เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์

<< < (17/20) > >>

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته***พระผู้เป็นเจ้าทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่บกพร่อง
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{اللَّه الَّذِي رَفَعَ السَّمَاوَات بِغَيْرِ عَمَد تَرَوْنَهَا} أَيْ الْعَمَد جَمْع عِمَاد وَهُوَ الْأُسْطُوَانَة وَهُوَ صَادِق بِأَنْ لَا عَمَد أَصْلًا {ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْش} اسْتِوَاء يَلِيق بهْ {وَسَخَّرَ} ذَلَّلَ {الشَّمْس وَالْقَمَر كُلّ} مِنْهُمَا {يَجْرِي} فِي فَلَكه {لِأَجَلٍ مُسَمًّى} يَوْم الْقِيَامَة {يُدَبِّر الْأَمْر} يَقْضِي أَمْر مُلْكه {يُفَصِّل} يُبَيِّن {الْآيَات} دِلَالَات قُدْرَته {لَعَلَّكُمْ} يَا أَهْل مَكَّة {بِلِقَاءِ رَبّكُمْ} بِالْبَعْثِ {توقنون}
พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)เป็นผู้ทรงยกชั้นฟ้าโดยปราศจากเสาซึ่งที่พวกท่านทั้งหลายมองเห็น หลังจากนั้น(อะต๊อบนี้ไม่ได้มีความหมายถึงการเรียบเรียง)พระองค์ทรงมีอำนาจปกครอง(ควบคุม)เหนือบัลลังก์(ให้ความหมายแบบค่อละฟุซซอและห์) และทรงให้ดวงตะวันและดวงเดือนง่ายดาย(อยู่ในคำสั่งของพระองค์เพื่อยังประโยชน์แก่สรรพสิ่งทั้งมวล) ทุกสิ่งทั้งหมดได้โคจรไปตามวาระที่ถูกกำหนดไว้(ดูในซูเราะห์ยาซีนอายะห์38-40เพิ่มเติม) พระองค์ทรงบริหารกิจการงานทั้งหมด(ทั้งหมดในโลกเบื้องบน แหละในโลกเบื้องล่างฯลฯ) พระองค์ทรงจำแนกให้ชัดเจนบรรดาโองการ(สัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงถึงเดชานุภาพของพระองค์) เพื่อพวกท่านทั้งหลายจะได้มั่นใจ ในการได้พบกับพระผู้เป็นเจ้า(พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.))ของพวกท่าน(ด้วยการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ทั้งนี้ก็เพราะว่าผู้ที่มีความสามารถสรรสร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้นั้น ย่อมมีความสามารถทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้หลังจากที่ได้สิ้นชีพไปแล้ว) ซูเราะห์อัรเราะดู้ 13 อายะห์ที่2 
**คำว่า     ثُمّเดิมๆนั้น การอะต๊อบด้วยคำนี้นั้นจะมีความหมายตัรตีบอิงฟิซอล แต่ในอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้ถือว่า ไม่ได้มีความหมายตัรตีบอิงฟิซอล(ไม่ได้มีความหมายตามลำดับโดยทิ้งช่วงโดยเด็ดขาด)เพราะสำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว จะให้ความหมายแบบตัรตีบอิงฟิซอลไม่ได้โดยเด็ดขาด คือในอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้จะยึดถือว่า พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)เป็นผู้ทรงยกชั้นฟ้าโดยปราศจากเสาก่อน หลังจากนั้นจึงมีอำนาจปกครองเหนือบัลลังก์ ยึดถืออย่างนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
**ในอายะห์อัลกุรอ่านที่ระบุว่า คำว่า      ثُمّที่มีความหมายแบบตัรตีบอิงฟิซอล(มีความหมายตามลำดับโดยทิ้งช่วง)ก็มีเช่นกัน
***ดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 واللهُ خَلَقَكُمْ مِنْ تُرابٍ ثُم مِنْ نُطْفَةٍ
และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงสร้างพวกท่านมาจากดินหลังจากนั้นก็มาจากหยดน้ำอสุจิซูเราะห์ ฟาติร35 อายะห์ที่11 (และดูเพิ่มเติมที่ซูเราะห์มุมิน40 อายะห์ที่67)
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮู)ได้ระบุไว้ว่า
وَالْفَاءُلِلتَّرْتِيْبِ  بِاتِّصَالِ        وَثُمَّ لِلتَّرْتِيْبِ بِانْفِصَالِ
และฟานั้น(อะต๊อปคำที่มีความหมาย)ตามลำดับโดยต่อเนื่อง และ     ثُمّนั้น(อะต๊อปคำที่มีความหมาย)ตามลำดับโดยทิ้งช่วง
**ดังนั้นถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีๆในตัฟซีรยะลาลีน ตรงอายะห์อัลกุรอ่านที่ว่า  ثُمَّ اسْتَوَى عَلَى الْعَرْش ได้ให้ความหมายว่า  اسْتِوَاء يَلِيق بهْ ซึ่งมีความหมายว่า หลังจากนั้นพระองค์ทรงอิสติวาอ์เหนือบัลลังก์ การอิสติวาอ์ที่เหมาะสมกับพระองค์เท่านั้น (ไม่เหมือนกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น) ดังนั้นการให้ความหมายอย่างนี้นั้นถือว่าเป็นการให้ความหมายในรูปแบบของบรรดาซะละฟุซซอและห์
**ส่วนนักวิชาการในยุคค่อละฟุซซอและห์ได้ให้ความหมายในรูปแบบแก้ไขว่า พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงมีอำนาจปกครอง(ควบคุม)เหนือบัลลังก์ นั่นก็หมายความว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีอำนาจปกครอง ทรงมีอำนาจปกครองควบคุมบังคับเหนือทุกๆสรรพสิ่งที่นอกเหนือจากพระองค์ ให้ดำเนินตามพระบัญชาของพระองค์ได้ทั้งหมดเลย ดังนั้นนักวิชาการจึงได้กล่าวไว้ว่าการให้ความหมายในทั้งสองรูปแบบนี้นั้น รวมถึงการยึดมั่นตามรูปแบบทั้งสองรูปแบบนี้นั้น ถือว่าถูกต้องใช้ได้
**ดังนั้นการที่จะให้ความหมายว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงนั่ง ประทับ สถิตอยู่บนบัลลังก์เลย เหมือนแบบเราๆท่านๆนั่งอยู่บนเก้าอี้ฯลฯ ไม่ได้โดยเด็ดขาด ซึ่งถือว่าผิดรูปแบบในการยึดมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างชัดเจน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่มีเรือนร่าง ไม่มีทิศ ไม่ต้องการที่ว่างฯลฯ นักวิชาการได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่นำพระผู้เป็นเจ้าไปเปรียบเทียบว่าเหมือนกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถือว่าถึงขั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาเลยทีเดียว ไม่ควรที่จะคิดแบบนั้นด้วย เพราะในเมื่อพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง พระองค์จะเหมือนกับสิ่งถูกสร้างได้อย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในสติปัญญา หรือที่เราท่านทั้งหลายรู้กันว่ามุสตะฮีลปะด้าอะกอล
**สรุปว่าการยึดมั่นที่ถูกต้องนั้นก็คือ ไม่ได้ปฏิเสธการที่พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงอิสติวาอ์เหนือบัลลังก์ แต่ปฏิเสธการที่จะยึดมั่นว่าพระองค์ทรงนั่ง ประทับ สถิตอยู่บนบัลลังก์ เพราะพระองค์จะไม่เหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่ แหละพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)จะไม่เหมือนกับสิ่งใดๆทั้งสิ้นเลยโดยเด็ดขาด
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
  لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์(อัลเลาะห์(ซ.บ.)) และพระองค์ทรงได้ยินอีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَلَمْ يَكُنْ لَهُ كُفُوًااَحَدٌ
และไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์(อัลเลาะห์(ซ.บ.))ซูเราะห์อัลอิคลาส112 อายะห์ที่4
**ดังนั้นนักวิชาการที่ได้รับทางนำที่ถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ว่า เมื่อพบว่าอัลกุรอ่านอายะห์ใด หรือฮะดิษบทใดที่มีความหมายคล้ายๆกับว่าพระผู้เป็น จะไปเหมือน จะไปคล้ายกับสิ่งที่ถูกสร้าง(มัคโล๊ค) จะต้องให้ความหมายว่าหรือต้องตะวีล ให้เป็นสิ่งที่เหมาะสม แหละคู่ควรกับพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งเราท่านทั้งหลายไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นเช่นไร รู้ได้อย่างเดียวว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสม แหละคู่ควรกับพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นพอ โดยไม่เหมือนกับสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ต้องนำไปเปรียบเทียบ ไม่ต้องสงสัยต่อไม่ต้องถามต่อ
**ดังนั้นผู้ซึ่งที่รู้ถึงความหมายที่ถูกต้องที่สุดในคำว่าอิสติวาอ์อะลั้ลอัรซ์นั้นก็คือพระองค์(อัลเลาะห์(ซ.บ.)) ว่าอิสติวาอ์อะลั้ลอัรซ์คืออะไร หมายถึงอะไร อย่าลืมว่าอัลกุรอ่านเป็นภาษาอะหรับเพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล)เป็นคนอะหรับ สำนวนต่างๆในอัลกุรอ่านจึงสื่อให้คนอะหรับเข้าใจ ซึ่งบางทีความหมายที่ต้องการจริงๆอาจจะไม่ใช่ตามคำแปลแบบผิวเผินเลยก็เป็นได้ ผมจะยกตัวอย่างสักสิ่งหนึ่ง อย่างเช่นที่เขาพูดกันว่านายก.เหนือกว่านายข. คนฟังที่เป็นคนไทยจะเข้าใจได้เลยว่านายก.เหนือชั้นกว่านายข.(จะเรื่องใดบ้างก็แล้วแต่) ไม่ใช่ว่านายก.อยู่ข้างบน หรืออยู่ด้านบนนายข.แต่ประการใด แหละไม่ได้หมายความว่านายก.อยู่ภาคเหนือ และนายข. อยู่ภาคใต้ อีกตัวอย่างนึง อย่างที่คนไทยเราพูดกันติดปากว่า แกงสับนก(คนรุ่นใหม่อาจจะไม่เคยได้ยิน) เรื่องจริงที่คนไทยเข้าใจโดยทั่วไปก็คือ แกงน่าแกงจริงๆแต่ไม่ใช่ใส่นกสับไปในแกง แต่เป็นการใส่ปลาสับไปในแกงแทน เพียงแต่ชื่อที่เขาเรียกกันจนติดปากที่คนไทยเข้าใจก็คือแกงสับนก ไม่ใช่เรียกกันติดปากว่าแกงสับปลาหรือแกงปลาสับ
**ผมเองเห็นคำว่า اسْتِوَاء ทำให้ผมนึกถึงคำในหลักดาราศาสตร์ที่ว่า خَطّ الاستواء หมายถึงเส้นศูนย์สูตร(Equator)
**เส้นศูนย์สูตร(Equator)ของโลกนั้นก็คือ ระนาบของวงกลมใหญ่ที่อยู่บนผิวโลกโดยห่างจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เท่าๆกัน เก้าสิบองศา(เส้นลากตามแนวนอนของโลกใบนี้ เส้นแบ่งครึ่งโลกตามแนวนอน) แสดงว่าด้านบนเส้นนี้อีก90องศาเป็นขั้วโลกเหนือ แหละด้านล่างเส้นนี้อีก90องศาเป็นขั้วโลกใต้ ฟ้าก็มีเส้นศูนย์สูตรฟ้าอีกเช่นกัน โดยที่เส้นศูนย์สูตรฟ้าจะขนานกับเส้นศูนย์สูตรโลก ดังนั้นการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ตลอดทั้งปีจะทำมุมสูงสุด23.5องศา กับระนาบเส้นศูนย์สูตรฟ้า ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า ในขณะที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์แกนโลกเอียง23.5องศานั่นเอง
**ขอให้เราท่านทั้งหลายได้พิจรณาดูถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ขอย้ำว่าเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆในอำนาจความสามารถของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น พระองค์สามารถบังคับให้ดวงอาทิตย์โคจรตามเส้นทางของมันทุกๆปีทุกๆปี และสามารถทำให้โลกนี้โคจรตามเส้นทางของมันทุกๆปีทุกๆปี พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้ดวงอาทิตย์มีค่าดิคลิเนชั่นเหมือนๆกันทุกๆปีทุกๆปี ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ สมัยที่ผมเรียนวิชาดาราศาสตร์อิสลามใหม่ ผมต้องสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ในน้ำร้อนบ้างแสบตาบ้างแต่ก็สนุกดี ซึ่งผมเองไม่แนะนำให้ใครนำไปทำอย่างนี้โดยเด็ดขาด เพราะว่าจะต้องรู้ถึงวิธีการทำที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะปลอดภัยกับสายตา สมัยนี้ดูผ่านฟิลเตอร์ก็นับว่าปลอดภัยกับสายตา แล้วก็ห้ามมองนานด้วย อีกอย่างห้ามนำฟิลเตอร์ไปติดกับกล้องสองตาโดยเด็ดขาด เพราะถึงแม้จะมีฟิลเตอร์แต่กล้องสองตาจะรับแสงมากกว่ากล้องตาเดียว ไม่ต้องดูอะไรมากมาย ลองลืมตาสองข้าง ลองเหลือบมองซ้ายขวาบนล่าง หลังจากนั้นหลับตาข้างเดียว แล้วลองเหลือบมองซ้ายขวาบนล่าง ก็จะสามารถรับรู้ได้เลยว่า แบบใหนเห็นมากกว่ากัน
**ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีแล้วพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกให้แกนโลกเอียง23.5องศา เมื่อโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์จะขึ้นด้านบนสูงสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลก23.5องศา ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว ด้านบนสูงสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลกมีถึง90องศาจนถึงขั้วโลกเหนือ
**ดังนั้นถ้าสมมุติว่าถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะกำหนดให้ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงไปเรื่อยๆจนถึง90องศาเลยจนถึงขั้วโลกเหนือ พระองค์ก็สามารถทำได้ ผลที่ตามมาที่เราท่านทั้งหลายสามารถสำผัสได้ก็คือ น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือก็จะละลายกลายเป็นน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ไม่มีอะไรจะสามารถต้านทานได้ ในขณะเดียวกันฝั่งขั้วโลกใต้ก็จะหนาวเหน็บเป็นน้ำแข็งทวีคูณไม่รู้จะกี่เท่ากี่เท่า กระทั่งสิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้(ทุกวันนี้แค่ดวงอาทิตย์ขึ้นด้านบนสูงสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลก23.5องศา ขั้วโลกใต้ยังหนาวเหน็บเป็นน้ำแข็งได้ขนาดนี้ ถ้าขึ้นสูงถึง90องศาจะเป็นอย่างไร) เช่นเดียวกันทั้งๆที่ด้านล่างสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลกมีถึง90องศาจนถึงขั้วโลกใต้ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะกำหนดให้ดวงอาทิตย์ลงไปเรื่อยๆจนถึง90องศาเลยจนถึงขั้วโลกใต้ พระองค์ก็สามารถทำได้ แต่ผลที่ตามมาที่เราท่านทั้งหลายสามารถสำผัสได้ก็คือ น้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ก็จะละลายกลายเป็นน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ไม่มีอะไรจะสามารถต้านทานได้ ในขณะเดียวกันฝั่งขั้วโลกเหนือก็จะหนาวเหน็บเป็นน้ำแข็งทวีคูณไม่รู้จะกี่เท่ากี่เท่า กระทั่งสิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้(ทุกวันนี้แค่ดวงอาทิตย์ลงสุดจากเส้นศูนย์สูตรโลก23.5องศา ขั้วโลกเหนือยังหนาวเหน็บได้ขนาดนี้ มีหิมะสูงได้ขนาดนี้ ประเทศไทยเรายังหนาวได้ขนาดนี้ ถ้าดวงอาทิตย์ลงต่ำถึง90องศาจะเป็นอย่างไร) ทั้งหมดที่กล่าวมานี้นั้นเป็นอำนาจความสามารถของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ที่ใครก็ไม่สามารถจะกระทำได้ ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ยังประโยชน์แด่มวลสรรพสิ่งทั้งหลายอีกเช่นกัน
**อำนาจความสามารถฯลฯของพระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือทุกๆสรรพสิ่ง เพราะพระองค์เป็นพระผู้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่งทั้งมวล
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557 เวลา 4.38.34 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณแขนของกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ Aquarius) ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 358551.51 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 358185.28กิโลเมตร
**วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.18.08วินาที  ดวงจันทร์ตก18.48.32วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 30นาที24วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.17.08วินาที ดวงจันทร์ตก18.47.00วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 29นาที52วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.25.44วินาที  ดวงจันทร์ตก18.52.04วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที20วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.24.39วินาที  ดวงจันทร์ตก18.51.15วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที36วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.26.39วินาที  ดวงจันทร์ตก18.53.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที59วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.21.02วินาที  ดวงจันทร์ตก18.51.40วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 30นาที38วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.24.27วินาที  ดวงจันทร์ตก18.51.13วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 26นาที47วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก17.59.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.30.18วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 30นาที32วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.18.14วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.48.42วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 30นาที28วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.22.21 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.44.52วินาที ดุฮ์ริเวลา12.29.29วินาที อัสริเวลา15.47.40 วินาที มักริบเวลา 18.14.15 วินาที อีซาเวลา 19.28.11
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.24.05วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.46.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.31.21วินาที  อัสริเวลา15.49.37 วินาที  มักริบเวลา18.16.17 วินาที  อีซาเวลา 19.30.11
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05..33.59วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.56.52วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.33.24 วินาที  อัสริเวลา 15.44.38 วินาที  มักริบเวลา 18.10.08 วินาที  อีซาเวลา 19.24.11 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.37.43วินาที  ตะวันขึ้นเวลา07.01.14วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.34.15วินาที  อัสริเวลา15.41.48วินาที  มักริบเวลา18.07.31วินาที  อีซาเวลา19.22.02วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ไม่เหมือนกับสิ่งใด
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**ก๊าฟที่อยู่ในคำว่า كَمِثْلِهِ  ถือว่าเป็นก๊าฟที่เพิ่มมาเฉยๆ(ราอิดะห์)ไม่ได้มีความหมายอะไร ที่ถือว่าเป็นก๊าฟราอิดะห์ก็เพราะว่าไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) (พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดอีกด้วย)ส่วนคำว่า شَيْءٌ  ถือว่าเป็นอิสมุฮามุอั๊คค๊อร
ดังนั้นจึงให้ตั๊กดีรว่าلَيْسَ شَيْءٌمِثْلَهُ  ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)
**ดังนั้นถ้าจะอ้างว่าก๊าฟนี้ไม่ใช่ก๊าฟราอิดะห์ แสดงว่าก็จะต้องมีสิ่งที่ไปเหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)อย่างแน่นอน ก็เพราะว่า(ถ้าเป็นก๊าฟที่ไม่ใช่ก๊าฟราอิดะห์ก็จะต้องตั๊กดีรว่า لَيْسَ مِثْلَ مِثْلِهِ شَيْئٌ ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับของเหมือนของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)) ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยโดยเด็ดขาด ที่จะมีสิ่งที่เหมือนกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทุกรูปแบบ ดังเช่นหลักฐานทางอัลกุรอ่านข้างต้น ก๊าฟนี้จึงถือว่าเป็นก๊าฟราอิดะห์อย่างแน่นอน
**อนึ่งคำว่า لَيْسَ  นี้นั้นปฏิบัติงานก็เหมือนกับ كَانَ คือร่อเฟาะอิเซ็ม น่าซอบค่อบัร   
**ดังมีระบุไว้ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนวิชานะฮู)ว่า
كَكَانَ ظَلَّ بَاتَ اَضْحَى اَصْبَحَا         اَمْسَىوَصَارَ لَيْسَ زَالَ بَرِحَا
คำว่า ظَلَّ بَاتَ اَضْحَى اَصْبَحَ اَمْسَى صَارَ بَرِحَ لَيْسَ زَالَ ก็เช่นเดียวกับ كَانَ
** اي فى العمل   كاءنة ككان  كَكَانَ اي
**นักวิชาการได้มีการขัดแย้งกันในคำว่า لَيْسَ แต่ตามทัศนะส่วนมากถือว่า لَيْسَ นั้นเป็นฟิอิ้ล บางส่วนจากนักวิชาการถือว่า لَيْسَ นั้นเป็นฮุรุฟ
**หลักในการยึดถือก็คือ พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) พระองค์จะไม่เหมือนกับของใหม่ใดๆทั้งสิ้น พระองค์จะไม่เหมือนกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่(มั๊คโลคที่ถูกสร้าง)ใดๆทั้งสิ้นเลย แม้เพียงกระทั่งเพียงสิ่งเดียวก็จะไม่เหมือนเลย ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ต้องการที่ว่าง พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ต้องการ พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่มีสีสันใดๆทั้งสิ้นเลย ไม่เป็นชิ้นส่วน ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ฯลฯ ก็เพราะว่าการต้องการที่ว่างก็ดี แหละการมีสีสันก็ดีฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นคุณลักษณะทีมีปรากฏอยู่ที่ของใหม่(มั๊คโลคที่ถูกสร้าง)ทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อผู้ศรัทธาได้มีการยึดมั่นที่ถูกต้องดังกล่าวมาแล้ว ซัยตอนมารร้ายก็เริ่มมีแผนการ ทำหน้าที่หลอกลวง ได้เริ่มตั้งปัญหาให้เราท่านทั้งหลายไขว้เขวไปจากแนวทางที่ถูกต้องว่า เอ้าในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการที่ว่าง ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่มีสีสัน ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าเล็กก็ไม่เล็กใหญ่ก็ไม่ใหญ่ฯลฯ แล้วจริงๆพระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างไรละ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้ที่ศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าจะต้องตอบด้วยลิ้น พร้อมทั้งจะต้องยึดมั่นในหัวจิตหัวใจว่า อันเรื่องจริงๆของพระผู้เป็นเจ้านั้น ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถล่วงรู้ได้ นอกจากพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงรอบรู้
**ดังนั้นตามหลักวิชาการในแล้ว ถ้าหากว่าได้มีปรากฏในตัวบทอัลกุรอ่านก็ดีหรือได้มีปรากฏในตัวบทอัลฮะดิษก็ดี ทำให้คล้ายๆกับว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไปเหมือนกับของใหม่ ดังนั้นเหล่าบรรดาบรรพชนชาวซะลัฟจึงให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ให้มอบหมายความหมายไปที่พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ที่เหมาะสมกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) เท่านั้น ส่วนบรรดาบรรพชนชาวค่อลัฟให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า จะต้องตะวีล(จะต้องแก้ไข)ความหมายให้เหมาะสมกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)
**ซัยตอนมารร้ายได้พยายามวางแผนทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ผู้คนหลงผิดจากแนวทางที่ถูกต้อง(เรียกว่าแสวงหาแนวร่วม แสวงหาสมัครพรรคพวก) แม้กระทั่งในแวดวงของสถานที่ ที่ใช้รวมตัวกันทำคุณความดี ผมเคยได้ยินคนดีๆหลายๆคน ได้พูดอยู่เป็นประจำว่า สาเหตุที่ไม่อยากจะไปสถานที่แห่งนั้น จริงๆแล้วไม่ได้เกลียดสถานที่แห่งนั้นเลย ไม่มีสักนิดเลยในหัวจิตหัวใจ แต่ไม่ชอบวิธีการ แหละไม่สนับสนุนการทำตัวของผู้ที่บริหารจัดการของสถานที่แห่งนั้น ที่พยายามทำให้สิ่งที่ถูกต้องณะฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า ให้กลับกลายเป็นสิ่งที่ผิดในสายตาของผู้คน ที่พยายามทำให้สิ่งที่ผิดณะฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า ให้กับกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของผู้คน  ใช้ความดื้อรั้นทำตามอารมณ์ของตัวเอง ใช้ความดื้อรั้นทำตามคำชักจูงของซัยตอนมารร้ายไปในทางที่ผิด ในสถานที่ที่ใช้เพื่อประกอบคุณความดี (ไม่เป็นไร ในสถานที่อื่นก็สามารถประกอบคุณความดีได้อีกเช่นกัน มีคำกล่าวคำหนึ่งที่เป็นความจริงก็คือ คนดีก็ดีอยู่วันยังค่ำ ส่วนคนไม่ดีก็ไม่ดีอยู่วันยังค่ำ(ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขนะ) แม้ว่าจะอยู่ในคราบของคนดี ตรงนี้ผมเองถือว่าน่าจะได้คิดพิจรณากันเป็นอย่างยิ่ง)
**ถ้าเราท่านทั้งหลายได้ย้อนกลับไปดูในหน้าประวัติศาสตร์ของอัลอิสลามแล้ว เราท่านทั้งหลายก็จะพบว่าเมื่อถึงยุคที่สังคมเสื่อนโทรม ในยุคที่สังคมไม่ได้เอาศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว ในยุคที่มัสยิดฮะรอมเต็มไปด้วยรูปปั้นผู้คนทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ท่านก็ได้ปลีกตัวของท่านเองจากสิ่งที่เลวร้ายต่างๆนาๆ ไปหาความสงบ เพื่อประกอบคุณความดีในถ้ำหิรออฺอีกเช่นกัน
**เล่าจากอะบีสะอีดอัลคุดรีย์ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า เกือบถึงเวลาแล้วที่ทรัพท์สินที่ดีที่สุดสำหรับมุสลิมคือ ฝูงแพะที่ติดตามเขาไปถึงยอดเขาสูง และแหล่งฝน เขาพาศาสนาของเขาหลบหนีไปจากความสับสนวุ่นวายต่างๆ รายงานโดยบุคอรี
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า พระองค์อัลเลาะอ์(ซ.บ.)พระองค์ไม่ได้แต่งตั้งนบีท่านใดมา นอกจากเขาต้องเป็นคนเลี้ยงแพะ ซอฮาบะห์(อัครสาวก)ของท่านได้ถามท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ว่า แม้แต่ท่านอย่างนั้นหรือ ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ตอบว่า ใช่แล้ว ฉันเคยเลี้ยงแพะแลกกับเศษเงินของชาวมักกะห์ รายงานโดยบุคอรี
**เล่าจากท่านสะอัด บุตร อะบีวักกอส(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า แท้จริงพระองค์อัลเลาะอ์(ซ.บ.)พระองค์ทรงรักบ่าวที่มีความยำเกรง ที่มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ที่หลบซ่อนตนเองเพื่อทำอิบาดะห์ รายงานโดยมุสลิม
**ดังนั้นหน้าที่ของผู้ศรัทธาอย่างแท้จริงก็คือ ทำตามใช้ ละเว้นสิ่งที่ห้าม ไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะอยู่ในสถานะใด
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 เวลา 14.59.42 วินาที มีมุมเงยประมาณ47องศา ขณะที่เกิดจันทร์ดับนี้ ทั้งสอง(ดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์)อยู่ที่กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ Aquarius ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม  พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 (ดวงจันทร์อยู่บริเวณแขนของกลุ่มดาวคนแบกหม้อน้ำ Aquarius) ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 358551.51 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 362755.43กิโลเมตร
**วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.27.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.28.53วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที49วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.25.23วินาที ดวงจันทร์ตก18.26.52วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที28วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.28.43วินาที  ดวงจันทร์ตก18.28.09วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที34วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.28.03วินาที  ดวงจันทร์ตก18.27.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที25วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.30.27วินาที  ดวงจันทร์ตก18.30.18วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที9วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.30.07วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.08วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 2นาที0วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.28.05วินาที  ดวงจันทร์ตก18.27.47วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที18วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.09.59วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.11.36วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที37วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.27.15วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.29.06วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที51วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทย ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 05.15.08 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.34.35วินาที ดุฮ์ริเวลา12.29.34วินาที อัสริเวลา15.50.55 วินาที มักริบเวลา 18.24.45 วินาที อีซาเวลา 19.35.56
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 05.16.58วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.36.22วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.31.26วินาที  อัสริเวลา15.52.46 วินาที  มักริบเวลา18.26.41 วินาที  อีซาเวลา 19.37.50
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.20.25วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.40.25วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.33.24 วินาที  อัสริเวลา 15.54.26 วินาที  มักริบเวลา 18.26.42 วินาที  อีซาเวลา 19.38.08 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา05.21.28วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.42.08วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.34.16วินาที  อัสริเวลา15.54.20วินาที  มักริบเวลา18.26.45วินาที  อีซาเวลา19.38.40วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
وَكَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى تَكْلِيمًا
และพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)ทรงตรัสกับท่านนบีมูซา (โดยไม่ผ่านสื่อกลางท่านยิบรีล)ชนิดการตรัสจริงๆ  ซูเราะห์อันนิซาอ์4 อายะห์ที่164
**นักวิชาการได้บอกว่า สิ่งที่ปิดกั้น(ฮิยาบ)ได้หายไป ท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)จึงได้ยิน كلام القديم ของพระผู้เป็นเจ้า แหละบางส่วนของนักวิชาการได้บอกไว้อีกว่า ท่านยิบรีลก็ได้ไปพร้อมกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)ด้วย แต่ท่านยิบรีลไม่ได้ยิน  كلام القديم ของพระผู้เป็นเจ้าที่ท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)ได้ยิน
**ในปัจจุบันนี้ได้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) ของพระผู้เป็นเจ้า
**ดังนั้นตามอะห์ลิสซุนนะห์วั้ลยะมาอะห์ ซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด)นั้น เป็นคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า ที่มีมาแต่ดั้งเดิม ที่ดำรงอยู่ที่ซาตของพระองค์อ.ล.(ซ.บ.) การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีอักษรโดยเด็ดขาด แหละการพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีเสียงโดยเด็ดขาด ก็เพราะว่า ถ้าสมมุติว่า(เป็นแค่เรื่องสมมุติเท่านั้น) พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วมีอักษร หรือถ้าหากสมมุติว่า(เป็นแค่เรื่องสมมุติเท่านั้น)พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วมีเสียง แน่นอนเหลือเกินพระผู้เป็นเจ้าก็ต้องไปเหมือนกับของใหม่อย่างแน่นอน(ก็ต้องเหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่อย่างแน่นอน) เรื่องสมมุติดังกล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยตามหลักการยึดมั่น ของผู้ที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า
**ดังนั้นยังมีผู้ที่หลงผิดยึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดเหมือนเราๆท่านๆนี้แหละ(แต่จะไม่พูดตรงๆ โดยพูดแบบอ้อมๆว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดมีเสียงบ้าง พระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีอักษรบ้าง)
**ผมเองขอให้แง่คิดง่ายๆนะครับว่า(เหมือนเส้นผมได้บังภูเขาไปแล้ว) ในเรื่องของซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) นั้นควรต้องเสวนาอธิบายเรื่องอักษรก่อน จะเสวนาอธิบายเรื่องเสียงก่อนไม่ดีเท่าที่ควร(เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายสำหรับเราๆท่านๆ) ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า เมื่อเราท่านทั้งหลายยืนยันเลยว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้า (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)นั้นทรงตรัส ทรงพูดโดยไม่มีอักษร แน่นอนเหลือเกินว่าเราท่านทั้งหลายก็ยืนยันโดยอัตโนมัติเลยว่า พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงตรัส ทรงพูดโดยไม่มีเสียง เพราะว่าเสียงนั้นจะมีมาไม่ได้เลยถ้าไม่มีการเรียบเรียงมาจากอักษร ยกตัวอย่างเช่นนักกอรีทั่วทุกมุมโลก ที่มีเสียงที่ไพเราะจับใจผู้ฟัง มีการอ่านที่ถูกต้องตามหลักตัจวีด ถ้าสมมุติว่าถ้าไม่มีตัวบทบัญญัติที่เป็นอักษร ของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน เสียงการอ่านพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านที่ไพเราะจับใจผู้ฟัง จะมีมาได้อย่างไร
**ต่อนะครับในเรื่องของซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การอยู่ก่อน การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การอยู่หลัง การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การเอี๊ยะรอบ การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี)การบินาอ์ การตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นปราศจาก(ไม่มี) การอ่อนหวานหรือแข็งกระด้าง(ก็เพราะว่าการตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีอักษร เมื่อไม่มีอักษรก็ต้องไม่มีการเอี๊ยะรอบแหละต้องไม่มีการบินาอ์ฯลฯ โดยปริยาย) ดังนั้นซิฟัต  كلام  (พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) จึงแตกต่างกับลักษณะคำพูดของสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่ จึงแตกต่างกับลักษณะคำพูดของเราๆท่านๆอย่างสิ้นเชิง
**ประเด็นต่อเนื่องก็คือดังนั้นพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านที่เราท่านทั้งหลายเห็นกันอยู่นี้นั้น ตามหลักการยึดมั่นของอะห์ลิสซุนนะห์วั้ลยะมาอะห์ถือว่าเป็นของใหม่ حادثة ก็เพราะว่าในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้น มีทั้งอักษร มีทั้งการอยู่ก่อน มีทั้งการอยู่หลัง มีทั้งการเอี๊ยะรอบ มีทั้งซูเราะห์ แหละมีทั้งอายะห์
**เรื่องจริงๆก็คือว่าแท้จริงพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้น ทั้งหมดเป็นของใหม่ แต่ทว่าไม่อนุญาติที่จะกล่าวว่าพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นเป็นของใหม่ แหละไม่อนุญาตที่จะกล่าวว่า كلام الله เป็นของใหม่ สาเหตุที่ไม่อนุญาตที่จะกล่าวดังกล่าวมานั้น ก็เพราะว่า สิ่งที่ถูกเข้าใจมาจากพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน(คำสั่งใช้ คำสั่งห้ามฯลฯ)ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งเดียวกัน(เป็นอันเดียวกัน เหมือนกัน แหละตรงกัน กับสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าจะบอกมนุษยชาติ)ที่มีอยู่ใน صفة قديم  ของพระองค์(ก็คือว่าในเมื่อเราท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ พระผู้เป็นเจ้าก็ต้องลงพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านมาในรูปแบบที่มนุษยชาติสามารถทำความเข้าใจได้ เพื่อมนุษยชาติจะได้ถือปฏิบัติตามพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านซึ่งเป็นทางนำที่ถูกต้องที่สุดที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างถูกต้อง ตรงนี้ถือว่าต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดแล้วตามหลักการยึดมั่นของอะห์ลิสซุนนะห์วั้ลยะมาอะห์ สำหรับนักวิชาการที่ได้พูด ที่ได้กล่าวว่าพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านนั้นเป็นมั๊คโล๊ค
**เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นในคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า ที่บอกในว่าท่านจงดำรงละหมาดเริ่มตั้งแต่ตะวันคล้อย
***ดังพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{أَقِمْ الصَّلَاة لِدُلُوكِ الشَّمْس} أَيْ مِنْ وَقْت زَوَالهَا {إلَى غَسَق اللَّيْل} إقْبَال ظُلْمَته أَيْ الظُّهْر وَالْعَصْر وَالْمَغْرِب وَالْعِشَاء {وَقُرْآن الْفَجْر} صَلَاة الصُّبْح {إنَّ قُرْآن الْفَجْر كَانَ مَشْهُودًا} تَشْهَدهُ ملائكة الليل وملائكة النهار
ท่านจงดำรงละหมาด(5เวลา ตามรุก่นและซะรัต เริ่ม)ตั้งแต่ตะวันคล้อย(คำว่าตะวันคล้อยตรงนี้ก็คือพ้น หรือคล้อยจากตรงกลางฟ้า แล้วกลางฟ้าคือตรงใหน กลางฟ้าก็คือเส้นเมอริเดี่ยนของสถานที่นั้นๆ หรือที่เรียกกันว่าเส้นลองติจูดของสถานที่นั้นๆนั่นเอง) จนกระทั่งพลบค่ำและการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณ แท้จริงการอ่าน(การละหมาด)ยามรุ่งอรุณนั้นเป็นพยานยืนยัน ซูเราะห์อัลอิสรออ์17 อายะห์ที่78 (รายละเอียดตรงนี้ผมเองได้เคยนำเสนอไปแล้ว)
**ดังนั้นอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้เอง เป็นคำสั่งใช้เกี่ยวกับเวลาของการละหมาดตามตัวบทของพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านภาษาอะหรับ ซึ่งมนุษยชาติสามารถรับรู้ได้ เข้าใจได้ แล้วนำไปสู่การปฏิบัติได้ มีอีกประการหนึ่งก็คือถ้าหากสมมุติว่า พระผู้เป็นเจ้าเปิดฮิยาบ(ของกั้น)ให้เราท่านทั้งหลายได้รับรู้ แน่นอนเหลือเกินเราท่านทั้งหลาย ก็สามารถได้ยิน صفة قديم หรือ كلام القديم ของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับคำสั่งใช้ของการละหมาดตรงนี้ได้เลย(เหมือนอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้เคยเปิดของกั้นให้แก่ท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)มาแล้วเมื่อครั้งอดีตกาล กระทั่งท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)สามารถได้ยิน كلام القديم  ของพระผู้เป็นเจ้าได้)
**เฉกเช่นเดียวกันในโลกดุนยาใบนี้นั้น มีทั้งมนุษย์แหละมวลหมู่ยินอาศัยอยู่ แต่ที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถมองเห็นโลกของมวลหมู่ยินได้ในโลกดุนยาใบนี้นั้น ก็เพราะว่ามีสิ่งปิดกั้น ขวางอยู่นั่นเอง ซึ่งเราท่านทั้งหลายก็ขอจากพระผู้เป็นเจ้าอย่าให้ได้เห็นโลกของยินได้ในโลกดุนยาใบนี้เลย เพราะอาจจะเกิดความหวาดกลัวได้โดยง่าย แต่ทว่าในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นเราท่านทั้งหลายจะได้เห็นมวลหมู่ยิน ซึ่งมวลหมู่ยินจะไม่เห็นเราท่านทั้งหลาย สิ่งนี้เป็นความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีพระคุณได้บอกผมว่าสิ่งนี้เป็นคำสาปจากพระผู้เป็นเจ้า ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะให้เราท่านทั้งหลายเข้าใจแหละได้ยิน
كلام القديم  เพียงอย่างเดียวเลย โดยที่ไม่ต้องมีพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน พระผู้เป็นเจ้าก็ทำได้ แต่ทว่านั่นไม่ใช่ความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้
**ผมจะยกตัวอย่างอีกสักหนึ่งตัวอย่าง เราซึ่งเป็นมนุษย์เราจะสื่อสารให้คอมพิวเตอร์(ซึ่งไม่ใช่มนุษย์)ให้เข้าใจตามความต้องการของเราได้นั้น เราจะใช้ภาษามนุษย์ไม่ได้โดยเด็ดขาด คอมพิวเตอร์ก็จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดังนั้นเมื่อเราจะสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ให้เข้าใจ ต้องใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น จึงจะสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง อันได้แก่ภาษา c ฯลฯ หรือเบสิกง่ายๆถ้าหากว่าเราจะให้เอ็กเซลทำการคำนวนเวลาละหมาด หรือคำนวณสิ่งอื่นๆก็ต้องกดเท่ากับก่อนแล้วจึงใส่ตัวเลขไป คอมพิวเตอร์ถึงจะเข้าใจทันทีว่า ณตอนนี้เรากำลังต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำการคำนวนอยู่ วันหนึ่งผมเจอญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านบอกผมว่านักศึกษา หรือผู้คนทั่วไปที่สนใจวิชาดาราศาสตร์อิสลามมีน้อยก็เพราะเข้าใจว่าวิชาดาราศาสตร์อิสลามยาก ผมเองในฐานะที่ศึกษาวิชาดาราศาสตร์อิสลามมาโดยตรง มีเคล็ดลับอยู่อย่างเดียวถ้าใครมีจริงๆแล้ว ไม่ว่าจะศึกษาวิชาใดวิชานั้นง่ายทั้งหมด เคล็ดลับที่ว่าก็คือความสนใจ
**สรุปว่า ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องแหละแน่นอนก็คือ ตามแนวทางของผู้ที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่เชื่อ เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่ยึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วมีอักษร เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่เชื่อ เราท่านทั้งหลายจะต้องไม่ยึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดมีเสียง (เมื่อเป็นแบบนี้ซัยตอนมารร้ายก็จะเข้ามาตั้งคำถาม ให้เกิดการสับสนในจิตใจของเราท่านทั้งหลายเลยว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดแล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดอย่างไรถึงไม่มีอักษร แล้วพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัส ทรงพูดอย่างไรถึงไม่มีเสียง จะเป็นไปได้หรือ ในเรื่องนี้เราท่านทั้งหลายในฐานะผู้ที่ได้รับทางนำที่ถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้า บอกได้เลยว่าเราท่านทั้งหลายไม่สามารถรับรู้ได้ แหละไม่สามารถบอกได้เลยว่า แก่นแท้ในรูปแบบการตรัส การพูดของพระผู้เป็นเจ้าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร ก็เพราะว่าไม่มีใครที่เคยได้ยินนั่นเอง(นอกจากท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)) นั่นเป็นเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น 
**แต่ถ้าจะอธิบาย(เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายๆ)ในรูปแบบลักษณะการพูดของมนุษย์นั้น สามารถบอกได้เลยว่า เราท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่ว่า ในการพูดของมนุษยชาตินั้น การพูดแบบไม่ปรากฏอักษรให้เห็น แหละการพูดแบบไม่ปรากฏเสียงให้ได้ยินนั้น ใครๆก็ทำได้กันทั้งนั้น ใครๆก็พูดกันได้ทั้งนั้น(เส้นผมบังภูเขา) ลองพูดในใจดูซิ แล้วเราท่านทั้งหลายก็จะทราบได้เอง (ขอย้ำว่าตรงนี้ผมเองไม่ได้นำการพูดในใจ ไปเปรียบเทียบกับ  كلام الله كلام القديم  นะครับเพราะถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว นั่นเป็นคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า) ก็เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงยืนยันความบริสุทธิ์ของพระองค์ให้ออกห่างจากสิ่งที่บกพร่องต่างๆ
**พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนยันว่าพระองค์นั้นทรงไม่เหมือนกับสิ่งใดทั้งสิ้นเลย ไม่เหมือนทุกๆรูปแบบ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัส ทรงบอกทางนำที่ถูกต้องให้เราท่านทั้งหลายทราบมากันแล้ว ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**สำหรับบุคคลที่ได้รับทางนำจากพระผู้เป็นเจ้า ในเมื่อพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านได้บอกไว้ชัดๆอยู่แล้วว่า ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ)  หลักฐานทางพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านตรงนี้ยังไม่พออีกหรือ ตรงนี้ต้องทบทวนให้ดี แล้วจะต้องไคว่คว้าหาหลักฐานอื่นๆกระนั้นหรือ แต่ถ้าพยายามแสวงหาหลักฐาน(ซะลัฟบ้าง ค่อลัฟบ้าง)อื่นๆมา โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดของตัวเอง เพื่อยืนยันความคิดของตัวเองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วได้ไปสวนทางกับความหมาย ได้ไปสวนทางกับทางนำที่มีระบุไว้อยู่ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งหลงผิดอย่างแน่นอน ก็เพราะว่าพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านคือทางนำ ดังนั้นคำพูดหรือการยึดมั่นที่สวนทางกับพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หลงผิดอย่างแน่นอน
**บทสรุปก็คือว่า ไม่ว่าเราท่านทั้งหลายจะพูดหรือเราท่านทั้งหลายจะทำอะไร ถ้ารู้อยู่ว่าการพูดก็ดี หรือว่าการกระทำก็ดี กำลังสวนทางกับคำสั่งใช้ สวนทางกับคำสั่งห้าม หรือสวนทางกับทางนำที่มีระบุไว้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านแล้ว อย่าทำโดยเด็ดขาด ก็เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินว่าผู้ใดกำลังพูดอะไรอยู่ อีกทั้งพระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเห็นว่าผู้ใดกำลังทำอะไรอยู่ นั่นก็หมายถึงการลงโทษที่จะได้รับในโลกหน้าอาคิเราะห์ ขอให้เราท่านทั้งหลายห่างไกลจากสิ่งหลงผิดดังกล่าวมาด้วยเถิด โอ้พระผู้เป็นเจ้า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**อย่ายึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้า(พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) การตรัส แล้วมีอักษร อย่ายึดมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้า(พระองค์อ.ล.(ซ.บ.)ทรงตรัส ทรงพูด) การตรัสแล้วมีเสียง เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่หลงผิด ตามพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่าน ดังกล่าวมา
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอูลา ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 เวลา 1.44.43 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 374714.93 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 373962.27 กิโลเมตร
**วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.29.21วินาที  ดวงจันทร์ตก19.03.22วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที1วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.28.02วินาที ดวงจันทร์ตก19.07.41วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33นาที39วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.25.20วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที18วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.25.09วินาที  ดวงจันทร์ตก18.56.38วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที29วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.28.00วินาที  ดวงจันทร์ตก18.59.46วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที46วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.33.43วินาที  ดวงจันทร์ตก19.07.56วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที13วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.25.28วินาที  ดวงจันทร์ตก18.57.04วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 31นาที36วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.14.51วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.48.47วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 33นาที56วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.30.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 19.04.50วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 34นาที04วินาที  ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทย ถ้าฝนไม่มาฟ้าไม่มืด เมฆไม่บัง สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ แต่ค่อนข้างยากสักนิดนึง
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.57.10 วินาที ตะวันขึ้นเวลา06.16.28วินาที ดุฮ์ริเวลา12.22.17วินาที อัสริเวลา15.40.35 วินาที มักริบเวลา 18.28.17 วินาที อีซาเวลา 19.39.21
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.59.06วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.18.21วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.08วินาที  อัสริเวลา15.42.18 วินาที  มักริบเวลา18.30.08 วินาที  อีซาเวลา 19.41.09
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.55.38วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.15.58วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.26.06 วินาที  อัสริเวลา 15.51.32 วินาที  มักริบเวลา 18.36.33 วินาที  อีซาเวลา 19.48.15 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.53.13วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.18.19วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.26.32วินาที  อัสริเวลา15.54.04วินาที  มักริบเวลา18.35.08วินาที  อีซาเวลา19.51.21วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**เรียกไม่ใช้เสียงพระผู้เป็นเจ้าให้ ใครก็ทำได้
**เพื่อนำพาความถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้าสู่เราท่านทั้งหลาย
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَلَمَّا أَتاَهاَ نُوْدِيَ مِنْ شاَطِئِ} جانب {الْوَادِ الْأَيْمَنِ} لِمُوسَى {فِي الْبُقْعَة الْمُبَارَكَة} لِمُوسَى لِسَمَاعِهِ كَلَام اللَّه فِيهَا {مِنْ الشَّجَرَة} بَدَل مِنْ شاطىء بِإِعَادَةِ الْجَار لِنَبَاتِهَا فِيهِ وَهِيَ شَجَرَة عُنَّاب أَوْ عَلِيق أَوْ عَوْسَج {أَنْ} مُفَسِّرَة لَا مخففة {ياَ مُوْسَى إِنيِّ ْأَناَ اللهُ رَبُّ الْعَالمَِيْنَ}
เมื่อเขา(นบีมูซา)ได้มาที่มัน(ไฟ คือพอมาถึงก็พบแสงสว่าง) เขา(นบีมูซา)ก็ถูกเรียก(ไม่ใช่เสียงที่บางกลุ่ม
เข้าใจแต่คือกะลามมุ้ลก่อดีมเพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงปราศจากจากสิ่งที่บกพร่อง)ถูกเรียกจากริมหุบเขา
ทางด้านขวามือ(ของเขา)ในสถานที่ซึ่งมีความศิริมงคล จากต้นไม้(ซึ่งมีอยู่ณ ที่แห่งนั้น)ว่าโอ้มูซา แท้จริง
ข้าคือพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) องค์อภิบาลแห่งโลกทั้งหลาย ซูเราะห์อัลก่อซ๊อซ อายะห์ที่30
**ท่านเซคมุฮำหมัดอาลีอัซซอบูนี ได้ระบุในตัฟซีรของท่านว่า เมื่อท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)มาถึงสถานที่นั้น กลับไม่พบไฟใดๆทั้งสิ้นเลย แต่สิ่งที่พบก็คือรัศมีอันจำรัส ก็มีการเรียกท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)มาจากทิศทางของต้นไม้ที่อยู่ริมเหวทางด้านขวาของท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม) เนื้อความที่เรียกมีดังต่อไปนี้ โอ้มูซาเอ๋ย แท้จริงผู้ซึ่งที่กำลังโต้ตอบกับท่านและกำลังพูดกับท่านนี้นั้น ก็คือเราเองพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ซึ่งทรงเกียรติยิ่ง ซึ่งทรงยิ่งใหญ่ยิ่ง ปราศจาก จากลักษณะที่บกพร่อง เป็นพระผู้เป็นเจ้าของมนุษยชาติ และเป็นพระผู้เป็นเจ้าของมวลหมู่ยิน และเป็นพระผู้เป็นเจ้าของทุกๆสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมดเลย
**ดังนั้นอย่ายึดถือว่าพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)พูดแล้วก็มีเป็นเสียงออกมาด้วย หรือเรียกก็มีเป็นเสียงออกมาด้วย อย่ายึดถืออย่างนั้นเด็ดขาด เพราะถ้าหากสมมุติว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียก พูดกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม)แล้วมีเป็นเสียงขึ้นมา ก็จะไม่ต่างอะไรกับเราๆท่านๆฯลฯหรอก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด ที่พระผู้เป็นเจ้าจะเหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดมาใหม่ในทุกๆสภาพการ
**ดังนั้นจงอย่านำคุณลักษณะอันบกพร่องต่างๆ (ตรงนี้คุณลักษณะอันบกพร่องก็คือที่บอกว่า พระผู้เป็นเจ้าเรียก พูดกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม) แล้วมีเป็นเสียงด้วย) ดังนั้นตามหลักการยึดมั่นที่ถูกต้องนั้นก็คือ สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้วเรียก พูดกับท่านนบีมูซา(อะลัยฮิสสะลาม) จะไม่มีเสียงโดยเด็ดขาด อย่าลืมว่าทุกๆเรื่องที่ ใครบางคนมองว่ามหัศจรรย์ หรือมองคิดกันเอาเองว่า จะเป็นไปได้หรือที่เมื่อเรียก เมื่อพูดแล้วจะไม่มีเสียงดังออกมา ขอให้จงพิจรณากันมากๆนะครับว่า สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว สำหรับพระองค์แล้วเป็นเรื่องง่ายดายมากๆสำหรับทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเลย ไม่ว่าพระองค์ต้องการให้อะไรมีขึ้นมา แหละให้มีอย่างไรแหละต้องการให้สิ่งใดบังเกิดขึ้นมานั้น เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆสำหรับพระองค์ ง่ายมากเลยสำหรับพระองค์
**ถึงกระนั้นก็ยังมีคนบางกลุ่มยึดถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากเลยเมื่อพูดออกมาแล้ว จะไม่มีเสียงเกิดขึ้น ผมขอให้แง่คิดง่ายๆนะครับว่า สำหรับคนบางกลุ่มที่ยึดถือแบบที่กล่าวมานั้น อย่าว่าแต่พูดแล้วไม่มีเสียงออกมาเลย เรื่องยากๆกว่านี้พระผู้เป็นเจ้าก็ยังสรรสร้างมาแล้วมากมาย ไม่ต้องอะไรมากแค่มองแล้วพิจรณาในสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หรือไม่ต้องมองอะไรให้ไกลตัวแค่มองแล้วพิจรณาร่างกายของเราท่านทั้งหลายก็น่าจะเพียงพอแล้ว ส่วนถ้ายังคลางแคลงใจอีก จะถามว่ามีหลักฐานอะไรที่ยืนยันว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียก พูดแล้วไม่มีเสียง ผมขอนำมากล่าวแค่บางส่วนเท่านั้นนะครับ ซึ่งแค่นี้ก็คิดว่า น่าจะพอแล้วสำหรับผู้ที่ใฝ่หาความถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ
**สำหรับผู้ที่ยังคลางแคลงใจในอายะห์อัลกุรอ่านดังกล่าวมา ที่ผมบอกว่าพระผู้เป็นเจ้าเรียกท่านนบีมูซานั้นจะไม่มีเสียงโดยเด็ดขาด ผมขอแนะนำแค่บางส่วนเท่านั้น คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา ดูในตัฟซีรอัลกุรอานนุ้ลกะรีมของท่านอิหม่ามอิบนิกะซีร ท่านได้ระบุว่า
وَقَوْلُهُ تَعَالَى: {أَنْ يَا مُوسَى إِنِّي أَنَا اللَّهُ رَبُّ الْعَالَمِينَ} أَيِ: الَّذِي يُخَاطِبُكَ وَيُكَلِّمُكَ هُوَ رَبُّ الْعَالَمِينَ، الْفَعَّالُ لِمَا يَشَاءُ، لَا إِلَهَ غَيْرُهُ، وَلَا رَبَّ سِوَاهُ، تَعَالَى وَتَقَدَّسَ وَتَنَزَّهَ عَنْ مماثلة المخلوقات في ذَاتِهِ وَصِفَاتِهِ، وَأَقْوَالِهِ وَأَفْعَالِهِ سُبْحَانَهُ
***สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีเสียง คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา ในตัฟซีรของท่านญะลาลุดดีน พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง(สิ่งที่ถูกกล่าว) อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง(สิ่งที่ถูกกระทำ) ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11
**สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีเสียง คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา นักตัฟซีรอัลกุรอ่านได้อธิบายเอาไว้นะครับ ในตัฟซีร อิบนุอับบาสระบุว่า
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ} فِي الصّفة وَالْعلم وَالْقُدْرَة وَالتَّدْبِير {وَهُوَ السَّمِيع} لمقالتكم {الْبَصِير} بأعمالكم
**สำหรับผู้ที่เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วมีเสียง คือให้ไปดู แล้วนำสู่การพิจรณา ให้พิจรณาดูในท่านเซคมุฮำหมัดอาลีอัซซอบูนี ได้ระบุในตัฟซีรของท่านว่า
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ} أي ليس له تعالى مثيلٌ ولا نظير، لا في ذاته ولا في صفاته ولا في أفعاله، فهوالواحد الأحد، الفردُ الصمد والغرضُ: تنزيهُ الله تعالى عن مشابهة المخلوقين،
**การเรียกนั้นไม่จำเป็นเสมอไปที่ต้องมีเสียงออกตามมา ลองย้อนกลับดูในครั้งอดีตกาล เมื่อครั้งที่ท่านนบีสุไลมาน(อะลัยฮิสสะลาม)เรืองอำนาจอยู่นั้น ท่านเรียกใช้นกด้วยเสียงหรือด้วยอะไร ท่านเรียกใช้มวลหมู่ยินด้วยเสียงหรือด้วยอะไร ท่านเรียกใช้ฯลฯ ด้วยเสียงหรือด้วยอะไร เราท่านทั้งหลายก็สามารถเรียกหรือพูดกับใครก็ได้ โดยไม่มีเสียงออกมาเลย(ไม่บ้าก็ทำได้) ใครๆก็ทำได้ ลองเรียกใครหรือพูดกับใครในใจดูซิ แต่ที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถทำได้ก็คือ คนที่เราเรียกหรือพูดกับเขาในใจของเรานั้นเราท่านทั้งหลาย ไม่สามารถทำให้เขาได้ยินเสียงเรียกแหละไม่สามารถทำให้เขาได้ยินคำพูดของเราท่านทั้งหลายได้เท่านั้นเอง แต่สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ผมย้ำนะครับว่า ผมไม่ได้นำการพูดของพระผู้เป็นเจ้ามาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับการพูดในใจนะครับ เพียงแต่ให้ลองพิจรณากันเท่านั้นเอง
**ในบางเรื่องนั้นผมได้ยินมามากต่อมากแล้วว่า สะลัฟพูดว่าอย่างไร ถึงขนาดว่าให้เอาคำพูดของสะลัฟมายืนยัน แนะนำว่าไม่ว่าคนยุคใหนก็ตามจะสะลัฟก็ดีหรือค่อลัฟก็ดี หรือผู้คนในยุคของเราท่านทั้งหลายก็ดี ถ้าพูดตามอัลกุรอ่านแหละพูดตามอัลฮะดิษซึ่งได้ดำเนินตามความหมายที่ถูกต้องจริงๆแล้ว เชื่อถือได้ทั้งหมดเลย แล้วนำมาปฏิบัติ รับรองว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักอย่างแน่นอน
**พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ} اخْتَلَفْتُمْ {فِي شَيْء فَرُدُّوهُ إلَى اللَّه} أَيْ إلَى كِتَابه {وَالرَّسُول} مُدَّة حَيَاته وَبَعْده إلَى سُنَّته أَيْ اكْشِفُوا عَلَيْهِ مِنْهُمَا {إنْ كُنْتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاَللَّهِ وَالْيَوْم الْآخِر ذَلِكَ} أَيْ الرَّدّ إلَيْهِمَا {خَيْر} لَكُمْ مِنْ التَّنَازُع وَالْقَوْل بِالرَّأْيِ {وَأَحْسَن تَأْوِيلًا} مَآلًا
ถ้าหากพวกท่านขัดแย้งกันในสิ่งใด ให้พวกท่านจงนำกลับไปสู่พระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)(หมายถึงนำสิ่งที่ขัดแย้งกันมาตรวจสอบว่าในอัลกุรอ่านกล่าวไว้ว่าอย่างไร)และศาสนทูตเถิด(หมายถึงนำสิ่งที่ขัดแย้งกันมาตรวจสอบว่าในอัลฮะดิษกล่าวไว้ว่าอย่างไร)) หากพวกท่านศรัทธาต่อพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่ง และเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่59
**ผมจะนำแค่เล็กๆน้อยๆในความสามารถของพระผู้เป็นเจ้า อย่างเช่นอีกสองสามวันข้างหน้านี้ จะตรงกับวันที่27 เมษายน 2557 ในวันดังกล่าวดวงอาทิตย์ จะตั้งฉากกับกรุงเทพฯคือ 90องศา คือในวันดังกล่าวค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ตรงกับค่าแลตติจูดของกรุงเทพฯ(ภาษาชาวบ้านก็คือดวงอาทิตย์ ตรงศรีษะเป๊ะๆ ให้ดูปฏิทินอิสลามก่อนเข้าเวลาละหมาดดุฮ์ริของกรุงเทพฯ สักหนึ่งนาที ประมาณเวลา12.14น.(ย้ำนะครับไม่ใช่12.00น. อย่างที่ใครเข้าใจผิดคิดเอาเองว่าทุกวัน เวลา12.00น.ดวงอาทิตย์จะตรงศรีษะ) ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ลองไปยืนกลางแจ้งดูท่านจะพบว่าในเวลาดังกล่าว ถ้าพื้นที่ท่านยืนไม่โอนเอียง เป็นพื้นราบปกติ เงาของท่านทั้งหลายจะไม่มีเลย เงาของต้นไม้ เงาของตึกก็จะไม่มีเลยอีกเช่นกัน เงาฯลฯก็จะไม่มีเลยอีกเช่นกัน จะเป็นอย่างนี้ทุกๆปีเลย เพราะดวงอาทิตย์ตรงศรีษะเป๊ะๆ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามองตามหลักผิวเผินแล้ว เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งฉากตรงกับกรุงเทพฯในวันที่27 เมษายน 2557 ดังนั้นวันที่27 เมษายน 2557 กรุงเทพฯก็จะร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปี เพราะแสงลงมาตรงๆเลย นี่พูดกันตามหลักแบบเราๆท่านๆ แต่สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้วยังมีอะไรๆที่เราท่านทั้งหลายคิดไม่ถึง คือในวันที่ 27 เมษายน 2557 ถ้าพระผู้เป็นจะไม่ให้กรุงเทพฯร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปีในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ทำได้ พระองค์ก็แค่ให้ฝนมาฟ้ามืด หรือไม่ก็ให้ท้องฟ้าครึ้มทั้งวัน แค่นี้ในวันที่ 27 เมษายน 2557 กรุงเทพฯอากาศก็ไม่ร้อนที่สุดในรอบหนึ่งปีแล้ว เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ ดังนั้นจงอย่าเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วก็ต้องมีเสียง เพราะนั่นเท่ากับว่ากำลังทำให้พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับสิ่งที่ถูกบังเกิดขึ้นมาใหม่ อีกทั้งเท่ากับว่ากำลังลดค่าในความสามารถของพระองค์ การที่พระผู้เป็นเจ้าพูดแล้วก็ต้องมีเสียงนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในสติปัญญา(ขนาดท่านนบีมูซาเองยังรู้แน่ชัดเลยเมื่อเห็นรัศมีที่ต้นไม้นั้น รู้แหละมั่นใจว่าแบบนี้ใครก็ทำไม่ได้ นอกจากพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.) เท่านั้น แต่ทำไมหนอยังมีการลดค่าความสามารถของพระผู้เป็นเจ้ากันอีก โดยอ้างว่าเมื่อเรียก เมื่อพูดก็ต้องมีเสียงออกมา ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายขนาดฟ้าลั่น พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมาโดยไม่ให้มีเสียงก็ยังมีเลย) เพราะพระผู้เป็นเจ้าก็ระบุชัดๆอยู่แล้วในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
{لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْء} الْكَاف زَائِدَة لِأَنَّهُ تَعَالَى لَا مِثْل لَهُ {وَهُوَ السَّمِيع} لِمَا يُقَال {الْبَصِير} لِمَا يُفْعَل
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์(ทุกรูปแบบ พระองค์ก็ไม่เหมือนสิ่งใดทุกรูปแบบ) และพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทรงได้ยินยิ่ง(สิ่งที่ถูกกล่าว) อีกทั้งทรงมองเห็นยิ่ง(สิ่งที่ถูกกระทำ) ซูเราะห์อัซซูรอ42 อายะห์ที่11 แหละยังมีการตัฟซีรของอายะห์นี้ หลายตัฟซีรรุ้ลกุรอ่านด้วยกันเกี่ยวกับอายะห์นี้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เป็นแค่บางส่วนจากหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพูดแล้ว ไม่มีเสียง
****พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَمَاذَا بَعْد الْحَقّ إلَّا الضَّلَال} اسْتِفْهَام تَقْرِير أَيْ لَيْسَ بَعْده غَيْره فَمَنْ أَخْطَأَ الْحَقّ وَهُوَ عِبَادَة اللَّه وَقَعَ فِي الضَّلَال {فَأَنَّى} كَيْفَ {تُصْرَفُونَ} عَنْ الْإِيمَان مَعَ قِيَام الْبُرْهَان
ไม่มีอะไรภายหลังจากสัจธรรมอีกแล้ว นอกจากความหลงผิด ทำไมเล่าพวกท่านจึงถูกหันเหออกไป ซูเราะห์ยูนุส อายะห์ที่32
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ญุมาดุ้ลอุครอ ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 เวลา 13.14.23 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 383632.05 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 382914.75 กิโลเมตร
**วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557   
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.34.11วินาที  ดวงจันทร์ตก18.42.24วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 13 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.31.03วินาที ดวงจันทร์ตก18.39.11วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 8 วินาที  ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.22.54วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.00วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 6 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.23.10วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.15วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 5 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.26.26วินาที  ดวงจันทร์ตก18.34.37วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 12 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.37.36วินาที  ดวงจันทร์ตก18.45.56วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 20 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน   
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.23.45วินาที  ดวงจันทร์ตก18.31.51วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 8 นาที 6 วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.19.52วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.27.28วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 7 นาที 36 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.34.34วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.47วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 8 นาที 14 วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
(เพราะว่าการทำมุมกันนั้น ยังมีน้อยเกินไป น้อยเกินที่จะเห็นแสงจันทร์เสี้ยวได้ และดวงจันทร์ก็อยู่ต่ำมาก แหละอีกประการหนึ่ง ที่ควรคำนึงถึงก็คือ ถ้าหากว่าเริ่มเดือนใหม่ ในวันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557 วันที่จะดูจันทร์เสี้ยวในครั้งต่อไปนั้น ก็จะดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์ทันที)
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อยับ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**กิบลัตนั้นก็คือ(ขอย้ำครับว่า  สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นแนวคิด  เป็นแนวปฏิบัติของท่านอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  และเป็นแนวปฏิบัติของทุกๆคนที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  ทุกๆมัสยิดที่ยึดอยู่ในสังกัดอิหม่ามซาฟิอี  ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ เป็นแนวปฏิบัติที่ละเอียดที่สุด ตรงกับตัวบทอัลกุรอ่านแหละอัลฮะดิษมากที่สุด)  จุดๆหนึ่งหรือสถานที่แห่งหนึ่ง  ที่ผู้คนทั่วทุกมุมโลก  จำเป็นต้องผินเข้าหา  ในขณะปฏิบัติศาสนกิจในขณะละหมาด  เพราะว่าการผินเข้าหากิบลัตนั้น  ถือว่าเป็นซารัตเป็นกฏเกณฑ์  เป็นกฏระเบียบข้อหนึ่งที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ  เพื่อให้การละหมาดของเราท่านทั้งหลายมีผลใช้ได้  เป็นการละหมาดที่ไม่สูญเปล่า  แหละเป็นการละหมาด  ที่ถูกตอบรับจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  ที่เรียกว่ากิบลัตก็เพราะว่าทุกๆคนทั่วทุกมุมโลก  ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้จะต้องผินเข้าหาในขณะเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า  โดยมาในรูปแบบของการทำละหมาด  ที่เรียกว่ากะบะห์  ก็เพราะว่ารูปทรงเป็นจุดเด่น สูงขึ้นมาจากพื้นดิน เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม แต่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมจตุรัส สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ที่เรียกว่าบัยตุ้ลลอฮ์ ก็เพราะว่าทุกๆปีจะมีผู้คนแวะเวียนไปที่บัยตุ้ลลอฮ์อยู่ตลอดเวลา
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَوَلِّ وَجْهك} اسْتَقْبِلْ فِي الصَّلَاة {شَطْر} نَحْو {الْمَسْجِد الْحَرَام} أَيْ الْكَعْبَة
 ดังนั้นท่านจงผินใบหน้าของท่าน(หน้าอกของท่าน)ไปในทางมัสยิดฮะรอม(ไปในทางกะบะห์)
**ตรงคำว่า  “ท่านจงผินใบหน้าของท่าน”คำว่า "ใบหน้า  นักอธิบายอัลกุรอ่านให้ความหมายว่า  "หน้าอก"  ตรงนี้ตามหลักบะลาเฆาะร์  เรียกว่า "มะยาร  มุรซั้ล  มิมบาบิอิตลากิ้ลยุร  วะอิรอดะติ้ลกุ้ล"  คือพระผู้เป็นเจ้า พูดแค่ใบหน้า  แต่ความหมาย หรือจุดมุ่งหมายที่จะสั่งใช้  ก็คือทั้งหมดร่างกายเลย  ดังนั้น เมื่อละหมาดจำเป็นต้องผินหน้าอกไปทางกิบลัต  แค่ผินหน้าอกร่างกายทุกส่วน  ก็จะหันไปทางกิบลัตทั้งหมดเลย  โดยอัตโนมัต
คำว่า {شَطْر}  อยู่ในหน้าที่    ظرف مكان  เรียกอีกอย่างว่า مفعول فيه คือพระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดแต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะผินไปในทางใหนดี ก็เลยมีใส่ ظرف مكانมา จึงเข้าใจได้อย่างแน่ชัดเลยว่า ที่พระผู้เป็นเจ้าใช้ให้ผินหน้าอกในละหมาดนั้น พระองค์ใช้ให้ผินไปในทางกะบะห์
**ดังนั้น ถ้าจะหันเพียงใบหน้าอย่างเดียวไปทางกิบลัต  การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้  แหละตรงคำว่าไปทางมัสยิดดิลฮารอม  ตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญในการอธิบายอัลกุรอ่าน  ให้ความหมายว่า "อัยนุลกะบะห์"  คือต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เท่านั้น  การละหมาดจึงจะใช้ได้  ซึ่งตรงกับแนวคิดของท่านอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์  มิใช่ว่าผินไปตรงใหนก็ได้  ในทางทิศตะวันตก
**คำว่า مفعول فيه นั้นได้ได้มีระบุไว้ในอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่าว่า)
اَلظَّرْفُ وَقْتٌ اَوْمَكَانٌ ضُمِّنَا          فِيْ بِاطَّرَادٍكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
1.   คำว่า وَقْتٌคือاسمٌ دالٌّّ على الوقت
2.   คำว่าمَكَانٌ คือاسمٌ دالٌّ على الزمان
3.   คำว่าكَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا คือومثالُ ذلك الظرف كَهُنَاامْكُثْ اَزْمُنَا
ظرف**  ก็คือเวลาหรือสถานที่ ที่ได้รวมทั้งสองไว้ กับความหมาย فِيْ  โดยหลักเกณฑ์ทั่วๆไปเช่นاُمْكُثْ هُنَااَزْمُنًاท่านจงพักที่นี่ได้ตลอด ตรงตัวอย่างอันนี้ ในคำว่าهُنَا ถือว่าเป็น  ظرفمكانส่วนคำว่าاَزْمُنًا ถือว่าเป็นظرف زمان  ซึ่งทั้งสองนี้ได้รวมความหมาย فِيْไว้ ความหมายก็คือاُمْكُثْ فِي هذَااْلمَوْضِعِ فِيْ اَزْمُنٍ   
**เราท่านทั้งหลายสามารถหาความเข้าใจได้ในหนังสือซะเราะห์อิบนุอะเก้ลเพราะเป็นหนังสือที่อธิบายบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนนะฮูอันทรงคุณค่า) โดยเฉพาะในคำว่าبِاطَّرَادٍ ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย
**ส่วนที่บอกว่าต้องผินไปในทางกะบะห์เลยนั้น มีฮาดิสที่ยืนยันว่า  ให้ผินไปหาจุดตั้งวิหารกะบะห์เท่านั้น  ต้องผินให้ตรงวิหารกะบะห์  ตามความสามารถที่สูงสุดขณะนั้น  ไม่ใช่ว่า  ผินไปในทางที่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่ มีฮะดิษที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ رَجَاءٍ، قَالَ: حَدَّثَنَا إِسْرَائِيلُ، عَنْ أَبِي إِسْحَاقَ، عَنِ البَرَاءِ بْنِ عَازِبٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، قَالَ: " كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، سِتَّةَ عَشَرَ أَوْ سَبْعَةَ عَشَرَ شَهْرًا، وَكَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُحِبُّ أَنْ يُوَجَّهَ إِلَى الكَعْبَةِ، فَأَنْزَلَ اللَّهُ: {قَدْ نَرَى تَقَلُّبَ وَجْهِكَ فِي السَّمَاءِ} [البقرة: 144] ، فَتَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ "، وَقَالَ السُّفَهَاءُ مِنَ النَّاسِ، وَهُمُ اليَهُودُ: {مَا وَلَّاهُمْ} [البقرة: 142] عَنْ قِبْلَتِهِمُ الَّتِي كَانُوا عَلَيْهَا، قُلْ لِلَّهِ المَشْرِقُ [ص:89] وَالمَغْرِبُ يَهْدِي مَنْ يَشَاءُ إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ فَصَلَّى مَعَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَجُلٌ، ثُمَّ خَرَجَ بَعْدَ مَا صَلَّى، فَمَرَّ عَلَى قَوْمٍ مِنَ الأَنْصَارِ فِي صَلاَةِ العَصْرِ نَحْوَ بَيْتِ المَقْدِسِ، فَقَالَ: هُوَ يَشْهَدُ: أَنَّهُ صَلَّى مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَأَنَّهُ تَوَجَّهَ نَحْوَ الكَعْبَةِ، فَتَحَرَّفَ القَوْمُ، حَتَّى تَوَجَّهُوا نَحْوَ الكَعْبَةِ
ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี จากท่านบัรรออ์ลูกของท่านอาริบ กล่าวว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เคยละหมาดโดยผินหน้าไปทางบัยตุ้ลมักดิสประมาณ 16 หรือ 17 เดือนแต่ท่านเองชอบที่จะผินไปทางบัยตุ้ลลอห์ พระผู้เป็นเจ้าจึงประทานอัลกุรอ่านลงมาว่า แน่นอนเรามองเห็นท่าน แหงนหน้าขึ้นไปทางฟากฟ้า(เพื่อรอรับวะฮีให้เปลี่ยนกิบลัตมาอย่างเดิม) อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่144 แล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็ผินหน้าไปทางกะบะห์(เวลาละหมาด) พวกคนเขลา ก็คือพวกยะฮูดีกล่าวว่า มีอะไรที่ทำให้พวกเขาผินออกไป จากทิศทางที่พวกเขาเคยผินไปหรือ อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 อัลกุรอ่านลงมาอีกว่า ท่านจงตอบแก่พวกนั้นว่า ทั้งทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้น เป็นสิทธิของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ทั้งสิ้น พระองค์ทรงชี้นำบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์สู่แนวทางอันเที่ยงตรง อัลบะกอเราะห์ 2 อายะห์ที่142 มีชายคนหนึ่งได้ละหมาดพร้อมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ต่อมาเขาก็ออกมาข้างนอกหลังจากละหมาด เขาเดินผ่านกลุ่มชาวอันซอร กำลังละหมาดอัสริ ผินหน้าไปทางบัยติ้ลมักดิส ต่อมาเขาได้กล่าวว่าเขายืนยันว่าแท้จริงเขาได้ละหมาดร่วมกับท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยผินไปทางกะบะห์ กลุ่มชนนั้นก็เห็นตามด้วย จนกระทั่งพวกเขาทั้งหมดผินหน้าไปทางกะบะห์ ฮะดิษนี้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี
**นักวิชาการระดับมัซฮับ จึงมีความคิดที่แตกต่างกัน เกี่ยวกับการผินหน้าอกไปทางกิบลัตในขณะละหมาด
ดังนั้นมัซฮับซาฟิอี ซึ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย ยึดตามมัซฮับนี้ ถือว่าจะต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เลย (เรียกว่าอัยนุ้ลกะบะห์ ไม่ใช่ยิฮะตุ้ลกะบะห์)เท่าที่มีความสามารถที่สุด พูดง่ายๆก็คือถ้ารู้แน่ชัดว่ายังหันไม่ตรงกะบะห์ ที่ผ่านมาการละหมาดถือว่าใช้ได้เพราะทำสุดความสามารถแล้ว แต่หลังจากนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกต้อง การละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้อีกแล้ว หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ สามารถหาดูได้ที่หนังสืออั้ลอุม(ของท่านอิหม่ามซาฟิอีเล่มที่1)
(قَالَ الشَّافِعِيُّ) : وَمَنْ كَانَ فِي مَوْضِعٍ مِنْ مَكَّةَ لَا يَرَى مِنْهُ الْبَيْتَ، أَوْ خَارِجًا عَنْ مَكَّةَ فَلَا يَحِلُّ لَهُ أَنْ يَدَعَ كُلَّمَا أَرَادَ الْمَكْتُوبَةَ أَنْ يَجْتَهِدَ فِي طَلَبِ صَوَابِ الْكَعْبَةِ بِالدَّلَائِلِ مِنْ النُّجُومِ وَالشَّمْسِ وَالْقَمَرِ وَالْجِبَالِ وَمَهَبِّ الرِّيحِ وَكُلِّ مَا فِيهِ عِنْدَهُ دَلَالَةٌ عَلَى الْقِبْلَةِ
และหนังสือฟิกห์4มัซฮับเล่มที่1หน้า178 หนังสืออาจจะพิมพ์ต่างวาระกัน หน้าอาจจะไม่ตรงกับนี้ ก็ให้ดูในบทที่ว่าด้วยเรื่องกิบลัต)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَلَئِنْ} لَام الْقَسَم {أَتَيْت الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَاب بِكُلِّ آيَة} عَلَى صِدْقك فِي أَمْر الْقِبْلَة {مَا تَبِعُوا} أَيْ لَا يَتْبَعُونَ {قِبْلَتك} عِنَادًا {وَمَا أَنْت بِتَابِعٍ قِبْلَتهمْ} قَطْع لِطَمَعِهِ فِي إسْلَامهمْ وَطَمَعهمْ فِي عَوْده إلَيْهَا {وَمَا بَعْضهمْ بِتَابِعٍ قِبْلَة بَعْض} أَيْ الْيَهُود قِبْلَة النَّصَارَى وَبِالْعَكْسِ {وَلَئِنْ اتَّبَعْت أَهْوَاءَهُمْ} الَّتِي يَدْعُونَك إلَيْهَا {مِنْ بَعْد مَا جَاءَك مِنْ الْعِلْم} الْوَحْي {إنَّك إذًا} إنْ اتَّبَعْتهمْ فَرْضًا {لمن الظالمين}
และแน่นอน ถ้าหากท่านได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของท่าน และท่านก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเอง ก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากท่านไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังท่านแล้ว แน่นอนทันใดนั้น ท่านก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่145
**วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮัอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
**ถ้าหากว่าบางคนยังไม่ค่อยจะแน่ใจว่าดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์ ในวันที่พุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 จริงหรือเปล่า ก็สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ง่ายๆก็คือถ้าไม่ได้ไปอยู่ที่มัสยิดฮะรอมณวันนั้น ถ้าติดจานดำ ลองเปิดดูช่องที่ถ่ายมัสยิดฮะรอมดู ในเวลา 16.18 น. ของพุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 (ตามเวลาของบ้านเรา)ก็จะได้ยินเสียงอะซานที่มัสยิดฮะรอม และลองมองไปที่กะบะห์ดู ก็จะไม่เห็นเงาของกะบะห์เลย หรือจะสังเกตเงาของคนที่อยู่ในลานตอวาฟก็ได้ เงาจะอยู่บริเวณลำตัวของเขาเลย เงาจะไม่เอนไปด้านใหนๆเลย ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมานี้ ก็เพราะว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงกะบะห์ อยู่ตรงศรีษะของเขานั่นเอง
**วันที่สามารถดูเงาของดวงอาทิตย์เพื่อกำหนดทิศกิบลัตได้อีก(อย่าดูดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าโดยเด็ดขาด)
1.   วันพุธที่ 28 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
2.   วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
3.   วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น.
4.   วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
5.   วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2557 ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.19 น.
**ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ปัจจุบันสามารถหาทิศกิบลัตทางภาพถ่ายดาวเทียมได้ ถ้าไม่ตรงก็เปลี่ยนซอฟ(แถว)ให้ตรง เท่านั้นเอง แต่ในการปฏิบัติจริงๆ ที่เปลี่ยนยากที่สุดคือจิตใจคน ทั้งๆที่นำหลักฐานทุกอย่างชี้แจงชัดๆแล้ว ก็ยังเฉไฉออกจากทางที่ถูกต้องอีก เพราะอีหม่านยังไม่แข็งพอ ถ้าเราท่านทั้งหลายย้อนกลับไปมองบุคคลในสมัยร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)(ดังในฮะดิษที่ได้กล่าวมา) เปลี่ยนง่ายเพราะได้รับทางนำ (ถ้าจะดูให้ดีๆแล้วในสมัยของท่านอิหม่ามซาฟิอี ท่านมีความพยายามอย่างมากที่จะหากิบลัตให้ได้ แม้จะยากลำบากสักเพียงใด จะดูดวงดาวก็เอา ดูดวงอาทิตย์ก็เอาฯลฯ อย่างที่ผมได้กล่าวมาในหนังสืออัลอุมของท่าน เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้รับคำสั่งใช้จากพระผู้เป็นเจ้าให้ผินไปทางกะบะห์เลย ดังฮะดิษที่มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิมว่า
حَدَّثَنَا شَيْبَانُ بْنُ فَرُّوخَ، حَدَّثَنَا عَبْدُ الْعَزِيزِ بْنُ مُسْلِمٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ اللهِ بْنُ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، ح وحَدَّثَنَا قُتَيْبَةُ بْنُ سَعِيدٍ - وَاللَّفْظُ لَهُ - عَنْ مَالِكِ بْنِ أَنَسٍ، عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ دِينَارٍ، عَنِ ابْنِ عُمَرَ، قَالَ: بَيْنَمَا النَّاسُ فِي صَلَاةِ الصُّبْحِ بِقُبَاءٍ إِذْ جَاءَهُمْ آتٍ فَقَالَ: «إِنَّ رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَدِ اُنْزِلَ عَلَيْهِ اللَّيْلَةَ، وَقَدْ أُمِرَ أَنْ يَسْتَقْبِلَ الْكَعْبَةَ فَاسْتَقْبِلُوهَا، وَكَانَتْ وُجُوهُهُمْ إِلَى الشَّامِ، فَاسْتَدَارُوا إِلَى الْكَعْبَةِ
เล่าจากท่านอิบนุอุมัรว่า ขณะที่ประชาชนได้ละหมาดซุบฮิที่มัสยิดกุบาอ์ มีคนหนึ่งเดินทางมาถึงพวกเขาและพูดว่า แท้จริงเมื่อคืนนี้ อัลกุรอ่านได้ถูกประทานให้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) โดยกำหนดให้ผู้ละหมาดผินหน้าไปทางกะบะห์ ดังนั้นพวกเขาจึงผินไปทางกะบะห์โดยที่หน้าของพวกเขากำลังผินไปทางเมืองซามเปลี่ยนหันไปทางกะบะห์ ระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิม 
**แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน  เป็นอะตอมของฮีเลี่ยม  แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก   จนไม่สามารถมอง  ด้วยตาเปล่าได้  ดังนั้นในเมื่อ  วันและเวลาดังกล่าว(พุธที่ 28 พฤษภาคม 2557) ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือ  บัยตุ้ลลอฮ์  กะบะห์พอดี(90องศา)  ตรงกับเวลาในประเทศไทย  16.18 น. (ตรงกับเวลากรีนิช  เวลามาตรฐานโลก  9.18 น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮับ  อิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์)  ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรง  และถูกต้องได้โดยง่ายดาย  (ถ้าท้องฟ้าเปิด  ฝนไม่มาฟ้าไม่มืด)
**วิธีการก็คือ  ถ้ามัสยิดใด  หรือบ้านของใครมีหน้าต่างทางทิศตะวันตก  ให้เปิดหน้าต่างออก  และหน้าต่าง  ด้านแนวตั้งของวงกบ ด้านใดก็ได้  ต้องสร้างได้ฉาก(ขอย้ำต้องได้ฉาก  ที่สำคัญกว่านั้นคือ  ห้ามมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด  ถ้าจะมองแดดนานๆ ควรใส่แว่นกันแดดด้วย ย้ำนะครับคือถ้าจะมองดวงอาทิตย์ตรงๆต้องใช้แว่นที่มีฟิลเตอร์กันแสงเท่านั้น มีอยู่2แบบ แบบที่1มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงนวลขาวแบบดวงจันทร์เลย  แบบที่2มองแล้วเห็นดวงอาทิตย์มีแสงสีส้ม)  ดังนั้นเงาที่ทอดลงมาให้เห็น  นั่นแหละครับคือแนวกิบลัตที่ถูกต้อง  ให้ขีดเส้นเอาไว้  สังเกตให้ดีเส้นนี้จะชี้ไปทางทิศตะวันตก
**กรณีถ้าอยู่ในบ้านเวลาละหมาดก็ให้นำผ้าซายะดะห์  ด้านข้างมาวาง  ให้ตรงกับเส้นนี้  แต่ถ้าเป็นกรณีของมัสยิด  เมื่อขีดเส้น  ที่ชี้ไปทางทิศตะวันตก  อย่างที่ว่ามาได้แล้ว  ให้นำไม้บรรทัดแบบฉาก  หรือไม้ทีก็ได้  มาวางทาบเส้นให้พอดี  แล้วขีดเส้นด้านล่างเพิ่มเข้าไป  สังเกตตอนนี้จะมีอยู่ 2เส้น 
เส้นที่ 1 คือเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์
เส้นที่ 2 คือ เส้นแนวนอนที่ตั้งฉาก  กับเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์   
**ดังนั้น เส้นที่ 2  นี้แหละคือเส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)ในมัสยิด     สำหรับมัสยิด  ที่ไม่มีหน้าต่าง  ทางด้านทิศตะวันตกเลย  การวัดเงาก็ต้องหาไม้หรือเสาก็ได้  หรืออะไรก็ได้ ตั้งขึ้นให้ได้ฉาก  ตรงบริเวณด้านข้างมัสยิด  แล้วรอเวลา 16.18 น.หรือเวลา16.19 ตามวันและเวลาดังกล่าว เพื่อขีดเส้นวัดเงา  ทำตามขั้นตอน  แล้วลากเส้นแนวนอนอย่างที่บอกมา  เข้ามาในมัสยิด  ก็จะได้เส้นแนวซอฟ (แถวละหมาด) เช่นกัน
**วิธีการวัดทิศกิบลัตดังกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด  และทำได้อย่างสดวกสบายมาก  สำหรับผู้ที่ต้องการความถูกต้อง  ในการผินสู่ทิศกิบลัต  แต่สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลาม  ผู้เชี่ยวชาญ มีอีกหลายวิธี  ที่สามารถ  หาทิศกิบลัตได้  และหาได้ทุกๆวันเลย
**ส่วนในเรื่องของการคำนวนนั้น  มีขั้นมีตอน  ที่สลับซับซ้อนมาก  ขั้นแรกต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ก่อน  จากนั้นต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของบัยตุ้ลอฮ์  และต้องรู้ค่าแลตติจูด  ลองจิจูดของสถานที่  ที่จะหาทิศกิบลัต  จากนั้นก็จะมีค่า  SIN  COS  TAN  เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ดำเนินตามขั้นตอนของสูตร  ต่างๆนาๆอีกมากมาย ฯลฯ 
**สำหรับประเทศไทย  การผินไปทางวิหารกะบะห์  ตรงนี้มีอยู่  4  ระดับด้วยกัน 
ระดับสูงสุดคือ 1 รู้ได้ด้วยตัวเอง
ระดับที่ 2  ผินตามคำบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้
 ระดับที่ 3  ผินโดยการวิเคราะห์
  ระดับที่ 4  ผินตามการวิเคราะห์ของผู้อื่น 
**ดังนั้นถ้าผู้รู้ในวิชาดาราศาสตร์อิสลาม  รู้ว่ามัสยิดนี้ๆ  ยังหันไม่ตรงกิบลัต  และได้มีการบอกผู้มีอำนาจหน้าที่  ในมัสยิดแห่งนั้น  แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น  ยังไม่จัดการเปลี่ยนแปลง  และแก้ไข  ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว  ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในผลบาปตรงนี้  ก็คือผู้ที่มีอำนาจในมัสยิดแห่งนั้น  เรียกว่ารับแบบเต็มๆ  เพราะรู้แล้วไม่ทำตามที่รู้  ที่สำคัญ  ยังพาคนอื่นทำแบบผิดๆไปด้วย  ถ้าเราเข้าใจหลัก  ในการหลอกลวงของซัยตอน  มารร้าย  เราท่านทั้งหลายจะรู้เท่าทันมันได้ทันที  ซัยตอนมารร้ายมันจะไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้เปลี่ยน  ให้ตรงกับกะบะห์  อย่าไปทำๆ  มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน  มันจะบอกว่า  อย่าเปลี่ยนเลยจะทำให้เกิดการแตกแยกได้  ผู้ใหญ่ทำมาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้แล้ว  ต้องตรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือเกินไปหรือเปล่า  ผู้รู้รุ่นก่อนไม่เห็นเขาจะติเลย  ฯลฯ
**เฉกเช่นเดียวกันพอได้เวลาละหมาด  มันก็จะบอกว่า  เดี๋ยวค่อยละหมาดก็ได้  เหลือเวลาอีกเยอะ  เดี๋ยวๆๆๆ  เดี๋ยวจนไม่ได้ละหมาดจนได้  หรือถ้ามันหลอกคนไม่ให้ละหมาดไม่สำเร็จ  มันก็จะหาวิธีหลอกลวงต่างๆนานาๆ  เพื่อให้ภาคผลบุลของคนๆนั้น  ลดน้อยลงมันไม่บอกตรงๆหรอกว่า  พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้ละหมาด  อย่าไปทำ  ซึ่งวิธีการหลอกลวงของซัยตอนมารร้ายนี้  มันได้เคยมาบอกแก่รอซูลุ้ลลอห์ (ซ.ล.)  ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้า  เพื่อให้ประชาชาติของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)   รู้เท่าทันกลลวงของมัน  นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง  ของพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَكَذَلِكَ} كَمَا هَدَيْنَاكُمْ إلَيْهِ {جَعَلْنَاكُمْ} يَا أُمَّة مُحَمَّد {أُمَّةً وَسَطًا} خِيَارًا عُدُولًا {لِتَكُونُوا شُهَدَاء عَلَى النَّاس} يَوْم الْقِيَامَة أَنَّ رُسُلهمْ بَلَّغَتْهُمْ {وَيَكُون الرَّسُول عَلَيْكُمْ شَهِيدًا} أَنَّهُ بَلَّغَكُمْ {وَمَا جَعَلْنَا} صَيَّرْنَا {الْقِبْلَة} لَك الْآن الْجِهَة {الَّتِي كُنْت عَلَيْهَا} أَوَّلًا وَهِيَ الْكَعْبَة وَكَانَ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُصَلِّي إلَيْهَا فَلَمَّا هَاجَرَ أُمِرَ بِاسْتِقْبَالِ بَيْت الْمَقْدِس تَأَلُّفًا لِلْيَهُودِ فَصَلَّى إلَيْهِ سِتَّة أَوْ سَبْعَة عَشْر شَهْرًا ثُمَّ حُوِّلَ {إلَّا لِنَعْلَم} عِلْم ظُهُور {مَنْ يَتَّبِع الرَّسُول} فَيُصَدِّقهُ {مِمَّنْ يَنْقَلِب عَلَى عَقِبَيْهِ} أَيْ يَرْجِع إلَى الْكُفْر شَكًّا فِي الدِّين وَظَنًّا أَنَّ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي حِيرَة مِنْ أَمْره وَقَدْ ارْتَدَّ لِذَلِك جَمَاعَة {وَإِنْ} مُخَفَّفَة مِنْ الثَّقِيلَة وَاسْمهَا مَحْذُوف أَيْ وَإِنَّهَا {كَانَتْ} أَيْ التَّوْلِيَة إلَيْهَا {لَكَبِيرَة} شَاقَّة عَلَى النَّاس {إلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّه} مِنْهُمْ {وَمَا كَانَ اللَّه لِيُضِيعَ إيمَانكُمْ} أَيْ صَلَاتكُمْ إلَى بَيْت الْمَقْدِس بَلْ يُثِيبكُمْ عَلَيْهِ لِأَنَّ سَبَب نُزُولهَا السُّؤَال عَمَّنْ مَاتَ قَبْل التحويل {إن الله بالناس} المؤمنين {لرؤوف رَحِيم} فِي عَدَم إضَاعَة أَعْمَالهمْ وَالرَّأْفَة شِدَّة الرَّحْمَة وَقَدَّمَ الْأَبْلَغ لِلْفَاصِلَةِ
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกท่านเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกท่านจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกท่าน และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่ท่านเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันส้นเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่(อ้างโน่นอ้างนี่ ไม่ยอมเปลี่ยน) นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ ซูเราะห์อัลบากอเราะห์2 อายะห์ที่143 (คำว่าหันส้นเท้ากลับลองดูในแผนที่โลก หรือดูที่ลูกโลกถ้าใครมี ก็จะพบเลยว่ามาดินะห์อยู่กลาง มักกะห์อยู่ใต้ บัยตุ้ลมักดิสเยรูซาเล็มอยู่เหนือ)
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) กล่าวว่า มี2ถ้อยคำที่เบาลิ้นแต่หนักตาชั่ง เป็นที่รักของพระผู้ทรงเมตตา นั่นคือคำว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์วะบิฮัมดิฮี ซุบฮานั้ลลอฮิ้ลอะซีม รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
**(โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version