السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**เราในฐานะผู้เป็นลูก ที่สำคัญเราท่านทั้งหลายได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธา ที่มีอีหม่านต่อพระผู้เป็นเจ้า เราท่านทั้งหลายต้องนึกถึงพระคุณของผู้เป็นบิดามารดาให้มากๆ
**ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ไม่หวังจะได้อะไรตอบแทนเลย พ่อแม่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้เป็นคนดี พ่อแม่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออยากจะเห็นว่า ลูกของเรานั้นเป็นคนดีของพระผู้เป็นเจ้า หวังลึกๆว่าโลกหน้าอาคิเราะห์ลูกของเราต้องได้อยู่อย่างสุขสบายอย่างแน่นอน เมื่อลูกเป็นคนดีได้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรพ่อแม่ก็จะสบายใจ ปลาบปลื้มใจ ดีอกดีใจอีกด้วย
**ความรักความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆนั้น ไม่มีระยะเวลา ไม่มีอายุ ไม่มีกำแพงอะไรใดๆทั้งสิ้นมากีดขวางได้ เพราะพ่อแม่ของเราทุกๆคน คิดอยู่เสมอว่าลูกคือแก้วตาแหละดวงใจ ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่าง ลูกสำคัญสุดๆ ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กแบเบาะ พ่อแม่ก็ห่วงคอยทะนุทนอม แม้ยุงสักตัวก็ไม่ยอมให้มีในที่นอนของลูกๆ คอยปกป้องลูกๆคอยให้โอกาส ช่วยเหลือสนับสนุนลูกๆ พร้อมเสมอที่จะให้อภัยต่อลูกอยู่ตลอดเวลา ในบางครั้งที่ลูกทำผิดทำพลาดไป คนที่เป็นพ่อเป็นแม่พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ แม้ลูกจะแต่งงานออกเย่าออกเรือนไปแล้ว ความรักความห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น ก็ยังเหมือนเดิมไม่ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่ประการใด(บุคคลที่ได้เป็นพ่อเป็นแม่คนเท่านั้น ที่จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ได้) ดังนั้นพระคุณของพ่อแม่ มีมากมายเหลือเกิน ถ้าจะพูดถึงการทดแทนพระคุณของพ่อแม่แล้ว ทดแทนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอย่างแน่นอน แต่เราในฐานะผู้เป็นลูกถึงอย่างไรก็ตาม ก็จะต้องทดแทนพระคุณของพ่อแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า บุตรไม่มีโอกาสที่จะตอบแทน(พระคุณ)บิดามารดาได้ นอกจากเขาจะพบว่าบิดามารดาเป็นทาส และเขาได้ซื้อมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ รายงานโดยมุสลิม
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَوَصَّيْنَا الْإِنْسَان بِوَالِدَيْهِ} أَمَرْنَاهُ أَنْ يَبَرّهُمَا {حَمَلَتْهُ أُمُّه} فَوَهَنَتْ {وَهْنًا عَلَى وَهْن} أَيْ ضَعُفَتْ لِلْحَمْلِ وَضَعُفَتْ لِلطَّلْقِ وَضَعُفَتْ لِلْوِلَادَةِ {وَفِصَالُه} أَيْ فِطَامُه {فِي عَامَيْنِ} وَقُلْنَا لَهُ {أَنْ اُشْكُرْ لِي وَلِوَالِدَيْك إلَيَّ الْمَصِيرُ} أَيْ الْمَرْجِعُ
และเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)ได้สั่งแก่มนุษย์เกี่ยวกับบิดา มารดาของเขา(เราได้ใช้ให้มนุษย์นั้น ให้ทำดีให้กตัญญูรู้คุณบิดา มารดาของเขา) โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขา อ่อนเพลียลงครั้งแล้วครั้งเล่า(ทั้งในช่วงตั้งครรภ์ ทั้งในช่วงใกล้จะคลอด แหละทั้งในช่วงคลอด) และการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี
(และเราหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่มนุษย์ว่า) ท่านจงขอบคุณ(นึกถึงพระคุณของ)ข้า และบิดามารดาของท่าน ยังเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)นั้น คือการกลับไป ซูเราะห์ลุกมาน 31อายะห์ที่14
**คำว่า أُمُّه ตามหลักวิชาไวยกรณ์อะหรับนั้น ประกอบด้วยฟาอิ้ลแหละมู่ดอฟุนอิลัย ดังนั้นคำว่าอุมมู่เป็นฟาอิ้ล เป็นประธานของกริยานี้ ในอายะห์กุรอ่านตรงนี้คำกริยาก็คืออุ้มครรภ์ ประธานหรือเจ้าของที่เป็นผู้อุ้มครรภ์ก็คือมารดา ดังนั้นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีความลำบากยากเข็นอย่างมากมายในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทนุทนอมลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ ผู้ที่คอยให้ความรัก คอยให้ความห่วงใยต่อลูกน้อย คอยสรรหาอาหารดีๆที่มีประโยชน์ให้ลูกน้อย ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้า เห็นตาลูกน้อยด้วยซ้ำไป ผู้ที่มีความรักอันบริสุทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมนี้ ก็คือมารดาของเราท่านทั้งหลายเอง ต้องสำนึกแหละทดแทนบุญคุณของท่านให้มากๆ
**เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตรอัมร์ บุตรอัลอาส(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.)ว่า บาปใหญ่นั้นได้แก่ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์(ซ.บ.) การเนรคุณบิดามารดา การฆ่าคน และการสาบานโดยเจตนาเป็นเท็จ รายงานโดยบุคอรี
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)ได้ระบุถึงเรื่องราวของฟาอิ้ลว่า
وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ فَاِنْ ظَهَرْ فَهْوَ وَاِلاَّ فَضَمِيْرٌ اسْتَتَر
และหลังจากฟิอิ้ลนั้นก็เป็นฟาอิ้ล(ฟาอิ้ลต้องตกหลังจากฟิอิ้ล) ดังนั้นหากฟาอิ้ลเผยตัว(รอเฮร) ก็เป็น(เหมือนตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็คือในคำกลอนที่อยู่ก่อนหน้านี้)
และหากว่ามิใช่เช่นนั้น(ฟาอิ้ลไม่เผยตัว ไม่รอเฮร)ก็ต้องเป็นด่อเมรที่ซ่อนเร้น
**ตรงคำว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ ตรงนี้มีรายละเอียด เมื่อพิจรณาตรงนี้ก็จะพบว่า ถือว่าเป็นกฏเกณฑ์สำคัญของคำที่เป็นฟาอิ้ลนั้นต้องอยู่หลังจากฟิอิ้ล(นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในภาษอะหรับ ดำเนินตาม แนวทางบะซ่อรียูน) ดังเช่นในอายะห์กุรอ่านที่ได้กล่าวมา
{حَمَلَتْهُ أُمُّه} หรือพูดง่ายๆว่าจะเอาประธานอยู่ก่อนกริยาไม่ได้โดยเด็ดขาด ถือว่าผิดกฎไวยกรณ์อะหรับ (เราท่านทั้งหลายจะพบว่าจะพบว่ามัฟอูลมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในซูเราะห์ฟาติฮะห์ اِيَّاكَ نَعْبُدُ) ค่อบัรมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในคำกลอนอัลฟียะห์ตรงนี้ในคำว่า بَعْدَ فِعْلٍก็อยู่ในหน้าที่ค่อบัรมู่ก๊อดดัม) ค่อบะรู่ฮามู่ก๊อดดำก็มี แต่ทว่าฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด)
**อันที่จริงแล้วมีอีกแนวทางของหลักไวยกรณ์อะหรับคือแนวทางกูฟียูน ได้บอกว่าฟาอิ้ลสามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีแล้วจะพบว่าผู้ประพันธ์บทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)นี้นั้น ท่านก็มีแนวคิดเดียวกันกับแนวทางบะซ่อรียูน ก็คือฟาอิ้ลจะไม่สามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้ พูดอีกอย่างก็คือฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด เพราะดังในบทกลอนของท่านที่ว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ
**ท่านร่อซูลุ้ลลออ์(ซ.ล.)ได้ประสูติขึ้นมา ท่านก็เคยเป็นลูก ท่านก็มีพ่อมีแม่เหมือนเราท่านทั้งหลายนี้แหละ สิ่งที่ได้ยินอยู่เป็นประจำก็คือ การขัดแย้งในวงกว้างเกี่ยวกับเรื่องการจัดเมาลิดนบี แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีน้อยมากที่จะพูดถึงความสำคัญ พระคุณของพ่อแม่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง การทำดีต่อพ่อแม่นั้นนับว่าเป็นภาคผลบุลที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ แค่เป็นคนดี ช่วยเหลือห่วงใย ถามไถ่เอาใจใส่ท่านทั้งสอง แค่นี้หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ท่านทั้งสองก็สุขใจมากมายแล้ว
**สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยก็คือ การนึกถึงพระคุณของพระผู้เป็นเจ้านั้น นับว่าหายากมากๆ จะมีก็จำกัดอยู่ที่ผู้คน หมู่ยินกลุ่มน้อยเท่านั้น การตั้งภาคีการนำสิ่งอื่นมาเทียบเทียม เทียบเท่ากับพระผู้เป็นเจ้านั้น กลับมีทุกยุคทุกสมัย ซึ่งมีอยู่อย่างมากมายอีกด้วย ดังนั้นเราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ซัยตอนมารร้ายเฝ้ารอโอกาสรอคอยอยู่ตลอดเวลา ที่จะคอยชักจูงชี้นำให้มนุษย์แหละยิน หลงทางตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า ลืมที่จะนึกถึงพระคุณแห่งพระผู้เป็นเจ้า เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ กระทั่งทิ้งการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในที่สุด
**ในสมัยที่ร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ยังมีชีวิตอยู่ พระผู้เป็นเจ้าเคยแจ้งถึงข่าวใหญ่ ให้ท่านได้รับทราบ ((เป็นฮะดิษกุดซีย์ จากท่านมุอาซ เนื้อความของฮะดิษมีอยู่ว่า แท้จริงข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.) ยินแหละมนุษย์ ตกเป็นข่าวใหญ่มาก คือข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แต่ผู้อื่นกลับได้รับการกราบไหว้ แหละข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง โปรยปรายริสกีโชคผลต่างๆมาให้(อย่างมากมาย) แต่ผู้อื่นกลับได้รับการขอบพระคุณ รายงานโดยบัยฮะกี ฮากิม))
จากฮะดิษกุดซีย์บทนี้ ทำให้เราท่านทั้งหลายมีข้อคิดสะกิดใจได้ว่า การดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมาแหละในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นหรือเปล่า ถ้าไม่เหมือนก็อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์ แต่ถ้าการดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลาย ในอดีตที่ผ่านมาและในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นแล้ว เราท่านทั้งหลายต้องรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้ไปในทางที่ถูกต้อง เพื่อความผาสุกจะได้เกิดขึ้นกับเราท่านทั้งหลายเอง ทั้งในโลกดุนยาแหละโลกหน้าอาคิเราะห์ (ในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นถ้าทุกข์ก็ทุกข์ตลอดไป ถ้าสุขก็ยิ่งสุขตลอดไป นั่นถือเป็นรางวัล เป็นรางวัลแด่ผู้ศรัทธา)
**ความรักที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้แก่บ่าวของพระองค์นั้น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว พระองค์จะไม่ใช่บิดาของใคร(เพราะพระองค์ทรงอะระลียุน ก่อดีมุน) แต่ความรักความหวังดี การให้อภัยที่พระองค์ทรงมีให้แก่บ่าวนั้น นับว่าความรักของคนที่เป็นพ่อ ความรักของคนที่เป็นแม่ที่มีต่อลูก ที่เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่ามากมายนั้น ก็ยังไม่สามารถเทียบเทียมได้เลย เป็นความรักที่มอบแก่ปวงบ่าวที่ยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน
**นี่ก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นปีใหม่แล้ว ปฏิทินอิสลามก็ถือว่าเป็นของขวัญที่เลอค่ามากๆสำหรับมวลมุสลิมชายแหละมวลมุสลิมะห์ เพราะสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือ เวลาปฏิบัติศาสนกิจที่มวลมุสลิมแหละมวลมุสลิมะห์ต้องนำมายึดปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันตลอดทั้งปีแหละตลอดชีวิต แหละสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือเดือนต่างๆของอิสลามเช่นวันที่1เดือนมุฮัรรอมตรงกับวันที่เท่าใด แหละวันที่1ของเดือนอิสลามเดือนอื่นๆตรงกับวันที่เท่าใด อะไรอย่างนี้เป็นต้น
**ในความเป็นจริงแล้ว(ตามหลักซะรีอัต)เราท่านทั้งหลายนั้นต้องฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี แหละปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในเดือนของอิสลามเท่านั้น เพราะนั่นคือหน้าที่แหละความรับผิดชอบ ซึ่งทางสำนักจุฬาราชมนตรีจะประกาศในทุกๆเดือน(ซึ่งจะใช้การเห็นจันทร์เสี้ยวแหละการไม่เห็นจันทร์เสี้ยวมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดวันเริ่มต้นเดือนใหม่)
**ส่วนในมุมมองของนักดาราศาสตร์อิสลามนั้น ในเมื่อต้องทำปฏิทินล่วงหน้า1ปี จะเริ่มวันที่1ของเดือนอิสลามในทุกๆเดือนนั้น ว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
**ใครจะรู้ว่าเมื่อพันสี่ร้อยกว่าปี ขณะที่เทคโนโลยียังล้าสมัยมาก ผู้คนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกใบนี้นั้น จริงๆแล้วกลมไม่ใช่แบน แต่มีบุรุษท่านหนึ่ง(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) นำปฏิทินแห่งฟากฟ้ามาจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นปฏิทินที่ยึดเอาปรากฏการณ์ทางท้องฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนด นำมาบอกให้มวลมนุษยชาติได้รับรู้(ซึ่งที่จะไม่มีการผิดเพี้ยนเลยเพราะเป็นปฏิทินที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า โดยพระผู้เป็นเจ้าได้ให้ดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด)
**บุรุษที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) อยู่ในยุคที่ล้าสมัย จะรับรู้ถึงเรื่องราวที่ล้ำสมัยอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าพระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆไม่ทรงบอก
**เราท่านทั้งหลายเคยสงสัยหรือไม่ว่า ตั้งแต่เกิดมาสิ่งที่เราเห็นอยู่หลักๆก็คือโลกเพราะเราท่านทั้งหลายเดินแหละวิ่งเล่นเมื่อยามเป็นเด็ก ดวงอาทิตย์เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ดวงจันทร์บางวันก็เห็นบ้างบางวันก็ไม่เห็น(แล้วมีฮิกมะห์อะไรที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงสร้างให้ดวงจันทร์มีแสงในตัวเองเลย ทำไมดวงจันทร์จึงต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ด้วย ทำไมหนอวันธรรมดาดวงจันทร์มีแสงนวลตา แต่ทำไมหนอวันที่เกิดจันทรุปราคาดวงจันทร์ทำไมดวงจันทร์จึงมีสีแดงคล้ายอิฐเผา คำตอบทั้งหมดนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงบอกไว้หมดแล้วในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَجَعَلَ الْقَمَر فِيهِنَّ} أَيْ فِي مَجْمُوعهنَّ الصَّادِق بِالسَّمَاءِ الدُّنْيَا {نُورًا وَجَعَلَ الشَّمْس سِرَاجًا} مِصْبَاحًا مُضِيئًا وَهُوَ أَقْوَى مِنْ نُور الْقَمَر
และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า ซูเราะห์ นูฮ์ อายะห์ที่ 16
**ในอายะห์นี้ พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์ เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้ และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าซีรอจกับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง") ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)
**ดังนั้นถ้าผู้ที่ทำปฏิทินใดๆ ยึดหลักว่าต้องเอาปรากฏการณ์บนฟากฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนดในการเริ่มต้นเดือนใหม่ของอิสลาม แล้วเริ่มต้นเดือนใหม่(อันนี้คือตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ไม่ใช่หลักซะรีอัตเพราะหลักซะรีอัตต้องปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี) ก็จะตรงกับหลักความเป็นจริงบนฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา
**ขอให้เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่า ใครจะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวหรือใครจะโกหกว่าไม่เห็นจันทร์เสี้ยวอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้น เพราะนั่นคือมนุษย์ แต่ปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา จะไม่เป็นไปตามคำโกหกของมนุษย์เหล่านั้นหรอก ก็เพราะว่าปรากฏการณ์ทางฟากฟ้านั้น จะดำเนินไปตามคำสั่งใช้ จะดำเนินไปตามการกำหนดของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (ดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แหละดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามวงรอบของดวงจันทร์เท่านั้น กล่าวคือดวงจันทร์จะไม่เคลื่อนที่ช้าหรือเร็ว เพียงเพื่อให้ไปตรงกับคำโกหกต่างนานาๆของมนุษย์โดยเด็ดขาด)
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
**ถ้าไม่เข้าใจปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมาอย่างถ่องแท้แล้ว การนับวันของอิสลามก็จะคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้นตามปฏิทินแห่งฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมา ท่าน(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.))ท่านได้ประสูติ ในวันจันทร์ที่9(ย้ำนะครับ เก้า)เดือน ร่อบิอุ้ลเอาวัล ปีค.ศ. 571(ปีช้าง) ตรงกับวันจันทร์ที่ 20เมษายน ค.ศ. 571ในวันศุกร์ที่ 10 เมษายน ค.ศ. 571 (ซึ่งในปีค.ศ. 571 เดือนกุมภาพันธ์มี 28วัน) มีจันทร์ค้างฟ้าไม่ถึง 15 นาทีตามมหานครมักกะห์ ดวงจันทร์สูงแค่ 2องศากว่าๆเท่านั้นเอง อายุดวงจันทร์8ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าในมหานครมักกะห์ ดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์ห่างกันแค่ประมาณ 1องศาเท่านั้นเอง
**เรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในอัลฮะดิษแหละเป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเลยในหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นผมจึงไม่ขอลงลึกถึงรายละเอียดต่างๆเหล่านี้เพิ่มอีก(เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นยังมีรายละเอียดอีกมากมายๆ)
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม
ดังนั้นวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 ตรงกับวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1435 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435 วันอีดิ้ลฟิตริ ดังนั้นวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย
จันทร์ดับ ตรงกับวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 เวลา 21:12:48 วินาที(ตามเวลาประเทษไทย) ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 (เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435) จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435
**วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 (ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์แหละตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 405847.72 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 406003.12 กิโลเมตร
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.34.55วินาที ดวงจันทร์ตก18.17.17วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.32.03วินาที ดวงจันทร์ตก18.14.34วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.25.59วินาที ดวงจันทร์ตก18.10.06วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 15 นาที 53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.26.04วินาที ดวงจันทร์ตก18.10.03วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 1วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่ ดวงอาทิตย์ตก 18.29.11 วินาที ดวงจันทร์ตก18.13.08วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 03วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.38.16วินาที ดวงจันทร์ตก18.20.40วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 36วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.26.33วินาที ดวงจันทร์ตก18.10.28วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 5วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ตก18.20.07วินาที ดวงจันทร์ตก 18.01.38วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 18นาที 29วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.35.16วินาที ดวงจันทร์ตก 18.17.37วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 39วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย (เพราะว่าดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน) และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน เขาเสียชีวิตไป ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง ละหมาดแล้วหรือยัง ทำอะม้าน อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
-สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.52.26วินาที ตะวันขึ้นเวลา 06.05.35 วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.19.32วินาที อัสริเวลา15.30.06วินาที มักริบเวลา 18.35.29 วินาที อีซาเวลา 19.48.32 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.54.27 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.07.33วินาที ดุฮ์ริเวลา12.21.24วินาที อัสริเวลา15.31.42วินาที มักริบเวลา18.37.15 วินาที อีซาเวลา 19.50.14 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม ซุบฮิเวลา 04.45.32วินาที ตะวันขึ้นเวลา 05.59.51วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.23.22วินาที อัสริเวลา 15.48.04วินาที มักริบเวลา 18.48.45วินาที อีซาเวลา 20.02.55วินาที
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิเวลา04.41.11วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.56.29วินาที ดุฮ์ริเวลา12.24.13วินาที อัสริเวลา15.53.36 วินาที มักริบเวลา 18.53.47 วินาที อีซาเวลา 20.08.54วินาที
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8
**รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


