ผู้เขียน หัวข้อ: ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์  (อ่าน 17874 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: บริจาคมีแต่เพิ่มพูล
« ตอบกลับ #90 เมื่อ: ก.ย. 22, 2014, 01:29 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**อีกไม่กี่วันเราท่านทั้งหลายก็กำลังจะถึงวันรื่นเริง วันเฉลิมฉลองในรอบปีนี้อีกหนึ่งครั้ง วันนั้นก็คือวันอีดอีดิ้ลอัดฮา ซึ่งกำลังจะมาถึงเราท่านทั้งหลายอีกไม่กี่วันนี้
**หลังจากที่ผู้ศรัทธาทั่วทุกมุมโลกได้ไปร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ ในการประกอบพิธีฮัจย์ พระผู้เป็นเจ้าจึงได้กำหนดให้มีวันอีดอีดิ้ลอัดฮา ให้เป็นวันรื่นเริง ให้เป็นวันเฉลิมฉลองในรอบปีนี้อีกหนึ่งวัน หลังจากที่ปวงบ่าวของพระองค์ ได้มุ่งมั่นประกอบคุณความดี (วันอีดอีดิ้ลอัดฮาจึงเป็นวันรื่นเริง เป็นวันเฉลิมฉลอง ของผู้คนทั่วทุกมุมโลก)
**เราท่านทั้งหลายจะพบว่าในวันอีดทั้งสองนั้น จะมีการกล่าวตั๊กบีร เพื่อเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่า พระผู้เป็นเจ้านามว่าพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)นั้น ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆสิ่ง แหละมวลมุสลิมนั้นมีวิธีการรื่นเริง แหละเฉลิมฉลองซึ่งเป็นรูปแบบที่ดีงาม นั่นก็คือได้มีการร่วมกันกล่าว ได้มีการส่งเสียงตั๊กบีร อย่างกึกก้องพร้อมเพรียงกัน เพื่อรำลึกแหละย้ำเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นในทุกๆบ้านที่มวลมุสลิมอาศัยอยู่ ในทุกๆสถานที่มวลมุสลิมได้เดินผ่านไปผ่านมา ในทุกๆมัสยิดที่มวลมุสลิมได้ไปร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจ แหละในทุกๆสถานที่ที่มวลมุสลิมได้ไปรวมกันเพื่อประกอบคุณความดี เราท่านทั้งหลายจะพบว่าความเงียบเหงาจะไม่เกิดขึ้นเลย จะมีเสียงกล่าวตั๊กบีรอย่างกึกก้องอยู่ตลอดเวลา ทั้งในยามค่ำคืนแหละในช่วงเช้าก่อนที่จะมีการละหมาดอีดอีดิ้ลอัดฮา แหละหลังละหมาดทุกๆเวลา ถึงเวลาอัสริของวันที่สามในวันตัซรีก
**นักวิชาการทางศาสนายังได้บอกอีกว่า ให้สังเกตดูในวันอีดทั้งสองวันนั้น(วันอีดิ้ลฟิตริแหละวันอีดิ้ลอัดฮา) ในการละหมาดอีดทั้งสองตอนร๊อกอัตแรก มีการกล่าวตั๊กบีร7ครั้ง ร๊อกอัตที่สอง มีการตั๊กบีร5ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์แรก มีการตั๊กบีร9ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์ที่สอง มีการตั๊กบีร7ครั้ง ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้นั้น ถ้าจะสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าการกล่าวตั๊กบีรทั้งหมดนั้นเป็นจำนวนเลขคี่ทั้งหมดเลย
**นักวิชาการทางศาสนายังได้บอกอีกว่า สาเหตุที่ในตอนคุตบะห์แรก ของการละหมาดอีดทั้งสอง มีการกล่าวตั๊กบีรถึง9ครั้ง ส่วนในตอนคุตบะห์ที่สอง มีการกล่าวตั๊กบีรถึง7ครั้ง การกล่าวตั๊กบีรดังกล่าวมานั้น เป็นจำนวนคี่ทั้งหมดเลย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า มีจุดประสงค์ให้ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้า ได้มีการนึกแหละรำลึกถึงว่า พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงนั้นมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น หนึ่งเดียวเท่านั้น (ก็เพราะว่าเลข 1 เป็นจำนวนคี่) ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)ยังทรงเป็นที่พึ่งพาของทุกๆสรรพสิ่งอีกด้วย
**ส่วนในการกล่าวตั๊กบีรในละหมาดอีดทั้งสองนั้น ตอนร๊อกอัตแรก ที่มีการกล่าวตั๊กบีร7ครั้ง ก็เพราะให้เราท่านทั้งหลาย มีการนึกแหละรำลึกถึงว่า ยังมีการปฏิบัติศาสนกิจที่ยิ่งใหญ่ ที่จำเป็นต้องกระทำ ในกรณีของบุคคลที่ครบในเงื่อนไข การปฏิบัติศาสนกิจที่ว่านั้นก็คือ การทำฮัจย์นั่นเอง ความหมายนัยๆของเลข7ที่ตรงกันก็คือ ต่อวาฟมี7รอบ ซะแอมี7รอบ ขว้างเสาหินแต่ละต้นมี7เม็ด ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เราท่านทั้งหลาย มีการนึกแหละรำลึกถึงการสร้างที่ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย ที่พระองค์ได้ทรงสร้างมา แหละสิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือพระองค์ทรงสร้างเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น คือพระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าให้มี7ชั้น ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มี7ชั้น ได้ทรงสร้างทุกๆสรรพสิ่งที่อยู่ในฟากฟ้าแหละพื้นแผ่นดินภายใน7วัน(คือ6วัน ส่วนวันที่7นั้น พระองค์ได้ทรงสร้างท่านนบีอาดำคือทรงได้สร้างในวันศุกร์) แหละอีกประการหนึ่งเลขคี่ที่รองลงมาที่ใกล้เคียงเลข7มากที่สุด ก็คือเลข5 ดังนั้นการกล่าวตั๊กบีรในการละหมาดอีดทั้งสอง(อีดิ้ลฟิตริแหละอีดิ้ลอัดฮา)  ร๊อกอัตที่สองจึงมีการตั๊กบีรถึง5ครั้งด้วยกัน
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَللهُ الَّذِى خَلَقَ سَبْعَ سَموَاتٍ وَمِنَ اْلاَرْضِ مِثْلَهُنَّ يَتَنَزَّلُ اْلاَمْرُبَيْنَهُنَّ لِتَعْلَمُوْااَنَّ اللهَ عَلى كُلِّ شَيْءٍ قَدِيْرٌوَاَنَّ اللهَ قَدْاَحَاطَ بِِكُلِّ شَىْءٍ عِلْمًا
พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงสร้างฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินก็อย่างนั้น(ก็ทรงสร้างเจ็ดชั้นเช่นเดียวกัน) พระบัญชาวะฮี จะลงมาท่ามกลางมันทั้งหลาย(ชั้นฟ้าและแผ่นดิน)เพื่อพวกท่านจะได้รู้ว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้น ทรงอนุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.)นั้น ทรงห้อมล้อมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยความรอบรู้(ของพระองค์ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะมาปิดบังความรอบรู้ของพระองค์ได้)     
ซูเราะห์ اَلطَّلاَق) 65 อายะห์ที่ 12)
**คำว่า مِثْلَهُنَّ ในอายะห์นี้นั้น นักวิชาการได้ให้ความคิดเห็นต่างกัน โดยส่วนมากให้อ่านว่า مِثْلَهُنَّ คืออ่านสระฟัตฮะห์ที่ตัวลาม อยู่ในหน้าที่มัฟอูลให้กับฟิอิ้ลที่ถูกลบไป
مَفْعُوْلٌ لِفِعْلٍ مَحْذُوْفٍ اي وَخلَقَ مِثلَهُنَّ فِى الْعَدَدِمِنَ اْلاَرْضِ
**ส่วนนักวิชาการอีกบางส่วนอ่านว่า คืออ่านสระดอมมะห์ที่ตัวลาม  مِثْلُهُنَّ อยู่ในหน้าที่เป็นมุบต่าดามู่อั๊กค๊อร ส่วนคำว่า  مِنَ اْلاَرْضِอยู่ในหน้าที่ เป็นค่อบัรมู่ก๊อดดัม
**เช่นเดียวกันจากอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้(ตรงคำว่า لِتَعْلَمُوْا  ลามตัวนี้เรียกว่า เป็นลามที่ชี้ถึงการบอกสาเหตุ เป็นعِلَّْةْให้กับคำว่า خَلَقَ  หรือ  يَتَنَزَّلُ) ดังนั้นจากอายะห์ตรงนี้จึงชี้ชัดให้เห็นได้ว่า สาเหตุที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างฟากฟ้าทั้งเจ็ดมาแหละสาเหตุที่พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินทั้งเจ็ดขึ้นมา หรือที่พระองค์ทรงลงวะฮีมา(แหละทรงบริหารจัดการในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างนั้น) พระองค์สร้างฟ้าทั้งเจ็ดแหละแผ่นดินทั้งเจ็ดมาทำไม สาเหตุก็คือเพื่อให้ได้รู้ว่าพระองค์ทรงมีความสามารถ(พระองค์ทรงทำได้ ที่ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงพบได้ว่าไม่เคยได้ยินใครเลยที่อ้างว่าสร้างฟ้ามา แหละไม่เคยได้ยินใครเลยที่อ้างว่าสร้างพื้นแผ่นดินมา ก็เพราะว่าไม่มีใครที่จะสามารถทำได้)
**แหละการที่พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าให้มีถึงเจ็ดชั้น ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มีถึงเจ็ดชั้น ทำไมพระองค์จึงได้ทรงสร้างฟ้าให้มีถึงเจ็ดชั้น ทำไมพระองค์ได้ทรงสร้างพื้นแผ่นดินให้มีถึงเจ็ดชั้น สาเหตุก็คือเพื่อให้ได้รู้ว่าพระองค์ ไม่ใช่แค่มีความสามารถเท่านั้น(ไม่ใช่แค่ทำได้เท่านั้น) แต่อันความเป็นจริงแล้ว พระองค์ทรงมีความสามารถที่สมบูรณ์แบบ ที่ไม่มีใครเลยที่เทียบเทียมพระองค์ได้ แหละอีกทั้งพระองค์ยังทรงมีความรอบรู้ที่สมบูรณ์แบบอีกเช่นกัน ดังนั้นจงกล่าวซะฮาดะห์กันมากๆ จงทำคุณความดีตามรูปแบบ ตามวิถีทางแห่งอัลอิสลามกันมากๆ
**สิ่งที่พี่น้องสมควรจะให้ความสำคัญในวันอีดิ้ลอัดฮาที่กำลังจะมาถึงนี้ มีหลากหลายประการยกตัวอย่างเช่น ร่วมกันประกาศความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า สร้างบรรยากาศให้ร่าเริงแจ่มใสในครอบครัวและในกัมปงเดียวกัน อาบน้ำอาบท่า สวมใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม(อย่าทำตัวให้ซอมซ่อ อย่าทำตัวอมทุกข์ในวันรื่นเริงนี้ ให้ยิ้มแย้มแจ่มใส) ใช้ของหอมตัวเองแหละผู้คนทั่วไปจะได้เกิดความสดชื่น ร่วมกันไปละหมาด ขอมะอัฟกัน เยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง อย่าลืมนะครับถือว่าเป็นโอกาสที่ดียิ่ง ที่เราท่านทั้งหลายสมควรอย่างยิ่ง ที่จะบริจาคในหนทางของพระผู้เป็นเจ้าในทุกๆโอกาสที่เราท่านทั้งหลายสามารถจะกระทำกันได้ จะมากจะน้อยนั้นไม่ใช่ประเด็น แต่สิ่งสำคัญก็คือต้องความอิคลาสบริสุทธิ์ใจ แหละให้อย่างเต็มอกเต็มใจ แล้วเราท่านทั้งหลายจะได้รับริสกีที่ดีงาม แหละจะได้รับภาคผลบุญคุณความดีจากพระผู้เป็นเจ้า ที่เราท่านทั้งหลายไม่สามารถคิดคำนวนได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{مَثَل} صِفَة نَفَقَات {الَّذِينَ يُنْفِقُونَ أَمْوَالهمْ فِي سَبِيل اللَّه} أَيْ طَاعَته {كَمَثَلِ حَبَّة أَنْبَتَتْ سَبْع سَنَابِل فِي كُلّ سُنْبُلَة مِائَة حَبَّة} فكذلك نفقاتهم تضاعف لسبعمائة ضِعْف {وَاَللَّه يُضَاعِف} أَكْثَر مِنْ ذَلِكَ {لِمَنْ يَشَاء وَاَللَّه وَاسِع} فَضْله {عَلِيم} بِمَنْ يَسْتَحِقّ المضاعفة
อุปมา(ข้อเปรียบเทียบ)ของบรรดาผู้ที่บริจาคทรัพย์สินของพวกเขาในหนทางของพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.) ดังอุปมัย(เหมือนกับ)เมล็ดพืชหนึ่งเมล็ด ที่งอกขึ้นเป็นเจ็ดรวง ซึ่งในแต่ละรวงนั้นมีหนึ่งร้อยเมล็ด(กล่าวคือบริจาคหนึ่งเหมือนบริจาคถึงเจ็ดร้อย ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า) และพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)จะทรงเพิ่มพูนแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์อีก(ให้ได้มากกว่าเจ็ดร้อยเท่าอีก สำหรับคนดีๆประกอบแต่คุณความดี ห่างไกลจากบาปกรรมอันเลวร้าย หวังในพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า)และพระองค์อัลเลาะห์(ซ.บ.)นั้นทรงเป็นผู้กว้างขวาง เป็นผู้ทรงรอบรู้(ว่าผู้ใดควรจะได้เป็นผู้เพิ่มพูนมากๆยิ่งกว่าดังที่กล่าวมา ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์2 อายะห์ที่261
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557 จึงเป็นวันที่ 29 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557 เวลา 13.13.45 วินาที(ตามเวลาประเทศไทย)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557 (เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลเกาะดะห์ ฮ.ศ.1435)  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557  ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 399776.63 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 400217.80 กิโลเมตร
**วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18:13:54วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:14:10วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที 16วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 18:11:31 วินาที ดวงจันทร์ตก 18:11:54 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที 23วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18:11:15 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:12:52 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 18:10:52 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:12:23 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที 31วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18:13:33 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:15:03 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที 30วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18:16:49 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:17:09 วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว นาที 20วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18:11:05 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:12:33 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 1นาที 28วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17:57:27 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17:56:58 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที 28วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก 18:13:54 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:14:10 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 0นาที 16วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น ดังนั้นวันอีดิ้ลอัดฮา ตามการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม ฮ.ศ.1435 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม 2557
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันจันทร์ที่ 22  กันยายน พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  04.46.45วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.05.53วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.09.40วินาที อัสริเวลา 15.29.01วินาที มักริบเวลา 18.13.15วินาที อีซาเวลา 19.24.03วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.48.52วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.08.00วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.11.46วินาที  อัสริเวลา 15.31.08วินาที  มักริบเวลา 18.15.22วินาที  อีซาเวลา 19.26.10วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา  04.46.41วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.06.45วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.13.28วินาที  อัสริเวลา  15.38.16 วินาที  มักริบเวลา 18.19.54วินาที  อีซาเวลา 19.31.11วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 04.45.22วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.06.15วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.14.20วินาที  อัสริเวลา 15.40.28วินาที  มักริบเวลา 18.22.04วินาที  อีซาเวลา 19.33.56วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 05, 2014, 08:04 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**พระผู้เป็นเจ้าเอาการเห็นจันทร์เสี้ยว ไม่เอาการมีจันทร์เสี้ยว
**เมืองใครก็เมืองนั้นในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลาม ดังหลักฐานฮะดิษกุรอยที่ทราบกันอยู่
**ที่ผมเองเขียนบทความนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า เมื่อสมัยเปลี่ยนไป ความเจริญก้าวหน้าเริ่มมามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ความเจริญก้าวหน้าแหละความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีนั้น ไม่สามารถที่จะมาลบล้างบทบัญญัติทางศาสนาอิสลามของพระผู้เป็นเจ้าได้เลย
**หลักการของศาสนาอิสลามนั้น การจะเริ่มต้นเดือนใหม่ของเดือนอิสลามได้นั้น ต้องไปผูกพันอยู่กับการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น(กล่าวคือถ้ามีจันทร์เสี้ยวค้างฟ้า แต่ในการดูจันทร์เสี้ยวจริงกลับไม่มีผู้เห็นจันทร์เสี้ยวเลย ดังนั้นจะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามในวันรุ่งขึ้นไม่ได้โดยเด็ดขาดเพราะตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้น การจะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้นั้นต้องผูกพันอยู่กับการเห็นเรียกว่ารุยะห์เท่านั้น โดยที่การจะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้นั้นจะไม่ไปผูกพันกับการมีดวงจันทร์แหละก็จะไม่ไปผูกพันกับการมีจันทร์ค้างฟ้าแหละก็จะไม่ไปผูกพันกับการมีกล้องมองผ่านเมฆโดยเด็ดขาด
**ดังนั้นถ้านักดาราศาสตร์อิสลามคำนวณว่ามีจันทร์ค้างฟ้าสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้(ถึงแม้จะไม่มีการเห็นจันทร์เสี้ยว เราท่านทั้งหลายจะยึดถือว่าวันรุ่งขึ้นเป็นเดือนใหม่ของอิสลามไม่ได้โดยเด็ดขาดโดยอ้างว่าการคำนวนเป็นสิ่งที่ชัดเจนแน่นอน อย่างนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด แต่ต้องรอการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น จึงจะสามารถเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้
ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้ แค่บางส่วนเท่านั้นصُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
**ส่วนการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามนั้น มีไว้เพื่อเป็นแนวทางให้ได้รับรู้ถึงลักษณะของดวงจันทร์แหละปรากฏการณ์ของจันทร์เสี้ยวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น1.ถ้าการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามระบุว่าวันนั้นดวงจันทร์ตกไปก่อนดวงอาทิตย์ อย่างนี้ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว ก็แสดงว่าจะเชื่อเขาไม่ได้โดยเด็ดขาด 2.ถ้าการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามระบุว่ามีจันทร์ค้างฟ้าแต่ยังไม่เป็นเสี้ยวที่จะสามารถมองเห็นได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวในวันนั้น เขาต้องรับผลบาป ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า 3.ถ้าการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามระบุว่ามีจันทร์ค้างฟ้าแหละสามารถมองเห็นได้ ตรงนี้ตามหลักการของศาสนาอิสลามบอกว่า ยังไม่ให้เริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามในวันรุ่งขึ้นโดยเด็ดขาด จนกว่าจะมีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริง จึงให้เริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามในวันรุ่งขึ้นได้ ก็เพราะว่าการเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามนั้น ต้องผูกพันอยู่กับการเห็น ไม่ใช่ผูกพันอยู่กับการมี ดังเช่นในตัวบทฮะดิษดังกล่าวมา
**การดูดวงจันทร์เสี้ยวนั้นเป็นวิธีการเดียวที่ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ให้การยอมรับในการเริ่มต้นเดือนร่อมะดอนอันทรงเกียรติ แหละเป็นวิธีการเดียวที่ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ให้การยอมรับในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามทุกๆเดือน นั่นก็หมายถึงว่าเป็นคำสั่งแหละความต้องการของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ก็เพราะว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เป็นเพียงผู้ที่นำบทบัญญัติทางศาสนาจากพระผู้เป็นเจ้ามาเผยแพร่เท่านั้น มิใช่เป็นผู้ออกบทบัญญัติทางศาสนาเอง
**ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือมีการพยายามทำให้การคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม มาแทนที่การเห็นจันทร์เสี้ยวจริง คืออย่างนี้ครับยกตัวอย่างเช่น ในวันที่ดูจันทร์เสี้ยวกันนั้น ถ้าการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามได้คำนวนออกมาว่าสามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจศาสนาก็ยึดถือทันทีว่าเดือนใหม่ได้เริ่มต้นหลังจากวันนั้นแล้วเพราะการคำนวนถือว่าชัดเจนแน่นอน ถึงแม้ว่าในวันนั้นจะไม่มีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงก็ตาม สิ่งที่นำมาเป็นการอ้างก็คือการคำนวนถือว่าเป็นการยะเกน แต่การเห็นจันทร์เสี้ยวจริงนั้นเป็นเพียงการซอนเท่านั้น ตรงนี้ไม่ตรงกับความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า
**เรื่องจริงดูนะครับ จากตรงนี้เองจึงแสดงว่าถ้ายึดถือว่าการคำนวณถือว่าเป็นการยะเกน โดยให้ยึดการคำนวณมาก่อนการเห็นจันทร์เสี้ยวนั้นถือว่าผิด แหละไม่ตรงกับคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง
**ข้อคิดที่เราท่านทั้งหลายต้องทำความเข้าใจกันก็คือ คิดดูนะครับว่าพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ทรงรอบรู้หรือครับว่าต่อไปหลังจากสมัยของ ร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) จะมีผู้ที่สามารถคำนวนดาราศาตร์อิสลามได้อย่างแม่นยำ คำตอบที่อยู่ในใจของผู้ศรัทธาทุกคนก็คือพระผู้เป็นเจ้าทรงรอบรู้อย่างแน่นอน แต่พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้มีคำสั่งใช้ให้ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ประกาศว่าให้ใช้การคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามมาแทนที่ การนับวันออกไปเป็นวันที่30 ไม่มีเลยที่พระองค์จะมีคำสั่งใช้อย่างนั้นดังฮะดิษที่กล่าวมา
**ซึ่งก็ยังมีการพยายามบิดเบือนหลักการของอิสลามอีก โดยอ้างว่าสมัยนี้ถึงแม้จะมีเมฆมาบดบังจันทร์เสี้ยว จึงทำให้ไม่มีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริง แต่สมัยนี้ก็มีกล้องที่สามารถมองทะลุผ่านเมฆได้นี่ คือพยายามจะให้เชื่อการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามให้ได้
**แสดงว่ายังไม่เข้าหลักการของศาสนาอิสลามอย่างแท้จริงๆ ต้องจำให้ดีนะครับหลักการของศาสนาอิสลามนั้น การที่จะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้นั้นต้องผูกพันอยู่กับ หรือต้องอาศัยการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น ซึ่งตามหลักการของศาสนาอิสลาม การที่จะเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้นั้นไม่ได้ผูกพันอยู่กับการมีจันทร์(ค้างฟ้า แหละไม่ได้ผูกพันอยู่กับการมีกล้องมองผ่านเมฆ) ประเด็นมันอยู่ที่ว่าถ้ามีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริง(ไม่ได้โกหกแต่ถ้าใครโกหกก็รับผลบาปไปณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า)
ส่วนหลักฐานทางอั้ลฮะดิษที่ไม่ให้เอาการคำนวณทางดาราศาสตร์มาเป็นข้อกำหนดในการเริ่มเดือนใหม่ในอิสลามก็คือ ดังปรากฏหลักฐานฮะดิษของท่านศาสดานบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) ดังนี้ แค่บางส่วนเท่านั้นصُوْمُوْا لِرُؤْيَتِهِ ، وَأَفْطِرُوْا لِرُؤْيَتِهِ ،  فَإ
غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوْا عِدَّةَ شَعْبَانَ ثَلاَثِيْنَ يَوْمًا
رواه البخاري  ومسلم
“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี  และมุสลิม
**ดังนั้นนักดาราศาสตร์อิสลาม แม้จะคำนวนได้แม่นยำ ว่าวันที่29ของเดือนอิสลาม มีจันทร์เสี้ยวสามารถจะเห็นได้ แต่ไม่มีนักดาราศาสตร์อิสลามคนใดหรอก ที่จะคำนวนได้ว่า ที่จะรู้ได้ว่า วันที่29ของเดือนอิสลามวันนั้น จะมีเมฆมาบดบังหรือไม่ ฝนจะมาฟ้าจะมืดหรือไม่ ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรอบรู้ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง(นักดารศาสตร์เทียบไม่ได้เลย และอย่าได้คิดไปเทียบกับพระผู้เป็นเจ้าด้วย)
**ตามตัวบทฮะดิษท่านร่อซูลุ้ลลอห์(.ซ.ล.) ตรงนี้ต้องพิจรณาให้ดีนะครับ ที่ตัวบทฮะดิษบอกว่าถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว คือมีสิ่งบดบัง) ก็แสดงว่าวันนั้นมีจันทร์เสี้ยวค้างฟ้าแต่มีสิ่งที่มาบังเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถเห็นได้ ร่อซูลุ้ลลอห์(.ซ.ล.)ใช้ให้ทำไงครับ ระหว่าง 1.ให้นับเดือนซะบานให้ครบ30วัน หรือ2.ให้เชื่อตามการคำนวน มีหรือเปล่าที่ร่อซูลุ้ลลอห์(.ซ.ล.) ใช้ให้เอาการคำนวณมาแทนที่ การนับวันออกไปเป็นวันที่30วัน ก็ไม่มีเลยในหลักฐาน ทั้งอัลกุรอ่านแหละอั้ลฮะดิษก็บอกชัดๆอยู่แล้ว ดังนั้นจะไปเอาทัศนะอื่น(ของนักวิชาการซึ่งก็เป็นเพียงแค่มนุษย์)มาขัดแย้งกับคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า(ซึ่งเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง)แหละท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ไม่ได้โดยเด็ดขาด นี่คือหลักวิชาการ
**ถึงตอนนี้ผู้ที่ไม่ทำตามคำสั่งของร่อซูลุ้ลอห์(ซ.ล.) ต้องถามตัวเองแล้วนะครับว่า เรายังเป็นคนดี ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้าอยู่หรือเปล่า เอาความคิดของตัวเองโดยละทิ้งบทบัญญัติในอั้ลกุรอ่านแหละอั้ลฮะดิษกระนั้นหรือ ศาสนาอิสลามนั้นผู้กำหนดศาสนาคือพระผู้เป็นเจ้า พระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ท่านร่อซูล้ลลอห์(ซ.ล.)เป็นเพียงผู้ที่นำศาสนาที่ถูกต้องมาเผยแพร่เท่านั้นเอง ถ้าพระผู้เป็นเจ้า แหละร่อซูล้ลลอห์(ซ.ล.)ยังไม่สามารถทำให้เชื่อได้ แล้วใครกันเล่าจะทำให้เชื่อได้ ถึงตรงนี้ต้องคิดแล้วนะครับ โอ้พระผู้เป็นเจ้าเราท่านทั้งหลาย ขอให้ห่างไกลจากบาปกรรมอันเลวร้ายทั้งหลายด้วยเถิด อามีน
**ผู้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้านั้นจะทำตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าแหละจะห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระผู้เป็นเจ้า
**ต่อจากนี้ผมจะชี้ให้เห็นถึงนักวิชาการระดับมุจญตะฮิดอย่างเช่นท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.) ท่านได้ฟัตวา ก็ให้ยึดถือการเห็นจันทร์เสี้ยวเป็นหลักพิจรณาในการเริ่มต้นเดือนร่อมะดอน ไม่ให้เอาการคำนวนเป็นหลักพิจรณา โดยให้เราท่านทั้งหลายสังเกตุดูให้ดีๆ ฮะดิษที่ท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.) ได้นำมาระบุไว้ในหนังสืออั้ลอุมของท่าน ซึ่งก็ถือว่าเป็นการฟัตว่ของท่าน
**ท่านอิหม่ามซาฟิอี(ร.ฮ.)กล่าวไว้ในหนังสืออั้ลอุมว่า
أَخْبَرَنَا الرَّبِيعُ قَالَ أَخْبَرَنَا الشَّافِعِيُّ قَالَ أَخْبَرَنَا مَالِكٌ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ دِينَارٍ عَنْ ابْنِ عُمَرَ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - قَالَ الشَّهْرُ تِسْعٌ وَعِشْرُونَ لَا تَصُومُوا حَتَّى تَرَوْا الْهِلَالَ وَلَا تُفْطِرُوا حَتَّى تَرَوْهُ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوا الْعِدَّةَ ثَلَاثِينَ
**ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ได้กล่าวในหนังสือมินฮาจว่า
يجب صوم رمضان بإكمال شعبان ثلاثين أو رؤية الهلال وثبوت رؤيته بعدل
**ในหนังสืออิอานะตุตตอลิบีนก็มีระบุไว้ว่า
يجب صوم شهر رمضان بكمال شعبان ثلاثين أو رؤية عدل واحد
 **ยังมีบางคนนำเอาอายะห์อัลกุรอ่าน มาอ้างว่าให้เชื่อการคำนวณได้(ถ้าการคำนวนระบุว่ามีจันทร์ค้างฟ้าสามารถเห็นได้ ก็ให้เชื่อการคำนวนได้เลย)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَمَنْ شَهِدَ} حَضَرَ {مِنْكُمْ الشَّهْر فَلْيَصُمْهُ وَمَنْ كَانَ مَرِيضًا أَوْ عَلَى سَفَر فَعِدَّة مِنْ أَيَّام أُخَر}
ใครอยู่ในเดือนนั้น ก็จงทำการถือศิลอดและใครป่วยหรืออยู่ในการเดินทางก็จงนับวันอื่น(คือก็จงถือบวชวันอื่นทดแทน)ซูเราะห์อัลบะก่อเราะห์2 อายะห์ที่185
**คืออย่างนี้ครับ ผู้ที่อ้างได้กล่าวว่าคำที่ว่า อยู่ในเดือนนั้น ก็เหมือนกันนั่นแหละระหว่างรุ๊ยะห์(การเห็นจันทร์เสี้ยว) กับการฮิซาบ(การคำนวน)
**ขอให้เราท่านทั้งหลายทำความเข้าใจนะครับ ในแวดวงของนักมุฟัรซิรีน(นักอธิบายอัลกุรอ่านผู้เชี่ยวชาญ)ทั้งหมด ไม่มีใครเอาอายะห์ที่บอกว่า
فَمَنْ شَهِدَ مِنْكُمُ الشَّهْرَ فَلْيَصُمْهُ
มาเป็นหลักฐานถึงเรื่อง(เกี่ยวกับเรื่อง)การเริ่มต้นเข้าบวช(เดือนร่อมะดอนเลย) ไม่มีนักมุฟัรซิรีน(นักอธิบายอัลกุรอ่านผู้เชี่ยวชาญ)บอกว่าให้เชื่อการคำนวนทางดาราศาสตร็อิสลามได้ ไม่มีเลยเข้าใจกันด้วยนะครับ แต่อายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้ จุดประสงค์(ของอายะห์นี้)เป็นคำสั่งใช้ให้ถือศิลอดสำหรับผู้ที่อยู่ในกำปงที่ไม่ได้เดินทาง ซึ่งก็ชัดเจนอยู่แล้วในอัลกุรอ่านที่บอกต่อว่าวะมังกานะมะรีดอน (สิ่งนี้เป็นการตัฟซีรอัลกุรอ่าน ของนักมุฟัรซิรีนที่ในโลกของนักวิชาการเขายอมรับกันทั้งนั้น) ไม่ใช่อธิบายอัลกุรอ่านให้เข้าที่เข้าทางกับทัศนะของตัวเองนะครับ วัลลอฮุอะละมู่บิสสะวาบ) กรณีที่เจ็ปป่วยหรือเดินทาง จะไม่ถือศิลอดก็ได้แต่ต้องชดใช้ในวันอื่น
ดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{فَمَنْ شَهِدَ} حَضَرَ {مِنْكُمْ الشَّهْر فَلْيَصُمْهُ وَمَنْ كَانَ مَرِيضًا أَوْ عَلَى سَفَر فَعِدَّة مِنْ أَيَّام أُخَر}
มาดูในตัฟซีรยะลาลีนนะครับ อธิบายคำว่าซะฮิดะ ว่าฮะด่อร่อ ไม่มีเลยที่อธิบายว่าให้คำนวนทางดาราศาสตร์
แล้วก็ไปดูในตัฟซีรอิบนุกะซีรนะครับ
وَقَوْلُهُ: {فَمَنْ شَهِدَ مِنْكُمُ الشَّهْرَ فَلْيَصُمْهُ} هَذَا إِيجَابُ حَتْمٍ عَلَى مَنْ شَهِدَ اسْتِهْلَالَ الشَّهْرِ -أَيْ كَانَ مُقِيمًا فِي الْبَلَدِ حِينَ دَخَلَ شَهْرُ رَمَضَانَ، وَهُوَ صَحِيحٌ فِي بَدَنِهِ -أَنْ يَصُومَ لَا مَحَالَةَ
เห็นแล้วใช่ใหมครับการตัฟซีรของนักตัฟซีรที่โลกเขายอมรับ ไม่มีเลยที่อธิบายว่าให้คำนวนทางดาราศาสตร์
ยังมีอีกหลายตัฟซีรผมจะไม่นำมาพูดตรงถึงนี้ ก็เพราะว่าสำหรับผู้ที่เจริญแล้วแหละผู้ที่ศรัทธานั้น แค่หลักฐานเพียงหนึ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว ที่จะสามารถทำให้เขาศรัทธาได้
**มีฮะดิษอยู่ต้นหนึ่งที่มีผู้นำมาอ้างว่าให้คำนวนได้ ทั้งๆที่ความหมายของอัลฮะดิษไม่ได้ใช้ให้เอาการคำนวนมาเริ่มต้นเดือนร่อมะดอน(แหละเดือนอื่นๆในอิสลาม) ฮะดิษที่ว่าก็คือ
حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مَسْلَمَةَ، حَدَّثَنَا مَالِكٌ، عَنْ نَافِعٍ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا: أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ذَكَرَ رَمَضَانَ فَقَالَ: «لاَ تَصُومُوا حَتَّى تَرَوُا الْهِلَالَ، وَلاَ تُفْطِرُوا حَتَّى تَرَوْهُ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَاقْدُرُوا لَهُ
**ตรงคำว่าฟัคดุรูละห์ ต้องแปลว่าจงนับเดือนนั้น
**ซึ่งบางคนพยายามจะทำให้เอาการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม มาแทนการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงในการเริ่มเดือนใหม่ในอิสลาม นำฮะดิษที่บอกว่าฟัคดุรูละห์ มาแปลว่าจงคำนวน ดังนั้นจงพิจรณาดูนะครับถ้าแปลว่าจงคำนวณ แสดงว่าก็จะไปค้าน(ไม่เป็นไปในทางเดียวกัน ไม่สอดคล้องกัน)กับฮะดิษที่บอกว่า สะลาซีนะเยามัน ดังที่กล่าวมาแล้ว แหละแสดงว่าก็จะไปค้าน(ไม่เป็นไปในทางเดียวกัน ไม่สอดคล้องกัน)กับฮะดิษที่บอกว่า ฟะอักมีลุ้ลอิดะตะสะลาสีนะทันที
أَخْبَرَنَا الرَّبِيعُ قَالَ أَخْبَرَنَا الشَّافِعِيُّ قَالَ أَخْبَرَنَا مَالِكٌ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ دِينَارٍ عَنْ ابْنِ عُمَرَ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - قَالَ الشَّهْرُ تِسْعٌ وَعِشْرُونَ لَا تَصُومُوا حَتَّى تَرَوْا الْهِلَالَ وَلَا تُفْطِرُوا حَتَّى تَرَوْهُ، فَإِنْ غُمَّ عَلَيْكُمْ فَأَكْمِلُوا الْعِدَّةَ ثَلَاثِينَ
**(อีกประการถ้าจะให้ความหมายฟัคดุรูละห์ว่าจงคำนวน ก็จะไม่ตรงกับประวัติศาสตร์อิสลาม ก็เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)เป็นผู้ที่กล่าวฮะดิษต้นนี้ไว้ ซึ่งสมัยของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เป็นสมัยที่คำนวนกันไม่เป็น ซึ่งได้มีระบุไว้อย่างฮะดิษที่เคยบอกมาที่เราท่านทั้งก็รู้อยู่ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คำว่าฟัคดุรู จะมีความหมายว่าจงคำนวน พิจรณาดูที่อัลฮะดิษนะครับ
حَدَّثَنَا آدَمُ، حَدَّثَنَا شُعْبَةُ، حَدَّثَنَا الأَسْوَدُ بْنُ قَيْسٍ، حَدَّثَنَا سَعِيدُ بْنُ عَمْرٍو، أَنَّهُ سَمِعَ ابْنَ عُمَرَ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، أَنَّهُ قَالَ: «إِنَّا أُمَّةٌ أُمِّيَّةٌ، لاَ نَكْتُبُ وَلاَ نَحْسُبُ، الشَّهْرُ هَكَذَا وَهَكَذَا» يَعْنِي مَرَّةً تِسْعَةً وَعِشْرِينَ، وَمَرَّةً ثَلاَثِينَ
**เกี่ยวกับเรื่องนี้แนะนำให้ไปดูในหนังสือฟัตฮุ้ลบารี ผู้เรียบเรียงก็คือท่านเซคอะห์มัด อิบนุอะลี อิบนุฮะยัร อัลอัสก่อลานีอัซซาฟิอี ก็จะพบเลยว่าจะไม่แปลว่าจงคำนวนอย่างเด็ดขาดเพราะว่าจะไปขัดกับอัลฮะดิษของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ดังที่กล่าวมาเกี่ยวกับเรื่องนี้
**สรุปก็คือตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้นต้องมีการเห็นจันทร์เสี้ยวจริงเท่านั้น จึงจะสามารถเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้ การคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลามจะไม่สามารถนำมาเป็นข้อกำหนดในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในอิสลามได้ ซึ่งการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเป็นเพียงแค่แนวทางในการรับรู้ลักษณะของดวงจันทร์ แหละปรากฏการณ์ของจันทร์เสี้ยวเท่านั้น
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 24, 2014, 08:46 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
**อ่านบทความต่อเนื่องด้านบนก่อนนะครับ
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435 ดังนั้นวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557  ตรงกับวันที่ 29 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435  ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436(วันขึ้นฮิจเราะห์ศักราชใหม่ในอิสลาม)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557 เวลา 04.56.42วินาที(ตามเวลาประเทศไทย)   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557 (เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 ซุ้ลฮิจยะห์ ฮ.ศ.1435)  จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436(วันขึ้นฮิจเราะห์ศักราชใหม่ในอิสลาม)
(เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว (เลิกถือศีลอด) ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน)”  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557   ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ 389046.25 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 389627.43 กิโลเมตร
**วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17:54:39วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:17:29วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 50วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 17:53:16วินาที ดวงจันทร์ตก 18:16:07 วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 51วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 17:58:50วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:22:19วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
- ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 17:57:59วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:21:24วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23นาที 25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 18:00:14วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:23:41วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23นาที 27วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17:57:38วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:20:33วินาที มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 55วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 17:57:56วินาที  ดวงจันทร์ตก 18:21:20วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 23นาที 24วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17:37:02วินาที  ดวงจันทร์ตก 17:59:12วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 10วินาทีไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก  17:54:48วินาที  ดวงจันทร์ตก  18:17:37วินาที  มีเวลาสังเกตจันทร์เสี้ยว 22นาที 50วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436(วันขึ้นฮิจเราะห์ศักราชใหม่ในอิสลาม)
ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2557 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2557  เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา  ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับ สำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  04.57.29วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.09.17วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.01.04วินาที อัสริเวลา 15.21.45วินาที มักริบเวลา  17.52.41วินาที อีซาเวลา 19.04.30วินาที
-สำหรับ กทม.ซุบฮิเวลา 04.59.17วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.11.03วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.02.56วินาที  อัสริเวลา 15.23.38วินาที  มักริบเวลา 17.54.39วินาที  อีซาเวลา 19.06.26วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา  05.05.11วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.17.12วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.04.55วินาที  อัสริเวลา  15.22.54 วินาที  มักริบเวลา 17.52.22วินาที  อีซาเวลา 19.04.23วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 05.06.53วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.23.20 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.05.21วินาที  อัสริเวลา 15.21.22วินาที  มักริบเวลา 17.47.05วินาที  อีซาเวลา  19.03.29วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
      (โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน)


ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: ยกสองมือเพื่อขอดุอาอ์
« ตอบกลับ #93 เมื่อ: พ.ย. 15, 2014, 07:20 AM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**ขอให้เราท่านทั้งหลายจงอย่ามีเจตนาที่ไม่ตามซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กันนะครับ แต่ซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อันใหนละที่เป็นซุนนะห์ของแท้ อันใหนละที่เป็นซุนนะห์แท้ๆจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) แหละอันใหนที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นซุนนะห์ แต่จริงๆกลับไม่มีในหลักฐานทางศาสนาอิสลาม สิ่งนี้แหละที่เราท่านทั้งหลายต้องตระหนักกันให้มากๆนะครับ
**ที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันของเราท่านทั้งหลายมากขึ้น
**ผมเชื่อว่าคนทุกๆคนล้วนแล้วแต่พยายามสรรหา แหละพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ให้เข้ามาในชีวิตของตัวเองแหละให้เข้ามาในชีวิตของคนที่เราท่านทั้งหลายรักอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องราวของศาสนานั้น เราท่านทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่พยายามสรรหา แหละพยายามเลือกสิ่งที่เราท่านทั้งหลายคิดว่าดีที่สุด ที่เราท่านทั้งหลายคิดว่ามาจากพระผู้เป็นเจ้าแหละมาจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) มากที่สุด ที่เราท่านทั้งหลายจะกระทำได้
**ดังนั้นเมื่อสมัยได้เปลี่ยนไป การศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับหลักการของศาสนาก็เปลี่ยนไปด้วย สมัยก่อนศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับหลักการของศาสนาโดยไปหาผู้รู้ที่บ้าน เรียกกันว่าสอนกันที่บ้านเลย ถ้ามีผู้สนใจมากสักหน่อยก็ขยับขยายไปสอนกันที่บาลาหรือสอนกันที่มัสยิด หรือไม่ก็เปิดเป็นสถาบันการศึกษาแบบปอเนาะ สมัยก่อนถ้าสงสัยเกี่ยวกับมัสอะละห์หนึ่ง(ปัญหาทางศาสนาข้อนึง)ก็ต้องดั้นด้นไปหาผู้รู้ ถ้าอยู่ใกล้ก็สะดวกหน่อย ถ้าอยู่ไกลก็ลำบากหน่อยแต่ก็ต้องไปเพราะอยากจะได้ความรู้ทางศาสนา
**ซึ่งต่างกับการเรียนการสอนทางศาสนาในสมัยนี้อย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้ด้วยความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี แหละความก้าวหน้าในด้านต่างๆ การเรียนการสอนเกี่ยวกับเรื่องราวของศาสนานั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ง่ายดายมาก เรียนกันด้วยอินเตอร์เน็ท หรือเรียนกันด้วยสื่ออื่นๆ ผมเองถือว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างดียิ่ง แต่อีกใจนึงผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้อีกเช่นกันก็คือ ในบางครั้งในบางทีหลักการศาสนานั้นได้ถูกบิดเบือนไปจากหลักฐานจริงทางอัลกุรอ่านแหละอัลฮะดิษ
**เราท่านทั้งหลายผมเชื่อว่าทุกคนต้องขอดุอาอ์ต่อพระผู้เป็นเจ้ากันทั้งนั้น แต่อย่างหนึ่งที่ทำไม่เหมือนกันก็คือ บางครั้ง ก็เห็นบางคนยกมือขอดุอาอ์ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยกมือขอดุอาอ์ แล้วตามซุนนะห์ของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)จริงๆทำอย่างไร อันนี้แหละครับที่เราท่านทั้งหลายต้องให้ความสำคัญ
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَقَالَ رَبّكُمْ اُدْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ} أَيْ اُعْبُدُونِي أُثِبْكُمْ بِقَرِينَةِ مَا بَعْده
ท่านทั้งหลายจงขอกับข้า(พระผู้เป็นเจ้า) แล้วข้า(พระผู้เป็นเจ้า)จะตอบรับคำขอให้กับพวกท่าน(ในตัฟซีรยะลาลีนให้การตัฟซีรว่า ท่านทั้งหลายจงทำอิบาดะห์ภักดีกับข้า(พระผู้เป็นเจ้า)  ข้า(พระผู้เป็นเจ้า) ก็จะประทานภาคผลบุญให้กับพวกท่านทั้งหลาย) (ที่นักตัฟซีรได้ให้ความหมายอย่างนี้)ก็ด้วยกับอายะห์อัลกุรอ่านที่มีต่อหลังจากตรงนี้นั่นเอง ก็ด้วยกับอายะห์อัลกุรอ่านที่มีหลังจากตรงนี้นั่นเอง) ซูเราะห์ฆอฟิร มุอ์มิน40 อายะห์ที่60 
**มีระบุไว้ในตัฟซีรอินุกะซีรว่า
هَذَا مِنْ فَضْلِهِ، تَبَارَكَ وَتَعَالَى، وَكَرَمِهِ أَنَّهُ نَدَبَ عِبَادَهُ إِلَى دُعَائِهِ، وَتَكَفَّلَ لَهُمْ بِالْإِجَابَةِ،
ท่านอิบนุกะซีรได้อธิบายว่า(อายะห์นี้) พระองค์ทรงกระตุ้นให้ปวงบ่าวของพระองค์ให้มีการวิงวอนขอดุอาอ์ต่อพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)  และพระองค์ก็รับประกันว่าจะตอบรับคำขอของปวงบ่าวของพระองค์ สิ่งนี้ถือว่าเป็นความโปรดปรานจากพระองค์และเป็นการให้เกียรติของพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)
**อายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้ก็เป็นหลักฐานทางอัลกุรอ่าน ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนเลยว่า พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้เราท่านทั้งหลายที่อยู่ในฐานะปวงบ่าวของพระองค์ พระองค์ต้องการให้มีการขอดุอาอ์ต่อพระองค์ (จะวิงวอนขอดุอาอ์ตอนใหนก็ได้ทั้งนั้น ขออย่างเดียวก็คือต้องวิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)เท่านั้น จะหลังละหมาดหรือตอนใหนเวลาใดก็ได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งตอนเราท่านทั้งหลาย จะเข้าไปในสถานที่ ที่ศาสนาถือว่าสกปรกยังส่งเสริม ยังมีดุอาอ์ให้วิงวอนขอเลย ดังนั้นผู้ที่ยึดถือว่าการขอดุอาอ์หลังละหมาด ไม่มีในหลักฐานทางศาสนา ขอให้พิจรณาอายะห์อัลกุรอ่านตรงนี้ให้ดีๆนะครับ)
**ซึ่งอันความเป็นจริงแล้วการขอดุอากับการทำอิบาดะห์ก็มีอะไรที่เหมือนๆกันอยู่ ดังเช่นการขอดุอาจะให้ได้ผลตอบรับ จิตใจก็ต้องมุ่งอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าอยู่ตลอด ก็เช่นเดียวกับการทำอิบาดะห์ อีกทั้งการขอดุอาจะให้ได้ผลตอบรับ จิตใจก็ต้องมีความสงบและนอบน้อมถ่อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้า ก็เช่นเดียวกับการทำอิบาดะห์ฯลฯ แต่สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นพิเศษในการขอดุอาอ์ก็คือไม่มีเวลากำหนด จะขอตอนใหนก็ได้นี่แหละครับคือความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่แหละครับคือความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์พร้อมที่จะช่วยเหลือ พระองค์พร้อมที่จะให้ปวงบ่าวของพระองค์ได้ตลอดเวลา
**ได้มีระบุไว้ในตัฟซีรของท่านอิบนุกะซีรว่า
وقال  الإمام أحمد: حدثنا أبو معاوية، حدثنا الأعمش، عن ذر، عن يُسيع الكندي، عن النعمان بن بشير، رضي الله عنه، قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم: "إن الدعاء هو العبادة" ثم قرأ: { ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ إِنَّ الَّذِينَ يَسْتَكْبِرُونَ عَنْ عِبَادَتِي سَيَدْخُلُونَ جَهَنَّمَ دَاخِرِينَ } .   
وهكذا رواه أصحاب السنن: الترمذي، والنسائي ،وابن ماجه، وابن أبي حاتم، وابن جرير، كلهم من حديث الأعمش، به . وقال الترمذي: حسن صحيح
**สิ่งที่ผมจะนำมาเสนอต่อจากนี้นั้น จัดว่าเป็นหลักการของศาสนาอิสลามที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า แหละมาจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) อย่างแท้จริง เรียกว่าเป็นซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหลักฐานที่สามารถตรวจสอบได้จริง แหละเป็นหลักฐานที่บรรดาผู้รู้ ทั้งในสมัยอดีตแหละผู้รู้ในทุกยุคทุกสมัยต่างให้การยอมรับ
**ซุนนะห์(แนวการปฏิบัติ)ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เกี่ยวกับเรื่องการขอดุอาอ์นั้นก็คือ ต้องมีการยกมือด้วย เน้นย้ำนะครับการขอดุอาตามแบบฉบับ(ตามซุนนะห์)ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) นั้นต้องยกมือด้วย (ซึ่งบางคนเข้าใจว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)นั้น ยกมือขอดุอาอ์เฉพาะแค่ตอนละหมาดขอฝนเท่านั้น ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ยังไม่สมบูรณ์แบบนะครับ)
**เน้นย้ำนะครับสิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นฮะดิษ เป็นหลักฐานทางศาสนาอิสลามที่มีระบุอยู่จริงในหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรี(กล่าวคือหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรีนั้น เป็นหนังสือที่นักวิชาการทางศาสนาอิสลามได้ให้การยอมรับว่า เป็นหลักฐานทางศาสนาที่สมบูรณ์รองมาจากอัลกุรอ่านเลยทีเดียว ก็เพราะว่านักวิชาการทางศาสนาอิสลาม พยายามหาข้อผิดพลาดในหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรี แต่ก็ไม่พบเลยแต่อย่างใด) ได้ระบุอยู่ในเรื่องของการยกสองมือในการวิงวอนขอดุอาอ์ ท่านอิหม่ามบุคอรีได้ระบุในหนังสือของท่านว่า(ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรี)โดยท่านตั้งชื่อบทว่า บทของการยกสองมือในขณะวิงวอนขอดุอาอ์(ต่อพระผู้เป็นเจ้า) (สังเกตุให้ดีนะครับชื่อบทที่ท่านได้ตั้งก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ตามซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จริงๆนั้นให้ยกสองมือขอดุอาอ์)
**ข้อความที่มีระบุไว้ในหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรี มีดังต่อไปนี้
باب رفع الأيدي في الدعاء
وَقَالَ أَبُو مُوسَى الْأَشْعَرِيُّ دَعَا النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثُمَّ رَفَعَ يَدَيْهِ وَرَأَيْتُ بَيَاضَ إِبْطَيْهِ
ท่านอบูมูซา อั้ลอัซอะรีได้กล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ได้ขอดุอาอ์ โดยยกสองมือของท่านขึ้น(ยกสูงด้วย) และฉันเห็นรักแร้ขาวทั้งสองข้างของท่าน(ตรงนี้ชัดเจนเลยว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ไม่ได้ยกมือขอดุอาอ์เฉพาะตอนขอฝนอย่างเดียว)
وَقَالَ ابْنُ عُمَرَ رَفَعَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَدَيْهِ وَقَالَ اللَّهُمَّ إِنِّي أَبْرَأُ إِلَيْكَ مِمَّا صَنَعَ خَالِدٌ
และท่านอิบนุอุมัรกล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ได้ยกมือทั้งสองข้างของท่าน และท่านก็กล่าววอนขอ(ต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า) โอ้พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) ฉัน(ข้าพระองค์) ขอให้รอดพ้นจากการกระทำของคอลิดด้วยเถิด(ตรงนี้ชัดเจนเลยว่าท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ไม่ได้ยกมือขอดุอาอ์เฉพาะตอนขอฝนอย่างเดียว ตอนอื่นท่านก็ยกสองมือขึ้นแล้วก็วิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้า พระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.))
قَالَ أَبُو عَبْد اللَّهِ وَقَالَ الْأُوَيْسِيُّ حَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ جَعْفَرٍ عَنْ يَحْيَى بْنِ سَعِيدٍ وَشَرِيكٍ سَمِعَا أَنَسًا عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَفَعَ يَدَيْهِ حَتَّى رَأَيْتُ بَيَاضَ إِبْطَيْهِ
ท่านบิดาของอับดุลลอฮ์กล่าวว่า และท่านอุวัยซีญ์ได้กล่าวว่า ท่านมุฮัมมัดบุตรของท่านยะฟัรเล่ากับฉันว่า จากท่านยะห์ยาบุตรของท่านซะอีด และจากท่านซะรีก ทั้งสองได้ยินจากท่านอะนัสว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ได้ยกสองมือขึ้นมา จนกระทั่งฉันเห็นรักแร้สีขาวทั้งสองข้างของท่าน
**ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ขอดุอาอ์โดยไม่ยกมือ จึงเป็นคำกล่าวที่ค้านกับหลักฐานทางศาสนาอิสลามโดยสิ้นเชิง ดังหลักฐานดังกล่าวมา(ดังนั้นเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับหลักฐานทางศาสนาที่มีอยู่ในหนังสือซอเฮี๊ยะบุคอรี)
**ดังนั้นจึงสรุปว่าการขอดุอาอ์ทุกรูปแบบ ให้วิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) ไม่ว่าจะขอดุอาอ์ตอนใหนก็แล้วแต่ ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นการขอดุอาอ์แล้ว(เน้นย้ำนะครับตามซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)แล้วนั้น) ให้ยกมือทั้งสองข้างสูงๆขึ้นขอดุอาอ์ด้วย นอกจากว่ามือทำสุนัตอย่างอื่นอยู่เช่น การขอดุอาอ์ในขณะอ่านฟาติฮะห์ ซึ่งมืออยู่ในสภาพกอดอกฯลฯ
**ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อให้เราท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติตามแนวทาง(นำไปปฏิบัติตามซุนนะห์ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)จริงๆ)ของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) และนำไปบอกต่อให้ผู้ที่ไม่รู้ ได้รู้ถึงหลักการที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าแหละหลักการที่มาจากท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ที่ถูกต้องจริงๆ
**ดังนั้นถ้าใครขอดุอาอ์โดยที่ไม่ยกสองมือ ถือว่าไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง แหละถือว่าแสดงถึงความไม่มีมารยาทในการขอดุอาอ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า) ดังหลักฐานดังกล่าวมาข้างต้น แต่ถ้าผู้ใดที่มีการยกสองมือในการขอดุอาอ์ ก็ถือว่าได้รับภาคผลบุลเพิ่มเติมจากพระผู้เป็นเจ้า(เพราะเป็นการแสดงออก ทางมารยาทที่ดีงามของปวงบ่าวที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า) แหละเป็นการกระทำตามซุนนะห์ของท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)อย่างถูกต้องและแท้จริงอีกด้วย ส่วนที่สำคัญมากก็คือถ้ารู้แล้ว ยังไปฮุก่มคนอื่นว่า การยกมือขอดุอาอ์ เป็นบิดอะห์ ตรวจหาหลักฐานแล้วไม่มี อย่างนี้ซิมีผลบาปอย่างแน่นอน ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า(เพราะหลักฐานในหนังสือซอเฮี๊ยะห์บุคอรี ก็มีกล่าวไว้ชัดๆอยู่แล้ว) ผมแหละเราท่านทั้งหลายขอให้ห่างไกลจากบาปกรรมอันเลวร้ายต่างๆนาๆด้วยเถิด อามีน
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557ตรงกับวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436  (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436ดังนั้นวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557ตรงกับวันที่ 29 มุฮัรรอม ฮ.ศ.1436 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1436
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 เวลา 19.32.18วินาที(ตามเวลาประเทศไทย   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557(เพราะทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2557 เป็นวันที่ 1 มุฮัรรอม ฮ.ศ. 1436 จึงต้องมีการดูดวงจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ. 1436 )
เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว เลิกถือศีลอด ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน”)  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ  379925.09 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ 380553.58 กิโลเมตร
**วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.47.46 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.46.33 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 13วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 17.46.58 วินาที ดวงจันทร์ตก 17.45.29 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 29วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลาอ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 17.57.11 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.54.07 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 3นาที 4วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน -  ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 17.55.58 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.53.01 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 2นาที 57วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก 17.57.51 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.55.07 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 2นาที 44วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17.50.37 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.49.34 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 3วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 17.55.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.52.49 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 2นาที 52วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17.29.01 วินาที  ดวงจันทร์ตก 17.27.36 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 25วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก  17.47.50 วินาที  ดวงจันทร์ตก  17.46.39 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 1นาที 11วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ. 1436
ตรงกับวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2557  ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์ว(ซ.ล)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับสำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  04.54.07วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.16.35วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.01.21วินาที อัสริเวลา 15.19.21วินาที มักริบเวลา  17.45.59วินาที อีซาเวลา 18.59.57วินาที
-สำหรับกทม.ซุบฮิเวลา 04.55.51วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.18.17วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.03.13วินาที  อัสริเวลา 15.23.38วินาที  มักริบเวลา 17.54.39วินาที  อีซาเวลา 19.01.57วินาที
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา  05.05.44วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.28.39วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.05.15วินาที  อัสริเวลา  15.16.09 วินาที  มักริบเวลา 17.41.38วินาที  อีซาเวลา 18.55.45วินาที 
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 05.09.06วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.36.46 วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.05.41วินาที  อัสริเวลา 15.12.44วินาที  มักริบเวลา 17.34.22วินาที  อีซาเวลา  18.53.02วินาที 
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
     โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 15, 2014, 07:22 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: ซัยยิดินา นายของเรา
« ตอบกลับ #94 เมื่อ: ธ.ค. 19, 2014, 01:58 PM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**นี่ก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นปีใหม่แล้ว ปฏิทินอิสลามก็ถือว่าเป็นของขวัญที่เลอค่ามากๆสำหรับมวลมุสลิมชายแหละมวลมุสลิมะห์ เพราะสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือ เวลาปฏิบัติศาสนกิจที่มวลมุสลิมแหละมวลมุสลิมะห์ต้องนำมายึดปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันตลอดทั้งปีแหละตลอดชีวิต แหละสิ่งที่มีระบุอยู่ในปฏิทินอิสลามนั้นก็คือเดือนต่างๆของอิสลามเช่นวันที่1เดือนมุฮัรรอมตรงกับวันที่เท่าใด แหละวันที่1ของเดือนอิสลามเดือนอื่นๆตรงกับวันที่เท่าใด อะไรอย่างนี้เป็นต้น
**ในความเป็นจริงแล้ว(ตามหลักซะรีอัต)เราท่านทั้งหลายนั้นต้องฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี แหละปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีในการเริ่มต้นเดือนใหม่ในเดือนของอิสลามเท่านั้น เพราะนั่นคือหน้าที่แหละความรับผิดชอบ ซึ่งทางสำนักจุฬาราชมนตรีจะประกาศในทุกๆเดือน(ซึ่งจะใช้การเห็นจันทร์เสี้ยวแหละการไม่เห็นจันทร์เสี้ยวมาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดวันเริ่มต้นเดือนใหม่)
**ส่วนในมุมมองของนักดาราศาสตร์อิสลามนั้น ในเมื่อต้องทำปฏิทินล่วงหน้า1ปี จะเริ่มวันที่1ของเดือนอิสลามในทุกๆเดือนนั้น ว่าจะเป็นวันที่เท่าไหร่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
**ใครจะรู้ว่าเมื่อพันสี่ร้อยกว่าปี ขณะที่เทคโนโลยียังล้าสมัยมาก ผู้คนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกใบนี้นั้น จริงๆแล้วกลมไม่ใช่แบน แต่มีบุรุษท่านหนึ่ง(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) นำปฏิทินแห่งฟากฟ้ามาจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นปฏิทินที่ยึดเอาปรากฏการณ์ทางท้องฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนด นำมาบอกให้มวลมนุษยชาติได้รับรู้(ซึ่งที่จะไม่มีการผิดเพี้ยนเลยเพราะเป็นปฏิทินที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า โดยพระผู้เป็นเจ้าได้ให้ดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด)
**บุรุษที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)) อยู่ในยุคที่ล้าสมัย จะรับรู้ถึงเรื่องราวที่ล้ำสมัยอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าพระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆไม่ทรงบอก
**เราท่านทั้งหลายเคยสงสัยหรือไม่ว่า ตั้งแต่เกิดมาสิ่งที่เราเห็นอยู่หลักๆก็คือโลกเพราะเราท่านทั้งหลายเดินแหละวิ่งเล่นเมื่อยามเป็นเด็ก ดวงอาทิตย์เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ดวงจันทร์บางวันก็เห็นบ้างบางวันก็ไม่เห็น(แล้วมีฮิกมะห์อะไรที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงสร้างให้ดวงจันทร์มีแสงในตัวเองเลย ทำไมดวงจันทร์จึงต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ด้วย ทำไมหนอวันธรรมดาดวงจันทร์มีแสงนวลตา แต่ทำไมหนอวันที่เกิดจันทรุปราคาดวงจันทร์ทำไมดวงจันทร์จึงมีสีแดงคล้ายอิฐเผา คำตอบทั้งหมดนั้นพระผู้เป็นเจ้าทรงบอกไว้หมดแล้วในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน)
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
{وَجَعَلَ الْقَمَر فِيهِنَّ} أَيْ فِي مَجْمُوعهنَّ الصَّادِق بِالسَّمَاءِ الدُّنْيَا {نُورًا وَجَعَلَ الشَّمْس سِرَاجًا} مِصْبَاحًا مُضِيئًا وَهُوَ أَقْوَى مِنْ نُور الْقَمَر
และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า ซูเราะห์ นูฮ์ อายะห์ที่ 16 
**ในอายะห์นี้  พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่า "นูร" กับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง  แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตา  เพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์  เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้  และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าซีรอจกับดวงอาทิตย์ ("ซีรอจ" แปลว่า "ตะเกียง")  ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเอง  สามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย  เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่ง หรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อย แต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ  ก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)
**ดังนั้นถ้าผู้ที่ทำปฏิทินใดๆ ยึดหลักว่าต้องเอาปรากฏการณ์บนฟากฟ้ามาเป็นสิ่งกำหนดในการเริ่มต้นเดือนใหม่ของอิสลาม แล้วเริ่มต้นเดือนใหม่(อันนี้คือตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม ไม่ใช่หลักซะรีอัตเพราะหลักซะรีอัตต้องปฏิบัติตามการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรี) ก็จะตรงกับหลักความเป็นจริงบนฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา
**ขอให้เราท่านทั้งหลายรับรู้ว่า ใครจะโกหกว่าเห็นจันทร์เสี้ยวหรือใครจะโกหกว่าไม่เห็นจันทร์เสี้ยวอย่างไรก็พูดได้ทั้งนั้น เพราะนั่นคือมนุษย์ แต่ปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรสร้างมา จะไม่เป็นไปตามคำโกหกของมนุษย์เหล่านั้นหรอก ก็เพราะว่าปรากฏการณ์ทางฟากฟ้านั้น จะดำเนินไปตามคำสั่งใช้ จะดำเนินไปตามการกำหนดของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (ดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แหละดวงจันทร์ก็จะเคลื่อนที่ตามวงรอบของดวงจันทร์เท่านั้น กล่าวคือดวงจันทร์จะไม่เคลื่อนที่ช้าหรือเร็ว เพียงเพื่อให้ไปตรงกับคำโกหกต่างนานาๆของมนุษย์โดยเด็ดขาด)
ดั่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
اَلشَّمْسُ وَالْقَمَرُ بِحُسْبَانٍ
ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรตามวิถีที่แน่นอน ซูเราะห์อัรเราะห์มาน 55 อายะห์ที่ 5
(ตรงนี้بที่เป็นحرف الجرต้องมีที่تعلوقนักวิชาการจึงได้มีการสมมุติคำขึ้นมาว่า
 الشمسُ والقمرُ مُستقِرٌّيَجْرِياَنِ بِِحسبان)
**ถ้าไม่เข้าใจปรากฏการณ์ทางฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมาอย่างถ่องแท้แล้ว การนับวันของอิสลามก็จะคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้นตามปฏิทินแห่งฟากฟ้าที่พระผู้เป็นเจ้าได้สรรสร้างมา ท่าน(ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.))ท่านได้ประสูติ ในวันจันทร์ที่9(ย้ำนะครับ เก้า)เดือน ร่อบิอุ้ลเอาวัล ปีค.ศ. 571(ปีช้าง) ตรงกับวันจันทร์ที่ 20เมษายน ค.ศ. 571ในวันศุกร์ที่ 10 เมษายน ค.ศ. 571 (ซึ่งในปีค.ศ. 571 เดือนกุมภาพันธ์มี 28วัน) มีจันทร์ค้างฟ้าไม่ถึง 15 นาทีตามมหานครมักกะห์ ดวงจันทร์สูงแค่ 2องศากว่าๆเท่านั้นเอง อายุดวงจันทร์8ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่ดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าในมหานครมักกะห์ ดวงอาทิตย์แหละดวงจันทร์ห่างกันแค่ประมาณ 1องศาเท่านั้นเอง
**เรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในพระมาคำภีย์อัลกุรอ่าน เป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในอัลฮะดิษแหละเป็นสิ่งยากมากมายสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเลยในหลักดาราศาสตร์อิสลาม ดังนั้นผมจึงไม่ขอลงลึกถึงรายละเอียดต่างๆเหล่านี้เพิ่มอีก(เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นยังมีรายละเอียดอีกมากมายๆ)
**ใกล้ถึงเดือนร่อบิอุ้ลเอาวั้ลแล้วครับ การให้เกียรติท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ถือว่าสิ่งที่ดีงาม เป็นมารยาทที่น่าสรรเสริญ และเป็นการกระทำที่พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ไว้
**ดังนั้นการกล่าวซอละวาตต่อท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)โดยมีการใส่ซัยยิดินา(แปลว่านายของเรา)ไปด้วยนั้น(ไม่กล่าวถึงชื่อนบีเฉยๆนั้น) ถือว่าเป็นการให้เกียรติยกย่อง เป็นการเคารพต่อท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) เป็นสิ่งที่ดีงามที่พระผู้เป็นเจ้าแหละหลักการศาสนาสนับสนุนให้พึงกระทำ
اَللّهُمََّ صَلِّ عَلٰى سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍوَعَلٰى آلِ سَيِّدِنَامُحَمَّدٍ
**ต่อจากนี้เป็นฮะดิษที่มีระบุอยู่ในซอเฮี๊ยะห์มุสลิม
حَدَّثَنِي الْحَكَمُ بْنُ مُوسَى أَبُو صَالِحٍ حَدَّثَنَا هِقْلٌ يَعْنِي ابْنَ زِيَادٍ عَنْ الْأَوْزَاعِيِّ حَدَّثَنِي أَبُو عَمَّارٍ حَدَّثَنِي عَبْدُ اللَّهِ بْنُ فَرُّوخَ حَدَّثَنِي أَبُو هُرَيْرَةَ قَالَ
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَا سَيِّدُ وَلَدِ آدَمَ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَأَوَّلُ مَنْ يَنْشَقُّ عَنْهُ الْقَبْرُ وَأَوَّلُ شَافِعٍ وَأَوَّلُ مُشَفَّعٍ
ท่านอะบีฮุรอยเราะห์ ได้เล่าแก่ฉันว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ฉันเป็นนายของลูกหลานอาดัมในวันกิยามะห์ และฉันเป็นคนแรกที่ขึ้นมาจากหลุมกุโบร และฉันเป็นคนแรกที่ให้การช่วยเหลือ และฉันเป็นคนแรกที่ได้รับอนุญาตให้ให้ความช่วยเหลือ รายงานโดยมุสลิม
และต่อจากนี้มีการอธิบายของท่านอิหม่ามนะวะวี(ร.ฮ.) ที่แต่งตำราอธิบายซอเฮี๊ยะห์มุสลิมเอาไว้ครับ
قَوْله صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( أَنَا سَيِّد وَلَد آدَم يَوْم الْقِيَامَة ، وَأَوَّل مَنْ يَنْشَقُّ عَنْهُ الْقَبْر ، وَأَوَّل شَافِع وَأَوَّل مُشَفَّع )
قَالَ الْهَرَوِيُّ : السَّيِّد هُوَ الَّذِي يَفُوقُ قَوْمه فِي الْخَيْر ، وَقَالَ غَيْره : هُوَ الَّذِي يُفْزَعُ إِلَيْهِ فِي النَّوَائِب وَالشَّدَائِد ، فَيَقُومُ بِأَمْرِهِمْ ، وَيَتَحَمَّلُ عَنْهُمْ مَكَارِههمْ ، وَيَدْفَعُهَا عَنْهُمْ . وَأَمَّا قَوْله صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( يَوْم الْقِيَامَة ) مَعَ أَنَّهُ سَيِّدهمْ فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَة ، فَسَبَبُ التَّقْيِيد أَنَّ فِي يَوْم الْقِيَامَة يَظْهَرُ سُؤْدُده لِكُلِّ أَحَدٍ ، وَلَا يَبْقَى مُنَازِع ، وَلَا مُعَانِد ، وَنَحْوه ، بِخِلَافِ الدُّنْيَا فَقَدْ نَازَعَهُ ذَلِكَ فِيهَا مُلُوكُ الْكُفَّار وَزُعَمَاء الْمُشْرِكِينَ . وَهَذَا التَّقْيِيد قَرِيب مِنْ مَعْنَى قَوْله تَعَالَى : { لِمَنْ الْمُلْكُ الْيَوْمَ لِلَّهِ الْوَاحِدِ الْقَهَّارِ } مَعَ أَنَّ الْمُلْكَ لَهُ سُبْحَانه قَبْل ذَلِكَ ، لَكِنْ كَانَ فِي الدُّنْيَا مَنْ يَدَّعِي الْمُلْكَ ، أَوْ مَنْ يُضَافُ إِلَيْهِ مَجَازًا ، فَانْقَطَعَ كُلّ ذَلِكَ فِي الْآخِرَة
สรุปนะครับ ดังนั้นสังเกตนะครับ ตามตัวบทฮะดิษ บอกว่า ฉันเป็นนาย(ภาษาอะหรับคือซัยยิด ถ้าเราท่านทั้งหลายกล่าวถึงท่านนบีก็คือ ซัยยิดินานั่นเอง)ของลูกหลานอาดัมในวันกิยามะห์(ทั้งๆที่ความจริงแล้วท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)เป็นนายของลูกหลานอาดัมทั้งในโลกดุนยาแหละโลกอาคิเราะห์ แต่ที่ตัวบทฮะดิษระบุเฉพาะวันกิยามะห์ก็เพราะว่าในวันกิยามะห์นั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลย ในการเป็นนายของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)เพราะทุกคนในวันนั้นต่างยอมรับทั้งหมดเลย ซึ่งต่างกับในโลกดุนยานี้ ที่มีทั้งคนยอมรับบ้าง ไม่ยอมรับบ้างนั่นเอง ตัวบทฮะดิษนี้มีความคล้ายคลึงกับพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าที่ว่า
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
لِمَنْ الْمُلْكُ الْيَوْمَ لِلَّهِ الْوَاحِدِ الْقَهَّارِ
(เป็นวันที่พวกเขาออกมาจากหลุมกุโบร พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า) อำนาจบริหารจัดการในวันนี้(วันกิยามะห์)เป็นของใครกัน (แล้วพระองค์ก็ตรัสตอบว่า อำนาจบริหารจัดการในวันนี้) เป็นของพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงเดชานุภาพ ซูเราะห์อัลมุอ์มิน 40 อายะห์ที่16
ขอให้เราท่านทั้งหลายสังเกตุอายะห์นี้ให้ดีนะครับ อายะห์นี้กล่าวเพียงแค่วันกิยามะห์ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว อำนาจบริหารจัดการของพระผู้เป็นเจ้านั้นครอบคลุมทั้งหมดเลย ทั้งโลกดุนยานี้แหละโลกหน้าอาคิเราะห์แหละทุกๆโลกทั้งหมดเลยนะครับขอย้ำ เพียงแต่ว่าอำนาจบริหารจัดการของพระผู้เป็นเจ้า จะชัดเจนได้มากที่สุดในสายตาของชาวโลกก็ในวันกิยามะห์ ก็เพราะว่าในวันนั้น(วันกิยามะห์)ไม่ใครอ้างว่าเป็นเจ้าเคียบเคียงกับพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.)อีกแล้ว ไม่มีเจ้าใหนๆอีกแล้ว กล่าวเถอะครับ
اَللّهُمََّ صَلِّ عَلٰى سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍوَعَلٰى آلِ سَيِّدِنَامُحَمَّدٍ
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَالَّذِينَ آمَنُوا بِهِ وَعَزَّرُوهُ وَنَصَرُوهُ وَاتَّبَعُوا النُّورَ الَّذِي أُنْزِلَ مَعَهُ أُولَئِكَ هُمُ الْمُفْلِحُونَ
{فالذين آمنوا به} منهم {وعزروه} ووقروه {ونصروه واتبعوا النور الذي أنزل معه} أي القرآن {أولئك هم المفلحون}
บรรดาผู้ที่มีอีหม่านต่อท่านนบีและบรรดาผู้ที่ให้เกียรติท่านนบีและบรรดาผู้ที่ให้ความช่วยเหลือท่านนบีและบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามอัลกุรอ่านที่ประทานมายังท่านนบี พวกเหล่านั้นแหละคือผู้ที่ได้รับชัยชนะ ซูเราะห์อัลอะรอฟ7 อายะห์ที่157
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557ตรงกับวันที่ 29  ซอฟัร ฮ.ศ.1436 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1436 ดังนั้นวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557ตรงกับวันที่ 29  ซอฟัร ฮ.ศ.1436 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา  8.35.53วินาที ตามเวลาประเทศไทย   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 ซอฟัร ฮ.ศ.1436
เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว เลิกถือศีลอด ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน”)  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ  367663.25 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ  368122.45 กิโลเมตร
**วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 17.56.3วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.20.34วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 24นาที 3วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 17.55.59 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.19.37 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 23นาที 39วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลา อ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.08.09 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.29.17 วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 21นาที 8วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -  ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 18.06.46 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.28.06 วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 21นาที 20วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก  18.08.30 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.30.08 วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 21นาที 38วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 17.59.19 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.23.34 วินาที มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 24นาที 15วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.06.24 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.27.51 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 21นาที 27วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17.37.17 วินาที  ดวงจันทร์ตก  18.01.15 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 23นาที 58วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก  17.56.33 วินาที  ดวงจันทร์ตก   18.20.39 วินาที  มีเวลาสังเกตุจันทร์เสี้ยว 24นาที 6วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ. 1436
ตรงกับวันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2557  ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์ว(ซ.ล)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2557 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับสำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  05.09.20วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.34.28วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.13.43วินาที อัสริเวลา 15.28.20วินาที มักริบเวลา  17.52.58วินาที อีซาเวลา 19.09.19วินาที
-สำหรับกทม.ซุบฮิเวลา 05.11.01วินาที  ตะวันขึ้นเวลา  06.36.06วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12:15:35วินาที  อัสริเวลา 15:30:21  วินาที  มักริบเวลา 17:55:03วินาที  อีซาเวลา 19:11:22วินาที   
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.24.13วินาที  ตะวันขึ้นเวลา  06.49.47วินาที  ดุฮ์ริเวลา  12.17.40วินาที  อัสริเวลา  1 5.21.27วินาที  มักริบเวลา  17.45.33วินาที  อีซาเวลา 19.02.03วินาที     
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 05.29.19วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 06.55.33วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.18.32วินาที  อัสริเวลา15.17.41  วินาที  มักริบเวลา 17.41.30วินาที  อีซาเวลา  18.58.30วินาที
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
     โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 22, 2014, 05:11 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

ออฟไลน์ บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 95
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
Re: ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์
« ตอบกลับ #95 เมื่อ: ม.ค. 16, 2015, 07:52 AM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
**เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ลนี้ ทุกๆคนต่างก็มีการรำลึกนึกถึงท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กันอย่างแพร่หลาย มีการอ่านชีวประวัติอันทรงคุณค่าของท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กัน ทุกๆคนต่างก็มีความยินดีดีใจในท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กันทั่วทุกสารทิศ แต่สิ่งที่สำคัญอีกประการที่เราท่านทั้งหลายไม่ควรมองข้ามกันไป ก็คือการรำลึกนึกถึงความตาย ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เราท่านทั้งหลายไม่หลงระเริงกับโลกดุนยาใบนี้มากจนเกินไป ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เราท่านทั้งหลายหวนกลับสู่ความถูกต้องจากพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น เราท่านทั้งหลายต้องยอมรับอย่างนึงว่า ในปัจจุบันนี้สิ่งที่จะทำให้เราท่านทั้งหลายมีความเพลิดเพลินนั้น มีมากมายเหลือเกิน มากมายจนนับไม่ถ้วน มากมายจนนับไม่ไหว ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านั้น ทำให้เราท่านทั้งหลายยิ่งห่างไกลจากพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งต่างกับการรำลึกนึกถึงความตายอย่างสิ้นเชิง ซึ่งการรำลึกนึกถึงความตายจะทำให้เราท่านทั้งหลาย มีจิตใจที่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น ใกล้ชิดกับความดีงามมากยิ่งขึ้น ใกล้ชิดกับความพึงพอพระทัยจากพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น
**ทรัพย์สินเงินทอง ลูกหลานบริวาร ความชื่นชมยินดีจากเพื่อนพ้องรอบข้าง ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราท่านทั้งหลายได้เลย มีแต่คุณความดีงามที่เราท่านทั้งหลายปฏิบัติกันไว้เท่านั้น ที่จะสามารถนำพาเราท่านทั้งหลายไปสู่ความสุขสบายอันนิรันด์ ที่จะสามารถนำพาเราท่านทั้งหลายไปสู่สรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้
**ความดีงามนั้นทำยากเนื่องจากอารมณ์นัฟซูส่วนนึงที่ไม่ค่อยอยากกระทำ และอีกส่วนก็มาจากซัยตอนมารร้ายที่คอยขัดขวางเอาไว้ แต่เมื่อเราท่านทั้งหลายทำคุณความดีกันให้เป็นประจำ เมื่อนั้นแหละการทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้าก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายต่อเราท่านทั้งหลายเอง
**ได้มีระบุไว้ในซอเฮี๊ยะห์บุคอรีว่า
حَدَّثَنِي عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدٍ، حَدَّثَنَا عَبْدُ المَلِكِ بْنُ عَمْرٍو، حَدَّثَنَا زُهَيْرُ بْنُ مُحَمَّدٍ، عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ عَمْرِو بْنِ حَلْحَلَةَ، عَنْ عَطَاءِ بْنِ يَسَارٍ، عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الخُدْرِيِّ، وَعَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ: عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ: مَا يُصِيبُ المُسْلِمَ، مِنْ نَصَبٍ وَلاَ وَصَبٍ، وَلاَ هَمٍّ وَلاَ حُزْنٍ وَلاَ أَذًى وَلاَ غَمٍّ، حَتَّى الشَّوْكَةِ يُشَاكُهَا، إِلَّا كَفَّرَ اللَّهُ بِهَا مِنْ خَطَايَاهُ
**จากท่านอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.) จากท่านนบี(ซ.ล.) ท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)กล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่ประสบกับมุสลิม ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า โรคประจำตัว ความวิตกกังวล ความโศกเศร้า ภยันอันตรายและความมัวหมองต่างๆ แม้กระทั่งว่าหนามที่ตำ นอกจากพระองค์อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ทรงให้เป็นเครื่องลบล้างความผิดของเขา รายงานโดยบุคอรี
**ทุกๆวันขอให้เราท่านทั้งหลายกล่าวว่า ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์ กันให้เป็นประจำ อย่าให้การกล่าวว่าลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์ มีเฉพาะกับคนที่รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะสิ้นชีวิตแล้วเท่านั้น เพราะคำๆนี้เป็นคำที่มีศิริมงคลมาก ขนาดที่ว่าสมมุติว่ากระทำไม่ดีมาทั้งชีวิต แต่มีคำๆนี้เป็นคำสุดท้ายของชีวิต ท้ายที่สุดในโลกหน้าอาคิเราะห์ แม้ต้องโดนลงโทษในสิ่งที่ตัวเองได้เคยกระทำไว้ อย่างไรๆก็ต้องได้เข้าสรวงสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน   ก็เพราะว่าเขามีศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า
**เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป สมัยก่อน เด็กติดพ่อติดแม่ โตขึ้นมาหน่อยติดเพื่อน พอมีครอบครัวก็ติดลูก แต่พอเมื่อสมัยได้เปลี่ยนไป สมัยนี้เด็กติดพ่อติดแม่และก็ติดแท็ปเล็ต โตขึ้นมาหน่อยติดเพื่อนและก็ติดสังคมออนไล ติดโทรศัพท์ พอมีครอบครัวก็ติดลูกและก็ติดโทรศัพท์(เรียกว่าถ้าว่างเมื่อไหร่ เป็นต้องหยิบโทรศัพท์ ดังนั้นถ้าอดที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูไม่ได้จริงๆ ขอให้ดูในสิ่งที่เป็นคุณความดีที่พระผู้เป็นเจ้าพึงพอพระทัยเท่านั้น
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**จงนึกถึงความตายให้เป็นประจำ แล้วเราท่านทั้งหลายจะสละสิ่งไร้สาระได้มากขึ้น แล้วเราท่านทั้งหลายจะทำคุณความดีต่อพระผู้เป็นเจ้าได้ง่ายขึ้นและมากยิ่งขึ้น อิงซาอัลลอฮ์
**อย่าลืมนะครับคำง่ายๆ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่ามีน้อยคนมากที่ได้กล่าวอย่างเป็นประจำ ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮ์(ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.))
**วิเคราะห์ตามหลักดาราศาสตร์อิสลาม   
ดังนั้นวันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 ตรงกับวันที่ 29  ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436 ดังนั้นวันอังคารที่ 20มกราคม พ.ศ. 2558 ตรงกับวันที่ 29  ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1436)
**สำหรับประเทศไทย 
จันทร์ดับ ตรงกับวันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา  20.13.44 วินาที ตามเวลาประเทศไทย   ดังนั้นหลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบของวันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1436 (ทางสำนักจุฬาราชมนตรีกำหนดให้วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557เป็นวันที่ 1 ร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮ.ศ.1436)
เกล็ดเล็กเกร็ดน้อย ควรจะใช้คำว่าดูดวงจันทร์เสี้ยวหรือดูจันทร์เสี้ยว แทนจากคำว่าดูดวงจันทร์เพราะตามฮาดิษใช้คำว่าฮิลาล แปลว่าดวงจันทร์เสี้ยวหรือจันทร์เสี้ยว โดยที่ในฮาดิษไม่ได้ใช้คำว่าก่อมัรซึ่งแปลว่าดวงจันทร์ เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังเข้าเวลาละหมาดมัฆริบ อาจจะสามารถใช้กล้องเห็นดวงจันทร์ได้ แต่เห็นเป็นดวงจันทร์ดำๆกลมๆมืดสนิท ไม่มีเสี้ยวขาวๆเลยแม้แต่น้อย การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม ไม่สามารถนำมารายงานว่าเห็นจันทร์เสี้ยวได้ เพราะไม่มีการเห็นเสี้ยวของดวงจันทร์แต่อย่างใด การเห็นลักษณะแบบนี้ ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว ไม่สามารถนำมาเริ่มต้นเป็นวันที่1ของเดือนอิสลามได้ เพราะท่านร่อซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)ได้กล่าวว่า“ท่านทั้งหลาย จงถือศีลอดเพราะเห็นดวงจันทร์เสี้ยว และจงละศีลอดเมื่อเห็นดวงจันทร์เสี้ยว เลิกถือศีลอด ถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน (มีเมฆมาปกคลุมทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์เสี้ยว) ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนซะบานให้ครบสามสิบวันเถิด (นับเดือนซะบานให้ครบสามสิบวัน”)  รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม
**วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 ดวงจันทร์ในวันนี้อยู่ห่างจากโลกประมาณ  360950.29 กิโลเมตรคำนวณจากมหานครมักกะห์ ถ้ากรุงเทพฯเรา ก็จะอยู่ประมาณ  361320.60 กิโลเมตร
**วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558
1.กทม.ดวงอาทิตย์ตก 18.12.37วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.03.43วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 8นาที 54วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
2.ชลบุรี (มีสถานที่แห่งหนึ่งชายฝั่งทะเลซึ่งมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิ  ได้ร่วมสังเกตุดวงจันทร์เสี้ยวด้วย) ดวงอาทิตย์ตก 18.11.49 วินาที ดวงจันทร์ตก 18.02.34 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 9นาที 15วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
3.ยะลา อ.เบตง ดวงอาทิตย์ตก 18.22.01 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.10.39 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 11นาที 22วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
 -  ยะลาอ.ยะหา ดวงอาทิตย์ตก 18.20.48 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.09.35 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 11นาที 13วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
4.หาดใหญ่  ดวงอาทิตย์ตก  18.22.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.11.45 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 10นาที 56วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
5.กาญจนบุรี ดวงอาทิตย์ตก 18.15.28 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.06.46 วินาที ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 8นาที 42วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
6.ปัตตานี ดวงอาทิตย์ตก 18.20.32 วินาที  ดวงจันทร์ตก 18.09.25 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 11นาที 6วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
7.อุบลราชธานี  ดวงอาทิตย์ตก 17.53.52 วินาที  ดวงจันทร์ตก  17.44.46 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 9นาที 6วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
8.นนทบุรี  ดวงอาทิตย์ตก  18.12.41 วินาที  ดวงจันทร์ตก   18.03.50 วินาที  ดวงจันทร์ตกก่อนดวงอาทิตย์ 8นาที 51วินาที ไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้ ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยว แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน 
**ผลในการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลาม
วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558 หลังเข้าเวลามัฆริบทั่วทั้งประเทศไทย ต้องมีการดูจันทร์เสี้ยว แหละทั่วทั้งประเทศไทยไม่สามารถเห็นจันทร์เสี้ยวได้เลย  ถ้าใครอ้างว่าเห็นจันทร์เสี้ยวแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอย่างแน่นอน
**ดังนั้นผลในการคำนวณทางดาราศาสตร์อิสลาม วันที่ 1 ร่อบีอุซซานี ฮ.ศ.1436)
ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558 ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นผลสรุปจากการคำนวนทางดาราศาสตร์อิสลามเท่านั้น
**แต่ทว่าในทางการปฏิบัติจริงๆนั้น ให้พี่น้องต้องรับฟังการประกาศทางสำนักจุฬาราชมนตรีเท่านั้น  เพราะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ
**ก็คนทุกคนต่างมีหน้าที่ แหละความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน เราในฐานะผู้ตามต้องตามผู้นำ ผู้รายงานการดูจันทร์เสี้ยวต้องพูดในสิ่งที่เห็นจริง ส่วนผู้นำก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์อิสลาม คอยตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย(สมมุติว่าณบริเวณนั้น มีผู้ที่ดูดวงจันทร์เสี้ยวเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ทำไมจึงเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่คนคนเดียวหรือเห็นดวงจันทร์เสี้ยวแค่สองสามคน แล้วคนที่เห็นหรือกลุ่มคนที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวนั้น มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงจันทร์มากน้อยเพียงใด ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาเห็นแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์เสี้ยว ความเป็นจริงอาจไม่ใช่ดวงจันทร์เสี้ยวก็เป็นได้)แหละทำตามคำสั่งใช้อย่างแท้จริง ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แล้วความถูกต้องจริงๆที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมอย่างนึงว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้จะนำมาซึ่งผลบุล หรืออาจจะนำมาซึ่งผลบาป ก็เป็นได้ในโลกหน้าอาคิเราะห์
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَاسْتَقِمْ كَمَا اُمِرْتَ وَمَنْ تَابَ مَعَكَ وَلاَ تَطْغَوْا اِنَّهُ بِمَا تَعْمَلُوْنَ بَصِيْرٌ
ดังนั้นท่าน(มุฮัมมัด)จงดำรงมั่น(ทำตาม) เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา และ(เหมือนเช่นที่ท่านได้ถูกบัญชามา)ผู้ที่หวนกลับ(จากการตั้งภาคี การเนรคุณ สู่สัจธรรมพร้อมกับท่าน)  และท่านทั้งหลายอย่าละเมิด(บทบัญญัติด้วยการเข้าไปทำความผิดที่พระผู้เป็นเจ้าได้ห้ามไว้)เพราะแท้จริงพระองค์ทรงมองเห็นยิ่ง ในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
ซูเราะห์ฮูด อายะห์ที่112
**เล่าจากอะบียะอ์ลา มะอ์กิ้ลบุตรยะซาร(ร.ด.)ว่า  ฉันได้ยินร่อซูลุ้ลลอห์ว(ซ.ล)กล่าวว่า  ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลเลาะห์มอบหมายให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อประชาชน  เขาเสียชีวิตไป  ในวันที่เขาเสียชีวิต เขาทุจริตต่อประชาชนของเขานอกจากอัลเลาะห์จะห้ามเขาเข้าสวรรค์ 
รายงานโดย บุคอรี มุสลิม
วันนี้เราท่านทั้งหลายทำความดีเพื่อพระองค์แล้วหรือยัง  และเราท่านทั้งหลายได้นำพาบุคคลรอบข้างของเราเข้าใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง  ละหมาดแล้วหรือยัง  ทำอะม้าน  อิบาดะห์ชนิดต่างๆเพื่อรับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าแล้วหรือยัง
**วันนี้วันศุกร์ที่ 16 มกราคม  พ.ศ.2558 เวลาปฏิบัติศาสนกิจ(ซ่อลา ซำบะห์ยัง)
 -สำหรับสำนักจุฬาราชมนตรี ซุบฮิเวลา  05.20.43วินาที ตะวันขึ้นเวลา  06.44.28วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.26.22วินาที อัสริเวลา 15.42.55วินาที มักริบเวลา  18.08.23วินาที อีซาเวลา 19.23.26วินาที
-สำหรับกทม.ซุบฮิเวลา 05.22.25วินาที  ตะวันขึ้นเวลา  06.46.08วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12:28.14วินาที  อัสริเวลา 15:44.54 วินาที  มักริบเวลา 18.10.26วินาที  อีซาเวลา 19.25.28วินาที   
-สำหรับมัสยิดฮารอม  ซุบฮิเวลา 05.33.59วินาที  ตะวันขึ้นเวลา  06.58.07วินาที  ดุฮ์ริเวลา  12.30.18วินาที  อัสริเวลา  1 15.38.13วินาที  มักริบเวลา  18.02.38วินาที  อีซาเวลา 19.17.49วินาที     
-สำหรับมัสยี่ดินนะบะวี  ซุบฮิเวลา 05.29.19วินาที  ตะวันขึ้นเวลา 07.03.11วินาที  ดุฮ์ริเวลา 12.31.09วินาที  อัสริเวลา15.34.40 วินาที  มักริบเวลา 17.59.18วินาที  อีซาเวลา  19.14.58วินาที
**พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น  สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข  และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น  ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงามที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า  แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้า  เพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู  เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป  ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น  ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุด  ในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาคนรักของพระผู้เป็นเจ้า  ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน 
***พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ   
وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ   
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน
ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 
**รู้แล้วบอกต่อ  ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป  ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม  คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
     โอ้พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากว่ามีคุณความดี ขอมอบภาคผลบุลแด่บิดา มารดาและครูบาอาจารย์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และที่กลับสู่ความเมตาตาของพระองค์แล้ว และใคร่ขอให้ปวงบ่าวของพระองค์ ได้ทำตัวให้ใกล้ชิดกับพระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ และขอพระองค์ได้ทรงอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด อามีน ยาอัรฮะมัร รอฮิมีน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 16, 2015, 07:59 AM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน

 

GoogleTagged