ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอาน คำแปลและคำอธิบายสูเราะฮฺที่ 4 อันนิสาอุ์ - النساء – บรรดาสตรี  (อ่าน 15418 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ R3.

บทนำ
ระยะเวลาของการประทานวะฮีย์: ซูเราะฮฺนี้ประกอบด้วยคำพูดหลายตอนที่ถูกประทานลงมาในโอกาสต่าง ๆ กัน ระหว่างช่วงเวลาตอนท้ายของฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 3 และตอนท้ายของฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 4 หรือไม่ก็ตอนต้นฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 5 ถึงแม้ว่าจะเป็นการยากที่จะกำหนดวันที่แน่นอนในการประทานวะฮีย์ แต่ก็เป็นไปได้ที่จะกำหนดช่วงเวลาที่ถูกต้องโดยอาศัยคำบัญชาและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกเอ่ยถึงในซูเราะฮฺและโดยอาศัยหะดีษที่เกี่ยวข้องดังตัวอย่างที่จะแสดงให้เห็นข้างล่างนี้
(ก)   เรารู้ว่าคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องการแบ่งมรดกของผู้ที่ตายในสงครามและเพื่อพิทักษ์สิทธิ์ของเด็กกำพร้านั้นได้ถูกประทานลงมาหลังจากสงครามอุฮุดซึ่งในสงครามครั้งนั้นมุสลิมถูกฆ่าไปถึง 70 คน แน่นอนเมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาเรื่องการแบ่งมรดกของผู้ที่ตายในสงครามและการพิทักษฺสิทธิ์เด็กกำพร้าจึงได้เกิดขึ้นในหลายครอบครัวที่นครมะดีนะฮฺ จากตรงนี้เราจึงสรุปได้ว่า อายะฮฺที่ 1 - 28 ถูกประทานลงมาในโอกาสนี้
(ข)   เราทราบจากหะดีษว่าคำบัญชาเกี่ยวกับเรื่องการนมาซในยามสงครามได้ถูกประทานลงมาในโอกาส “ซาตุรฺริกอ” หรือการเดินทัพที่เกิดขึ้นในฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 4 จากตรงนี้เราสามารถสรุปได้ว่า คำพูดในอายะฮฺ 102 ได้ถูกประทานลงมาในโอกาสนั้น
(ค)   คำเตือนครั้งสุดท้าย (อายะฮฺ 47) ต่อพวกยิวได้ถูกประทานลงมาก่อนที่พวกบะนีนะดีรฺจะถูกเนรเทศออกจากนครมะดีนะฮฺในเดือนเราะบีอุลเอาวัล ฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 4 จากนี้เราจึงอาจสรุปได้อย่างปลอดภัยว่าคำพูดที่อยู่ในอายะฮฺที่ 47 จะถูกประทานลงมาก่อนวันนั้น
(ง)   การอนุญาตเกี่ยวกับ “ตะยัมมุม” (การทำความสะอาดร่างกายก่อนการละหมาดด้วยฝุ่นสะอาดในกรณีที่ไม่มีน้ำ) ได้ถูกประทานลงมาระหว่างการเดินทัพไปทำสงครามกับพวกบะนีอัล-มุสตอลิก ซึ่งเกิดขึ้นในฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 5 ดังนั้นระยะเวลาของการประทานอายะฮฺ 43 จึงอยู่ในปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 5
หัวข้อเรื่องและภูมิหลัง : ตอนนี้ขอให้เรามาดูข้อพิจารณาทางสังคมและประวัติศาสตร์ของช่วงเวลานั้นเพื่อที่จะเข้าใจซูเราะฮฺนี้ คำพูดทั้งหมดในซูเราะฮฺนี้ได้พูดถึงปัญหาสำคัญ 3 ประการที่เผชิญหน้าท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ในเวลานั้น ประการแรกก็คือ ท่านกำลังยุ่งอยู่กับการพัฒนาประชาคมมุสลิมที่ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในตอนที่ท่านอพยพไปยังนครมะดีนะฮฺ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงนำเอาแนวทางศีลธรรม วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจและการเมืองแบบใหม่เข้าไปแทนที่แนวทางเก่าก่อนยุคอิสลาม ประการที่สอง ที่เป็นภาระหนักแก่ท่านก็คือการต่อสู้ที่ยังคงดำเนินอยู่กับพวกอาหรับมุชริก พวกยิวและพวกตลบตะแลงที่ต่อต้านภารกิจการปฏิรูปของท่านอย่างเอาเป็นเอาตาย เหนืออื่นใด ท่านต้องประกาศอิสลามต่อหน้าพลังอำนาจแห่งความชั่วเหล่านี้โดยหวังว่าจะเอาชนะความคิดและจิตใจของคนพวกนี้ได้มากขึ้น
   ดังนั้นรายละเอียดคำสั่งต่าง ๆ จึงได้ถูกประทานลงมาเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาคมอิสลามต่อเนื่องกันมาจากคำบัญชาที่ถูกประทานให้ในซูเราะฮฺ อัลบะกอดราะฮฺ เช่น หลักการสำหรับการดำเนินชีวิตครอบครัวอย่างราบเรียบและแนวทางสำหรับการยุติปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว การกำหนดกฎระเบียบสำหรับการแต่งงานและการแบ่งสิทธิของสามีและภรรยาอย่างเป็นธรรม มีการกำหนดฐานะของผู้หญิงในสังคมและการประกาศสิทธิของเด็กกำพร้า การประกาศกฎหมายและกฎระเบียบสำหรับการแบ่งมรดก และการออกคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิรูปกิจกรรมทางเศรษฐกิจ มีการวางรากฐานของบทลงโทษ การห้าดื่มสิ่งมีนเมา การออกคำสั่งเรื่องความสะอาด การสอนให้มุสลิมรู้จักประเภทของความสัมพันธ์ที่คนดีควรจะมีกับอัลลอฮฺและเพื่อนมนุษย์ และการรักษาวินัยในสังคมมุสลิมเป็นต้น
   นอกจากนี้ ยังได้มีการทบทวนถึงสภาพทางศีลธรรมและศาสนาของบรรดาชาวคัมภีร์เพื่อเป็นบทเรียนให้แก่มุสลิมและเพื่อเป็นการเตือนบรรดามุสลิมมิให้ดำเนินตามรอยเท้าของคนพวกนี้ การวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติและการแบ่งแยกลักษณะของการตลบตะแลงออกจากความศรัทธาที่แท้จริง เพื่อให้มุสลิมสามารถแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันได้
   เพื่อเป็นการรับมือกับผลที่จะตามมาหลังจากสงครามอุฮุด คำพูดปลุกใจได้ถูกประทานลงมาเพื่อกระตุ้นมุสลิมให้เผชิญหน้ากับศัตรูอย่างกล้าหาญ เพราะการพ่ายแพ้ในสงครามครั้งก่อนได้ทำให้อาหรับมุชริกตลอดจนพวกยิวเพื่อนบ้านและพวกตลบตะแลงในนครมะดีนะฮฺเกิดความกล้าหาญขึ้นมาจนเป็นสิ่งที่ข่มขู่มุสลิมอยู่รอบด้าน ตรงจุดเชื่อมต่ออันวิกฤตนี้เองที่อัลลอฮฺได้สร้างความกล้าหาญให้แก่มุสลิมและได้ทรงประทานคำสั่งที่จำเป็นให้ในระหว่างช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้เมฆหมอกแห่งสงคราม เพื่อที่จะโต้ตอบข่าวลืออันน่ากลัวที่ถูกปล่อยออกมาโดยพวกตลบตะแลง พวกมุนาฟิกีน และพวกมุสลิมที่อ่อนในความศรัทธา พวกเขาได้ถูกขอให้สืบเสาะหาความจริงจากคนพวกนี้และแจ้งให้คนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับคนพวกนี้ได้รู้ แล้วพวกเขาก็พบกับความลำบากในการละหมาดระหว่างที่เดินทัพไปยังสถานที่ที่ไม่มีน้ำสำหรับการชำระล้างร่างกาย ในสภาพการณ์เช่นนั้น พวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำความสะอาดตัวเองด้วยฝุ่นบริสุทธิ์และย่อการนมาซลงหรือให้ทำ “นมาซยามหวาดกลัว” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภยันตราย นอกจากนั้นแล้วก็ยังได้มีคำสั่งต่าง ๆ ลงมาเพื่อแก้ปัญหาสับสนของบรรดามุสลิมที่กระจัดกระจายอยู่ท่ามกลางหมู่ชาวอาหรับปฏิเสธ และต้องเกี่ยวข้องในสงครามด้วย กล่าวคือ พวกเขาได้ถูกสั่งให้อพยพไปยังนครมะดีนะฮฺ แผ่นดินแห่งอิสลาม
   นอกจากนั้นแล้ว ซูเราะฮฺนี้ยังได้พูดถึงเรื่องราวของบะนีนะดีรฺที่มีท่าทีเป็นศัตรู ถึงแม้ว่าคนพวกนี้จะทำสัญญาสันติภาพกับมุสลิมแล้วก็ตาม พวกบะนีนะดีรฺเข้าข้างฝ่ายศัตรูของอิสลามอย่างเปิดเผยและยังวางแผนต่อต้านท่านนบีฯ และประชาคมมุสลิม แม้แต่ในนครมะดีนะฮฺเอง ดังนั้น พวกนี้จึงถูกว่ากล่าวตักเตือนถึงพฤติกรรมอันเป็นศัตรูและได้ถูกเตือนเป็นครั้งสุดท้ายให้เปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ และต่อมาได้ถูกขับไล่ออกจากนครมะดีนะฮฺเพราะความประพฤติที่เสียหายของพวกเขา
   ปัญหาเรื่องพวกตลบตะแลง มุนาฟิก ที่สร้างความวุ่นวายขึ้นในเวลานั้นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สร้างความยุ่งยากลำบากใจให้แก่บรรดาผู้ศรัทธา ดังนั้นคนพวกนี้จึงถูกแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อที่จะทำให้มุสลิมสามารถปฏิบัติต่อคนพวกนี้ได้อย่างเหมาะสม
   คำสั่งอันชัดแจ้งเกี่ยวกับทัศนคติที่มุสลิมควรจะมีต่อเผ่าที่มิได้เป็นกรณีพิพาทก็ถูกประทานลงมาในซูเราะฮฺนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่จำเป็นในเวลานั้นก็คือการเตรียมมุสลิมให้ร้อมสำหรับการต่อสู้อันดุดันกับศัตรูของอิสลาม ด้วยเหตุนี้เองที่กุรอานในซูเราะฮฺนี้จึงได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการสร้างบุคลิกลักษณะของบรรดามุสลิม เพราะเป็นที่เห็นได้ชัดว่าประชาคมมุสลิมเล็ก ๆ แห่งนี้จะประสบผลสำเร็จหรือจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อมุสลิมมีบุคลิกลักษณะทางศีลธรรมอันสูงส่งเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ถูกกำชับในเรื่องคุณภาพทางศีลธรรม และจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เมื่อใดก็ตามที่ความอ่อนแอทางศีลธรรมของพวกเขาถูกค้นพบ
   ถึงแม้ว่าซูเราะฮฺนี้จะพูดถึงการปฏิรูปทางศีลธรรมและสังคมเป็นหลัก แต่ก็ยังให้ความสนใจต่อการเผยแผ่อิสลามด้วยเช่นกัน ในด้านหนึ่ง ความสูงส่งของวัฒนธรรมและศีลธรรมของอิสลามได้ถูกสถาปนาขึ้นเหนือวัฒนธรรมและศีลธรรมของพวกยิว พวกคริสเตียนและพวกบูชาเจว็ด (พวกมุชริก แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความคิดทางศาสนาและศีลธรรมผิด ๆ ตลอดจนความชั่วของคนพวกนี้ก็ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เพื่อเป็นการเตรียมพื้นฐานไว้สำหรับการเชิญชวนพวกเขามาสู่แนวทางแห่งสัจธรรม


--------------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 1 - 3




คำอ่าน
1. ยา..อัยยุฮัน..นาสุตตะกู ร็อบบะกุมุลละซีเคาะละเกาะกุม มิน..นัฟสิว..วาหิดะติว..วะเคาะละเกาะมินฮา เซาญะฮา วะบัษษะมินฮุมา ริญาลัน..กะษีร็อว..วะนิสา...อา. วัตตะกุลลอฮัลละซีตะสา...อะลูนะบิฮีวัลอัรฺหาม อิน..นัลลอฮะกานะอะลัยกุมเราะกีบา
2. วะอาตุลยะตามา..อัมวาละฮุม วะลาตะตะบัดดะลุลเคาะบีษะ บิฏฏ็อยยิบ วะลาตะอ์กุลู..อัมวาละฮุมอิลา..อัมวาลิกุม อิน..นะฮูกานะหูบัน..กะบีรอ
3. วะอินคิฟตุมอัลลาตุกสิฏูฟิลยะตามา ฟัน..กิหูมาฏอบะละกุม มินัน..นิสา...อิ มัษนา วะษุลาษะ วะรุบาอฺ ฟะอินคิฟตุมอัลลาตะอฺดิลู ฟะวาหิดะตัน เอามามะละกัตอัยมานุกุม ซาลิกะอัดนา..อัลลาตะอูลู


คำแปล R1.
1. O mankind! Be dutiful to your Lord, who created you from a single person (Adam), and from him (Adam) He created his wife [Hawwa (Eve)], and from them both He created many men and women and fear Allah through whom you demand your mutual (rights), and (Do not cut the relations of) the wombs (kinship). Surely, Allah is ever an All-Watcher over you.
2. And give unto orphans their property and do not exchange (your) bad things for (their) good ones; and devour not their substance (by adding it) to your substance. Surely, this is a great sin.
3. And if you fear that you shall not be able to deal justly with the orphan-girls, then marry (other) women of your choice, two or three, or four but if you fear that you shall not be able to deal justly (with them), then only one or (the captives and the slaves) that your right hands possess. That is nearer to prevent you from doing injustice.


คำแปล R2.
1. โอ้ มวลมนุษย์ทั้งหลาย! พวกเจ้าจงยำเกรงองค์อภิบาลของพวกเจ้าซึ่งทรงบันดาลพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง(คืออาดัม) และได้บันดาลจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ครองของเขา (คือเฮาว๊าอฺ) และพระองค์ทรงแพร่พันธุ์ไปจากทั้งสองซึ่งผู้ชายและผู้หญิงเป็นจำนวนมาก และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ ซึ่งพวกเจ้าวอนขอพระองค์ และ (จงระวังการตัดขาด)ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงสังเกตพวกเจ้าตลอดเวลา
2. และพวกเจ้าจงมอบแก่ลูกกำพร้าซึ่งทรัพย์สินของพวกเขา (ที่พวกเจ้ารักษาไว้ในฐานะผู้อนุบาล เมื่อพวกเขาอายุ 15 ขวบ) พวกเจ้าอย่านำทรัพย์ที่เลวมาแลกเปลี่ยนกับทรัพย์ที่ดี และพวกเจ้าอย่าบริโภค (รับประโยชน์) ทรัพย์สินของพวกเขา (โดยเอามารวม) เข้ากับทรัพย์สินของพวกเจ้า แท้จริง (การบริโภคดังกล่าวนั้น) เป็นบาปใหญ่หลวง
3. และหากพวกเจ้ากลัวว่าจะไม่ยุติธรรมในลูกกำพร้า (ที่เป็นหญิง หากจะแต่งงานกับหล่อน) พวกเจ้าก็จงแต่งงานเถิดกับหญิงที่พวกเจ้าพอใจ สองคน สามคนหรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้ากลัวจะไม่ให้ความยุติธรรม (แก่บรรดาภริยาหลายคนได้) ก็ (จงแต่งงานกับหญิง) เพียงคนเดียว หรือทาสหญิงที่พวกเจ้าครอบครองนาง นั้นเป็นที่ใกล้ที่สุดต่อการที่พวกเจ้าจะได้ไม่ลำเอียง


คำแปล R3.
1. โอ้มนุษย์ จงสำรวมตนต่อพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ผู้ทรงสร้างสูเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง และจากชีวิตนั้นพระองค์ได้สร้างคู่ครองของมัน และจากคู่นั้น พระองค์ได้ทรงแพร่ขยายทั้งผู้ชายและผู้หญิงออกไปอย่างมากมาย และจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺผู้ซึ่งสูเจ้าต่างเรียกร้องสิทธิซึ่งกันและกัน และจงรักษาความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเฝ้าดูสูเจ้าอยู่เสมอ
2. และจงให้เด็กกำพร้าซึ่งสมบัติของพวกเขาและจงอย่าแลกเปลี่ยนสิ่งเลวของสูเจ้าแทนสิ่งดีของพวกเขาและจงอย่ากินสมบัติของพวกเขาโดยการปะปนมันกับสมบัติของสูเจ้า เพราะแท้จริงมันเป็นบาปอันมหันต์
3. และถ้าหากสูเจ้าเกรงว่าไม่สามารถที่จะให้ความเป็นธรรมแก่เด็กกำพร้า ดังนั้น จงแต่งงานกับผู้หญิง สองหรือสามหรือสี่คน ที่สูเจ้าสบใจ แต่ถ้าหากสูเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมก็จงแต่งงานกับผู้หญิงเพียงคนเดียวหรือแต่งงานกับหญิงที่อยู่ในความครอบครองของสูเจ้า นั่นเป็นการดีกว่าที่สูเจ้าจะได้ไม่ลำเอียง


คำแปล R4.
1. มนุษยชาติทั้งหลาย จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง และได้ทรงบังเกิดจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ครองของเขา และได้ทรงให้แพร่สะพัดไปจากทั้งสองนั้น ซึ่งบรรดาชายและบรรดาหญิงอันมากมาย และจงยำเกรงอัลลอฮฺที่พวกเจ้าต่างขอกัน ด้วยพระองค์ และพึงรักษาเครือญาติ แท้จริงอัลลอฮฺทรงสอดส่องดูพวกเจ้าอยู่เสมอ
2. และจงให้แก่บรรดาเด็กกำพร้า ซึ่งทรัพย์สมบัติของพวกเขา และจงอย่าเปลี่ยนเอาของเลว ด้วยของดี และจงอย่ากินทรัพย์ของพวกเขาร่วมกับทรัพย์ของพวกเจ้า แท้จริงมันเป็นบาปอันยิ่งใหญ่
3. และหากพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมในบรรดาเด็กกำพร้าได้ ก็จงแต่งงานกับผู้ที่ดีแก่พวกเจ้าในหมู่สตรี สองคน หรือสามคน หรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าพวกเจ้าจะให้ความยุติธรรมไม่ได้ ก็จงมีแต่หญิงเดียว หรือไม่ก็หญิงที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครองอยู่ นั้นเป็นสิ่งที่ใกล้ยิ่งกว่าในการที่พวกเจ้าจะไม่ลำเอียง


คำแปล R5.
๑. โอ้ปวงชนชาวมักกะห์ยุคปัจจุบันจนถึงปลายแห่งยุค พวกเจ้าจงยำเกรงซึ่งการลงทัณฑ์จากองค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าโดยประพฤติตนตามคำใช้และคำห้ามของพระองค์ ผู้ซึ่งได้บังเกิดพวกเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ทั้งชายและหญิง จากชีวิตหนึ่งคือพระนบีอาดัม และได้ทรงให้บังเกิดพระนางหะวาอ์ผู้เป็นคู่ครองของชีวิตนั้นจากชีวิตนั้นเอง โดยทรงสร้างพระนางหะวาอ์จากซี่โครงด้านซ้ายอันหนึ่งของอาดัม แล้วพระองค์ได้ทรงให้ชายหญิงจำนวนมากมายแพร่พันธุ์ไปทั่วโลกจากเขาทั้งสองนั้น และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ผู้ซึ่งพวกเจ้าต่างอ้างถึงพระนามของพระองค์เอ่ยคำสาบานกันอยู่ และจงเกรงกลัวจากการที่พวกเจ้าจะตัดขาดจากวงศาคณาญาติ ทั้งนี้เพราะว่าการผูกไมตรีกับพวกวงศ์ญาตินั้นเป็นผลดีแก่ตัวของพวกเจ้า การตัดขาดจากวงศ์ญาติจะเป็นผลร้ายแก่ตัวเจ้าเอง เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงสังเกตยิ่งในพฤติกรรมของพวกเจ้า และจะสนองพวกเจ้าตามที่ประพฤตินั้น
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือคราวหนึ่งพวกกำพร้าทั้งหลายได้ทวงคืนทรัพย์สินของพวกเขาจากผู้ปกครองที่พิทักษ์ทรัพย์นั้น แต่ผู้ปกครองดังกล่าวไม่ยอมคืนทรัพย์ให้ ทั้งสองฝ่ายจึงนำเรื่องนี้ไปเสนอยังพระนบีมูฮำมัด จึงมีโองการมาว่า
๒. และโอ้บรรดาผู้ปกครองกำพร้าและผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ปกครองกำพร้า พวกเจ้าจงให้พวกกำพร้าบิดาได้ทรัพย์สินของพวกเขาไป เมื่อพวกกำพร้าเหล่านั้นมีอายุครบ ๑๕ ขวบแล้ว และอย่าได้เอาของที่เลวไปสับเปลี่ยนของที่ดีของกำพร้าเหล่านั้นเลย ทั้งจงอย่าบริโภคทรัพย์สินของพวกกำพร้านั้นที่รวมอยู่ในกองทรัพย์ของพวกเจ้า ซึ่งยังมิได้ปลีกออกต่างหาก เพราะแท้จริงการบริโภคทรัพย์สินเช่นว่านั้นจัดว่าเป็นบาปใหญ่หลวง
   เมื่อโองการที่ ๒ แห่งซูเราะฮฺนี้ลงมาแล้ว บรรดาผู้ปกครองกำพร้าทั้งหลายต่างก็ถอนตัวออกจากการปกครองกำพร้า เพื่อให้พ้นบาปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทว่าผู้ปกครองกำพร้าเหล่านั้นบางคนมีภรรยาตั้งสิบคนหรือแปดคน โดยเขาเหล่านั้นจะสามารถให้ความเป็นธรรมแก่พวกภรรยาของตนได้ก็หาไม่ และเรื่องนี้พวกเขาเองก็ต้องการจะให้ตนพ้นบาปด้วยเช่นเดียวกัน อัลเลาะห์จึงได้ประทานโองการมาว่า
๓. โอ้บรรดาผู้ปกครองกำพร้า ถ้าแหละพวกเจ้าเกรงว่าจะให้ความเป็นธรรมในเรื่องกำพร้ามิได้ ทั้งพวกเจ้าก็ต้องการจะให้หมดบาปกรรมเนื่องจากปกครองพวกเหล่านั้น แล้วยังหวั่นเกรงว่า จะให้ความเป็นธรรมแก่เหล่าภรรยามิได้แล้วไซร้ ก็จงสมรสกับเหล่าสตรีที่ดีควรแก่พวกเจ้าเถิด สองคน สามคนและสี่คนก็ได้ แต่อย่าสมรสกับหญิงให้มีจำนวนเกินกว่าที่ว่านี้ ดังนั้นหากพวกเจ้าเป็นว่าจะให้ความเป็นธรรมแก่ภรรยาจำนวนใด ๆ ดังกล่าวแล้วมิได้ ไม่ว่าในด้านเบี้ยงเลี้ยงรายวันหรือในด้านการแรมคืน ก็ให้พวกเจ้าสมรสกับหญิงได้เพียงหนึ่งนางหรือกับนางทาสที่พวกเจ้าปกครองอยู่เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติว่าจะต้องให้ความเป็นธรรมกับหญิงทาสเหมือนอย่างหญิงผู้เป็นไท นี่ก็นับว่าค่อนไปข้างที่พวกเจ้าจะไม่อำเอียงได้อยู่แล้ว กล่าวคือ ในการที่พวกเจ้าจะสมรสกับหญิงที่เป็นไทจำนวนสี่คนนั้น พวกเจ้าจะมีโอกาสห่างบาปยิ่งกว่าที่จะสมรสกับหญิงที่เป็นไทแปดหรือสิบคน และการที่พวกเจ้าสมรสกับหญิงผู้เป็นไทเพียงหนึ่งหรือกับนางทาสไม่จำกัดจำนวนนั้นพวกเจ้าย่อมจะมีโอกาสห่างจากบาปได้มากยิ่งกว่าที่จะสมรสกับหญิงผู้เป็นไท ๒ คน ๓ คน และ ๔ คน



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 4 - 5


คำอ่าน
4. วะอาตุน..นิสา...อะเศาะดุกอติฮิน..นะนิหฺละฮฺ ฟะอิน..ฏิบนะละกุม อัน..ชัยอิม..มินฮุนัฟสัน..ฟะกุลู ฮะนี...อัม..มะรีอา
5. วะลาตุอ์ตุสสุฟะฮา...อะอัมวาละกุมุลละตี ญะอะลัลลอฮุละกุม กิยาเมา..วัรฺซุกูฮุมฟีฮา วักสูฮุม วะกูลูละฮุมก็อวฺลัม..มะอฺรูฟา


คำแปล R1.
4. And give to the women (whom you marry) their Mahr (obligatory bridal money given by the husband to his wife at the time of marriage) with a good heart, but if they, of their own good pleasure, remit any part of it to you, take it, and enjoy it without fear of any harm (as Allah has made it lawful).
5. And give not unto the foolish your property which Allah has made a means of support for you , but feed and clothe them therewith, and speak to them words of kindness and justice.


คำแปล R2.
4. และพวกเจ้าจงมอบค่าสมรสแก่หญิง (ที่จะแต่งงานด้วย) โดยเสน่หา แต่ถ้าพวกนางพอใจ ต่อพวกเจ้าที่จะให้สักสิ่งหนึ่งจาก (ค่าสมรส) นั้น พวกเจ้าก็จง (รับมันมา) บริโภคเถิด โดยโอชะและชอบธรรม
5. และพวกเจ้าอย่ามอบแก่พวกด้อยปัญญาซึ่งทรัพย์สินของพวกเขา ซึ่งอัลเลาะฮฺทรงบันดาลสิ่งนั้นเป็นเครื่องดำรงชีพแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจงเลี้ยงดูพวกเขาในทรัพย์นั้น และจงให้การนุ่งห่มแก่พวกเขา และพวกเจ้าจงพูดแต่ถ้อยคำอันมีคุณธรรมกับพวกเขา


คำแปล R3.
4. และจงให้ของหมั้นของนางแก่นางโดยเต็มใจ (เป็นการผูกมัด) แต่ถ้านางคืนส่วนหนึ่งของนางแก่สูเจ้าโดยนางยินดีเอง สูเจ้าก็กินมันได้โดยความเปรมปรีดิ์
5. และจงอย่าให้ทรัพย์สินที่อัลลอฮฺได้ทำให้เป็นปัจจัยยังชีพของสูเจ้าแก่คนปัญญาอ่อน แต่สูเจ้าจงให้เครื่องยังชีพและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขา และจงพูดแก่พวกเขาด้วยคำพูดที่ดี


คำแปล R4.
4. และจงให้แก่บรรดาหญิงซึ่งมะฮัรของนาง ด้วยความเต็มใจ แต่ถ้านางเห็นชอบที่จะให้สิ่งหนึ่งแก่พวกเจ้าจากมะฮัรนั้นแล้ว ก็จงบริโภคสิ่งนั้นด้วยความเอร็ดอร่อยและโอชา
5. และจงอย่าให้แก่บรรดาผู้ที่โง่เขลา ซึ่งทรัพย์ของพวกเจ้า ที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เป็นสิ่งค้ำจุนแก่พวกเจ้า และจงให้ปัจจัยยังชีพและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาในทรัพย์นั้น และจงกล่าววาจาแก่พวกเขาอย่างดี


คำแปล R5.
๔. โอ้บรรดาเจ้าบ่าวทั้งหลาย พวกเจ้าจงมอบค่าสมรสให้แก่หญิงฝ่ายเจ้าสาวด้วยความจริงใจ แต่ถ้าพวกหล่อนพอใจยกบางส่วนจากค่าสมรสที่กล่าวนั้นให้แก่พวกเจ้า ก็จงรับเอาส่วนนั้นมาใช้สอยได้อย่างถูกทำนองคลองธรรมทั้งจะได้คำสรรเสริญจากผู้คนและจะไม่ถูกลงโทษในวันอาคิเราะห์ โองการที่ ๔ นี้ถูกประทานลงมาเพื่อจะตอบโต้บรรดาผูเป็นเจ้าบ่าวซึ่งไม่ยินดีรับส่วนของค่าสมรสที่พวกนางพอใจยอมยกให้
๕. และโอ้บรรดาผู้ปกครองกำพร้า พวกเจ้าอย่าได้มอบให้พวกปัญญาอ่อนไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงหรือเด็ก ๆ จับจ่ายใช้สินของพวกเขาที่อยู่ในครอบครองของพวกเจ้าอันทรัพย์สินนั้นอัลเลาะห์ได้ทรงกำหนดให้เป็นเครื่องดำรงชีพของพวกเจ้าหนึ่ง และเป็นสิ่งที่บำบัดความทุกข์ยากหนึ่ง เกรงว่าถ้าพวกเจ้ามอบทรัพย์สินให้แก่พวกเหล่านั้นแล้ว พวกเขาจะนำไปจับจ่ายใช้สอยผิดวัตถุประสงค์ดังกล่าว แต่ให้พวกเจ้าเอาในทรัพย์นั้นไปหมุนหากำไรมาเลี้ยงดูและจ่ายเครื่องนุ่งห่มให้แก่พวกเขา ทั้งจงพูดจากับพวกเขาด้วยถ้อยคำละมุนละม่อมในตอนที่พวกเจ้าจะส่งมอบทรัพย์คืนพวกนั้นไป ในโอกาสที่พวกนั้นมีอายุบรรลุศาสนภาวะ ซึ่งอาจจะโดยอายุครบ ๑๕ ปีก็ได้ หรือโดยมีอสุจิเคลื่อนแล้วก็ได้ หรือในโอกาสที่พวกนั้นคืนสภาพเป็นสามัญชนผู้รู้ผิดชอบและมีความฉลาดแหลมในทางใช้จ่ายทรัพย์ให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าก็ได้




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 6


คำอ่าน
6. วับตะลุลยะตามา หัตตา..อิซาบะละฆุน..นิกาหฺ ฟะอินอานัสตุม..มินฮุมรุชดัน..ฟัดฟะอู..อิลัยฮิมอัมวาละฮุม วะลาตะอ์กุลูฮาอิสรอเฟา..วะบิดาร็อน อัย..ยักบะรู วะมัน..กานะเฆาะนียัน..ฟัลยัสตะอฺฟิฟ วะมัน..กานะฟะกีร็อน..ฟัลยะอ์กุลบิลมะอฺรูฟ ฟะอิซาดะฟะอฺตุมอิลัยฮิม อัมวาละฮุม ฟะอัชฮิดูอะลัยฮิม วะกะฟาบิลลาฮิหะสีบา

คำแปล R1.
6. And try orphans (as regards their intelligence) until they reach the age of marriage; if then you find sound judgment in them, release their property to them, but consume it not wastefully, and hastily fearing that they should grow up, and whoever amongst guardians is rich, he should take no wages, but if he is poor, let him have for himself what is just and reasonable (according to his work). And when you release their property to them, take witness in their presence; and Allah is All-Sufficient in taking account.

คำแปล R2.
6. และพวกเจ้าทั้งหลายจงฝึกฝนลูกกำพร้า (ให้มีความรู้ทั้งด้านศาสนาและอาชีพ) จนกระทั่งเมื่อเขาบรรลุ (สู่วัย) สมรส ดังนั้นถ้าพวกเจ้ามั่นใจในตัวของพวกเขาว่ามีความฉลาด (พอที่จะปกครองทรัพย์ได้) พวกเจ้าก็มอบให้พวกเขาซึ่งทรัพย์สินของพวกเขา และพวกเจ้าอย่าบริโภคมันโดยฟุ้งเฟ้อและรีบร้อน (เพราะกลัวว่า) พวกนั้นจะโตเป็นผู้ใหญ่ (มาปกครองทรัพย์สินเองแล้วจะหมดโอกาสใช้ทรัพย์นั้น) และผู้ใดรวย เขาก็จงยับยั้ง (ตัวเองที่จะใช้ทรัพย์สินของลูกกำพร้าขณะอนุบาลพวกเขา) ส่วนผู้ใดยากจน เขาก็จงบริโภคโดยคุณธรรม (เท่าที่เหมาะสม) ต่อมาเมื่อพวกเจ้าได้มอบทรัพย์สินคืนแก่พวกเขา ก็จงตั้งพยานให้แก่พวกเขา (เพื่อรู้เห็นและรัยรองการมอบคืนทรัพย์นั้น) และย่อมเพียงพอกับอัลเลาะฮฺ (เพียงองค์เดียว) ที่ทรงเป็นผู้ตรวจสอบ (การดำเนินงานทุกอย่างของพวกเจ้า)

คำแปล R3.
6. และจงสังเกตและทดสอบเด็กกำพร้าจนกว่าพวกเขาบรรลุถึงวัยสมรสและถ้าสูเจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ ก็จงมอบสมบัติของพวกเขาคืนให้แก่พวกเขา จงอย่าได้กินทรัพย์สมบัติของพวกเขาอย่างสิ้นเปลืองและรีบเร่ง เพราะกลัวว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้น ถ้าหากผู้ดูแลเด็กกำพร้าผคนใดเป็นผู้มั่งคั่ง ก็ให้เขาละเว้นจากทรัพย์สินของเด็กกำพร้า แต่ถ้าผู้ใดยากจน ก็ให้เขากินมันแต่พอควร และเมื่อสูเจ้ามอบทรัพย์สินของพวกเขาคืนให้แก่พวกเขา ก็จงให้มีบางคนเป็นพยาน และอัลลอฮฺนั้นเพียงพอแล้วในฐานะที่เป็นผู้ชำระ

คำแปล R4.
6. และจงทดสอบบรรดาเด็กกำพร้าดู จนกระทั่งพวกเขาบรรลุวัยสมรส ถ้าพวกเจ้าเห็นว่าในหมู่พวกเขานั้นมีไหวพริบรู้ผิดรู้ถูกแล้ว ก็จงมอบทรัพย์ของพวกเขาให้แก่พวกเขาไป และจงอย่ากินทรัพย์นั้นโดยฟุ่มเฟือย และรีบเร่ง ก่อนที่พวกเขาจะเติบโต และผู้ใดเป็นผู้มั่งมีก็จงงดเว้นเสีย และผู้ใดเป็นผู้ยากจนก็จงกินโดยชอบธรรม ครั้นเมื่อพวกเจ้าได้มอบทรัพย์ของพวกเขาให้แก่พวกเขาไปแล้ว ก็จงให้มีพยานยืนยันแก่พวกเขา และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสอบสวน

คำแปล R5.
๖. และพวกเจ้าจงฝึกซ้อมพวกกำพร้าทั้งในด้านการศาสนาและการจับจ่ายทรัพย์จนกว่าพวกเขาจะเข้าวัยสมรสอาจจะโดยมีอสุจิเคลื่อนออกมาบ้าง โดยมีเลือดระดูประจำเดือนบ้าง หรือโดยมัอายุครบ ๑๕ ปีบ้าง การลองใจที่ว่านี้ถือว่าเป็นภาระจำเป็น(วายิบ)เหนือผู้ปกครองทั้งหลายว่า ถ้กำพร้าเหล่านั้นเป็นนักการค้าก็ให้ผู้ปกครองจ่ายเฉพาะที่เป็นส่วนซื้อและขายเท่านั้น แต่ถ้าพวกนั้นคนใดต้องการจะมีคู่ครองและมีคนรับใช้ ก็ให้ผู้ปกครองจ่ายทรัพย์ให้เฉพาะส่วนที่เป็นค่าเบี้ยงเลี้ยง ค่าสมนาคุณคนรับใช้หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ สุดแต่พวกกำพร้าเหล่านั้นจะแจ้งความจำนงแก่พวกเจ้าให้รู้วัตถุประสงค์ของพวกเขาฉะนั้นหากพวกเจ้าแน่ใจว่ากำพร้าพวกนั้นคนใดชำนาญการดีทั้งในด้าศาสนาและในด้านการพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ก็ให้พวกเจ้าส่งคืนทรัพย์สินแก่พวกเขาไป และโอ้ผู้ปกครองกำพร้าพวกเจ้าอย่าโกงกินทรัพย์นั้นอย่างผิดคลองธรรมและอย่างเร่งรีบในการใช้จ่ายทรัพย์ให้สิ้นไปด้วยเกรงว่าพวกนั้นจะโตทันเกิดความเฉลียวฉลาดรู้ทันว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งพวกเจ้าจำเป็นต้องส่งมอบทรัพย์นั้นคืนให้พวหกำพร้าเหล่านั้นไป ถ้าผู้ปกครองคนใดเป็นผู้ร่ำรวยแล้วไซร้ ก็ให้ผู้นั้นพึงงดเว้นอย่ากินทรัพย์สินของกำพร้านั้นเลย แต่ถ้าผู้ปกครองคนใดเป็นคนยากจน ก็ให้เขากินทรัพย์นั้นได้เท่าที่ควรเฉพาะส่วนที่เป็นค่าจ้างในด้านบริหารธุรกิจทางทรัพย์สินของกำพร้า โอ้บรรดาผู้ปกครอง และเมื่อพวกเจ้าได้ส่งคืนทรัพย์สินให้พวกกำพร้าเหล่านั้นแล้ว ก็จงให้มีพยานรับรู้ต่อหน้าพวกเขานั้นด้วยว่าพวกนั้นได้รับมอบทรัพย์สินของพวกตนไปโดยชอบธรรมแล้ว พวกเจ้าจึงจะพ้นความรับผิดชอบในทรัพย์สินนั้น ทั้งนี้เพื่อมิให้มีข้อขัดแย้งขึ้นภายหลัง อันเป็นเหตุให้พวกเจ้าต้องสืบหาพยานมายืนยันในคดีนี้ ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นก็เพียงพออยู่แล้วที่จะทรงเป็นองค์อารักขาและวินิจฉัยในธุรกิจต่าง ๆ ของบรรดาข้าพระองค์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 7 - 8


คำอ่าน
7. ลิรฺริญาลินะศีบุม..มิม..มาตะเราะกัลวาลิดานิ วัลอักเราะบูนะ วัน..นิสา...อินะศีบุม..มิม..มาตะเราะกัลวาลิดานิ วัลอักเราะบูนะ มิม..มาก็อลละมินฮุ เอากะษุเราะ นะศีบัม..มัฟรูฎอ
8. วะอิซาหะเฎาะร็อลกิสมะตะ อุลุลกุรฺบา วัลยะตามา วัลมะสากีนุ ฟัรฺซุกูฮุม..มินฮุ วะกูลูละฮุม ก็อวลัม..มะอฺรูฟา

 
คำแปล R1.
7. There is a share for men and a share for women from what is left by parents and those nearest related, whether, the property be small or large - a legal share.
8. And when the relatives and the orphans and Al-Masakin (the poor) are present at the time of division, give them out of the property, and speak to them words of kindness and justice.


คำแปล R2.
7. สำหรับผู้ชายทั้งหลายย่อมทรงสิทธิ์ในส่วนพึงได้ จากผู้ให้กำเนิดทั้งสอง และญาติสนิททิ้งไว้ (เป็นมรดก) และสำหรับผู้หญิงทั้งหลายก็มีส่วนได้จากผู้ที่ให้กำเนิดทั้งสองและญาติสนิททิ้งไว้ (เป็นมรดก) จากสิ่งที่มีจำนวนน้อยหรือมากก็ตาม เป็นส่วนได้ที่ถูกกำหนดไว้อย่างตายตัว
8. และเมื่อญาติ (ที่ไม่มีสิทธิ์ในส่วนได้ทางมรดก) ลูกกำพร้า และคนอนาถาได้มาร่วมอยู่ในการแบ่งมรดก พวกเจ้าก็จงมอบให้พวกเขาจากบางส่วนของทรัพย์นั้น และพวกเจ้าจงพูดจาที่มีคุณธรรมกับพวกเขา


คำแปล R3.
7. สำหรับผู้ชายก็มีส่วนจากที่พ่อแม่และญาติสนิทได้ทิ้งไว้ และสำหรับผู้หญิงก็มีส่วนจากที่พ่อแม่และญาติสนิทได้ทิ้งไว้ ไม่ว่าจะน้อยหรือมากก็ตาม เพราะส่วนแบ่งนี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว (โดยอัลลอฮฺ)
8. และถ้าหากญาติและเด็กกำพร้าและคนยากจนอยู่ในตอนที่มีการแบ่งมรดก จงให้บางสิ่งจากมรดกนั้นแก่พวกเขา และจงพูดก่พวกเขาด้วยถ้อยคำที่ดี


คำแปล R4.
7. สำหรับบรรดาชายนั้น มีส่วนได้รับจากสิ่งที่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดได้ทิ้งไว้ และสำหรับบรรดาหญิงนั้นก็มีส่วนได้รับจากสิ่งที่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและ บรรดาญาติที่ใกล้ชิดได้ทิ้งไว้ ซึ่งสิ่งนั้นจะน้อยหรือมากก็ตาม เป็นส่วนได้รับที่ถูกกำหนดอัตราส่วนไว้
8. และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดและบรรดาเด็กกำพร้า และบรรดาผู้ที่ขัดสนมาร่วมอยู่ด้วยในการแบ่งมรดก ก็จงปันส่วนหนึ่งจากสิ่งนั้น ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา และจงกล่าวแก่พวกเขาอย่างดี


คำแปล R5.
๗. สำหรับชาย ๑๐ ประเภทอันได้แก่ ๑. ลูกชาย ๒. ลูกชายของลูกชายและบุคคลในระดับชั้นที่ต่ำลงไป ๓. พ่อ ๔. ปูและบุคคลในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป ๕. พี่ชายน้องชายที่ร่วมบิดามารดา หือร่วมบิดา หรือร่วมมาดาเดียวกัน ๖. พี่ชายน้องชายของพ่อที่ร่วมบิดามารดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ๗. ลูกชายของพี่ชายน้องชายที่ร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาเดียวกัน ๙. สามี ๑๐. ชายผู้เป็นนายของทาสที่นายยกค่าตัวให้เป็นไท เหล่านี้ย่อมได้รับส่วนมรดกที่บิดามารดาและเครือญาติใกล้ชิดหรือทาสทิ้งไว้ให้ และสำหรับหญิง ๗ ประเภทอันได้แก่ ๑. ลูกสาว ๒. ลูกสาวของลูกชาย ของหลานชายและของบุคคลในลำดับชั้นที่ต่ำลงไป ๓. แม่ ๔. ย่าและยาย และบุคคลในลำดับชั้นที่สูงขึ้นไป ๕. ภรรยา ๖. พี่สาวน้องสาวที่ร่วมบิดามารดา หรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ๗. หญิงผู้เป็นนายทาสที่ถูกนายยกค่าตัวให้เป็นไท เหล่านี้ย่อมได้รับส่วนมรดกที่บิดามารดาและเครือญาติใกล้ชิดหรือทาสทิ้งไว้ให้ จะน้อยหรือมากตามส่วนที่ถูกอัลเลาะห์กำหนดว่าจะต้องจ่ายให้แก่ทายาททั้งชายและหญิงทั้ง ๑๗ ประเภทนั้นโดยเด็ดขาด ส่วนวิธีคำนวณการแบ่งจะเป็นอย่างไรนั้นมีรายละเอียดกล่าวไว้ในคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องการมรดก (ฟะรออิ๊ด)
๘. และในเมื่อบุคคล ๓ จำพวกผู้ไม่มีสิทธิในกองมรดกอันได้แก่ วงศ์ญาติ ๑๑ ประเภทคือ ๑ ตาและแม่ของตา ๒. ลูก ๆ ของลูกสาว ๓. ลูกสาวของพี่ชายน้องชายี่ร่วมบิดามารดา หรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดา(กับผู้ตาย) ๔. ลูก ๆ ของพี่สาวน้องสาวที่ร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดา (กับผู้ตาย) ๕. ลูกชายของพี่ชายน้องชายที่ร่วมมารดาเดียวกัน (กับผู้ตาย) ๖. พี่ชายน้องชายของพ่อที่ร่วมมารดาเดียวกัน ๗. ลูกสาวของพี่ชายน้องชายของพ่อที่ร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ๘. พี่สาวน้องสาวของพ่อที่ร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ๙. พี่ชายน้องชายของแม่ ๑๐. พี่สาวน้องสาวของแม่ ๑๑. ผู้สืบสกุลจาก ๑๐ ประเภทที่กล่าวข้งต้น
   ถ้าในการรับมรดกมีชายทั้ง ๑๐ ประเภทอยู่พร้อมหน้ากันก็ให้ ๑. บิดา ๒. ลูกชาย ๓. สามีเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิ์ในกองมรดก แต่ถ้ามีหญิงทั้ง ๗ ประเภทอยู่พร้อมหน้ากันก็ให้ ๑. ลูกสาว ๒. หลานสาว(ที่เกิดจากลูกชาย) ๓. มารดา ๔. พี่สาวน้องสาวร่วมบิดามารดา ๕. ภรรยา เท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิในกองมรดก และในกรณีที่ถ้าชายและหญิง ๑๗ ประเภทไม่มีเลยหรือมีอยู่บ้าง ทรัพย์มรดกทั้งหมดหรือที่เหลือให้ยกขึ้นคลังศาสนสมบัติ หากว่าเจ้าหน้าที่คลังนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ยุติธรรม มิฉะนั้นก็ให้เอาทรัพย์มรดกที่เหลือมาเพิ่มเฉลี่ยให้ผู้มีส่วนรับที่นอกจากสามีและภรรยา ถ้าแม้ว่าผู้รับเพิ่มเฉลี่ยไม่มีอีก ก็ให้เอาทรัพย์มรดกทั้งหมดแบ่งให้แก่วงศ์ญาติ ๑๑ ประเภทที่เดิมไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดก กำพร้าและผู้ยากจนได้มาสู่อยู่ด้วยในการแบ่งมรดกนี้ โอ้บุคคลทั้ง ๑๗ ประเภท ซึ่งทั้งหมดบรรลุศาสนภาวะแล้วก่อนที่จะลงมือแบ่ง พวกเจ้าจงปันเอาสักส่วนหนึ่งจากกองมรดกนั้นให้พวกทั้งสามนั้นบ้าง การที่จะปันส่วนดังที่ว่านี้จะถือว่าเป็นภาระจำเป็น(วายิบ) ตามทัศนะของอิบนุอับบ๊าสก็ได้ หรือจะถือว่าเป็นซุนนะห์ตามมหามติ(มุอ์ตะมัด) ก็ได้ แต่ในเมื่อการแบ่งมรดกครั้งนั้นมีผู้เยาว์อยู่ด้วย ก็ให้พวกเจ้าพูดจากับพวกทั้งสามนั้นให้ถูกคัลลองธรรมว่า “การที่จะปันส่วนให้พวกนั้นบ้าง พวกเจ้าเองก็ขัดข้องเพราะพวกเจ้ามิได้ทรงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นโดยสิทธิ์ขาด” 




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 9 - 10


คำอ่าน
9. วัลยัคชัลละซีนะ เลาตะเราะกูมินค็อลฟิฮิม ซุรรียะตัน..ฎิอาฟัน คอฟูอะลัยฮิม ฟัลยัตตะกุลลอฮะ วัลยะกูลู ก็อวลัน..สะดีดา
10. อิน..นัลละซีนะ ยะอฺกุลูนะอัมวาลัลยะตามาซุลมัน อิน..นะมา ยะอ์กุลูนะฟีบุฏูนิฮิมนารอ วะสะยัศเลานะสะอีรอ


คำแปล R1.
9. And let those (executors and guardians) have the same fear in their minds as they would have for their own, if they had left weak offspring behind. So let them fear Allah and speak right words.
10. Verily, those who unjustly eat up the property of orphans, they eat up only a fire into their bellies, and they will be burnt in the blazing Fire!


คำแปล R2.
9. และจงกลัว (อัลเลาะฮฺ) เถิด บรรดาผู้ (ทำหน้าที่อนุบาลเด็กกำพร้ำ) ซึ่งเมื่อพวกเขาทิ้งทายาทที่อ่อนแอที่เขาห่วงใย ไว้เบื้องหลังของเขา (เมื่อเขาต้องอนุบาลเด็กกำพร้าและมีลูกของเขาเองที่เขาห่วงใย ก็จงห่วงใยเด็กกำพร้าในอัตราเดียวกัน อย่าคิดยักยอกทรัพย์เด็กำพร้ามาเป็นมรดกแก่ลูกของตนเองเป็นอันขาด) ดังนั้น พวกเขาจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ และจงพูดกับพวกเขาด้วยถ้อยคำที่ดีงาม
10. แท้จริงบรรดาผู้กินทรพย์สินของลูกกำพร้าโดยฉ้อฉล ความจริงพวกเขากินไฟเข้าไปในท้องของพวกเขาเอง และพวกเขาจะต้องเข้าไปในนรกอันลุกโพลง


คำแปล R3.
9. และจงให้คนเหล่านั้นเกรงกลัวว่าพวกเขาจะรู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับลูกหลานที่อ่อนแอที่พวกเขาทิ้งไว้อย่างไร ดังนั้นจงให้พวกเขาสำรวมตนต่ออัลลอฮฺและจงพูดในสิ่งที่ถูกต้อง
10. แท้จริงบรรดาผู้กินทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้าโดยไม่ชอบธรรม พวกเขาเพียงแต่กินไฟเข้าไปในท้องของพวกเขา และในไม่ช้าพวกเขาจะถูกโยนเข้าไปในเปลวเพลิง


คำแปล R4.
9. และพึงวิตกเถิด บรรดาผู้ที่หากพวกเขาละทิ้งลูกๆ ที่ยังอ่อนแออยู่ไว้เบื้องหลังของพวกเขา ซึ่งพวกเขากลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ลูก ๆ ของพวกเขานั้น พวกเขาจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด และจงกล่าววาจาอย่างเที่ยงตรง
10. แท้จริงบรรดาผู้ที่กินทรัพย์ของบรรดาเด็กกำพร้าด้วยความอธรรมนั้น แท้จริงพวกเขากินไฟเข้าไปในท้องของพวกเขาต่างหากและพวกเขาก็จะเข้าไปสู่เปลวเพลิง


คำแปล R5.
๙. และพึงกลัวอัลเลาะห์กันเถิด บรรดาผู้ปกครองกำพร้า ซึ่งถ้าหากตนใกล้จะตายทิ้งลูกเต้าผู้เยาว์วัยไว้ข้างหลังแล้วเป็นห่วงใยพวกเหล่านั้น ว่าจะได้แต่ความยากแค้นลำเค็ญเป็นฉันใด พวกเจ้าก็ต้องเป็นห่วงเป็นใยพวกกำพร้าว่าจะได้แต่ความยากแค้นลำเค็ญเป็นฉันนั้น ทั้งจงยำเกรงอัลเลาะห์ในอันที่จะปฏิบัติแก่ลูกกำพร้าว่าของใดที่พวกเจ้าโปรดและอยากจะยกให้บุตรของตัวเอง ก็พึงให้ของทำนองนั้นแก่พวกกำพร้าด้วย และจงพูดจาแก่ผู้ป่วยไข้จวนจะตายทิ้งลูกเป็นกำพร้า ด้วยถ้อยคำอันเหมาะควร คือให้ผู้ปกครองบอกแก่ผู้ป่วยไข้นั้นว่า “ขอให้ท่านระบุทรัพย์ของท่านเข้าในพินัยกรรมน้อยกว่าหนึ่งในสาม เหลือนอกนั้นขอให้ยกเป็นมรดกสำหรับทายาทของท่าน และขอว่าท่านอย่าปล่อยให้พวกทายาทผู้มีสิทธิ์รับมรดกของท่านต้องตกเป็นคนยากไร้ถึงกับเป็นคนขอทานเลย”
๑๐. แท้จริงบรรดาคนที่โกงกินทรัพย์ของพวกกำพร้าอย่างไม่เป็นธรรม พวกนั้นเองแหละที่กินไฟเข้าไปในท้องจนเต็ม เพราะถือว่าการกินทรัพย์นั้นเป็นผลให้ไปสู่ขุมนรก ทั้งต่อไปพวกนั้นจะลุยเข้าสู่ไฟที่ร้อนแรง จะถูกเพลิงผลาญเป็นเถ้าถ่านที่นั่น



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 12, 2011, 09:26 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 11


คำอ่าน
11. ยูศีกุมุลลอฮุ ฟี..เอาลาดิกุม ลิซซะกะริมิษลุ หัซซิลอุน..ษะยัยนฺ ฟะอิน..กุน..นะ นิสา...อัน..เฟาก็อษนะตัยนิ ฟะละฮุน..นะ ษุลุษามาตะร็อก วะอิน..กานัตวาหิดะตัน..ฟะละฮัน..นิศฟุ วะลิอะบะวัยฮิ ลิกุลลิวาหิดิม..มินฮุมัสสุดุสุ มิม..มาตะเราะกะ อิน..กานะละฮูวะลัด ฟะอิลลัมยะกุลละฮู วะละดู..วะริษะฮู..อะบะวาฮุ ฟะลิอุม..มิฮิษษุลุษ ฟะอิน..กานะละฮู..อิควะตุน..ฟะลิอุม..มิฮิสสุดุส มิม..บะอฺดิ วะศียะตี..ยูศีบิฮา..เอาดัยนฺ อาบา..อุกุม วะอับนา..อุกุม ลาตัดรูนะอัยยุฮุม อักเราะบุละกุมนัฟอา ฟะรีเฎาะตัม..มินัลลอฮฺ อิน..นัลลอฮะกานะอะลีมันหะกีมา

คำแปล R1.
11. Allah commands you as regards your children's (inheritance); to the male, a portion equal to that of two females; if (there are) only daughters, two or more, their share is two thirds of the inheritance; if only one, her share is half. For parents, a sixth share of inheritance to each if the deceased left children; if no children, and the parents are the (only) heirs, the mother has a third; if the deceased left brothers or (sisters), the mother has a sixth. (The distribution in all cases is) after the payment of legacies he may have bequeathed or debts. You know not which of them, whether your parents or your children, are nearest to you in benefit, (these fixed shares) are ordained by Allah. And Allah is ever All-Knower, All-Wise.

คำแปล R2.
11. อัลเลาะฮฺทรงมีคำสั่งแก่พวกเจ้าในลูก ๆ ของพวกเจ้าว่า สำหรับผู้ชายให้ได้มรดกเท่ากับส่วนได้ของผู้หญิงสองคน แต่ถ้าเป็นหญิงทั้งหมด เกินกว่าสองคน (ไม่มีลูกชาย) พวกนางก็ได้เศษสองส่วนสามของทรัพย์มรดก และถ้าเป็นหญิงเพียงคนเดียว (ไม่มีลูกชาย) นางก็ได้ครึ่งหนึ่ง สำหรับบิดามารดาของผู้ตาย แต่ละฝ่ายได้รับเศษหนึ่งส่วนหกจากกอง (มรดก) ที่เขาทิ้งไว้ ทั้งนี้ถ้าเขา (ผู้ตาย) มีบุตร แต่ถ้าเขาไม่มีบุตร และบิดามารดาของเขารับมรดกนั้น ก็ให้แก่มารดาของเขาเพียงเศษหนึ่งส่วนสาม แต่ถ้าเขามีพี่น้องหลายคน ก็ให้แม่ของเขาเศษหนึ่งส่วนหก ทั้งนี้ (มารดาที่จะจัดแบ่งดังกล่าวนั้น ให้แบ่ง)ภายหลังจาก (ได้จัดการในเรื่อง) พินัยกรรมที่ผู้ตายได้สั่งไว้หรือหนี้สิน อันพ่อ ๆ ของพวกเจ้าและลูก ๆ ของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าไม่รู้ดอกว่าคนใดจากพวกเขาบ้างที่ให้ประโยชน์ใกล้ชิดยิ่ง แก่พวกเจ้า (ดังที่ระบุส่วนรับตามที่กล่าวนั้น) เป็นส่วนกำหนดจากอัลเลาะฮฺ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งอีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง

คำแปล R3.
11. อัลลอฮฺได้ทรงสั่งสูเจ้าเกี่ยวกับลูก ๆ ของสูเจ้า (ในเรื่องมรดก)ว่า สำหรับส่วนแบ่งของชายนั้นจะเท่ากับผู้หญิงสองคน แต่ถ้าหากมีทายาทหญิงเกินสองคน ส่วนแบ่งของนางทั้งหมดคือสองในสามของที่ผู้ตายได้ละไว้ แต่ถ้ามีลูกหญิงเพีงคนเดียว ส่วนแบ่งของนางคือครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ถ้าหากผู้ตายมีบุตร พ่อและแม่ของเขาแต่ละคนมีสิทธิจะได้หนึ่งในหกของทั้งหมด แต่ถ้าหากเขาไม่มีบุตรและพ่อแม่ของเขาเท่านั้นที่เป็นทายาทของเขา ดังนั้นแม่ของเขาจะได้หนึ่งในสามของทั้งหมด แต่ถ้าหากเขามีพี่น้องแม่ของเขาก็จะได้หนึ่งในหกของทั้งหมด การแบ่งส่วนมรดกนี้จะมีขึ้นหลังจากที่พินัยกรรมได้รับการปฏิบัติโดยครบถ้วนและหลังจากที่ได้มีการชำระหนี้สินแล้ว เกี่ยวกับพ่อของสูเจ้าและลูก ๆ ของสูเจ้านั้น สูเจ้าไม่รู้ดอกว่าใครที่เป็นประโยชน์ต่อสูเจ้ามากกว่ากัน อัลลอฮฺได้กำหนดส่วนแบ่งเหล่านี้ไว้แล้ว แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงปรีชาญาณ

คำแปล R4.
11. อัลลอฮฺได้ทรงสั่งพวกเจ้าไว้ในลูก ๆ ของพวกเจ้าว่า สำหรับเพศชายนั้นจะได้รับเท่ากับส่วนได้ของเพศหญิงสองคน แต่ถ้าลูกๆ เป็นหญิงเกินกว่าสองคน พวกนางก็จะได้สองในสามของสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้ และถ้าลูกเป็นหญิงคนเดียวนางก็จะได้ครึ่งหนึ่ง และสำหรับบิดาและมารดาของเขานั้น แต่ละคนในทั้งสองนั้นจะได้หนึ่งในหกจากสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้หากเขามีบุตร แต่ถ้าเขาไม่มีบุตรและมีบิดามารดาของเขาเท่านั้นที่รับมรดกของเขาแล้ว มารดาของเขาก็ได้รับหนึ่งในสาม ถ้าเขามีพี่น้องหลายคน มารดาของเขาก็ได้รับหนึ่งในหกทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่เขาได้สั่งเสียมันไว้หรือหลังจากหนี้สิน บรรดาบิดาของพวกเจ้าและลูก ๆ ของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าไม่รู้ดอกว่าฝ่ายไหนในพวกเขานั้นเป็นผู้ที่มีคุณประโยชน์แก่พวกเจ้า ใกล้กว่ากัน ทั้งนี้เป็นบัญญัติที่มาจากอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

คำแปล R5.
๑๑. อัลเลาะห์จะทรงสั่งใช้พวกเจ้าเกี่ยวกับลูกเต้าทั้งชายและหญิงของพวกเจ้าให้จัดแบ่งทรัพย์มรดกตามวิธีการต่อไปนี้ ว่า
   (๑) ให้ชายหนึ่งมีส่วนได้เท่ากับหญิงสองในกรณีที่เมื่อผู้รับมรดกมีเฉาะชายหนึ่งกับหญิงอีกสอง
   (๒) ถ้าผู้รับมรดกมีชายหนึ่งกับหญิงหนึ่งเท่านั้น ก็ให้ชายมีส่วนได้เป็นสองในสามของทรัพย์มรดก และหญิงได้เพียงหนึ่งในสามของทรัพย์มรดกนั้น
   (๓) ถ้าผู้รับมรดกมีเพียงชายคนเดียว ก็ให้เขาได้รับส่วนแบ่งทั้งหมด
   (๔) ถ้าผู้รับมรดกเป็นชายล้วนเกินกว่าหนึ่ง ให้แต่ละคนมีส่วนได้เท่า ๆ กัน ถ้าว่าผูรับมรดกมีลูกหญิงล้วนเกินสองแล้ว ก็ให้พวกเธอได้สองในสามของทรัพย์ที่เขาทิ้งไว้และยังคงเหลือทรัพย์อยู่อีกหนึ่งในสาม แต่ถ้ามีลูกหญิงเพียงหนึ่งก็ให้เธอได้มีส่วนได้ครึ่งหนึ่ง และยังคงเหลือทรัพย์อยู่อีกครึ่งหนึ่ง และสำหรับบิดามารดาหรือปู่ของเขาผู้ตายนั้น เฉพาะมารดาก็ให้ได้หนึ่งในหกของทรัพย์ที่เขา(ผู้ตาย)ทิ้งไว้ และสำหรับบิดาหรือปู่ให้ได้ห้าในหก เมื่อว่าเขาผู้ตายมีบุตรหรือมีหลาน(ที่เกิดแต่บุตรชาย)แต่ถ้าเขาผู้ตายนั้น ไม่มีบุตรหรือหลานที่เกิดแต่บุตรชาย โดยมีบิดามารดาของผู้นั้นเป็นคนรับมรดกโดยเฉพาะ ก็ให้มารดาของเขาได้หนึ่งในสามของทรัพย์มรดก หรือผู้ตายมีภรรยาร่วมสิทธิในกองมรดกนั้นด้วย ก็ให้มารดาของผู้ตายได้รับหนึ่งในสามของส่วนที่เหลือจากภรรยาผู้ตายได้รับไปแล้ว ส่วนที่ยังเหลืออยู่อีกหลังจากมารดาได้รับไปแล้วหนึ่งในสามของทรัพย์ทั้งสิ้นก็ดี หรือหนึ่งในสามของทรัพย์ที่เหลือจากภรรยาผู้ตายได้รับไปก็ดี ก็ให้เป็นส่วนได้ของบิดาผู้ตาย แล้วถ้าเขาผู้ตายมีพี่น้องตั้งแต่สองคนขึ้นไปจะเป็นชายก็ดีจะเป็นหญิงก็ดี ก็ให้มารดามีส่วนได้หนึ่งในหก ส่วนที่เหลืออีกห้าในหกก็เป็นส่วนของบิดา การแบ่งส่วนต่าง ๆ ที่กล่าวแล้ว ทั้งนี้ต้องหลังจากหักส่วนพินัยกรรมที่เขา(ผู้ตาย)สั่งเสียไว้ หรือเสร็จจากชำระหนี้สินที่ผู้ตายทำไว้แล้ว พ่อ ๆ ของเจ้าก็ดี และลูก ๆ ของพวกเจ้าก็ดี พวกเจ้าไม่อาจจะรู้ได้หรอกว่าคนไหนจะใกล้ชิดกับเจ้ามากกว่ากันในด้านก่อประโยชน์ ทั้งในภาคโลกและภาคธรรม อัลเลาะห์เท่านั้นที่จะทรงรู้ได้ ทั้งนี้เป็นกฎบัญญัติจากอัลเลาะห์ว่าด้วยการมรดกอันพระองค์ได้ทรงตราไว้แก่พวกเจ้า แท้จริงอัลเลาะห์คือองค์ทรงรู้ยิ่งในบรรดาข้าของพระองค์ ทรงประณีตยิ่งในการบริหารธุรกิจให้บรรดาข้าของพระองค์




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 12


คำอ่าน
12. วะละกุมนิศฟุมาตะเราะกะ อัซวาญุกุม อิลลัมยะกุลละฮุน..นะวะลัด ฟะอิน..กานะละฮุน..นะวะละดุน..ฟะละกุมุรฺรุบุอุ มิม..มาตะร็อกนฺ มืม..บะอฺดิวะศียะตี..ยูศีนะบิฮาเอาดัยนฺ วะละฮุน..นัรฺรุบุอุ มิม..มาตะร็อกตุม อิลลัมยะกุลละกุมวะลัด ฟะอิน..กานะละกุมวะละดุน..ฟะละฮุน..นัษษุมุนุ มิม..มาตะร็อกตุม มิม..บะอฺดิ วะศียะติน..ตูศูนะบิฮาเอาดัยนฺ วะอิน..กานะเราะญุลุย..ยูเราะษุ กะลาละตัน อะวิมเราะอะตู..วะละฮู..อะคุน เอาอุคตุน ฟะลิกุลลิวาหิดิม..มินฮุมัสสุดุส ฟะอิน..กานู..อักษะเราะมิน..ซาลิกะ ฟะฮุมชุเราะกา...อุ ฟิษษุลุษ มิม..บะอฺดิวะศียะตี..ยูศิบิฮาเอาดัยนิน ฆ็อยเราะมุฎอรฺ วะศียะตัม..มินัลลอฮฺ วัลลอฮุอะลีมุนหะลีม

คำแปล R1.

12. In that which your wives leave, your share is a half if they have no child; but if they leave a child, you get a fourth of that which they leave after payment of legacies that they may have bequeathed or debts. In that which you leave, their (your wives) share is a fourth if you leave no child; but if you leave a child, they get an eighth of that which you leave after payment of legacies that you may have bequeathed or debts. if the man or woman whose inheritance is in question has left neither ascendants nor descendants, but has left a brother or a sister, each one of the two gets a sixth; but if more than two, they share in a third; after payment of legacies he (or she) may have bequeathed or debts, so that no loss is caused (to anyone). This is a commandment from Allah; and Allah is ever All-Knowing, Most-Forbearing.

คำแปล R2.
12. และพวกเจ้าทั้งหลายมีสิทธิ์ในครึ่งหนึ่งของ (ทรัพย์มรดก) ที่คู่ครองของพวกเจ้าได้ทิ้งไว้ ทั้งนี้ถ้าพวกนางไม่มีลูก แต่ถ้าพวกนางมีลูก พวกเจ้าก็ได้รับเศษหนึ่งส่วนสี่จาก (มรดก) ที่นางได้ทิ้งไว้ ภายหลังจากพินัยกรรมที่พวกนางได้สั่งไว้หรือหนี้สิน และพวกนางมีสิทธิ์ในเศษหนึ่งสาวนสี่จากสิ่งที่พวกเจ้าทิ้งไว้ (เป็นมรดก) ทั้งนี้ถ้าพวกเจ้าไม่มีลูก แต่ถ้าพวกเจ้ามีลูก พวกนางก็มีสิทธิ์เศษหนึ่งสาวนแปด จากสิ่งที่พวกเจ้าได้ทิ้งไว้(เป็นมรดก) ภายหลังจากพินัยกรรมที่พวกเจ้าได้สั่งไว้ หรือหนี้สิน และถ้าชายหรือหญิงผู้หนึ่ง (ผู้ตาย) ทิ้งมรดกแบบไม่มีทายาทโดยตรง และเขา (ผู้ตาย) มีพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิง ก็ให้แต่ละคนจากทั้งสองนั้น จำนวนเศษหนึ่งส่วนหก แต่ถ้าพวกเขา (พี่น้องชาย,หญิง) มีจำนวนมากกว่านั้น พวกเขาก็ร่วมกันในเศษหนึ่งส่วนสามภายหลังจาก (จัดารจำหน่ายตาม) พินัยกรรมที่เขาสั่งไว้หรือหนี้สิน โดยไม่เป็นที่เดือดร้อน (แก่สิทธิของทายาททั่วไป) เป็นคำสั่งจากอัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง อีกทั้งทรงสุขุมยิ่ง

คำแปล R3.

12. และสำหรับสูเจ้าคือครึ่งหนึ่งของสิ่งที่ภรรยาของสูเจ้าได้ทิ้งไว้ถ้าหากนางไม่มีบุตร แต่ถ้าหากนางมีบุตรสูเจ้าก็ได้รับหนึ่งในสี่ของสิ่งที่นางได้ทิ้งไว้หลังจากที่พินัยกรรมได้รับการปฏิบัติโดยครบถ้วนและหลังจากที่ได้มีการชำระหนี้สินแล้ว และสำหรับนางคือหนึ่งในสี่ของมรดกที่สูเจ้าทิ้งไว้ถ้าสูเจ้าไม่มีบุตร แต่ถ้าสูเจ้ามีบุตร นางมีสิทธิได้ส่วนแบ่งหนึ่งในแปดของสิ่งที่สูเจ้าทิ้งไว้หลังจากที่พินัยกรรมได้รับการปฏิบัติโดยครบถ้วนและหลังจากที่ได้มีการชำระหนี้สินแล้ว แต่ถ้าผู้ตายไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงไม่มีบุตร แต่มีพี่ชายหรือน้องชายหนึ่งคน หรือมีพี่สาวหรือน้องสาวหนึ่งคน ดังนั้นแต่ละคนจากทั้งสองจะได้หนึ่งในหกของทั้งหมด แต่ถ้าพี่น้องชายหญิงมีมากกว่านั้นส่วนแบ่งของพวกเขาทั้งหมดก็คือหนึ่งในสามของทั้งหมดหลังจากที่พินัยกรรมได้รับการปฏิบัติโดยครบถ้วนและหลังจากที่ได้มีการชำระหนี้สินแล้ว ถ้าหากว่ามันไม่เป็นผลร้าย (ต่อบรรดาทายาทนี่เป็นคำสั่งจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงขันติ

คำแปล R4.

12. และสำหรับพวกเจ้านั้นจะได้รับครึ่งหนึ่งของสิ่งที่บรรดาภรรยาของพวกเจ้าได้ ทิ้งไว้ หากมิได้ปรากฏว่าพวกนางมีบุตร แต่ถ้าพวกนางมีบุตรพวกเจ้าก็จะได้รับหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกนางได้สั่งเสีย มันไว้ หรือหลังจากหนี้สิน และสำหรับพวกนางนั้นจะได้รับหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกเจ้าได้ทิ้งไว้ หากมิปรากฏว่าพวกเจ้ามีบุตร แต่ถ้าพวกเจ้ามีบุตรพวกนางก็จะได้รับหนึ่งในแปดจากสิ่งที่พวกเจ้าทิ้งไว้ ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่พวกเจ้าสั่งเสียมันไว้ หรือหลังจากหนี้สิน และถ้ามีชายคนหนึ่งหรือหญิงคนหนึ่งถูกรับมรดกในฐานะเป็นผู้ที่ไม่มี บิดาและบุตร แต่เขามีพี่ชายหรือน้องชายคนหนึ่ง หรือมีพี่สาวหรือน้องสาวคนหนึ่งแล้ว แต่ละคนจากสองคนนั้นจะได้รับหนึ่งในหก แต่ถ้าพี่น้องของเขามีมากกว่านั้น พวกเขาก็เป็นผู้รับร่วมกันในหนึ่งในสาม ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่ถูกสั่งเสียไว้หรือหลังจากหนี้สิน โดยมิใช่สิ่ง ที่นำมาซึ่งผลร้ายใด ๆ เป็นคำสั่งที่มาจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงหนักแน่น

คำแปล R5.
๑๒. และสำหรับพวกเจ้าผู้เป็นสามีนั้นย่อมมีส่วนได้ครึ่งหนึ่งของทรัพย์ที่ภรรยาพวกเจ้าทิ้งไว้เมื่อว่านางเหล่านั้นไม่มีบุตร หรือไม่มีหลานที่เกิดแต่บุตรชาย แต่ถ้านางเหล่านั้นมีบุตร จะเป็นชายก็ดี เป็นหญิงก็ดีที่เกิดแต่พวกเจ้าเองก็ดีหรือเกิดแต่คนอื่นจากพวกเจ้าก็ดี หรือมีหลานที่เกิดแต่บุตรชาย ก็ให้พวกเจ้ามีส่วนได้หนึ่งในสี่จากทรัพย์ที่พวกนางทิ้งไว้ ทั้งนี้หลังจากหักส่วนพินัยกรรมที่นางสั่งเสียไว้ อย่างไม่ทำให้ผู้รับมรดกเกิดความเดือดร้อนแต่ประการใด เกี่ยวกับการให้คำพินัยกรรม หรือเสร็จจากชำระหนี้สินที่พวกนางทำไว้ และให้พวกนางที่เป็นภรรยาร่วมกันมีส่วนได้หนึ่งในสี่ของทรัพย์ที่พวกเจ้าทิ้งไว้ เมื่อว่าพวกเจ้าผู้ตายไม่มีบุตรไม่ว่าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง หรือไม่มีหลานที่เกิดแต่บุตรชาย แต่ถ้าพวกเจ้ามีบุตร ไม่ว่าจะเกิดแต่ภรรยาหนึ่งหรือเกิดแต่ภรรยาอื่นหรือมีหลานซึ่งเกิดแต่บุตรชาย ก็ให้พวกนางร่วมกันมีส่วนได้หนึ่งในแปดของทรัพย์ที่พวกเจ้าได้ทิ้งไว้ ทั้งนี้หลังจากหักส่วนพินัยกรรมที่พวกเจ้าสั่งเสียไว้ อย่างไม่ทำให้ผู้รับมรดกเกิดความเดือดร้อนแต่ประการใดเกี่ยวกับการให้คำพินัยกรรม หรือเสร็จจากชำระหนี้สินที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ และถ้าชายหรือหญิงผู้ทิ้งมรดกไว้ให้เขารับเป็นตัวคนเดียว คือขาดทั้งบิดามารดาตลอดจนบุตร แต่ทว่ามีพี่น้องผู้ชายคนหนึ่งหรือมีพี่น้องผู้หญิงคนหนึ่งที่ร่วมมารดาเดียวกันก็ให้เขา(พี่น้องผู้ชายหรือผู้หญิงที่ร่วมมารดา)มีส่วนได้หนึ่งในหกของทรัพย์ที่ผู้ตายนั้นทิ้งไว้ หากว่าพี่น้องผู้ตายมีมากไปกว่าหนึ่งตามที่ว่านั้นก็ให้มีส่วนได้ร่วมกันจากหนึ่งในสามของทรัพย์มรดกโดยไม่ว่าจะจะมีชายหญิงกี่มากน้อยก็ต้องแบ่งเฉลี่ยให้ได้รับส่วนเท่า ๆ กัน ทั้งนี้ต้องหลังจากหักส่วนพินัยกรรมที่ผู้ตายนั้นสั่งเสียไว้อย่างไม่ให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้รับมรดกเลย หรือเสร็จจากชำระหนี้สินที่ผู้ตายกระทำไว้ นี้เป็นกฎบัญญัติจากอัลเลาะห์ ว่าด้วยการมรดกซึ่งพระองค์ได้ทรงตราขึ้นใช้ให้พวกเจ้าถือปฏิบัติอย่างนั้น อันว่าอัลเลาะห์นั้นคือองค์ทรงรู้ยิ่งถึงส่วนแบ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงจัดไว้ให้แก่บรรดาข้าของพระองค์ ทรงสุขุมเยือกเย็นยิ่งบฝิลในอันที่จะประวิงเวลาแห่งการลงโทษเหล่าข้าของพระองค์ที่ขัดขืนซึ่งคำบัญชาของพระองค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 13 - 14


คำอ่าน
13. ติลกะหุดูดุลลอฮฺ วะมัย..ยุฏิอิลลาฮะวะเราะสูละฮู ยุดคิลฮุญัน..นาติน..ตัจญรีมิน..ตะหฺติฮัลอันฮารุ คอลิดีนะฟีฮา วะซาลิกัลเฟาซุลอะซีม
14. วะมัย..ยะอฺศิลลาฮะ วะเราะสูละฮู วะยะตะอัดดะหุดูดะฮู ยุดคิลฮุนาร็อน คอลิดัน..ฟีฮา วะละฮูอะซาบุม..มุฮีน


คำแปล R1.
13. These are the limits (set by) Allah (or ordainments as regards laws of inheritance), and whosoever obeys Allah and his Messenger (Muhammad) will be admitted to Gardens under which rivers flow (in Paradise), to abide therein, and that will be the great success.
14. And whosoever disobeys Allah and his Messenger (Muhammad), and transgresses his limits, He will cast him into the Fire, to abide therein; and he shall have a disgraceful torment.


คำแปล R2.
13. นั้นเป็นขอบเขต (หลักเกณฑ์) ของอัลเลาะฮฺ และผู้ใดภักดีอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ พระองค์จะให้เขาเข้าสู่สวรรค์ ที่มีธารน้ำไหลอยู่ ณ เบื้องใต้ของมัน พวกเขาเข้าอยู่ในนั้นโดยนิรันดร และสิ่งนั้นเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่
14. และผู้ใดฝ่าฝืนอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์และล่วงละเมิดขอบเขตของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เขาเข้านรกโดยประจำอยู่ในนั้น และเขาต้องรับการลงโทษอันอัปยศยิ่ง


คำแปล R3.
13.   เหล่านี้คือข้อกำหนดของอัลลอฮฺ และผู้ใดเชื่อฟังและปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เขาเข้าสวนสวรรค์ที่เบื้องล่างมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ซึ่งเขาจะพำนักอยู่ในนั้น และนั่นคือความสำเร็จอันใหญ่หลวง
14.   และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และละเมิดข้อกำหนดทั้งหลายของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เขาเข้าไปในไฟ ซึ่งเขาจะอยู่ในนั้นและสำหรับเขาคือการลงโทษอันอัปยศ


คำแปล R4.
13. เหล่านั้นแหละคือขอบเขตของอัลลอฮฺ และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์แล้ว พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์เหล่านั้นตลอดกาลและนั่นคือชัยชนะอัน ยิ่งใหญ่
14. และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ และละเมิดขอบเขตของพระองค์แล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้านรก โดยที่เขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาลและเขาจะได้รับการลงโทษที่ยังความอัปยศให้ (แก่เขา)


คำแปล R5.
๑๓. เรื่องต่าง ๆ จะเป็นเรื่องราวของพวกกำพร้าก็ดี แลเรื่องที่กล่าวต่อ ๆ มาก็ดี นั่นแหละคือเกณฑ์บัญญัติของอัลเลาะห์ที่ได้ทรงวางขอบเขตไว้ให้เหล่าข้าของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาถือปฏิบัติตามนั้น ทั้งนี้เพื่อให้มีการล่วงละเมิดขอบเขตนี้ด้วย ถ้าแหละผู้ใดน้อมตามอัลเลาะห์และมูฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์ในข้อใช้และข้อห้ามตามที่ตราไว้แล้วพระองค์จะทรงให้ผู้นั้นเข้าสู่สวรรค์ที่เบื้องล่างมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน สถิตสถาพรอยู่ที่นั่นนิรันดร  โดยไม่ถูกขับไล่ใสส่งออกไปและไม่ตายและการเข้าสู่สวรรค์ที่ว่านี้เองคือความมีชัยที่ใหญ่หลวง
๑๔. แหละว่าผู้ใดทรยศต่ออัลเลาะห์และมูฮำมัดผู้เป็นศาสนทูตของพระองค์ ทั้งยังล่วงละเมิดซึ่งขอบเขตของพระองค์แล้ว พระองค์จะทรงให้ผู้นั้นเข้าสู่นรก ดำรงมั่นอยู่ในนั้นนิรันดร อีกทั้งเขายังได้รับโทษทรมานที่ต่ำช้าในนรก




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 15 - 16


คำอ่าน
15. วัลลาตี ยะอ์ตีนัลฟาหิชะตะ มิน..นิสา...อิกุม ฟัสตัชฮิดูอะลัยฮิน..นะ อัรฺบะฮะตัม..มิน..กุม ฟะอิน..ชะฮิดู ฟะอัมสิกูฮุน..นะ ฟิลบุยูติ หัตตายะตะวัฟฟาฮุน..นัลเมาตุ เอายัจญอะลัลลอฮุ ละฮุน..นะสะบีลา
16. วัลละซีนะยะอ์ติยานิฮามิน..กุมฟะอาซูฮุมา ฟะอิน..ตาบา วะอัศละหา ฟะอะอฺริฎูอันฮุมา อิน..นัลลอฮะกานะเตาวาบัรฺเราะหีมา


คำแปล R1.

15. And those of your women who commit illegal sexual intercourse, take the evidence of four witnesses from amongst you against them; and if they testify, confine them (i.e. women) to houses until death comes to them or Allah ordains for them some (other) way.
16. And the two persons (man and woman) among you who commit illegal sexual intercourse, punish them both. And if they repent (promise Allah that they will never repeat, i.e. commit illegal sexual intercourse and other similar sins) and do righteous good deeds, leave them Alone. Surely, Allah is ever the one who accepts repentance, (and He is) Most Merciful.


คำแปล R2.
15. และบรรดาที่ประพฤติการลามก (เป็นชู้กับชายอื่น) จากบรรดาหญิง (ผู้เป็นภริยา) ของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงหาพยานยืนยัน (พฤติกรรมของ) พวกนาง จำนวน (ผู้ชาย) สี่คนจากพวกเจ้า ซึ่งถ้าพวกเขา (ทั้งสี่คนนั้น) เป็นพยาน (ว่านางคบชู้จริง) พวกเจ้าก็จงกักตัวพวกนางไว้ในบ้าน จนความตายจะเข้ามาเยือนพวกนาง หรือจนกว่าอัลเลาะฮฺจะทรงเปิดทางให้แก่พวกนาง (ได้มีโอกาสออกไปนอกบ้าน) (บทลงโทษนี้ประกาศใช้ในระยะแรก ต่อมาก็ให้เฆี่ยน 100 ทีและเนรเทศ 1 ปีสำหรับหญิงสาว และให้ขว้างจนตายสำหรับหญิงมีสามี
16. และชายสองคนจากพวกเจ้าที่ประกอบสิ่ง(ลามก)นั้น (แบบร่วมเพศเดียวกัน) พวกเจ้าจงลงโทษทั้งสองให้เจ็บช้ำ (สถานเบา เช่น ประจานด้วยวาจา หรือใช้รองเท้าตบ เป็นต้น) ต่อมาหากทั้งสองสารภาพผิด และปรับปรุงตนเองได้ เจ้าทั้งหลายก็จงหัน (ความสนใจออก) จากทั้งสอง (ไม่ต้องประจานอีกต่อไป) แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรับการสารภาพโทษ อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
15.   และถ้าผู้หญิงคนใดในหมู่ผู้หญิงของสูเจ้าทำการลามก ดังนั้นจงให้มีพยานสี่คนจากในหมู่สูเจ้ามายืนยันต่อนาง และถ้าพวกเขายืนยัน ดังนั้น จงกักตัวนางไว้ในบ้านจนกระทั่งความตายได้มาถึงนางหรืออัลลอฮฺทรงเปิดหนทางให้แก่นาง
16.   และถ้าหากผู้ชายสองคนในหมู่สูเจ้ากระทำผิดเช่นนั้น ก็จงลงโทษเขาทั้งสอง แล้วถ้าหากเขาทั้งสองสำนึกผิดและปรับปรุงตัวเอง ก็จงปล่อยเขาทั้งสองไว้ เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงนิรโทษโดยปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
15. และบรรดาผู้ที่กระทำสิ่งลามก จากในหมู่สตรีของพวกเจ้านั้น จงให้มีพยานสี่คนของพวกเจ้ายืนยันนางเหล่านั้น ถ้าพวกเขายืนยันแล้ว ก็จงกักขังนางเหล่านั้นไว้ในบ้าน จนกว่าความตายจะพรากพวกนาง หรือไม่ก็จะทรงให้มีทางหนึ่งสำหรับพวกนาง
16. และชายสองคนในหมู่ของพวกเจ้าที่กระทำการลามก นั้น พวกเจ้าจงลงโทษเขาเสียทั้งสองคน หากทั้งสองสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวและปรับปรุงแก้ไขแล้ว ก็จงระงับการลงโทษเขาทั้งสองเสีย แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R5.
๑๕. โอ้ผู้พิพากษาทั้งหลาย บรรดาสตรีของพวกเจ้าที่ประกอบการอุลามกในทางประเวณีนอกอนุญาตนั้น พวกเจ้าพึงต้องให้มีชายมุสลิมสี่นายมายืนยันในข้อหาของนางเหล่านั้นด้วย แล้วถ้าพวกผู้ชายทั้งสี่ที่กล่าวนั้นยืนยันแล้ว ว่าหญิงเหล่านั้นได้ประกอบการประเวณีนอกอนุญาตจริง พวกเจ้าจงกักตัวพวกนางไว้ในบ้านเรือนของนางเอง ทั้งจงบอกห้ามมิให้นางเหล่านั้นสังคมกับบุคคลภายนอกจนกว่านางจะถึงแก่กรรมหรือจนกว่าอัลเลาะห์จะทรงยอมเปิดทางให้แก่พวกนางได้มีโอกาสได้ไปคบค้าสมาคมกับบุคคลภายนอก บทลงโทษนี้ได้ถูกประกาศใช้เมื่อตี้นยุคอิสลามสมัยมูฮำมัด ครั้นต่อมาพระองค์ได้ทรงเปิดทางให้พวกนางออกมาคลุกคลีกับโลกภายนอกได้โดยต้งถูกโบย ๑๐๐ ครั้ง กับให้เนรเทศอีก ๑ ปี สำหรับหญิงมีพรหมจรรย์ และโยการขว้างจนตายสำหรับหญิงที่เคยมีสามีมาแล้ว
๑๖. อีกทั้งชายสองคนในหมู่พวกเจ้าที่ชวนกันประกอบการอุลามกที่ว่านั้นทางทวารหนัก พวกเจ้าจงให้ทั้งสองนั้นเจ็บช้ำใจเถิดอาจจะโดยการด่าบ้าง และโดยใช้รองเท้าตบบ้าง แต่ถ้าทั้งสองนั้นกลับใจผละจากการทำอุลามก ทั้งยังได้ปรับปรุงตนเองแล้วไซร้พวกเจ้าจงงดเว้นที่จะกระทำการเจ็บช้ำใจแก่เขาทั้งสองเสียเถิด เพราะแท้จริงอัลเลาะห์คือองค์ทรงรับรองซึ่งคำสารภาพกลับใจ ด้วยการเปลี่ยนจากที่จะลงอาญากลับมาให้บุญกุศลแทนแก่บรรดาผู้กลับใจทั้งหลาย ทรงโปรดปรานียิ่งแก่พวกเหล่านั้นอีกด้วย โองการนี้ถูกยกเลิกแล้วโดยโองการที่มีเนื้อความสั่งให้โบย ให้เนรเทศและให้ขว้างจนตาย เว้นแต่ผู้ถูกล่วงเพศทางทวารหนักเท่านั้น ที่ถูกระวางโทษให้โบยและเนรเทศ




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 17 - 18


คำอ่าน
17. อิน..นะมัตเตาบะตุอะลัลลอฮิ ลิลละซีนะยะอฺมะลูนัสสู...อะบิญะฮาละติน..ษุม..มะยะตูบูนะ มิน..เกาะรีบิน..ฟะอุลา...อิกะยะตูบุลลอฮุอะลัยฮิม วะกานัลลอฮุอะลีมันหะกีมา
18. วะลัยสะติดเตาบะตุ ลิลละซีนะ ยะอฺมะลูนัสสัยยิอาติ หัตตา..อิซาหะเฎาะเราะ อะหะดะฮุมุลเมาตุ กอละอิน..นีตุบตุลอานะ วะลัลละซีนะยะมูตูนะ วะฮุมกุฟฟารฺ อุลา...อิกะอะอฺตัดนาละฮุม อะซาบันอะลีมา


คำแปล R1.
17. Allah accepts only the repentance of those who do evil in ignorance and foolishness and repent soon afterwards; it is they to whom Allah will forgive and Allah is ever All-Knower, All-Wise.
18. And of no effect is the repentance of those who continue to do evil deeds until death faces one of them and he says: "Now I repent;" nor of those who die while they are disbelievers. For them we have prepared a painful torment.


คำแปล R2.
17. อันที่จริงการรับสารภาพ อัลเลาะฮฺทรงรับรองที่จะประทานแก่บรรดาผู้ประพฤติความเลวเพราะความโง่ (รู้เท่าไม่ถึงการณ์) หลังจากนั้นพวกเขาก็ขอสารภาพผิดในเวลาอันใกล้ แน่นอนพวกเหล่านั้น อัลเลาะฮฺย่อมรับการสารภาพผิดแก่พวกเขา และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง
18. และการสารภาพโทษนั้นจะไม่ได้ (ประโยชน์ใด ๆ เลย) แก่บรรดาที่ประพฤติชั่ว (เป็นนิจศีล) จนเมื่อความตายได้เข้ามาเยือน (ใกล้ตาย) คนใดจากพวกเขาก็กล่าวว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้าขอสารภาพโทษ” และไม่ได้ (ประโยชน์) แก่บรรดาผู้ที่ตายไปโดยคงสภาพเนรคุณ พวกเหล่านั้นเราได้เตรียมการลงโทษอันสาหัสแก่พวกเขา


คำแปล R3.
17. แท้จริง การสำนึกผิดที่อัลลอฮฺทรงรับนั้นมีแต่เฉพาะคนที่ทำความผิดด้วยความงมงาย แล้วหลังจากนั้นเขาก็สำนึกผิดโดยทันที สำหรับคนเหล่านี้ อัลลอฮฺจะหันไปยังพวกเขาโดยปรานี เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ เป็นผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ
18. และการสำนึกผิด(ที่อัลลอฮฺทรงรับนั้น)มิใช่สำหรับบรรดาผู้ที่กระทำความชั่วต่าง ๆ จนกระทั่งความตายได้มายังคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาแล้วเขากล่าวว่า “ฉันสำนึกผิดเดี๋ยวนี้แล้ว” และไม่ใช่สำหรับผู้ที่ตายในสภาพของผู้ปฏิเสธ เพราะคนเหล่านี้เราได้เตรียมการลงโทษอันเจ็บปวดไว้สำหรับเขาแล้ว


คำแปล R4.
17. แท้จริงการสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวที่อัลลอฮฺจะทรงรับนั้นคือสำหรับบรรดา ผู้ที่กระทำความชั่วโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้นแล้วพวกเขาสำนึกผิดกลับ เนื้อกลับตัวในเวลาอันใกล้ ชนเหล่านี้และอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงปรีชาญาณ
18. การสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว (ที่อัลลอฮฺจะทรงรับ) นั้นมิใช่สำหรับบรรดาผู้ที่กระทำความชั่วต่างๆ จนกระทั่งเมื่อความตายได้มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเขาแล้วเขาก็กล่าวว่า บัดนี้แหละข้าพระองค์ขอสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว และก็มิใช่สำหรับบรรดาผู้ที่ตาย ในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วย ชนเหล่านี้เราได้เตรียมไว้แล้วสำหรับพวกเขาซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ


คำแปล R5.
17. อันว่าการสารภาพผิดต่ออัลเลาะห์ที่อยู่ในข่ายแห่งการรับรองเพราะความโปรดปรานีของพระองค์นั้นย่อมได้แก่บรรดาที่ประกอบการชั่วเพราะความโง่เขลาเท่านั้นอาจเป็นเพราะขาดความรู้บ้าง หรือรู้แต่ไม่ปฏิบัติตามความรู้บ้าง ครั้นแล้วพวกเขาก็กลับใจไม่ประพฤติชั่วเอาจวนแจก่อนที่ชีวิตจะหาไม่ พวกเหล่านั้นแหละอัลเลาะห์จะทรงรับรองซึ่งความสารภาพผิดของพวกเขา เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นคือองค์ทรงรู้ยิ่งในเหล่าบรรดาข้าพระองค์ทรงประณีตยิ่งในธุรการงานทั้งหลายของพระองค์ที่ทรงให้ไว้แก่พวกนั้น
18. และว่าการสารภาพผิดนั้น ไม่เป็นที่ยินยอมให้แก่บรรดาที่ประพฤติบาปกรรมไปจนกระทั่งความตายมาถึงซึ่งในตอนควารมตายมาถึงเขาอย่างประจักษ์ชัดแล้วเขากล่าวว่า “ฉันกำลังจะกลับใจไม่กระทำบาปอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว” การสารภาพผิดดังกล่าวนี้หาเป็นประโยชน์แก่พวกเขาแต่ประการใดไม่อีกทั้งการสารภาพผิดนั้นจะไม่ยอมให้แก่บรรดาที่ตายลงทั้งยังเป็นกาฟิรอยู่ ครั้นถึงวันปรภพเมื่อได้แลเห็นการลงอาญาแล้วพวกนั้นจะขอสารภาพผิด อัลเลาะห์ก็ไม่ทรงรับรองซึ่งการสารภาพผิดของพวกนั้นเลยพวกเหล่านั้นแหละ เราอัลเลาะห์ได้สำรองให้พวกเขาได้รับโทษทรมานอันเจ็บแสบ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 19 - 21


คำอ่าน
19. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลายะหิลลุละกุม อัน..ตะริษุน..นิสา...อะกัรฺฮา วะลาตะอฺฎุลูฮุน..นะ ลิตัซฮะบู บิบะอฺฎิ มา..อาตัยตุมูฮุน..นะ อิลลา..อัยยะอ์ตีนะ บิฟาหิชะติม..มุบัยยินะฮฺ วะอาชิรูฮุน..นะบิลมะอฺรูฟ ฟะอิน..กะริฮฺตุมูฮุน..นะ ฟะอะสา..อัน..ตักเราะฮูชัยเอา..วะยัจญอะลัลลอฮุ ฟีฮิค็อยร็อน..กะษีรอ
20. วะอินอะร็อตตุมุสติบดาละ เซาญิม..มะกานะ เซาญิว..วะอาตัยตุม อิหฺดาฮุน..นะ กิน..ฏอร็อน..ฟะลาตะอฺคุซูมินฮุชัยอา อะตะอ์คุซูนะฮู บุฮตาเนา..วะอิษมัม..มุบีนา
21. วะกัยฟะตะอ์คุซูนะฮู วะก็อดอัฟฎอ บะอฺฎุกุม อิลาบะอฺฎิว..วะอะค็อซนะมิน..กุม..มีษาก็อนเฆาะลีซอ


คำแปล R1.
19. O you who believe! You are forbidden to inherit women against their will, and you should not treat them with harshness, that you may take away part of the Mahr you have given them, unless they commit open illegal sexual intercourse. And live with them honourably. If you dislike them, it may be that you dislike a thing and Allah brings through it a great deal of good.
20. But if you intend to replace a wife by another and you have given one of them a Cantar (of gold i.e. a great amount) as Mahr, take not the least bit of it back; would you take it wrongfully without a right and (with) a manifest sin?
21. And how could you take it (back) while you have gone in unto each other, and they have taken from you a firm and strong covenant?


คำแปล R2.
19. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ไม่เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าที่จะรับผู้หญิง (จากบิดาหรือญาติ) มาเป็นมรดกแบบกดขี่ และเจ้าทั้งหลายอย่าได้ขัดขวางพวกนาง (มิให้สมรสกับชายอื่น) เพื่อเป็นการขจัด (กีดกัน) บางส่วนที่ (เป็นหน้าที่ของ) พวกเจ้าต้องให้แก่พวกนาง ยกเว้นในการณีที่พวกนางประพฤติการลามกอันชัดแจ้ง (คือคบชู้กับชายอื่น) และพวกเจ้าจงร่วมชีวิตกับพวกนางด้วยคุณธรรม แท้จริงถ้าหากเจ้าทั้งหลายรังเกียจพวกนาง บางทีพวกเจ้าอาจรังเกียจสิ่งหนึ่ง แต่ในสิ่งนั้นอัลเลาะฮฺได้บันดาลความดีไว้อย่างมากมายก็ได้
20. และถ้าพวกเจ้าปรารถนาที่จะสับเปลี่ยนคู่ครองคนหนึ่งในที่ของคู่ครองอีกคนหนึ่ง (โดยหย่าคนเดิม) และพวกเจ้าได้เคยให้คนหนึ่งแก่พวกนาง ซึ่งทรัพย์สมบัติอันมากมาย ดังนั้นพวกเจ้าอย่าเอาสักสิ่งหนึ่งจากนั้น (คืนมา) พวกเจ้าจะเอาหรือ ความมดเท็จและบาปอันชัดแจ้ง (จากการเรียกค่าสมรสคืนเมื่อไม่สบอารมณ์ดังกล่าวแล้ว)
21. และพวกเจ้าจะเอามันมาได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าต่างก็ร่วมสมสู่ซึ่งกันและกันแล้ว และพวกนางได้เอาสัญญา (การแต่งงาน) อันหนักแน่นจากเจ้า

 
คำแปล R3.
19.   บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ไม่เป็นที่อนุมัติแก่สูเจ้าที่จะเอาหญิงหม้ายมาเป็นมรดกโดยใช้กำลัง และจงอย่าบีบคั้นนางเพื่อที่จะเอาของหมั้นบางส่วนที่สูเจ้าให้นาง วันแต่นางจะทำการอันชั่วช้าลามก(มีชู้)และจงอยู่ร่วมกับนางโดยดีถึงแม้ว่าสูเจ้าจะชังนางก็ตาม มันเป็นไปได้ที่อัลลอฮฺอาจจะนำสิ่งที่ดีอันมากมายมาให้โดยสิ่งที่สูเจ้าชัง
20.   และถ้าสูเจ้าแต่งงานกับภรรยาอีกคนหนึ่งแทนภรรยาที่มีอยู่ จงอย่าสิ่งใดจากสิ่งที่สูเจ้าให้แก่นางไปกลับคืนมาถึงแม้ว่ามันจะเป็นสมบัติกองพะเนินก็ตาม สูเจ้าจะเอามันกลับมาด้วยการใส่ร้ายและบาปอันชัดแจ้งกระนั้นหรือ?
21.   และสูเจ้าจะเอามันคืนมาได้อย่างไรในเมื่อสูเจ้าทั้งสองเคยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและนางก็ได้รับคำสัญญาอันมั่นคงจากสูเจ้าว่าจะอยู่ร่วมกัน?


คำแปล R4.
19. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ไม่อนุมัติแก่พวกเจ้าการที่พวกเจ้าจะเอาบรรดาหญิงเป็นมรดกด้วยการ บังคับและไม่อนุมัติเช่นเดียวกันการที่พวกเจ้าจะขัดขวางบรรดานางเพื่อพวกเจ้าจะเอา บางส่วนของสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง นอกจากว่าพวกนางจะกระทำสิ่งลามก อันชัดแจ้งเท่านั้น และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งขณะเดียวกันอัลลอฮฺก็ทรงให้มีในสิ่งนั้น ซึ่งความดีอันมากมาย
20. และหากพวกเจ้าต้องการเปลี่ยนคู่ครองคนหนึ่งแทนที่ของคู่ครองอีกคนหนึ่ง และพวกเจ้าได้ให้แก่นางหนึ่งในหมู่นางเหล่านั้นซึ่งทรัพย์อันมากมายก็ตาม ก็จงอย่าได้เอาสิ่งใดจากทรัพย์นั้นคืน พวกเจ้าจะเอามันคืนด้วยการอุปโลกน์ความเท็จและการกระทำบาปอันชัดเจนกระนั้นหรือ
21. และพวกเจ้าจะเอามันคืนได้อย่างไรทั้งๆ ที่บางคนของพวกเจ้าได้แนบกายกับอีกบางคนแล้วและพวกนางก็ได้เอาคำมั่น สัญญาอันหนักแน่นจากพวกเจ้าแล้วด้วย


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้   สำหรับชาวมดีนะห์ คือว่าชาวนครมดีนะห์ในยุคอนารยะ(ยาหิลียะห์)และในยุคต้นของอิสลามสมัยมูฮำมัดถือว่า ชายใดที่ถึงแก่กรรมลงแล้วได้ทิ้งภรรยาไว้ แต่มีบุตรชายของเขาที่เกิดแก่ภรรยาอื่นหรือมีญาติใกล้ชิดของเขาคนใดคนหนึ่ง เช่น พี่น้องผู้ชายของบิดาของเขาได้มาโยนผ้าห่มลงตรงหญิงนั้นหรือโยนลงที่พักอาศัยของหญิงนั้น ย่อมถือว่าบุตรชายที่เกิดแก่ภรรยาอื่นหรือวงศ์ญาติใกล้ชิดมีสิทธิ์ปกครองหญิงนั้น หากผู้มีสิทธิทั้งสองนี้ประสงค์จะแต่งงานด้วยหญิง(ผู้เป็นภรรยาของบิดา)นั้น โดยไม่ต้องจ่ายค่าสมรสหรือเอาหญิงผู้เป็นภรรยาของบิดาไปแต่งงานให้ชายอื่น แล้วเรียกเอาค่าสมรสมาเป็นสิทธิของตน มิให้หญิงนั้นได้ค่าสมรสเลยแม้แต่น้อยก็ย่อมได้ ถ้าเขาทั้งสองประวิงตัวหญิงนั้นมิให้แต่งงานอันเป็นผลทำให้นางเดือดร้อน เพื่อว่าให้นางเอามรดกของตัวเอง(ที่ได้รับจากสามี)ไปไถ่ตัวเองจากเขาทั้งสองก็ย่อมได้ หรือว่าเมื่อหญิงตายลงเขาทั้งสองจะรับมรดกจากหญิงนั้นก็ย่อมได้ นอกจากหญิงนั้นจะกลับไปหาพวกของตนก่อนจากถูกโยนผ้าห่มให้เท่านั้นหญิงจึงจะมีสิทธิปกครองตนเองได้ ชาวมดีนะห์ถืออย่างนี้ตลอดมาจนถึงเวลาหนึ่งซึ่งอะบูกีสบุตรอัล-อัสลัต ชนชาวมดีนะห์ได้ตายลงทิ้งภรรยาไว้คนหนึ่งชื่อกะบีชะห์บุตรีมะอ์นินชาวมะดีนะห์ ครั้นแล้วลูกเลี้ยงของนางชื่อฮิสน์(บางรายงานว่าชื่อกีส) ได้นำมาผ้ามาโยนลงที่นางแล้วถือสิทธิ์เข้าทำการสมรสด้วยนางนั้น แต่ต่อมาเขาทิ้งนางทั้งไม่ยอมจ่ายเบี้ยเลี้ยงแก่นาง ทำให้นางต้องได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้เพื่อให้นางขอไถ่ตัวจากเขา เมื่อเหตุการณ์เป็นไปดังนี้นางจึงเข้าไปยังพระนบีมูฮำมัดเรียนให้ทราบว่า เมื่ออบูกีสผู้สามีของฉันถึงแก่กรรมแล้วลูกเลี้ยงของฉันก็มาแต่งงานกับฉัน แต่ทว่าเขาไม่ยอมจ่ายเบี้ยเลี้ยงทั้งยังไม่ยอมร่วมกามกิจด้วยกับฉัน ยิ่งกว่านั้นเขายังกักตัวฉันไว้ในที่จำกัด เมื่อพระนบีทราบเรื่องราวโดยถี่ถ้วนแล้วจึงสั่งว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้เธอจงเก็บตัวของเธออยู่กับบ้านของเธอจนกว่าจะมีคำสั่งของอัลเลาะห์เกี่ยวด้วยเรื่องของเธอลงมา
๑๙. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาซึ่งเป็นเครือญาติของสามีที่ตายย่อมไม่เป็นที่อนุญาตแก่พวกเจ้าเลยในอันที่พวกเจ้าจะรับช่วงเอาหญิงผู้เป็นภรรยาบิดาหรือญาติมาเป็นมรดกของพวกเจ้าในรูปบังคับเหมือนอย่างชาวมะดีนะห์ก่อนอิสลามยุคมูฮำมัดและระยะต้นศาสนาอิสลามยุคมูฮำมัด เหตุนี้พวกนั้นจึงถูกห้ามมิให้ปฏิบัติดังกล่าวไว้ข้างต้น และโอ้บรรดาสามีพวกเจ้าอย่าได้กีดกันพวกนางผู้ภรรยาในอันที่เธอทั้งหลายจะสมรสใหม่กับชายอื่น ด้วยหวังจะกักตัวนางเหล่านั้นไว้ให้ได้แต่ความเดือดเนื้อร้อนใจ ทั้ง ๆ ที่มิได้รักใคร่เสน่หาในตัวนางเหล่านั้นแล้วเพื่อที่พวกเจ้าจะได้เอาค่าสมรสที่พวกเจ้าเคยนำมาให้คืนไปได้บ้าง เว้นไว้แต่พวกนางจะประกอบการอุลามกอย่างประจักษ์แจ้ง เช่น ประกอบกามกิจนอกอนุญาต(ซินา)กับชายชู้หรือทรยศต่อพวกเจ้าเท่านั้น จึงจะไม่ถือเป็นการบาปสำหรับพวกเจ้าที่จะก่อความเดือดร้อนแก่นางเหล่านั้นจนกว่านางจะเสนอขอซื้อหย่าจากพวกเจ้า และโอ้บรรดาสามี[v]จงลงรอยกับพวกนางเป็นอันดี[/b]ทั้งโดยทางวาจา โดยการจ่ายเบี้ยงเลี้ยงและโดยการแรมคืนหากพวกเจ้ามีภรรยาเกินกว่าหนึ่งแต่หากว่าพวกเจ้าเกลียดชังพวกนางแล้วก็ให้พวกเจ้าอดทนเถิด อย่าเพิ่งหย่านางเหล่านั้นเพียงเพื่อความเกลียดชังนั้นเลย พวกเจ้าจงอดทนไว้ บางที่ที่พวกเจ้าเกลียดชังสิ่งใด ๆ นั้น อัลเลาะห์จะทรงให้สิ่งนั้นกลับเป็นคุณความดีอันมากมายแก่พวกเจ้าได้ เช่นที่พวกเจ้าเกลียดชังพวกภรรยา อัลเลาะห์อาจจะให้นางเหล่านั้นมีคุณความดีอันมากมายดดยจะทรงให้พวกเจ้าได้บุตรที่ดีจากนางเหล่านั้นก็ได้
๒๐. และถ้าพวกเจ้าหมายจะเปลี่ยนคู่ครองคนหนึ่งมาแทนอีกคนหนึ่งด้วยการหย่าภรรยาเดิมเสียโดยที่พวกเจ้าก็ได้เคยให้ทรัพย์มากมายจำนวนหนึ่งแก่นางใด ๆ ที่พวกเจ้าไม่สบอารมณ์เป็นค่าสมรสไว้แล้วพวกเจ้าก็อย่าได้เอาคืนซึ่งทรัพย์นั้น ๆ เลย พวกเจ้าจะเอาคืนทรัพย์นั้นในเชิงโกงหรือเชิงบาปที่ชัดแจ้งกระนั้นหรือ
๒๑. แล้วพวกเจ้าจะเอาทรัพย์นั้นคืนได้อย่างไรกัน ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าผู้เป็นสามีบ้างก็ได้สมสู่กับภรรยาตนบ้างแล้วซึ่งการสมสู่นั่นแหละคือสาเหตุทำให้ค่าสมรสแม้เพียงเล็กน้อยที่พวกเจ้าอยากได้คืนต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางอย่างเด็ดขาดและทั้ง ๆ ที่พวกนางก็ได้ผูกพันสัญญากับพวกเจ้าไว้อย่างแข็งแรงแล้วว่าพวกเจ้าจะต้องครอบครองเธอไว้เป็นอย่างดี และถึงจะหย่าก็ให้หย่ากันโดยดี
[/color]


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 20, 2011, 02:30 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 22 - 23


คำอ่าน
22. วะลาตัน..กิหู มานะกะหะ อาบา...อุกุม..มินัน..นิสา...อิ อิลลามาก็อดสะลัฟ อิน..นะฮูกานะฟาหิชะเตา..วะมักตา วะสา...อะสะบีลา
23. หุรฺริมัตอะลัยกุม อุม..มะฮาตุกุม วะบะนาตุกุม วะอะเคาะวาตุกุม วะอัม..มาตุกุม วะคอลาตุกุม วะบะนาตุลอะคิ วะบะนาตุลอุคติ วะอุม..มะฮาตุกุมุลลาตี..อัรฺอฺนะกุม วะอะเคาะวาตุกุม..มินัรฺเราะฎออะติ วะอุม..มะฮาตุนิสา..อิกุม วะเราะบา..อิบุกุมุลลาตี ฟีหุญูริกุม..มิน..นิสา...อิกุมุลลาตีดะค็อลตุม..บิฮิน.. ฟะอิลลัมตะกูนู ดะค็อลตุม..บิฮิน..นะ ฟะลาญุนาหะอะลัยกุม วะหะลา...อิลุอับนา..อิกุมุลละซีนะมินอัศลาบิกุม วะอัน..ตัจญมะอูบัยนัลอุคตัยนิ อิลลามาก็อดสะลัฟ อิน..นัลลอฮะกานะเฆาะฟูร็อรฺเราะหีมา


คำแปล R1.
22. And marry not women whom your fathers married, except what has already passed; indeed it was shameful and most hateful, and an evil way.
23. Forbidden to you (for marriage) are: Your mothers, your daughters, your sisters, your father's sisters, your mother's sisters, your brother's daughters, your sister's daughters, your foster mother who gave you suck, your foster milk suckling sisters, your wives' mothers, your step daughters under your guardianship, born of your wives to whom you have gone in - but there is no sin on you if you have not gone in them (to marry their daughters), - the wives of your sons who (spring) from your own loins, and two sisters in wedlock at the same time, except for what has already passed; Verily, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.


คำแปล R2.
22. และเจ้าทั้งหลายจงอย่าแต่งงานกับหญิงที่บิดาของพวกเจ้าได้แต่งมาแล้ว ยกเว้นสิ่งที่ได้ล่วงผ่านไปแล้ว (ในยุคก่อนประกาศอิสลามคือยุคยาฮิลียะฮฺ ก็ให้แล้วกันไป ไม่ต้องใช้บังคับย้อนหลัง) แท้จริงมัน (การแต่งงานกับภริยาบิดา) นั้นเป็นการลามก เป็นความพิโรจน์ (ของอัลเลาะฮฺ) และเป็นทางอันชั่วร้าย
23. พวกเจ้าทั้งหลายถูกห้ามไว้ (มิให้แต่งงานกับ) มารดาของพวกเจ้า, กับบุตรหญิงของพวกเจ้า, กับพี่น้องหญิงของพวกเจ้า, กับพี่น้องหญิงของบิดาพวกเจ้า, กับพี่น้องหญิงของมารดาพวกเจ้า, กับบุตรหญิงของพี่น้องชาย, กับบุตรหญิงของพี่น้องหญิง, และมารดาของพวกเจ้าที่ให้นมแก่พวกเจ้า, พี่น้องหญิงของพวกเจ้าจากการร่วมนมเดียวกัน, มารดาของภริยาของพวกเจ้าและบุตรเลี้ยงของพวกเจ้าที่เคยอยู่ในตัก (อุปการะ) ของพวกเจ้า จากบรรดาภริยาของพวกเจ้าที่เคยสมสู่กับนาง แต่หากพวกเจ้ามิได้สมสู่กับนาง ก็ไม่เป็นบาปแก่พวกเจ้า, และบรรดาภริยาของลูก ๆ พวกเจ้าที่มาจากเชื้อพันธุ์ของพวกเจ้า, และ(ห้าม)การที่พวกเจ้ารวมระหว่างพี่น้องหญิงสองคน ยกเว้นกรณีที่พ้นล่วงไปแล้ว (ในยุคก่อนประกาศอิสลามโดยท่านนบีมุฮัมมัดซึ่งให้แล้วกันไป ไม่มีผลบังคับย้อนหลังแต่ประการใด ๆ ) แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
22.   และจงอย่าแต่งงานกับบรรดาหญิงที่พ่อของสูเจ้าได้แต่งงานมาก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตจะได้รับการยกเว้น แท้จริงนี่เป็นสิ่งลามกและน่าเกลียดยิ่ง และเป็นหนทางชั่ว
23.   เป็นที่ต้องห้ามแก่สูเจ้าก็คือแม่ของสูเจ้า ลูกสาวของสูเจ้า พี่สาวน้องสาวของสูเจ้า พี่สาวน้องสาวของพ่อของสูเจ้า และพี่สาวน้องสาวของแม่ของสูเจ้า ลูกสาวของพี่ชายน้องชายของสูเจ้า และลูกสาวของพี่สาวน้องสาวของสูเจ้า แม่นมที่ให้นมแก่สูเจ้า และพ่สาวน้องสาวที่ร่วมนมกับเจ้า แม่ของภรรยาของสูเจ้า และลูกสาวของภรรยาของสูเจ้าที่สูเจ้าให้ความอุปการะ ลูกสาวของภรรยาของสูเจ้าที่ได้สมสู่นางแล้ว แต่กับภรรยาที่สูเจ้ายังไม่ได้สมสู่นาง มันก็ไม่เป็นบาปอันใดที่สูเจ้าจะแต่งงานกับลูกสาวของนาง(หลังจากได้หย่านางแล้ว)และที่ต้องห้ามสำหรับสูเจ้าอีกก็คือภรรยาของลูกชายของสูเจ้าที่มาจากท้องของสูเจ้า และเป็นที่ต้องห้ามแก่สูเจ้าที่จะเอาหญิงที่เป็นพี่สาวน้องสาวเป็นภรรยาในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตจะได้รับการยกเว้น แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
22. และจงอย่าแต่งงานกับบรรดาหญิงที่บิดาของพวกเจ้าได้แต่งงานมาแล้ว นอกจากที่ได้ผ่านพ้นมาเท่านั้นแท้จริงมันเป็นสิ่งลามกและน่าเกลียดยิ่ง และเป็นวิถีทางที่ชั่ว
23. ที่ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้านั้นคือมารดาของพวกเจ้า ลูกหญิงของพวกเจ้า พี่น้องหญิงของพวกเจ้า พี่น้องหญิงแห่งบิดาของพวกเจ้าและพี่น้องหญิงแห่งมารดาของพวกเจ้า บุตรหญิงของพี่หรือน้องชายของพวกเจ้าบุตรหญิงของพี่หรือน้องหญิงของพวก เจ้า และมารดาของพวกเจ้าที่ให้นมแก่พวกเจ้าและพี่น้องหญิงของพวกเจ้าเนื่องจากการ ดื่มนม และมารดาภรรยาของพวกเจ้าแลลูกเลี้ยงของพวกเจ้าที่อยู่ในตักของพวกเจ้า จากภรรยาของพวกเจ้าที่พวกเจ้ามิได้สมสู่นาง แต่ถ้าพวกเจ้ามิได้สมสู่นางแล้ว ก็ไม่มีบาปใด ๆ แก่พวกเจ้าและภรรยาของบุตรพวกเจ้าที่มาจากเชื้อสายของพวกเจ้า และการที่พวกเจ้ารวมระหว่างหญิงสองพี่น้องไว้ด้วยกัน นอกจากที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R5.
๒๒. และพวกเจ้าอย่าได้สมรสกับนางที่บิดาของพวกเจ้าได้สมรสมาแล้ว นอกจาพฤติการณ์ของพวกเจ้าอย่างนี้ที่แล้ว ๆ มาในยุคก่อนอิสลามสมัยมูฮำมัดเพราะแท้จริงการที่จะสมรสกับนางแม่เลี้ยงดังที่กล่าวนั้นคือการอุลามกทั้งเป็นเหตุแห่งความโกรธกริ้วจากอัลเลาะห์และยังเป็นวิถีทางอันชั่ว
๒๓. ได้ถูกตราห้ามไว้แก่พวกเจ้าว่ามิให้สมรสกับหญิงดังต่อไปนี้คือมารดาทั้งหลาย ย่าทั้งหลาย ยายทั้งหลาย และบุคคลในลำดับชั้นที่ยิ่งขึ้นไปของพวกเจ้า บุตรีทั้งหลายตลอดถึงหลานสาว และบุคคลในลำดับชั้นที่ต่ำลงไปของพวกเจ้า พี่สาวน้องสาวทั้งหลายของพวกเจ้าทั้งที่ร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดากับพวกเจ้า ป้า(พี่สาวบิดา)และอาสาว(น้องสาวบิดา)ทั้งหลายของพวกเจ้าของพ่อของปู่ของตาและของบุคคลในลำดับชั้นที่ยิ่งขึ้นไปของพวกเจ้าป้า(พี่สาวมารดา)และน้าสาว(น้องสาวมารดา)ทั้งหลายของพวกเจ้า ของมารดา ของย่า ของยาย และของบุคคลในลำดับชั้นที่ยิ่งขึ้นไปของพวกเจ้า บุตรีทั้งหลายของพี่ชายน้องชาย ทั้งที่ร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดากับพวกเจ้า ตลอดถึงบุตรีของบุตรีนั้น ๆ และบุคคลที่ถัด ๆ ลงไป บุตรีทั้งหลายของพี่สาวน้องสาว ทั้งที่ร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดากับพวกเจ้า ตลอดถึงบุตรีของบุตรีนั้น ๆ และบุคคลที่ถัด ๆ ลงไป แม่นมทั้งหลายที่เคยให้นมพวกเจ้าถึง ๕ ครั้งก่อนที่พวกเจ้าอายุเต็ม ๒ ขวบ รวมทั้งย่าและยายทั้งหลายของแม่นมของพวกเจ้า บุตรีนมทั้งหลายตลอดถึงหลานสาวทั้งหลาย ตลอดจนบุคคลในลำดับขั้นที่ต่ำลงไปของลูกนมของพวกเจ้า พี่สาวน้องสาวทั้งหลายที่ร่วมนมกับพวกเจ้า(พี่น้องร่วมนมของพวกเจ้าก็คือ ทุก ๆ คนที่กินนมของหญิงแม่นมของพวกเจ้า) ป้านมและอาสาวนมทั้งหลายของพวกเจ้า ขงพ่อ ของปู่ ของตาและของบุคคลในลำดับชั้นที่ยิ่งขึ้นไปของพวกเจ้า ป้านมและน้าสาวนมทั้งหลายของพวกเจ้า ของมารดา ของย่า ของยายและของบุคคลในลำดับชั้นที่ยิ่งขึ้นไปของพวกเจ้า บุตรีทั้งหลายของพี่ชายน้องชายที่ร่วมนมกับพวกเจ้าตลอดถึงบุตรีทั้งหลายและบุคคลในลำดับที่ต่ำลงไปของพี่ชายน้องชายร่วมนมของพวกเจ้า บุตรีทั้งหลายของพี่สาวน้องสาวที่ร่วมนมกับพวกเจ้า ตลอดถึงบุตรีทั้งหลายและบุคคลในลำดับชั้นที่ต่ำลงไปของพี่สาวน้องสาวร่วมนมของพวกเจ้าแม่ยายทั้งหลายของพวกเจ้า บุตรีเลี้ยงของพวกเจ้าซึ่งพวกเจ้าสมสู่กับมารดาของพวกเธอ แต่หากว่าพวกเจ้ายังมิได้สมสู่กับพวกนางผู้เป็นมารดาของเธอแล้วไซร้ก็ย่อมไม่มีบาปแต่ประการใดแก่พวกเจ้าเลยในอันที่พวกเจ้าจะสมรสกับพวกเธอ แต่มีเงื่อนไขว่าพวกเจ้าจะต้องหย่าขาดจากมารดาของพวกเธอเสียก่อน และอีกหลานสาวเลี้ยงและบุคคลในลำดับชั้นที่ถัด ๆ ลงไปของพวกเจ้าหากภรรยาของบุตร(สะใภ้)ทั้งที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเจ้าและที่เป็นลูกนมของพวกเจ้า ตลอดทั้งภรรยาของหลานชายทั้งหลายทั้งที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเจ้าและที่เป็นลูกชายหลานชายและบุคคลในลำดับชั้นถัด ๆ ลงไปของลูกนมของพวกเจ้าและยังได้ถูกตราห้ามไว้อีกในอันที่พวกเจ้าจะครองสองหญิงพี่น้อง ทั้งที่ร่วมสกุลหรือร่วมนมกัน ในอันที่จะครองหญิงหนึ่งกับป้าหรืออาหญิงของหญิงนั้น หรือกับป้าหรือน่าสาวของหญิงนั้นคนใดคนหนึ่ง ที่ว่าครองสองหญิงร่วมกันตามที่กล่าวมานี้ หมายถึงการร่วมโดยบอกรับสมรสครั้งเดียวกัน แต่หากว่าเป็นการบอกรับสมรสต่างกรรมต่างวาระกันแล้วก็ถือว่าการบอกรับสมรสกับหญิงคนแรกเป็นอันใช้ได้ ส่วนหญิงที่ถูกบอกรับสมรสคนที่สองถือว่าใช้ไม่ได้ นอกจากการสมรสร่วมสองนางดังกล่าวนี้ที่แล้ว ๆ มาในยุคก่อนอิสลามสมัยมูฮำมัดเท่านั้น จึงจะไม่ถือว่าเป็นการบาปสำหรับพวกเจ้าที่จะกระทำเช่นนั้นแท้จริงอัลเลาะห์นั้นคือองค์ทรงยิ่งในการให้อภัยที่พวกเจ้าเคยได้สมรสร่วมสองนางดังกล่าวข้างต้นก่อนจากได้มีข้อบัญญัติห้าม ทรงโปรดปรานียิ่งแก่บรรดาผู้ที่กระทำดังนั้น




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 24


คำอ่าน
24. วัลมัวหฺเศาะนาตุมินัน..นิสา...อิ อิลลามามะละกัตอัยมานุกุม กิตาบัลลอฮิอะลัยกุม วะอุหิลละละกุม..มาวะรอ...อะซาลิกุม อัน..ตับตะฆู บิอัมวาลิกุม..มุหฺศินีนะ ฆ็อยเราะมุสาฟิหีนะ ฟะมัสตัมตะอฺตุม..บิฮีมินฮุน..นะ ฟะอาตูฮุน..นะ อุญูเราะฮุน..นะฟะรีเฎาะฮฺ วะลาญุนาหะอะลัยกุม ฟีมาตะรอฎ็อยตุม..บิฮี มิม..บะอฺดิลฟะรีเฎาะฮฺ อิน..นัลลอฮะกานะอะลีมันหะกีมา

คำแปล R1.
24. Also (forbidden are) women already married, except those (captives and slaves) whom your right hands possess. Thus has Allah ordained for you. All others are lawful, provided you seek (them in marriage) with Mahr (bridal money given by the husband to his wife at the time of marriage) from your property, desiring chastity, not committing illegal sexual intercourse, so with those of whom you have enjoyed sexual relations, give them their Mahr as prescribed; but if after a Mahr is prescribed, you agree mutually (to give more), there is no sin on you. Surely, Allah is ever All-Knowing, All-Wise.

คำแปล R2.
24. และ (ถูกห้ามสมรสกับ) บรรดาหญิงที่มีสามี ยกเว้นทาสหญิงที่พวกเจ้าครอบครองอยู่ (ข้อห้ามดังกล่าวนั้น) เป็นบทบัญญัติของอัลเลาะฮฺแก่พวกเจ้าทั้งมวล และพระองค์ทรงอนุมัติแก่พวกเจ้า กรณีอันนอกเหนือไปจาก (ที่กล่าวมา) นั้น เพื่อให้พวกเจ้าใช้ทรัพย์สินของพวกเจ้า แสวงหา (สตรีที่อัลเลาะฮฺทรงอนุมัติให้สมรสด้วยได้) แบบการสมรส (ตามทำนองคลองธรรม) มิใช่แบบผิดประเวณี (กับพวกนางแต่ประการใด) ส่วนหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขกับนาง (หลังเป็นภริยาโดยชอบธรรมแล้ว) พวกเจ้าก็จงมอบค่าสมรสแก่พวกนาง (อย่างครบถ้วน) ตามส่วนกำหนดเถิด และไม่เป็นบาปแก่พวกเจ้าในกรณีที่พวกเจ้าพึงพอใจซึ่งกันและกัน (ที่จะยกเลิกค่าสมรสหรือปรับปรุงเพิ่มเติมแก้ไขก็ตาม) ภายหลังจากได้กำหนดไว้แล้ว แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้อีกทั้งทรงปรีชายิ่ง

คำแปล R3.
24. และที่ถูกห้ามอีกก็คือหญิงที่แต่งงานแล้วของคนอื่น เว้นแต่ที่ตกอยู่ในมือของสูเจ้า(ในฐานะเชลยสงคราม)นี่เป็นพระบัญญัติของอัลลอฮฺที่ถูกกำหนดไว้สำหรับสูเจ้า นอกเหนือจากนั้นแล้ว เป็นที่อนุมัติสำหรับเจ้าที่จะแสวงหาการแต่งงานกับหญิงอื่นด้วยทรัพย์สินของสูเจ้าโดยที่สูเจ้าแต่งงานกับนางและมิใช่การลักลอบผิดประเวณี ดังนั้นผู้ใดที่สูเจ้าประสงค์ ก็จงให้ของหมั้นแก่นางเป็นข้อผูกมัดสำหรับการมีความสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับนางและไม่มีบาปอันใดแก่สูเจ้าในการที่จะประนีประนอมโดยเห็นชอบซึ่งกันและกันในเรื่องของหมั้น แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ

คำแปล R4.
24. และบรรดาหญิงที่อยู่ในปกครองของสามีนอกจากที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง เป็นบัญญัติของ อัลลอฮฺที่มีแก่พวกเจ้า แลได้ถูกอนุมัติให้แก่พวกเจ้าที่นอกเหนือจากนั้นในการที่พวกเจ้าจะแสวงหามาด้วยทรัพย์ของพวกเจ้า ในฐานะเป็นผู้แต่งงานมิใช่ในฐานะผู้ล่วงประเวณี ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วยนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้น ก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนาง ตามที่มีกำหนดไว้และไม่เป็นบาปใด ๆ แก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าต่างยินยอมกันในสิ่งนั้น หลังจากที่มีกำหนดนั้นขึ้นแท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ

คำแปล R5.
๒๔. แล้วก็ยังได้ถูกตราห้ามไว้แก่พวกเจ้าอีกว่ามิให้สมรสด้วยหญิงเสรีชนหรือทาสที่ยังมีสามีอยู่ก่อนที่พวกนางจะถูกสามีหย่าขาดเว้นไวแต่นางทาสที่พวกเจ้าถือกรรมสิทธิ์ในรูปของการจับมาเป็นเชลยเท่านั้นจึงจะอนุญาตให้พวกเจ้าร่วมประเวณีด้วยพวกนางได้ แต่ต้องร่วมหลังจากพวกนางมีเลือดระดูรอบเดือนผ่านไปแล้วหนึ่งสมัย กรณีเช่นนี้แม้พวกนางมีสามีอยู่ ณ ประเทศคู่สงครามก็เอาเถิด อัลเลาะห์ได้ทรงตราห้ามมิให้สมรสกับหญิงตั้งแต่มารดาเรียงเรื่อยมาจนถึงนางผู้ยังมีสามีอยู่ไว้เป็นบทบัญญัติสำหรับพวกเจ้า แต่หญิงอื่นกว่าที่ว่านี้ก็ได้ให้เป็นที่อนุญาตแก่พวกเจ้าแล้วในอันที่จะสมรสกับพวกนางได้เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ใฝ่หาหญิงมาเป็นภรรยาด้วยทรัพย์สินของพวกเจ้าให้เป็นค่าสมรส หากว่าพวกนางเป็นเสรีชน หรือด้วยราคาซื้อหากพวกนางเป็นทาส แต่มิใช่ในเชิงชู้ ก็แหละนางที่พวกเจ้าพร้อมกับพวกเจ้าได้หาความเริงรมย์ด้วยการร่วมประเวณีนั้น พวกเจ้าจงมอบให้พวกเธอได้ค่าสมรสตามที่พวกเจ้าได้กำหนดเถิด และโอ้บรรดาผู้เป็นสามีย่อมไม่เป็นบาปแต่ประการใดแก่พวกเจ้าในประการที่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายจะยินยอมกันยกเลิกข้อตกลงทั้งหมดหรือแต่บางส่วนหรือจะเพิ่มข้อตกลงหลังจากที่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายได้กำหนดกันไว้แล้ว เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงรู้ยิ่งในเหล่าบรรดาข้าพระองค์ทรงประณีตยิ่งในการจัดระบบงานไว้แก่บรรดาเหล่านั้น



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 25 - 28


คำอ่าน
25. วะมัลลัมยัสตะฏิอฺมิน..กุม ฏ็อวลัน อัย..ยัน..กิหัลมุหฺเศาะนาติลมุอ์มินาติ ฟะมิม..มามะละกัตอัยมานุกุม..มิน..ฟะตะยาติกุมุลมุอ์มินาต วัลลอฮุอะอฺละมุ บิอีมานิกุม บะอฺฎุกุม..มิม..บะอฺฎฺ ฟัน..กิหูฮุน..นะ บิอิซนิอะฮฺลิฮิน..นะ วะอาตูฮุน..นะ อุญูเราะฮุน..นะ บิลมะอฺรูฟิ มุหฺเศาะนาติน ฆ็อยเราะมุสาฟิหาติว..วะลามุตตะคิซาติอัคดาน ฟะอิซา..อุหฺศิน..นะ ฟะอินอะตัยนะ บิฟาหิชะติน..ฟะอะลัยฮิน..นะ นิศฟุมา อะลัลมุหฺเศาะนาติ มินัลอะซาบ ซาลิกะลิมันเคาะชิยัลอะนะตะมิน..กุม วะอัน..ตัศบิรูค็อยรุลละกุม วัลลอฮุเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
26. ยุรีดุลลอฮุ ลิยุบัยยินะละกุม วะยะฮฺดิยะกุม สุนะนัลละซีนะมิน..ก็อบลิกุม วะยะตูบะอะลัยกุม วัลลอฮุอะลีมุนหะกีม
27. วัลลอฮุยุรีดุ อัย..ยะตูบะอะลัยกุม วะยุรีดุลละซีนะยัตตะบิอูนัชชะฮะวาติ อัน..ตะมีลู มัยลันอะซีมา
28. ยุรีดุลลอฮุ อัย..ยุค็อฟฟิฟะอัน..กุม วะคุลิก็อลอิน..สานุ เฎาะอีฟา

 
คำแปล R1.
25. And whoever of you have not the means wherewith to wed free, believing women, they may wed believing girls from among those (captives and slaves) whom your right hands possess, and Allah has full knowledge about your faith, you are one from another. Wed them with the permission of their own folk (guardians, Auliya' or masters) and give them their Mahr according to what is reasonable; they (the above said captive and slave-girls) should be chaste, not adulterous, nor taking boy-friends. And after they have been taken in wedlock, if they commit illegal sexual intercourse, their punishment is half that for free (unmarried) women. This is for him among you who is afraid of being harmed in his Religion or in his body; but it is better for you that you practise self-restraint, and Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.
26. Allah wishes to make clear (What is lawful and what is unlawful) to you, and to show you the ways of those before you, and accept your repentance and Allah is All-Knower, All-Wise.
27. Allah wishes to accept your repentance, but those who follow their lusts, wish that you (believers) should deviate tremendously away from the Right Path.
28. Allah wishes to lighten (the burden) for you; and man was created weak (cannot be patient to leave sexual intercourse with woman).


คำแปล R2.
25. และผู้ใดจากพวกเจ้าไม่สามารถเพียงพอที่จะสมรสกับบรรดาหญิงที่ดีมีศรัทธา (เพราะทุนไม่มีหรือสาเหตุใดก็ตาม) ก็ให้เขา (เลือกสมรส) จากทาสหญิงที่พวกเจ้าครอบครอง โดยคัดจากหญิงสาวที่มีศรัทธา (ที่อยู่ในครอบครอง) ของพวกเจ้า และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง ถึงความศรัทธาของพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าบางส่วนก็เป็นหนึ่งจากอีกบางส่วน (คือเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เดียวกันจากนบีอาดัม จะเป็นทาสจะเป็นเสรีชน ก็ลูกอาดัมเหมือนกันนั่นเอง) ดังนั้นพวกเจ้าจงสมรสกับพวกนาง (ทาส) เหล่านั้นเถิด โดยอนุญาตจากผู้เป็นนายของพวกนาง และพวกเจ้าจงมอบค่าสมรสแก่นางโดยคุณธรรม แบบการสมรส มิใช่แบบการผิดประเวณีโดยเปิดเผย และมิใช่ผิดประเวณีแบบการลักลอบ (โดยทำเป็นเมียเก็บ ไม่เปิดเผย) ต่อมาเมื่อนาง (ทาส) เหล่านั้นได้ถูกสมรส แล้วก็ปรากฏว่าพวกนางได้ประกอบการอันลามก (คือลอบคบชู้) ที่จริงแล้วพวกนางจะต้องถูกลงโทษเพียงครึ่งหนึ่งของพวกผู้หญิงดีทั่วไป (คือลงโทษ 50 ครั้ง เนรเทศครึ่งปี) อัน (บทบัญญัติ้ให้สมรสกับทาสหญิงดังกล่าวมา) นั้น เป็นประโยชน์สำหรับบุคคลที่กลัวจะทำการผิดประเวณี และการที่พวกเจ้าอดทนไว้ (ไม่สมรสกับทาสหญิง) นั้นย่อมเป็นการดีสำหรับพวกเจ้า และอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
26. อัลเลาะฮฺทรงประสงค์ที่จะชี้แจงแก่พวกเจ้าและชี้นำให้พวกเจ้าได้รู้ถึงบรรดาแบบฉบับของมวลชนในยุคก่อนพวกเจ้า และพระองค์ทรงรับการสารภาพโทษแก่พวกเจ้า และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง
27. และอัลเลาะฮฺทรงปรารถนาที่จะรับการสารภาพโทษของพวกเจ้า แต่บรรดาผู้ทำตามอารมณ์ใคร่ปรารถนาที่จะให้พวกเจ้าเกิดความบ่ายเบนอันใหญ่หลวง (จากหลักสัจธรรม และหวนไปทำสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ เพื่อจะได้มีสภาพเหมือนกัน)
28. อัลเลาะฮฺทรงประสงค์ที่จะผ่อนผัน (โทษ) จากพวกเจ้า และมนุษย์ถูกสร้างมาในสภาพอ่อนแอ (ตกเป็นทาสอารมณ์ได้ง่าย อัลเลาะฮฺจึงให้โอกาสพวกเขา เพื่อพระองค์จะได้ผ่อนผันโทษที่พวกเขาทำ)


คำแปล R3.
25. และผู้ใดในหมู่สูเจ้าไม่สามารถจะแต่งงานกับหญิงผู้ศรัทธาที่เป็นไท ก็จงแต่งงานกับบ่าวหญิงผู้ศรัทธาที่อยู่ในความครอบครองของสูเจ้า และอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งในการศรัทธาของสูเจ้า บางคนของสูเจ้ามาจากอีกบางคน ดังนั้นจงแต่งงานกับนางโดยการอนุมัติของผู้ดูแลนาง และจงให้ของหมั้นแก่นางตามสมควร เพื่อที่นางจะได้ใช้ชีวิตสมรสอย่างมีเกียรติ มิใช่เป็นผู้ค้าประเวณีและมิใช่เป็นเมียลับ ดังนั้น ถ้าหากนางมีชู้หลังจากที่นางได้แต่งงานแล้ว การลงโทษสำหรับนางก็คือครึ่งหนึ่งของโทษที่ถูกกำหนดไว้สำหรับหญิงที่เป็นไท การยินยอมให้เช่นนี้ มีไว้ให้สำหรับผู้ที่เกรงว่าจะเสื่อมเสียหากไม่แต่งงาน แต่มันจะเป็นการดีกว่าสำหรับสูเจ้าที่จะอดกลั้นตนเอง และอัลลอฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
26. อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะให้ความกระจ่างแก่สูเจ้า และแนะนำเจ้าซึ่งแนวทางของบรรดาผู้ทรงความดีก่อนหน้าสูเจ้าและทรงหันมายังสูเจ้าโดยปรานี และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ
27. และอัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะหันยังสูเจ้าโดยปรานี แต่บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามความใคร่ต้องการที่จะให้สูเจ้าหันห่างออกจากแนวทางที่ถูกต้อง
28. อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะผ่อนปรนให้สูเจ้า เพราะมนุษย์ถูกบังเกิดขึ้นมาอ่อนแอ


คำแปล R4.
25. และผู้ใดในหมู่พวกเต้าไม่สามารถมีกำลังที่จะแต่งงานกับบรรดาหญิงอิสระที่มีศรัทธาได้ ก็จงแต่งงานกับเด็กสาวของพวกเจ้าที่เป็นผู้ศรัทธาในหมู่ ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่งที่ในการศรัทธาของพวกเจ้าบางคนในหมู่พวกเจ้า นั้นมาจากอีกบางคน ดังนั้นจงแต่งงานกับพวกนางด้วยการอนุมัติจากผู้เป็นนายของพวกนาง และจงให้แก่พวกนางซึ่งสินตอบแทนของพวกนางโดยชอบธรรม ในฐานะที่พวกนางเป็นหญิงที่ได้รับการแต่งงานมิใช่เป็นหญิงที่ค้าประเวณี และไม่ใช่หญิงที่ยึดเอาชายเป็นเพื่อนสนิทเมื่อพวกนางได้รับการแต่งงาน แล้ว หากพวกนางกระทำความชั่วพวกนางก็จะได้รับโทษครึ่งหนึ่งของโทษที่บรรดา หญิงอิสระได้รับ นั่นสำหรับผู้ในหมู่พวกเจ้าที่กลัวการทำชั่ว และการที่พวกเจ้าอดกลั้นไว้ได้นั้น เป็นการดีกว่าสำหรับพวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
26. อัลลอฮฺ ทรงปรารถนาที่จะแจกแจงแก่พวกเจ้า และแนะนำพวกเจ้าซึ่งแนวทางต่างๆ ของบรรดาผู้ที่มาก่อนพวกเจ้า และจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้และเป็นผู้ทรงปรีชาญาณ
27. และอัลลอฮฺ ทรงปรารถนาที่จะอภัยโทษให้แก่พวกเจ้า และบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำนั้นปรารถนาที่จะให้พวกเจ้าเอนเอียง ออกไปอย่างมากมาย
28. อัลลอฮฺ ทรงปรารถนาที่จะผ่อนผันให้แก่พวกเจ้า และมนุษย์นั้นถูกบังเกิดขึ้นในสภาพที่อ่อนแอ


คำแปล R5.
๒๕. ถ้าแหละพวกเจ้าผู้เป็นเสรีชนคนใดมีค่าสมรสไม่เพียงพอที่จะทำการสมรสกับหญิงเสรีชนที่ศรัทธาได้แล้วไซร้ ก็ให้เขาผู้นั้นสมรสกับหญิงทาสที่ศรัทธาวัยสาวคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในความปกครองของพรรคพวกของพวกเจ้าเถิด แหละว่าอัลเลาะห์นั้นทรงทราบดีถึงความศรัทธาของพวกเจ้าฉะนั้นพวกเจ้าจงยึดแต่เพียงความศรัทธาที่เห็นอยู่ก็พอแล้ว ทั้งจงมอบหมายความศรัทธาภายในของนางทาสเหล่านั้นไว้ต่อพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงทราบดีถึงความดีเลิศของนางทาสเหล่านั้นอยู่แล้ว และทรงรู้ว่านางทาสเหล่านั้นบางนางย่อมจะมีความศรัทธายิ่งไปกว่าเสรีชนเสียอีก และก็ไม่จำเป็นเลยที่เมื่อพวกเจ้าจะสมรสและจะต้องรู้ว่านางทาสเหล่านั้นมีความศรัทธาลึกซึ้งเพียงใด เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ขึ้นตรงต่ออัลเลาะห์ซึ่งทั้งพวกเจ้าและนางทาสนั้นบ้างก็ทัดเทียมกันทั้งในด้านวงศ์สกุลจากพระนบีอาดัมและในด้านการนับถือศาสนาอิสลาม ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าคิดรังเกียจที่จะสมรสกับหญิงทาสเลย แล้วพวกเจ้าจงสมรสกับนางทาสเหล่านั้นโดยการอนุญาตจากนายของพวกเธอ ทั้งจงมอบให้พวกเธอด้วยค่าสมรสเป็นอันดีโดยไม่ประวิงการส่งมอบให้เนิ่ช้าและไม่ขาดจำนวน ในฐานะที่นางทาสนั้น ๆ เป็นผู้ที่สงวนตัวจากการทำซินา(การทำประเวณีนอกอนุญาต)มิใช่ผู้ทำซินาอย่างเปิดเผยและมิใช่นางที่คบชายชู้ไว้ทำซินาอย่างไม่เปิดเผยเมื่อพวกนางทาสได้รับการสมรสแล้ว หากว่ายังประกอบการอุลามกคือทำซินาอยู่อีก พวกนางนั้นย่อมต้องโทษเพียงครึ่งหนึ่งของโทษที่หญิงพรหมจรรย์เสรีที่กระทำซินาพึงได้รับ แปลว่านางทาสเหล่านั้นจะต้องถูกโบย  ๕๐ หนและเนรเทศครึ่งปี การสมรสกับนางทาสในกรณีที่มีค่าสมรสไม่เพียงพอนี้แหละเป็นโอกาสำหรับพวกเจ้าบางคนที่หวั่นเกรงการกระทำชั่ว(ซินา)เท่านั้น ส่วนคนที่มั่นใจตัวเองว่าจะไม่กระทำประเวณีนอกอนุญาตก็ดี และคนที่มีพลังความสามารถที่จะสมรสกับหญิงเสรีชนได้ก็ดี การที่คนทั้งสองประเภทนี้จพทำการสมรสหญิงทาสดังกล่าวนั้นเป็นการบาปและการที่พวกเจ้าจะอดทนไม่กระทำการสมรสกับนางทาสได้นั้นก็จัดว่าดียิ่งสำหรับพวกเจ้าอยู่แล้วทั้งนี้เกรงไปว่าบุตรที่จะถือกำเนิดแตมารดาซึ่งเป็นทาสของผู้อื่นจะเป็นทาสตามไปด้วย ต่างกับหญิงทาสของตนเอง ลูกที่ถือกำเนิดจากนางนั้นศาสนาถือว่าเป็นเสรีชนตามตนฝ่ายอัลเลาะห์นั้นคือองค์ทรงยิ่งในการอภัยแก่เหล่าบรรดาข้าพระองค์ทรงโปรดปราณียิ่งแก่พวกเหล่านั้นโดยทรงเปิดโอกาสให้พวกเจ้าสมรสกับผู้หญิงทาสของผู้อื่นได้ แม้ว่าจะเป็นเหตุทำให้บุตรที่เกิดมาเป็นทาสตามมารดาก็ตามเถิด
๒๖. อัลเลาะห์ทรงมุ่งหวังที่จะชี้แจงข้อใช้และข้อห้ามทางศาสนาและความก้าวหน้าทางการงานของพวกเจ้าให้แก่พวกเจ้าและจะทรงแนะนำพวกเจ้าให้ทราบแนวทางของบรรดาพระศาสดาที่ก่อนจากพวกเจ้าเกี่ยวกับข้อใช้และข้อห้ามอันพวกเจ้าจะต้องดำเนินตามพระศาสดาเหล่านั้นทั้งจะทรงรับรองการสารภาพกลับใจของพวกเจ้าจากที่เคยทรยศต่อพระองค์ กลับมาปฏิบัติตามข้อใช้และข้อห้ามของพระองค์ส่วนอัลเลาะห์นั้นคือองค์ทรงรู้ยิ่งถึงพวกเจ้าทรงประณีตยิ่งในระบบงานที่พระองค์ทรงตรัสให้แก่พวกเจ้า
๒๗. และอัลเลาะห์ทรงมุ่งหวังที่จะรับรองซึ่งคำสารภาพกลับใจของพวกเจ้า แต่บรรดาที่เป็นยะฮูดีและนัซรอนีหรือที่เป็นมยูซีหรือพวกผู้ชายผู้หญิงที่ลักลอบร่วมกิจกัน ต่างใฝ่หาอารมณืต่ำโดยประพฤติบาปกรรมตามกิเลสนั้นย่อมมุ่งหวังจะให้พวกเจ้า(มุอ์มิน)โน้มเอียงออกอย่างใหญ่หลวงจากความสัจจริงและถูกต้องด้วยเหตุแห่งการประพฤติตนของพวกเจ้าในสิ่งที่ต้องห้ามมากขึ้น เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้มัสภาพเหมือนพวกนั้น ในการสมรสกับบุตรีของพี่ชายน้องชายและกับพี่สาวน้องสาวที่ร่วมบิดา ตลอดจนการลักลอบกันในเชิงชู้ กล่าวคือพวกยะฮูดีก็ดี พวกนัซรอนีก็ดี พวกมยูซีก็ดี พวกเหล่านี้ทำการสมรสกับหญิงที่ต้องห้าม เช่น พี่สาวน้องสาวที่ร่วมบิดาเดียวกัน และบุตรีของพี่ชายน้องชายตนเอง โดยพวกเหล่านี้ถือว่าเป็นการที่ถูกต้อง ส่วนพวกที่ชอบปฏิบัติกามกิจในทางชู้ก็หวังจะให้พวกเจ้าปฏิบัติตามทางชู้ด้วย ทั้งนี้หมายจะให้พวกเจ้ามีความด่างพร้อยในทางบาปเหมือนกับพวกมันนั่นเอง
๒๘. อัลเลาะห์ทรงมุ่งหวังที่จะผ่อนผันเกี่ยวกับข้อบัญญัติใช้และห้ามให้พวกเจ้า เช่นยอมให้ชำระสะสางสิ่งโสโครกตามนัยแห่งศาสนา(นะยิส)ด้วยน้ำ และทำการเตาบะฮ์ด้วยการสารภาพกลับใจได้ ซึ่งอันนี้ต่างจากศาสนายุคมูซา พระองค์ได้ทรงบังคับให้ทำการชำระนะยิสโดยการตัดส่วนของผิวกายบ้าง ของผ้าบ้างหรือสิ่งอื่น ๆ บ้าง ที่มีนะยิสติดอยู่ทิ้งไป และได้ทรงบังคับให้ทำการเตาบะห์ด้วยการฆ่าตัวเอง เนื่องจากมนุษยชาตินั้นถูกพระองค์สร้างขึ้นมาอย่างแบบบางไม่สามารถถอดใจในเรื่องผู้หญิงและอารมณ์ต่ำได้




 

GoogleTagged