เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์

<< < (18/20) > >>

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
**ขอตามพระผู้เป็นเจ้าแหละร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)
**ความจริงที่ปรากฏก็คือขณะที่ประเทศหนึ่งดวงอาทิตย์ตก  อีกประเทศหนึ่งรุ่งอรุณ  เวลาทุกเวลาที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของประเทศที่อยู่แตกต่างกันไป  สิ่งต่างๆทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น บ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า  ด้วยความแตกต่างทางเวลานี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆ จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งในเรื่องการละหมาด5เวลา(เป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศมุสลิมต่างๆจะละหมาดดุฮ์ริพร้อมกัน  ละหมาดอัสริพร้อมกัน  ฯลฯ)ดังนั้นการที่จะกล่าวอ้างว่า เพื่อความเป็นเอกภาพของอุมมะห์มุสลิมมุสลิมะห์ที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ควรจะทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่ง เวลาเดียวกันและวันเดียวกัน  การกล่าวอ้างแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องตามหลักการของศาสนา  เรียกว่าคิดเอาเอง จินตนาการเอาเองเท่านั้น เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วเราท่านทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ขณะที่มุสลิมที่อยู่ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียละหมาดซุบฮิ  มุสลิมที่อยู่ในอเมริกาเหนืออาจยังทำละหมาดอิซาของวันก่อนไม่เสร็จเลยฯลฯ ดังนั้นถ้าพระผู้เป็นเจ้ามีความต้องการให้มุสลิมทั่วทุกมุมโลกทำอิบาดะห์ในเวลาหนึ่งเวลาเดียวกันและวันเดียวกัน เพื่อต้องการให้เกิดความเป็นเอกภาพอย่างที่ใครบางคนกล่าวอ้างแล้ว เอกภาพดังกล่าวจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงได้เลย เพราะความแตกต่างทางด้านเวลาที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่ทุกๆวันนี้
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
 {أو لم يَتَفَكَّرُوا فِي أَنْفُسهمْ} لِيَرْجِعُوا عَنْ غَفْلَتهمْ {مَا خَلَقَ اللَّه السَّمَاوَات وَالْأَرْض وَمَا بَيْنهمَا إلَّا بِالْحَقِّ وَأَجَل مُسَمًّى} لِذَلِكَ تَفْنَى عِنْد انْتِهَائِهِ وَبَعْده الْبَعْث {وَإِنَّ كَثِيرًا مِنْ النَّاس} أَيْ كُفَّار مَكَّة {بِلِقَاءِ رَبّهمْ لَكَافِرُونَ} أَيْ لَا يؤمنون بالبعث بعد الموت
พวกเขามิได้ใคร่ครวญในตัวของพวกเขาดอกหรือว่า(คือใคร่ครวญด้วยกับสติปัญญา)  อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง เพื่อสิ่งอื่นใดเลย เว้นแต่เพื่อความจริงและเวลาที่ถูกกำหนดไว้(พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้สร้างสิ่งต่างๆเหล่านี้มาโดยไร้ประโยชน์  พระองค์สร้างโดยฮิกมะห์เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจริง  เวลาที่สิ้นสุดของสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือวันกิยามะห์) และแท้จริงส่วนมากของมนุษย์เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการพบพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา(ไม่เชื่อมั่นในการฟื้นคืนชีพและการตอบแทน)  ซูเราะห์ อัรรูม อายะห์ที่8
**ผมเองยังเคยได้ยินคนๆหนึ่งกล่าวอีกว่า  การดูจันทร์เสี้ยวไม่เหมือนกับการละหมาด5เวลา  เพราะการละหมาด5เวลาใช้ดวงอาทิตย์เป็นตัวกำหนด  แต่ละประเทศจึงมีเวลาการละหมาด5เวลาไม่เหมือนกัน  ไม่ตรงกัน  ตามกันไม่ได้  แต่ดวงจันทร์นั้นมีอยู่เพียงดวงเดียว  การดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์อย่างสิ้นเชิง  เขาได้พูดต่ออีกว่าดังนั้นไม่ว่าที่ใดในโลกเห็นจันทร์เสี้ยว  ที่อื่นประเทศอื่นก็ต้องเข้าเดือนหรือต้องออกเดือนเหมือนกันด้วย  ดังนั้นจะอย่างไรก็ตามคำพูดลักษณะนี้ถือว่ายังไม่ถูกต้อง  ยังไม่ตรงกับความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา
**การที่บอกว่าดวงจันทร์นั้นมีอยู่เพียงดวงเดียว การดูจันทร์เสี้ยวจึงไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ผมได้ยินผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า  แล้วดวงอาทิตย์มีอยู่หลายดวงหรือ  แต่ละจังหวัดแต่ละประเทศจึงมีเวลาละหมาด5เวลาแตกต่างกันไป   
**ขอให้เราท่านทั้งหลายทำความเข้าใจดังต่อไปนี้ ความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมานั้น จริงๆแล้วดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์(ของโลกที่เราท่านทั้งหลายเห็นกันอยู่นี้)นั้นมีอยู่แค่อย่างละดวงเท่านั้น  แต่สาเหตุที่มีเวลาการละหมาด5เวลาแตกต่างกันไป  มีการเข้าบวชออกบวชแตกต่างกัน  มีวันอีดที่แตกต่างกัน มีวันที่1ของเดือนอิสลามแตกต่างกันนั้น ก็เพราะว่าตำแหน่งพื้นที่ตั้งของแต่ละจังหวัดแต่ละประเทศอยู่แตกต่างกันนั่นเอง(ภาษาอะหรับเรียกว่ามัตละอ์)  แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจังหวัดใหน  ประเทศใหนมีตำแหน่งพื้นที่ตั้งอยู่ที่เท่าไหร่  ทางสากลจึงกำหนดให้ตำบลกรีนิชเป็นจุดเซ็นเตอร์  เรียกว่าเส้นเมอริเดี่ยนกรีนิช  เส้นเมอริเดี่ยนมาตรฐานโลก มีค่าอยู่ที่0องศา
**ดังนั้นแสดงว่าคนที่พูดอ้างว่าการดูจันทร์เสี้ยวไม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์  ถือว่ายังไม่เข้าใจหลักดาราศาสตร์อิสลามแหละหลักการของอัลอิสลามเท่าที่ควร  เพราะหลักการของอัลอิสลามนั้น จะเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้ก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตกลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น(เข้าเวลามัฆริบจึงเริ่มดูจันทร์เสี้ยวได้  แล้วจะเลิกดูจันทร์เสี้ยวได้เมื่อใด  ก็เมื่อดวงจันทร์ตกลับขอบฟ้า ดังนั้นการดูจันทร์เสี้ยวจึงต้องเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน  ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้โดยเด็ดขาด  เช่นเดียวกันถ้าเราจะละหมาด  อยู่ๆก็ละหมาดเลยคือเอาแต่ละหมาดอย่างเดียว  ไม่ได้สวมเสื้อผ้าปิดเอารัต  ไม่ได้ผินไปทางกะบะห์  ไม่ได้สนใจว่าเข้าเวลาละหมาดแล้วหรือยัง  หรือไม่ได้ใส่ใจเลยในเรื่องของนะยิส  อย่างนี้การละหมาดก็ใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน  เรียกว่าใช้ไม่ได้ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มละหมาดเสียอีก
**มีตัวบทฮะดิษระบุอย่างชัดเจนเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้  ฮะดิษที่จะกล่าวต่อไปนี้  ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ท่านไม่ได้บอกว่าถ้าประเทศเราไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้รอฟังข่าวจากประเทศอื่น และถ้ามีประเทศใดเห็นดวงจันทร์เสี้ยวให้ถือตามประเทศนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ได้บอกแบบนี้ นอกจากนั้นยังมีฮะดิษยืนยันว่า เมื่ออยู่ในเมืองที่ห่างไกลจากกัน เช่น เมืองซามกับเมืองมะดีนะห์ ให้ถือเอาการเห็นดวงจันทร์เสี้ยวในเมืองนั้นสิ่งกำหนด วันเริ่มต้นถือศีลอด (เริ่มวันที่หนึ่งของเดือนรอมฎอน) และเลิกถือศีลอด (เริ่มวันที่ 1 ของเดือนเซาวั้ล) ดังฮะดิษที่รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี ดังนี้     
عَنْ كُرَيْبٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَنََّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ قَالَ : فَقَدِمْتُ الشَّامِ فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ ، فَرَأَيْتُ الْهِلاَلَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِيْنَةَ فِيْ آخِرِ الشَّهْرِ فَسَأَلَنِيْ ابْنُ عَبَّاسٍ : مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلاَلِ ؟ فَقُلْتُ : رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ ، قَالَ : أَنْتَ رَأَيْتَهُ ؟ قُلْتُ : نَعَمْ وَرَآهُ النَّاسِ وَصَامُوْا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ فَقَالَ : لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ ، فَلاَ نَزَالُ نَصُوْمُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلاَثِيْنَ أَوْ نَرَاهُ فَقُلْتُ : أَوَ لاَ تَكْتَفِيْ بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ ، فَقَالَ : لاَ ، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . رواه الخمسة إلا البخارى.     
ความว่า จากกุร๊อยบฺ ร.ฎ. เล่าว่า เนื่องจากอุมมัลฟัดลิ บินติ ฮาริส ได้ส่งกุรอ๊ยบฺไปหามุอาวียะห์ ณ เมืองซามแล้ว เมื่อฉันมาถึงเมืองชามและได้จัดทำธุระของนางเสร็จเรียบร้อย ได้ปรากฎเดือนรอมฎอนขึ้นแก่ฉัน โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์เสี้ยวในตอนค่ำวันศุกร์ หลังจากนั้นฉันก็กลับมาที่มะดีนะห์ในตอนปลายเดือน แล้วอิบนิอับบัสก็ถามฉันว่า พวกท่านเห็นดวงจันทร์เสี้ยวเมื่อใด ฉันก็ตอบว่า พวกเราเห็นในค่ำวันศุกร์ อิบนิอับบัสถามย้ำว่า ท่านเห็นมันเองหรือ ฉันตอบว่าถูกแล้ว และบรรดาประชาชนก็เห็นด้วย โดยพวกเขาได้ถือศีลอด และมุอาวียะห์ก็ได้ถือศีลอด อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์เสี้ยวในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ ซ.ล. ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี
**ตรงนี้ต้องช้าๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ที่เมืองซามต้นเดือนรอมฎอนตามตัวบทฮะดิษเห็นจันทร์เสี้ยวค่ำวันศุกร์ ก็แสดงว่าเริ่มถือศิลอดวันศุกร์เป็นวันแรก(เพราะตามหลักของอิสลามแล้ว กลางคืนมาก่อนกลางวัน) แต่ทางเมืองมะดีนะห์เห็นจันทร์เสี้ยวค่ำวันเสาร์ ก็แสดงว่าเริ่มถือศิลอดวันเสาร์เป็นวันแรก (ข้อคิดก็คือ ถ้าสมัยนั้นมีดาวเทียว มีโทรศัพท์ มีอินเตอร์เน็ทที่ทันสมัยแบบสมัยนี้ เชื่อเหลือเกินว่า ข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยวของท่านกุร๊อยบ และชาวเมืองซาม จะต้องไปถึงท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ ในค่ำวันศุกร์วันนั้นอย่างแน่นอน ไม่ต้องรอให้ท่านกุร๊อยบกลับมาเมืองมะดีนะห์ ในตอนช่วงปลายเดือนรอมฎอน ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า สมมุติว่าสมัยโน้นข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยว ฉับไวเหมือนสมัยนี้ เมื่อท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์รู้ว่าท่านกุร๊อยบ และชาวเมืองซามเห็นจันทร์เสี้ยวในค่ำวันศุกร์ และก็เริ่มถือศิลอดในวันศุกร์ คำถามก็คือท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ จะเริ่มถือศิลอดในวันศุกร์เหมือนมุอาวียะห์และชาวเมืองซามหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็คือ แน่นอนท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ จะไม่เริ่มถือศิลอดในวันศุกร์อย่างแน่นอน เพราะท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ไม่เห็นจันทร์เสี้ยวในค่ำวันศุกร์นั้น
**ท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์เอา พิจรณาการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงที่เมืองมะดีนะห์ โดยที่ไม่เอา ไม่พิจรณาข่าวการเห็นจันทร์เสี้ยวจากเมืองซามแต่ประการใด คำถามต่อมาก็คือ ท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ทำตามอารมณ์ความชอบของตัวเองหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็คือไม่ไช่อย่างแน่นอน ที่ท่านอิบนิอับบัสและชาวเมืองมะดีนะห์ทำไปทั้งหมดนั้น ก็เพราะทำตามคำสั่งใช้ของร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ทั้งสิ้น แล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เอามาจากใหน ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ก็เอามาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น เพราะว่าตามตัวบทฮะดิษก็ระบุชัดๆอยู่แล้วว่า “แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์เสี้ยวในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว”ฉัน (กุร๊อยบ) จึงพูดว่า ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการเห็นของมุอาวียะห์ และการถือศีลอดของเขา อิบนิอับบัสตอบว่า ไม่ แบบนี้แหละที่ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้มีคำสั่งแก่พวกเรา (ให้ถือปฏิบัติ) รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด ติรมีซี และนะซาอี       
 **เนื้อความฮะดิษตรงคำว่า “โดยในขณะที่ฉันอยู่ที่เมืองซามนั้น ฉันเห็นดวงจันทร์เสี้ยวในตอนค่ำวันศุกร์”ในฮะดิษบทดังกล่าว แสดงว่าชาวเมืองซามนั้น บวชวันศุกร์เป็นวันแรก ดังนั้นนับไปอีก29วันจะดูต้องจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวัน1เซาวาลหรือวันอีดิ้ลฟิตรี่ ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองซามก็จะอีดวันเสาร์ ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองซามก็จะอีดวันอาทิตย์
**แต่เนื้อความฮะดิษตรงคำว่า “อิบนิอับบัสจึงกล่าวว่า แต่พวกเรา (ในเมืองมะดีนะห์) เห็นดวงจันทร์เสี้ยวในค่ำวันเสาร์ ดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน หรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว” แสดงว่าชาวเมืองมะดีนะห์นั้น บวชวันเสาร์เป็นวันแรก ดังนั้นนับไปอีก29วันจะดูต้องจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวัน1เซาวาลหรือวันอีดิ้ลฟิตรี่ ถ้าเห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองมะดีนะห์ก็จะอีดวันอาทิตย์(ดังในฮะดิษที่ได้ระบุไว้ว่าหรือจนกว่าเราจะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ถ้าไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว ชาวเมืองมะดีนะห์ก็จะอีดวันจันทร์(ดังในฮะดิษที่ได้ระบุไว้ว่าดังนั้นเราก็ยังคงต้องถือศีลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน)
 **เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยที่ไม่ควรมองข้าม ฮะดิษเมื่อสักครู่นี้รู้จักกันในนามว่า ฮะดิษ(กุร๊อยบ) ทั้งๆที่ฮะดิษนี้ได้บอกไว้ชัดๆอย่างนี้(ว่าเมืองใครก็เมืองนั้น ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น) ก็ยังมีคนบางคนกลับกำลังบิดเบือนไปในทิศทางแบบอื่นอีก สิ่งที่นำมาบิดเบือน อย่างที่ได้ทราบกันมาแล้วก็คือ ถ้าพี้นที่ใดในโลกนี้เห็นจันทร์เสี้ยว ทุกเมือง ทุกประเทศต้องเริ่มเดือนใหม่ทั้งหมดเลย(อ้างว่าเพื่อให้เกิดเอกภาพบ้าง อ้างว่าเพราะยุมโฮรอุละมาอ์บ้าง)
**ยิ่งไปกว่านั้นยังพยายามทำให้คนเอาวามทั่วๆไปเกิดความสับสนขึ้นไปอีก โดยที่ได้อ้างแบบขุ่นๆว่า ที่(กุร๊อยบ)เห็นจันทร์เสี้ยวที่เมืองซามนั้น เห็นตอนต้นเดือนรอมฎอน แต่ตอนที่บอกกับท่านอิบนิอับบัสนั้น เป็นตอนปลายเดือนรอมฎอนไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะตอนนี้เรากำลังจะดูจันทร์เสี้ยวในช่วงของปลายเดือนรอมฎอนกันอยู่ ขอบอกตรงๆเลยว่า ถ้าได้ศึกษาวิชาดาราศาสตร์อิสลามมาอย่างเชี่ยวชาญแล้ว แหละรู้อย่างแท้จริงแล้ว ผมเชื่อว่าคำพูดลักษณะดังกล่าวมานี้นั้น จะไม่หลุดออกมาอย่างแน่นอน แนะนำว่าอย่าข้ามขั้นตอนเพราะจะทำให้เกิดการผิดพลาดได้ง่ายมาก เนื่องจากยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง
**สิ่งสำคัญก็คือ ก็เพราะว่า การบอกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ไม่ว่าจะบอกตอนต้นเดือนหรือบอกตอนกลางเดือนหรือบอกตอนปลายเดือน ไม่ใช่สิ่งสำคัญแต่ประการใด แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่า จะเริ่มเดือนอิสลามใหม่ได้นั้น ท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.) สั่งนักสั่งหนาให้เอาการเห็นจันทร์เสี้ยวเป็นเกณฑ์
**แหละท่านรอซูลุลเลาะห์ (ซ.ล.)ยังสั่งใช้ในเรื่องของการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้น ให้เอาเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้นด้วย ประเทศใดก็ประเทศนั้นเท่านั้น จะไปตามประเทศอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้รับทราบกันมาแล้ว ตามที่ท่านอิบนิอับบัสได้บอกไว้ในช่วงท้ายฮะดิษเมื่อสักครู่ข้างต้น
**ผมขอให้แง่คิดง่ายๆว่า ง่ายๆไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ลองดูในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมดูว่า ในหนังสือดังกล่าวก่อนที่จะเริ่มฮะดิษ(กุร๊อยบ)บทนี้ ได้มีการตั้งชื่อบทนี้ไว้ว่าอย่างไร ถ้อยคำในหนังสือซอเฮี๊ยะมุสลิมเล่มดังกล่าวได้ตั้งชื่อบทไว้ว่า
بَابُ بَيَانِ أَنَّ لِكُلِّ بَلَدٍ رُؤْيَتَهُمْ وَأَنَّهُمْ إِذَا رَأَوُا الْهِلَالَ بِبَلَدٍ لَا يَثْبُتُ حُكْمُهُ لِمَا بَعُدَ عَنْهُمْ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ يَحْيَى، وَيَحْيَى بْنُ أَيُّوبَ، وَقُتَيْبَةُ، وَابْنُ حُجْرٍ، - قَالَ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى: أَخْبَرَنَا، وَقَالَ الْآخَرُونَ: - حَدَّثَنَا إِسْمَاعِيلُ وَهُوَ ابْنُ جَعْفَرٍ، عَنْ مُحَمَّدٍ وَهُوَ ابْنُ أَبِي حَرْمَلَةَ، عَنْ كُرَيْبٍ، أَنَّ أُمَّ الْفَضْلِ بِنْتَ الْحَارِثِ، بَعَثَتْهُ إِلَى مُعَاوِيَةَ بِالشَّامِ، قَالَ: فَقَدِمْتُ الشَّامَ، فَقَضَيْتُ حَاجَتَهَا، وَاسْتُهِلَّ عَلَيَّ رَمَضَانُ وَأَنَا بِالشَّامِ، فَرَأَيْتُ الْهِلَالَ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، ثُمَّ قَدِمْتُ الْمَدِينَةَ فِي آخِرِ الشَّهْرِ، فَسَأَلَنِي عَبْدُ اللهِ بْنُ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمَا، ثُمَّ ذَكَرَ الْهِلَالَ فَقَالَ: مَتَى رَأَيْتُمُ الْهِلَالَ؟ فَقُلْتُ: رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ الْجُمُعَةِ، فَقَالَ: أَنْتَ رَأَيْتَهُ؟ فَقُلْتُ: نَعَمْ، وَرَآهُ النَّاسُ، وَصَامُوا وَصَامَ مُعَاوِيَةُ، فَقَالَ: " لَكِنَّا رَأَيْنَاهُ لَيْلَةَ السَّبْتِ، فَلَا نَزَالُ نَصُومُ حَتَّى نُكْمِلَ ثَلَاثِينَ، أَوْ نَرَاهُ، فَقُلْتُ: أَوَ لَا تَكْتَفِي بِرُؤْيَةِ مُعَاوِيَةَ وَصِيَامِهِ؟ فَقَالَ: لَا، هَكَذَا أَمَرَنَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " وَشَكَّ يَحْيَى بْنُ يَحْيَى فِي نَكْتَفِي أَوْ تَكْتَفِي
**บทสรุปนั้นก็คือ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ย่อมมีการผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความเห็นของอุละมาอ์ส่วนใหญ่(ยุมโฮร)หรืออุละมาส่วนน้อย สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ว่า มิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนใหญ่ จะถูกไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง หรือมิใช่ว่าความเห็นของอุละมาส่วนน้อยจะผิดไปเสียทุกอย่าง ขอให้เราท่านทั้งหลายพิจรณาเป็นอย่างเป็นเรื่องไป
**สิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็คือสิ่งที่ท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.)นำมาบอกแก่เราท่านทั้งหลายไว้ สิ่งที่ท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.)ทำให้เราท่านทั้งหลายเห็นฯลฯ(ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของศาสนา) เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด จะไม่ผิดเลยเพราะว่าท่านร่อซูลุ้ลเลาะห์(ซ.ล.)ไม่ได้พูด ไม่ได้บอก ไม่ได้ทำตามอารมณ์ของท่าน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้น ล้วนแล้วมาจากพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น ล้วนแล้วมาจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ต้องการให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มีการประพฤติ ได้มีการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้รู้กันได้ว่า ใครบ้างที่มีการภักดีต่อพระองค์
**ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่คนๆหนึ่งจะปฏิบัติศาสนกิจ ตามสิ่งที่ได้มีการขัดแย้งกันของอุละมาอ์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปฏิบัติทั้งสองอย่างเลยในเวลาเดียวกัน ต้องเลือกที่จะปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉนั้นหน้าที่ของบ่าวที่ดีก็คือ จำเป็นต้องเลือกที่จะปฏิบัติตามทัศนะที่ถูกต้องที่สุด ที่ตรงกับคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด เพื่อความผาสุกของเราท่านทั้งหลายเอง ทั้งดุนยาแหละโลกหน้าอาคิเราะห์
** ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

Chanomsod:
ยะซากั้ลลอฮุค็อยร็อน สำหรับความรู้ดีๆ ที่เอามาให้อ่านตลอดค่ะ  mycool:

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
**ภาคผลบุลอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับเดือนร่อมะดอน
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซะบาน ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซะบาน ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ซะบานฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557 เวลา 15:08:30 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557  (ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์แหละตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 402111.62 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 401702.62กิโลเมตร
**วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.49.48วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.24วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 23วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.46.00วินาที ดวงจันทร์ตก18.42.53วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 07วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.32.48วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.18วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 30วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.33.27วินาที  ดวงจันทร์ตก18.32.44วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 43วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.37.06 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.36.17วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 50วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.53.22วินาที  ดวงจันทร์ตก18.50.00วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 22วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.34.16วินาที  ดวงจันทร์ตก18.33.26วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ - นาที 50วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.36.43วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.32.08วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 4นาที 35วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.50.15วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.46.50วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 26วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ แหละวันที่ดูจันทร์เสี้ยวในครั้งนี้ดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น วันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.21.55วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.51.13วินาที ดุฮ์ริเวลา12.19.36วินาที อัสริเวลา15.45.44 วินาที มักริบเวลา 18.48.18 วินาที อีซาเวลา 20.07.37
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.24.05วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.53.18วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.21.28วินาที  อัสริเวลา15.47.22วินาที  มักริบเวลา18.49.38วินาที  อีซาเวลา 20.09.12
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.04.32 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.37.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.23.31 วินาที  อัสริเวลา 15.43.12 วินาที  มักริบเวลา 19.09.27 วินาที  อีซาเวลา 20.32.00 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา03.55.08วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.30.39วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.22วินาที  อัสริเวลา15.44.51วินาที  มักริบเวลา19.18.03วินาที  อีซาเวลา20.42.22วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ในปัจจุบันนี้เราท่านทั้งหลายพบปะเจอะเจอกัน ให้สลามกัน ทักทายกัน ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลาย รักแหละเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า มิใช่ว่าจะเจาะจงเฉพาะ เลือกปฏิบัติแค่ใน2วันอีดเท่านั้น
**เล่าจากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า พวกท่านจะยังไม่ได้เข้าสวรรค์ จนกว่าพวกท่านจะมีศรัทธา และพวกท่านจะยังไม่มีศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักกัน ฉันจะไม่ชี้พวกท่านไปสู่สิ่งหนึ่ง หรือ? ถ้าหากว่าพวกท่านปฏิบัติสิ่งนี้แล้ว พวกท่านก็จะรักกัน พวกท่านจงแพร่กล่าวสลามในหมู่พวกท่านเถิด รายงานโดย มุสลิม
**เล่าจากอับดิลลาหฮ์บุตรอัมร์บุตรอาซ(ร.ด.)ว่า มีชายคนหนึ่งถามท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ว่า อิสลามประการใดดีที่สุด ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ตอบว่า การที่ท่านเลี้ยงอาหาร กล่าวทักทายสลามทั้งคนที่ท่านรู้จัก และคนที่ท่านไม่รู้จัก รายงานโดยบุคอรี มุสลิม     
**แม้กระทั่งบรรดามะลาอิกะห์(บ่าวที่มีแต่ความดี บ่าวที่ทำแต่ความดี)  ก็ยังได้มีการให้สลามแก่ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ที่ประกอบคุณความดี ในค่ำคืนของเดือนร่อมะดอน เพราะในช่วงสิบคืนสุดท้ายของเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรตินั้น จะมีอยู่คืนหนึ่งที่บรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้า จะลงมาสู่โลกนี้ ลงมาโดยได้รับการอนุมัติจากพระผู้เป็นเจ้า คืนที่ว่านั้นก็คือ คืนลัยละตุ้ลก๊อดร เมื่อบรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์เห็นมุมินชาย เห็นมุมินะห์หญิง เอาจริงเอาจังในการทำอะมั้ลอิบาดะห์ต่อพระผู้เป็นเจ้า อดหลับอดนอนเพื่อทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้า บรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์ของพระผู้เป็นเจ้าก็จะให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา)
**ดังนั้นในคืนลัยละตุ้ลก๊อดรนั้นจะมีการให้สลาม (ขอความสันติสุข) จากบรรดาเทวฑูต บรรดามะลาอิกะห์ ของพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งคืน ตลอดไปกระทั่งฟะยัรแสงอรุณขึ้น(คือว่าในครั้งที่พระผู้เป็นเจ้าจะสร้างนบีอาดัม บรรดามะลาอิกะห์ได้ห้ามไว้ อ้างในทำนองว่ามนุษย์ จะมาทำไม่ดีในหน้าพื้นแผ่นดินนี้ อย่างที่เราท่านทั้งหลายได้ทราบกันมาแล้ว ดังนั้นเมื่อบรรดามะลาอิกะห์ ได้ลงมาเห็นมุมินชาย มุมินะห์หญิงได้ทำอะมั้ลอิบาดะห์กัน เอาจริงเอาจังในการทำคุณความดีกัน ในค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดรดังกล่าวมานั้น บรรดาเทวฑูตมะลาอิกะห์จึงได้ให้สลาม (ขอความสันติสุขให้กับมุมินชาย มุมินะห์หญิงนั้นให้พ้นจากความชั่วร้ายต่างๆนานา)
**ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระมหาคำภีย์อัลกุรอ่านว่า
سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر {سَلَام هِيَ} خَبَر مُقَدَّم وَمُبْتَدَأ {حَتَّى مَطْلَع الْفَجْر} بِفَتْحِ اللَّام وَكَسْرهَا إِلَى وَقْت طُلُوعه جُعِلَتْ سَلَامًا لِكَثْرَةِ السَّلَام فِيهَا مِنْ الْمَلَائِكَة لا تَمُرّ بِمُؤْمِنٍ وَلَا بِمُؤْمِنَةٍ إِلَّا سَلَّمَتْ عَلَيْهِ
ِคืนนั้นมีความศานติจนกระทั่งรุ่งอรุณ  ซูเราะห์ที่97 อัลก๊อดร อายะห์ที่ 5
**คำว่า  سَلاَمٌ ซะลามุนเป็นค่อบัรมุก๊อดดัม คำว่า  هِىَ ฮิย่า อยู่ในหน้าที่เป็นมุบตะดามู่อั๊คค๊อร(นักวิชาการบางท่านบอกว่า ตรงคำว่าซะลามุนนี้เรียกว่าฮะรัฟมุดอฟ ตั๊กดีรว่า ฮิย่า ราตู้ซะลามะติน)
**คำว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر นักวิชาการทางหลักไวยกรณ์อาหรับนะฮูนั้น ได้นำอายะห์กุรอ่านอายะห์นี้ไปเป็นตัวอย่างในการอธิบายในเรื่องของฮุรูฟยาร อย่างเช่นในหนังสือتسهيل نيل الاماني  (หน้าที่10บรรทัดที่8 หนังสืออาจพิมพ์ต่างวาระกัน หน้าอาจจะไม่เหมือนกันแต่ให้ดูเรื่องของฮุรุฟยารในตัวของ حَتَّى   แล้วก็จะเจออย่างแน่นอน) ในหนังสือนี้ได้ระบุว่าฮุรุฟยารที่16ก็คือ  حَتَّى  ส่วนความหมายของ حَتَّىที่เป็นฮุรุฟยารนั้น ก็คือการสิ้นสุด
**แหละคำว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر นักวิชาการทางหลักไวยกรณ์อาหรับนะฮูนั้น ได้นำอายะห์กุรอ่านอายะห์นี้ไปเป็นตัวอย่างในการอธิบายในเรื่องของฮุรูฟยารอีกเช่นกัน อย่างเช่นในหนังสืออิบนุอะเก้ล ซึ่งเป็นหนังสือที่อธิบายหนังสืออัลฟียะห์(คำกลอนวิชานะฮู) บทที่ว่าด้วยเรื่องฮุรุฟยาร  ถ้อยคำในบทกลอนอัลฟียะห์ มีระบุไว้ดังต่อไปนี้
ِللاِنْتِهاحتى ولامٌ واِلى         ومِنْ وَباءٌيُفْهِمانِ بَدَلا
     حَتَّى นั้นใช้สำหรับความหมาย สิ้นสุด (ถึงจุดหมาย) และ لامٌ اِلى นั้นก็มีความหมายสิ้นสุด (ถึงจุดหมาย) และส่วนمِنْ  باءٌทั้งสองให้ความเข้าใจว่ามีความหมายว่าแทน(เปลี่ยน) 
**ให้สังเกตตรงคำว่า حَتَّىในคำกลอนตรงนี้อยู่ในหน้าที่มุบตะดามุอัคค๊อร (ไม่ใช่ฮุรุฟยาร)
ในหนังสืออิบนุอะเก้ลที่อธิบายคำกลอนตรงนี้ก็จะมีการยกตัวอย่างอายะห์กุรอ่าน ที่ว่า سَلاَمٌ هِىَ حَتَّى مَطْلَعِ الْفَجْر อีกเช่นกัน
**ดังนั้นในอายะห์กุรอ่านตรงนี้ระบุอย่างชัดเจนเลยว่า คืนนั้นมีความศานติตลอดไปจนกระทั่งรุ่งอรุณ คือความศานตินั้นมีอยู่ตลอดทั้งคืนเลยในคืนลัยละตุ้ลก๊อดร จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ เมื่อเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ (เพราะว่าใช้คำว่า حَتَّى ต้องอย่าลืมว่า حَتَّى ตรงนี้เป็นฮุรุฟยาร มีความหมายว่า จนกระทั่ง ชี้ถึงการสิ้นสุด)     
**ขอให้เราท่านทั้งหลายสังเกตตรงคำว่า مَطْلَعِ الْفَجْرแปลว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ดังนั้นคำว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณตรงนี้ก็คือ เริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณของเมืองใครก็เมืองนั้นเท่านั้น ของประเทศใครก็ประเทศนั้นเท่านั้น มิใช่ว่าพักอาศัยอยู่ในเมืองไทย พอค่ำคืนลัยละตุ้ลก๊อดร ความศานติจะคงอยู่ตลอดไป จนกระทั่งถึงเวลารุ่งอรุณของมักกะห์ หรือประเทศกลุ่มอาหรับ หรือประเทศอื่นๆทั่วทุกมุมโลก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ(อยู่ในเมืองไทยความศานตินั้นก็จะมีอยู่ตลอดไป ทั้งคืนเลยในคืนลัยละตุ้ลก๊อดร จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ เมื่อเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณของแต่ละ สถานที่ต่างๆในเมืองไทยเท่านั้น จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับรุ่งอรุณของประเทศอื่นใดๆทั้งสิ้น
**ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็คือพอเมืองไทยเริ่มเข้าเวลาซุบฮิ หรือเรียกอีกอย่างนึงว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ทางประเทศนิวซีแลนด์สว่างไปตั้งนานแล้ว หรือเมืองไทยเข้าเวลาซุบฮิ หรือเรียกอีกอย่างว่าเริ่มเข้าเวลารุ่งอรุณ ทางมักกะห์ หรือประเทศอื่นในประเทศกลุ่มอาหรับ ยังอยู่ในช่วงเวลากลางคืนอยู่เลย อย่างที่เราท่านทั้งหลายเห็นๆกันอยู่)
**ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีๆเวลามัฆริบ(เวลาฯลฯ) นั้นแม้กระทั่งแต่ละจังหวัดยังแก้บวช(ละศิลอด)ยังไม่พร้อมกันเลย นี่คือความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างมา
**ให้ร่อมะดอนเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความดีงาม ถ้าใครได้เริ่มต้นทำความดีงามมานานแล้ว ก็ขอให้รักษาความดีงามให้ยืนยาวตลอดไป ถึงแม้ว่าในเดือนอื่นๆภาคผลบุลจะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเดือนร่อมะดอน เราท่านทั้งหลายก็ต้องยืนหยัดทำกันต่อไป เพราะว่านั่นคือคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า แหละเป็นคำสั่งของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) แล้วเราท่านทั้งหลายจะได้รับชัยชนะทั้งดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์ นั่นถือว่าเป็นรางวัลที่น่าภาคภูมิใจแหละยิ่งใหญ่มากที่สุด ในฐานะที่เราท่านทั้งหลายได้เกิดมาเป็นปวงบ่าวของพระองค์
**เล่าจากท่านอับดุลลอห์บุตรท่านมัสอูด(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่าจะไม่มีการอิจฉา นอกจากสองประการนี้ (1.)ผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ได้ประทานทรัพย์สินให้แก่เขา เขาครอบครองมัน(ใช้จ่ายไป)ในหนทางที่ถูกต้อง (2.)ผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ได้ประทานวิชาความรู้ให้แก่เขา เขาได้ปฏิบัติตามวิชาความรู้นั้น และนำวิชาความรู้นั้นออกสอน รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**เล่าจากอะบิ้ลยักรอน ท่านอัมมารบุตรของท่านยาซิร(ร.ด.)ว่า ฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า แท้จริงการที่คนๆหนึ่งละหมาดนานนั้นและกล่าวคุตบะห์สั้นนั้น เป็นเครื่องหมายว่า เขามีความเข้าใจเรื่องราวของศาสนา ดังนั้นท่านทั้งหลายจงละหมาดนานๆ และจงกล่าวคุตบะห์สั้นๆ  รายงานโดยมุสลิม
**ในสังคมปัจจุบันนี้เราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างนึงว่า ญาติพี่น้องเราท่านทั้งหลายเอง มีทั้งอะซาอิเราะห์และวะบียะห์ แต่ในวันอีดิ้ลฟิตริที่จะถึงนี้ แหละวันต่อๆไป ขอให้ญาติพี่น้องกันเยี่ยมเยียนกัน(แม้จะอะซาอิเราะห์หรือวะบียะห์ก็ตามที) อันใดที่รู้ว่าคิดต่างกันก็ค่อยๆพูดกัน หรือไม่ก็(พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็) พูดกันในเรื่องอื่นซะ อย่าให้แนวคิดที่แตกต่างกันมาทำให้เราท่านทั้งหลายต้องตัดญาติขาดมิตรกัน(ขัดแย้งในด้านความคิด แต่ญาติพี่น้องยังไงก็ยังเป็นมิตรกันเหมือนเดิม ส่วนในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจหรือหลักการยึดมั่นก็ว่ากันอีกเรื่องนึง ต้องเอาเป็นอย่างเอาเป็นเรื่องไป)
**เล่าจากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และวันสุดท้าย เขาจะต้องให้เกียรติแขกที่มาเยือน ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และวันสุดท้าย เขาจะต้องติดต่อสัมพันธ์กับเครือญาติ ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)และวันสุดท้าย เขาต้องพูดในสิ่งที่ดีหรือไม่ก็นิ่งเสีย   รายงานโดยบุคอรี มุสลิม
**ขอให้เราท่านทั้งหลายมีความสุขมากๆในวันอีดิ้ลฟิตริที่จะถึงนี้
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ร่อมะดอน ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435(วันอีดิ้ลฟิตริ)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เวลา 05.41.48 วินาที   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435(วันอีดิ้ลฟิตริ)
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557  (ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 406487.47 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 406417.25กิโลเมตร)
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.48.26วินาที  ดวงจันทร์ตก18.57.13วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 8นาที 46วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.44.58วินาที ดวงจันทร์ตก18.54.06วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 9นาที 8วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.34.14วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.38วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 12 นาที 25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.34.41วินาที  ดวงจันทร์ตก18.46.50วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 12นาที 8วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.38.10 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.50.08วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 11นาที 59วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.51.56วินาที  ดวงจันทร์ตก19.00.42วินาที มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 8นาที 46วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.35.24วินาที  ดวงจันทร์ตก18.47.23วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 12 นาที 0วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.34.46วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.42.15วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 7นาที 29วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.48.52วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.57.35วินาที  มีดวงจันทร์ค้างฟ้า 8นาที 43วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะอายุดวงจันทร์ยังน้อยเกินไป ถ้าเริ่มเดือนใหม่ในวันจันทร์ จะทำให้วันที่ดูจันทร์เสี้ยวในครั้งต่อไป จะดูจันทร์เสี้ยวก่อน ปรากฏการณ์จันทร์ดับ ก่อนนิวมูน ก่อนอิญติมาอ์ทันที) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435(วันอีดิ้ลฟิตริ) ตรงกับวันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 25  กรกฎาคม พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา 04.32.57 วินาที ตะวันขึ้นเวลา05.59.19วินาที ดุฮ์ริเวลา12.23.21วินาที อัสริเวลา15.42.07 วินาที มักริบเวลา 18.47.16 วินาที อีซาเวลา 20.04.16
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.35.04วินาที  ตะวันขึ้นเวลา6.01.21วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.25.13วินาที  อัสริเวลา15.44.05 วินาที  มักริบเวลา18.48.57 วินาที  อีซาเวลา 20.05.53
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 04.19.00 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.48.16วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.27.14 วินาที  อัสริเวลา 15.43.54 วินาที  มักริบเวลา 19.05.58 วินาที  อีซาเวลา 20.25.01 วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.10.37วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.46.36วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.27.40วินาที  อัสริเวลา15.52.11วินาที  มักริบเวลา19.08.58วินาที  อีซาเวลา20.33.44วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)

บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม:
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**เราในฐานะผู้เป็นลูก ที่สำคัญเราท่านทั้งหลายได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธา ที่มีอีหม่านต่อพระผู้เป็นเจ้า เราท่านทั้งหลายต้องนึกถึงพระคุณของผู้เป็นบิดามารดาให้มากๆ 
**ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ไม่หวังจะได้อะไรตอบแทนเลย   พ่อแม่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้เป็นคนดี  พ่อแม่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออยากจะเห็นว่า ลูกของเรานั้นเป็นคนดีของพระผู้เป็นเจ้า  หวังลึกๆว่าโลกหน้าอาคิเราะห์ลูกของเราต้องได้อยู่อย่างสุขสบายอย่างแน่นอน เมื่อลูกเป็นคนดีได้แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรพ่อแม่ก็จะสบายใจ ปลาบปลื้มใจ ดีอกดีใจอีกด้วย
**ความรักความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆนั้น ไม่มีระยะเวลา ไม่มีอายุ ไม่มีกำแพงอะไรใดๆทั้งสิ้นมากีดขวางได้ เพราะพ่อแม่ของเราทุกๆคน คิดอยู่เสมอว่าลูกคือแก้วตาแหละดวงใจ ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่าง ลูกสำคัญสุดๆ ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กแบเบาะ พ่อแม่ก็ห่วงคอยทะนุทนอม แม้ยุงสักตัวก็ไม่ยอมให้มีในที่นอนของลูกๆ คอยปกป้องลูกๆคอยให้โอกาส ช่วยเหลือสนับสนุนลูกๆ พร้อมเสมอที่จะให้อภัยต่อลูกอยู่ตลอดเวลา ในบางครั้งที่ลูกทำผิดทำพลาดไป คนที่เป็นพ่อเป็นแม่พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ แม้ลูกจะแต่งงานออกเย่าออกเรือนไปแล้ว ความรักความห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้น ก็ยังเหมือนเดิมไม่ลดน้อยถอยลงเลยแม้แต่ประการใด(บุคคลที่ได้เป็นพ่อเป็นแม่คนเท่านั้น ที่จะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ได้)   ดังนั้นพระคุณของพ่อแม่ มีมากมายเหลือเกิน ถ้าจะพูดถึงการทดแทนพระคุณของพ่อแม่แล้ว ทดแทนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอย่างแน่นอน แต่เราในฐานะผู้เป็นลูกถึงอย่างไรก็ตาม ก็จะต้องทดแทนพระคุณของพ่อแม่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
**เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า บุตรไม่มีโอกาสที่จะตอบแทน(พระคุณ)บิดามารดาได้ นอกจากเขาจะพบว่าบิดามารดาเป็นทาส และเขาได้ซื้อมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ  รายงานโดยมุสลิม
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَوَصَّيْنَا الْإِنْسَان بِوَالِدَيْهِ} أَمَرْنَاهُ أَنْ يَبَرّهُمَا {حَمَلَتْهُ أُمُّه} فَوَهَنَتْ {وَهْنًا عَلَى وَهْن} أَيْ ضَعُفَتْ لِلْحَمْلِ وَضَعُفَتْ لِلطَّلْقِ وَضَعُفَتْ لِلْوِلَادَةِ {وَفِصَالُه} أَيْ فِطَامُه {فِي عَامَيْنِ} وَقُلْنَا لَهُ {أَنْ اُشْكُرْ لِي وَلِوَالِدَيْك إلَيَّ الْمَصِيرُ} أَيْ الْمَرْجِعُ
และเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)ได้สั่งแก่มนุษย์เกี่ยวกับบิดา มารดาของเขา(เราได้ใช้ให้มนุษย์นั้น ให้ทำดีให้กตัญญูรู้คุณบิดา มารดาของเขา) โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขา อ่อนเพลียลงครั้งแล้วครั้งเล่า(ทั้งในช่วงตั้งครรภ์ ทั้งในช่วงใกล้จะคลอด แหละทั้งในช่วงคลอด) และการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี
(และเราหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่มนุษย์ว่า) ท่านจงขอบคุณ(นึกถึงพระคุณของ)ข้า และบิดามารดาของท่าน ยังเรา(หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า)นั้น คือการกลับไป ซูเราะห์ลุกมาน 31อายะห์ที่14
**คำว่า أُمُّه ตามหลักวิชาไวยกรณ์อะหรับนั้น ประกอบด้วยฟาอิ้ลแหละมู่ดอฟุนอิลัย ดังนั้นคำว่าอุมมู่เป็นฟาอิ้ล เป็นประธานของกริยานี้  ในอายะห์กุรอ่านตรงนี้คำกริยาก็คืออุ้มครรภ์ ประธานหรือเจ้าของที่เป็นผู้อุ้มครรภ์ก็คือมารดา ดังนั้นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีความลำบากยากเข็นอย่างมากมายในการอุ้มครรภ์ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทนุทนอมลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ ผู้ที่คอยให้ความรัก คอยให้ความห่วงใยต่อลูกน้อย คอยสรรหาอาหารดีๆที่มีประโยชน์ให้ลูกน้อย ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้า เห็นตาลูกน้อยด้วยซ้ำไป ผู้ที่มีความรักอันบริสุทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมนี้ ก็คือมารดาของเราท่านทั้งหลายเอง ต้องสำนึกแหละทดแทนบุญคุณของท่านให้มากๆ
**เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตรอัมร์ บุตรอัลอาส(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.)ว่า บาปใหญ่นั้นได้แก่ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์(ซ.บ.) การเนรคุณบิดามารดา การฆ่าคน และการสาบานโดยเจตนาเป็นเท็จ รายงานโดยบุคอรี
**ในบทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)ได้ระบุถึงเรื่องราวของฟาอิ้ลว่า
وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ فَاِنْ ظَهَرْ         فَهْوَ وَاِلاَّ فَضَمِيْرٌ اسْتَتَر
และหลังจากฟิอิ้ลนั้นก็เป็นฟาอิ้ล(ฟาอิ้ลต้องตกหลังจากฟิอิ้ล) ดังนั้นหากฟาอิ้ลเผยตัว(รอเฮร) ก็เป็น(เหมือนตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็คือในคำกลอนที่อยู่ก่อนหน้านี้)
และหากว่ามิใช่เช่นนั้น(ฟาอิ้ลไม่เผยตัว ไม่รอเฮร)ก็ต้องเป็นด่อเมรที่ซ่อนเร้น
**ตรงคำว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ ตรงนี้มีรายละเอียด เมื่อพิจรณาตรงนี้ก็จะพบว่า ถือว่าเป็นกฏเกณฑ์สำคัญของคำที่เป็นฟาอิ้ลนั้นต้องอยู่หลังจากฟิอิ้ล(นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในภาษอะหรับ ดำเนินตาม แนวทางบะซ่อรียูน) ดังเช่นในอายะห์กุรอ่านที่ได้กล่าวมา
  {حَمَلَتْهُ أُمُّه} หรือพูดง่ายๆว่าจะเอาประธานอยู่ก่อนกริยาไม่ได้โดยเด็ดขาด ถือว่าผิดกฎไวยกรณ์อะหรับ (เราท่านทั้งหลายจะพบว่าจะพบว่ามัฟอูลมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในซูเราะห์ฟาติฮะห์ اِيَّاكَ نَعْبُدُ) ค่อบัรมู่ก๊อดดัมมี(อย่างเช่นในคำกลอนอัลฟียะห์ตรงนี้ในคำว่า  بَعْدَ فِعْلٍก็อยู่ในหน้าที่ค่อบัรมู่ก๊อดดัม) ค่อบะรู่ฮามู่ก๊อดดำก็มี แต่ทว่าฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด)
**อันที่จริงแล้วมีอีกแนวทางของหลักไวยกรณ์อะหรับคือแนวทางกูฟียูน ได้บอกว่าฟาอิ้ลสามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก ถ้าเราท่านทั้งหลายสังเกตให้ดีแล้วจะพบว่าผู้ประพันธ์บทกลอนอัลฟียะห์(บทกลอนไวยกรณ์อะหรับ)นี้นั้น ท่านก็มีแนวคิดเดียวกันกับแนวทางบะซ่อรียูน ก็คือฟาอิ้ลจะไม่สามารถอยู่ก่อนฟิอิ้ลได้ พูดอีกอย่างก็คือฟาอิ้ลมู่ก๊อดดัมจะไม่มีโดยเด็ดขาด เพราะดังในบทกลอนของท่านที่ว่า وَبَعْدَ فِعْلٍ فاعِلٌ
**ท่านร่อซูลุ้ลลออ์(ซ.ล.)ได้ประสูติขึ้นมา ท่านก็เคยเป็นลูก ท่านก็มีพ่อมีแม่เหมือนเราท่านทั้งหลายนี้แหละ สิ่งที่ได้ยินอยู่เป็นประจำก็คือ การขัดแย้งในวงกว้างเกี่ยวกับเรื่องการจัดเมาลิดนบี แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีน้อยมากที่จะพูดถึงความสำคัญ พระคุณของพ่อแม่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง การทำดีต่อพ่อแม่นั้นนับว่าเป็นภาคผลบุลที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ แค่เป็นคนดี ช่วยเหลือห่วงใย ถามไถ่เอาใจใส่ท่านทั้งสอง แค่นี้หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ท่านทั้งสองก็สุขใจมากมายแล้ว
**สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยก็คือ การนึกถึงพระคุณของพระผู้เป็นเจ้านั้น นับว่าหายากมากๆ จะมีก็จำกัดอยู่ที่ผู้คน หมู่ยินกลุ่มน้อยเท่านั้น การตั้งภาคีการนำสิ่งอื่นมาเทียบเทียม เทียบเท่ากับพระผู้เป็นเจ้านั้น กลับมีทุกยุคทุกสมัย ซึ่งมีอยู่อย่างมากมายอีกด้วย ดังนั้นเราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ซัยตอนมารร้ายเฝ้ารอโอกาสรอคอยอยู่ตลอดเวลา ที่จะคอยชักจูงชี้นำให้มนุษย์แหละยิน หลงทางตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า ลืมที่จะนึกถึงพระคุณแห่งพระผู้เป็นเจ้า เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ กระทั่งทิ้งการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในที่สุด
**ในสมัยที่ร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ยังมีชีวิตอยู่ พระผู้เป็นเจ้าเคยแจ้งถึงข่าวใหญ่ ให้ท่านได้รับทราบ ((เป็นฮะดิษกุดซีย์ จากท่านมุอาซ เนื้อความของฮะดิษมีอยู่ว่า แท้จริงข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)  ยินแหละมนุษย์ ตกเป็นข่าวใหญ่มาก คือข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แต่ผู้อื่นกลับได้รับการกราบไหว้ แหละข้า(พระองค์อ.ล.ซ.บ.)เอง โปรยปรายริสกีโชคผลต่างๆมาให้(อย่างมากมาย) แต่ผู้อื่นกลับได้รับการขอบพระคุณ รายงานโดยบัยฮะกี ฮากิม))
จากฮะดิษกุดซีย์บทนี้ ทำให้เราท่านทั้งหลายมีข้อคิดสะกิดใจได้ว่า การดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมาแหละในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นหรือเปล่า ถ้าไม่เหมือนก็อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์ แต่ถ้าการดำเนินชีวิตของเราท่านทั้งหลาย ในอดีตที่ผ่านมาและในตอนปัจจุบันนี้ เป็นเหมือนดั่งฮะดิษกุดซีย์ ข้างต้นแล้ว เราท่านทั้งหลายต้องรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้ไปในทางที่ถูกต้อง เพื่อความผาสุกจะได้เกิดขึ้นกับเราท่านทั้งหลายเอง ทั้งในโลกดุนยาแหละโลกหน้าอาคิเราะห์ (ในโลกหน้าอาคิเราะห์นั้นถ้าทุกข์ก็ทุกข์ตลอดไป ถ้าสุขก็ยิ่งสุขตลอดไป นั่นถือเป็นรางวัล เป็นรางวัลแด่ผู้ศรัทธา)
**ความรักที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้แก่บ่าวของพระองค์นั้น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว พระองค์จะไม่ใช่บิดาของใคร(เพราะพระองค์ทรงอะระลียุน ก่อดีมุน) แต่ความรักความหวังดี การให้อภัยที่พระองค์ทรงมีให้แก่บ่าวนั้น นับว่าความรักของคนที่เป็นพ่อ ความรักของคนที่เป็นแม่ที่มีต่อลูก ที่เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่ามากมายนั้น ก็ยังไม่สามารถเทียบเทียมได้เลย เป็นความรักที่มอบแก่ปวงบ่าวที่ยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน
**นี่ก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นปีใหม่แล้ว ปฏิทินอิสลามก็ถือว่าเป็นของขวัญที่เลอค่ามากๆสำหรับมวลมุสลิมชายแหละมวลมุสลิมะห์ เพราะสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือ เวลาปฏิบัติศาสนกิจที่มวลมุสลิมแหละมวลมุสลิมะห์ต้องนำมายึดปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันตลอดทั้งปีแหละตลอดชีวิต แหละสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือเดือนต่างๆของอิสลามเช่นวันที่1เดือนมุฮัรรอมตรงกับวันที่เท่าใด แหละวันที่1ของเดือนอิสลามเดือนอื่นๆตรงกับวันที่เท่าใด อะไรอย่างนี้เป็นต้น
**ในความเป็นจริงแล้ว(ตามหลักซะรีอัต)เราท่านทั้งหลายนั้นต้องฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี แหละปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในเดือนของอิสลามเท่านั้น เพราะนั่นคือหน้าที่แหละความรับผิดชอบ ซึ่งทางสำนักจุฬาราชมนตรีจะประกาศในทุกๆเดือน(ซึ่งจะใช้การเห็นจันทร์เสี้ยวแหละการไม่เห็นจันทร์เสี้ยวมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดวันเริ่มต้นเดือนใหม่)
**ส่วนในมุมมองของนักดาราศาสตร์อิสลามนั้น ในเมื่อต้องทำปฏิทินล่วงหน้า1ปี จะเริ่มวันที่1ของเดือนอิสลามในทุกๆเดือนนั้น ว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
**ใครจะรู้ว่าเมื่อพันสี่ร้อยกว่าปี ขณะที่เทคโนโลยียังล้าสมัยมาก ผู้คนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกใบนี้นั้น จริงๆแล้วกลมไม่ใช่แบน แต่มีบุรุษท่านหนึ่ง(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) นำปฏิทินแห่งฟากฟ้ามาจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นปฏิทินที่ยึดเอาปรากฏการณ์ทางท้องฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนด นำมาบอกให้มวลมนุษยชาติได้รับรู้(ซึ่งที่จะไม่มีการผิดเพี้ยนเลยเพราะเป็นปฏิทินที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า โดยพระผู้เป็นเจ้าได้ให้ดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด)
**บุรุษที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) อยู่ในยุคที่ล้าสมัย จะรับรู้ถึงเรื่องราวที่ล้ำสมัยอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าพระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆไม่ทรงบอก
**เราท่านทั้งหลายเคยสงสัยหรือไม่ว่า ตั้งแต่เกิดมาสิ่งที่เราเห็นอยู่หลักๆก็คือโลกเพราะเราท่านทั้งหลายเดินแหละวิ่งเล่นเมื่อยามเป็นเด็ก ดวงอาทิตย์เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ดวงจันทร์บางวันก็เห็นบ้างบางวันก็ไม่เห็น(แล้วมีฮิกมะห์อะไรที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงสร้างให้ดวงจันทร์มีแสงในตัวเองเลย ทำไมดวงจันทร์จึงต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ด้วย ทำไมหนอวันธรรมดาดวงจันทร์มีแสงนวลตา แต่ทำไมหนอวันที่เกิดจันทรุปราคาดวงจันทร์ทำไมดวงจันทร์จึงมีสีแดงคล้ายอิฐเผา คำตอบทั้งหมดนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงบอกไว้หมดแล้วในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَجَعَلَ الْقَمَر فِيهِنَّ} أَيْ فِي مَجْمُوعهنَّ الصَّادِق بِالسَّمَاءِ الدُّنْيَا {نُورًا وَجَعَلَ الشَّمْس سِرَاجًا} مِصْبَاحًا مُضِيئًا وَهُوَ أَقْوَى مِنْ نُور الْقَمَر
และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า ซูเราะห์ นูฮ์ อายะห์ที่ 16 
**ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าซีรอจกับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)
**ดังนั้นถ้าผู้ที่ทำปฏิทินใดๆ ยึดหลักว่าต้องเอาปรากฏการณ์บนฟากฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนดในการเริ่มต้นเดือนใหม่ของอิสลาม แล้วเริ่มต้นเดือนใหม่(อันนี้คือตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ไม่ใช่หลักซะรีอัตเพราะหลักซะรีอัตต้องปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี) ก็จะตรงกับหลักความเป็นจริงบนฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา
**ขอให้เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่า ใครจะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวหรือใครจะโกหกว่าไม่เห็นจันทร์เสี้ยวอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้น เพราะนั่นคือมนุษย์ แต่ปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา จะไม่เป็นไปตามคำโกหกของมนุษย์เหล่านั้นหรอก ก็เพราะว่าปรากฏการณ์ทางฟากฟ้านั้น จะดำเนินไปตามคำสั่งใช้ จะดำเนินไปตามการกำหนดของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (ดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แหละดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามวงรอบของดวงจันทร์เท่านั้น กล่าวคือดวงจันทร์จะไม่เคลื่อนที่ช้าหรือเร็ว เพียงเพื่อให้ไปตรงกับคำโกหกต่างนานาๆของมนุษย์โดยเด็ดขาด)
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
**ถ้าไม่เข้าใจปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมาอย่างถ่องแท้แล้ว การนับวันของอิสลามก็จะคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้นตามปฏิทินแห่งฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมา ท่าน(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.))ท่านได้ประสูติ ในวันจันทร์ที่9(ย้ำนะครับ เก้า)เดือน ร่อบิอุ้ลเอาวัล ปีค.ศ. 571(ปีช้าง) ตรงกับวันจันทร์ที่ 20เมษายน ค.ศ. 571ในวันศุกร์ที่ 10 เมษายน ค.ศ. 571 (ซึ่งในปีค.ศ. 571 เดือนกุมภาพันธ์มี 28วัน) มีจันทร์ค้างฟ้าไม่ถึง 15 นาทีตามมหานครมักกะห์ ดวงจันทร์สูงแค่ 2องศากว่าๆเท่านั้นเอง อายุดวงจันทร์8ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าในมหานครมักกะห์ ดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์ห่างกันแค่ประมาณ 1องศาเท่านั้นเอง
**เรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในอัลฮะดิษแหละเป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเลยในหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นผมจึงไม่ขอลงลึกถึงรายละเอียดต่างๆเหล่านี้เพิ่มอีก(เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นยังมีรายละเอียดอีกมากมายๆ)
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435 วันอีดิ้ลฟิตริ ดังนั้นวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 เซาวาล ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 เวลา 21:12:48 วินาที(ตามเวลาประเทษไทย)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 (เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 เซาวาล ฮ.ศ.1435)  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435
**วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557  (ดวงจันทร์อยู่ต่ำกว่าดวงอาทิตย์แหละตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 405847.72 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 406003.12 กิโลเมตร
**วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก18.34.55วินาที  ดวงจันทร์ตก18.17.17วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก18.32.03วินาที ดวงจันทร์ตก18.14.34วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.-ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก18.25.59วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.06วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 15 นาที 53วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก18.26.04วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.03วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 1วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18.29.11 วินาที  ดวงจันทร์ตก18.13.08วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 03วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก18.38.16วินาที  ดวงจันทร์ตก18.20.40วินาที ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 36วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก18.26.33วินาที  ดวงจันทร์ตก18.10.28วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 16นาที 5วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก18.20.07วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.01.38วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 18นาที 29วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก18.35.16วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.17.37วินาที  ดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์ 17นาที 39วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  (เพราะว่าดวงจันทร์ตกลงไปก่อนดวงอาทิตย์) ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันเสาร์ที่ 23  สิงหาคม พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  04.52.26วินาที ตะวันขึ้นเวลา 06.05.35 วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.19.32วินาที อัสริเวลา15.30.06วินาที มักริบเวลา 18.35.29 วินาที อีซาเวลา 19.48.32 วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.54.27 วินาที  ตะวันขึ้นเวลา06.07.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.21.24วินาที  อัสริเวลา15.31.42วินาที  มักริบเวลา18.37.15 วินาที  อีซาเวลา 19.50.14 วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา  04.45.32วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 05.59.51วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.23.22วินาที  อัสริเวลา  15.48.04วินาที  มักริบเวลา 18.48.45วินาที  อีซาเวลา 20.02.55วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา04.41.11วินาที  ตะวันขึ้นเวลา05.56.29วินาที  ดุฮ์ริเวลา12.24.13วินาที  อัสริเวลา15.53.36 วินาที  มักริบเวลา 18.53.47 วินาที  อีซาเวลา 20.08.54วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version