ท่านปรมาจารย์ อิมาม อิบนุอะฏออิลและฮ์ กล่าวว่า
خير العلم ما كانت الخشية معه
?ความรู้ที่ดีเลิศ คือความรู้ที่มีความพร้อมกับความเกรงกลัว?
ท่านชัยคุลอิสลาม อับดุลเลาะฮ์ อัชชัรกอวีย์ กล่าวอธิบายว่า ?บรรดาความรู้ที่ดีเลิศ คือความรู้ที่มีความผูกพันกับความเกรงกลัว ซึ่งเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ เพราะอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทรงทำการสรรเสริญบรรดานักปราชญ์อันเนื่องมาจากพวกเขามีความเกรงกลัว อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า
إِنَّمَا يَخْشَى اللَّهَ مِنْ عِبَادِهِ الْعُلَمَاء
?แท้จริง บรรดาปวงบ่าวของอัลเลาะฮ์ ที่มีความเกรงกลัวต่อพระองค์นั้น คือบรรดาผู้มีความรู้? ฟาฏิร 28
ดังนั้น ทุก ๆ ความรู้ที่ไม่อยู่พร้อมกับความเกรงกลัว ย่อมไม่มีความดีแต่ประการใด และผู้ที่เป็นเจ้าของความรู้นั้น ก็ไม่ถูกเรียกว่าเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง? ดู ชัรหฺ อัลฮิกัม เล่ม 2 หน้า 50 ? 51 , หนังสือ ฮิกัม อิบนุ อะฏออิลและฮ์ ของท่าน ชัยค์ อัชชัรนูบีย์ อัลอัซฮะรีย์ หน้า 105
เราสามารถเข้าใจได้จากคำตรัสของพระองค์นี้ว่า แท้จริง ระหว่างความรู้และความเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์นั้น มีความสัมพันธ์กัน คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีความรู้ ก็จำเป็นต้องมีความเกรงกลัวด้วย เนื่องจากอัลเลาะฮ์ได้ทรงอธิบายจำกัดเฉพาะไว้แล้วว่า ความเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์นั้น อยู่ในบรรดาผู้มีความรู้ ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ให้เห็นว่า ความรู้ คือ บ่อเกิดและพื้นฐานแห่งความเกรงกลัว
ดังนั้น เราสมควรจะทำความเข้าใจจากคำกล่าวของท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์อย่างไร? ท่านอิบนุ อะฏออิลและฮ์ มิได้มีจุดมุ่งหมายในคำพูดของท่านนี้ว่า ในความรู้นั้น มีทั้งทำให้เกิดความเกรงกลัวและไม่ทำให้เกิดความเกรงกลัว แต่จุดมุ่งหมายของท่าน คือ ทำให้ความรู้ที่ไม่ส่งผลให้เกิดความเกรงกลัวตกระดับจากการเรียกว่า ?ความรู้? เนื่องจาก สิ่งที่ไม่มีความดีแต่อย่างใดนั้น ไม่สมควรเรียกว่า ?ความรู้? (อัลอิลมุ)
เพราะฉะนั้น จึงเสมือนท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์ได้กล่าวว่า ?หากท่านเห็นว่า มีผู้คนที่บรรดาสมองของพวกเขาได้บรรจุความรู้และวิทยาการบางส่วนไว้ โดยไม่ทำให้พวกเขามีความเกรงกลัวในอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ดังนั้น ท่านพึงรู้เถิดว่า บรรดาความรู้ของพวกเขานั้น เป็นความรู้ที่เบี่ยงเบนและคลุมเครือที่เป็นโมฆะ?
และตามความหมายนี้ คือนัยที่อัลเลาะฮ์ทรงอธิบายไว้เช่นกัน ดังนั้น บางครั้งท่านอาจจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีบรรดาผู้คนที่ได้พูดออกมาด้วยถ้อยคำในเชิงวิชาการและพวกเขาทำการท่องจำหลักการต่างในเชิงวิชาการ โดยสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่ได้นำพาเขาไปสู่ความเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์เลย นอกจากเสียว่า การอธิบายแห่งพระผู้เป็นเจ้าในซูเราะฮ์ฟาฏิร อายะฮ์ที่ 28 ได้ทำการลดฐานะของพวกเขาออกจากระดับของผู้มีความรู้ และนับว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มุสาและแอบอ้างว่าเป็นผู้มีความรู้
หากท่านถามว่า ดังกล่าวนี้จะสามารถทราบได้อย่างไร? และความถูกต้องเป็นอย่างไรกัน ? ในเมื่อมีการกล่าวถึง นักวิทยาศาสตร์ผู้มีความรู้เกี่ยวกับปรมาณูซึ่งเป็นนักประดิษฐ์ค้นคว้าวิจัยในสนามแห่งวิทยาศาสตร์ว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีความรู้(ญาฮิล) และเขาได้แอบอ้างโกหกด้วยกับความรู้นั้นหรือ? เนื่องจากความรู้ต่าง ๆ ของเขาไม่นำไปสู่ความเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์ตามที่ท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์กล่าวไว้?
ขอตอบคำถามนี้ว่า ไม่สงสัยเลยว่า ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์ที่แพร่หลายอยู่ในจักรวาลทั้งหมดนี้ เป็นหลักฐานยืนยันถึงการมีอัลเลาะฮ์ เนื่องจากสิ่งถูกสร้างขึ้นมานั้น จำเป็นต้องบ่งชี้ถึงการมีผู้สร้าง ดังนั้น ผู้ใดที่ทราบถึงหลักฐานข้อบ่งชี้ต่าง ๆ โดยไม่ทราบถึงผลที่ถูกบ่งชี้นั้น เขาย่อมเป็นคนที่ไม่มีความรู้(ญาฮิล) , ผู้ใดที่รู้ถึงต้นไม้ที่ออกผลได้ โดยเขาไม่สามารถได้รับผลจากต้นไม้นั้น เขาย่อมเป็นคนที่ไม่มีความรู้ (ญาฮิล), และผู้ใดที่รู้จักดวงอาทิตย์ โดยไม่ทราบถึงพลังงานที่มีผลต่อพืชและมนุษย์ เขาย่อมเป็นคนไม่มีความรู้(ญาฮิล) , และผู้ใดที่รู้จักยาประเภทต่าง ๆ โดยไม่ทราบถึงสรรพคุณของมัน เขาย่อมเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ , และผู้ใดที่รู้จักยาพิษประเภทต่าง ๆ โดยไม่ทราบถึงข้อบ่งชี้ที่ทำให้เกิดอันตราย เขาย่อมเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ , และผู้ใดที่เห็นอยู่ใกล้ ๆ ถึงความเขียวชอุ่ม มีต้นไม้ต่าง ๆ ผลิใบมากมาย แล้วมีผู้คนพักผ่อนหย่อนใจในรอบบริเวณนั้น โดยเขาไม่ทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวอุดมไปด้วยน้ำ เขาย่อมเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ , และผู้ใดที่ค้นพบทั้งบนดินและใต้ดินว่ามีแร่โลหะชนิดตะกั่วและธาตุก๊าซฮีเลียม(คือก๊าซเฉื่อยชนิดหนึ่งที่ใช้สัญลักษณ์ He) โดยไม่ทราบว่าเมื่อก่อนสถานที่ดังกล่าวเคยอุดมไปด้วยบรรดาแร่ธาตุกัมมันตรังสี เช่นธาตุเรเดียม(เป็นธาตุกัมมันตรังสีชนิดหนึ่งที่ใช้รักษาโรคมะเร็งได้)และอื่น ๆ แน่นอน เขาย่อมเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ เป็นต้น
ท่านมีไม่ทราบดอกหรือว่า กับการรู้จักถึงข้อบ่งชี้หนึ่ง เมื่อการรู้จักนั้นไม่ทำให้ทราบถึงผลที่ได้รับจากข้อบ่งชี้นั้น ย่อมเป็นการรู้จักที่ไร้ชีวิต ไม่มีความหมาย และไม่มีคุณค่าอันใด
อยากจะถามท่านว่า อะไรคือคุณค่าของความสัมพันธ์ระหว่างข้อบ่งชี้กับผลที่ได้รับจากข้อบ่งชี้ในบรรดาตัวอย่างที่ยกไปแล้วข้างต้น ที่มีต่อคุณค่าของความสัมพันธ์ของหลักฐานที่บ่งชี้ในสรรพสิ่งที่ถูกสร้างของจักรวาลทั้งหมด ถึงการมีผู้สร้างข้อบ่งชี้นั้น ก็คือ อัลเลาะฮ์พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ?!
แท้จริง ความสัมพันธ์ที่ท่านจะได้เห็นในบรรดาตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็คือ บรรดาผลลัพธ์ต่าง ๆ จากการสรรสร้างและอานุภาพของอัลเลาะฮ์ที่เป็นผู้ให้ความสัมพันธ์เกิดขึ้น(ด้วยอานุภาพของพระองค์)ระหว่างสรรพสิ่งต่าง ๆ กับบรรดาผลลัพธ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น...สำหรับความสัมพันธ์ที่แท้จริงอันแน่นแฟ้นนั้น ก็คือ ข้อเท็จจริงในเชิงวิชาการได้บ่งชี้ให้ทราบถึงการมีความสัมพันธ์กันระหว่างระบบของจักรวาลในด้านหนึ่งกับผู้ที่สร้างและวางระบบของจักรวาล ดังนั้น บุคคลใดที่ทำการศึกษากฎเกณฑ์และระบบของจักรวาล โดยเขาไม่ตระหนักถึงการมีผู้สร้างจักรวาลและผู้ที่ทรงอนุภาพและทรงปรีชาญาน แน่นอน เขาย่อมเป็นผู้ที่มีความโง่เขลายิ่งว่าผู้ที่ไม่ทราบถึงผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่ได้ยกบรรดาตัวอย่างไปแล้วข้างต้น
มีบางคนอาจกล่าวว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นและวิจัยที่เราได้พูดถึงนั้น มีมากมายที่ศรัทธาเชื่อว่าอัลเลาะฮ์ทรงมี แต่ความรู้ของพวกเขานั้น กลับก็ไม่มีแต่ทำไมความรู้ของพวกเขากลับไม่ทำให้รู้สึกมีความเกรงกลัวที่ท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์ได้กล่าวถึงและตามที่อัลเลาะฮ์ได้อธิบายจำกัดความไว้กับบรรดาผู้รู้ ?
คำตอบ คือ สิ่งที่จะถูกเรียกว่า อิหม่าน ความศรัทธาเชื่อต่ออัลเลาะฮ์นั้น ต่อเมื่อมีความเกรงกลัวต่ออัลเลาะฮ์ร่วมอยู่ด้วย ดังนั้น ความศรัทธาที่ไม่มีความเกรงกลัวย่อมไม่ใช่อีหม่านอย่างแท้จริง นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากนั้นตระหนักดีถึงข้อมูลและวิทยาการต่าง ๆ ของจักรวาล ที่พวกเขากล่าวสำนวนที่ว่า จำเป็นต้องมี ?พลังอำนาจเหนือธรรมชาติ? ที่มาสรรสร้างจักรวาลเหล่านี้ แต่สติปัญญาของพวกเขา ก็ไม่พ้นไปจากการมีความมั่นใจ(ยาเกน)ถึงสิ่งเร้นลับที่พวกเขาเรียกว่า "พลังอำนาจเหนือธรรมชาติ" ดังนั้น จึงถูกกล่าวว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่ศรัทธาเชื่อในอัลเลาะฮ์ แต่ การมั่นใจ(ยาเกน)เกี่ยวกับสิ่งที่เร้นลับนี้ ที่เรียกว่า "พลังอำนาจเหนือธรรมชาติ" นั้น ไม่นับว่าพวกเขามีความศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์อย่างแท้จริงเลย เนื่องจากว่า หากพวกเขามีความศรัทธาอย่างแท้จริงแล้ว แน่นอน ความศรัทธานั้นย่อมทำให้เขามีความเกรงกลัวเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ดังนั้น ในขณะที่เขาทำการค้นคว้าวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์โดยที่เขาเพิกเฉยจากการบ่งชี้ถึงพระเจ้าผู้สร้าง เขาย่อมมีความคิดที่เหลวไหล เพราะฉะนั้น ข้อมูลในเชิงวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับจักรวาลทั้งหมดนั้น ย่อมข้อมูลในเชิงวิชาการที่ไร้ชีวิต เนื่องจากในสมองของเขาไม่ทราบถึงผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้องกับบรรดาข้อบ่งชี้เหล่านั้น และไม่สงสัยเลยว่า การไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของข้ออ้างที่สมเหตุสมผล ที่มีต่อผลลัพธ์ต่าง ๆ ของมันนั้น ย่อมเป็นความโง่เขลาประเภทหนึ่งที่เลวร้ายที่สุด
และมนุษย์ประเภทนี้นั้น อัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ทรงตรัสไว้ว่า
يَعْلَمُونَ ظَاهِراً مِّنَ الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَهُمْ عَنِ الْآخِرَةِ هُمْ غَافِلُونَ
?พวกเขารู้แต่เพียงส่วนภายนอกจากชีวิตทางโลกนี้เท่านั้น แต่พวกเขากลับหลงลืมต่อโลกหน้า? อัรรูม 7
ท่านย่อมมีความมั่นใจอย่างแน่นอนแล้วว่า อายะฮ์นี้ เป็นการอธิบายในเชิงวิชาการที่เป็นสัจจะธรรมโดยไม่มีแง่มุมใดที่จะสงสัยได้เลย และเมื่อดังกล่าว ได้ประจักษ์ชัดแก่ท่านแล้ว ท่านก็จะทราบถึงความลึกซึ้งที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงอธิบายถึงหลักการที่พระองค์ทรงตรัสไว้ในอีกอายะฮ์หนึ่งว่า
إِنَّمَا يَخْشَى اللَّهَ مِنْ عِبَادِهِ الْعُلَمَاء
?แท้จริง บรรดาปวงบ่าวของอัลเลาะฮ์ ที่มีความเกรงกลัวต่อพระองค์นั้น คือบรรดาผู้มีความรู้? ฟาฏิร 28
ท้ายนี้ ก็ขอให้ท่านผู้อ่าน หวนกลับไปยังคำกล่าวของท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์(ร่อฮิมะฮุลเลาะฮ์) ที่ว่า ?ความรู้ที่ดีเลิศ คือความรู้ที่มีความพร้อมกับความเกรงกลัว? ซึ่งก็คงประจักษ์ถึงถ้อยคำของท่านอิบนุอะฏออิลและฮ์ว่ามีความสอดคล้องกับการอธิบายของอัลเลาะฮ์ ตะอาลา และสอดคล้องตามหลักวิชาการที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามในการวิเคราะห์ถึงเรื่อง(มะริฟัต)การรู้จักอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ต่อไป อินชาอัลเลาะฮ์
วัลลอฮุอะลัม