بسم الله الرحمن الرحيم
الحمد لله رب العالمين و الصلاة والسلام على سيدنا محمد وعلي اله وصحبه أجمعين
ความแตกต่างในด้านการวินิจฉัยของอิสลามไม่ใช่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่ปัญหามันเกิดเพราะมนุษย์ไม่เปิดใจกว้างในการแก้ปัญหา ดังนั้นหากไม่เปิดใจกว้างในการแก้ปัญหา ก็ไม่สมควรเปิดใจตกลงที่จะมาแต่งงานกัน เพราะการแต่งงานคือการร่วมชีวิตด้วยกันทั้งในปัจจุบัน(โลกนี้)และในอนาคต(โลกหน้า) มีความรัก ความเมตตา ความสงสาร ความห่วงใย ความเอื้ออาทร และการเกลื้อหนุนซึ่งกันและกัน ผมเข้าใจว่ามันอยู่ที่การให้เกียรติและมีความเข้าใจซึ่งกันและกันน่ะครับ เราไม่จำเป็นต้องให้มีทัศนะตรงกัน แต่พยายามให้เกียรติซึ่งกันและกัน ประชาชาติอิสลามล้วนมีความแตกต่างกันในด้านปฏิบัติแต่พวกเขาให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะที่ตนเองดำรงอยู่กรอบของหลักการอิสลาม ฉันท์ใดฉันท์นั้น ในชีวิตการแต่งงานก็เช่นเดียวกัน
ประเด็นการตัดสินใจไม่สมควรนำจุดต่างมาเป็นองค์ประกอบ แต่สมควรมุ่งเน้นจุดหลักมาวัดในตัวคน ผู้ชายมัซฮับชาฟิอีย์แล้วไปแต่งงานกับผู้หญิงมัซฮับบาลี เขาไม่ได้มองที่ความต่างของมัซฮับ แต่สมควรมองว่า ทั้งสองเป็นคนดีไหม ละหมาดครบไหม ละหมาดสุนัตเยอะไหม ถือศีลอดครบไหม ศีลอดสุนัตทำเยอะไหม อ่านอัลกุรอานได้ไหมพอที่จะไปสอนลูก ๆ ในอนาคตได้ไหม เราอย่าไปมองจุดเล็กที่ว่าเขาอุซ๊อลลีไหม อ่านกุนูต พอละหมาดเสร็จเขายกมือขอดุอาอ์ไหม เพราะคนไม่อุซ๊อลลีบางทีเขาก็ขาดละหมาด คนที่ไม่ยกมือขอดุอาอ์หลังละหมาด บางทีเขาก็ไม่ชอบขอดุอาอ์ต่ออัลเลาะฮ์ด้วยซ้ำไป
แต่เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วแต่มีทัศนะที่ต่างกัน ทำไมไม่แข่งขันกันทำอิบาดะฮ์ที่ไม่ขัดแย้งกันละครับ ละหมาดสุนัตในแต่ละวันมีตั้งมากมาย ถือศีลอดได้ตลอดทั้งปียกเว้น 5 วัน ซิกรุลลอฮ์เช้าเย็นก็มีให้ปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอ อัลเลาะฮ์พิจารณาเราตรงนี้ครับ มนุษย์จะมีค่าและมีราคาตามทัศนะของพระองค์ก็ตรงนี้แหละครับ แต่มนุษย์จะไม่เห็นคุณค่าตรงนี้ เอาเรื่องความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ มาประเมินราคาของคน จึงทำให้ตนเองและคนรอบข้างมีปัญหาทั้งในระดับครอบครัวและในสังคมวงกว้าง
แต่ถ้าหากมีความแตกต่างระหว่างอะลิสซุนนะฮ์กับชีอะฮ์ละก็ ผมไม่มีอะไรจะนำเสนอในกรณีการปรับเข้าหากัน
والله تعالى أعلى وأعلم