَ คือร่อเฟาะอิเซ็ม น่าซอบค่อบัร   
**ดังมีระบุไว้ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนวิชานะฮู)ว่า
كَكَانَ ظَلَّ بَاتَ اَضْحَى اَصْبَحَا         اَمْسَىوَصَارَ لَيْسَ زَالَ بَرِحَا
คำว่า ظَلَّ بَاتَ اَضْحَى اَصْبَحَ اَمْسَى صَارَ بَرِحَ لَيْسَ زَالَ ก็เช่นเดียวกับ كَانَ
** اي فى العمل   كاءنة ككان  كَكَانَ اي
**นักวิชาการได้มีการขัดแย้งกันในคำว่า لَيْسَ แต่ตามทัศนะส่วนมากถือว่า لَيْسَ นั้นเป็นฟิอิ้ล บางส่วนจากนักวิชาการถือว่า لَيْسَ นั้นเป็นฮุรุฟ
**หลักในการยึดถือก็คือ พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) พระองค์จะไม่เหมือนกับของใหม่ใดๆทั้งสิ้น พระองค์จะไม่เหมือนกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่(มั๊คโลคที่ถูกสร้าง)ใดๆทั้งสิ้นเลย แม้เพียงกระทั่งเพียงสิ่งเดียวก็จะไม่เหมือนเลย ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ต้องการที่ว่าง พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ต้องการ พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่มีสีสันใดๆทั้งสิ้นเลย ไม่เป็นชิ้นส่วน ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ฯลฯ ก็เพราะว่าการต้องการที่ว่างก็ดี แหละการมีสีสันก็ดีฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นคุณลักษณะทีมีปรากฏอยู่ที่ของใหม่(มั๊คโลคที่ถูกสร้าง)ทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อผู้ศรัทธาได้มีการยึดมั่นที่ถูกต้องดังกล่าวมาแล้ว ซัยตอนมารร้ายก็เริ่มมีแผนการ ทำหน้าที่หลอกลวง ได้เริ่มตั้งปัญหาให้เราท่านทั้งหลายไขว้เขวไปจากแนวทางที่ถูกต้องว่า เอ้าในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการที่ว่าง ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่มีสีสัน ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าเล็กก็ไม่เล็กใหญ่ก็ไม่ใหญ่ฯลฯ แล้วจริงๆพระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างไรละ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ที่ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าจะต้องตอบด้วยลิ้น พร้อมทั้งจะต้องยึดมั่นในหัวจิตหัวใจว่า อันเรื่องจริงๆของพระผู้เป็นเจ้านั้น ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถล่วงรู้ได้ นอกจากพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรอบรู้
**ดังนั้นตามหลักวิชาการในแล้ว ถ้าหากว่าได้มีปรากฏในตัวบทอัลกุรอ่านก็ดีหรือได้มีปรากฏในตัวบทอัลฮะดิษก็ดี ทำให้คล้ายๆกับว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไปเหมือนกับของใหม่ ดังนั้นเหล่าบรรดาบรรพชนชาวซะลัฟจึงให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ให้มอบหมายความหมายไปที่พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ที่เหมาะสมกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) เท่านั้น ส่วนบรรดาบรรพชนชาวค่อลัฟให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า จะต้องตะวีล(จะต้องแก้ไข)ความหมายให้เหมาะสมกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)
**ซัยตอนมารร้ายได้พยายามวางแผนทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ผู้คนหลงผิดจากแนวทางที่ถูกต้อง(เรียกว่าแสวงหาแนวร่วม แสวงหาสมัครพรรคพวก) แม้กระทั่งในแวดวงของสถานที่ ที่ใช้รวมตัวกันทำคุณความดี ผมเคยได้ยินคนดีๆหลายๆคน ได้พูดอยู่เป็นประจำว่า สาเหตุที่ไม่อยากจะไปสถานที่แห่งนั้น จริงๆแล้วไม่ได้เกลียดสถานที่แห่งนั้นเลย ไม่มีสักนิดเลยในหัวจิตหัวใจ แต่ไม่ชอบวิธีการ แหละไม่สนับสนุนการทำตัวของผู้ที่บริหารจัดการของสถานที่แห่งนั้น ที่พยายามทำให้สิ่งที่ถูกต้องณะฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า ให้กลับกลายเป็นสิ่งที่ผิดในสายตาของผู้คน ที่พยายามทำให้สิ่งที่ผิดณะฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า ให้กับกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของผู้คน  ใช้ความดื้อรั้นทำตามอารมณ์ของตัวเอง ใช้ความดื้อรั้นทำตามคำชักจูงของซัยตอนมารร้ายไปในทางที่ผิด ในสถานที่ที่ใช้เพื่อประกอบคุณความดี (ไม่เป็นไร ในสถานที่อื่นก็สามารถประกอบคุณความดีได้อีกเช่นกัน มีคำกล่าวคำหนึ่งที่เป็นความจริงก็คือ คนดีก็ดีอยู่วันยังค่ำ ส่วนคนไม่ดีก็ไม่ดีอยู่วันยังค่ำ(ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขนะ) แม้ว่าจะอยู่ในคราบของคนดี ตรงนี้ผมเองถือว่าน่าจะได้คิดพิจรณากันเป็นอย่างยิ่ง)
**ถ้าเราท่านทั้งหลายได้ย้อนกลับไปดูในหน้าประวัติศาสตร์ของอัลอิสลามแล้ว เราท่านทั้งหลายก็จะพบว่าเมื่อถึงยุคที่สังคมเสื่อนโทรม ในยุคที่สังคมไม่ได้เอาศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว ในยุคที่มัสยิดฮะรอมเต็มไปด้วยรูปปั้นผู้คนทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ท่านก็ได้ปลีกตัวของท่านเองจากสิ่งที่เลวร้ายต่างๆนาๆ ไปหาความสงบ เพื่อประกอบคุณความดีในถ้ำหิรออฺอีกเช่นกัน
**เล่าจากอะบีสะอีดอัลคุดรีย์ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า เกือบถึงเวลาแล้วที่ทรัพท์สินที่ดีที่สุดสำหรับมุสลิมคือ ฝูงแพะที่ติดตามเขาไปถึงยอดเขาสูง และแหล่งฝน เขาพาศาสนาของเขาหลบหนีไปจากความสับสนวุ่นวายต่างๆ รายงานโดยบุคอรี
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะอ์(ซ.บ.)พระองค์ไม่ได้แต่งตั้งนบีท่านใดมา นอกจากเขาต้องเป็นคนเลี้ยงแพะ ซอฮาบะห์(อัครสาวก)ของท่านได้ถามท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ว่า แม้แต่ท่านอย่างนั้นหรือ ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ตอบว่า ใช่แล้ว ฉันเคยเลี้ยงแพะแลกกับเศษเงินของชาวมักกะห์ รายงานโดยบุคอรี
**เล่าจากท่านสะอัด บุตร อะบีวักกอส(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า แท้จริงพระองค์อัลเลาะอ์(ซ.บ.)พระองค์ทรงรักบ่าวที่มีความยำเกรง ที่มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ที่หลบซ่อนตนเองเพื่อทำอิบาดะห์ รายงานโดยมุสลิม
**ดังนั้นหน้าที่ของผู้ศรัทธาอย่างแท้จริงก็คือ ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้าม ไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะอยู่ในสถานะใด
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 เวลา 14.59.42 วินาที มีมุมเงยประมาณ47องศา ขณะที่เกิดจันทร์ดับนี้ ทั้งสอง(ดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์)อยู่ที่กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ Aquarius ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม  พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณแขนของกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ Aquarius) ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 358551.51 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 362755.43กิโลเมตร
**วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.27.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.28.53วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที49วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.25.23วินาที ดวงจันทร์ตก18.26.52วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที28วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.28.43วินาที  ดวงจันทร์ตก18.28.09วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที34วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.28.03วินาที  ดวงจันทร์ตก18.27.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที25วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.30.27วินาที  ดวงจันทร์ตก18.30.18วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที9วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.30.07วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.08วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 2นาที0วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.28.05วินาที  ดวงจันทร์ตก18.27.47วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที18วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.09.59วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.11.36วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที37วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.27.15วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.29.06วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที51วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.15.08 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.34.35วินาที ดุฮ์ริเวลา12.29.34วินาที อัสริเวลา15.50.55 วินาที มักริบเวลา 18.24.45 วินาที อีซาเวลา 19.35.56
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.16.58วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.36.22วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.31.26วินาที  อัสริเวลา15.52.46 วินาที  มักริบเวลา18.26.41 วินาที  อีซาเวลา 19.37.50
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.20.25วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.40.25วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.33.24 วินาที  อัสริเวลา 15.54.26 วินาที  มักริบเวลา 18.26.42 วินาที  อีซาเวลา 19.38.08 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.21.28วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.42.08วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.34.16วินาที  อัสริเวลา15.54.20วินาที  มักริบเวลา18.26.45วินาที  อีซาเวลา19.38.40วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 06:58 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
كلام الله แหละคำสาปจากพระผู้เป็นเจ้า ฯลฯ
« ตอบกลับ #82 เมื่อ: มี.ค. 27, 2014, 08:08 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَكَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى تَكْلِيمًا
และพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)ทรงตรัสกับท่านนบีมูซา (โดยไม่ผ่านสื่อกลางท่านยิบรีล)ชนิดการตรัสจริงๆ  ซูเราะห์อันนิซาอ์4 อายะห์ที่164
**นักวิชาการได้บอกว่า สิ่งที่ปิดกั้น(ฮิยาบ)ได้หายไป ท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)จึงได้ยิน كلام القديم ของพระผู้เป็นเจ้า แหละบางส่วนของนักวิชาการได้บอกไว้อีกว่า ท่านยิบรีลก็ได้ไปพร้อมกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)ด้วย แต่ท่านยิบรีลไม่ได้ยิน  كلام القديم ของพระผู้เป็นเจ้าที่ท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)ได้ยิน
**ในปัจจุบันนี้ได้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) ของพระผู้เป็นเจ้า
**ดังนั้นตามอะห์ลิสซุนนะห์วั้ลยะมาอะห์ ซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด)นั้น เป็นคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า ที่มีมาแต่ดั้งเดิม ที่ดำรงอยู่ที่ซาตของพระองค์อ.ล.(ซ.บ.) การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีอักษรโดยเด็ดขาด แหละการพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีเสียงโดยเด็ดขาด ก็เพราะว่า ถ้าสมมุติว่า(เป็นแค่เรื่องสมมุติเท่านั้น) พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วมีอักษร หรือถ้าหากสมมุติว่า(เป็นแค่เรื่องสมมุติเท่านั้น)พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วมีเสียง แน่นอนเหลือเกินพระผู้เป็นเจ้าก็ต้องไปเหมือนกับของใหม่อย่างแน่นอน(ก็ต้องเหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่อย่างแน่นอน) เรื่องสมมุติดังกล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยตามหลักการยึดมั่น ของผู้ที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า
**ดังนั้นยังมีผู้ที่หลงผิดยึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดเหมือนเราๆท่านๆนี้แหละ(แต่จะไม่พูดตรงๆ โดยพูดแบบอ้อมๆว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดมีเสียงบ้าง พระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีอักษรบ้าง)
**ผมเองขอให้แง่คิดง่ายๆนะครับว่า(เหมือนเส้นผมได้บังภูเขาไปแล้ว) ในเรื่องของซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) นั้นควรต้องเสวนาอธิบายเรื่องอักษรก่อน จะเสวนาอธิบายเรื่องเสียงก่อนไม่ดีเท่าที่ควร(เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายสำหรับเราๆท่านๆ) ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า เมื่อเราท่านทั้งหลายยืนยันเลยว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้า (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)นั้นทรงตรัส ทรงพูดโดยไม่มีอักษร แน่นอนเหลือเกินว่าเราท่านทั้งหลายก็ยืนยันโดยอัตโนมัติเลยว่า พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงตรัส ทรงพูดโดยไม่มีเสียง เพราะว่าเสียงนั้นจะมีมาไม่ได้เลยถ้าไม่มีการเรียบเรียงมาจากอักษร ยกตัวอย่างเช่นนักกอรีทั่วทุกมุมโลก ที่มีเสียงที่ไพเราะจับใจผู้ฟัง มีการอ่านที่ถูกต้องตามหลักตัจวีด ถ้าสมมุติว่าถ้าไม่มีตัวบทบัญญัติที่เป็นอักษร ของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน เสียงการอ่านพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านที่ไพเราะจับใจผู้ฟัง จะมีมาได้อย่างไร
**ต่อนะครับในเรื่องของซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การอยู่ก่อน การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การอยู่หลัง การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การเอี๊ยะรอบ การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การบินาอ์ การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี) การอ่อนหวานหรือแข็งกระด้าง(ก็เพราะว่าการตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีอักษร เมื่อไม่มีอักษรก็ต้องไม่มีการเอี๊ยะรอบแหละต้องไม่มีการบินาอ์ฯลฯ โดยปริยาย) ดังนั้นซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) จึงแตกต่างกับลักษณะคำพูดของสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่ จึงแตกต่างกับลักษณะคำพูดของเราๆท่านๆอย่างสิ้นเชิง
**ประเด็นต่อเนื่องก็คือดังนั้นพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านที่เราท่านทั้งหลายเห็นกันอยู่นี้นั้น ตามหลักการยึดมั่นของอะห์ลิสซุนนะห์วั้ลยะมาอะห์ถือว่าเป็นของใหม่ حادثة ก็เพราะว่าในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้น มีทั้งอักษร มีทั้งการอยู่ก่อน มีทั้งการอยู่หลัง มีทั้งการเอี๊ยะรอบ มีทั้งซูเราะห์ แหละมีทั้งอายะห์
**เรื่องจริงๆก็คือว่าแท้จริงพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้น ทั้งหมดเป็นของใหม่ แต่ทว่าไม่อนุญาติที่จะกล่าวว่าพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นเป็นของใหม่ แหละไม่อนุญาตที่จะกล่าวว่า كلام الله เป็นของใหม่ สาเหตุที่ไม่อนุญาตที่จะกล่าวดังกล่าวมานั้น ก็เพราะว่า สิ่งที่ถูกเข้าใจมาจากพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน(คำสั่งใช้ คำสั่งห้ามฯลฯ)ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งเดียวกัน(เป็นอันเดียวกัน เหมือนกัน แหละตรงกัน กับสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าจะบอกมนุษยชาติ)ที่มีอยู่ใน صفة قديم  ของพระองค์(ก็คือว่าในเมื่อเราท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ พระผู้เป็นเจ้าก็ต้องลงพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านมาในรูปแบบที่มนุษยชาติสามารถทำความเข้าใจได้ เพื่อมนุษยชาติจะได้ถือปฏิบัติตามพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านซึ่งเป็นทางนำที่ถูกต้องที่สุดที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างถูกต้อง ตรงนี้ถือว่าต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดแล้วตามหลักการยึดมั่นของอะห์ลิสซุนนะห์วั้ลยะมาอะห์ สำหรับนักวิชาการที่ได้พูด ที่ได้กล่าวว่าพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นเป็นมั๊คโล๊ค
**เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นในคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ที่บอกในว่าท่านจงดำรงละหมาดเริ่มตั้งแต่ตะวันคล้อย
***ดังพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{أَقِمْ الصَّلَاة لِدُلُوكِ الشَّمْس} أَيْ مِنْ وَقْت زَوَالهَا {إلَى غَسَق اللَّيْل} إقْبَال ظُلْمَته أَيْ الظُّهْر وَالْعَصْر وَالْمَغْرِب وَالْعِشَاء {وَقُرْآن الْفَجْر} صَلَاة الصُّبْح {إنَّ قُرْآن الْفَجْر كَانَ مَشْهُودًا} تَشْهَدهُ ملائكة الليل وملائكة النهار
ท่านจงดำรงละหมาด(5เวลา ตามรุก่นและซะรัต เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย(คำว่าตะวันคล้อยตรงนี้ก็คือพ้น หรือคล้อยจากตรงกลางฟ้า แล้วกลางฟ้าคือตรงใหน กลางฟ้าก็คือเส้นเมอริเดี่ยนของสถานที่นั้นๆ หรือที่เรียกกันว่าเส้นลองติจูดของสถานที่นั้นๆนั่นเอง) จนกระทั่งพลบค่ำและการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณ แท้จริงการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยัน ซูเราะห์อัลอิสรออ์17 อายะห์ที่78 (รายละเอียดตรงนี้ผมเองได้เคยนำเสนอไปแล้ว)
**ดังนั้นอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้เอง เป็นคำสั่งใช้เกี่ยวกับเวลาของการละหมาดตามตัวบทของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านภาษาอะหรับ ซึ่งมนุษยชาติสามารถรับรู้ได้ เข้าใจได้ แล้วนำไปสู่การปฏิบัติได้ มีอีกประการหนึ่งก็คือถ้าหากสมมุติว่า พระผู้เป็นเจ้าเปิดฮิยาบ(ของกั้น)ให้เราท่านทั้งหลายได้รับรู้ แน่นอนเหลือเกินเราท่านทั้งหลาย ก็สามารถได้ยิน صفة قديم หรือ كلام القديم ของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับคำสั่งใช้ของการละหมาดตรงนี้ได้เลย(เหมือนอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้เคยเปิดของกั้นให้แก่ท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)มาแล้วเมื่อครั้งอดีตกาล กระทั่งท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)สามารถได้ยิน كلام القديم  ของพระผู้เป็นเจ้าได้)
**เฉกเช่นเดียวกันในโลกดุนยาใบนี้นั้น มีทั้งมนุษย์แหละมวลหมู่ยินอาศัยอยู่ แต่ที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถมองเห็นโลกของมวลหมู่ยินได้ในโลกดุนยาใบนี้นั้น ก็เพราะว่ามีสิ่งปิดกั้น ขวางอยู่นั่นเอง ซึ่งเราท่านทั้งหลายก็ขอจากพระผู้เป็นเจ้าอย่าให้ได้เห็นโลกของยินได้ในโลกดุนยาใบนี้เลย เพราะอาจจะเกิดความหวาดกลัวได้โดยง่าย แต่ทว่าในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นเราท่านทั้งหลายจะได้เห็นมวลหมู่ยิน ซึ่งมวลหมู่ยินจะไม่เห็นเราท่านทั้งหลาย สิ่งนี้เป็นความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีพระคุณได้บอกผมว่าสิ่งนี้เป็นคำสาปจากพระผู้เป็นเจ้า ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะให้เราท่านทั้งหลายเข้าใจแหละได้ยิน
كلام القديم  เพียงอย่างเดียวเลย โดยที่ไม่ต้องมีพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน พระผู้เป็นเจ้าก็ทำได้ แต่ทว่านั่นไม่ใช่ความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้
**ผมจะยกตัวอย่างอีกสักหนึ่งตัวอย่าง เราซึ่งเป็นมนุษย์เราจะสื่อสารให้คอมพิวเตอร์(ซึ่งไม่ใช่มนุษย์)ให้เข้าใจตามความต้องการของเราได้นั้น เราจะใช้ภาษามนุษย์ไม่ได้โดยเด็ดขาด คอมพิวเตอร์ก็จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดังนั้นเมื่อเราจะสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ให้เข้าใจ ต้องใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น จึงจะสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง อันได้แก่ภาษา c ฯลฯ หรือเบสิกง่ายๆถ้าหากว่าเราจะให้เอ็กเซลทำการคำนวนเวลาละหมาด หรือคำนวณสิ่งอื่นๆก็ต้องกดเท่ากับก่อนแล้วจึงใส่ตัวเลขไป คอมพิวเตอร์ถึงจะเข้าใจทันทีว่า ณตอนนี้เรากำลังต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำการคำนวนอยู่ วันหนึ่งผมเจอญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านบอกผมว่านักศึกษา หรือผู้คนทั่วไปที่สนใจวิชาดาราศาสตร์อิสลามมีน้อยก็เพราะเข้าใจว่าวิชาดาราศาสตร์อิสลามยาก ผมเองในฐานะที่ศึกษาวิชาดาราศาสตร์อิสลามมาโดยตรง มีเคล็ดลับอยู่อย่างเดียวถ้าใครมีจริงๆแล้ว ไม่ว่าจะศึกษาวิชาใดวิชานั้นง่ายทั้งหมด เคล็ดลับที่ว่าก็คือความสนใจ
**สรุปว่า ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องแหละแน่นอนก็คือ ตามแนวทางของผู้ที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่เชื่อ เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่ยึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วมีอักษร เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่เชื่อ เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่ยึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดมีเสียง (เมื่อเป็นแบบนี้ซัยตอนมารร้ายก็จะเข้ามาตั้งคำถาม ให้เกิดการสับสนในจิตใจของเราท่านทั้งหลายเลยว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดอย่างไรถึงไม่มีอักษร แล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดอย่างไรถึงไม่มีเสียง จะเป็นไปได้หรือ ในเรื่องนี้เราท่านทั้งหลายในฐานะผู้ที่ได้รับทางนำที่ถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้า บอกได้เลยว่าเราท่านทั้งหลายไม่สามารถรับรู้ได้ แหละไม่สามารถบอกได้เลยว่า แก่นแท้ในรูปแบบการตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร ก็เพราะว่าไม่มีใครที่เคยได้ยินนั่นเอง(นอกจากท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)) นั่นเป็นเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น 
**แต่ถ้าจะอธิบาย(เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายๆ)ในรูปแบบลักษณะการพูดของมนุษย์นั้น สามารถบอกได้เลยว่า เราท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่ว่า ในการพูดของมนุษยชาตินั้น การพูดแบบไม่ปรากฏอักษรให้เห็น แหละการพูดแบบไม่ปรากฏเสียงให้ได้ยินนั้น ใครๆก็ทำได้กันทั้งนั้น ใครๆก็พูดกันได้ทั้งนั้น(เส้นผมบังภูเขา) ลองพูดในใจดูซิ แล้วเราท่านทั้งหลายก็จะทราบได้เอง (ขอย้ำว่าตรงนี้ผมเองไม่ได้นำการพูดในใจ ไปเปรียบเทียบกับ  كلام الله كلام القديم  นะครับเพราะถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว นั่นเป็นคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า) ก็เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงยืนยันความบริสุทธิ์ของพระองค์ให้ออกห่างจากสิ่งที่บกพร่องต่างๆ
**พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนยันว่าพระองค์นั้นทรงไม่เหมือนกับสิ่งใดทั้งสิ้นเลย ไม่เหมือนทุกๆรูปแบบ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัส ทรงบอกทางนำที่ถูกต้องให้เราท่านทั้งหลายทราบมากันแล้ว ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**สำหรับบุคคลที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า ในเมื่อพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านได้บอกไว้ชัดๆอยู่แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ)  หลักฐานทางพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านตรงนี้ยังไม่พออีกหรือ ตรงนี้ต้องทบทวนให้ดี แล้วจะต้องไคว่คว้าหาหลักฐานอื่นๆกระนั้นหรือ แต่ถ้าพยายามแสวงหาหลักฐาน(ซะลัฟบ้าง ค่อลัฟบ้าง)อื่นๆมา โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดของตัวเอง เพื่อยืนยันความคิดของตัวเองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วได้ไปสวนทางกับความหมาย ได้ไปสวนทางกับทางนำที่มีระบุไว้อยู่ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งหลงผิดอย่างแน่นอน ก็เพราะว่าพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านคือทางนำ ดังนั้นคำพูดหรือการยึดมั่นที่สวนทางกับพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หลงผิดอย่างแน่นอน
**บทสรุปก็คือว่า ไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะพูดหรือเราท่านทั้งหลายจะทำอะไร ถ้ารู้อยู่ว่าการพูดก็ดี หรือว่าการกระทำก็ดี กำลังสวนทางกับคำสั่งใช้ สวนทางกับคำสั่งห้าม หรือสวนทางกับทางนำที่มีระบุไว้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านแล้ว อย่าทำโดยเด็ดขาด ก็เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินว่าผู้ใดกำลังพูดอะไรอยู่ อีกทั้งพระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเห็นว่าผู้ใดกำลังทำอะไรอยู่ นั่นก็หมายถึงการลงโทษที่จะได้รับในโลกหน้าอาคิเราะห์ ขอให้เราท่านทั้งหลายห่างไกลจากสิ่งหลงผิดดังกล่าวมาด้วยเถิด โอ้พระผู้เป็นเจ้า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**อย่ายึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้า(พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) การตรัส แล้วมีอักษร อย่ายึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้า(พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) การตรัสแล้วมีเสียง เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่หลงผิด ตามพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ดังกล่าวมา
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 เวลา 1.44.43 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 374714.93 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 373962.27 กิโลเมตร
**วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.29.21วินาที  ดวงจันทร์ตก19.03.22วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที1วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.28.02วินาที ดวงจันทร์ตก19.07.41วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33นาที39วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.25.20วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที18วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.25.09วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที29วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.28.00วินาที  ดวงจันทร์ตก18.59.46วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที46วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.33.43วินาที  ดวงจันทร์ตก19.07.56วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที13วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.25.28วินาที  ดวงจันทร์ตก18.57.04วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที36วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.14.51วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.48.47วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33นาที56วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.30.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.04.50วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที04วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.57.10 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.16.28วินาที ดุฮ์ริเวลา12.22.17วินาที อัสริเวลา15.40.35 วินาที มักริบเวลา 18.28.17 วินาที อีซาเวลา 19.39.21
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.59.06วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.18.21วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.08วินาที  อัสริเวลา15.42.18 วินาที  มักริบเวลา18.30.08 วินาที  อีซาเวลา 19.41.09
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.55.38วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.15.58วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.26.06 วินาที  อัสริเวลา 15.51.32 วินาที  มักริบเวลา 18.36.33 วินาที  อีซาเวลา 19.48.15 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.53.13วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.18.19วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.26.32วินาที  อัสริเวลา15.54.04วินาที  มักริบเวลา18.35.08วินาที  อีซาเวลา19.51.21วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 07:00 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**เรียกไม่ใช้เสียงพระผู้เป็นเจ้าให้ ใครก็ทำได้
**เพื่อนำพาความถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้าสู่เราท่านทั้งหลาย
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَلَمَّا أَتاَهاَ نُوْدِيَ مِنْ شاَطِئِ} جانب {الْوَادِ الْأَيْمَنِ} لِمُوسَى {فِي الْبُقْعَة الْمُبَارَكَة} لِمُوسَى لِسَمَاعِهِ كَلَام اللَّه فِيهَا {مِنْ الشَّجَرَة} بَدَل مِنْ شاطىء بِإِعَادَةِ الْجَار لِنَبَاتِهَا فِيهِ وَهِيَ شَجَرَة عُنَّاب أَوْ عَلِيق أَوْ عَوْسَج {أَنْ} مُفَسِّرَة لَا مخففة {ياَ مُوْسَى إِنيِّ ْأَناَ اللهُ رَبُّ الْعَالمَِيْنَ}
เมื่อเขา(นบีมูซา)ได้มาที่มัน(ไฟ คือพอมาถึงก็พบแสงสว่าง) เขา(นบีมูซา)ก็ถูกเรียก(ไม่ใช่เสียงที่บางกลุ่ม
เข้าใจแต่คือกะลามมุ้ลก่อดีมเพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงปราศจากจากสิ่งที่บกพร่อง)ถูกเรียกจากริมหุบเขา
ทางด้านขวามือ(ของเขา)ในสถานที่ซึ่งมีความศิริมงคล จากต้นไม้(ซึ่งมีอยู่ณ ที่แห่งนั้น)ว่าโอ้มูซา แท้จริง
ข้าคือพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) องค์อภิบาลแห่งโลกทั้งหลาย ซูเราะห์อัลก่อซ๊อซ อายะห์ที่30
**ท่านเซคมุฮำหมัดอาลีอัซซอบูนี ได้ระบุในตัฟซีรของท่านว่า เมื่อท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)มาถึงสถานที่นั้น กลับไม่พบไฟใดๆทั้งสิ้นเลย แต่สิ่งที่พบก็คือรัศมีอันจำรัส ก็มีการเรียกท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)มาจากทิศทางของต้นไม้ที่อยู่ริมเหวทางด้านขวาของท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม) เนื้อความที่เรียกมีดังต่อไปนี้ โอ้มูซาเอ๋ย แท้จริงผู้ซึ่งที่กำลังโต้ตอบกับท่านและกำลังพูดกับท่านนี้นั้น ก็คือเราเองพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ซึ่งทรงเกียรติยิ่ง ซึ่งทรงยิ่งใหญ่ยิ่ง ปราศจาก จากลักษณะที่บกพร่อง เป็นพระผู้เป็นเจ้าของมนุษยชาติ และเป็นพระผู้เป็นเจ้าของมวลหมู่ยิน และเป็นพระผู้เป็นเจ้าของทุกๆสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมดเลย
**ดังนั้นอย่ายึดถือว่าพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)พูดแล้วก็มีเป็นเสียงออกมาด้วย หรือเรียกก็มีเป็นเสียงออกมาด้วย อย่ายึดถืออย่างนั้นเด็ดขาด เพราะถ้าหากสมมุติว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียก พูดกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)แล้วมีเป็นเสียงขึ้นมา ก็จะไม่ต่างอะไรกับเราๆท่านๆฯลฯหรอก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด ที่พระผู้เป็นเจ้าจะเหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่ในทุกๆสภาพการ
**ดังนั้นจงอย่านำคุณลักษณะอันบกพร่องต่างๆ (ตรงนี้คุณลักษณะอันบกพร่องก็คือที่บอกว่า พระผู้เป็นเจ้าเรียก พูดกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม) แล้วมีเป็นเสียงด้วย) ดังนั้นตามหลักการยึดมั่นที่ถูกต้องนั้นก็คือ สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้วเรียก พูดกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม) จะไม่มีเสียงโดยเด็ดขาด อย่าลืมว่าทุกๆเรื่องที่ ใครบางคนมองว่ามหัศจรรย์ หรือมองคิดกันเอาเองว่า จะเป็นไปได้หรือที่เมื่อเรียก เมื่อพูดแล้วจะไม่มีเสียงดังออกมา ขอให้จงพิจรณากันมากๆนะครับว่า สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว สำหรับพระองค์แล้วเป็นเรื่องง่ายดายมากๆสำหรับทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเลย ไม่ว่าพระองค์ต้องการให้อะไรมีขึ้นมา แหละให้มีอย่างไรแหละต้องการให้สิ่งใดบังเกิดขึ้นมานั้น เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆสำหรับพระองค์ ง่ายมากเลยสำหรับพระองค์
**ถึงกระนั้นก็ยังมีคนบางกลุ่มยึดถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากเลยเมื่อพูดออกมาแล้ว จะไม่มีเสียงเกิดขึ้น ผมขอให้แง่คิดง่ายๆนะครับว่า สำหรับคนบางกลุ่มที่ยึดถือแบบที่กล่าวมานั้น อย่าว่าแต่พูดแล้วไม่มีเสียงออกมาเลย เรื่องยากๆกว่านี้พระผู้เป็นเจ้าก็ยังสรรสร้างมาแล้วมากมาย ไม่ต้องอะไรมากแค่มองแล้วพิจรณาในสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หรือไม่ต้องมองอะไรให้ไกลตัวแค่มองแล้วพิจรณาร่างกายของเราท่านทั้งหลายก็น่าจะเพียงพอแล้ว ส่วนถ้ายังคลางแคลงใจอีก จะถามว่ามีหลักฐานอะไรที่ยืนยันว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียก พูดแล้วไม่มีเสียง ผมขอนำมากล่าวแค่บางส่วนเท่านั้นนะครับ ซึ่งแค่นี้ก็คิดว่า น่าจะพอแล้วสำหรับผู้ที่ใฝ่หาความถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ
**สำหรับผู้ที่ยังคลางแคลงใจในอายะห์อัลกุรอ่านดังกล่าวมา ที่ผมบอกว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียกท่านนบีมูซานั้นจะไม่มีเสียงโดยเด็ดขาด ผมขอแนะนำแค่บางส่วนเท่านั้น คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา ดูในตัฟซีรอัลกุรอานนุ้ลกะรีมของท่านอิหม่ามอิบนิกะซีร ท่านได้ระบุว่า
وَقَوْلُهُ تَعَالَى: {أَنْ يَا مُوسَى إِنِّي أَنَا اللَّهُ رَبُّ الْعَالَمِينَ} أَيِ: الَّذِي يُخَاطِبُكَ وَيُكَلِّمُكَ هُوَ رَبُّ الْعَالَمِينَ، الْفَعَّالُ لِمَا يَشَاءُ، لَا إِلَهَ غَيْرُهُ، وَلَا رَبَّ سِوَاهُ، تَعَالَى وَتَقَدَّسَ وَتَنَزَّهَ عَنْ مماثلة المخلوقات في ذَاتِهِ وَصِفَاتِهِ، وَأَقْوَالِهِ وَأَفْعَالِهِ سُبْحَانَهُ
***สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีเสียง คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา ในตัฟซีรของท่านญะลาลุดดีน พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง(สิ่งที่ถูกกล่าว) อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง(สิ่งที่ถูกกระทำ) ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีเสียง คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา นักตัฟซีรอัลกุรอ่านได้อธิบายเอาไว้นะครับ ในตัฟซีร อิบนุอับบาสระบุว่า
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ} فِي الصّفة وَالْعلم وَالْقُدْرَة وَالتَّدْبِير {وَهُوَ السَّمِيع} لمقالتكم {الْبَصِير} بأعمالكم
**สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีเสียง คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา ให้พิจรณาดูในท่านเซคมุฮำหมัดอาลีอัซซอบูนี ได้ระบุในตัฟซีรของท่านว่า
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ} أي ليس له تعالى مثيلٌ ولا نظير، لا في ذاته ولا في صفاته ولا في أفعاله، فهوالواحد الأحد، الفردُ الصمد والغرضُ: تنزيهُ الله تعالى عن مشابهة المخلوقين،
**การเรียกนั้นไม่จำเป็นเสมอไปที่ต้องมีเสียงออกตามมา ลองย้อนกลับดูในครั้งอดีตกาล เมื่อครั้งที่ท่านนบีสุไลมาน(อะลัยฮิสสะลาม)เรืองอำนาจอยู่นั้น ท่านเรียกใช้นกด้วยเสียงหรือด้วยอะไร ท่านเรียกใช้มวลหมู่ยินด้วยเสียงหรือด้วยอะไร ท่านเรียกใช้ฯลฯ ด้วยเสียงหรือด้วยอะไร เราท่านทั้งหลายก็สามารถเรียกหรือพูดกับใครก็ได้ โดยไม่มีเสียงออกมาเลย(ไม่บ้าก็ทำได้) ใครๆก็ทำได้ ลองเรียกใครหรือพูดกับใครในใจดูซิ แต่ที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถทำได้ก็คือ คนที่เราเรียกหรือพูดกับเขาในใจของเรานั้นเราท่านทั้งหลาย ไม่สามารถทำให้เขาได้ยินเสียงเรียกแหละไม่สามารถทำให้เขาได้ยินคำพูดของเราท่านทั้งหลายได้เท่านั้นเอง แต่สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ผมย้ำนะครับว่า ผมไม่ได้นำการพูดของพระผู้เป็นเจ้ามาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับการพูดในใจนะครับ เพียงแต่ให้ลองพิจรณากันเท่านั้นเอง
**ในบางเรื่องนั้นผมได้ยินมามากต่อมากแล้วว่า สะลัฟพูดว่าอย่างไร ถึงขนาดว่าให้เอาคำพูดของสะลัฟมายืนยัน แนะนำว่าไม่ว่าคนยุคใหนก็ตามจะสะลัฟก็ดีหรือค่อลัฟก็ดี หรือผู้คนในยุคของเราท่านทั้งหลายก็ดี ถ้าพูดตามอัลกุรอ่านแหละพูดตามอัลฮะดิษซึ่งได้ดำเนินตามความหมายที่ถูกต้องจริงๆแล้ว เชื่อถือได้ทั้งหมดเลย แล้วนำมาปฏิบัติ รับรองว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักอย่างแน่นอน
**พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ} اخْتَلَفْتُمْ {فِي شَيْء فَرُدُّوهُ إلَى اللَّه} أَيْ إلَى كِتَابه {وَالرَّسُول} مُدَّة حَيَاته وَبَعْده إلَى سُنَّته أَيْ اكْشِفُوا عَلَيْهِ مِنْهُمَا {إنْ كُنْتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاَللَّهِ وَالْيَوْم الْآخِر ذَلِكَ} أَيْ الرَّدّ إلَيْهِمَا {خَيْر} لَكُمْ مِنْ التَّنَازُع وَالْقَوْل بِالرَّأْيِ {وَأَحْسَن تَأْوِيلًا} مَآلًا
ถ้าหากพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ให้พวกท่านจงนำกลับไปสู่พระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)(หมายถึงนำสิ่งที่ขัดแย้งกันมาตรวจสอบว่าในอัลกุรอ่านกล่าวไว้ว่าอย่างไร)และศาสนทูตเถิด(หมายถึงนำสิ่งที่ขัดแย้งกันมาตรวจสอบว่าในอัลฮะดิษกล่าวไว้ว่าอย่างไร)) หากพวกท่านศรัทธาต่อพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่ง และเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่59
**ผมจะนำแค่เล็กๆน้อยๆในความสามารถของพระผู้เป็นเจ้า อย่างเช่นอีกสองสามวันข้างหน้านี้ จะตรงกับวันที่27 เมษายน 2557 ในวันดังกล่าวดวงอาทิตย์ จะตั้งฉากกับกรุงเทพฯคือ 90องศา คือในวันดังกล่าวค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ตรงกับค่าแลตติจูดของกรุงเทพฯ(ภาษาชาวบ้านก็คือดวงอาทิตย์ ตรงศรีษะเป๊ะๆ ให้ดูปฏิทินอิสลามก่อนเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริของกรุงเทพฯ สักหนึ่งนาที ประมาณเวลา12.14น.(ย้ำนะครับไม่ใช่12.00น. อย่างที่ใครเข้าใจผิดคิดเอาเองว่าทุกวัน เวลา12.00น.ดวงอาทิตย์จะตรงศรีษะ) ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ลองไปยืนกลางแจ้งดูท่านจะพบว่าในเวลาดังกล่าว ถ้าพื้นที่ท่านยืนไม่โอนเอียง เป็นพื้นราบปกติ เงาของท่านทั้งหลายจะไม่มีเลย เงาของต้นไม้ เงาของตึกก็จะไม่มีเลยอีกเช่นกัน เงาฯลฯก็จะไม่มีเลยอีกเช่นกัน จะเป็นอย่างนี้ทุกๆปีเลย เพราะดวงอาทิตย์ตรงศรีษะเป๊ะๆ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามองตามหลักผิวเผินแล้ว เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งฉากตรงกับกรุงเทพฯในวันที่27 เมษายน 2557 ดังนั้นวันที่27 เมษายน 2557 กรุงเทพฯก็จะร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปี เพราะแสงลงมาตรงๆเลย นี่พูดกันตามหลักแบบเราๆท่านๆ แต่สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้วยังมีอะไรๆที่เราท่านทั้งหลายคิดไม่ถึง คือในวันที่ 27 เมษายน 2557 ถ้าพระผู้เป็นจะไม่ให้กรุงเทพฯร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปีในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ทำได้ พระองค์ก็แค่ให้ฝนมาฟ้ามืด หรือไม่ก็ให้ท้องฟ้าครึ้มทั้งวัน แค่นี้ในวันที่ 27 เมษายน 2557 กรุงเทพฯอากาศก็ไม่ร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปีแล้ว เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ ดังนั้นจงอย่าเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วก็ต้องมีเสียง เพราะนั่นเท่ากับว่ากำลังทำให้พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดขึ้นมาใหม่ อีกทั้งเท่ากับว่ากำลังลดค่าในความสามารถของพระองค์ การที่พระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วก็ต้องมีเสียงนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในสติปัญญา(ขนาดท่านนบีมูซาเองยังรู้แน่ชัดเลยเมื่อเห็นรัศมีที่ต้นไม้นั้น รู้แหละมั่นใจว่าแบบนี้ใครก็ทำไม่ได้ นอกจากพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.) เท่านั้น แต่ทำไมหนอยังมีการลดค่าความสามารถของพระผู้เป็นเจ้ากันอีก โดยอ้างว่าเมื่อเรียก เมื่อพูดก็ต้องมีเสียงออกมา ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายขนาดฟ้าลั่น พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมาโดยไม่ให้มีเสียงก็ยังมีเลย) เพราะพระผู้เป็นเจ้าก็ระบุชัดๆอยู่แล้วในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง(สิ่งที่ถูกกล่าว) อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง(สิ่งที่ถูกกระทำ) ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11 แหละยังมีการตัฟซีรของอายะห์นี้ หลายตัฟซีรรุ้ลกุรอ่านด้วยกันเกี่ยวกับอายะห์นี้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เป็นแค่บางส่วนจากหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้ว ไม่มีเสียง
****พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَمَاذَا بَعْد الْحَقّ إلَّا الضَّلَال} اسْتِفْهَام تَقْرِير أَيْ لَيْسَ بَعْده غَيْره فَمَنْ أَخْطَأَ الْحَقّ وَهُوَ عِبَادَة اللَّه وَقَعَ فِي الضَّلَال {فَأَنَّى} كَيْفَ {تُصْرَفُونَ} عَنْ الْإِيمَان مَعَ قِيَام الْبُرْهَان
ไม่มีอะไรภายหลังจากสัจธรรมอีกแล้ว นอกจากความหลงผิด ทำไมเล่าพวกท่านจึงถูกหันเหออกไป ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่32
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 เวลา 13.14.23 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 383632.05 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 382914.75 กิโลเมตร
**วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.34.11วินาที  ดวงจันทร์ตก18.42.24วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 13 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.31.03วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.11วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 8 วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.22.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.00วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 6 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.23.10วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.15วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 5 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.26.26วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.37วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 12 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.37.36วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.56วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 20 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.23.45วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.51วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 6 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.19.52วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.27.28วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 7 นาที 36 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.34.34วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.47วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 8 นาที 14 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
(เพราะว่าการทำมุมกันนั้น ยังมีน้อยเกินไป น้อยเกินที่จะเห็นแสงจันทร์เสี้ยวได้ และดวงจันทร์ก็อยู่ต่ำมาก แหละอีกประการหนึ่ง ที่ควรคำนึงถึงก็คือ ถ้าหากว่าเริ่มเดือนใหม่ ในวันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557 วันที่จะดูจันทร์เสี้ยวในครั้งต่อไปนั้น ก็จะดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์ทันที)
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 25, 2014, 01:30 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re:ดวงอาทิตย์อยู่ตรงกะบะห์ฯลฯ
« ตอบกลับ #84 เมื่อ: พ.ค. 24, 2014, 07:57 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**กิบลัตนั้นก็คือ(ขอย้ำครับว่า  สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นแนวคิด  เป็นแนวปฏิบัติของท่านอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  และเป็นแนวปฏิบัติของทุกๆคนที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  ทุกๆมัสยิดที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ เป็นแนวปฏิบัติที่ละเอียดที่สุด ตรงกับตัวบทอัลกุรอ่านแหละอัลฮะดิษมากที่สุด)  จุดๆหนึ่งหรือสถานที่แห่งหนึ่ง  ที่ผู้คนทั่วทุกมุมโลก  จำเป็นต้องผินเข้าหา  ในขณะปฏิบัติศาสนกิจในขณะละหมาด  เพราะว่าการผินเข้าหากิบลัตนั้น  ถือว่าเป็นซารัตเป็นกฏเกณฑ์  เป็นกฏระเบียบข้อหนึ่งที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ  เพื่อให้การละหมาดของเราท่านทั้งหลายมีผลใช้ได้  เป็นการละหมาดที่ไม่สูญเปล่า  แหละเป็นการละหมาด  ที่ถูกตอบรับจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  ที่เรียกว่ากิบลัตก็เพราะว่าทุกๆคนทั่วทุกมุมโลก  ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้จะต้องผินเข้าหาในขณะเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า  โดยมาในรูปแบบของการทำละหมาด  ที่เรียกว่ากะบะห์  ก็เพราะว่ารูปทรงเป็นจุดเด่น สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม แต่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมจตุรัส สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่เรียกว่าบัยตุ้ลลอฮ์ ก็เพราะว่าทุกๆปีจะมีผู้คนแวะเวียนไปที่บัยตุ้ลลอฮ์อยู่ตลอดเวลา
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَوَلِّ وَجْهك} اسْتَقْبِلْ فِي الصَّلَاة {شَطْر} نَحْو {الْمَسْجِد الْحَرَام} أَيْ الْكَعْبَة
 ดังนั้นท่านจงผินใบหน้าของท่าน(หน้าอกของท่าน)ไปในทางมัสยิดฮะรอม(ไปในทางกะบะห์)
**ตรงคำว่า  “ท่านจงผินใบหน้าของท่าน”คำว่า "ใบหน้า  นักอธิบายอัลกุรอ่านให้ความหมายว่า  "หน้าอก"  ตรงนี้ตามหลักบะลาเฆาะร์  เรียกว่า "มะยาร  มุรซั้ล  มิมบาบิอิตลากิ้ลยุร  วะอิรอดะติ้ลกุ้ล"  คือพระผู้เป็นเจ้า พูดแค่ใบหน้า  แต่ความหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่จะสั่งใช้  ก็คือทั้งหมดร่างกายเลย  ดังนั้น เมื่อละหมาดจำเป็นต้องผินหน้าอกไปทางกิบลัต  แค่ผินหน้าอกร่างกายทุกส่วน  ก็จะหันไปทางกิบลัตทั้งหมดเลย  โดยอัตโนมัต
คำว่า {شَطْر}  อยู่ในหน้าที่    ظرف مكان  เรียกอีกอย่างว่า مفعول فيه คือพระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดแต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะผินไปในทางใหนดี ก็เลยมีใส่ ظرف مكانมา จึงเข้าใจได้อย่างแน่ชัดเลยว่า ที่พระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดนั้น พระองค์ใช้ให้ผินไปในทางกะบะห์
**ดังนั้น ถ้าจะหันเพียงใบหน้าอย่างเดียวไปทางกิบลัต  การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้  แหละตรงคำว่าไปทางมัสยิดดิลฮารอม  ตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญในการอธิบายอัลกุรอ่าน  ให้ความหมายว่า "อัยนุลกะบะห์"  คือต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เท่านั้น  การละหมาดจึงจะใช้ได้  ซึ่งตรงกับแนวคิดของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  มิใช่ว่าผินไปตรงใหนก็ได้  ในทางทิศตะวันตก
**คำว่า مفعول فيه นั้นได้ได้มีระบุไว้ในอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่าว่า)
اَلظَّرْفُ وَقْتٌ اَوْمَكَانٌ ضُمِّنَا          فِيْ بِاطَّرَادٍكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
1.   คำว่า وَقْتٌคือاسمٌ دالٌّّ على الوقت
2.   คำว่าمَكَانٌ คือاسمٌ دالٌّ على الزمان
3.   คำว่าكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا คือومثالُ ذلك الظرف كَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
ظرف**  ก็คือเวลาหรือสถานที่ ที่ได้รวมทั้งสองไว้ กับความหมาย فِيْ  โดยหลักเกณฑ์ทั่วๆไปเช่นاُمْكُثْ هُنَااَزْمُنًاท่านจงพักที่นี่ได้ตลอด ตรงตัวอย่างอันนี้ ในคำว่าهُنَا ถือว่าเป็น  ظرفمكانส่วนคำว่าاَزْمُنًا ถือว่าเป็นظرف زمان  ซึ่งทั้งสองนี้ได้รวมความหมาย فِيْไว้ ความหมายก็คือاُمْكُثْ فِي هذَااْلمَوْضِعِ فِيْ اَزْمُنٍ   
**เราท่านทั้งหลายสามารถหาความเข้าใจได้ในหนังสือซะเราะห์อิบนุอะเก้ลเพราะเป็นหนังสือที่อธิบายบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่า) โดยเฉพาะในคำว่าبِاطَّرَادٍ ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย
**ส่วนที่บอกว่าต้องผินไปในทางกะบะห์เลยนั้น มีฮาดิสที่ยืนยันว่า  ให้ผินไปหาจุดตั้งวิหารกะบะห์เท่านั้น  ต้องผินให้ตรงวิหารกะบะห์  ตามความสามารถที่สูงสุดขณะนั้น  ไม่ใช่ว่า  ผินไปในทางที่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่ มีฮะดิษที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ رَجَاءٍ، قَالَ: حَدَّثَنَا إِسْرَائِيلُ، عَنْ أَبِي إِسْحَاقَ، عَنِ البَرَاءِ بْنِ عَازِبٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، قَالَ: " كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، سِتَّةَ عَشَرَ أَوْ سَبْعَةَ عَشَرَ شَهْرًا، وَكَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُحِبُّ أَنْ يُوَجَّهَ إِلَى الكَعْبَةِ، فَأَنْزَلَ اللَّهُ: {قَدْ نَرَى تَقَلُّبَ وَجْهِكَ فِي السَّمَاءِ} [البقرة: 144] ، فَتَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ "، وَقَالَ السُّفَهَاءُ مِنَ النَّاسِ، وَهُمُ اليَهُودُ: {مَا وَلَّاهُمْ} [البقرة: 142] عَنْ قِبْلَتِهِمُ الَّتِي كَانُوا عَلَيْهَا، قُلْ لِلَّهِ المَشْرِقُ [ص:89] وَالمَغْرِبُ يَهْدِي مَنْ يَشَاءُ إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ فَصَلَّى مَعَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَجُلٌ، ثُمَّ خَرَجَ بَعْدَ مَا صَلَّى، فَمَرَّ عَلَى قَوْمٍ مِنَ الأَنْصَارِ فِي صَلاَةِ العَصْرِ نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، فَقَالَ: هُوَ يَشْهَدُ: أَنَّهُ صَلَّى مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَأَنَّهُ تَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ، فَتَحَرَّفَ القَوْمُ، حَتَّى تَوَجَّهُوا نَحْوَ الكَعْبَةِ
ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี จากท่านบัรรออ์ลูกของท่านอาริบ กล่าวว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เคยละหมาดโดยผินหน้าไปทางบัยตุ้ลมักดิสประมาณ 16 หรือ 17 เดือนแต่ท่านเองชอบที่จะผินไปทางบัยตุ้ลลอห์ พระผู้เป็นเจ้าจึงประทานอัลกุรอ่านลงมาว่า แน่นอนเรามองเห็นท่าน แหงนหน้าขึ้นไปทางฟากฟ้า(เพื่อรอรับวะฮีให้เปลี่ยนกิบลัตมาอย่างเดิม) อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่144 แล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็ผินหน้าไปทางกะบะห์(เวลาละหมาด) พวกคนเขลา ก็คือพวกยะฮูดีกล่าวว่า มีอะไรที่ทำให้พวกเขาผินออกไป จากทิศทางที่พวกเขาเคยผินไปหรือ อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 อัลกุรอ่านลงมาอีกว่า ท่านจงตอบแก่พวกนั้นว่า ทั้งทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้น เป็นสิทธิของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทั้งสิ้น พระองค์ทรงชี้นำบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์สู่แนวทางอันเที่ยงตรง อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 มีชายคนหนึ่งได้ละหมาดพร้อมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ต่อมาเขาก็ออกมาข้างนอกหลังจากละหมาด เขาเดินผ่านกลุ่มชาวอันซอร กำลังละหมาดอัสริ ผินหน้าไปทางบัยติ้ลมักดิส ต่อมาเขาได้กล่าวว่าเขายืนยันว่าแท้จริงเขาได้ละหมาดร่วมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยผินไปทางกะบะห์ กลุ่มชนนั้นก็เห็นตามด้วย จนกระทั่งพวกเขาทั้งหมดผินหน้าไปทางกะบะห์ ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี
**นักวิชาการระดับมัซฮับ จึงมีความคิดที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับการผินหน้าอกไปทางกิบลัตในขณะละหมาด
ดังนั้นมัซฮับซาฟิอี ซึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยึดตามมัซฮับนี้ ถือว่าจะต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เลย (เรียกว่าอัยนุ้ลกะบะห์ ไม่ใช่ยิฮะตุ้ลกะบะห์)เท่าที่มีความสามารถที่สุด พูดง่ายๆก็คือถ้ารู้แน่ชัดว่ายังหันไม่ตรงกะบะห์ ที่ผ่านมาการละหมาดถือว่าใช้ได้เพราะทำสุดความสามารถแล้ว แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกต้อง การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้อีกแล้ว หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถหาดูได้ที่หนังสืออั้ลอุม(ของท่านอิหม่ามซาฟิอีเล่มที่1)
(قَالَ الشَّافِعِيُّ) : وَمَنْ كَانَ فِي مَوْضِعٍ مِنْ مَكَّةَ لَا يَرَى مِنْهُ الْبَيْتَ، أَوْ خَارِجًا عَنْ مَكَّةَ فَلَا يَحِلُّ لَهُ أَنْ يَدَعَ كُلَّمَا أَرَادَ الْمَكْتُوبَةَ أَنْ يَجْتَهِدَ فِي طَلَبِ صَوَابِ الْكَعْبَةِ بِالدَّلَائِلِ مِنْ النُّجُومِ وَالشَّمْسِ وَالْقَمَرِ وَالْجِبَالِ وَمَهَبِّ الرِّيحِ وَكُلِّ مَا فِيهِ عِنْدَهُ دَلَالَةٌ عَلَى الْقِبْلَةِ
และหนังสือฟิกห์4มัซฮับเล่มที่1หน้า178 หนังสืออาจจะพิมพ์ต่างวาระกัน หน้าอาจจะไม่ตรงกับนี้ ก็ให้ดูในบทที่ว่าด้วยเรื่องกิบลัต)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَلَئِنْ} لَام الْقَسَم {أَتَيْت الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَاب بِكُلِّ آيَة} عَلَى صِدْقك فِي أَمْر الْقِبْلَة {مَا تَبِعُوا} أَيْ لَا يَتْبَعُونَ {قِبْلَتك} عِنَادًا {وَمَا أَنْت بِتَابِعٍ قِبْلَتهمْ} قَطْع لِطَمَعِهِ فِي إسْلَامهمْ وَطَمَعهمْ فِي عَوْده إلَيْهَا {وَمَا بَعْضهمْ بِتَابِعٍ قِبْلَة بَعْض} أَيْ الْيَهُود قِبْلَة النَّصَارَى وَبِالْعَكْسِ {وَلَئِنْ اتَّبَعْت أَهْوَاءَهُمْ} الَّتِي يَدْعُونَك إلَيْهَا {مِنْ بَعْد مَا جَاءَك مِنْ الْعِلْم} الْوَحْي {إنَّك إذًا} إنْ اتَّبَعْتهمْ فَرْضًا {لمن الظالمين}
และแน่นอน ถ้าหากท่านได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของท่าน และท่านก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากท่านไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังท่านแล้ว แน่นอนทันใดนั้น ท่านก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่145
**วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮัอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
**ถ้าหากว่าบางคนยังไม่ค่อยจะแน่ใจว่าดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์ ในวันที่พุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 จริงหรือเปล่า ก็สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ง่ายๆก็คือถ้าไม่ได้ไปอยู่ที่มัสยิดฮะรอมณวันนั้น ถ้าติดจานดำ ลองเปิดดูช่องที่ถ่ายมัสยิดฮะรอมดู ในเวลา 16.18 น. ของพุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 (ตามเวลาของบ้านเรา)ก็จะได้ยินเสียงอะซานที่มัสยิดฮะรอม และลองมองไปที่กะบะห์ดู ก็จะไม่เห็นเงาของกะบะห์เลย หรือจะสังเกตเงาของคนที่อยู่ในลานตอวาฟก็ได้ เงาจะอยู่บริเวณลำตัวของเขาเลย เงาจะไม่เอนไปด้านใหนๆเลย ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมานี้ ก็เพราะว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงกะบะห์ อยู่ตรงศรีษะของเขานั่นเอง
**วันที่สามารถดูเงาของดวงอาทิตย์เพื่อกำหนดทิศกิบลัตได้อีก(อย่าดูดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าโดยเด็ดขาด)
1.   วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
2.   วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
3.   วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
4.   วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
5.   วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
**ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ปัจจุบันสามารถหาทิศกิบลัตทางภาพถ่ายดาวเทียมได้ ถ้าไม่ตรงก็เปลี่ยนซอฟ(แถว)ให้ตรง เท่านั้นเอง แต่ในการปฏิบัติจริงๆ ที่เปลี่ยนยากที่สุดคือจิตใจคน ทั้งๆที่นำหลักฐานทุกอย่างชี้แจงชัดๆแล้ว ก็ยังเฉไฉออกจากทางที่ถูกต้องอีก เพราะอีหม่านยังไม่แข็งพอ ถ้าเราท่านทั้งหลายย้อนกลับไปมองบุคคลในสมัยร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)(ดังในฮะดิษที่ได้กล่าวมา) เปลี่ยนง่ายเพราะได้รับทางนำ (ถ้าจะดูให้ดีๆแล้วในสมัยของท่านอิหม่ามซาฟิอี ท่านมีความพยายามอย่างมากที่จะหากิบลัตให้ได้ แม้จะยากลำบากสักเพียงใด จะดูดวงดาวก็เอา ดูดวงอาทิตย์ก็เอาฯลฯ อย่างที่ผมได้กล่าวมาในหนังสืออัลอุมของท่าน เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้รับคำสั่งใช้จากพระผู้เป็นเจ้าให้ผินไปทางกะบะห์เลย ดังฮะดิษที่มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิมว่า
حَدَّثَنَا شَيْبَانُ بْنُ فَرُّوخَ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الْعَزِيزِ بْنُ مُسْلِمٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ اللهِ بْنُ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، ح وحَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ - وَاللَّفْظُ لَهُ - عَنْ مَالِكِ بْنِ أَنَسٍ، عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، قَالَ: بَيْنَمَا النَّاسُ فِي صَلَاةِ الصُّبْحِ بِقُبَاءٍ إِذْ جَاءَهُمْ آتٍ فَقَالَ: «إِنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَدِ اُنْزِلَ عَلَيْهِ اللَّيْلَةَ، وَقَدْ أُمِرَ أَنْ يَسْتَقْبِلَ الْكَعْبَةَ فَاسْتَقْبِلُوهَا، وَكَانَتْ وُجُوهُهُمْ إِلَى الشَّامِ، فَاسْتَدَارُوا إِلَى الْكَعْبَةِ
เล่าจากท่านอิบนุอุมัรว่า ขณะที่ประชาชนได้ละหมาดซุบฮิที่มัสยิดกุบาอ์ มีคนหนึ่งเดินทางมาถึงพวกเขาและพูดว่า แท้จริงเมื่อคืนนี้ อัลกุรอ่านได้ถูกประทานให้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยกำหนดให้ผู้ละหมาดผินหน้าไปทางกะบะห์ ดังนั้นพวกเขาจึงผินไปทางกะบะห์โดยที่หน้าของพวกเขากำลังผินไปทางเมืองซามเปลี่ยนหันไปทางกะบะห์ ระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิม 
**แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก   จนไม่สามารถมอง  ด้วยตาเปล่าได้  ดังนั้นในเมื่อ  วันและเวลาดังกล่าว(พุธที่ 28 พฤษภาคม 2557) ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮับ  อิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
**วิธีการก็คือ  ถ้ามัสยิดใด  หรือบ้านของใครมีหน้าต่างทางทิศตะวันตก  ให้เปิดหน้าต่างออก  และหน้าต่าง  ด้านแนวตั้งของวงกบ ด้านใดก็ได้  ต้องสร้างได้ฉาก(ขอย้ำต้องได้ฉาก  ที่สำคัญกว่านั้นคือ  ห้ามมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด  ถ้าจะมองแดดนานๆ ควรใส่แว่นกันแดดด้วย ย้ำนะครับคือถ้าจะมองดวงอาทิตย์ตรงๆต้องใช้แว่นที่มีฟิลเตอร์กันแสงเท่านั้น มีอยู่2แบบ แบบที่1มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงนวลขาวแบบดวงจันทร์เลย  แบบที่2มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงสีส้ม)  ดังนั้นเงาที่ทอดลงมาให้เห็น  นั่นแหละครับคือแนวกิบลัตที่ถูกต้อง  ให้ขีดเส้นเอาไว้  สังเกตให้ดีเส้นนี้จะชี้ไปทางทิศตะวันตก
**กรณีถ้าอยู่ในบ้านเวลาละหมาดก็ให้นำผ้าซายะดะห์  ด้านข้างมาวาง  ให้ตรงกับเส้นนี้  แต่ถ้าเป็นกรณีของมัสยิด  เมื่อขีดเส้น  ที่ชี้ไปทางทิศตะวันตก  อย่างที่ว่ามาได้แล้ว  ให้นำไม้บรรทัดแบบฉาก  หรือไม้ทีก็ได้  มาวางทาบเส้นให้พอดี  แล้วขีดเส้นด้านล่างเพิ่มเข้าไป  สังเกตตอนนี้จะมีอยู่ 2เส้น 
เส้นที่ 1 คือเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์
เส้นที่ 2 คือ เส้นแนวนอนที่ตั้งฉาก  กับเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์   
**ดังนั้น เส้นที่ 2  นี้แหละคือเส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)ในมัสยิด     สำหรับมัสยิด  ที่ไม่มีหน้าต่าง  ทางด้านทิศตะวันตกเลย  การวัดเงาก็ต้องหาไม้หรือเสาก็ได้  หรืออะไรก็ได้ ตั้งขึ้นให้ได้ฉาก  ตรงบริเวณด้านข้างมัสยิด  แล้วรอเวลา 16.18 น.หรือเวลา16.19 ตามวันและเวลาดังกล่าว เพื่อขีดเส้นวัดเงา  ทำตามขั้นตอน  แล้วลากเส้นแนวนอนอย่างที่บอกมา  เข้ามาในมัสยิด  ก็จะได้เส้นแนวซอฟ (แถวละหมาด) เช่นกัน
**วิธีการวัดทิศกิบลัตดังกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  และทำได้อย่างสดวกสบายมาก  สำหรับผู้ที่ต้องการความถูกต้อง  ในการผินสู่ทิศกิบลัต  แต่สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลาม  ผู้เชี่ยวชาญ มีอีกหลายวิธี  ที่สามารถ  หาทิศกิบลัตได้  และหาได้ทุกๆวันเลย
**ส่วนในเรื่องของการคำนวนนั้น  มีขั้นมีตอน  ที่สลับซับซ้อนมาก  ขั้นแรกต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ก่อน  จากนั้นต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของบัยตุ้ลอฮ์  และต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของสถานที่  ที่จะหาทิศกิบลัต  จากนั้นก็จะมีค่า  SIN  COS  TAN  เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ดำเนินตามขั้นตอนของสูตร  ต่างๆนาๆอีกมากมาย ฯลฯ 
**สำหรับประเทศไทย  การผินไปทางวิหารกะบะห์  ตรงนี้มีอยู่  4  ระดับด้วยกัน 
ระดับสูงสุดคือ 1 รู้ได้ด้วยตัวเอง
ระดับที่ 2  ผินตามคำบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้
 ระดับที่ 3  ผินโดยการวิเคราะห์
  ระดับที่ 4  ผินตามการวิเคราะห์ของผู้อื่น 
**ดังนั้นถ้าผู้รู้ในวิชาดาราศาสตร์อิสลาม  รู้ว่ามัสยิดนี้ๆ  ยังหันไม่ตรงกิบลัต  และได้มีการบอกผู้มีอำนาจหน้าที่  ในมัสยิดแห่งนั้น  แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น  ยังไม่จัดการเปลี่ยนแปลง  และแก้ไข  ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในผลบาปตรงนี้  ก็คือผู้ที่มีอำนาจในมัสยิดแห่งนั้น  เรียกว่ารับแบบเต็มๆ  เพราะรู้แล้วไม่ทำตามที่รู้  ที่สำคัญ  ยังพาคนอื่นทำแบบผิดๆไปด้วย  ถ้าเราเข้าใจหลัก  ในการหลอกลวงของซัยตอน  มารร้าย  เราท่านทั้งหลายจะรู้เท่าทันมันได้ทันที  ซัยตอนมารร้ายมันจะไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้เปลี่ยน  ให้ตรงกับกะบะห์  อย่าไปทำๆ  มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน  มันจะบอกว่า  อย่าเปลี่ยนเลยจะทำให้เกิดการแตกแยกได้  ผู้ใหญ่ทำมาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้แล้ว  ต้องตรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือเกินไปหรือเปล่า  ผู้รู้รุ่นก่อนไม่เห็นเขาจะติเลย  ฯลฯ
**เฉกเช่นเดียวกันพอได้เวลาละหมาด  มันก็จะบอกว่า  เดี๋ยวค่อยละหมาดก็ได้  เหลือเวลาอีกเยอะ  เดี๋ยวๆๆๆ  เดี๋ยวจนไม่ได้ละหมาดจนได้  หรือถ้ามันหลอกคนไม่ให้ละหมาดไม่สำเร็จ  มันก็จะหาวิธีหลอกลวงต่างๆนานาๆ  เพื่อให้ภาคผลบุลของคนๆนั้น  ลดน้อยลงมันไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้ละหมาด  อย่าไปทำ  ซึ่งวิธีการหลอกลวงของซัยตอนมารร้ายนี้  มันได้เคยมาบอกแก่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.)  ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  เพื่อให้ประชาชาติของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)   รู้เท่าทันกลลวงของมัน  นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง  ของพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَكَذَلِكَ} كَمَا هَدَيْنَاكُمْ إلَيْهِ {جَعَلْنَاكُمْ} يَا أُمَّة مُحَمَّد {أُمَّةً وَسَطًا} خِيَارًا عُدُولًا {لِتَكُونُوا شُهَدَاء عَلَى النَّاس} يَوْم الْقِيَامَة أَنَّ رُسُلهمْ بَلَّغَتْهُمْ {وَيَكُون الرَّسُول عَلَيْكُمْ شَهِيدًا} أَنَّهُ بَلَّغَكُمْ {وَمَا جَعَلْنَا} صَيَّرْنَا {الْقِبْلَة} لَك الْآن الْجِهَة {الَّتِي كُنْت عَلَيْهَا} أَوَّلًا وَهِيَ الْكَعْبَة وَكَانَ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي إلَيْهَا فَلَمَّا هَاجَرَ أُمِرَ بِاسْتِقْبَالِ بَيْت الْمَقْدِس تَأَلُّفًا لِلْيَهُودِ فَصَلَّى إلَيْهِ سِتَّة أَوْ سَبْعَة عَشْر شَهْرًا ثُمَّ حُوِّلَ {إلَّا لِنَعْلَم} عِلْم ظُهُور {مَنْ يَتَّبِع الرَّسُول} فَيُصَدِّقهُ {مِمَّنْ يَنْقَلِب عَلَى عَقِبَيْهِ} أَيْ يَرْجِع إلَى الْكُفْر شَكًّا فِي الدِّين وَظَنًّا أَنَّ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي حِيرَة مِنْ أَمْره وَقَدْ ارْتَدَّ لِذَلِك جَمَاعَة {وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ {وَمَا كَانَ اللَّه لِيُضِيعَ إيمَانكُمْ} أَيْ صَلَاتكُمْ إلَى بَيْت الْمَقْدِس بَلْ يُثِيبكُمْ عَلَيْهِ لِأَنَّ سَبَب نُزُولهَا السُّؤَال عَمَّنْ مَاتَ قَبْل التحويل {إن الله بالناس} المؤمنين {لرؤوف رَحِيم} فِي عَدَم إضَاعَة أَعْمَالهمْ وَالرَّأْفَة شِدَّة الرَّحْمَة وَقَدَّمَ الْأَبْلَغ لِلْفَاصِلَةِ
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกท่านเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกท่านจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกท่าน และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่ท่านเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันส้นเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(อ้างโน่นอ้างนี่ ไม่ยอมเปลี่ยน) นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143 (คำว่าหันส้นเท้ากลับลองดูในแผนที่โลก หรือดูที่ลูกโลกถ้าใครมี ก็จะพบเลยว่ามาดินะห์อยู่กลาง มักกะห์อยู่ใต้ บัยตุ้ลมักดิสเยรูซาเล็มอยู่เหนือ)
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 24, 2014, 08:01 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: ขอตามพระผู้เป็นเจ้าแหละร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)
« ตอบกลับ #85 เมื่อ: มิ.ย. 13, 2014, 09:46 AM »
0
**ขอตามพระผู้เป็นเจ้าแหละร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)
**ความจริงที่ปรากฏก็คือขณะที่ประเทศหนึ่งดวงอาทิตย์ตก  อีกประเทศหนึ่งรุ่งอรุณ  เวลาทุกเวลาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของประเทศที่อยู่แตกต่างกันไป  สิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น บ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า  ด้วยความแตกต่างทางเวลานี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆ จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในเรื่องการละหมาด5เวลา(เป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะละหมาดดุฮ์ริพร้อมกัน  ละหมาดอัสริพร้อมกัน  ฯลฯ)ดังนั้นการที่จะกล่าวอ้างว่า เพื่อความเป็นเอกภาพของอุมมะห์มุสลิมมุสลิมะห์ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ควรจะทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่ง เวลาเดียวกันและวันเดียวกัน  การกล่าวอ้างแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา  เรียกว่าคิดเอาเอง จินตนาการเอาเองเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วเราท่านทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ขณะที่มุสลิมที่อยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียละหมาดซุบฮิ  มุสลิมที่อยู่ในอเมริกาเหนืออาจยังทำละหมาดอิซาของวันก่อนไม่เสร็จเลยฯลฯ ดังนั้นถ้าพระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการให้มุสลิมทั่วทุกมุมโลกทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่งเวลาเดียวกันและวันเดียวกัน เพื่อต้องการให้เกิดความเป็นเอกภาพอย่างที่ใครบางคนกล่าวอ้างแล้ว เอกภาพดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้เลย เพราะความแตกต่างทางด้านเวลาที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่ทุกๆวันนี้
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 {أو لم يَتَفَكَّرُوا فِي أَنْفُسهمْ} لِيَرْجِعُوا عَنْ غَفْلَتهمْ {مَا خَلَقَ اللَّه السَّمَاوَات وَالْأَرْض وَمَا بَيْنهمَا إلَّا بِالْحَقِّ وَأَجَل مُسَمًّى} لِذَلِكَ تَفْنَى عِنْد انْتِهَائِهِ وَبَعْده الْبَعْث {وَإِنَّ كَثِيرًا مِنْ النَّاس} أَيْ كُفَّار مَكَّة {بِلِقَاءِ رَبّهمْ لَكَافِرُونَ} أَيْ لَا يؤمنون بالبعث بعد الموت
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
**ผมเองยังเคยได้ยินคนๆหนึ่งกล่าวอีกว่า  การดูจันทร์เสี้ยวไม่เหมือนกับการละหมาด5เวลา  เพราะการละหมาด5เวลาใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนด  แต่ละประเทศจึงมีเวลาการละหมาด5เวลาไม่เหมือนกัน  ไม่ตรงกัน  ตามกันไม่ได้  แต่ดวงจันทร์นั้นมีอยู่เพียงดวงเดียว  การดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์อย่างสิ้นเชิง  เขาได้พูดต่ออีกว่าดังนั้นไม่ว่าที่ใดในโลกเห็นจันทร์เสี้ยว  ที่อื่นประเทศอื่นก็ต้องเข้าเดือนหรือต้องออกเดือนเหมือนกันด้วย  ดังนั้นจะอย่างไรก็ตามคำพูดลักษณะนี้ถือว่ายังไม่ถูกต้อง  ยังไม่ตรงกับความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา
**การที่บอกว่าดวงจันทร์นั้นมีอยู่เพียงดวงเดียว การดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ผมได้ยินผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า  แล้วดวงอาทิตย์มีอยู่หลายดวงหรือ  แต่ละจังหวัดแต่ละประเทศจึงมีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกันไป   
**ขอให้เราท่านทั้งหลายทำความเข้าใจดังต่อไปนี้ ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมานั้น จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นกันอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่สาเหตุที่มีเวลาการละหมาด5เวลาแตกต่างกันไป  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกัน มีวันที่1ของเดือนอิสลามแตกต่างกันนั้น ก็เพราะว่าตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศอยู่แตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา
**ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดอ้างว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ถือว่ายังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามแหละหลักการของอัลอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการของอัลอิสลามนั้น จะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  ก็เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเลยในเรื่องของนะยิส  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มละหมาดเสียอีก
**มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่น และถ้ามีประเทศใดเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์เสี้ยวในเมืองนั้นสิ่งกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้     
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.     
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์เสี้ยวในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์เสี้ยวในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
**ตรงนี้ต้องช้าๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่เมืองซามต้นเดือนรอมฎอนตามตัวบทฮะดิษเห็นจันทร์เสี้ยวค่ำวันศุกร์ ก็แสดงว่าเริ่มถือศิลอดวันศุกร์เป็นวันแรก(เพราะตามหลักของอิสลามแล้ว กลางคืนมาก่อนกลางวัน) แต่ทางเมืองมะดีนะห์เห็นจันทร์เสี้ยวค่ำวันเสาร์ ก็แสดงว่าเริ่มถือศิลอดวันเสาร์เป็นวันแรก (ข้อคิดก็คือ ถ้าสมัยนั้นมีดาวเทียว มีโทรศัพท์ มีอินเตอร์เน็ทที่ทันสมัยแบบสมัยนี้ เชื่อเหลือเกินว่า ข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยวของท่านกุร๊อยบ และชาวเมืองซาม จะต้องไปถึงท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ ในค่ำวันศุกร์วันนั้นอย่างแน่นอน ไม่ต้องรอให้ท่านกุร๊อยบกลับมาเมืองมะดีนะห์ ในตอนช่วงปลายเดือนรอมฎอน ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า สมมุติว่าสมัยโน้นข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยว ฉับไวเหมือนสมัยนี้ เมื่อท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์รู้ว่าท่านกุร๊อยบ และชาวเมืองซามเห็นจันทร์เสี้ยวในค่ำวันศุกร์ และก็เริ่มถือศิลอดในวันศุกร์ คำถามก็คือท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ จะเริ่มถือศิลอดในวันศุกร์เหมือนมุอาวียะห์และชาวเมืองซามหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็คือ แน่นอนท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ จะไม่เริ่มถือศิลอดในวันศุกร์อย่างแน่นอน เพราะท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ไม่เห็นจันทร์เสี้ยวในค่ำวันศุกร์นั้น
**ท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์เอา พิจรณาการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงที่เมืองมะดีนะห์ โดยที่ไม่เอา ไม่พิจรณาข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยวจากเมืองซามแต่ประการใด คำถามต่อมาก็คือ ท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ทำตามอารมณ์ความชอบของตัวเองหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็คือไม่ไช่อย่างแน่นอน ที่ท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ทำไปทั้งหมดนั้น ก็เพราะทำตามคำสั่งใช้ของร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ทั้งสิ้น แล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เอามาจากใหน ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็เอามาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น เพราะว่าตามตัวบทฮะดิษก็ระบุชัดๆอยู่แล้วว่า “แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์เสี้ยวในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว”ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี       
 **เนื้อความฮะดิษตรงคำว่า “โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์เสี้ยวในตอนค่ำวันศุกร์”ในฮะดิษบทดังกล่าว แสดงว่าชาวเมืองซามนั้น บวชวันศุกร์เป็นวันแรก ดังนั้นนับไปอีก29วันจะดูต้องจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวัน1เซาวาลหรือวันอีดิ้ลฟิตรี่ ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองซามก็จะอีดวันเสาร์ ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองซามก็จะอีดวันอาทิตย์
**แต่เนื้อความฮะดิษตรงคำว่า “อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์เสี้ยวในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว” แสดงว่าชาวเมืองมะดีนะห์นั้น บวชวันเสาร์เป็นวันแรก ดังนั้นนับไปอีก29วันจะดูต้องจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวัน1เซาวาลหรือวันอีดิ้ลฟิตรี่ ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองมะดีนะห์ก็จะอีดวันอาทิตย์(ดังในฮะดิษที่ได้ระบุไว้ว่าหรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองมะดีนะห์ก็จะอีดวันจันทร์(ดังในฮะดิษที่ได้ระบุไว้ว่าดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน)
 **เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยที่ไม่ควรมองข้าม ฮะดิษเมื่อสักครู่นี้รู้จักกันในนามว่า ฮะดิษ(กุร๊อยบ) ทั้งๆที่ฮะดิษนี้ได้บอกไว้ชัดๆอย่างนี้(ว่าเมืองใครก็เมืองนั้น ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น) ก็ยังมีคนบางคนกลับกำลังบิดเบือนไปในทิศทางแบบอื่นอีก สิ่งที่นำมาบิดเบือน อย่างที่ได้ทราบกันมาแล้วก็คือ ถ้าพี้นที่ใดในโลกนี้เห็นจันทร์เสี้ยว ทุกเมือง ทุกประเทศต้องเริ่มเดือนใหม่ทั้งหมดเลย(อ้างว่าเพื่อให้เกิดเอกภาพบ้าง อ้างว่าเพราะยุมโฮรอุละมาอ์บ้าง)
**ยิ่งไปกว่านั้นยังพยายามทำให้คนเอาวามทั่วๆไปเกิดความสับสนขึ้นไปอีก โดยที่ได้อ้างแบบขุ่นๆว่า ที่(กุร๊อยบ)เห็นจันทร์เสี้ยวที่เมืองซามนั้น เห็นตอนต้นเดือนรอมฎอน แต่ตอนที่บอกกับท่านอิบนิอับบัสนั้น เป็นตอนปลายเดือนรอมฎอนไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะตอนนี้เรากำลังจะดูจันทร์เสี้ยวในช่วงของปลายเดือนรอมฎอนกันอยู่ ขอบอกตรงๆเลยว่า ถ้าได้ศึกษาวิชาดาราศาสตร์อิสลามมาอย่างเชี่ยวชาญแล้ว แหละรู้อย่างแท้จริงแล้ว ผมเชื่อว่าคำพูดลักษณะดังกล่าวมานี้นั้น จะไม่หลุดออกมาอย่างแน่นอน แนะนำว่าอย่าข้ามขั้นตอนเพราะจะทำให้เกิดการผิดพลาดได้ง่ายมาก เนื่องจากยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง
**สิ่งสำคัญก็คือ ก็เพราะว่า การบอกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ไม่ว่าจะบอกตอนต้นเดือนหรือบอกตอนกลางเดือนหรือบอกตอนปลายเดือน ไม่ใช่สิ่งสำคัญแต่ประการใด แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า จะเริ่มเดือนอิสลามใหม่ได้นั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.) สั่งนักสั่งหนาให้เอาการเห็นจันทร์เสี้ยวเป็นเกณฑ์
**แหละท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ยังสั่งใช้ในเรื่องของการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ให้เอาเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้นด้วย ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น จะไปตามประเทศอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้รับทราบกันมาแล้ว ตามที่ท่านอิบนิอับบัสได้บอกไว้ในช่วงท้ายฮะดิษเมื่อสักครู่ข้างต้น
**ผมขอให้แง่คิดง่ายๆว่า ง่ายๆไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ลองดูในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมดูว่า ในหนังสือดังกล่าวก่อนที่จะเริ่มฮะดิษ(กุร๊อยบ)บทนี้ ได้มีการตั้งชื่อบทนี้ไว้ว่าอย่างไร ถ้อยคำในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมเล่มดังกล่าวได้ตั้งชื่อบทไว้ว่า
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى، وَيَحْيَى بْنُ أَيُّوبَ، وَقُتَيْبَةُ، وَابْنُ حُجْرٍ، - قَالَ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى: أَخْبَرَنَا، وَقَالَ الْآخَرُونَ: - حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ وَهُوَ ابْنُ جَعْفَرٍ، عَنْ مُحَمَّدٍ وَهُوَ ابْنُ أَبِي حَرْمَلَةَ، عَنْ كُرَيْبٍ، أَنَّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ، بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ، قَالَ: فَقَدِمْتُ الشَّامَ، فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا، وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ، فَرَأَيْتُ الْهِلَالَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِينَةَ فِي آخِرِ الشَّهْرِ، فَسَأَلَنِي عَبْدُ اللهِ بْنُ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا، ثُمَّ ذَكَرَ الْهِلَالَ فَقَالَ: مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلَالَ؟ فَقُلْتُ: رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، فَقَالَ: أَنْتَ رَأَيْتَهُ؟ فَقُلْتُ: نَعَمْ، وَرَآهُ النَّاسُ، وَصَامُوا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ، فَقَالَ: " لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ، فَلَا نَزَالُ نَصُومُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلَاثِينَ، أَوْ نَرَاهُ، فَقُلْتُ: أَوَ لَا تَكْتَفِي بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ؟ فَقَالَ: لَا، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " وَشَكَّ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى فِي نَكْتَفِي أَوْ تَكْتَفِي
**บทสรุปนั้นก็คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ย่อมมีการผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความเห็นของอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ยุมโฮร)หรืออุละมาส่วนน้อย สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า มิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนใหญ่ จะถูกไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือมิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนน้อยจะผิดไปเสียทุกอย่าง ขอให้เราท่านทั้งหลายพิจรณาเป็นอย่างเป็นเรื่องไป
**สิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็คือสิ่งที่ท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.)นำมาบอกแก่เราท่านทั้งหลายไว้ สิ่งที่ท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.)ทำให้เราท่านทั้งหลายเห็นฯลฯ(ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของศาสนา) เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะไม่ผิดเลยเพราะว่าท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์(ซ.ล.)ไม่ได้พูด ไม่ได้บอก ไม่ได้ทำตามอารมณ์ของท่าน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้น ล้วนแล้วมาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ล้วนแล้วมาจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ต้องการให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มีการประพฤติ ได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้รู้กันได้ว่า ใครบ้างที่มีการภักดีต่อพระองค์
**ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่คนๆหนึ่งจะปฏิบัติศาสนกิจ ตามสิ่งที่ได้มีการขัดแย้งกันของอุละมาอ์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติทั้งสองอย่างเลยในเวลาเดียวกัน ต้องเลือกที่จะปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉนั้นหน้าที่ของบ่าวที่ดีก็คือ จำเป็นต้องเลือกที่จะปฏิบัติตามทัศนะที่ถูกต้องที่สุด ที่ตรงกับคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด เพื่อความผาสุกของเราท่านทั้งหลายเอง ทั้งดุนยาแหละโลกหน้าอาคิเราะห์
** ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ Chanomsod

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 27
  • Respect: +2
    • ดูรายละเอียด
0
ยะซากั้ลลอฮุค็อยร็อน สำหรับความรู้ดีๆ ที่เอามาให้อ่านตลอดค่ะ  mycool:

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
**ภาคผลบุลอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับเดือนร่อมะดอน
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซะบาน ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ซะบานฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557 เวลา 15:08:30 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557  (ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์แหละตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 402111.62 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 401702.62กิโลเมตร
**วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.49.48วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.24วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 23วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.46.00วินาที ดวงจันทร์ตก18.42.53วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 07วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.32.48วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.18วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 30วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.33.27วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.44วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 43วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.37.06 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.36.17วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 50วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.53.22วินาที  ดวงจันทร์ตก18.50.00วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 22วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.34.16วินาที  ดวงจันทร์ตก18.33.26วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 50วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.36.43วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.32.08วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 4นาที 35วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.50.15วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.46.50วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ แหละวันที่ดูจันทร์เสี้ยวในครั้งนี้ดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.21.55วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.51.13วินาที ดุฮ์ริเวลา12.19.36วินาที อัสริเวลา15.45.44 วินาที มักริบเวลา 18.48.18 วินาที อีซาเวลา 20.07.37
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.24.05วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.53.18วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.21.28วินาที  อัสริเวลา15.47.22วินาที  มักริบเวลา18.49.38วินาที  อีซาเวลา 20.09.12
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.04.32 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.37.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.23.31 วินาที  อัสริเวลา 15.43.12 วินาที  มักริบเวลา 19.09.27 วินาที  อีซาเวลา 20.32.00 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา03.55.08วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.30.39วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.22วินาที  อัสริเวลา15.44.51วินาที  มักริบเวลา19.18.03วินาที  อีซาเวลา20.42.22วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิ.ย. 26, 2014, 08:32 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re:อย่างไรก็พี่น้องกัน
« ตอบกลับ #88 เมื่อ: ก.ค. 25, 2014, 07:00 AM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ในปัจจุบันนี้เราท่านทั้งหลายพบปะเจอะเจอกัน ให้สลามกัน ทักทายกัน ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลาย รักแหละเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า มิใช่ว่าจะเจาะจงเฉพาะ เลือกปฏิบัติแค่ใน2วันอีดเท่านั้น
**เล่าจากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พวกท่านจะยังไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่านจะมีศรัทธา และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักกัน ฉันจะไม่ชี้พวกท่านไปสู่สิ่งหนึ่ง หรือ? ถ้าหากว่าพวกท่านปฏิบัติสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็จะรักกัน พวกท่านจงแพร่กล่าวสลามในหมู่พวกท่านเถิด รายงานโดย มุสลิม
**เล่าจากอับดิลลาหฮ์บุตรอัมร์บุตรอาซ(ร.ด.)ว่า มีชายคนหนึ่งถามท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ว่า อิสลามประการใดดีที่สุด ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ตอบว่า การที่ท่านเลี้ยงอาหาร กล่าวทักทายสลามทั้งคนที่ท่านรู้จัก และคนที่ท่านไม่รู้จัก รายงานโดยบุคอรี มุสลิม     
**แม้กระทั่งบรรดามะลาอิกะห์(บ่าวที่มีแต่ความดี บ่าวที่ทำแต่ความดี)  ก็ยังได้มีการให้สลามแก่ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ที่ประกอบคุณความดี ในค่ำคืนของเดือนร่อมะดอน เพราะในช่วงสิบคืนสุดท้ายของเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรตินั้น จะมีอยู่คืนหนึ่งที่บรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้า จะลงมาสู่โลกนี้ ลงมาโดยได้รับการอนุมัติจากพระผู้เป็นเจ้า คืนที่ว่านั้นก็คือ คืนลัยละตุ้ลก๊อดร เมื่อบรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์เห็นมุมินชาย เห็นมุมินะห์หญิง เอาจริงเอาจังในการทำอะมั้ลอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้า อดหลับอดนอนเพื่อทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้า บรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์ของพระผู้เป็นเจ้าก็จะให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา)
**ดังนั้นในคืนลัยละตุ้ลก๊อดรนั้นจะมีการให้สลาม (ขอความสันติสุข) จากบรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งคืน ตลอดไปกระทั่งฟะยัรแสงอรุณขึ้น(คือว่าในครั้งที่พระผู้เป็นเจ้าจะสร้างนบีอาดัม บรรดามะลาอิกะห์ได้ห้ามไว้ อ้างในทำนองว่ามนุษย์ จะมาทำไม่ดีในหน้าพื้นแผ่นดินนี้ อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้ทราบกันมาแล้ว ดังนั้นเมื่อบรรดามะลาอิกะห์ ได้ลงมาเห็นมุมินชาย มุมินะห์หญิงได้ทำอะมั้ลอิบาดะห์กัน เอาจริงเอาจังในการทำคุณความดีกัน ในค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดรดังกล่าวมานั้น บรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์จึงได้ให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา)
**ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر {سَلَام هِيَ} خَبَر مُقَدَّم وَمُبْتَدَأ {حَتَّى مَطْلَع الْفَجْر} بِفَتْحِ اللَّام وَكَسْرهَا إِلَى وَقْت طُلُوعه جُعِلَتْ سَلَامًا لِكَثْرَةِ السَّلَام فِيهَا مِنْ الْمَلَائِكَة لا تَمُرّ بِمُؤْمِنٍ وَلَا بِمُؤْمِنَةٍ إِلَّا سَلَّمَتْ عَلَيْهِ
ِคืนนั้นมีความศานติจนกระทั่งรุ่งอรุณ  ซูเราะห์ที่97 อัลก๊อดร อายะห์ที่ 5
**คำว่า  سَلاَمٌ ซะลามุนเป็นค่อบัรมุก๊อดดัม คำว่า  هِىَ ฮิย่า อยู่ในหน้าที่เป็นมุบตะดามู่อั๊คค๊อร(นักวิชาการบางท่านบอกว่า ตรงคำว่าซะลามุนนี้เรียกว่าฮะรัฟมุดอฟ ตั๊กดีรว่า ฮิย่า ราตู้ซะลามะติน)
**คำว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر นักวิชาการทางหลักไวยกรณ์อาหรับนะฮูนั้น ได้นำอายะห์กุรอ่านอายะห์นี้ไปเป็นตัวอย่างในการอธิบายในเรื่องของฮุรูฟยาร อย่างเช่นในหนังสือتسهيل نيل الاماني  (หน้าที่10บรรทัดที่8 หนังสืออาจพิมพ์ต่างวาระกัน หน้าอาจจะไม่เหมือนกันแต่ให้ดูเรื่องของฮุรุฟยารในตัวของ حَتَّى   แล้วก็จะเจออย่างแน่นอน) ในหนังสือนี้ได้ระบุว่าฮุรุฟยารที่16ก็คือ  حَتَّى  ส่วนความหมายของ حَتَّىที่เป็นฮุรุฟยารนั้น ก็คือการสิ้นสุด
**แหละคำว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر นักวิชาการทางหลักไวยกรณ์อาหรับนะฮูนั้น ได้นำอายะห์กุรอ่านอายะห์นี้ไปเป็นตัวอย่างในการอธิบายในเรื่องของฮุรูฟยารอีกเช่นกัน อย่างเช่นในหนังสืออิบนุอะเก้ล ซึ่งเป็นหนังสือที่อธิบายหนังสืออัลฟียะห์(คำกลอนวิชานะฮู) บทที่ว่าด้วยเรื่องฮุรุฟยาร  ถ้อยคำในบทกลอนอัลฟียะห์ มีระบุไว้ดังต่อไปนี้
ِللاِنْتِهاحتى ولامٌ واِلى         ومِنْ وَباءٌيُفْهِمانِ بَدَلا
     حَتَّى นั้นใช้สำหรับความหมาย สิ้นสุด (ถึงจุดหมาย) และ لامٌ اِلى นั้นก็มีความหมายสิ้นสุด (ถึงจุดหมาย) และส่วนمِنْ  باءٌทั้งสองให้ความเข้าใจว่ามีความหมายว่าแทน(เปลี่ยน) 
**ให้สังเกตตรงคำว่า حَتَّىในคำกลอนตรงนี้อยู่ในหน้าที่มุบตะดามุอัคค๊อร (ไม่ใช่ฮุรุฟยาร)
ในหนังสืออิบนุอะเก้ลที่อธิบายคำกลอนตรงนี้ก็จะมีการยกตัวอย่างอายะห์กุรอ่าน ที่ว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر อีกเช่นกัน
**ดังนั้นในอายะห์กุรอ่านตรงนี้ระบุอย่างชัดเจนเลยว่า คืนนั้นมีความศานติตลอดไปจนกระทั่งรุ่งอรุณ คือความศานตินั้นมีอยู่ตลอดทั้งคืนเลยในคืนลัยละตุ้ลก๊อดร จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ เมื่อเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ (เพราะว่าใช้คำว่า حَتَّى ต้องอย่าลืมว่า حَتَّى ตรงนี้เป็นฮุรุฟยาร มีความหมายว่า จนกระทั่ง ชี้ถึงการสิ้นสุด)     
**ขอให้เราท่านทั้งหลายสังเกตตรงคำว่า مَطْلَعِ الْفَجْرแปลว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ดังนั้นคำว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณตรงนี้ก็คือ เริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณของเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้น ของประเทศใครก็ประเทศนั้นเท่านั้น มิใช่ว่าพักอาศัยอยู่ในเมืองไทย พอค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดร ความศานติจะคงอยู่ตลอดไป จนกระทั่งถึงเวลารุ่งอรุณของมักกะห์ หรือประเทศกลุ่มอาหรับ หรือประเทศอื่นๆทั่วทุกมุมโลก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ(อยู่ในเมืองไทยความศานตินั้นก็จะมีอยู่ตลอดไป ทั้งคืนเลยในคืนลัยละตุ้ลก๊อดร จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ เมื่อเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณของแต่ละ สถานที่ต่างๆในเมืองไทยเท่านั้น จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับรุ่งอรุณของประเทศอื่นใดๆทั้งสิ้น
**ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือพอเมืองไทยเริ่มเข้าเวลาซุบฮิ หรือเรียกอีกอย่างนึงว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ทางประเทศนิวซีแลนด์สว่างไปตั้งนานแล้ว หรือเมืองไทยเข้าเวลาซุบฮิ หรือเรียกอีกอย่างว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ทางมักกะห์ หรือประเทศอื่นในประเทศกลุ่มอาหรับ ยังอยู่ในช่วงเวลากลางคืนอยู่เลย อย่างที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่)
**ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีๆเวลามัฆริบ(เวลาฯลฯ) นั้นแม้กระทั่งแต่ละจังหวัดยังแก้บวช(ละศิลอด)ยังไม่พร้อมกันเลย นี่คือความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา
**ให้ร่อมะดอนเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความดีงาม ถ้าใครได้เริ่มต้นทำความดีงามมานานแล้ว ก็ขอให้รักษาความดีงามให้ยืนยาวตลอดไป ถึงแม้ว่าในเดือนอื่นๆภาคผลบุลจะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเดือนร่อมะดอน เราท่านทั้งหลายก็ต้องยืนหยัดทำกันต่อไป เพราะว่านั่นคือคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า แหละเป็นคำสั่งของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) แล้วเราท่านทั้งหลายจะได้รับชัยชนะทั้งดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์ นั่นถือว่าเป็นรางวัลที่น่าภาคภูมิใจแหละยิ่งใหญ่มากที่สุด ในฐานะที่เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาเป็นปวงบ่าวของพระองค์
**เล่าจากท่านอับดุลลอห์บุตรท่านมัสอูด(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่าจะไม่มีการอิจฉา นอกจากสองประการนี้ (1.)ผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ได้ประทานทรัพย์สินให้แก่เขา เขาครอบครองมัน(ใช้จ่ายไป)ในหนทางที่ถูกต้อง (2.)ผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ได้ประทานวิชาความรู้ให้แก่เขา เขาได้ปฏิบัติตามวิชาความรู้นั้น และนำวิชาความรู้นั้นออกสอน รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**เล่าจากอะบิ้ลยักรอน ท่านอัมมารบุตรของท่านยาซิร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า แท้จริงการที่คนๆหนึ่งละหมาดนานนั้นและกล่าวคุตบะห์สั้นนั้น เป็นเครื่องหมายว่า เขามีความเข้าใจเรื่องราวของศาสนา ดังนั้นท่านทั้งหลายจงละหมาดนานๆ และจงกล่าวคุตบะห์สั้นๆ  รายงานโดยมุสลิม
**ในสังคมปัจจุบันนี้เราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างนึงว่า ญาติพี่น้องเราท่านทั้งหลายเอง มีทั้งอะซาอิเราะห์และวะบียะห์ แต่ในวันอีดิ้ลฟิตริที่จะถึงนี้ แหละวันต่อๆไป ขอให้ญาติพี่น้องกันเยี่ยมเยียนกัน(แม้จะอะซาอิเราะห์หรือวะบียะห์ก็ตามที) อันใดที่รู้ว่าคิดต่างกันก็ค่อยๆพูดกัน หรือไม่ก็(พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็) พูดกันในเรื่องอื่นซะ อย่าให้แนวคิดที่แตกต่างกันมาทำให้เราท่านทั้งหลายต้องตัดญาติขาดมิตรกัน(ขัดแย้งในด้านความคิด แต่ญาติพี่น้องยังไงก็ยังเป็นมิตรกันเหมือนเดิม ส่วนในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจหรือหลักการยึดมั่นก็ว่ากันอีกเรื่องนึง ต้องเอาเป็นอย่างเอาเป็นเรื่องไป)
**เล่าจากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และวันสุดท้าย เขาจะต้องให้เกียรติแขกที่มาเยือน ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และวันสุดท้าย เขาจะต้องติดต่อสัมพันธ์กับเครือญาติ ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และวันสุดท้าย เขาต้องพูดในสิ่งที่ดีหรือไม่ก็นิ่งเสีย   รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**ขอให้เราท่านทั้งหลายมีความสุขมากๆในวันอีดิ้ลฟิตริที่จะถึงนี้
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435(วันอีดิ้ลฟิตริ)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เวลา 05.41.48 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435(วันอีดิ้ลฟิตริ)
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557  (ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 406487.47 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 406417.25กิโลเมตร)
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.48.26วินาที  ดวงจันทร์ตก18.57.13วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 8นาที 46วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.44.58วินาที ดวงจันทร์ตก18.54.06วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 9นาที 8วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.34.14วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.38วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 12 นาที 25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.34.41วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.50วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 12นาที 8วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.38.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.50.08วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 11นาที 59วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.51.56วินาที  ดวงจันทร์ตก19.00.42วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 8นาที 46วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.35.24วินาที  ดวงจันทร์ตก18.47.23วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 12 นาที 0วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.34.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.15วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 7นาที 29วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.48.52วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.57.35วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 8นาที 43วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะอายุดวงจันทร์ยังน้อยเกินไป ถ้าเริ่มเดือนใหม่ในวันจันทร์ จะทำให้วันที่ดูจันทร์เสี้ยวในครั้งต่อไป จะดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์ทันที) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435(วันอีดิ้ลฟิตริ) ตรงกับวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 25  กรกฎาคม พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.32.57 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.59.19วินาที ดุฮ์ริเวลา12.23.21วินาที อัสริเวลา15.42.07 วินาที มักริบเวลา 18.47.16 วินาที อีซาเวลา 20.04.16
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.35.04วินาที  ตะวันขึ้นเวลา6.01.21วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.25.13วินาที  อัสริเวลา15.44.05 วินาที  มักริบเวลา18.48.57 วินาที  อีซาเวลา 20.05.53
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.19.00 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.48.16วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.27.14 วินาที  อัสริเวลา 15.43.54 วินาที  มักริบเวลา 19.05.58 วินาที  อีซาเวลา 20.25.01 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.10.37วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.46.36วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.27.40วินาที  อัสริเวลา15.52.11วินาที  มักริบเวลา19.08.58วินาที  อีซาเวลา20.33.44วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 09, 2014, 06:07 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**เราในฐานะผู้เป็นลูก ที่สำคัญเราท่านทั้งหลายได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธา ที่มีอีหม่านต่อพระผู้เป็นเจ้า เราท่านทั้งหลายต้องนึกถึงพระคุณของผู้เป็นบิดามารดาให้มากๆ 
**ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ไม่หวังจะได้อะไรตอบแทนเลย   พ่อแม่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้เป็นคนดี  พ่อแม่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออยากจะเห็นว่า ลูกของเรานั้นเป็นคนดีของพระผู้เป็นเจ้า  หวังลึกๆว่าโลกหน้าอาคิเราะห์ลูกของเราต้องได้อยู่อย่างสุขสบายอย่างแน่นอน เมื่อลูกเป็นคนดีได้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรพ่อแม่ก็จะสบายใจ ปลาบปลื้มใจ ดีอกดีใจอีกด้วย
**ความรักความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆนั้น ไม่มีระยะเวลา ไม่มีอายุ ไม่มีกำแพงอะไรใดๆทั้งสิ้นมากีดขวางได้ เพราะพ่อแม่ของเราทุกๆคน คิดอยู่เสมอว่าลูกคือแก้วตาแหละดวงใจ ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่าง ลูกสำคัญสุดๆ ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กแบเบาะ พ่อแม่ก็ห่วงคอยทะนุทนอม แม้ยุงสักตัวก็ไม่ยอมให้มีในที่นอนของลูกๆ คอยปกป้องลูกๆคอยให้โอกาส ช่วยเหลือสนับสนุนลูกๆ พร้อมเสมอที่จะให้อภัยต่อลูกอยู่ตลอดเวลา ในบางครั้งที่ลูกทำผิดทำพลาดไป คนที่เป็นพ่อเป็นแม่พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ แม้ลูกจะแต่งงานออกเย่าออกเรือนไปแล้ว ความรักความห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น ก็ยังเหมือนเดิมไม่ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่ประการใด(บุคคลที่ได้เป็นพ่อเป็นแม่คนเท่านั้น ที่จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ได้)   ดังนั้นพระคุณของพ่อแม่ มีมากมายเหลือเกิน ถ้าจะพูดถึงการทดแทนพระคุณของพ่อแม่แล้ว ทดแทนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอย่างแน่นอน แต่เราในฐานะผู้เป็นลูกถึงอย่างไรก็ตาม ก็จะต้องทดแทนพระคุณของพ่อแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า บุตรไม่มีโอกาสที่จะตอบแทน(พระคุณ)บิดามารดาได้ นอกจากเขาจะพบว่าบิดามารดาเป็นทาส และเขาได้ซื้อมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ  รายงานโดยมุสลิม
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَوَصَّيْنَا الْإِنْسَان بِوَالِدَيْهِ} أَمَرْنَاهُ أَنْ يَبَرّهُمَا {حَمَلَتْهُ أُمُّه} فَوَهَنَتْ {وَهْنًا عَلَى وَهْن} أَيْ ضَعُفَتْ لِلْحَمْلِ وَضَعُفَتْ لِلطَّلْقِ وَضَعُفَتْ لِلْوِلَادَةِ {وَفِصَالُه} أَيْ فِطَامُه {فِي عَامَيْنِ} وَقُلْنَا لَهُ {أَنْ اُشْكُرْ لِي وَلِوَالِدَيْك إلَيَّ الْمَصِيرُ} أَيْ الْمَرْجِعُ
และเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)ได้สั่งแก่มนุษย์เกี่ยวกับบิดา มารดาของเขา(เราได้ใช้ให้มนุษย์นั้น ให้ทำดีให้กตัญญูรู้คุณบิดา มารดาของเขา) โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขา อ่อนเพลียลงครั้งแล้วครั้งเล่า(ทั้งในช่วงตั้งครรภ์ ทั้งในช่วงใกล้จะคลอด แหละทั้งในช่วงคลอด) และการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี
(และเราหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่มนุษย์ว่า) ท่านจงขอบคุณ(นึกถึงพระคุณของ)ข้า และบิดามารดาของท่าน ยังเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)นั้น คือการกลับไป ซูเราะห์ลุกมาน 31อายะห์ที่14
**คำว่า أُمُّه ตามหลักวิชาไวยกรณ์อะหรับนั้น ประกอบด้วยฟาอิ้ลแหละมู่ดอฟุนอิลัย ดังนั้นคำว่าอุมมู่เป็นฟาอิ้ล เป็นประธานของกริยานี้  ในอายะห์กุรอ่านตรงนี้คำกริยาก็คืออุ้มครรภ์ ประธานหรือเจ้าของที่เป็นผู้อุ้มครรภ์ก็คือมารดา ดังนั้นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีความลำบากยากเข็นอย่างมากมายในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทนุทนอมลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ ผู้ที่คอยให้ความรัก คอยให้ความห่วงใยต่อลูกน้อย คอยสรรหาอาหารดีๆที่มีประโยชน์ให้ลูกน้อย ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้า เห็นตาลูกน้อยด้วยซ้ำไป ผู้ที่มีความรักอันบริสุทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมนี้ ก็คือมารดาของเราท่านทั้งหลายเอง ต้องสำนึกแหละทดแทนบุญคุณของท่านให้มากๆ
**เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตรอัมร์ บุตรอัลอาส(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.)ว่า บาปใหญ่นั้นได้แก่ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์(ซ.บ.) การเนรคุณบิดามารดา การฆ่าคน และการสาบานโดยเจตนาเป็นเท็จ รายงานโดยบุคอรี
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)ได้ระบุถึงเรื่องราวของฟาอิ้ลว่า
وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ فَاِنْ ظَهَرْ         فَهْوَ وَاِلاَّ فَضَمِيْرٌ اسْتَتَر
และหลังจากฟิอิ้ลนั้นก็เป็นฟาอิ้ล(ฟาอิ้ลต้องตกหลังจากฟิอิ้ล) ดังนั้นหากฟาอิ้ลเผยตัว(รอเฮร) ก็เป็น(เหมือนตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็คือในคำกลอนที่อยู่ก่อนหน้านี้)
และหากว่ามิใช่เช่นนั้น(ฟาอิ้ลไม่เผยตัว ไม่รอเฮร)ก็ต้องเป็นด่อเมรที่ซ่อนเร้น
**ตรงคำว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ ตรงนี้มีรายละเอียด เมื่อพิจรณาตรงนี้ก็จะพบว่า ถือว่าเป็นกฏเกณฑ์สำคัญของคำที่เป็นฟาอิ้ลนั้นต้องอยู่หลังจากฟิอิ้ล(นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในภาษอะหรับ ดำเนินตาม แนวทางบะซ่อรียูน) ดังเช่นในอายะห์กุรอ่านที่ได้กล่าวมา
  {حَمَلَتْهُ أُمُّه} หรือพูดง่ายๆว่าจะเอาประธานอยู่ก่อนกริยาไม่ได้โดยเด็ดขาด ถือว่าผิดกฎไวยกรณ์อะหรับ (เราท่านทั้งหลายจะพบว่าจะพบว่ามัฟอูลมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในซูเราะห์ฟาติฮะห์ اِيَّاكَ نَعْبُدُ) ค่อบัรมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในคำกลอนอัลฟียะห์ตรงนี้ในคำว่า  بَعْدَ فِعْلٍก็อยู่ในหน้าที่ค่อบัรมู่ก๊อดดัม) ค่อบะรู่ฮามู่ก๊อดดำก็มี แต่ทว่าฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด)
**อันที่จริงแล้วมีอีกแนวทางของหลักไวยกรณ์อะหรับคือแนวทางกูฟียูน ได้บอกว่าฟาอิ้ลสามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีแล้วจะพบว่าผู้ประพันธ์บทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)นี้นั้น ท่านก็มีแนวคิดเดียวกันกับแนวทางบะซ่อรียูน ก็คือฟาอิ้ลจะไม่สามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้ พูดอีกอย่างก็คือฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด เพราะดังในบทกลอนของท่านที่ว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ
**ท่านร่อซูลุ้ลลออ์(ซ.ล.)ได้ประสูติขึ้นมา ท่านก็เคยเป็นลูก ท่านก็มีพ่อมีแม่เหมือนเราท่านทั้งหลายนี้แหละ สิ่งที่ได้ยินอยู่เป็นประจำก็คือ การขัดแย้งในวงกว้างเกี่ยวกับเรื่องการจัดเมาลิดนบี แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีน้อยมากที่จะพูดถึงความสำคัญ พระคุณของพ่อแม่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง การทำดีต่อพ่อแม่นั้นนับว่าเป็นภาคผลบุลที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ แค่เป็นคนดี ช่วยเหลือห่วงใย ถามไถ่เอาใจใส่ท่านทั้งสอง แค่นี้หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ท่านทั้งสองก็สุขใจมากมายแล้ว
**สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยก็คือ การนึกถึงพระคุณของพระผู้เป็นเจ้านั้น นับว่าหายากมากๆ จะมีก็จำกัดอยู่ที่ผู้คน หมู่ยินกลุ่มน้อยเท่านั้น การตั้งภาคีการนำสิ่งอื่นมาเทียบเทียม เทียบเท่ากับพระผู้เป็นเจ้านั้น กลับมีทุกยุคทุกสมัย ซึ่งมีอยู่อย่างมากมายอีกด้วย ดังนั้นเราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ซัยตอนมารร้ายเฝ้ารอโอกาสรอคอยอยู่ตลอดเวลา ที่จะคอยชักจูงชี้นำให้มนุษย์แหละยิน หลงทางตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า ลืมที่จะนึกถึงพระคุณแห่งพระผู้เป็นเจ้า เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ กระทั่งทิ้งการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในที่สุด
**ในสมัยที่ร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ยังมีชีวิตอยู่ พระผู้เป็นเจ้าเคยแจ้งถึงข่าวใหญ่ ให้ท่านได้รับทราบ ((เป็นฮะดิษกุดซีย์ จากท่านมุอาซ เนื้อความของฮะดิษมีอยู่ว่า แท้จริงข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)  ยินแหละมนุษย์ ตกเป็นข่าวใหญ่มาก คือข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แต่ผู้อื่นกลับได้รับการกราบไหว้ แหละข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง โปรยปรายริสกีโชคผลต่างๆมาให้(อย่างมากมาย) แต่ผู้อื่นกลับได้รับการขอบพระคุณ รายงานโดยบัยฮะกี ฮากิม))
จากฮะดิษกุดซีย์บทนี้ ทำให้เราท่านทั้งหลายมีข้อคิดสะกิดใจได้ว่า การดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมาแหละในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นหรือเปล่า ถ้าไม่เหมือนก็อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์ แต่ถ้าการดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลาย ในอดีตที่ผ่านมาและในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นแล้ว เราท่านทั้งหลายต้องรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้ไปในทางที่ถูกต้อง เพื่อความผาสุกจะได้เกิดขึ้นกับเราท่านทั้งหลายเอง ทั้งในโลกดุนยาแหละโลกหน้าอาคิเราะห์ (ในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นถ้าทุกข์ก็ทุกข์ตลอดไป ถ้าสุขก็ยิ่งสุขตลอดไป นั่นถือเป็นรางวัล เป็นรางวัลแด่ผู้ศรัทธา)
**ความรักที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้แก่บ่าวของพระองค์นั้น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว พระองค์จะไม่ใช่บิดาของใคร(เพราะพระองค์ทรงอะระลียุน ก่อดีมุน) แต่ความรักความหวังดี การให้อภัยที่พระองค์ทรงมีให้แก่บ่าวนั้น นับว่าความรักของคนที่เป็นพ่อ ความรักของคนที่เป็นแม่ที่มีต่อลูก ที่เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่ามากมายนั้น ก็ยังไม่สามารถเทียบเทียมได้เลย เป็นความรักที่มอบแก่ปวงบ่าวที่ยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน
**นี่ก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นปีใหม่แล้ว ปฏิทินอิสลามก็ถือว่าเป็นของขวัญที่เลอค่ามากๆสำหรับมวลมุสลิมชายแหละมวลมุสลิมะห์ เพราะสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือ เวลาปฏิบัติศาสนกิจที่มวลมุสลิมแหละมวลมุสลิมะห์ต้องนำมายึดปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันตลอดทั้งปีแหละตลอดชีวิต แหละสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือเดือนต่างๆของอิสลามเช่นวันที่1เดือนมุฮัรรอมตรงกับวันที่เท่าใด แหละวันที่1ของเดือนอิสลามเดือนอื่นๆตรงกับวันที่เท่าใด อะไรอย่างนี้เป็นต้น
**ในความเป็นจริงแล้ว(ตามหลักซะรีอัต)เราท่านทั้งหลายนั้นต้องฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี แหละปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในเดือนของอิสลามเท่านั้น เพราะนั่นคือหน้าที่แหละความรับผิดชอบ ซึ่งทางสำนักจุฬาราชมนตรีจะประกาศในทุกๆเดือน(ซึ่งจะใช้การเห็นจันทร์เสี้ยวแหละการไม่เห็นจันทร์เสี้ยวมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดวันเริ่มต้นเดือนใหม่)
**ส่วนในมุมมองของนักดาราศาสตร์อิสลามนั้น ในเมื่อต้องทำปฏิทินล่วงหน้า1ปี จะเริ่มวันที่1ของเดือนอิสลามในทุกๆเดือนนั้น ว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
**ใครจะรู้ว่าเมื่อพันสี่ร้อยกว่าปี ขณะที่เทคโนโลยียังล้าสมัยมาก ผู้คนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกใบนี้นั้น จริงๆแล้วกลมไม่ใช่แบน แต่มีบุรุษท่านหนึ่ง(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) นำปฏิทินแห่งฟากฟ้ามาจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นปฏิทินที่ยึดเอาปรากฏการณ์ทางท้องฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนด นำมาบอกให้มวลมนุษยชาติได้รับรู้(ซึ่งที่จะไม่มีการผิดเพี้ยนเลยเพราะเป็นปฏิทินที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า โดยพระผู้เป็นเจ้าได้ให้ดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด)
**บุรุษที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) อยู่ในยุคที่ล้าสมัย จะรับรู้ถึงเรื่องราวที่ล้ำสมัยอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าพระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆไม่ทรงบอก
**เราท่านทั้งหลายเคยสงสัยหรือไม่ว่า ตั้งแต่เกิดมาสิ่งที่เราเห็นอยู่หลักๆก็คือโลกเพราะเราท่านทั้งหลายเดินแหละวิ่งเล่นเมื่อยามเป็นเด็ก ดวงอาทิตย์เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ดวงจันทร์บางวันก็เห็นบ้างบางวันก็ไม่เห็น(แล้วมีฮิกมะห์อะไรที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงสร้างให้ดวงจันทร์มีแสงในตัวเองเลย ทำไมดวงจันทร์จึงต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ด้วย ทำไมหนอวันธรรมดาดวงจันทร์มีแสงนวลตา แต่ทำไมหนอวันที่เกิดจันทรุปราคาดวงจันทร์ทำไมดวงจันทร์จึงมีสีแดงคล้ายอิฐเผา คำตอบทั้งหมดนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงบอกไว้หมดแล้วในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَجَعَلَ الْقَمَر فِيهِنَّ} أَيْ فِي مَجْمُوعهنَّ الصَّادِق بِالسَّمَاءِ الدُّنْيَا {نُورًا وَجَعَلَ الشَّمْس سِرَاجًا} مِصْبَاحًا مُضِيئًا وَهُوَ أَقْوَى مِنْ نُور الْقَمَر
และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า ซูเราะห์ นูฮ์ อายะห์ที่ 16 
**ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าซีรอจกับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)
**ดังนั้นถ้าผู้ที่ทำปฏิทินใดๆ ยึดหลักว่าต้องเอาปรากฏการณ์บนฟากฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนดในการเริ่มต้นเดือนใหม่ของอิสลาม แล้วเริ่มต้นเดือนใหม่(อันนี้คือตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ไม่ใช่หลักซะรีอัตเพราะหลักซะรีอัตต้องปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี) ก็จะตรงกับหลักความเป็นจริงบนฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา
**ขอให้เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่า ใครจะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวหรือใครจะโกหกว่าไม่เห็นจันทร์เสี้ยวอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้น เพราะนั่นคือมนุษย์ แต่ปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา จะไม่เป็นไปตามคำโกหกของมนุษย์เหล่านั้นหรอก ก็เพราะว่าปรากฏการณ์ทางฟากฟ้านั้น จะดำเนินไปตามคำสั่งใช้ จะดำเนินไปตามการกำหนดของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (ดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แหละดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามวงรอบของดวงจันทร์เท่านั้น กล่าวคือดวงจันทร์จะไม่เคลื่อนที่ช้าหรือเร็ว เพียงเพื่อให้ไปตรงกับคำโกหกต่างนานาๆของมนุษย์โดยเด็ดขาด)
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
**ถ้าไม่เข้าใจปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมาอย่างถ่องแท้แล้ว การนับวันของอิสลามก็จะคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้นตามปฏิทินแห่งฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมา ท่าน(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.))ท่านได้ประสูติ ในวันจันทร์ที่9(ย้ำนะครับ เก้า)เดือน ร่อบิอุ้ลเอาวัล ปีค.ศ. 571(ปีช้าง) ตรงกับวันจันทร์ที่ 20เมษายน ค.ศ. 571ในวันศุกร์ที่ 10 เมษายน ค.ศ. 571 (ซึ่งในปีค.ศ. 571 เดือนกุมภาพันธ์มี 28วัน) มีจันทร์ค้างฟ้าไม่ถึง 15 นาทีตามมหานครมักกะห์ ดวงจันทร์สูงแค่ 2องศากว่าๆเท่านั้นเอง อายุดวงจันทร์8ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าในมหานครมักกะห์ ดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์ห่างกันแค่ประมาณ 1องศาเท่านั้นเอง
**เรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในอัลฮะดิษแหละเป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเลยในหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นผมจึงไม่ขอลงลึกถึงรายละเอียดต่างๆเหล่านี้เพิ่มอีก(เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นยังมีรายละเอียดอีกมากมายๆ)
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435 วันอีดิ้ลฟิตริ ดังนั้นวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 เวลา 21:12:48 วินาที(ตามเวลาประเทษไทย)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 (เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435)  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435
**วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557  (ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์แหละตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 405847.72 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 406003.12 กิโลเมตร
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.34.55วินาที  ดวงจันทร์ตก18.17.17วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.32.03วินาที ดวงจันทร์ตก18.14.34วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.25.59วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.06วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 15 นาที 53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.26.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.03วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 1วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.29.11 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.13.08วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 03วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.38.16วินาที  ดวงจันทร์ตก18.20.40วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 36วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.26.33วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.28วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 5วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.20.07วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.01.38วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 18นาที 29วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.35.16วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.17.37วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 39วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะว่าดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันเสาร์ที่ 23  สิงหาคม พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  04.52.26วินาที ตะวันขึ้นเวลา 06.05.35 วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.19.32วินาที อัสริเวลา15.30.06วินาที มักริบเวลา 18.35.29 วินาที อีซาเวลา 19.48.32 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.54.27 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.07.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.21.24วินาที  อัสริเวลา15.31.42วินาที  มักริบเวลา18.37.15 วินาที  อีซาเวลา 19.50.14 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา  04.45.32วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.59.51วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.23.22วินาที  อัสริเวลา  15.48.04วินาที  มักริบเวลา 18.48.45วินาที  อีซาเวลา 20.02.55วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.41.11วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.56.29วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.13วินาที  อัสริเวลา15.53.36 วินาที  มักริบเวลา 18.53.47 วินาที  อีซาเวลา 20.08.54วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 19, 2014, 01:51 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

 

GoogleTagged