« ตอบกลับ #11 เมื่อ: เม.ย. 19, 2011, 04:50 AM »
0
สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 19 - 21คำอ่าน19. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลายะหิลลุละกุม อัน..ตะริษุน..นิสา...อะกัรฺฮา วะลาตะอฺฎุลูฮุน..นะ ลิตัซฮะบู บิบะอฺฎิ มา..อาตัยตุมูฮุน..นะ อิลลา..อัยยะอ์ตีนะ บิฟาหิชะติม..มุบัยยินะฮฺ วะอาชิรูฮุน..นะบิลมะอฺรูฟ ฟะอิน..กะริฮฺตุมูฮุน..นะ ฟะอะสา..อัน..ตักเราะฮูชัยเอา..วะยัจญอะลัลลอฮุ ฟีฮิค็อยร็อน..กะษีรอ
20. วะอินอะร็อตตุมุสติบดาละ เซาญิม..มะกานะ เซาญิว..วะอาตัยตุม อิหฺดาฮุน..นะ กิน..ฏอร็อน..ฟะลาตะอฺคุซูมินฮุชัยอา อะตะอ์คุซูนะฮู บุฮตาเนา..วะอิษมัม..มุบีนา
21. วะกัยฟะตะอ์คุซูนะฮู วะก็อดอัฟฎอ บะอฺฎุกุม อิลาบะอฺฎิว..วะอะค็อซนะมิน..กุม..มีษาก็อนเฆาะลีซอคำแปล R1.19. O you who believe! You are forbidden to inherit women against their will, and you should not treat them with harshness, that you may take away part of the Mahr you have given them, unless they commit open illegal sexual intercourse. And live with them honourably. If you dislike them, it may be that you dislike a thing and Allah brings through it a great deal of good.
20. But if you intend to replace a wife by another and you have given one of them a Cantar (of gold i.e. a great amount) as Mahr, take not the least bit of it back; would you take it wrongfully without a right and (with) a manifest sin?
21. And how could you take it (back) while you have gone in unto each other, and they have taken from you a firm and strong covenant?คำแปล R2.19. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ไม่เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าที่จะรับผู้หญิง (จากบิดาหรือญาติ) มาเป็นมรดกแบบกดขี่ และเจ้าทั้งหลายอย่าได้ขัดขวางพวกนาง (มิให้สมรสกับชายอื่น) เพื่อเป็นการขจัด (กีดกัน) บางส่วนที่ (เป็นหน้าที่ของ) พวกเจ้าต้องให้แก่พวกนาง ยกเว้นในการณีที่พวกนางประพฤติการลามกอันชัดแจ้ง (คือคบชู้กับชายอื่น) และพวกเจ้าจงร่วมชีวิตกับพวกนางด้วยคุณธรรม แท้จริงถ้าหากเจ้าทั้งหลายรังเกียจพวกนาง บางทีพวกเจ้าอาจรังเกียจสิ่งหนึ่ง แต่ในสิ่งนั้นอัลเลาะฮฺได้บันดาลความดีไว้อย่างมากมายก็ได้
20. และถ้าพวกเจ้าปรารถนาที่จะสับเปลี่ยนคู่ครองคนหนึ่งในที่ของคู่ครองอีกคนหนึ่ง (โดยหย่าคนเดิม) และพวกเจ้าได้เคยให้คนหนึ่งแก่พวกนาง ซึ่งทรัพย์สมบัติอันมากมาย ดังนั้นพวกเจ้าอย่าเอาสักสิ่งหนึ่งจากนั้น (คืนมา) พวกเจ้าจะเอาหรือ ความมดเท็จและบาปอันชัดแจ้ง (จากการเรียกค่าสมรสคืนเมื่อไม่สบอารมณ์ดังกล่าวแล้ว)
21. และพวกเจ้าจะเอามันมาได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าต่างก็ร่วมสมสู่ซึ่งกันและกันแล้ว และพวกนางได้เอาสัญญา (การแต่งงาน) อันหนักแน่นจากเจ้า คำแปล R3.19. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ไม่เป็นที่อนุมัติแก่สูเจ้าที่จะเอาหญิงหม้ายมาเป็นมรดกโดยใช้กำลัง และจงอย่าบีบคั้นนางเพื่อที่จะเอาของหมั้นบางส่วนที่สูเจ้าให้นาง วันแต่นางจะทำการอันชั่วช้าลามก(มีชู้)และจงอยู่ร่วมกับนางโดยดีถึงแม้ว่าสูเจ้าจะชังนางก็ตาม มันเป็นไปได้ที่อัลลอฮฺอาจจะนำสิ่งที่ดีอันมากมายมาให้โดยสิ่งที่สูเจ้าชัง
20. และถ้าสูเจ้าแต่งงานกับภรรยาอีกคนหนึ่งแทนภรรยาที่มีอยู่ จงอย่าสิ่งใดจากสิ่งที่สูเจ้าให้แก่นางไปกลับคืนมาถึงแม้ว่ามันจะเป็นสมบัติกองพะเนินก็ตาม สูเจ้าจะเอามันกลับมาด้วยการใส่ร้ายและบาปอันชัดแจ้งกระนั้นหรือ?
21. และสูเจ้าจะเอามันคืนมาได้อย่างไรในเมื่อสูเจ้าทั้งสองเคยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและนางก็ได้รับคำสัญญาอันมั่นคงจากสูเจ้าว่าจะอยู่ร่วมกัน?คำแปล R4.19. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ไม่อนุมัติแก่พวกเจ้าการที่พวกเจ้าจะเอาบรรดาหญิงเป็นมรดกด้วยการ บังคับและไม่อนุมัติเช่นเดียวกันการที่พวกเจ้าจะขัดขวางบรรดานางเพื่อพวกเจ้าจะเอา บางส่วนของสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง นอกจากว่าพวกนางจะกระทำสิ่งลามก อันชัดแจ้งเท่านั้น และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งขณะเดียวกันอัลลอฮฺก็ทรงให้มีในสิ่งนั้น ซึ่งความดีอันมากมาย
20. และหากพวกเจ้าต้องการเปลี่ยนคู่ครองคนหนึ่งแทนที่ของคู่ครองอีกคนหนึ่ง และพวกเจ้าได้ให้แก่นางหนึ่งในหมู่นางเหล่านั้นซึ่งทรัพย์อันมากมายก็ตาม ก็จงอย่าได้เอาสิ่งใดจากทรัพย์นั้นคืน พวกเจ้าจะเอามันคืนด้วยการอุปโลกน์ความเท็จและการกระทำบาปอันชัดเจนกระนั้นหรือ
21. และพวกเจ้าจะเอามันคืนได้อย่างไรทั้งๆ ที่บางคนของพวกเจ้าได้แนบกายกับอีกบางคนแล้วและพวกนางก็ได้เอาคำมั่น สัญญาอันหนักแน่นจากพวกเจ้าแล้วด้วยคำแปล R5.มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ สำหรับชาวมดีนะห์ คือว่าชาวนครมดีนะห์ในยุคอนารยะ(ยาหิลียะห์)และในยุคต้นของอิสลามสมัยมูฮำมัดถือว่า ชายใดที่ถึงแก่กรรมลงแล้วได้ทิ้งภรรยาไว้ แต่มีบุตรชายของเขาที่เกิดแก่ภรรยาอื่นหรือมีญาติใกล้ชิดของเขาคนใดคนหนึ่ง เช่น พี่น้องผู้ชายของบิดาของเขาได้มาโยนผ้าห่มลงตรงหญิงนั้นหรือโยนลงที่พักอาศัยของหญิงนั้น ย่อมถือว่าบุตรชายที่เกิดแก่ภรรยาอื่นหรือวงศ์ญาติใกล้ชิดมีสิทธิ์ปกครองหญิงนั้น หากผู้มีสิทธิทั้งสองนี้ประสงค์จะแต่งงานด้วยหญิง(ผู้เป็นภรรยาของบิดา)นั้น โดยไม่ต้องจ่ายค่าสมรสหรือเอาหญิงผู้เป็นภรรยาของบิดาไปแต่งงานให้ชายอื่น แล้วเรียกเอาค่าสมรสมาเป็นสิทธิของตน มิให้หญิงนั้นได้ค่าสมรสเลยแม้แต่น้อยก็ย่อมได้ ถ้าเขาทั้งสองประวิงตัวหญิงนั้นมิให้แต่งงานอันเป็นผลทำให้นางเดือดร้อน เพื่อว่าให้นางเอามรดกของตัวเอง(ที่ได้รับจากสามี)ไปไถ่ตัวเองจากเขาทั้งสองก็ย่อมได้ หรือว่าเมื่อหญิงตายลงเขาทั้งสองจะรับมรดกจากหญิงนั้นก็ย่อมได้ นอกจากหญิงนั้นจะกลับไปหาพวกของตนก่อนจากถูกโยนผ้าห่มให้เท่านั้นหญิงจึงจะมีสิทธิปกครองตนเองได้ ชาวมดีนะห์ถืออย่างนี้ตลอดมาจนถึงเวลาหนึ่งซึ่งอะบูกีสบุตรอัล-อัสลัต ชนชาวมดีนะห์ได้ตายลงทิ้งภรรยาไว้คนหนึ่งชื่อกะบีชะห์บุตรีมะอ์นินชาวมะดีนะห์ ครั้นแล้วลูกเลี้ยงของนางชื่อฮิสน์(บางรายงานว่าชื่อกีส) ได้นำมาผ้ามาโยนลงที่นางแล้วถือสิทธิ์เข้าทำการสมรสด้วยนางนั้น แต่ต่อมาเขาทิ้งนางทั้งไม่ยอมจ่ายเบี้ยเลี้ยงแก่นาง ทำให้นางต้องได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้เพื่อให้นางขอไถ่ตัวจากเขา เมื่อเหตุการณ์เป็นไปดังนี้นางจึงเข้าไปยังพระนบีมูฮำมัดเรียนให้ทราบว่า เมื่ออบูกีสผู้สามีของฉันถึงแก่กรรมแล้วลูกเลี้ยงของฉันก็มาแต่งงานกับฉัน แต่ทว่าเขาไม่ยอมจ่ายเบี้ยเลี้ยงทั้งยังไม่ยอมร่วมกามกิจด้วยกับฉัน ยิ่งกว่านั้นเขายังกักตัวฉันไว้ในที่จำกัด เมื่อพระนบีทราบเรื่องราวโดยถี่ถ้วนแล้วจึงสั่งว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้เธอจงเก็บตัวของเธออยู่กับบ้านของเธอจนกว่าจะมีคำสั่งของอัลเลาะห์เกี่ยวด้วยเรื่องของเธอลงมา๑๙. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาซึ่งเป็นเครือญาติของสามีที่ตายย่อมไม่เป็นที่อนุญาตแก่พวกเจ้าเลยในอันที่พวกเจ้าจะรับช่วงเอาหญิงผู้เป็นภรรยาบิดาหรือญาติมาเป็นมรดกของพวกเจ้าในรูปบังคับเหมือนอย่างชาวมะดีนะห์ก่อนอิสลามยุคมูฮำมัดและระยะต้นศาสนาอิสลามยุคมูฮำมัด เหตุนี้พวกนั้นจึงถูกห้ามมิให้ปฏิบัติดังกล่าวไว้ข้างต้น และโอ้บรรดาสามีพวกเจ้าอย่าได้กีดกันพวกนางผู้ภรรยาในอันที่เธอทั้งหลายจะสมรสใหม่กับชายอื่น ด้วยหวังจะกักตัวนางเหล่านั้นไว้ให้ได้แต่ความเดือดเนื้อร้อนใจ ทั้ง ๆ ที่มิได้รักใคร่เสน่หาในตัวนางเหล่านั้นแล้วเพื่อที่พวกเจ้าจะได้เอาค่าสมรสที่พวกเจ้าเคยนำมาให้คืนไปได้บ้าง เว้นไว้แต่พวกนางจะประกอบการอุลามกอย่างประจักษ์แจ้ง เช่น ประกอบกามกิจนอกอนุญาต(ซินา)กับชายชู้หรือทรยศต่อพวกเจ้าเท่านั้น จึงจะไม่ถือเป็นการบาปสำหรับพวกเจ้าที่จะก่อความเดือดร้อนแก่นางเหล่านั้นจนกว่านางจะเสนอขอซื้อหย่าจากพวกเจ้า และโอ้บรรดาสามี[v]จงลงรอยกับพวกนางเป็นอันดี[/b]ทั้งโดยทางวาจา โดยการจ่ายเบี้ยงเลี้ยงและโดยการแรมคืนหากพวกเจ้ามีภรรยาเกินกว่าหนึ่งแต่หากว่าพวกเจ้าเกลียดชังพวกนางแล้วก็ให้พวกเจ้าอดทนเถิด อย่าเพิ่งหย่านางเหล่านั้นเพียงเพื่อความเกลียดชังนั้นเลย พวกเจ้าจงอดทนไว้ บางที่ที่พวกเจ้าเกลียดชังสิ่งใด ๆ นั้น อัลเลาะห์จะทรงให้สิ่งนั้นกลับเป็นคุณความดีอันมากมายแก่พวกเจ้าได้ เช่นที่พวกเจ้าเกลียดชังพวกภรรยา อัลเลาะห์อาจจะให้นางเหล่านั้นมีคุณความดีอันมากมายดดยจะทรงให้พวกเจ้าได้บุตรที่ดีจากนางเหล่านั้นก็ได้
๒๐. และถ้าพวกเจ้าหมายจะเปลี่ยนคู่ครองคนหนึ่งมาแทนอีกคนหนึ่งด้วยการหย่าภรรยาเดิมเสียโดยที่พวกเจ้าก็ได้เคยให้ทรัพย์มากมายจำนวนหนึ่งแก่นางใด ๆ ที่พวกเจ้าไม่สบอารมณ์เป็นค่าสมรสไว้แล้วพวกเจ้าก็อย่าได้เอาคืนซึ่งทรัพย์นั้น ๆ เลย พวกเจ้าจะเอาคืนทรัพย์นั้นในเชิงโกงหรือเชิงบาปที่ชัดแจ้งกระนั้นหรือ
๒๑. แล้วพวกเจ้าจะเอาทรัพย์นั้นคืนได้อย่างไรกัน ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าผู้เป็นสามีบ้างก็ได้สมสู่กับภรรยาตนบ้างแล้วซึ่งการสมสู่นั่นแหละคือสาเหตุทำให้ค่าสมรสแม้เพียงเล็กน้อยที่พวกเจ้าอยากได้คืนต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางอย่างเด็ดขาดและทั้ง ๆ ที่พวกนางก็ได้ผูกพันสัญญากับพวกเจ้าไว้อย่างแข็งแรงแล้วว่าพวกเจ้าจะต้องครอบครองเธอไว้เป็นอย่างดี และถึงจะหย่าก็ให้หย่ากันโดยดี[/color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 20, 2011, 02:30 AM โดย Bangmud »