เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์

<< < (16/20) > >>

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته**ฝนฟ้าในอิสลาม
**หน้าฝนกำลังจะผันผ่านไป ด้วยสาเหตที่เราท่านทั้งหลายมีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า ผู้ศรัทธาย่อมสามารถรับรู้ได้เลยว่า ฝนฟ้านั้นเกิดมาจากอะไร แหละเกิดมาได้อย่างไร ซึ่งได้รับรู้กันมาเนิ่นนานแล้ว เป็นระยะเวลาถึงพันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว เฉพาะในยุคสมัยของประชาชาติท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) รู้ได้ทั้งๆที่ในขณะนั้นโลกยังไม่ได้เจริญรุดหน้าเหมือนทุกวันนี้ และรับรู้ได้อย่างถูกต้องกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงอีกด้วย ที่รู้ได้ก็เพราะ พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระผู้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่ง ได้บอกเอาไว้ เรื่องราวของฝนฟ้านั้น เป็นเศษเสี้ยวเล็กๆในความสามารถของพระองค์
**ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่บอก ใครจะบอกได้
**พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสว่า
{أَلَمْ تَرَ أَنَّ اللَّه يُزْجِي سَحَابًا} يَسُوقهُ بِرِفْقٍ {ثُمَّ يُؤَلِّف بَيْنه} يَضُمّ بَعْضه إلَى بَعْض فَيَجْعَل الْقِطَع الْمُتَفَرِّقَة قِطْعَة وَاحِدَة {ثُمَّ يَجْعَلهُ رُكَامًا} بَعْضه فَوْق بَعْض {فَتَرَى الْوَدْق} الْمَطَر {يَخْرُج مِنْ خِلَاله} مَخَارِجه {وَيُنَزِّل مِنْ السَّمَاء مِنْ} زَائِدَة {جِبَال فِيهَا} فِي السَّمَاء بَدَل بِإِعَادَةِ الْجَارّ {مِنْ بَرَد} أَيْ بَعْضه {فَيُصِيب بِهِ مَنْ يَشَاء وَيَصْرِفهُ عَنْ مَنْ يَشَاء يَكَاد} يَقْرُب {سَنَا بَرْقه} لَمَعَانه {يَذْهَب بِالْأَبْصَارِ} النَّاظِرَة لَهُ أَيْ يَخْطَفهَا
ท่านไม่สังเกตหรอกหรือ แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงขับเมฆ(ให้ล่องลอยไปในทิศทางต่างๆที่พระองค์ทรงประสงค์) หลังจากนั้นพระองค์ทรงบันดาลให้มีการประสานกันระหว่างมัน หลังจากนั้นทรงบันดาล ให้มันเป็นกลุ่มก้อนมหึมา แล้วท่านก็มองเห็นน้ำฝนออกมาจากซอกของมัน และพระองค์ทรงให้ฝนลูกเห็บตกลงมาจากฝากฟ้า จาก(เมฆอันประหนึ่ง)ภูเขา แล้วพระองค์ก็ให้ลูกเห็บนั้นประสบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงผันแปรมันไปจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ อันประกายแสงแห่งฟ้าแลบจากเมฆนั้น เกือบขจัดสายตา(ให้มืดบอดลง) ซูเราะห์อันนูร24 อายะห์ที่43
**น้ำฝนอันอ่อนนุ่ม พระผู้เป็นเจ้าก็สามารถทำให้ลงมาจากฝากฟ้าได้ น้ำฝนแบบแข็งๆที่เราท่านทั้งหลายเรียกกันว่าฝนลูกเห็บ พระผู้เป็นเจ้าก็สามารถทำให้ลงมาจากฝากฟ้าได้ สิ่งที่ร่วงลงมาจากฝากฟ้า ที่ผู้คนทั้งหลายทั่วๆไป ต่างเฝ้ารอคอยดูถึงความสวยงาม ที่ผู้คนทั่วไปเรียกกันว่าฝนดาวตกนั้น(ในเดือนพศจิกายนนี้ มาจากกลุ่มดาวสิงโต) พระผู้เป็นเจ้าก็สามารถทำให้ลงมาจากฝากฟ้าได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆในความสามารถของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมาเพื่อยังประโยชน์แด่มนุษย์ชาติ
**บางสิ่งบางอย่างพระผู้เป็นเจ้าได้ให้มาไม่เหมือนกัน ทั้งรูปร่างหน้าตา อีกทั้งสุขภาพความแข็งแรง ฐานะทางด้านการเงิน แต่ความต่างที่มีในแต่ละบุคคลนั้น ไม่ได้หมายความรวมถึงว่า จะมีความเหลื่อมล้ำเลยกัน ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า เพราะสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้านำมาพิจรณานั้น คือความจริงใจ ความอิคลาสบริสุทธิ์ใจที่บ่าวมีต่อพระองค์ ในการปฏิบัติคุณความดีแขนงต่างๆ
**ความจริงที่เราท่านทั้งหลายสามารถเห็นได้ก็คือ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงให้แก่บ่าวของพระองค์ไม่เหมือนกัน แต่พระองค์ก็ได้ให้มีอีกสิ่งหนึ่งมาทดแทนกันและกัน นั่นแสดงถึงความยุติธรรมของพระองค์ ขึ้นอยู่ที่ว่าเราท่านทั้งหลายจะพยายามทำคุณความดีมากน้อยเท่าไหร่เท่านั้นเอง หลายๆท่านอาจจะมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป บางครั้งในบางทีอาจจะคิดว่า ไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าใดนัก แต่คุณค่าที่แท้จริงณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้านั้น เป็นสิ่งที่พระองค์เคยสรรเสริญมาแล้ว เมื่อครั้งอดีตกาล เป็นภาคผลบุญที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถช่วยเหลือเราท่านทั้งหลายได้ ทั้งในดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์
**ได้มีระบุไว้ในหนังสือซอเอี๊ยะห์มุสลิมว่า
حَدَّثَنَا عَاصِمُ بْنُ النَّضْرِ التَّيْمِيُّ، حَدَّثَنَا الْمُعْتَمِرُ، حَدَّثَنَا عُبَيْدُ اللهِ، ح قَالَ: وَحَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ، حَدَّثَنَا لَيْثٌ، عَنِ ابْنِ عَجْلَانَ، كِلَاهُمَا عَنْ سُمَيٍّ، عَنْ أَبِي صَالِحٍ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ - وَهَذَا حَدِيثُ قُتَيْبَةَ - أَنَّ فُقَرَاءَ الْمُهَاجِرِينَ أَتَوْا رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالُوا: ذَهَبَ أَهْلُ الدُّثُورِ بِالدَّرَجَاتِ الْعُلَى، وَالنَّعِيمِ الْمُقِيمِ، فَقَالَ: «وَمَا ذَاكَ؟» قَالُوا: يُصَلُّونَ كَمَا نُصَلِّي، وَيَصُومُونَ كَمَا نَصُومُ، وَيَتَصَدَّقُونَ وَلَا نَتَصَدَّقُ، وَيُعْتِقُونَ وَلَا نُعْتِقُ، فَقَالَ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «أَفَلَا أُعَلِّمُكُمْ شَيْئًا تُدْرِكُونَ بِهِ مَنْ سَبَقَكُمْ وَتَسْبِقُونَ بِهِ مَنْ بَعْدَكُمْ؟ وَلَا يَكُونُ أَحَدٌ أَفْضَلَ مِنْكُمْ إِلَّا مَنْ صَنَعَ مِثْلَ مَا صَنَعْتُمْ» قَالُوا: بَلَى، يَا رَسُولُ اللهِ قَالَ: «تُسَبِّحُونَ، وَتُكَبِّرُونَ، وَتَحْمَدُونَ، دُبُرَ كُلِّ صَلَاةٍ ثَلَاثًا وَثَلَاثِينَ مَرَّةً» قَالَ أَبُو صَالِحٍ: فَرَجَعَ فُقَرَاءُ الْمُهَاجِرِينَ إِلَى رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالُوا: سَمِعَ إِخْوَانُنَا أَهْلُ الْأَمْوَالِ بِمَا فَعَلْنَا، فَفَعَلُوا مِثْلَهُ، فَقَالَ رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «ذَلِكَ فَضْلُ اللهِ يُؤْتِيهِ مَنْ يَشَاءُ»
จากท่านอะบูฮุรอยเราะห์เล่าว่า(ฮะดิษนี้มีการรายงานจากกุตัยบะห์ด้วย) พวกมุยาฮิรีน ผู้ที่ยากจนได้พากันมาหาท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)แล้วได้กล่าวว่า ผู้ที่ร่ำรวย ด้วยทั้งมีสถานะสูงส่ง และได้รับความจำเริญอย่างถาวรได้ออกไปแล้ว ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น พวกเขา(มุยาฮิรีนผู้ที่ยากจน)ก็กล่าวว่า พวกเขา(ผู้ที่ร่ำรวย)ละหมาดเหมือนกับพวกเราละหมาด พวกเขาถือศิลอดเหมือนกับพวกเราถือศิลอด พวกเขาสามารถทำทาน(ทำซอดะเกาะห์)แต่พวกเราไม่สามารถทำซอดะเกาะห์ได้ พวกเขาสามารถปลดปล่อยทาสได้ และพวกเราไม่สามารถปลดปล่อยทาสได้ ต่อมาท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จึงได้กล่าวว่า เอาใหมล๊ะ ฉันจะสอนพวกท่านถึงการปฏิบัติสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะได้รับผลบุญเหมือนกันคนยุคก่อน และได้รับผลบุญมากกว่าคนยุคต่อไป และจะไม่มีใครประเสริฐกว่าพวกท่าน เว้นแต่ผู้ที่ได้ปฏิบัติเหมือนอย่างที่พวกท่านปฏิบัติ พวกมุยาฮิรีน ผู้ที่ยากจน กล่าวว่าเอาครับ โอ้ท่านศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จึงได้กล่าวสอนว่า พวกท่านจงกล่าวตัสเบี๊ยะห์(ซุบฮานัลลอฮ์) และพวกท่านจงกล่าวตักบีร(อัลลอฮุอักบัร) และพวกท่านจงกล่าวตะห์มีด(อัลฮัมดุลิ้ลลาห์) หลังละหมาด อย่างละ33ครั้ง ท่านอะบูซอลิ๊ห์ได้กล่าวว่า พวกมุยาฮิรีน ผู้ที่ยากจน ได้กลับมาหาท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อีกครั้ง พวกเขากล่าวว่า พี่น้องของเราที่มีฐานะร่ำรวย ได้ยินรับรู้สิ่งที่พวกเราได้ปฏิบัติกัน พวกเขา(ที่ร่ำรวย)ก็ได้ปฏิบัติเหมือนกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จึงได้กล่าวว่า เป็นความโปรดปรานของพระองค์อัลลอห์(ซ.บ.) ที่ทรงประทานให้กับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
**ได้มีกล่าวไว้ในหนังสือซอเฮี๊ยะห์บุคอรี
ทาสของท่านอิบนุอับบาสได้เล่ากล่าวว่า อิบนุอับบาสได้บอกกับฉันว่ามีการกล่าวซิกิรเสียงดังๆหลังจากที่ประชาชน เสร็จจากการละหมาด5เวลา ในยุคสมัยของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซล.) และอิบนุอับบาสได้กล่าวต่ออีกว่า เมื่อฉันได้ยินเสียงซิกิรครั้งใด แสดงว่าได้ละหมาดเสร็จกันแล้ว
**พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสรรเสริญบ่าวของพระองค์ ซึ่งมีระบุไว้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
{نِعْمَ الْعَبْد} أَيْ سُلَيْمَان {إنَّهُ أَوَّاب} رَجَّاعٌ فِي التَّسْبِيح وَالذِّكْر فِي جَمِيع الْأَوْقَات
เรา(พระผู้เป็นเจ้า)ได้ให้นบีดาวูด(มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่าสุไลมาน) เขาเป็นบ่าวที่ประเสริฐสุด อีกทั้งมีจิตรกลับคืน(สู่เราด้วยการกล่าวตัสบี๊ห์และกล่าวซิกิรอย่างมากมายตลอดเวลา) ซูเราะห์ซ๊อด38 อายะห์ที่30
**อายะห์กุรอ่านตรงนี้ถือว่าเป็นการสรรเสริญประเภทที่2  ที่เรียกว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสรรเสริญบ่าวของพระองค์
**คำว่าสุไลมานในตัฟซีรนี้ตามหลักวิชาการแล้ว เหตที่นักตัฟซีรกุรอ่านได้ตัฟซีรออกมานั้น ก็เพราะคำว่าสุไลมานนั้น อยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าالمخصوص بالمدح แหละต้องมีการอ่านร่อเฟาะเท่านั้น ส่วนจะอ่านร่อเฟาะด้วยกับอะไรนั้น ต้องดูลักษณะของคำๆนั้นอีกทีนึง
**นักวิชาการได้บอกให้ทราบว่าคำที่เป็น المخصوص นั้นยังแบ่งเป็นได้3ลักษณะด้วยกัน นั่นก็คือ
1.เป็นมุบตะดามุอัคค๊อร(ส่วนค่อบัรมุก๊อดดัมนั้นก็คือยุมละห์ที่อยู่ก่อน)ข้อนี้ถือว่าเป็นที่ยึดถือมากที่สุดตามหลักนักวิชาการนะฮู เช่นอย่างในตัซีรที่ได้กล่าวมา  أَيْ سُلَيْمَان        ส่วนยุมละห์ก็คือنِعْمَ الْعَبْد
2.เป็นค่อบัร ส่วนตัวมุบตะดานั้นจำเป็นต้องลบไป จึงเป็นเหตให้ต้องสมมุติคำขึ้นมาว่า
اي هوسليمانُ اي الممدوحُ سليمان
3.เป็นมุบตะดาแต่ตัวค่อบัรนั้นจำเป็นต้องลบไป จึงเป็นเหตให้ต้องสมมุติคำขึ้นมาว่า(ข้อ3นี้เป็นความเห็นที่น้อยมากของนักวิชาการ ไม่เป็นที่แพร่หลาย)
اي سليمان الممدوح
**เรื่องราวของ المخصوص     นั้นได้มีระบุไว้ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนวิชานะฮูอันทรงคุณค่า)ว่า
وَيُذْكَرُالْمَخْصُوْصُ بَعْدُمُبْتَدَا         اَوْخَبَرَاسْمٍ لَيْسَ يَبْدُوْاَبَدًا
และคำที่เป็นمَخْصُوْصُนั้น ต้องถูกนำมา(ไว้)หลังจาก(อิเซ็มที่ถูกร่อเฟาะด้วยฟิอิ้ลทั้งสอง คือต้องถูกนำมาไว้หลังฟาอิ้ลของเนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า ด้วยเหตนี้เองนักตัฟซีรจึงได้ตัฟซีรคำว่าสุไลมานในอายะห์เมื่อสักครู่ขึ้นมา)นั้นโดยเป็นมุบตะดา(มุอั๊คค๊อร)   หรือ(ไม่เช่นนั้นคำที่เป็นمَخْصُوْصُ  ก็)เป็นค่อบัรของอิเซ็ม(ของมุบตะดา)ที่ไม่ปรากฏ(ที่ได้ถูกลบไป)ตลอดไป(คือมุบตะดาของคำที่เป็นمَخْصُوْصُ นั้นจะต้องไม่เปิดเผยตลอดไปเลย)
**ขอให้เราท่านทั้งหลายอย่าลืมอย่างนึงว่า เหตุที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสรรเสริญท่านนบีสุไลมาน ก็เหตุด้วยการกล่าวตัสเบี๊ยะห์แหละการกล่าวซิกิรอย่างมากมายของท่าน ตลอดเวลา ดังนั้นขอให้เราท่านทั้งหลายอย่าได้มองข้ามสิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็เพราะว่าการกล่าวตัสเบี๊ยะห์ และการกล่าวซิกิรอย่างเป็นประจำนั้น ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าแล้วถือว่ามีค่ามากกว่าเงิน มากกว่าทอง เป็นสิ่งทดแทน ที่ใครๆก็ทำได้ ขอให้มีแค่จิตรใจที่พร้อมที่จะภักดีต่อพระองค์ ก็เพียงพอแล้ว ยิ่งถ้าเราท่านทั้งหลายสามารถรู้ถึงเคล็ดลับต่างในคำตัสเบี๊ยะห์ และในการกล่าวซิกิรนั้นๆ ก็ถือว่าอัลฮัมดุลิ้ลาฮ์
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556  ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1434  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1434 ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1434 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435(ขึ้นฮิจเราะห์ใหม่)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 เวลา 19.49.59 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์แหละอยู่สูงกว่าดาวพุธ Mercury ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 370213.98 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 370797.02กิโลเมตร
**วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก17.50.32วินาที  ดวงจันทร์ตก17.42.37วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก17.49.23วินาที ดวงจันทร์ตก17.41.24วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 58วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.กรงปีนัง ดวงอาทิตย์ตก17.55.22วินาที  ดวงจันทร์ตก17.47.25วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 57วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.กาบัง ดวงอาทิตย์ตก17.56.51วินาที  ดวงจันทร์ตก17.48.57วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 54วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.ธารโต ดวงอาทิตย์ตก17.56.07วินาที  ดวงจันทร์ตก17.48.11วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 56วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.บันนังสตา ดวงอาทิตย์ตก17.55.03วินาที  ดวงจันทร์ตก17.47.04วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 58วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก17.56.47วินาที  ดวงจันทร์ตก17.48.51วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก17.55.47วินาที  ดวงจันทร์ตก17.47.51วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.รามัน  ดวงอาทิตย์ตก17.54.50วินาที  ดวงจันทร์ตก17.46.51วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 59วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 17.57.53วินาที  ดวงจันทร์ตก17.50.03วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 51วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก17.53.28วินาที  ดวงจันทร์ตก17.45.40วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 48วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก17.55.39วินาที  ดวงจันทร์ตก17.47.43วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.32.28วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.23.57วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 8นาที 31วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก17.50.39วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.42.45วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 7นาที 54วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ แหละวันที่ดูจันทร์เสี้ยวในครั้งนี้ดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.50.57 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.12.05วินาที ดุฮ์ริเวลา12.00.23วินาที อัสริเวลา15.20.01 วินาที มักริบเวลา 17.48.32 วินาที อีซาเวลา 19.01.17
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.52.43วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.13.49วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.02.15วินาที  อัสริเวลา15.21.56 วินาที  มักริบเวลา17.50.32 วินาที  อีซาเวลา 19.03.15
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.00.27 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.22.03วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.04.15 วินาที  อัสริเวลา 15.18.59 วินาที  มักริบเวลา 17.46.13 วินาที  อีซาเวลา 18.59.08 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.03.15วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.25.30วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.05.07วินาที  อัสริเวลา15.17.00วินาที  มักริบเวลา17.44.27วินาที  อีซาเวลา18.57.48วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ดังนั้นการสรรเสริญที่จะมีต่อไปนี้(ต่อจากบทความคราวที่แล้ว) คือบ่าวสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า อย่างเช่นที่เราท่านทั้งหลายได้กล่าวว่า อัลฮำดู่ลิ้ลลาฮ์
คำๆนี้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านก็ได้มีการกล่าวว่า อัลฮำดู่ลิ้ลลาฮ์ อีกเช่นกัน ซึ่งปรากฏอยู่ในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์อายะห์ที่2(ก็เพราะว่าอายะห์แรกก็คือบิสมิ้ลลาฮิรเราะห์มานิรร่อฮีมนั่นเอง)
สาเหตุที่คำว่า อัลฮำดู่ลิ้ลลาฮ์..... ซึ่งปรากฏอยู่ในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์ ซึ่งถือว่าเป็นการสรรเสริญต่อพระผู้เป็นเจ้า ที่ออกมาจากปวงบ่าวนั้นก็เพราะว่า นักตัฟซีรกุรอ่านได้ให้ไปดูในคำว่า อียาก่านะบูดู้.....  ซึ่งก็ปรากฏอยู่ในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์อีกเช่นกัน เหตุผลก็คือความหมายของประโยคที่อยู่ก่อนอียาก่านะบูดู้.....นั้น ถือว่าเป็นการสมควรที่สุด ซึ่งต้องเป็นคำพูดที่ออกมาจากปวงบ่าวของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)
**ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นักวิชาการซึ่งผู้เชี่ยวชาญในการตัฟซีรอัลกุรอ่านจึงให้สมมุติคำขึ้นมาว่า
قولوابِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ مَالِكِ يَوْمِ الدِّينِ إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ اهْدِنَا الصِّرَاطَ الْمُستَقِيمَ صِرَاطَ الَّذِينَ أَنْعَمْتَ عَلَيْهِمْ غَيْرِ الْمَغضُوبِ عَلَيْهِمْ وَلَا الضَّالِّينَ
ดังที่มีระบุไว้ในคำอธิบายของนักตัฟซีรอัลกุรอ่านที่ว่า
وَيُقَدَّر فِي أَوَّلهَا قُولُوا لِيَكُونَ مَا قَبْل إيَّاكَ نَعْبُد مُنَاسِبًا لَهُ بِكَوْنِهَا من مقول العباد بسم الله الرحمن الرحيم
**มีรายละเอียดอีกนิดนึงว่า ในซูเราะห์อัลฟาติฮะห์นั้น ถือว่ามีอยู่7อายะห์ด้วยกัน ดังนั้นทัศนะที่บอกว่าบิสมิ้ลลาเป็นส่วนหนึ่งจากซูเราะห์อัลฟาติฮะห์นั้น ให้ถือว่าอายะห์ที่ว่า ซี่รอต้อลล่ารี..... เป็นอายะห์ที่7
ส่วนในทัศนะที่ถือว่าบิสมิ้ลลาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากซูเราะห์อัลฟาติฮะห์นั้น ให้ถือว่าอายะห์ที่ว่า ฆอยริ้ลมัฆดู..... เป็นอายะห์ที่7 
**ท่านมุฮัมมัดบุตรท่านมาลิกอั(ผู้แต่ง ผู้เรียบเรียงอัลฟียะห์) ท่านก็ได้ทำการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าอีกเช่นกัน ซึ่งได้มีระบุไว้ในบทกลอน อัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่า)ของท่าน ซึ่งการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของท่านนั้น ถือว่าเป็นการเริ่มต้นของบทกลอนอัลฟียะห์เลยทีเดียว
**การเริ่มต้นของบทกลอนอัลฟียะห์นั้นได้มีระบุไว้ว่า
قالَ محمدٌ هُوَابْنُ مالِكِ         اَحْمَدُرَبِّيَ اللهَ خَيْرَمَالِكِ
ท่านมุฮัมมัด คือบุตรท่านมาลิกได้กล่าวไว้ว่า         ฉันขอสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของฉัน (พระเจ้าของฉัน องค์อภิบาลของฉัน) คือพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุด(ทรงเป็นผู้ปกครองที่เลิศที่สุด)
**คำว่า   قالَ ในคำกลอนนี้นั้นเรียกว่า     مجازمرسل
เพราะใช้ฟิอิ้ลมาดี(แปลว่ากล่าวแล้ว) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นก็คือการที่(ผู้แต่ง เรียบเรียงอัลฟียะห์) กล่าวจริงๆนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นเลย(คือผู้แต่งตำรายังไม่ได้กล่าวเลย) แต่กำลังจะกล่าวหลังจากนี้
**การสรรเสริญประการสุดท้ายนั้นก็คือ บ่าวสรรเสริญบ่าวด้วยกันเอง(บ่าวชมบ่าวด้วยกันเอง)
**เรื่องจริงที่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นนั้นก็คือ บางคนถึงกับหลงในคำสรรเสริญเยินยอ หัวใจพองโต(ที่คนทั่วไปมักพูดกันว่า จะลอยแล้วๆ) จนกระทั่งลืมนึกถึงความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า ทรนง ภูมิใจ นึกแหละคิดเข้าข้างตัวเองเอาว่า สิ่งที่เกิดขึ้นได้นั้น เป็นความสามารถของตัวเองทั้งสิ้น โดยลืมนึกถึงการประทานให้ ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า เราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้นั้น จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น เพียงแต่ผ่านตัวของเราท่านทั้งหลายเท่านั้นเอง
**ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเราท่านทั้งหลายอ่านอัลกุรอ่านได้ถูกต้องแหละไพเราะฯลฯ(ที่นำการอ่านอัลกุรอ่านมายกตัวอย่างก็เพราะว่า ดีที่สุดคือคนเรียนอัลกุรอ่าน และสอนอัลกุรอ่าน) นั่นก็มาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นความสามารถของเราท่านทั้งหลายเอง ซึ่งพระองค์ต้องการทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งในความถูกต้องแหละความไพเราะของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน โดยผ่านมาจากตัวเราท่านทั้งหลายเท่านั้นเอง
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{ وَمَا بِكُم مّن نّعْمَةٍ فَمِنَ الله }
และไม่มีความโปรดปรานใดๆ ที่พวกท่านได้รับ(ที่มีอยู่ที่พวกท่าน อันได้แก่ เนีย๊ะมัติต่างๆ วิชาความรู้ ริสกี ความสุขสบายฯลฯ นอกจาก) นั่นมาจากพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทั้งสิ้น ซูเราะห์อันนะห์ลิ 16 อายะห์ที่53
ดังนั้นหน้าที่ของเราท่านทั้งหลายก็คือ ต้องขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้าให้มากๆ นึกถึงความโปรดปราณของพระผู้เป็นเจ้าให้มากๆ ที่พระองค์ได้เลือกให้แก่เราท่านทั้งหลาย อีกกระทั้งว่าเราท่านทั้งหลายต้องสอน แหละถ่ายทอดให้ผู้คนที่ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ให้ได้รับรู้ถึงสิ่งที่ถูกต้องมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าท่านยิ่งให้ท่านก็จะยิ่งได้ แล้วก็จะได้เพิ่มพูลจากพระผู้เป็นเจ้า
**ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สามารถทำให้วิชาความรู้ทุกๆแขนง สืบทอดต่อๆกันไป รุ่นสู่รุ่นได้นั้นก็คือ ผู้รู้อย่าได้ปิดบังความรู้ อย่าได้หวงแหนความรู้ เรื่องจริงที่ปรากฏก็คือ ถ้าท่านยิ่งให้ ท่านก็จะยิ่งได้จากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด(ที่เราท่านทั้งหลายยังมองไม่เห็น)ก็คือภาคผลบุญจากพระผู้เป็นเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นความเป็นจริงแล้ว ภาคผลบุญอันนี้แหละ จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับเราท่านทั้งหลายทั้งในโลกหลังความตาย แหละโลกหน้าอาคิเราะห์(โลกที่เงินทองไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรได้เลย โลกที่เงินทองทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน จะไม่มีความหมายอะไรเลย)
**ต้องขอดุอาจากพระผู้เป็นเจ้า นักเรียนตั้งใจเรียน ครูตั้งใจสอน ผู้ปกครองตั้งใจส่ง อินซาอัลลอฮ์จะได้วิชา(เป็นคำพูดของญาติผู้ใหญ่ที่ได้ผล)อย่างแน่นอน
**คำว่า พอใจในสิ่งที่ตนเองมี(ในทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง) นั้น ถ้ามีอยู่ที่ใครแล้ว ความสุขกายสบายใจก็จะเกิดขึ้น กับคนๆนั้นทันที ข้อคิดอันนี้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้เคยบอกมาแล้ว ตั้งแต่พันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า ความร่ำรวยไม่ได้อยู่ที่มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ความร่ำรวยนั้น อยู่ที่ความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**เล่าจากอิบนิมัสอูด(ร.ด.)ว่า จะไม่มีการอิจฉากัน นอกจากสองประการนี้ คนที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ประทานทรัพย์สินให้แก่เขา เขาครอบครอง(ใช้ให้หมดไป)ในทางที่ถูกต้อง และผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ประทานความรู้ให้แก่เขา เขาได้ปฏิบัติตามความรู้นั้น และนำความรู้นั้นออกมาสอน รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**การดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้)
**ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่สามารถเห็นดวงจันทร์เสี้ยวได้) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     แหละท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ยังสั่งใช้ในเรื่องของการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ให้เอาเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้นด้วย ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น จะไปตามประเทศอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด(ต้องการบอกสิ่งที่ถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ประโยชน์จะเกิดเฉพาะผู้ที่แสวงหาความจริงเท่านั้น) อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้รับทราบกันมาแล้ว ตามที่ท่านอิบนิอับบัสได้บอกไว้ในช่วงท้ายฮะดิษ
     ผมขอให้แง่คิดง่ายๆว่า ง่ายๆไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ลองดูในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมดูว่า ในหนังสือดังกล่าวก่อนที่จะเริ่มฮะดิษ(กุร๊อยบ)บทนี้ ได้มีการตั้งชื่อบทนี้ไว้ว่าอย่างไร ถ้อยคำในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมเล่มดังกล่าวได้ตั้งชื่อบทไว้ว่า
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى، وَيَحْيَى بْنُ أَيُّوبَ، وَقُتَيْبَةُ، وَابْنُ حُجْرٍ، - قَالَ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى: أَخْبَرَنَا، وَقَالَ الْآخَرُونَ: - حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ وَهُوَ ابْنُ جَعْفَرٍ، عَنْ مُحَمَّدٍ وَهُوَ ابْنُ أَبِي حَرْمَلَةَ، عَنْ كُرَيْبٍ، أَنَّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ، بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ، قَالَ: فَقَدِمْتُ الشَّامَ، فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا، وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ، فَرَأَيْتُ الْهِلَالَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِينَةَ فِي آخِرِ الشَّهْرِ، فَسَأَلَنِي عَبْدُ اللهِ بْنُ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا، ثُمَّ ذَكَرَ الْهِلَالَ فَقَالَ: مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلَالَ؟ فَقُلْتُ: رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، فَقَالَ: أَنْتَ رَأَيْتَهُ؟ فَقُلْتُ: نَعَمْ، وَرَآهُ النَّاسُ، وَصَامُوا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ، فَقَالَ: " لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ، فَلَا نَزَالُ نَصُومُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلَاثِينَ، أَوْ نَرَاهُ، فَقُلْتُ: أَوَ لَا تَكْتَفِي بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ؟ فَقَالَ: لَا، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " وَشَكَّ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى فِي نَكْتَفِي أَوْ تَكْتَفِي
     บทสรุปนั้นก็คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ย่อมมีการผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความเห็นของอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ยุมโฮร)หรืออุละมาส่วนน้อย สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า มิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนใหญ่ จะถูกไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือมิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนน้อยจะผิดไปเสียทุกอย่าง ขอให้เราท่านทั้งหลายพิจรณาเป็นอย่างเป็นเรื่องไป
     สิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็คือสิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)นำมาบอกแก่เราท่านทั้งหลายไว้ สิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ทำให้เราท่านทั้งหลายเห็นฯลฯ(ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของศาสนา) เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะไม่ผิดเลยเพราะว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์(ซ.ล.)ไม่ได้พูด ไม่ได้บอก ไม่ได้ทำตามอารมณ์ของท่าน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้น ล้วนแล้วมาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ล้วนแล้วมาจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ต้องการให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มีการประพฤติ ได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้รู้กันได้ว่า ใครบ้างที่มีการภักดีต่อพระองค์
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556  ตรงกับวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556 จึงเป็นวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556 เวลา 7.22.24 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556 (ดวงจันทร์สูงกว่าดวงอาทิตย์แหละอยู่สูงกว่าดาวพุธ Mercury ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 360642.13 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 360892.76กิโลเมตร
**วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก17.49.19วินาที  ดวงจันทร์ตก18.16.17วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว26นาที 59วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก17.48.40วินาที ดวงจันทร์ตก18.15.26 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26 นาที 46วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
3.ยะลา ดวงอาทิตย์ตก17.59.52วินาที  ดวงจันทร์ตก18.25.42วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25นาที 50วินาที  สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลายะหา ดวงอาทิตย์ตก17.58.45วินาที  ดวงจันทร์ตก18.24.33วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25นาที 49วินาที  สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
-ยะลาเบตง ดวงอาทิตย์ตก118.00.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.25.48วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25นาที 45วินาที  สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.00.33วินาที  ดวงจันทร์ตก18.26.33วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที 00วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก17.52.08วินาที  ดวงจันทร์ตก18.19.16วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 27นาที 09วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก17.58.25วินาที  ดวงจันทร์ตก17.24.17วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 25นาที 52วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
นิดนึง
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก17.49.22วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.16.22วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว27นาที 0วินาที สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ข่อนข้างยากสักนิดนึง
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2556  หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่เห็นได้ข่อนข้างยากสักนิดนึง
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2556 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2556  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.01.01 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.25.17วินาที ดุฮ์ริเวลา12.06.11วินาที อัสริเวลา15.21.54 วินาที มักริบเวลา 17.47.01 วินาที อีซาเวลา 19.02.36
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.02.43วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.26.57วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.08.03วินาที  อัสริเวลา15.23.53 วินาที  มักริบเวลา17.49.05 วินาที  อีซาเวลา 19.04.38
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.14.57 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.39.39วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.10.07 วินาที  อัสริเวลา 15.16.25 วินาที  มักริบเวลา 17.40.29 วินาที  อีซาเวลา 18.56.13 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.19.38วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.45.00วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.10.59วินาที  อัสริเวลา15.12.33วินาที  มักริบเวลา17.36.50วินาที  อีซาเวลา18.53.03วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

Chanomsod:
ยะซากั้ลลอฮุค็อยร็อน ค่ะ

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته   
**ช่วงนี้อากาศหนาวเย็นมากๆ อากาศที่ได้เปลี่ยนแปลงเป็นฤดูกาลต่างๆนั้น เป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น โดยพระองค์ได้ทรงสรรสร้างดวงอาทิตย์มา ให้มีค่าความเคลื่อนที่ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัน ในรอบหนึ่งปี ค่าความเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์นี้ ตามหลักวิชาการจึงเรียกว่าค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์
**เวลาละหมาดฟัรดูทั้ง5เวลานั้น ได้ถูกบัญญัติขึ้นแก่ประชาชาติของท่านนบีมุฮำหมัด(ซ.ล.)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{أَقِمْ الصَّلَاة لِدُلُوكِ الشَّمْس} أَيْ مِنْ وَقْت زَوَالهَا {إلَى غَسَق اللَّيْل} إقْبَال ظُلْمَته أَيْ الظُّهْر وَالْعَصْر وَالْمَغْرِب وَالْعِشَاء {وَقُرْآن الْفَجْر} صَلَاة الصُّبْح {إنَّ قُرْآن الْفَجْر كَانَ مَشْهُودًا} تَشْهَدهُ ملائكة الليل وملائكة النهار
ท่านจงดำรงละหมาด(5เวลา ตามรุก่นและซะรัต เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย(คำว่าตะวันคล้อยตรงนี้ก็คือพ้น หรือคล้อยจากตรงกลางฟ้า แล้วกลางฟ้าคือตรงใหน กลางฟ้าก็คือเส้นเมอริเดี่ยนของสถานที่นั้นๆ หรือที่เรียกกันว่าเส้นลองติจูดของสถานที่นั้นๆนั่นเอง) จนกระทั่งพลบค่ำและการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณ แท้จริงการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยัน ซูเราะห์อัลอิสรออ์17 อายะห์ที่78
**คำว่า مِنْ وَقْت زَوَالهَا ที่นักตัฟซีรได้ตัฟซีรอย่างนี้แสดงว่า ลามในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นที่พระผู้เป็นเจ้าบอกว่า لِدُلُوكِ الشَّمْس ถือว่าเป็นลามอิบติดาอียะห์(ชี้ถึงการเริ่มต้น ก็แสดงว่าเริ่มต้นเข้าเวลาละหมาดฟัรดูดุฮ์ริก็คือ มื่อตะวันได้คล้อยไปแล้วเท่านั้น จะเริ่มต้นละหมาดฟัรดูดุฮ์ริก่อนตะวันคล้อยไม่ได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นก็จะพบว่าถ้าเริ่มละหมาดฟัรดูดุฮ์ริก่อนที่ตะวันจะคล้อย การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้โดยเด็ดขาด)
**แหละถือว่าได้อีกเหมือนกันที่ลามตัวนี้จะเป็นลามลิตตะลีล แหละก็ถือว่าได้อีกเหมือนกันที่ลามตัวนี้จะเป็นลาม ที่มีความหมายว่าบะด้า(มีความหมายว่า หลังจาก) สรุปก็คือว่าไม่ว่าลามตัวนี้จะมีความหมายว่าอย่างไรนั้น ก็จะต้องเริ่มเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริ เริ่มตั้งแต่ตะวันคล้อยไปแล้วเท่านั้น จะเริ่มต้นละหมาดฟัรดูดุฮ์ริก่อนที่ตะวันคล้อยไม่ได้โดยเด็ดขาด
**คำว่า وَقُرْآن الْفَجْر ที่นักตัฟซีรอัลกุรอ่านได้ตัฟซีรว่า صَلَاة الصُّبْح เพราะเป็นจุดประสงค์ของ  وَقُرْآن الْفَجْر ส่วนที่ใช้คำว่า وَقُرْآن الْفَجْر ก็เพราะว่าการอ่านอัลกุรอ่านนั้นเป็นรุก่นข้อนึงของการละหมาด
**อายะห์อัลกุรอ่าน ที่ระบุอยู่ข้างต้นนี้เป็นการระบุเวลาของการละหมาดทั้ง5เวลา กล่าวคือ ท่านจงดำรงละหมาด(เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย หมายถึงเวลาดุฮ์ริและเวลาอัสริ จนกระทั่งพลบค่ำหมายถึงการละหมาดตอนพลบค่ำ นั่นก็หมายถึงเวลามัฆริบและเวลาอิซาอ์ แหละส่วนการละหมาดยามรุ่งอรุณนั้นหมายถึงการละหมาดซุบฮิ   
**ดังนั้นเวลาจริงๆที่เราท่านทั้งหลายพบเห็นอยู่ทุกวันนี้ โดยมากทั่วๆไปจะคุ้นเคยอยู่กับเวลาสุริยคติปานกลาง หรือที่เราท่านทั้งหลายรู้จักกันว่า เวลาตามนาฬิกาข้อมือ(MSTย่อมาจาก Mean Solar Time) หรือเวลาของนาฬิกาแขวนต่างๆที่เราท่านทั้งหลายได้เห็นๆกันอยู่นั่นเอง
**เวลาสุริยคติปานกลางหรือเวลาของนาฬิกาข้อมือ (และเวลาของนาฬิกาแขวนนั้น) มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาใช้ เพื่อเป็นการแบ่งเวลาให้เราท่านทั้งหลาย รู้และดูกันได้อย่างง่ายๆ โดยแบ่งเวลาทั้งกลางวันแหละกลางคืนเท่าๆกันก็คือ24ชม.(กลางวัน12ชม. กลางคืนอีก12ชม. กลางวันเริ่มตั้งแต่6.00น.ถึง18.00น. ตรงนี้เองถ้าไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับหลักดาราศาสตร์แล้ว จะมีคนเข้าใจผิดคิดเอาเองว่า ทุกๆวันดวงอาทิตย์จะขึ้นเมื่อเวลา6.00น. และดวงอาทิตย์จะตกลับขอบฟ้าเวลา18.00น. และดวงอาทิตย์จะอยู่ตรงศรีษะเวลา12.00น.ในทุกๆวัน เป็นความเข้าใจที่ผิดแหละไม่ถูกต้อง ก็เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆในโลกใบนี้นั้นไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย อย่างแน่นอน) เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้นั้นก็คือ เวลาของกลางวันแหละเวลาของกลางคืนไม่เท่ากัน
**ดังนั้นค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์นั้นมีความสำคัญมากๆต่อโลกของเราท่านทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นช่วงเดือนธันวาคมนี้ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์จะอยู่ไปทางใต้ประมาณลบ23 องศา นั่นก็แสดงว่าประเทศที่อยู่แถบขั้วโลกเหนือ ยุโรบ รัสเซีย จีน ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์แบบไม่ตรงๆ(ไม่เต็มที่)จึงทำให้อากาศหนาวเย็นมากๆ ลมพัดอากาศหนาวเย็นมา แม้กระทั่งกรุงเทพฯ ที่อยู่ที่เส้น13 ยังมีอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ แล้วประเทศที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกจะมีอากาศหนาวเย็นขนาดใหน อีกตัวอย่างก็คือช่วงเดือนเมษายน ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์จะอยู่ประมาณ 4ถึง14องศา นั่นก็แสดงว่าทั่วทั้งประเทศไทย กรุงเทพฯ(อยู่ที่เส้น13) แสงจากดวงอาทิตย์ได้ส่องลงมาตรงๆเลยจึงทำให้บ้านเราเมืองเรา อากาศร้อนจัดมากๆในช่วงเดือนเมษายนนั้น ส่วนช่วงเดือนมิถุนายน ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ จะขึ้นเหนือสุด จึงทำให้ประเทศแถบขั้วโลกใต้มีอากาศหนาวเย็นมากๆ ส่วนบางพื้นที่ก็เป็นฤดูฝน ฤดูกาลต่างๆจึงได้เกิดขึ้นด้วยสาเหตุดังกล่าวมา
**แหละค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ ที่แตกต่างกัน ที่ไม่เท่ากันในแต่ละวันนี้เอง ได้ส่งผลทำให้เวลาของกลางคืนและเวลากลางวันนั้นไม่เท่ากันด้วย ในแต่ละวัน ดังนั้นถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าในบางวัน ในบางเดือนสว่างช้าและมืดไว(เวลากลางคืนมากกว่าเวลาตอนกลางวัน) แหละเราท่านทั้งหลายก็จะพบอีกว่า ในบางวัน ในบางเดือนสว่างไวและมืดช้า(เวลากลางวันมากกว่าเวลาตอนกลางคืน)เหตุการณ์อันนี้เราท่านทั้งหลายจะปฏิเสธกันไม่ได้เลย ก็เพราะว่าเราท่านทั้งหลายก็เห็นๆกันอยู่ ดังนั้นไม่ต้องดูอะไรให้มากมาย ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีๆแล้ว จะพบว่าบางปีแก้บวชยังไม่ถึง6โมงเย็นเลย(แสดงว่ามืดไว) ซึ่งในบางปีเราท่านทั้งหลายแก้บวชเกือบๆหนึ่งทุ่มก็ยังมี(แสดงว่ามืดช้า) นี่ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสรรสร้างมา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ยังประโยชน์ทั้งสิ้น
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{تُولِج} تُدْخِل {اللَّيْل فِي النَّهَار وَتُولِج النَّهَار} تُدْخِلهُ {فِي اللَّيْل}
فَيَزِيد كُلّ مِنْهُمَا بِمَا نَقَصَ مِنْ الْآخَر {وَتُخْرِج الْحَيّ مِنْ الْمَيِّت} كَالْإِنْسَانِ وَالطَّائِر مِنْ النُّطْفَة وَالْبَيْضَة {وَتُخْرِج الْمَيِّت} كَالنُّطْفَةِ وَالْبَيْضَة {مِنْ الْحَيّ وَتَرْزُق مَنْ تَشَاء بِغَيْرِ حِسَاب} أَيْ رِزْقًا وَاسِعًا
พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงให้กลางคืนเข้าไปในกลางวัน(คือทรงทำให้ส่วนหนึ่งของกลางคืนเข้าไปในกลางวัน ทำให้กลางวันยาว นานกว่ากลางคืน)และทรงให้กลางวันเข้าไปในกลางคืน(คือทรงทำให้ส่วนหนึ่งของกลางวันเข้าไปในกลางคืน ทำให้กลางคืนยาว นานกว่ากลางวัน) และทรงให้สิ่งที่มีชีวิต(อย่างเช่นมนุษย์แหละนก) ออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต(อย่างเช่นอสุจิแหละไข่ ตรงนี้ก็คือไข่นก) และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิต(อย่างเช่นอสุจิแหละไข่) ออกจากสิ่งที่มีชีวิต(อย่างเช่นมนุษย์แหละนก) และทรงให้ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยปราศจากการคำนวน ซูเราะห์อาลิอิมรอน3 อายะห์ที่27
**การแบ่งเวลาทั้งกลางวันแหละกลางคืนเท่าๆกัน24ชม.(ตามนาฬิกาข้อมือ นาฬิกาแขวน)นั้น นี่ก็คือเป็นการแบ่งเวลาของมนุษยชาติ ซึ่งมนุษยชาติเป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง เพื่อให้ง่ายต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะถ้าจะอาศัยเงาของแดดอย่างเดียวเพื่อกำหนดเวลาในการใช้ชีวิตประจำวัน หรือใช้ในเชิงธุรกิจแล้ว ในช่วงหน้าฝนที่ไม่มีแดด หรือในตอนที่ฟ้ามืดครึ้ม หรือในขณะที่ฟ้ามืดยามค่ำคืน ก็จะไม่สามารถรับรู้ถึงเวลาณตอนนั้นๆได้เลย ว่ากี่โมงกี่ยามแล้ว
**ตรงนี้เองจึงทำให้ใครบางคนหรือใครหลายๆคน เข้าใจผิดคิดเอาเองว่า เมื่อกลางวันเริ่มตั้งแต่6.00น.ถึง18.00น. ดังนั้นเวลาที่ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ(ตรงเส้นเมอริเดี่ยน ณสถานที่ ที่นั้นๆ)ก็ต้องเป็นเวลา12.00น.เพราะเป็นเวลาที่อยู่ตรงกลางพอดี ต่อมาจึงได้เข้าใจผิดคิดเอาเองต่อไปอีกว่า เมื่อเลยเวลา12.00น.แป็ปเดียวประมาณ3-4วินาที ก็ถือว่าตะวันคล้อยแล้ว ก็ถือเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริแล้ว การเข้าใจในลักษณะแบบนี้นั้น ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลาม แหละไม่ถูกต้องตามหลักคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ที่บอกว่า ท่านจงดำรงละหมาด(5เวลา ตามรุก่นและซะรัต เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย(จริงๆ)
**ดังนั้นเวลาที่จะนำมาใช้ปฏิบัติศาสนกิจ ละหมาด5เวลาตามความหมายในอายะห์อัลกุรอ่านที่ได้กล่าวมา ก็คือเวลาของดวงอาทิตย์(ก็คือเวลาตามปฏิทินอิสลามนั่นเอง) เราท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่ว่า วันเวลาในโลกใบนี้นั้น ในบางวันดวงอาทิตย์ได้ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยน ณสถานที่ ที่แห่งหนึ่ง ก่อนเวลา12.00น.ก็มีด้วยซ้ำไป ยกตัอย่างเช่นวันศุกร์ที่27 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา  สถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ดวงอาทิตย์ขึ้นจริงเวลา 5.49น. ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนจริงเวลา 11.51น.(เห็นใหมครับก่อน12.00น. ดวงอาทิตย์ได้ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนไปแล้ว) ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าจริงเวลา 17.53น. แหละในวันเวลาเดียวกัน ก็คือวันศุกร์ที่27 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา สถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ดวงอาทิตย์ขึ้นจริงเวลา 6.07น.(ตรงนี้ให้สังเกตว่า ดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันแต่เวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจริง กับต่างกัน กับจังหวัดอุบลราชธานี)  ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนจริงเวลา 12.08น. ดวงอาทิตย์ได้ตกลับขอบฟ้าจริงเวลา 18.10น.
**ดังนั้นในวันศุกร์ที่27 กันยายน 2556ที่ผ่านมา สถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พอถึงเวลา12.01น.หรือ12.02น.หรือ12.03น.หรือ12.04น.หรือ12.05น. ได้เริ่มอาซานในวันศุกร์เลยถือว่าใช้ได้หรือไม่ คำตอบก็คือใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน อีกประการที่เป็นประเด็นสำคัญก็คือ พออะซานเสร็จผู้คนทั่วๆไป ก็ลุกขึ้นละหมาดสุนัตก่อนละหมาดวันศุกร์ก็ถือว่าใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะยังไม่เข้าเวลาดุฮ์ริ ดังนั้นจะถือว่า12.00น. ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนแล้ว ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะในวันเวลาดังกล่าวสถานที่แห่งนั้นในกรุงเทพฯ ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนเวลา12.08น. ดังนั้นเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริก็จะอยู่ที่12.09น. แหละที่ใช้ไม่ได้เลยอีกประการหนึ่งก็เพราะว่า คำสั่งใช้ที่พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งใช้เอาไว้แล้วว่า จะเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์ได้คล้อยไปแล้ว ตามหลักคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ที่บอกว่า ท่านจงดำรงละหมาด(5เวลา ตามรุก่นและซะรัต เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย ในอายะห์อัลกุรอ่านที่ได้กล่าวมา การละหมาดเป็นสิ่งที่ดี ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ใช่ว่าอยากจะอะซาน อยากจะละหมาดตอนใหนเวลาใดก็ได้ ตามแต่ใจ ต้องให้เริ่มเข้าเวลาก่อนจึงเริ่มอะซานได้ เริ่มละหมาดได้ นี่คือกติกาที่พระผู้เป็นเจ้าได้วางเอาไว้ เช่นเดียวกันในการแข่งขันวิ่ง ถ้านักกีฬาคนใดเริ่มสตาร์ทก่อนที่จะได้เวลา ที่กรรมการให้สัญญาณเริ่มวิ่ง เท่ากับเขาได้ทำฟาร์วแล้ว ถ้าเขาทำฟาร์วบ่อยๆก็โดนตัดออกจากการแข่งขันอย่างแน่นอน
**เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็คือ บ้านเราเมืองเราส่วนใหญ่แล้ว ยึดถือมัสฮับซาฟิอี(ร.ฮ.) ในวันศุกร์จะอาซานถึง3ครั้งด้วยกัน ก็คือเดิมๆการอาซานขณะที่ค่อเต็บนั่งบนมิมบัรจะขึ้นอ่านคุตบะห์(ถือว่าเป็นการอะซานครั้งที่1) และอิกอมะห์ก่อนละหมาด(การอิกอมะห์ก่อนละหมาดนับว่าเป็นการอาซานครั้งที่2) แต่เมื่อมีผู้คนเพิ่มมากขึ้นในสมัยของท่านซัยยิดินาอุสมานบินอัฟฟาน จึงได้เพิ่มการอาซานอีกหนึ่งครั้ง จึงเป็นอาซาน3ครั้ง(ในสถานที่แห่งหนึ่งในตลาดของเมืองมะดีนะห์ชื่อว่าอัซเซารออ์) ดังนั้นท่านซัยยิดินาอุสมานบินอัฟฟาน ได้เพิ่มการอาซานอีกครั้งหนึ่งเมื่อตะวันได้เริ่มคล้อยไปแล้ว(เมื่อเริ่มเข้าเวลาดุฮ์ริไปแล้ว) ไม่ใช่อาซานก่อนตะวันจะคล้อย(ไม่ใช่อาซานก่อนเข้าเวลาดุฮ์ริ) แต่อย่างใด
**สรุปว่าเมื่อท่านซัยยิดินาอุสมานบินอัฟฟาน ได้เพิ่มอาซานไปอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นการอาซานเมื่อตะวันคล้อยไปแล้ว เมื่อเริ่มเข้าเวลาดุฮ์ริไปแล้วในวันศุกร์นั้นจึงกลายเป็นการอะซานครั้งที่1โดยปริยาย แหละการอะซานเมื่อค่อเต็บนั่งบนมิมบัรก็กลายเป็นการอะซานครั้งที่2 แหละการอิกอมะห์เพื่อจะกระทำละหมาดวันศุกร์ ก็ถือว่าเป็นการอะซานครั้งที่3
**ได้มีระบุในซอเฮี๊ยะห์บุคอรีว่า
حَدَّثَنَا آدَمُ، قَالَ: حَدَّثَنَا ابْنُ أَبِي ذِئْبٍ، عَنِ الزُّهْرِيِّ، عَنِ السَّائِبِ بْنِ يَزِيدَ، قَالَ: كَانَ النِّدَاءُ يَوْمَ الجُمُعَةِ أَوَّلُهُ إِذَا جَلَسَ الإِمَامُ عَلَى المِنْبَرِ عَلَى عَهْدِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَأَبِي بَكْرٍ، وَعُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، فَلَمَّا كَانَ عُثْمَانُ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ، وَكَثُرَ النَّاسُ زَادَ النِّدَاءَ الثَّالِثَ عَلَى الزَّوْرَاءِ قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ: " الزَّوْرَاءُ: مَوْضِعٌ بِالسُّوقِ بِالْمَدِينَةِ "
จากอัซซาอิบ อิบนุยะซีดเล่าว่า การอะซานในวันศุกร์นั้นครั้งแรกอะซานที่อิหม่ามนั่งที่มิมบัร(เกิดขึ้นใน)สมัยของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)และสมัยอะบีบักร และสมัยอุมัร ต่อมาในสมัยของอุสมาน ประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น การอะซานจึงเพิ่มขึ้นเป็นสามครั้งที่อัซเซารออ์ อะบูอับดุลลอฮ์กล่าวว่าอัซเซารออ์เป็นสถานที่แห่งหนึ่งในตลาดของเมืองมะดีนะห์
**ท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.) ท่านก็ได้ให้ความเห็นไว้ว่า จะต้องให้ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปก่อนเท่านั้น(เริ่มเข้าเวลาดุฮ์ริไปก่อนเท่านั้น) จึงจะเริ่มอะซานในวันศุกร์ได้ แหละท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.) ยังได้ให้ความเห็นอีกว่าถ้าอะซานในวันศุกร์ก่อนดวงอาทิตย์เริ่มคล้อย(ไม่นับว่าเป็นการอะซาน) ให้กลับมาอะซานใหม่หลังจากดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยไปแล้ว ซึ่งมีระบุไว้อย่างชัดเจนในหนังสืออัลอุมของท่าน
  [وَقْتُ الْأَذَانِ لِلْجُمُعَةِ]   
ِ (قَالَ: الشَّافِعِيُّ - رَحِمَهُ اللَّهُ تَعَالَى -) : وَلَا يُؤَذَّنُ لِلْجُمُعَةِ حَتَّى تَزُولَ الشَّمْسُ (قَالَ: الشَّافِعِيُّ) : وَإِذَا أُذِّنَ لَهَا قَبْلَ الزَّوَالِ أُعِيدَ الْأَذَانُ لَهَا بَعْدَ الزَّوَالِ فَإِنْ أَذَّنَ لَهَا مُؤَذِّنٌ قَبْلَ الزَّوَالِ وَآخَرُ بَعْدَ الزَّوَالِ أَجْزَأَ الْأَذَانُ الَّذِي بَعْدَ الزَّوَالِ وَلَمْ يُعَدْ الْأَذَانُ الَّذِي قَبْلَ الزَّوَالِ،
**ดังนั้นในปัจจุบันนี้(สมัยก่อนต้องดูเงาของวัตถุ)ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้อาซาน(มุอัรริน) ถ้าจะเพิ่มการอะซานแบบท่านซัยยิดินาอุสมานบินอัฟฟาน ในวันศุกร์ให้ดูก่อนว่า ณวันนั้นเข้าเวลาดูฮ์ริกี่โมง(ดูปฏิทินอิสลาม) เมื่อถึงเวลาดุฮ์ริแล้วจึงเริ่มอะซานได้ อย่าได้อะซานก่อนจะถึงเวลาละหมาดดุฮ์ริโดยเด็ดขาด
**อนึ่งเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมาจริงๆ ทรงสร้างให้เกิดขึ้นมาจริงๆในโลกดุนยาใบนี้นั้น เรียกว่าเวลาสุริยคติปรากฏ(ASTย่อมาจาก Apparent Solar Time) เป็นเวลาที่ใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น โดยที่จะรับรู้เวลาได้นั้น ต้องอาศัยการสังเกตเงาของวัตถุ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ในแต่ละวัน แต่ละวัน อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวัดเงาของดวงอาทิตย์นี้เรียกว่า นาฬิกาแดด ซึ่งปัจจุบันหาดูได้ยากมากๆ ซึ่งบางคนอาจไม่เคยรู้จักเลยด้วยซ้ำไป
**สาเหตุที่ผมเองได้นำเรื่องของเวลาทั้งเวลาของนาฬิกาข้อมือ แหละเวลาของนาฬิกาแดดมานำเสนอก็เพราะว่า เคยได้ยินคนๆหนึ่งพูดให้ฟังว่า มีผู้รู้สมัยก่อนได้พูดเชิงอธิบายให้คนเอาวามทั่วๆไปฟังว่า ให้ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ(หรือที่นาฬิกาแขวน)เมื่อถึงเวลา 12.00น.(ความหมายก็คือเขาเข้าใจผิดคิดเอาเองว่าเมื่อเวลา12.00น.ของทุกๆวัน ดวงอาทิตย์จะอยู่ตรงศีรษะแล้ว) หลังจากนั้นประมาณ3-4วินาที ก็เข้าเวลาดุฮ์ริแล้วเพราะตะวันได้คล้อยไปแล้ว ดังนั้นลูกศิษย์ลูกหาที่ไม่ได้ร่ำเรียนวิชาดาราศาสตร์อิสลามมา ก็เลยยึดถือปฏิบัตสืบต่อกันมาเลยว่า ในทุกๆวันพอเวลา12.00น.หลังจากนั้นประมาณ3-4วินาที ก็เข้าเวลาดุฮ์ริแล้ว บางคนก็เผื่อเวลาเป็น12.01 12.02 12.03 12.04 12.05น.บ้าง แล้วอาซานเลยโดยไม่ได้ใส่ใจเลยว่า ณวันนั้นเริ่มเข้าเวลาดุฮ์ริตามปฏิทินแล้วหรือยัง ตรงนี้ถือว่าถ้าได้ละหมาดดุฮ์ริก่อนเข้าเวลาดุฮ์ริตามปฏิทินณวันนั้น ถือว่าการละหมาดใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะดวงอาทิตย์ยังไม่ได้คล้อยเลย
**คำพูดที่บอกว่าทุกวันดูเวลานาฬิกาข้อมือ(หรือนาฬิกาแขวน) 12.00น. หลังจากนั้นประมาณ3-4วินาที ก็เข้าเวลาดุฮ์ริแล้ว ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลามอย่างแน่นอน ไม่ถูกต้องตามหลักการของอัลอิสลามตรงที่ การที่จะเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริหรือเวลาละหมาดอื่นๆได้นั้น ตามหลักการของอัลอิสลามแล้วให้ใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น (วิธีการก็คือใช้เงาของวัตถุที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ เป็นตัวกำหนดเวลาละหมาดดุฮ์ริและเวลาละหมาดอัสริ แหละใช้การตกทั้งดวงของดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดเวลาละหมาดมัฆริบและเวลาละหมาดอิซา แหละใช้การขึ้นของดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนดเวลาละหมาดซุบฮิ) ส่วนเวลาในนาฬิกาข้อมือ(หรือนาฬิกาแขวน)นั้น เป็นตัวช่วยให้เราท่านทั้งหลายดู(เทียบกับปฏิทินอิสลาม)เพื่อทำการละหมาดได้ถูกต้อง ได้ตรงตามเวลาที่ดวงตะวันได้คล้อยไปแล้วจริงๆ ณวันนั้นๆ แหละเป็นตัวช่วยให้เราท่านทั้งหลายดู(เทียบกับปฏิทินอิสลาม)เพื่อทำการละหมาดฟัรดูอื่นๆได้ถูกต้องตามเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการ
**บางคนอาจจะยังสงสัยว่า อ้าวแล้วทำไมเที่ยงตรง12.00น. ทำไมดวงตะวันจึงไม่ตรงศรีษระละ(จึงไม่ตรงเส้นเมอริเดี่ยนของที่สถานที่ต่างๆละ) คืออย่างนี้ในแต่ละวันนั้น เวลาที่ดวงอาทิตย์ตรงศรีษระ ตรงเส้นเมอริเดี่ยน จะมีเวลาที่ไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าสถานที่แห่งนั้นตั้งอยู่บริเวณใหน แล้วณวันนั้นๆค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์อยู่ที่เท่าไหร่นั่นเอง หลักวิชาการมีอยู่ว่าดวงอาทิตย์จะโคจรไปตามระนาบอิลิปติก เมื่อดวงอาทิตย์โคจรมาถึงเส้นเมอริเดี่ยน(ก็คือเส้นลองติจูดนั่นเอง)ของสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นก็จะเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะจริง แหละเวลาที่ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะ ตรงเส้นเมอริเดี่ยนจริงนั้นจะเป็นเวลาที่อยู่ตรงกลาง เป็นเวลาที่อยู่ครึ่งกลางระหว่างดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตกของวันนั้นๆ ของสถานที่นั้นๆ ดังนั้นจึงให้ดูปฏิทินอิสลาม(เพราะปฏิทินอิสลามได้คำนวณตามการเคลื่อนที่จริงของดวงอาทิตย์ ณวันนั้น)ก็จะสามารถรับรู้ได้เลยว่าในแต่ละวันนั้น ดวงอาทิตย์จะคล้อยหรือเข้าเวลาดุฮ์ริกี่โมง โดยให้ดูเทียบตามนาฬิกาข้อมือ หรือนาฬิกาแขวนได้เลย(ถ้าอยากจะรู้ถึงเวลาที่ถูกต้องจริงๆ ให้กด 181 แล้วโทรออก ก็จะสามารถเทียบเวลาได้ถูกต้องจริงๆตามมาตรฐานประเทศไทย)
**สรุปว่าในวันศุกร์นั้นจะเริ่มอะซานได้ ก็จะต้องให้ดวงอาทิตย์คล้อยไปก่อน จะต้องให้เข้าเวลาดุฮ์ริไปก่อนเท่านั้น(ดูปฏิทินอิสลามก็สามารถรู้ได้) จะถือว่าพอถึงเวลา12.00น.เลยไปประมาณ3-4วินาที คิดเองเออเองว่าดวงอาทิตย์คล้อยแล้ว เข้าเวลาดุฮ์ริแล้ว แล้วอะซานเลยไม่ได้โดยเด็ดขาด การอะซานถือว่าใช้ไม่ได้ตามมติของอุละมาอ์ เพราะยังไม่เข้าเวลา นอกจากการอะซานของเวลาซุบฮิเท่านั้นที่อนุญาติให้อะซานครั้งแรกก่อนเข้าเวลาได้(ถ้าหากว่าตามปฏิทินอิสลามไม่ได้ระบุว่า ณวันนั้น เข้าเวลาดุฮ์ริเวลา12.00น.) โดยจะอ้างว่าผู้ใหญ่ บรรพบุรุษกระทำแบบนี้กันมาเป็นร้อยๆปีแล้ว ถือว่าไม่ได้โดยเด็ดขาด ก็เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าสั่งให้เอาดวงตะวันคล้อยเป็นเกณฑ์) ในข้อขัดแย้งต่างๆเกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้น เมื่อสิ่งใดไม่ตรงกับคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เป็นไปตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าทันที นั่นก็คือหน้าที่ของคนดี ผู้ที่ศรัทธา ซึ่งหวังในพระเมตาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งโลกดุนยาแห่งนี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์
**ในคนบางคนเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เป็นไปตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ ก็เพราะคิดอยู่เสมอว่า ถ้าจะเชื่อฟังตามคำตักเตือนของคนอื่น ก็เป็นการยอมรับโดยปริยายในความผิดของตน อันทำให้เกียรติต้องมัวหมอง จึงต้องรักษาเกียรติด้วยการกระทำผิดต่อไป เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่กระทำอยู่นั้นถูกต้องอยู่แล้ว ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ดีว่าได้กระทำความผิดอยู่
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَإِذَا قِيلَ لَهُ اتَّقِ اللَّه} فِي فِعْلك {أَخَذَتْهُ الْعِزَّة} حَمَلَتْهُ الْأَنَفَة وَالْحَمِيَّة عَلَى الْعَمَل {بِالْإِثْمِ} الَّذِي أُمِرَ بِاتِّقَائِهِ {فَحَسْبه} كَافِيه {جَهَنَّم وَلَبِئْسَ الْمِهَاد} الْفِرَاش هِيَ
และเมื่อมีผู้กล่าวกับเขาว่า จงยำเกรงพระองค์อัลเลาะห์ ซ.บ.เถิด(คือทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ และไม่ทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามไว้) ความหยิ่งในเกียรติก็ยึดเอาเขาไว้ ให้กระทำบาปต่อไป สิ่งที่พอเพียงแก่เขาก็คือยะฮันนัม(นรก) และแน่นอนเป็นที่หลับนอนที่เลวร้ายยิ่ง(คือยะฮันนัม) ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์2 อายะห์ที่206
**ลามที่อยู่ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสว่า وَلَبِئْسَ ลามนี้อยู่ในฐานะเป็นยะวาบให้แก่ก่อซั่ม ดังนั้นจึงให้สมมุติคำขึ้นมาว่า  واللهِ
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)ได้ระบุเกี่ยวกับเรื่อง نِعْمَ وَبِِئْسَไว้อย่างชัดเจนว่า
**فِعْلاَنِ غَيْرُمُتَصَرِّفَيْنِ         نِعْمَ وَبِِئْسَ رَافِعَانِ اسْمَيْنِ
**(เนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า)เป็น2ฟิอิ้ลที่ไม่ใช่มุตะซอรเรฟ(คือกระจาย ผันคำไม่ได้เรียกว่ายามิด)         เนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่าทั้ง2เป็นผู้ทำให้อ่านร่อเฟาะกับอี่เซ็มของทั้ง2(คือเป็นฟาเอ้ลของทั้ง2นั่นเอง ก็คือเนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า เมื่อทั้ง2เป็นฟิอิ้ล ก็ต้องมีฟาเอิ้ลเป็นสิ่งปกติธรรมดา)
**คำว่า  هِيَ ที่นักตัฟซีรกุรอ่านได้ตัฟซีรออกมานั้น ก็เพราะอยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่า المخصوص بالذم
**ได้มีระบุไว้ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนวิชานะฮู)ว่า
وَيُذْكَرُالْمَخْصُوْصُ بَعْدُمُبْتَدَا         اَوْخَبَرَاسْمٍ لَيْسَ يَبْدُوْاَبَدًا
และคำที่เป็นمَخْصُوْصُนั้น ต้องถูกนำมาหลังจาก(อิเซ็มที่ถูกร่อเฟาะด้วยฟิอิ้ลทั้งสอง คือถูกนำมาไว้หลังฟาอิ้ลของเนี๊ยะม่าและบิ๊ซ่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)







บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
 :salam:
** เข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริ ตอนใหนแน่ด้านบน
**การดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือน ทุกๆ เดือนนั้น ตามหลักการศาสนาอิสลามให้ยึดถือและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ในการกำหนดวันที่ 1ของเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอด) กล่าวคือ ให้ดูดวงจันทร์เสี้ยว (ฮิลาล) ในวันที่ 29 ของเดือนซะบาน เมื่อเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน แต่ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ให้ถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 30 ของเดือนซะบาน และวันถัดต่อจากนั้นไปถือว่าเป็นวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน(ในเดือนอื่นๆก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้)
**ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้
صُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่สามารถเห็นดวงจันทร์เสี้ยวได้) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
     แหละท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ยังสั่งใช้ในเรื่องของการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ให้เอาเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้นด้วย ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น จะไปตามประเทศอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด(ต้องการบอกสิ่งที่ถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า ประโยชน์จะเกิดเฉพาะผู้ที่แสวงหาความจริงเท่านั้น) อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้รับทราบกันมาแล้ว ตามที่ท่านอิบนิอับบัสได้บอกไว้ในช่วงท้ายฮะดิษ
     ผมขอให้แง่คิดง่ายๆว่า ง่ายๆไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ลองดูในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมดูว่า ในหนังสือดังกล่าวก่อนที่จะเริ่มฮะดิษ(กุร๊อยบ)บทนี้ ได้มีการตั้งชื่อบทนี้ไว้ว่าอย่างไร ถ้อยคำในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมเล่มดังกล่าวได้ตั้งชื่อบทไว้ว่า
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى، وَيَحْيَى بْنُ أَيُّوبَ، وَقُتَيْبَةُ، وَابْنُ حُجْرٍ، - قَالَ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى: أَخْبَرَنَا، وَقَالَ الْآخَرُونَ: - حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ وَهُوَ ابْنُ جَعْفَرٍ، عَنْ مُحَمَّدٍ وَهُوَ ابْنُ أَبِي حَرْمَلَةَ، عَنْ كُرَيْبٍ، أَنَّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ، بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ، قَالَ: فَقَدِمْتُ الشَّامَ، فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا، وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ، فَرَأَيْتُ الْهِلَالَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِينَةَ فِي آخِرِ الشَّهْرِ، فَسَأَلَنِي عَبْدُ اللهِ بْنُ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا، ثُمَّ ذَكَرَ الْهِلَالَ فَقَالَ: مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلَالَ؟ فَقُلْتُ: رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، فَقَالَ: أَنْتَ رَأَيْتَهُ؟ فَقُلْتُ: نَعَمْ، وَرَآهُ النَّاسُ، وَصَامُوا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ، فَقَالَ: " لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ، فَلَا نَزَالُ نَصُومُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلَاثِينَ، أَوْ نَرَاهُ، فَقُلْتُ: أَوَ لَا تَكْتَفِي بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ؟ فَقَالَ: لَا، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " وَشَكَّ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى فِي نَكْتَفِي أَوْ تَكْتَفِي
     บทสรุปนั้นก็คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ย่อมมีการผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความเห็นของอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ยุมโฮร)หรืออุละมาส่วนน้อย สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า มิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนใหญ่ จะถูกไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือมิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนน้อยจะผิดไปเสียทุกอย่าง ขอให้เราท่านทั้งหลายพิจรณาเป็นอย่างเป็นเรื่องไป
     สิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็คือสิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)นำมาบอกแก่เราท่านทั้งหลายไว้ สิ่งที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ทำให้เราท่านทั้งหลายเห็นฯลฯ(ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของศาสนา) เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะไม่ผิดเลยเพราะว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์(ซ.ล.)ไม่ได้พูด ไม่ได้บอก ไม่ได้ทำตามอารมณ์ของท่าน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้น ล้วนแล้วมาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ล้วนแล้วมาจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ต้องการให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มีการประพฤติ ได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้รู้กันได้ว่า ใครบ้างที่มีการภักดีต่อพระองค์
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซอฟัร ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ซอฟัร ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 เวลา 18.14.12 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2556  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 (ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์อยู่กลุ่มดาวโล่ scutum) ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 356987.78 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 357095.82กิโลเมตร
**วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.02.03วินาที  ดวงจันทร์ตก18.00.31วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์1นาที32วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.01.28วินาที ดวงจันทร์ตก17.59.35วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที54วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.13.22วินาที  ดวงจันทร์ตก18.09.18วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์4นาที4วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.12.01วินาที  ดวงจันทร์ตก18.08.06วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที55วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.13.47วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.09วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์3นาที38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.04.51วินาที  ดวงจันทร์ตก18.03.31วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที20วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.11.40วินาที  ดวงจันทร์ตก18.07.51วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 48วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.42.53วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.41.09วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์1นาที45วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.02.06วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.00.36วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์1นาที30วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.15.39 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.40.33วินาที ดุฮ์ริเวลา12.20.14วินาที อัสริเวลา15.35.14 วินาที มักริบเวลา 17.59.59 วินาที อีซาเวลา 19.16.05
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.17.20วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.42.12วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.22.06วินาที  อัสริเวลา15.37.14 วินาที  มักริบเวลา18.02.03 วินาที  อีซาเวลา 19.18.08
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05..30.16วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.55.35วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.24.11 วินาที  อัสริเวลา 15.29.09 วินาที  มักริบเวลา 17.52.52 วินาที  อีซาเวลา 19.09.08 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.35.15วินาที  ตะวันขึ้นเวลา07.01.14วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.25.03วินาที  อัสริเวลา15.25.00วินาที  มักริบเวลา17.48.57วินาที  อีซาเวลา19.05.42วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version