ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 46 สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ  (อ่าน 3262 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ – (الأحقاف) – เป็นชื่อสถานที่

เป็นสูเราะฮฺมักกียะฮฺ มี 35 อายะฮฺ

ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺ อัลอะฮฺกอฟ (R4.)
   ซูเราะฮฺนี้เป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺที่มีเป้าหมายเช่นเดียวกับซูเราะฮฺมักกียะฮฺอื่น ๆ เรื่องอะกีดะฮฺเป็นหลักการใหญ่ คือการให้ความเป็นเอกภาพ สาส์น การฟื้นคืนชีพและการตอบแทน แกนสำคัญที่ซูเราะฮฺนี้กล่าวถึงก็คือ เรื่องของสาสน์และการเป็นรอซูล เพื่อยืนยันถึงความสัจจริงแห่งสาสน์ของมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และความสัจจริงของอัลกุรอาน
   ซูเราะฮฺได้กล่าวในตอนเริ่มต้นถึงอัลกุรอาน ซึ่งถูกประทานลงมาจากอัลลอฮฺว่าเป็นจริง แล้วได้กล่าวถึงรูปปั้นเจว็ดซึ่งพวกมุชริกีนกราบไหว้บูชากัน โดยอ้างว่ามันเป็นพระเจ้าคู่เคียงกับอัลลอฮฺ เพื่อที่จะช่วยเหลือพวกเขา ณ ที่พระองค์ และได้ชี้แจงถึงการหลงทางและความผิดพลาดของพวกเขาในการเคารพสักการะสิ่งที่มันไม่ได้ยินและไม่ให้ประโยชน์อันใด แล้วได้กล่าวถึงความสงสัยของพวกมุชริกีนเกี่ยวกับอัลกุรอาน โดยได้ตอบโต้ความสงสัยนั้นด้วยหลักฐานที่ชัดแจ้งและข้อพิสูจน์ที่ปฏิเสธไม่ได้
   ซูเราะฮฺได้กล่าวถึงตัวอย่างสองแบบของมนุษย์ที่อยู่ในการฮิดายะฮฺ และการหลงทาง โดยกล่าวถึงตัวอย่างของลูกที่ดีที่อยู่ในแนวทางของธรรมชาติ จงรักภักดีต่อบิดามารดา เมื่อเขาได้เติบโตขึ้นและมีอายุมากขึ้น เขาก็ได้เพิ่มความยำเกรง ความดี และการทำความดีแก่บิดามารดาของเขามากยิ่งขึ้น อีกตัวอย่างหนึ่งของลูกที่เลวทราม หันห่างออกจากแนวทางของธรรมชาติ เนรคุณต่อบิดามารดา ซึ่งเขาเย้ยหยันและเหยียดหยามต่อการศรัทธา การฟื้นคืนชีพ และการชุมนุมในวันกิยามะฮฺ และบั้นปลายของลูกแต่ละคน
   ซูเราะฮฺได้กล่าวถึงเรื่องของฮูด อะลัยฮิสสลาม กับหมู่ชนของเขาที่เกรี้ยวกราด คือกลุ่มชนอ๊าด ซึ่งแสดงความโอหังตามหัวเมืองต่าง ๆ และหลอกลวงโป้ปดว่าพวกเขามีอำนาจเข้มแข็ง มีกำลังแข็งแรง แต่ผลสุดท้ายของพวกเขาเป็นอย่างไร สิ่งที่พวกเขาได้รับการตอบแทนก็คือ อัลลอฮฺตะอาลา ทรงทำลายล้างพวกเขาด้วยลมพายุอย่างถอนรากถอนโคน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตือนพวกกุฟฟารกุเรช ให้ระมัดระวังในความเกรี้ยวกราดและความหยิ่งยโสโอหังของพวกเขาต่อข้อใช้ข้อห้ามของอัลลอฮฺ และการปฏิเสธของพวกเขาต่อท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
   ซูเราะฮฺได้จบลงด้วยเรื่องของญินจำนวนหนึ่งซึ่งได้มาฟังการอ่านอัลกุรอาน แล้วพวกเขาก็ศรัทธาและได้กลับไปตักเตือนกลุ่มชนของพวกเขา เรียกร้องเชิญชวนไปสู่การศรัทธา ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตือนมนุษย์ผู้ดื้อรั้นให้ตระหนักถึงการนำหน้าของพวกญินก่อนพวกเขาในการเข้ารับนับถืออิสลาม
   ชื่อของซูเราะฮฺ
   ซูเราะฮฺ อัลอะฮฺกอฟ ถูกขนานนามเช่นนี้เพราะว่าอัลอะฮฺกอฟเป็นสถานที่ของหมู่ชนอ๊าด ซึ่งอัลลอฮฺทรงทำลายล้างพวกเขา เพราะความเกรี้ยวกราดและการมีอำนาจเข้มแข็งของพวกเขา ที่พำนักของพวกเขาอยู่ในเมืองอัลอะฮฺกอฟของประเทศเยเมน “จงรำลึกถึง (ฮูด) พี่น้องคนหนึ่งของพวกอ๊าด ขณะที่เขากล่าวเตือนหมู่ชนของเขาที่หุบเขาอัลอะฮฺกอฟ”


----------------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 1- 3




คำอ่าน
1. หา มีม
2. ตัน..ซีลุลกิตาบิ มินัลลอฮิลอะซีซิลหะกีม
3. มาเคาะลักนัสสะมาวาติวัลอัรฺเฎาะ วะมาบัยนะฮุมา..อิลลาบิลหักกฺ วะอะญะลิม..มุสัม..มา วัลละซีนะกะฟะรู อัม..มา..อุน..ซิรู มัวะอฺริฎูน


คำแปล R1.
1. Ha-Mim. [These letters are one of the miracles of the Qur'an, and none but Allah (alone) knows their meanings].
2. The revelation of the Book (this Qur'an) is from Allฟh, the All-Mighty, the All-Wise.
3. We created not the heavens and the earth and all that is between them except with truth, and for an appointed term. But those who disbelieve turn away from that whereof they are warned.


คำแปล R2.
1. ฮา มีม
2. คัมภีร์อัลกุรอานได้ถูกประทานลงมาจากอัลเลาะฮฺ ผู้ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ทรงปรีชาญาณยิ่ง
3. เรามิได้บันดาลฟากฟ้า แผ่นดินและสรรพสิ่งระหว่างมันทั้งสองนอกจากโดย (เป้าหมายที่เป็น) สัจธรรม และโดยอายุขัยที่ถูกกำหนดไว้ และบรรดาจำพวกที่ไร้ศรัทธาต่างก็หันหลังให้แก่คำเตือนที่พวกเขาถูกตักเตือนไว้


คำแปล R3.
1. ฮา มีม
2. การประทานคัมภีร์นี้มาจากอัลลอฮิผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
3. เราได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและทุกสิ่งที่อยู่ระหว่างนั้นขึ้นมาด้วยความจริงและมีระยะเวลาตามที่ได้ถูกกำหนดไว้ แต่บรรดาผู้ปฏิเสธได้หันหลังไปจากความจริงที่พวกเขาได้ถูกตักเตือน


คำแปล R4.
1. ฮามีม
2. การประทานลงมาของคัมภีร์นี้จากอัลลอฮฺ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
3. เรามิได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองเพื่ออื่นใดเว้นแต่ด้วยความจริง และวาระที่ถูกกำหนดไว้ แต่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นผู้ผินหลังให้จากสิ่งที่พวกเขาถูกตักเตือน


คำแปล R5.
๑. ฮา มีม อัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวที่ทราบความหมาย
๒. การลงคัมภีร์อัลกุรอานนี้ ย่อมมาจากอัลเลาะห์ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาอย่างแน่นอน
๓. เรามิได้บันดาลชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินทั้งเจ็ด และสรรพสิ่งระหว่างมันทั้งสองอย่างไร้เป้าหมาย นอกจากด้วยความสัจจะที่มุ่งให้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเอกานุภาพและอานุภาพแห่งเราเอง และสิ่งดังกล่าวทั้งหมดนั้นจะต้องสูญสิ้นเมื่อถึงอายุขัยที่กำหนดไว้และบรรดาผู้เนรคุณพวกเขาหันหลังให้แก่คำบัญชาของอัลเลาะห์และคำสั่งของศาสนทูตอันเป็นสิ่งที่พวกเขาถูกตักเตือนไว้ ไม่ประพฤติตามเลยแม้แต่น้อย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 4 – 7


คำอ่าน
4. กุลอะเราะอัยตุม..มาตัดอูนะ มิน..ดูนิลลาฮิ อะรูนี มาซาเคาะละกูมินัลอัรฺฎิ อัมละฮุม ชิรฺกุน..ฟิสสะมาวาต อีตูนีบิกิตาบิม..มิน..ก็อบลิ ฮาซา ..เอาอะษาเราะติม..มินอิลมิน อิน..กุน..ตุม ศอดิกีน
5. วะมันอะฎ็อลลุ มิม..มัย..ยัดอูมิน..ดูนิลลาฮิ มัลลายัสตะญีบุละฮู..อิลาเยามิลกิยามะติ วะฮุมอัน..ดุอา..อิฮิม ฆอฟิลูน
6. วะอิซาหุชิร็อน..นาสุ กานูละฮุมอะอฺดา...เอา..วะกานู บิอิบาดะติฮิม กาฟิรีน
7. วะอิซาตุตลาอะลัยฮิม อายาตุนา บัยยินาติน..กอลัลละซีนะกะฟะรูลิลหักกิ ลัม..มาญา...อะฮุม ฮาซาสิหฺรุม...มุบีน


คำแปล R1.
4. Say (O Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam to these pagans): "Think! All that you invoke besides Allah show me! What have they created of the earth? Or have they a share in (the creation of) the heavens? Bring me a Book (revealed before this), or some trace of knowledge (in support of your claims), if you are truthful!"
5. And who is more astray than one who calls (invokes) besides Allah, such as will not answer him till the Day of Resurrection, and who are (Even) unaware of their calls (invocations) to them?
6. And when mankind are gathered (on the Day of Resurrection), they (false deities) will become enemies for them and will deny their worshipping.
7. And when our clear verses are recited to them, the disbelievers Say of the truth (this Qur'an), when it reaches them: "This is plain magic!"


คำแปล R2.
4. จงประกาศเถิด (แก่พวกตั้งภาคีว่า) พวกท่านทั้งหลายรู้หรือว่าสิ่งที่พวกท่านวอนนมัสการนอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ (นั้นมีคุณสมบัติพร้อมแก่การเป็นภาคีกับพระองค์)? พวกท่านทั้งหลาย รู้หรือว่าสิ่งที่พวกท่านวอนนมัสการนอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ (นั้นมีคุณสมบัติพร้อมแก่การเป็นภาคีกับพระองค์)? พวกท่านจงทำให้ฉันได้ประจักษ์สิว่า สิ่งเหล่านั้น (ที่พวกท่านนมัสการนั้น) ได้สร้างอะไรไว้จากแผ่นดินบ้าง? หรื อ(จงทำให้ฉันเห็น)ว่า พวกเหล่านั้นได้ร่วมกับอัลเลาะฮฺในการสร้างฟากฟ้า? พวกท่านจงนำคัมภีร์สักเล่มหนึ่งก่อนหน้าคัมภีร์อัลกุรอานนี้มาแสดงแก่ฉัน หรือร่องรอยจากความรู้ (ที่คนสมัยก่อน ๆ ได้สร้างทิ้งไว้) หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
5. และใครเล่าที่จะหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ที่วอนนมัสการสิ่งอื่นนอกจากอัลเลาะฮฺซึ่งสิ่งนั้นไม่อาจสนองตอบ (คำขอ) ของเขาได้ตราบถึงวันชาติหน้า และพวกถูกนมัสการนั้นไม่รับรู้ใด ๆ กับคำขอของพวกเขา (เพราะมันเป็นเพียงวัตถุอันไร้ชีวิตจิตใจ)
6. และเมื่อมนุษย์ถูกชุมนุม (เพื่อการสอบสวนในโลกหน้า) พวกที่ถูกกราบไหว้ก็จะเป็นศัตรูกับผู้ที่ทำการกราบไหว้ และพวกมันปฏิเสธสิ้นเชิงในการนมัสการของพวกเขา
7. และเมื่อบรรดาโองการอันแจ้งชัดของเราถูกอ่านแก่พวกเขา บรรดาผู้ปฏิเสธ (อัลกุรอาน) ก็ได้ พูดขึ้นขณะเมื่อสัจธรรมนั้นได้มายังพวกเขาว่า “นี้!เป็นมายากลอันแจ้งชัดที่สุด”


คำแปล R3.
4. (โอ้ นบี) จงบอกพวกเขาเถิดว่า “พวกท่านเคยมองสิ่งที่พวกท่านวิงวอนแทนอัลลอฮฺบ้างไหม? ไหนลองชี้ให้ฉันเห็นซิว่ามันได้สร้างอะไรขึ้นมาบ้างในโลกนี้ หรือว่ามันมีส่วนร่วมอะไรในการสร้างและการควบคุมชั้นฟ้าทั้งหลาย? จงนำเอาคัมภีร์ที่ถูกประทานมาก่อนหน้านี้ หรือจงนำความรู้อะไรบางอย่าง (มาสนับสนุนความเชื่อของพวกท่าน) ถ้าพวกท่านพูดจริง”
5. และใครเล่าที่จะหลงยิ่งไปกว่าคนที่วิงวอนสิ่งอื่นนอกไปจากอัลลอฮฺโดยที่สิ่งเหล่านั้นไม่สามาถตอบรับเขาจนกระทั่งถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ? และพวกมันไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพวกมันกำลังถูกวิงวอน
6. และเมื่อมนุษย์ทั้งมวลถูกรวมเข้าด้วยกัน พวกมันจะเป็นศัตรูกับบรรดาผู้วืงวอนต่อพวกมันและจะปฏิเสธการสักการบูชาของพวกเขา
7. เมื่อใดก็ตามที่อายะฮฺอันชัดแจ้งของเราได้ถูกอ่านให้พวกเขาและสัจธรรมได้มายังพวกเขา บรรดาผู้ปฏิเสธจะกล่าวว่า “นี่เป็นมายากลชัด ๆ”


คำแปล R4.
4. จงกล่าวเถิด มุฮัมมัด พวกท่านไม่เห็นดอกหรือ สิ่งที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺ จงแสดงให้ข้าเห็นซิว่าพวกมันได้สร้างอะไรในแผ่นดินนี้ หรือว่าพวกมันมีส่วนร่วมใน (การสร้าง) ชั้นฟ้าทั้งหลาย จงนำคัมภีร์ก่อนหน้านี้มาให้ข้าดูซิ หรือจงแสดงร่องรอยแห่งความรู้ (ที่เป็นหลักฐานยืนยันในการนี้) หากพวกท่านเป็นผู้ซื่อสัตย์จริง
5. และใครเล่าจะหลงทางมากไปกว่าผู้ที่วิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺที่มันจะไม่ตอบรับ (การวิงวอนของ) เขาจนถึงวันกิยามะฮฺ และพวกมันเฉยเมยต่อการวิงวอนขอของพวกเขา
6. และเมื่อมนุษย์ถูกรวมให้มาชุมนุมกัน พวกมัน (เจว็ด) จะเป็นศัตรูกับพวกเขาและจะเป็นผู้ปฏิเสธการเคารพบูชาของพวกเขา
7. และเมื่ออายาตต่าง ๆ อันชัดแจ้งของเรา ถูกสาธยายแก่พวกเขา บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวเกี่ยวกับสัจธรรม(อัลกุรอาน) ที่ได้มีมายังพวกเขาว่า นี่คือมายากลอย่างชัดแจ้ง


คำแปล R5.
๔. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงประกาศเถิด พวกเจ้าทั้งหลายจงบอกฉันเถิด สิ่งที่พวกเจ้าวอนกราบนมัสการนอกจากอัลเลาะห์อันได้แก่เทวรูปและเจว็ดต่าง ๆ พวกเจ้าจงแสดงให้ฉันได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งเถิดว่ามีอะไรบ้างที่พวกนั้น บรรดาสิ่งที่พวกเจ้ากราบไหว้นั้น ได้สร้างไว้ เป็นต้นว่าแผ่นดิน หรือพวกนั้นมีส่วนร่วมในการสร้างชั้นฟ้ากับอัลเลาะห์  พวกเจ้าก็ไม่อาจทำให้ประจักษ์ชัดได้อย่างแน่นอน พวกเจ้าจงนำมาให้ฉันซิ คัมภีร์สักเล่มหนึ่งเมื่อก่อนหน้าอัลกุรอานนี้ หรือผลงานทางวิชาการที่คัดเลือกมาจากบรรดาศาสดาต่าง ๆ ในยุคโบราณกาล เพื่อจะได้เป็นข้อพิสูจน์ว่า ที่พวกเจ้าอ้างว่า การกราบไหว้บูชารูปเจว็ดนั้นสามารถเป็นสื่อนำพวกเจ้าให้เข้าใกล้ชิดต่ออัลเลาะห์ยิ่งขึ้น ทั้งนี้หากพวกเจ้าเป็นผู้สัจจริง
๕. และมีใครอีกเล่าที่จะหลงผิดยิ่งไปกว่าบุคคลที่วอนนมัสการนอกจากอัลเลาะห์แก่สิ่งที่ไม่สามารถสนองตอบแก่เขาได้ จนถึงวันปรภพ และพวกที่ถูกกราบไหว้เหล่านั้นเฉยเมยต่อคำขอของพวกเขา เพราะมันเป็นเพียงวัตถุที่ไร้ชีวิตจิตใจ เช่น เป็นหินบ้าง มันจึงไม่สามารถจะตอบรับคำขอของใคร ๆ ได้ และไม่ให้คุณให้โทษแก่ผู้ใดทั้งสิ้น
๖. และเมื่อมนุษย์ถูกต้อนให้ไปรวมกัน ณ จุดรวมเดียวกัน บรรดาสิ่งที่ถูกกราบไหว้ตามที่กล่าวมานั้น ก็เป็นศัตรูกับพวกเขาที่ทำการกราบไหว้ และพวกนั้นก็เป็นผู้เนรคุณเพราะการนมัสการของพวกเขา ต่อบรรดาสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว
๗. และเมื่อมีผู้อ่านแก่พวกเขา พวกกาฟิรชาวมักกะห์ซึ่งบรรดาโองการอันแจ้งชัดของเรา บรรดาผู้ปฏิเสธสัจธรรมแห่งอัลกุรอานก็กล่าวขณะเมื่ออัลกุรอานได้มาสู่พวกเขาว่า นี้เป็นวิทยากลอันชัดแจ้ง




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 8 - 9


คำอ่าน
8. อัมยะกูลูนัฟตะรอฮฺ กุลอินิฟตะร็อยตุฮู ฟะลาตัมลิกูนะลี มินัลลอฮิชัยอา ฮุวะอะอฮละมุบิมา ตุฟีฎูนะฟีฮฺ กะฟาบิฮี ชะฮีดัม..บัยนีวะบัยนะกุม วะฮุวัลเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
9. กุลมากุน..ตุม..บิดอัม..มินัรฺรุสุลิ วะมา..อัดรี มายุฟอะลุบี วะลาบิกุม อินอัตตะบิอุ อิลามายุหา..อิลัยยะ วะมา..อะนะอิลลา นะซีรุม..มุบีน


คำแปล R1.
8. Or say they: "He (Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam) has fabricated it." say: "If I have fabricated it, still you have no power to support me against Allah. He knows best of what you say among yourselves concerning it (i.e. this Qur'an)! Sufficient is He for a witness between me and you! And He is the Oft-Forgiving, the Most Merciful."
9. Say (O Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam):"I am not a new thing among the Messengers (of Allah) (i.e. I am not the first Messenger) nor do I know what will be done with me or with you. I only follow that which is revealed to me, and I am but a plain warner."


คำแปล R2.
8. ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังพูดอีกว่า “เขา (มูฮำมัด) ได้เสกสรรมันขึ้นมาเอง” จงประกาศเถิด “หากแม้ฉันได้เสกสรรอัลกุรอานนั้นมาเอง แน่นอนที่สุดฉันย่อมไม่มีอำนาจสิทธิ์ใด ๆ (ที่จะป้องกันตนเองให้พ้นจากการลงโทษของ) อัลเลาะฮฺได้ พระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งนัก ในสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายพูดใส่ไคล้ เพียงพอกับพระองค์แล้วที่ทรงเป็นสักขีพยานระหว่างฉันและพวกท่านและพระองค์ทรงนิรโทษยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง
9. จงประกาศเถิด! “ฉันมิใช่ผู้ริเริ่ม (ที่นำหลักศาสนาอันแตกต่าง) จากบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย (มาประกาศ) และฉันไม่รู้หรอก สิ่งที่ถูกกระทำแก่ฉัน และที่ถูกกระทำแก่พวกท่าน ฉันจะไม่ตามสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากโองการที่ถูกประทานมายังฉันเท่านั้น และฉันมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นเพียงผู้ตักเตือนอันแจ้งชัด


คำแปล R3.
8. พวกเขาต้องการที่จะกล่าวว่ารอซูลแต่งมันขึ้นมาใช่ไหม? จงบอกพวกเขาเถิดว่า “ถ้าหากฉันแต่งมันขึ้นมาเอง พวกท่านก็ไม่สามารถทำสิ่งใดที่จะช่วยเหลือฉันให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮิได้ อัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงสิ่งที่พวกท่านกล่าวออกมา พระองค์นั้นเพียงพอแล้วที่จะเป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
9. จงบอกพวกเขาว่า “ฉันมิใช่รอซูลคนแรก ฉันไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับฉันและกับพวกท่านในวันพรุ่งนี้ ฉันเพียงแต่ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ถูกวะฮียฺมายังฉัน และฉันมิได้เป็นอะไรมากไปกว่าผู้ตักเตือน”


คำแปล R4.
8. หรือพวกเขากล่าวว่า เขา (มุฮัมมัด) ได้ปั้นแต่งอัลกุรอานนั้น จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ถ้าฉันได้ปั้นแต่งอัลกุรอานขึ้นพวกท่านก็ไม่มีอำนาจอันใดที่จะช่วยเหลือฉัน ได้จาก (การลงโทษของ) อัลลอฮฺ พระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกท่านกำลังง่วนอยู่ในเรื่องนี้ พอเพียงแล้วที่พระองค์ทรงเป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
9. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ฉันมิได้เป็นคนแรกในบรรดารอซูล และฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่ฉันและแก่พวกท่าน ฉันมิได้ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากสิ่งที่ถูกวะฮียฺให้แก่ฉัน และฉันมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นผู้ตักเตือนอันชัดแจ้ง


คำแปล R5.
๘. หรือพวกเขาก็กล่าวว่า มุฮำมัด เขาได้กุมันขึ้นมาเอง หาใช่เป็นคัมภีร์จากอัลเลาะห์ไม่ โอ้มุฮำมัด เจ้าจงประกาศเถิดหากข้ากุมันขึ้นมาเอง แท้จริงพวกเจ้าทั้งหลายก็ไม่มีสิทธิในการลงโทษสักสิ่งเดียวจากอัลเลาะห์ เพราะอัลกุรอานนี้เป็นโองการอันเที่ยงแท้จากอัลเลาะห์ ข้าจึงไม่ถูกลงโทษแต่ประการใด พวกเจ้าทั้งหมดนั่นสิที่ต้องถูกลงโทษฐานที่ปฏิเสธกล่าวหาว่ากุรอานเป็นวิทยากลและเป็นสิ่งที่ข้าประพันธ์ขึ้นเอง และข้าก็ไม่อาจช่วยเหลือพวกเจ้าให้พ้นการลงโทษของอัลเลาะห์ได้ พระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งกับสิ่งที่พวกเจ้าทำการวิพากษ์วิจารณ์ในอัลกุรอานนั้น นั่นคือที่พวกเขากล่าวหาอัลกุรอานเป็นวิทยากล หรือเป็นการประพันธ์ของข้าเอง หรือเป็นนิทานปรัมปรา ย่อมเป็นการเพียงพอแล้วโดยอัลเลาะห์ที่ทรงเป็นสักขีพยานระหว่างข้าและระหว่างพวกเจ้า พระองค์ทรงเป็นพยานในสัจจะของข้าและการเผยแพร่ของข้า ส่วนพวกเจ้าพระองค์ก็ทรงเป็นพยานในการเนรคุณ และการคัดค้านที่แสดงออกตลอดเวลา และพระองค์ทรงให้อภัย ทรงเมตตายิ่งแก่บรรดาผู้กระทำผิดแล้วเลิกละความผิดแม้แต่พวกกาฟิรทั้งหลาย เมื่อสำนึกในความหลงผิด แล้วปฏิญาณเข้ารับอิสลาม มีความศรัทธามั่นในอัลเลาะห์ มีความเชื่อถือในนบีมุฮำมัดและอัลกุรอาน รวมทั้งการฟื้นขึ้นจากสุสานในวันปรภพ พวกเขาก็ได้รับการอภัยเพราะเมตตาจากอัลเลาะห์เช่นเดียวกัน
๙. โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงประกาศเถิด ข้านี้หาใช่ว่าจะเป็นบุคคลริเริ่มในการประกาศศาสนาจากบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ความจริงมีศาสนทูตจำนวนมากก่อนหน้าข้า แล้วทำไมพวกเจ้าจึงหาว่าข้าโกหกและข้าไม่รู้หรอกอะไรบ้างที่จะถูกกระทำต่อข้า และไม่รู้อีกเหมือนกันว่าอะไรบ้างที่จะถูกกระทำต่อพวกเจ้าในโลกนี้ ตัวข้าจะถูกขับไล่ออกจากบ้านเมืองหรือถูกฆ่าตายอย่างโหดร้ายทารุณเหมือนศาสนทูตในยุคก่อน ๆ หรือไม่ ข้าก็ยังไม่รู้ ส่วนพวกเจ้าเองจะถูกลงโทษต่าง ๆ เช่น ถูกขว้างหินไฟนรกหรือถูกแผ่นดินถล่มเหมือนที่เคยประสบแก่บรรดาพวกเนรคุณในสมัยก่อน ๆ ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน ข้าจะไม่เจริญรอยตามสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากโองการอัลกุรอานที่ถูกดลแก่ข้า และตัวข้าเองหาใช่อื่นใดไม่ นอกจากเป็นผู้ตักเตือนอันแจ้งชัด แก่พวกที่ไม่ศรัทธาว่าจะถูกลงโทษอย่างสาหัสในนรก




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 10 - 12


คำอ่าน
10. กุลอะเราะอัยตุม อิน..กานะมินอิน..ดิลลาฮิ วะกะฟัรฺตุม..บิฮี วะชะฮิดะชาฮิดุม..มิม..บะนี..อิสรอ..อีละ อะลามิษลิฮี ฟะอามะนะ วัสตักบัรฺตุม อิน..นัลลอฮะ ลายะฮฺดิลก็อวมัซซอลิมีน
11. วะกอลัลละซีนะกะฟะรู ลิลละซีนะอามะนู เลากานะค็อยร็อม..มาษะบะกูนา..อิลัยฮฺ วะอิซลัมยะฮฺตะดูบิฮี ฟะสะยะกูลูนะฮาซา..อิฟกุน..เกาะดีม
12. วะมิน..ก็อบลิฮี กิตาบุมูสา..อิมาเมา..วะเราะหฺมะฮฺ วะฮาซากิตามุม..มุศ็อดดิกุล..ลิสานัน อะเราะบียัลลิยุน..ซิร็อลละซีนะเซาะละมู วะบุชรอลิลมุหฺสินีน


คำแปล R1.
10. Say: "Tell me! if this (Qur'an) is from Allah, and you deny it, and a witness from among the Children of Israel ('Abdullah bin Salam ) testifies that this Qur'an is from Allah [like the Taurat (Torah)], so he believed (embraced Islam) while you are too proud (to believe)." Verily! Allah guides not the people who are Zalimun (polytheists, disbelievers and wrong-doing).
11. And those who disbelieve (strong and wealthy) say of those who believe (weak and poor): "Had it (Islamic Monotheism to which Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam is inviting mankind) been a good thing, they (weak and poor) would not have preceded us thereto!" and when they have not let themselves be guided by it (this Qur'an), they say: "This is an Ancient lie!"
12. And before this was the Scripture of Musa (Moses) as a Guide and a Mercy. And this is a confirming Book (the Qur'an) in the Arabic language, to warn those who do wrong, and as glad tidings to the Muhsinun (good-doers - see V.2:112).


คำแปล R2.
10. จงประกาศเถิด! “พวกท่านจะเห็นเป็นอย่างไร หากว่าอัลกุรอานนี้เป็นสิ่งที่มาจากอัลเลาะฮฺ แต่พวกท่านได้คัดค้านเสีย และมีพยานผู้หนึ่งจากวงศ์วานของอิสรออีลได้เป็นพยาน (ยืนยันในความจริงแท้) ของคัมภีร์ที่เหมือนกับอัลกุรอานนี้ แล้วเขาก็ศรัทธามั่น (ในคัมภีร์อัลกุรอาน) แต่พวกท่านกลับทระนงตน แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำทางแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉลทั้งมวล
11. และบรรดาผู้ไร้ศรัทธาได้กล่าวแก่บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลายว่า “หากสิ่งนั้น (ที่มุฮำมัดนำมาประกาศ) เป็นสิ่งประเสริฐ แน่นอนที่สุด พวกเขา (ชาวมุสลิม) ก็คงไม่ล่วงหน้าพวกเรา (ในการรับสิ่งประเสริฐนั้น)” และเมื่อพวกเขาไม่ได้รับการชี้นำกับสิ่งนั้น แน่นอนพวกเขาก็จะพูดว่า “สิ่งนี้เป็นความมุสาที่มีมานานแล้ว!”
12. และก่อนหน้ากุรอานนั้น มีคัมภีร์ของมูซา (เป็นสิ่งนำ (มวลชน) และเป็นเมตตาธรรม (ของอัลเลาะฮฺที่ทรงประทานแก่ประชาชาติทั้งมวล) และอัลกุรอานนี้เป็นคัมภีร์ที่รับรอง (คัมภีร์ที่มีมาก่อน) เป็นภาษาอาหรับ เพื่อทำการตักเตือนแก่จำพวกที่ทุจริต และเป็นข่าวประเสริฐสำหรับมวลผู้ประพฤติดีทั้งหลาย


คำแปล R3.
1. (โอ้ นบี) จงบอกพวกเขาเถิดว่า “พวกท่านเคยพิจารณาไหมว่าถ้าหากกุรอานมาจากอัลลอฮฺจริงและพวกท่านยังปฏิเสธอีก (จุดจบของพวกท่านจะเป็นเช่นไร)? ทั้ง ๆ ที่เคยพยานคนหนึ่งจากวงศ์วานอิสรออีลได้มายืนยันต่อสิ่งที่คล้ายกันนี้มาแล้ว เขาศรัทธาในขณะที่ท่านแสดงความยะโสโอหัง อัลลอฮฺจะไม่ทรงชี้ทางแก่บรรดาผู้ทำความผิด
2. บรรดาผู้ปฏิเสธได้กล่าวเกี่ยวกับบรรดาผู้ศรัทธาว่า “ถ้าหากมันเป็นสิ่งดีที่จะศรัทธาในคัมภีร์นี้ พวกเขาก็ไม่น่าจะศรัทธาก่อนหน้าเรา” เนื่องจากพวกเขาไม่ได้รับทางนำใด ๆ จากกุรอาน ดังนั้นพวกเขาจะกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องโกหกเก่า ๆ มาตั้งแต่โบราณ”
3. ก่อนหน้านี้ได้มีคัมภีร์ของมูซาเป็นทางนำและความเมตตา และนี่เป็นคัมภีร์ที่ได้ถูกประทานมายืนยันความจริงเป็นภาษาอาหรับเพื่อตักเตือนบรรดาผู้ทำผิดและเพื่อแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้กระทำความดี


คำแปล R4.
10. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด พวกท่านไม่เห็นดอกหรือว่า ถ้าหากอัลกุรอานมาจากอัลลอฮฺและพวกท่านปฏิเสธอัลกุรอานนั้น ทั้ง ๆ ที่มีพยานคนหนึ่งจากวงศ์วานของอิสรออีลเป็นพยานต่อลักษณะเช่นเดียวกัน (คือคัมภีร์อัตเตารอฮฺ) แล้วเขาก็ศรัทธาแต่พวกท่านยังดื้อรั้นหยิ่งยโส แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงชี้แนะทางแก่หมู่ชนผู้อธรรม
11. และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า หากว่าอัลกุรอานนี้มีความดี พวกเขา (ผู้ศรัทธา) ก็จะไม่รุดหน้าไปยังอัลกุรอานก่อนเราเป็นแน่ และโดยที่พวกเขา (พวกปฏิเสธศรัทธา) มิได้รับการชี้แนะทางด้วยอัลกุรอาน ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า นี่คือเรื่องโกหกแต่ดั้งเดิม
12. และก่อนหน้านี้ (อัลกุรอาน) มีคัมภีร์ของมูซาเป็นแบบอย่างและความเมตตา และนี่อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่ยืนยันเป็นภาษาอาหรับเพื่อตักเตือนบรรดาผู้ กระทำความผิด และเป็นข่าวดีสำหรับผู้กระทำความดี


คำแปล R5.
๑๐. โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงประกาศเถิด พวกเจ้าจงบอกข้าเถิด หากว่าอัลกุรอานนั้นเป็นสิ่งที่มาจากอัลเลาะห์ แต่พวกเจ้ากลับปฏิเสธสิ่งนั้นโดยกล่าวหาว่าเป็นวิทยากล หรือบทประพันธ์ของมุฮำมัด และมีพยานผู้หนึ่งคืออับดุลเลาะห์บินสะลาม หรือนบีมูซา ซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากบุตรหลานของอิสรออีล ได้เป็นพยานบนฐานะแห่งกุรอานว่าเป็นสัจธรรมโดยแท้ที่มาจากอัลเลาะห์ แล้วเขาผู้เป็นพยานได้ศรัทธาต่ออัลกุรอาน แต่พวกเจ้าทระนงตน ไม่ยอมรับศรัทธา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สภาพการของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไรบ้าง นอกจากเป็นผู้ฉ้อฉลโดยแท้ เพราะในเชื้อชาติเดียวกันและศาสนาเดิมเดียวกัน ก็มีพยานในการยืนยันแก่อัลกุรอาน ซึ่งในยุคนี้ได้แก่ อับดุลเลาะห์บินสะลาม ส่วนในอดีตก็คือนบีมูซา โดยมีปรากฏข้อยืนยันในคัมภีร์เตารอตอย่างชัดแจ้ง แท้จริงอัลเลาะห์ไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉล เนรคุณ และปฏิเสธศาสนาอันแท้เที่ยง
๑๑. และบรรดาผู้เนรคุณกล่าวกับบรรดาผู้ศรัทธาว่า มาดแม้นสิ่งที่นบีมุฮำมัดนำมาประกาศนั้น เป็นสิ่งดีเยี่ยมจริงแล้วไซร้ พวกเขาฝ่ายมุสลิมก็คงไม่ล่วงหน้าพวกเราต่อการได้รับสิ่งนั้นหรอก เพราะพวกเราเป็นพวกที่มีเกียรติเหนือกว่าพวกเขา มีฐานะดีกว่าพวกเขา ส่วนพวกนั้นเป็นพวกไร้เกียรติ ยากจน พวกที่พูดเช่นนี้ คือ อาหรับตระกูล “บะนูอามิร” “ฆอฏฟาน” และ “อัชยะฮ์” เมื่อทราบว่าอาหรับตระกูล “ยุฮัยนะฮ์” “มุซัยนะฮ์” “อัสลัม” และ “ฆ็อฟฟาร” ได้เข้าเป็นมุสลิม พวกเขาก็กล่าวเช่นนั้นเพื่อห้ามปรามมิให้พวกหลังเข้าเป็นมุสลิม และเมื่อพวกเขาไม่ได้รับการชี้นำกับอัลกุรอาน โดยไม่ยอมศรัทธา พวกเขาก็กล่าวว่า อัลกุรอานนี้เป็นเพียงเรื่องมดเท็จอันเก่าแก่ ที่มุฮำมัดนำมาหลอกลวงผู้คน
๑๒. และก่อนหน้าอัลกุรอานนั้นก็มีคัมภีร์เตารอตของนบีมูซาซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เป็นผู้นำและเป็นความเมตตาจากอัลเลาะห์ที่ทรงประทานแก่บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งปวง และคัมภีร์กุรอานนี้ก็เป็นคัมภีร์ที่รับรองคัมภีร์เตารอตและอื่น ๆ ที่ล่วงหน้ามาแต่ก่อน เป็นภาษาอาหรับ เพื่อเตือนบรรดาผู้ฉ้อฉลทั้งหลายที่เนรคุณและปฏิเสธ พวกนั้นคือพวกมุชริกีน ชาวมักกะห์ที่กราบไหว้เจว็ด เพื่อให้สำนึกถึงโทษที่จะประสบแก่พวกเขาในวันอาคิเราะห์ และอัลกุรอานนั้นเป็นคัมภีร์ที่ยังความปีติแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่าจะต้องได้รับการตอบแทนด้วยสวรรค์อย่างแน่นอน



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 13 - 14


คำอ่าน
13. อิน..นัลละซีนะ กอลูร็อบบุนัลลอฮุ ษุม..มัสตะกอมู ฟะลาค็อวฟุนอะลัยฮิม วะลาฮุมยะหฺซะนูน
14. อุลา...อิกะอัศหาบุลญัน..นะติ คอลิดีนะฟีฮา ญะซา...อัม..บิมากานู ยะอฺมะลูน


คำแปล R1.
13. Verily, those who say: "Our Lord is (only) Allah," and thereafter Istaqamu (i.e. stood firm and straight on the Islamic faith of Monotheism by abstaining from all kinds of sins and evil deeds which Allah has forbidden and by performing all kinds of good deeds which he has ordained), on them shall be no fear, nor shall they grieve.
14. Such shall be the dwellers of Paradise, abiding therein (forever), a reward for what they used to do.


คำแปล R2.
13. แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า “องค์อภิบาลของเราคือ อัลเลาะฮฺ!” หลังจากนั้นพวกเขาก็ยืนหยัด (อยู่บนหลักการอันเที่ยงตรงโดยศรัทธามั่นต่ออัลเลาะฮฺองค์เดียว) แน่นอน ไม่มีความน่าหวาดกลัวใด ๆ สำหรับพวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก (ตลอดไป)
14. พวกเหล่านั้นเป็นชาวสวรรค์ พวกเขาเข้าประจำในนั้น (โดยนิรันดรภาพ) เพื่อเป็นการตอบสนอง (แก่พวกเขา) ตามที่พวกเขาประพฤติไว้


คำแปล R3.
13. แท้จริงบรรดาผู้กล่าวว่า “อัลลอฮฺเท่านั้นคือพระผู้อภิบาลของเรา” แล้วพวกเขาก็ยืนหยัดมั่นคง พวกเขาจะไม่มีสิ่งใดที่ต้องกลัวและพวกเขาจะไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ
14. พวกเหล่านั้นจะได้เข้าสวรรค์ซึ่งพวกเขาจะพำนักอยู่ที่นั่นตลอดกาล เป็นการตอบแทนสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ในโลกนี้


คำแปล R4.
13. แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮฺคือ พระเจ้าของพวกเรา แล้วพวกเขาก็ยืนหยัด (ปฏิบัติ) ตามคำกล่าวนั้น จะไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และพวกเขาก็จะไม่เศร้าสลดใจ
14. ชนเหล่านั้นคือชาวสวนสวรรค์ พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล เป็นการตอบแทนที่พวกเขาได้กระทำไว้


คำแปล R5.
๑๓. แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า พระเจ้าผู้ทรงอภิบาลของเรา คืออัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ยืนหยัด อย่างมั่นคงในการประพฤติตามบัญญัติของพระองค์ แน่นอนความหวาดกลัวจะไม่ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศกแต่ประการใด
๑๔. พวกเหล่านั้นเป็นชาวสวรรค์ ซึ่งจะเข้าอยู่ในนั้นเป็นนิรันดร์ เป็นการตอบแทนเนื่องในสิ่งที่พวกเขาได้เคยปฏิบัติไว้ในอดีตกาล



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 15 - 16


คำอ่าน
15. วะวัศศ็อยนัลอิน..สานะบิวาลิดัยฮิ เอียะหฺสานา หะมะลัตฮุอุม..มุฮู กุรฺเฮา..วะวะเฎาะอัตฮุ กุรฺฮา วะหัมลุฮู วะฟิศอลุฮู ษะลาษูนะชะฮฺรอ หัตตา..อิซาบะละเฆาะอะชุดดะฮู วะบะละเฆาะอัรฺบะอีนะสะนะตัน..กอละร็อบบิเอาเซียะอฺนี..อันอัชกุเราะ เนียะอฺมะตะกัลป์ละตี..อันอัมตะ อะลัยยะ วะอะลาวาลิดัยยะ วะอันอะอฺมะละ ศิลิหัน..ตัรฺฎอฮุ วะอัศเลียะหิลีฟีซุรฺรียะตี อิน..นี ตุบตุอิลัยกะ วะอิน..นีมินัลมุสลิมีน
16. อุลา...อิกัลละซีนะ นะตะก็อบบะละอันฮุมุ อะหฺสะนะมาอะมิลู วะนะตะซาวะญุ อัน..สัยยิอาติฮิม ฟี..อัศหาบิลญัน..นะฮฺ วะอฺดัศศิดกิลละซี กานูยูอะดูน


คำแปล R1.
15. And we have enjoined on man to be dutiful and kind to his parents. His mother bears him with hardship and she brings him forth with hardship, and the bearing of him, and the weaning of him is thirty (30) months, till when he attains full strength and reaches forty years, He says: "My Lord! grant me the power and ability that I may be grateful for your Favour which you have bestowed upon me and upon my parents, and that I may do righteous good deeds, such as please you, and make my off-spring good. Truly, I have turned to you In repentance, and truly, I am one of the Muslims (submitting to your Will)."
16. They are those from whom we shall accept the best of their deeds and overlook their evil deeds. (They shall be) among the dwellers of Paradise, a promise of truth, which they have been promised.


คำแปล R2.
15. และเราสั่งแก่มนุษย์ให้ทำดีแก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองของเขา ซึ่งมารดาของเขาได้ตั้งครรภ์เขามาด้วยความทุกข์ทรมานเป็นที่สุด และได้คลอดเขามาอย่างทุกข์ทรมาน และการตั้งครรภ์เขาจนถึงการหย่านมแก่เขานั้น (ใช้เวลาประมาณถึง) สามสิบเดือน จนกระทั่งเมื่อเขาบรรลุสูวัยฉกรรจ์ และบรรลุสู่วัยอายุสี่สิบปี เขาก็กล่าว (วอนขอต่ออัลเลาะฮฺ) ว่า “โอ้องค์อภิบาล! โปรดดลใจข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้ากตัญญูในความโปรดปรานของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดแก่ข้าพเจ้า และแก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองของข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้าประพฤติแต่สิ่งดีงาม ซึ่งพระองค์ทรงโปรดความประพฤตินั้น และโปรดประทานความดีสำหรับข้าพเจ้า (ให้ซึมซาบ อยู่) ในสายตระกูลของข้าพเจ้า แท้จริงข้าพเจ้าขอสารภาพผิดต่อพระองค์ และแท้จริงข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งในจำนวนผู้ยอมสวามิภักดิ์ในพระองค์
16. พวกเหล่านั้นเป็นพวกที่เราตอบรับความประพฤติอันดีงามของพวกเขา และเราอโหสิให้ในความผิดต่าง ๆ ของพวกเขา (โดยให้พวกเขาอยู่) ในกลุ่มชาวสวรรค์ เป็นสัญญาซึ่งพวกเขาได้เคยถูกสัญญาไว้


คำแปล R3.
15. และเราได้กำชับมนุษย์ให้ปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเขาด้วยดี แม่ของเขาได้อุ้มครรภ์เขาด้วยความเหนื่อยยากและได้คลอดเขาด้วยความเจ็บปวด และการอุ้มครรภ์และการหย่านมของเขากินเวลาสามสิบเดือน จนกระทั่งเมื่อเขาบรรลุถึงวัยหนุ่มและมีอายุสี่สิบปีเขาได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาล ขอพระองค์ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์เพื่อข้าพระองค์จะได้ขอบคุณพระองค์สำหรับความโปรดปรานที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระอง๕และแก่พ่อแม่ของข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์ทำความดีเพื่อเป็นที่พึงพอพระทัยของพระองค์ และทำให้ลูกหลานของข้าพระองค์เป็นคนดี ข้าพระองค์ขออภัยโทษต่อพระองค์และข้าพระองค์เป็นหนึ่งในบรรดาผู้นอบน้อมยอมตนต่อพระองค์ (ในฐานะมุสลิม)
16. คนเหล่านี้คือคนที่เรารับการกระทำที่ดีที่สุดจากพวกเขาและมองข้ามความผิดของพวกเขา พวกเขาจะได้อยู่ในหมู่ชาวสวรรค์ตามสัญญาอันแท้จริงที่ได้ทำไว้กับพวกเขา


คำแปล R4.
15. และเราได้สั่งเสียมนุษย์ให้ทำดี ต่อบิดามารดาของเขา มารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขาด้วยความเหนื่อยยาก และได้คลอดเขาด้วยความเจ็บปวด และการอุ้มครรภ์เขาและการหย่านมของเขาในระยะเวลาสามสิบเดือน จนกระทั่งเมื่อเขาบรรลุวัยฉกรรจ์ของเขาและมีอายุถึงสี่สิบปี เขาจะกล่าววิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของเข้าพระองค์ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์และบิดามารดาของข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์ทำความดีเพื่อให้ความดีเกิดขึ้นในลูกหลานของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ขอลุแก่โทษต่อพระองค์ และแท้จริงข้าพระองค์อยู่ในหมู่ผู้นอบน้อม
16. ชนเหล่านี้คือ บรรดาผู้ที่เรารับรองส่วนที่ดียิ่งจากพวกเขา ซึ่งพวกเขาได้ปฏิบัติไว้ และเราจะละเลยความผิดต่าง ๆของพวกเขาโดยอยู่ร่วมกับชาวสวรรค์ เป็นการสัญญาแห่งความจริงซึ่งพวกเขาได้ปฏิบัติไว้ และเราจะละเลยความผิดต่าง ๆของพวกเขาโดยอยู่ร่วมกับชาวสวรรค์ เป็นการสัญญาแห่งความจริงซึ่งพวกเขาได้ถูกสัญญาไว้


คำแปล R5.
๑๕. และเราได้สั่งมวลมนุษย์ให้ทำดีต่อผู้ให้กำเนิดทั้งสองของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดาของเขาได้อุ้มท้องเขามาอย่างทรมาน และได้คลอดเขาอย่างทรมาน และการตั้งครรภ์และการหย่านมของเขา ใช้ระยะเวลาถึงสามสิบเดือน โดยตั้งครรภ์เก้าเดือน และให้นมอีกยี่สิบเอ็ดเดือนโดยประมาณ จนเมื่อเขาได้บรรลุสู่วัยฉกรรจ์ อายุประมาณ ๓๐ - ๔๐ ปีซึ่งสติปัญญาและร่างกายได้พัฒนาการถึงจุดสมบูรณ์ และบรรลุสู่วัยสี่สิบปี ซึ่งพัฒนาการดังกล่าวถึงจุดสมบูรณ์เต็มที่ เขากล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลโปรดประสิทธิผลแก่ข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าทำการขอบคุณในความโปรดปรานของพระองค์ และทรงโปรดแก่ข้าพเจ้า และแก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองของข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามความดีที่พระองค์ทรงพอพระทัย และโปรดปรับปรุงแก่ข้าพเจ้าในเผ่าพันธุ์ของข้าพเจ้า ให้เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีประวัติอันมีเกียรติ ไม่หมองมัว แท้ที่จริงข้าพเจ้าขอสารภาพโทษต่อพระองค์ และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งจากบรรดาผู้มอบตนต่อพระองค์
กุรฏุบี และคอซิน เล่าว่าโองการนี้ลงมาในเรื่องที่เกี่ยวกับ อาบูบะกัร ซึ่งบิดาของท่านชื่อ “อาบูกุฮาฟะฮ์ อุสมาน บินอำร์” และมารดาชื่อ “ซัลมา บินตุซอคร์บินอำร์ บินกะอับ” แม่ของท่านตั้งครรภ์เก้าเดือน ให้นมยี่สิบเอ็ดเดือน เมื่ออายุสิบแปดปี ก็เป็นเพื่อนกับท่านนบีมุฮำมัดซึ่งขณะนั้นนบีอายุยี่สิบปีไปค้าขายที่เมืองซาม ระหว่างเดินทางได้หยุดพักที่ต้นพุทราใกล้บ้านของนักบุญชาวยิวคนหนึ่ง ซึ่งท่านนบีนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นพุทรานั้น ส่วนอาบูบะกัรได้ขึ้นไปบนบ้านของนักบุญเพื่อซักถามเกี่ยวกับศาสนาของนักบุญผู้นั้น นักบุญถามอาบูบะกัรว่า “ใครกันที่นั่งอยู่ใต้ต้นพุทรานี้?” อาบูบะกัรก็ตอบว่า “เขาชื่อมุฮำมัด บินอับดุลเลาะห์ บินอับดุลมุฏฏอลิบ” นักบุญจึงกล่าวว่า “คนผู้นี้จะได้เป็นศาสดา ขอสาบานเขาเป็นศาสดาอย่างแน่นอน เพราะนับแต่ศาสดาอีซาเรื่อยมาจนบัดนี้ นอกจากศาสดาอีซาแล้วก็ยังไม่มีใครมานั่งใต้ต้นพุทรานี้เลยนอกจากเขาคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น เขาเป็นศาสดาสุดท้ายแน่ ๆ อาบะกัรก็ฝังใจเชื่อมาแต่บัดนั้นว่า ท่านนบีมุฮำมัดเป็นศาสดาแน่ จนเมื่อท่านนบีอายุสี่สิบ อัลเลาะห์ทรงแต่งตั้งท่านเป็นนบี ขณะนั้นอาบูบะกัรอายุสามสิบแปดปี และเมื่ออาบูบะกัรอายุครบสี่สิบ ท่านก็อ่านบทดุอาอุ์นี้ และคำขอทุกอย่างอัลเลาะห์ทรงประทานให้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะการทำความดีของท่านนั้น ท่านสามารถปลดปล่อยทาสเป็นอิสระถึงเก้าคน เพื่อช่วยเหลือให้พ้นจากการทรมานจากการลงโทษของนายเพราะเข้าอิสลาม และวงษ์ตระกูลของท่านก็เป็นมุสลิมทั้งหมดที่นับถือศาสนาอิสลามขณะท่านมีชีวิตอยู่ก็มี บิดา, มารดา ลูกที่ชื่ออับดุรเราะห์มาน และอะบูอะตีก ผู้เป็นลูกของอับดุรเราะห์มาน และบรรดาหลาน ๆ ของท่าน
๑๖. พวกเหล่านั้นเราตอบรับต่อพวกเขาซึ่งคุณความดีของสิ่งที่เขาเคยประพฤติไว้ และเราอโหสิให้บรรดาความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่พวกเขาได้กระทำ พวกเขาได้เข้าอยู่ในกลุ่มชาวสวรรค์ในโลกหน้า เป็นสัญญาแห่งความสัตย์จริง ซึ่งพวกเขาได้ถูกให้สัญญาไว้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 29, 2014, 02:11 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 17 – 18


คำอ่าน
17. วัลละซีนะ กอละลิวาลิดัยฮิ อุฟฟิลละกุมา..อะตะอิดานินี..อันอุคเราะญะ วะก็อดเคาะละติลกุรูนุ มิน..ก็อบลี วะฮุมา ยัสตะฆีษานิลลาฮะ วัยละกะอามิน อิน..นะวะอฺดัลลอฮิ หักกุน..ฟะยะกูลุ มาฮาซา..อิลลา..อะสาฏีรุลเอาวะลีน
18. อุลา...อิกัลละซีนะ หักเกาะอะลัยฮิมุลก็อวลุ ฟี..อุมะมิน..ก็อดเคาะลัต มิน..ก็อบลิฮิม..มินัลญิน..นิ วัลอิน..สิ อิน..นะฮุม กานูคอสิรีน


คำแปล R1.
17. But he who says to his parents: "Fie upon you both! Do you hold out the promise to me that I shall be raised up (again) when generations before me have passed away (without rising)?" while they (father and mother) invoke Allah for help (and rebuke their son): "Woe to you! Believe! Verily, the promise of Allah is true." but he says: "This is nothing but the tales of the ancient."
18. They are those against whom the word (of torment) is justified among the previous generations of jinns and mankind that have passed away. Verily! They are ever the losers.


คำแปล R2.
17. และผู้ที่กล่าวกับผู้ให้กำเนิดทั้งสองของเขาว่า “น่ารำคาญท่านทั้งสองเหลือเกิน! สมควรหรือที่ท่านทั้งสองจะสัญญาแก่ฉันว่าฉันจะออก (มาจากสุสานอีกหลังจากตายไปแล้ว) ทั้ง ๆ ที่บรรดา (ชุมชนใน) ศตวรรษ์ต่าง ๆ ได้ล่วงพ้นมาก่อนแล้วก่อนหน้าฉัน (ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครฟื้นขึ้นมา) ?” ทั้ง ๆ ที่เขาทั้งสอง (ผู้ให้กำเนิดเขานั้น) ขอความอนุเคราะห์ต่ออัลเลาะฮฺ (เพื่อทรงประทานความปลอดภัยแก่บุตรของตน และได้ตักเตือนบุตรด้วยความหวังดีและเป็นห่วงว่า) “จงระวังความหายนะของเจ้า! เจ้าจงศรัทธาเถิด! แท้จริงสัญญาของอัลเลาะฮฺ ย่อมเป็นจริงเสมอ” แต่แล้วเขากลับพูดว่า “สิ่งนี้หาใช่อื่นใดไม่ นอกจากเป็นนิยายปรัมปราของบรรพชนในอดีต”
18. พวกเขาเหล่านั้น เป็นจำพวกที่ปกาสิต (ในการลงโทษ) ของอัลเลาะฮฺต้องประสบจริงแก่พวกเขา (เหมือนเช่นเคยปรากฏมาแล้ว) ในประชาชาติต่าง ๆ ที่ล่วงพ้นมาก่อนหน้าพวกเขา ทั้งพวกญินและมนุษย์ แท้จริงพวกเขาเป็นผู้ประสบความขาดทุนโดยแท้


คำแปล R3.
17. แต่ผู้ที่กล่าวคำหยาบคายแก่พ่อแม่ของเขาว่า “เชอะ! อะไรกันซิ นี่พ่อแม่ขู่ฉันหรือว่าฉันจะถูกนำออกมาจากหลุมฝังศพหลังจากที่ตายไปแล้ว? ทั้ง ๆ ที่คนมากมายหลายรุ่นล่วงลับไปก่อนหน้านั้นแล้ว (และไม่มีใครฟื้นขึ้นมาสักคน) และพ่อแม่ของเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺโดยกล่าวว่า “วิบัติแล้วเจ้า จงศรัทธาเดี๋ยวนี้ สํญญาของอัลลอฮฺนั้นเป็นความจริง” แต่เขากล่าวว่า “นี่มิใช่อะไรนอกจากตำนานเก่าคร่ำคร่า”
18. คนเหล่านี้คือผู้ที่การตัดสินลงโทษได้ถูกกำหนดไว้แล้ว พวกเขาจะได้เข้าไปอยู่ร่วมกับหมู่ญิน และมนุษย์ (ตามประเภทของพวกเขา) ที่ได้ล่วงลับไปก่อนหน้าพวกเขา แท้จริงแล้วพวกเขาคือผู้ขาดทุน


คำแปล R4.
17. และผู้ที่กล่าวแก่บิดามารดาของเขา ว่า อุ๊ฟ แก่ท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองขู่ฉันว่าฉันจะถูกให้ออกมาฟื้นคืนชีพอีกกระนั้นหรือ ? ทั้ง ๆ ที่หลายศตวรรษก่อนหน้าฉันได้ล่วงลับไปแล้ว และเขาทั้งสองร้องขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺ พลางกล่าวแก่ลูกว่า ความหายนะ จงประสบแก่เจ้า จงศรัทธาเถิด แท้จริงสัญญาของอัลลอฮฺนั้นเป็นความจริง แล้วเขาก็พูดว่า เรื่องนี้มิใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นนิยายเหลวไหลสมัยก่อนเท่านั้น
18. ชนเหล่านี้คือ บรรดาผู้ที่พระดำรัส (แห่งการลงโทษ) เป็นที่คู่ควรแก่พวกเขาที่จะเข้าร่วมอยู่กับหมู่ชนต่าง ๆ แห่งพวกญินและมนุษย์ที่ได้ล่วงลับไปก่อนพวกเขา แท้จริงพวกเขาเป็นผู้ขาดทุน


คำแปล R5.
๑๗. และผู้ที่กล่าวแก่ผู้ให้กำเนิดทั้งสองของเขาว่า น่าชังเหลือเกินสำหรับท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองขู่ฉันกระนั้นหรือว่าฉันจะถูกนำตัวออกมาจากสุสานเพื่อทำการลงโทษ เพราะการที่ฉันไม่ยอมศรัทธาในอัลเลาะห์ ทั้ง ๆ ที่มนุษย์ในหลายศตวรรษแล้วที่ล่วงลับไปก่อนหน้าฉันที่ตาย ๆ กันไปก็ยังไม่เคยปรากฏว่าจะมีใครสักคนที่ออกมาจากสุสานดังที่ท่านทั้งสองได้ขู่ฉัน และเขาทั้งสองเพียรขอต่ออัลเลาะห์เพื่อให้พระองค์ดลใจเขาให้กลับมาสู่อิสลาม และทั้งสองได้กล่าวแก่ลูกของตนว่า เจ้าหายนะแน่ ลูกเอ๋ย หากเจ้าไม่ศรัทธา ดังนั้นจงศรัทธาเถิดว่าจะต้องฟื้นขึ้นมาอีกเมื่อถึงปรภพ แท้จริงสัญญาแห่งอัลเลาะห์ย่อมเป็นสัจจะเสมอ แต่แล้วผู้เป็นลูกเขาก็กล่าวแย้งว่า สิ่งนี้มิใช่อื่นใดเลยนอกจากเป็นเรื่องเท็จปรัมปราของบรรพชนเมื่ออดีตที่เล่ากันมาอย่างไร้สาระ อัลกุรอานโองการนี้ได้พรรณนาถึงลูกคนหนึ่งที่เป็นกาฟิร ส่วนพ่อแม่ของเขาเป็นมุสลิม ซึ่งพ่อแม่พยายามที่จะชักชวนลูกให้รับนับถือศาสนาอิสลาม โดยอ้างถึงความน่ากลัวของโทษที่จะอุบัติขึ้นในวันปรภพหลังจากฟื้นขึ้นจากสุสาน แต่ลูกก็หาได้เชื่อถือแต่ประการใดไม่
๑๘. พวกเหล่านั้นเป็นกลุ่มชนซึ่งคำปกาสิตของอัลเลาะห์ที่จะลงโทษพวกนั้นต้องปรากฏเป็นจริงแก่พวกเขาอย่างแน่นอน โดยพวกเขาจะถูกลงโทษในนรกร่วมอยู่ในกลุ่มประชาชนที่ล่วงลับไปแล้วก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งมีทั้งพวกญินและมนุษย์ แท้จริงพวกเขาเป็นผู้ขาดทุนอย่างยิ่ง เพราะทุกคนจะต้องถูกนำตัวเข้ารับโทษทันทีในนรกตลอดกาลนาน




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 19 - 20


คำอ่าน
19. วะลิกุลลิน..ดะเราะญาตุม..มิม..มาอะมิลู วะลิยุวัฟฟิยะฮุม อะอฺมาละฮุม วะฮุมลายุซละมูน
20. วะเยามะยุอฺเราะฎุลละซีนะกะฟะรู อะลัน..นารฺ อัซฮับตุม ฏ็อยยิบาติกุม ฟีหะยาติกุมุดดุนยา วัสตัมตะอฺตุม..บิฮา ฟัลเยามะตุจญเซานะ อะซาบัลฮูนิ บิมากุน..ตุมตัสตักบิรูนะ ฟิลอัรฺฎิบิฆ็อยริลหักกิ วะบิมากุน..ตุม ตัฟสุกูน


คำแปล R1.
19. And for all, there will be degrees according to that which they did, that He (Allah) may recompense them in full for their deeds. And they will not be wronged.
20. On the Day when those who disbelieve (in the Oneness of Allah Islamic Monotheism) will be exposed to the Fire (it will be said): "You received your good things in the life of the world, and you took your pleasure therein. Now this Day you shall be recompensed with a torment of humiliation, because you were arrogant in the land without a right, and because you used to rebel and disobey (Allah).


คำแปล R2.
19. และสำหรับทุก ๆ คนนั้น ย่อมได้ฐานันดรต่าง ๆ (ตอบแทน) ตามผลงานที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ และพระองค์ทรงตอบแทนการงานของพวกเขาอย่างครบถ้วน โดยพวกเขาไม่ถูกฉ้อฉลเลย
20. และ (จงระลึกเถิด) ในวันที่บรรดาพวกไร้ศรัทธาทั้งหลายจะถูกทอดตัวบนไฟนรก (พร้อมกับมีคำสั่งแก่พวกเขาว่า) “พวกเจ้าได้รับเอาสิ่งที่ดีงามต่าง ๆ ของพวกเจ้า ในชีวิตทางโลกของพวกเจ้าไปขนหมดสิ้นแล้ว และพวกเจ้าก็เสพสุขกับชีวิตทางโลก (จนเพียงพอแล้ว) ดังนั้นในวันนี้ พวกเจ้าจะต้งถูกตอบสนองด้วยการลงโทษอันน่าอดสู เพราะเหตุที่พวกเจ้าได้เคยทระนงตนในแผ่นดิน โดยไม่ชอบธรรม และเป็นเพราะพวกเจ้ากระทำการฝ่าฝืน (บทบัญญัติของอัลเลาะฮฺ)


คำแปล R3.
19. และในแต่ละประเภทนี้จะมีลำดับชั้นของตัวเองตามที่พวกเขาได้กระทำไว้ ทั้งนี้เพื่อที่อัลลอฮฺจะได้ทรงตอบแทนพวกเขาอย่างครบถ้วนสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ โดยที่พวกเขาจะไม่ได้รับความอธรรมใด ๆ
20. และเมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธถูกนำมารวมกันหน้าไฟนรก (พวกเขาจะถูกกล่าวว่า) “สูเจ้าได้ใช้ส่วนที่ดี ๆ ของสูเจ้าไปหมดแล้วในชีวิตแห่งโลกนี้ และสูเจ้าได้รับความสุขจากมันอย่างเต็มที่ วันนี้สูเจ้าจะได้รับการลงโทษอย่างอัปยศเป็นการตอบแทนอันเนื่องมาจากความยโสโอหังของสูเจ้าในแผ่นดินโดยไม่มีสิทธิ์ใด ๆ และเนื่องจากการที่สูเจ้าฝ่าฝืน”


คำแปล R4.
19. และสำหรับทุกกลุ่มย่อมมีลำดับชั้นตามที่พวกเขาได้กระทำไว้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาอย่างครบถ้วนตามผลงานของพวกเขา โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรม
20. และวันที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้าไฟนรก (จะมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า) พวกเจ้าได้เอาสิ่งดีงามทั้งหลายของพวกเจ้าในโลกดุนยาไปแล้ว และพวกเจ้าได้มีความสำราญกับมันแล้ว ฉะนั้นวันนี้พวกเจ้าจะได้รับการตอบแทนด้วยการลงโทษอันอัปยศ เนื่องด้วย พวกเจ้าหยิ่งยะโสในแผ่นดินโดยไม่เป็นธรรมและเนื่องด้วยพวกเจ้าฝ่าฝืน


คำแปล R5.
๑๙. และแต่ละคนนั้นย่อมมีฐานันดรอันแตกต่างกันจากสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ ผู้ที่มีศรัทธาย่อมได้รับฐานันดรอันสูงส่งในสวรรค์ และพวกเนรคุรก็ต้องอยู่ในนรกชั้นต่ำสุดเป็นสิ่งตอบแทน และเพื่อพระองค์จะได้ตอบแทนความประพฤติของพวกเขาอย่างครบถ้วนตามขีดขั้นแห่งความประพฤติของพวกเขา ไม่ว่าทำดีหรือชั่วก็ตาม และพวกเขาไม่ถูกอธรรมด้วยการลดกุศลจากการทำดีหรือเพิ่มโทษจากการทำชั่ว
๒๐. และจงระลึกเถิด โอ้มุฮำมัดถึงวันประภพซึ่งบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายถูกเสนอตัวต่อนรก และมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าได้หมดสิ่งดีงามทั้งมวลในชีวิตทางโลกของพวกเจ้า และพวกเจ้าได้เสพสุขกับสิ่งเหล่านั้นจนเพียงพอแล้ว ดังนั้นในวันนี้ทุกคนจึงไม่ได้รับการตอบแทนใด ๆ อีกแล้วเนื่องเพราะสิ่งดีงามทางปัจจัยชีวิตต่าง ๆ พวกเขาได้ทำให้มันหมดไปกับการทำบาป หมดไปกับความสำเริงสำราญ ความสำมะเลเทเมาและคงวามเนรคุณ ความสุขของโลกหน้าพวกเขาจึงหมดสิทธิ นอกจากต้องประสบความทุกข์ทรมานของการลงโทษแทน ยกเว้นบุคคลที่ใช้ปัจจัยต่าง ๆ ให้หมดไปกับการทำดี สนับสนุนแนวทางของอัลเลาะห์ และบริจาคหรืออุทิศเพื่อบำเพ็ญคุณประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม บุคคลเหล่านี้ย่อมได้รับการตอบแทนด้วยความสุขของสวรรค์ ดังนั้นในวันนี้พวกเจ้าทั้งหลาย ผู้เนรคุณที่ใช้ชีวิตกับการทำบาปดังกล่าวนั้นจะต้องได้รับการตอบแทนด้วยโทษอันอัปยศเพราะเหตุที่พวกเจ้าทั้งมวลทรนงตนในแผ่นดินแห่งอัลเลาะห์ โดยปราศจากความจริงอันชอบธรรม เพราะไม่ศรัทธาในอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ และไม่ยึดมั่นว่ากุรอานเป็นโองการของอัลเลาะห์ ไม่เชื่อว่าจะต้องฟื้นขึ้นจากสุสาน และเพราะเหตุที่พวกเขาฝ่าฝืน พระบัญญัติของอัลเลาะห์ด้วยการประกอบความชั่วร้ายเลวทรามต่าง ๆ




ออฟไลน์ خيرالاخوان

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • بيار فوتيه تولڠ جاڠن فوتيه مات
  • Respect: +7
    • ดูรายละเอียด
บัง  ยังไงR1 R2 R3
+ปลื้มข้อความไหน หรือคิดว่าข้อความไหนเป็นประโยชน์แก่ท่านและสาธารณะ กดไลค์ด้วยนะครับ มุมขวาบน+

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อ้างถึง
บัง  ยังไงR1 R2 R3

โปรดดูกระทู้แรกสุดของหัวข้อนี้

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)

สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 21 - 25


คำอ่าน
21. วัซกุรฺอะคออาด อิซอัน..ซะเราะก็อวมะฮู บิลอะหฺกอฟิ วะก็อดเคาะละติน..นุซุรุ มิม..บัยนิยะดัยฮิ วะมินค็อลฟิฮี ..อัลลาตะอฺบุดู..อิลลัลลอฮฺ อิน..นี..อะคอฟุ อะลัยกุม อะซาบะเยามิน อะซีม
22. กอลู..อะญิอ์ตะนา ลิตะอ์ฟิกะนา อันอาลิฮะตินา ฟะอ์ตินาบิมา ตะอิดุนา..อิน..กุน..ตะ มินัศศอดิกีน
23. กอละอิน..นะมัลอิลมุอิน..ดัลลอฮฺ วะอุบัลลิฆุกุม..มาอุรฺสิลตุบิฮี วะลากิน..นี..อะรอกุม ก็อวมัน...ตัจญฮะลูน
24. ฟะลัม..มาเราะเอาฮุ อาร็อม..มุสตักบิละ เอาดิยะติฮิม กอลูฮาซาอาริฎุม..มุมฏิรุนา บัลฮุวะมัสตะอฺญัลตุม..บิฮฺ รีหุน..ฟีฮา อะซาบุนอะลีม
25. ตุดัม..มิรุ กุลละชัยอิม..บิอัมริ ร็อบบิฮา ฟะอัศบะหู ลายุรอ..อิลลามะสากินุฮุม กะซาลิกะ นัจญซิลก็อวมัลมุจญริมีน


คำแปล R1.
21. And remember (Hud) the brother of 'Ad, when he warned his people in Al-Ahqaf (the curved sand-hills in the southern part of Arabian Peninsula). And surely, there have passed away warners before him and after him (saying): "Worship none but Allah; Truly, I fear for you the torment of a mighty Day."
22. They said: "Have you come to turn us away from our Aliha (gods)? Then bring us that with which you threaten us, if you are one of the truthful!"
23. He said: "The knowledge (of the time of its coming) is with Allah only, and I convey to you that wherewith I have been sent, but I see that you are a people given to ignorance!"
24. Then, when they saw it as a dense cloud coming towards their valleys, they said: "This is a cloud bringing us rain!" Nay, but it is that (torment) which you were asking to be hastened! a wind wherein is a painful torment!
25. Destroying everything by the command of its Lord! So they became such that nothing could be seen except their dwellings! Thus do we recompense the people who are Mujrimun (polytheists, disbelievers, sinners, etc.)!


คำแปล R2.
21. และเจ้าจงระลึกถึง (นบีฮู๊ดผู้เป็น) วงศ์ญาติของพวกอ๊าด เมื่อเขาได้ทำการตักเตือนกลุ่มชนของเขาที่ (อาศัยอยู่ในแผ่นดิน) “อัลอะฮฺกอฟ. และได้มีบรรดาศาสดา ผู้ตักเตือนล่วงพ้นมาก่อนหน้าเขา และหลังจากเขา (มาตักเตือนว่า) ท่านทั้งหลายอย่าได้นมัสการสิ่งใด นอกจากอัลเลาะฮฺแท้จริงฉันกลัวการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่จะประสบแก่พวกท่าน”
22. พวกเขากล่าว (โต้นบีฮู๊ด) ว่า “ท่านมาหาพวกเพื่อจะได้หันเหเราจากพระเจ้าของเรากระนั้นหรือ? ท่านจงนำ (การลงโทษ) ที่ท่านสัญญาแก่เราไว้ (ว่าจะประสพแก่เรามาให้ปรากฏสิ) หากท่านเป็นผู้หนึ่งในจำนวนผู้สัตย์จริง
23. นบีฮู๊ดกล่าวตอบพวกเขาว่า “อันที่จริงความรู้ (เกี่ยวกับกำหนดของการลงโทษและอื่นนั้น ๆ) เป็นของอัลเลาะฮฺ และฉันเพียงแต่เผยแพร่สิ่งที่ฉันได้ถูกส่งตัวมา (ให้ทำการเผยแพร่เท่านั้น) แต่ฉันเห็นว่าพวกท่านนั้นเป็นกลุ่มชนที่โง่เขลา (จึงไม่ยอมรับคำประกาศของฉัน)
24. ต่อมาเมื่อพวกนั้นเห็นการลงโทษได้ลงมาเป็นเมฆแผ่กว้าง ซึ่งมุ่งตรงมายังหุบเขา (ที่อยู่) ของพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “นี่เป็นเค้าเมฆที่จะให้ฝนแก่พวกเรา” มิใช่หรอ! ความจริงมันคือการลงโทษที่พวกเจ้าของเร่งให้มันอุบัติขึ้นเร็ว ๆ ต่างหาก มันคือลมซึ่งในนั้น คือการลงโทษอันทรมานยิ่ง
25. มันเป็นลมที่จะทำลายทุก ๆ สิ่งให้วอดวาย โดยพระบัญชาแห่งองค์อภิบาลของมัน แล้วพวกเขาก็มีสภาพ (ถูกทำลายล้างจน) มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากบ้านเรือนของพวกเขาเท่านั้น เช่นนั้น! เราตอบแทนแก่กลุ่มชนที่ทำบาป


คำแปล R3.
21. และจงบอกกล่าวให้เขาได้รู้ถึงเรื่องราวพี่น้องคนหนึ่งของพวกอ๊าด (นั่นคือฮูด) เมื่อเขาได้เตือนผู้คนของเขาที่อัลอะฮฺกอฟ และผู้ตักเตือนเช่นนั้นก็ได้มีมาก่อนและหลังจากเขาโดยกล่าวว่า “พวกท่านจงอย่าเคารพสักการะสิ่งใดอื่นนอกไปจากอัลลอฮฺ เพราะฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่”
22. พวกเขากล่าวว่า “ท่านมาหาเราเพื่อให้เราหันห่างออกจากพระเจ้าทั้งหลายของเรากระนั้นหรือ? เอาละ ถ้าเช่นนั้นจงนำการลงโทษที่ท่านขู่ไว้มาซิถ้าท่านพูดจริง”
23. เขากล่าวว่า “ความรู้เรื่องนี้อยู่ที่อัลลอฮฺ ฉันเพียงแต่บอกพวกท่านตามที่ฉันได้ถูกส่งมา แต่ฉันเห็นว่าพวกท่านเป็นหมู่ชนที่งมงาย”
24. ครั้นเมื่อพวกเขาเห็นเมฆดำเคลื่อนมายังหุบเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “นี่คือเมฆที่กำลังจะนำฝนมาให้เรา” เปล่าเลย แต่นี่เป็นสิ่งที่สูเจ้าเร่งเร้าที่จะให้เกิดต่างหาก นี่คือลมพายุที่กำลังนำการลงโทษอันเจ็บปวดมา
25. มันจะทำลายทุกสิ่งตามคำบัญชาของพระผู้อภิบาลของมัน หลังจากนั้นก็จะไม่มีอะไรหลงเหลือให้เห็นนอกไปจากสถานที่พักอันว่างเปล่าของพวกเขา นั่นแหละที่เราตอบแทนผู้ทำความผิด


คำแปล R4.
21. จงรำลึกถึง (ฮูด) พี่น้องคนหนึ่งของพวกอ๊าด ขณะที่เขากล่าวเตือนหมู่ชนของเขาที่เนินเขาอัลอะฮิก๊อฟ และแน่นอน บรรดาผู้ตักเตือน (ร่อซูล) ก่อนหน้าเขาและภายหลังเขา (ได้กล่าวตักเตือนว่า) พวกท่านอย่าเคารพอิบาดะฮฺผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษแห่งวันอันยิ่งใหญ่
22. พวกเขากล่าวว่า ท่านมาหาพวกเราเพื่อจะหันห่างพวกเรา จากการเคารพสักการะพระเจ้าทั้งหลายของเรากระนั้นหรือ ? ดังนั้นจงนำ (การลงโทษ) ตามที่ท่านได้สัญญากับเราไว้ หากท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริง
23. เขา (ฮูด) กล่าวว่า แท้จริงความรู้ (เรื่องการลงโทษ) นั้นอยู่ที่อัลลอฮฺ และฉันขอประกาศแก่พวกท่านตามที่ฉันได้ถูกส่งมาเพื่อการนี้ แต่ฉันเห็นว่าพวกท่านเป็นหมู่ชนผู้งมงาย
24. ครั้นเมื่อพวกเขาเห็นเมฆทึบเคลื่อนมายังที่ราบลุ่มในหมู่บ้านของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า นี่คือเมฆที่จะให้น้ำฝนแก่เรา เปล่าเลยมันคือสิ่งที่พวกเจ้าเร่งขอให้เกิด มันคือลมพายุ ในนั้นมีการลงโทษอันเจ็บปวด
25. มันจะทำลายทุกสิ่งตามพระบัญชาของพระเจ้าของมันแล้วพวกเขาก็กลายเป็นไม่มี อะไรให้แลเห็นนอกจากบ้านพักอาศัยของพวกเขาเท่านั้น เช่นนี้แหละเราจะตอบแทนหมู่ชนผู้กระทำผิด


คำแปล R5.
๒๑. และเจ้าจงระลึกเถิด โอ้มุฮำมัดถึงนบีฮูด ผู้เป็นพี่น้องแห่งประชาชาติอ๊าด เมื่อเขาได้ประกาศเตือนพวกพ้องของเขาขณะที่พวกนั้นอยู่ที่ทุ่งอัลอะห์ก็อฟอันเป็นสถานที่หนึ่งในเมืองยะมัน และความจริงบรรดาศาสนทูตผู้ตักเตือนได้ผ่านพ้นไปก่อนหน้าเขาและหลังจากเขาเป็นจำนวนมาก โดยเขาประกาศแก่พวกของเขาว่า พวกท่านอย่านมัสการผู้ใดทั้งสิ้นนอกจากอัลเลาะห์ เพราะแท้จริงฉันกลัวว่าพวกท่านจะประสบการลงโทษในวันปรภพอันยิ่งใหญ่ หากพวกท่านนมัสการสิ่งอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์
๒๒. พวกเขากล่าวโต้แย้งนบีฮู๊ดว่า นี่ท่านมาหาพวกเราเพื่อจะบ่ายเบนพวกเราออกจากพระเจ้าต่าง ๆ ของพวกเรากระนั้นหรือ ดังนั้นท่านจงนำมาให้เราได้เห็นประจักษ์ชัด ซึ่งสิ่งที่ท่านได้สัญญาคาดโทษไว้แก่เราว่าจะประสบสิ่งนั้นหากพวกเราไม่ศรัทธา ข้อสัญญาคาดโทษนั้นก็คือการต้องรับโทษจากอัลเลาะห์ เนื่องเพราะการนมัสการสิ่งอื่น ๆ หากท่านเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้มีความจริงในคำประกาศ
๒๓. นบีฮู๊ดเขากล่าวว่า อันที่จริงความรู้เกี่ยวกับการลงโทษดังกล่าวไว้นั้นอยู่ที่อัลเลาะห์ สุดแต่พระองค์จะทรงกำหนดลักษณะและระยะเวลาในการลงโทษดังกล่าว และตัวฉันนี้มีหน้าที่เพียงทำการเผยแพร่สิ่งที่ฉันถูกสื่อให้เท่านั้นเอง และแต่ทว่าฉันเห็นพวกท่านเป็นกลุ่มที่โฉดเขลาดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่ง คงไม่นานหรอกพวกท่านจะต้องถูกลงโทษแน่ ๆ
๒๔. ต่อมาเมื่อพวกเขาเห็นโทษนั้นเป็นก้อนเมฆทมึนกำลังมุ่งมายังทุ่งที่อยู่ของพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่านี้เป็นก้อนเมฆที่จะหลั่งน้ำฝนแก่เรา แต่ความเป็นจริงมันนั้นคือโทษที่พวกเจ้าเร่งเร้านั่นเอง หาใช่ก้อนเมฆที่จะให้ฝนธรรมดาไม่ มันเป็นลมที่มีโทษอันทรมานอยู่ในนั้น
๒๕. มันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้วินาศย่อยยับโดยคำบัญชาแห่งพระผู้อภิบาลของมัน จากนั้นลมพายุดังกล่าวก็กระหน่ำพวกเขา ทำลายชีวิตของทุกคนไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงหรือเด็ก ๆ ก็ตาม มันหอบเอาตัวคนขึ้นไปบนอากาศและเนื้อตัวของพวกเขาก็ถูกแรงหมุนของลมฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตายหมดเหลืออยู่เพียงนบีฮู๊ดกับฝ่ายศรัทธาชนจำนวนสี่พันคนเท่านั้น ดังนั้นสภาพของพวกเขาจึงกลับกลายจากที่อยู่กันเป็นหมู่ชนอันหนาแน่นมาอยู่ในสภาพซึ่งมองไม่เห็นอะไรเลยเมื่อผ่านเมืองของพวกเขานอกจากที่อยู่อาศัยของพวกเขาเท่านั้นซึ่งกลายไปเป็นเมืองร้างไปโดยฉับพลันเพราะการลงโทษดังกล่าว เช่นนี้แหละที่เราจะตอบแทนกลุ่มทรชนทั้งหลาย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 26 - 28


คำอ่าน
26.   วะละก็อดมักกัน..นาฮุม ฟีมา..อิม..มักัน..นากุม ฟีฮิ วะญะอัลนาละฮุม สัมเอา..วะอับศอร็อว..วะอัฟอิดะฮฺ ฟะมา..อัฆนาอันฮุม สัมอุฮุม วะลา..อับศอรุฮุม วะลา..อัฟอิดะตุฮุม..มิน..ชัยอิน อิซกานูยัจญหะดูนะ บิอายาติลลาฮิ วะหาเกาะบิฮิม..มากานูบิฮี ยัสตะฮฺซิอูน
27.   วะละก็อดอะฮฺลักนา มาเหาละกุม..มินัลกุรอ วะศ็อรฺร็อฟนัลอายาติ ละอัละฮุมยัรฺญิอูน
28.   ฟะเลาลานะเศาะเราะ ฮุมุลละซีนัตตะเคาะซู มิน..ดูนิลลาฮิ กุรฺบานัน อาลิฮะฮฺ บัลฎ็อลลูอันฮุม วะซาลิกะอิฟกุฮุม วะมากานูยัฟตะรูน


คำแปล R1.
26. And indeed we had firmly established them with that wherewith we have not established you (O Quraish)! and we had assigned them the (faculties of) hearing (ears), seeing (eyes), and hearts, but their hearing (ears),s (eyes), and their hearts availed them nothing since they used to deny the Ayat (Allah's Prophets and their Prophethood, proofs, evidences, verses, signs, revelations, etc.) of Allah, and they were completely encircled by that which they used to mock at!
27. And indeed we have destroyed towns (populations) round about you, and we have (repeatedly) shown (them) the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) in various ways that they might return (to the truth and believe in the Oneness of Allah - Islamic Monotheism).
28. Then why did those whom they had taken for Aliha (gods) besides Allah, as a way of approach (to Allah) not help them? Nay, but they vanished completely from them (when there came the torment). And that was their lie, and their inventions which they had been inventing (before their destruction).


คำแปล R2.
26. ขอยืนยัน! แท้จริงเราได้ให้ถิ่นฐานแก่พวกเขาอย่างมั่นคง (โดยมีอำนาจและความเจริญก้าวหน้า) ในระดับซึ่งเราไม่เคยให้ความมั่นคงแก่พวกเจ้ามาก่อนเลย และเราได้ดลบันดาลแก่พวกเขาให้มีหู มีตา และมีจิตใจ แต่แล้วหูของพวกเขา ตาของพวกเขา และจิตใจของพวกเขาก็ไม่สามารถป้องกันพวกเขาไว้ได้จากสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้ปฏิเสธโองการต่าง ๆ ของอัลเลาะฮฺ และ (การลงโทษ) ที่พวกเขาเคยนำมาเย้ยหยันนั้น ก็ได้อุบัติแก่พวกเขา
27. ขอยืนยัน! แท้จริงเราได้ทำลายล้างบรรดาเมืองต่าง ๆ ที่รายรอบ (เมืองของ) พวกเจ้า และเราได้แจกแจงบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อพวกเขาจะได้กลับคืน (สู่อัลเลาะฮฺด้วยการสารภาพผิด)
28. แล้วไฉนเล่า บรรดาพวกที่ยึดสิ่งอื่นนอกจากอัลเลาะฮฺขึ้นเป็นพระเจ้าที่ (พวกเขาคิดว่าจะ) นำเข้าใกล้ชิด (ต่ออัลเลาะฮฺ) จึงไม่ช่วยเหลือพวกเขา? แต่บรรดาสิ่งเหล่านั้นได้ลับหายไปจากพวกเขา และนั่นเป็นความมุสาของพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาได้เสกสรรไว้ (แล้วยึดถือเป็นหลักการของพวกเขา)


คำแปล R3.
26. เราได้ให้พวกเขาในสิ่งที่เราไม่เคยให้สูเจ้ามาก่อน เราได้ให้หูและตาและหัวใจแก่พวกเขา แต่หูและตาและหัวใจของพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่พวกเขา เพราะพวกเขาปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺและสิ่งที่พวกเขาหัวเราะเยาะนั้นก็ล้อมรอบพวกเขาไว้
27. เราได้ทำลายถิ่นที่อาศัยมากมายหลายแห่งรอบ ๆ สูเจ้าไปแล้ว และเราได้ส่งอายะฮฺต่าง ๆ ของเราไปยังพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าในลักษณะต่าง ๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้ยับยั้งจากการทำผิด
28. แล้วทำไมสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขายึดถือเป็นพระเจ้าแทนอัลลอฮฺและถือว่ามันเป็นสื่อที่จะทำให้ใกล้ชิดกับพระองค์จึงไม่ช่วยพวกเขาเลย? ไม่เลยสิ่งเหล่านั้นได้หายไปจากพวกเขา และนี่คือจุดจบของการกล่าวเท็จที่พวกเขาสร้างขึ้น


คำแปล R4.
26. และแน่นอน เราได้ตั้งหลักแหล่งที่มั่นคงแก่พวกเขา โดยที่เรามิได้ตั้งหลักแหล่งที่มั่นคงแก่พวกเจ้าในนั้น และเราได้ทำให้พวกเขามีหู มีตา และมีหัวใจ แต่ว่าหูของพวกเขา ตาของพวกเขา และหัวใจของพวกเขามิได้อำนวยประโยชน์อันใดแก่พวกเขา โดยที่พวกเขาปฏิเสธสัญญาณต่าง ๆ ของอัลลอฮฺ และสิ่งที่พวกเขาได้เคยเยาะเย้ยไว้นั้นก็ห้อมล้อมพวกเขา
27. และโดยแน่นอน เราได้ทำลายหมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ พวกเจ้า และเราได้แจกแจงสัญญาณต่าง ๆ หลายต่อหลายครั้ง หวังว่าพวกเขาจะกลับมาสำนึกผิด
28. ทำไมบรรดาที่พวกเขายึดถือมันเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺเพื่อความใกล้ชิด (กับอัลลอฮฺ) จึงไม่ช่วยเหลือพวกเขาเล่า? แต่พวกมันได้หายสาบสูญไปจากพวกเขา และนั่นคือ การกล่าวเท็จของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขากุขึ้น


คำแปล R5.
๒๖. ขอสาบานแท้จริงเราได้ให้พวกเขาชาวอ๊าดเหล่านั้นสถิตสถาพรในอำนาจบารมีและทรัพย์สินอันยิ่งใหญ่มหาศาล สิ่งซึ่งเรามิได้สถิตสถาพรแก่พวกเจ้าในอุปมาเดียวกันเลย แม้กระนั้นพวกอ๊าดก็ยังประสบความวิบัติถูกลงโทษดังกล่าวแล้วเพราะพวกเขาไม่ยอมศรัทธาในนบีฮู๊ด ดังนั้นสำหรับพวกเจ้าซึ่งเป็นชาวมักกะห์ในปัจจุบันและไม่มีอำนาจบารมีทรัพย์สินยิ่งใหญ่เหมือนกับพวกอ๊าด ก็จะต้องถูกลงโทษด้วยเช่นเดียวกันหากไม่ยอมศรัทธาในนบีมุฮำมัด และเราได้บันดาลแก่พวกอ๊าดเหล่านั้นซึ่งประสาทหูและดวงตาและสติปัญญา เพื่อจะได้ช่วยไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ประชาชาติในสมัยก่อนพวกเขา นั่นคือประชาชาติของนบีนูห์ซึ่งถูกลงโทษด้วยมหาอุทกภัยเพราะไม่ศรัทธาในนบีนูห์ แต่แล้วพวกเขาก็ไม่ไตร่ตรอง ดังนั้นจึงต้องประสบการลงโทษเช่นเดียวกับประชาชาตินบีนูห์เหมือนกัน แท้จริงมิได้ป้องกันพวกเขาไว้จากการลงโทษของอัลเลาะห์ในวันปรภพโดยหูตาและสติปัญญาของพวกเขาสักประการเดียว เพราะพวกเขาได้ปฏิเสธในบรรดาสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์ที่ให้ปรากฏแก่นบีมุฮำมัดเพื่อเป็นหลักฐานว่านบีมุฮำมัดเป็นนบีจริง และได้อุบัติแก่พวกเขาการลงโทษอันทรมานโดยพฤติกรรมที่พวกเขาได้เคยนำมาเย้ยหยันแก่นบีมูฮำมัด
๒๗. ขอสาบานแท้จริงเราได้ทำลายบรรดาเมืองต่าง ๆ ที่อยู่รอบเมืองมักกะห์ขงพวกเจ้า เช่น ชาวสะมู๊ด, ชาวอ๊าด และชาวลูฏ เป็นต้น และเราได้ซ้ำสัญลักษณ์ต่าง ๆ ให้ปรากฏขึ้นหลายครั้งในแต่ละยุคแต่ละสมัย เพื่อพวกเขาจะได้คืนกลับจากความเนรคุณมาสู่ความศรัทธา
๒๘. แท้จริงเป็นเพราะเหตุใดเล่าบรรดาสิ่งกราบไหว้บูชาต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ยึดถือมาเป็นสรณะ อีกทั้งเป็นพระเจ้านอกเหนือจากอัลเลาะห์จึงไม่ช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลเลาะห์ แต่พวกนั้นได้หายหน้าไปจากพวกเขาในวันปรภพ ยามเมื่อมีอุบัติการณ์ลงโทษ จะค้นหาเท่าใดก็ไม่พบ และสิ่งนั้นเป็นความมดเท็จของพวกเขาและเป็นสิ่งที่พวกเขาได้เสกสรรขึ้นมาเอง




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 29 - 32


คำอ่าน
29. วะอิซเศาะร็อฟนา..อิลัยกะ นะฟะร็อม..มินัลญิน..นิ ยัสตะมิอูนัลกุรฺอาน ฟะลัม..มาหะเฎาะรูฮุ กอลู..อัน..ศิตู ฟะลัม..มากุฎิยะ วัลเลาอิลา ก็อวมิฮิม..มุน..ซิรีน
30. กอลู ยาก็อวมะตา..อิน..นาสะมิอฺนากิจาบัน อุน..ซิละ มิม..บะอฺดิมูสา มุศ็อดดิก็อลลิมาบัยนะยะดัยฮิ ยะฮฺดี..อิลัลหักกิ วะอิลาเฏาะรีกิม..มุสตะกีม
31. ยาก็อวมะนา..อะญีบูดาอิยัลลอฮิ วะอามินูบิฮี ยัฆฟิรฺละกุม..มิน..ซุนูบิกุม วะยุญิรฺกุม..มินอะซาบินอะลีม
32. วะมัลลายุญิบ ดาอิยัลลอฮิ ฟะลัยสะ บิมุอฺญิซิน..ฟิลอัรฺฎิ วะละยสะละฮู มิน..ดูนิฮี..เอาลิยา..อ์ อุลา...อิกะฟีเฎาะลาลิม..มุบีน


คำแปล R1.
29. And (remember) when we sent towards you (Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam) Nafran (three to ten persons) of the jinns, (quietly) listening to the Qur'an, when they stood in the presence thereof, they said: "Listen in silence!" and when it was finished, they returned to their people, as warners.
30. They said: "O our people! Verily! We have heard a Book (this Qur'an) sent down after Musa (Moses), confirming what came before it, it guides to the Truth and to a Straight Path (i.e. Islam).
31. O our people! Respond (with obedience) to Allah's Caller (i.e. Allah's Messenger Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam), and believe in him (i.e. believe in that which Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam has brought from Allah and follow him). He (Allah) will forgive you of your sins, and will save you from a painful torment (i.e. Hell-fire).
32. And whosoever does not respond to Allah's caller, he cannot escape on earth, and there will be no Auliya' (protectors) for him besides Allah (from Allah's punishment). Those are in manifest error.


คำแปล R2.
29. และเมื่อเราได้ดลให้ญินกลุ่มหนึ่งมุ่งมาหาเจ้า เพื่อรับฟังอัลกุรอาน ครั้นเมื่อพวกนั้นได้มาถึง พวกเขาก็กล่าว (แก่กันและกัน) ว่า “พวกท่านจงสงบเถิด!” ครั้นเมื่อการอ่านกุรอานได้สุดสิ้นแล้ว พวกเขาก็กลับไปสู่พวกพ้องของพวกเขา เพื่อทำการตักเตือน (ต่อไป)
30. พวกเขากล่าว (แก่พวกพ้องที่ไม่ได้ไปฟัง) ว่า “โอ้พวกพ้องของเรา แท้จริงเราได้ยินคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาภายหลังจากมูซาแล้ว เป็นคัมภีร์ที่รับรองคัมภีร์ที่มาก่อนหน้า อีกที้งเป็นคัมภีร์ที่ชี้นำสู่สัจธรรมและสู่แนวทางอันเที่ยงตรง
31. “โอ้พวกพ้องของเรา! ท่านทั้งหลายจงตอบรับ (การประกาศของ) ผู้ประกาศแห่งอัลเลาะฮฺ และจงศรัทธาต่อเขาเถิด! แน่นอนพระองค์ย่อมนิรโทษแก่พวกท่าน และทรงคุ้มกันพวกท่านให้พ้นจากการลงโทษอันทรมานยิ่ง”
32. และผู้ใดที่ไม่ตอบรับ (การประกาศของ) ผู้ประกาศแห่งอัลเลาะฮฺ แน่นอนเขาไม่อาจเอาชนะ (อัลเลาะฮฺด้วยการหลบหนีการลงโทษของพระองค์) ในแผ่นดินได้เลย และสำหรับเขา ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองคนใดอีกแล้วนอกเหนือจากพระองค์ พวกเหล่านั้นตกอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง


คำแปล R3.
29. และจงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเราได้นำญินกลุ่มหนึ่งมายังเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้ฟังกุรอาน เมื่อพวกเขามาถึงที่นั่น (ที่เจ้ากำลังอ่านกุรอาน) พวกเขาก็กล่าวว่า “พวกเจ้าจงนิ่งฟัง” เมื่อการอ่านสิ้นสุดลง พวกเขาก็กลับไปยังผู้คนของพวกเขาเพื่อทำหน้าที่ตักเตือน
30. พวกเขากล่าวแก่พวกเขาว่า “หมู่ชนของเราเอ๋ย เราเพิ่งได้ฟังคัมภีร์ที่ได้ถูกส่งมาหลังจากมูซา มันยืนยันสิ่งที่ได้ถูกส่งมาก่อนหน้านี้ และมันนำทางไปสู่สัจธรรมและแนวทางที่เที่ยงตรง
31. หมู่ชนของเราเอ๋ย จงตอบรับการเชิญชวนของผู้เรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺเถิด และจงศรัทธาต่อเขา อัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษความผิดให้พวกท่าน และจะทรงให้พวกท่านรอดพ้นจากการลงโทษอันเจ็บปวด
32. และผู้ใดที่ไม่ตอบรับการเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺ ก็จะไม่มีอำนาจใดในแผ่นดินช่วยให้เขารอดพ้นไปจากอัลลอฮฺ และจะไม่มีผู้คุ้มครองใด ๆ ที่จะช่วยเขาให้พ้นไปจากพระองค์ได้ คนเหล่านี้แหละคือผู้อยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง


คำแปล R4.
29. และจงรำลึกเมื่อเราได้ให้ญินจำนวนหนึ่งมุ่งไปยังเจ้า เพื่อฟังอัลกุรอาน ครั้นเมื่อพวกเขามาปรากฏตัวต่อหน้าอัลกุรอาน พวกเขากล่าวว่า จงนิ่งฟังซิ เมื่อ (การอ่าน) จบลงแล้ว พวกเขาก็หันกลับไปยังหมู่ชนของพวกเขาเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ตักเตือน
30. พวกเขากล่าวว่า โอ้หมู่ชนของเราเอ๋ย แท้จริงเราได้ฟังคัมภีร์ (อัลกุรอาน) ถูกประทานลงมาหลังจากมูซา เป็นการยืนยันในสิ่งที่ได้มีมาก่อนอัลกุรอาน เพื่อชี้แนะทางไปสู่สัจธรรม และแนวทางที่เที่ยงตรง
31. โอ้หมู่ชนของเราเอ๋ย จงตอบรับต่อผู้เรียกร้องของอัลลอฮฺเถิด และจงศรัทธาต่อเขา พระองค์จะทรงอภัยโทษจากความผิดของพวกท่านให้แก่พวกท่าน และจะทรงให้พวกท่านรอดพ้นจากการลงโทษอันเจ็บปวด
32. และผู้ใดที่ไม่ตอบรับผู้เรียกร้องของอัลลอฮฺ เขาจะไม่รอดพ้น (จากการลงโทษ) ในแผ่นดินนี้ และสำหรับเขาจะไม่มีผู้คุ้มครองอื่นจากพระองค์ ชนเหล่านี้อยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง


คำแปล R5.
๒๙. และโอ้มุฮำมัดจงระลึกเถิด เมื่อเราได้ผันผายพวกญินกลุ่มหนึ่งมายังเจ้า ญินกลุ่มนั้นอยู่ที่ตำบลนะซีบีน ณ เมืองยะมันมีจำนวน ๗ - ๙ คน ซึ่งญินเหล่านี้ได้ยินอัลกุรอานในสถานที่หนึ่งชื่อ “บัตนินัคละฮ์” ขณะที่ท่านนบีเดินทางกลับจาก “ฏออิฟ” เพื่อเผยแพร่ต่อพวก “สะกีฟ” เป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่พวกนั้นไม่ยอมศรัทธาสักคนเดียว เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในเดือนเซาวาล  ปีที่สิบ จากเป็นนบี ภายหลังจากอะบีฏอลิบและคอดียะห์ได้เสียชีวิตไปแล้วสามเดือน การเผยแพร่ครั้งนั้นมี “ซัยด์บินฮาริษะฮ์” ร่วมไปด้วย เมื่อเดินทางมาถึงสถานที่ดังกล่าวในตอนต้น ท่านนบีกับคณะก็ทำการละหมาดซุบฮ์ และอ่านกุรอานในละหมาดเสียงดังด้วยซูเราะฮ์ “อิกเราะอ์ หรือ อัรเราะห์มาน และหรืออัลญิน” พวกญินก็ชุมนุมฟังกัน ต่อมาเมื่อพวกญินเหล่านั้นได้มายังเขา (นบีมุฮำมัด) พวกเขาก็กล่าวกันในหมู่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงสงบเพื่อฟังเสียงที่ได้ยินนี้ว่าเป็นเสียงอะไร ครั้นเมื่อการอ่านได้เสร็จสิ้นลงพวกเขาก็หันกลับไปหาชาวคณะของพวกเขาเพื่อทำการตักเตือนชาวคณะดังกล่าวให้ศรัทธาต่ออัลกุรอานที่พวกตนไปได้ยินมาด้วยตนเอง และพวกนี้เดิมนับถือศาสนายะฮูดแล้วหลังจากนั้นก็เข้ารับอิสลาม
๓๐. พวกเขาได้กล่าวกับชาวคณะเหล่านั้นว่า โอ้ชาวคณะแห่งเรา แท้จริงเราได้ยินคัมภีร์หนึ่งที่ถูกให้ลงมาภายหลังจากมูซา เป็นคัมภีร์ที่รับรองแก่คัมภีร์ที่มีมาก่อนนั้น เช่น คัมภีร์เตารอตเป็นต้น เป็นคัมภีร์ที่ชี้นำไปสู่สัจธรรมและไปสู่แนวทางอันเที่ยงตรง
๓๑. โอ้ชาวคณะของเรา พวกท่านจงตอบรับผู้ประกาศของอัลเลาะห์และจงศรัทธาในตัวเขาเถิด แล้วพระองค์จะทรงให้อภัยแก่พวกท่านซึ่งมวลบาปของพวกท่านที่ได้เคยประพฤติไว้ และพระองค์ทรงปกป้องพวกท่านจากการลงโทษอันทรมานยิ่ง
๓๒. และผู้ใดไม่ตอบรับผู้ประกาศแห่งอัลเลาะห์ แน่นอนเขาย่อมมิใช่ผู้พิชิตในแผ่นดินของอัลเลาะห์ที่จะเอาชนะพระองค์ได้ เขาสามารถหลีกหนีการลงโทษของพระองค์อย่างแน่นอน และเขาไม่มีนอกเหนือจากพระองค์ที่จะเป็นผู้คุ้มครองให้การช่วยเหลือแก่เขาได้ พวกเหล่านั้นอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะหฺกอฟ อายะฮฺที่ 33 - 35


คำอ่าน
33. อะวะลัมยะร็อวอัน..นัลลอฮัลละซี เคาะละก็อสสะมาวาติ วัลอัรฺเฎาะ วะลัม ยะอฺยะ บิค็อลกิฮิน..นะ บิกอดิริน อะลา..อัย..ยุหฺยิยัลเมาตา บะลา..อิน..นะฮู อะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ
34. วะเยามะยุอฺเราะฎุลละซีนะกะฟะรู อะลัน..นารฺ ฮาซาบิลหักกฺ กอลูบะลา วะร็อบบินา กอละฟะซูกุลอะซาบะ บิมากุน..ตุมตักฟุรูน
35. ฟัศบิรฺ กะมาเศาะบะเราะอุลุลอัซมิ มินัรฺรุสุลิ วะลาตัสตะอฺยิลละฮุม กะอัน..นะฮุม เยามะยะร็อวนะ มายูอะดูนะ ลัมยัลบะษู..อิลลาสาอะตัม..มิน..นะฮารฺ บะลาฆ ฟะฮัลยุฮฺละกุ อิลลัลก็อวมุลฟาสิกูน


คำแปล R1.
33. Do they not see that Allah, who created the heavens and the earth, and was not wearied by their creation, is able to give life to the dead? Yes, he surely is able to do all things.
34. And on the Day when those who disbelieve will be exposed to the Fire (it will be said to them): "Is this not the truth?" they will say: "Yes, by our Lord!" He will say: "Then taste the torment, because you used to disbelieve!"
35. Therefore be patient (O Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam) as did the Messengers of strong will and be in no haste about them (disbelievers). On the Day when they will see that (torment) with which they are promised (i.e. threatened, it will be) as if they had not stayed more than an hour in a single day. (O mankind! This Qur'an is sufficient as) a clear message (or proclamation to save yourself from destruction). But shall any be destroyed except the people who are Al-Fasiqun (the rebellious, disobedient to Allah).


คำแปล R2.
33. พวกเขาไม่รู้หรือว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺผู้ทรงบันดาลฟากฟ้าและแผ่นดิน และไม่ทรงเหน็ดเหนื่อยที่จะบันดาลสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา พระองค์ย่อมทรงเดชานุภาพที่จะชุบชีวิตแก่ผู้ตาย! ความเป็นจริง พระองค์นั้นทรงอานุภาพเหนือทุก ๆ สิ่ง
34. และ (จงระลึกเถิดถึง) วันซึ่งบรรดาผู้ไร้ศรัทธาถูกเสนอตัวสู่นรก (และมีผู้กล่าวแก่เขาว่า) “(การลงโทษที่พบเห็น) นี้มิใช่ความจริงหรือ?” พวกเขาตอบว่า “ถูกแล้ว! ข้าแต่องค์อภิบาลของเรา!” พระองค์ทรงดำรัสว่า “ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษเถิด เนื่องเพราะสาเหตุที่พวกเจ้าทั้งหลายได้เคยคัดค้านไว้ (เมื่อยังมีชีวิตอยู่ในสากลโลก)”
35. ดังนั้นเจ้าจงอดทนเถิด เหมือนเช่นบรรดาศาสดาผู้มีจิตมั่น (ทั้งห้า คือ นูหฺ, อิบรอฮีม, มูซา, อีซา, มุฮำมัด) ได้อดทน และเจ้าอย่าเร่งเร้า (ให้มีการลงโทษ) แก่พวกเขา คล้ายกับว่าพวกเขามองเห็น (การลงโทษ) ที่พวกเขาถูกสัญญาไว้ พวกเขา (รู้สึกว่า) มิได้อาศัยอยู่ (ในโลก) นอกจากเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นในเวลากลางวัน (การชี้แจงสิ่งนั้น) เป็นที่บรรลุ (สู่เป้าหมายแห่งการตักเตือนแล้ว) ดังนั้นจะไม่ถูกทำลายล้าง (แก่พวกใดทั้งสิ้น) นอกจากกลุ่มชนที่ฝ่าฝืน


คำแปล R3.
33. พวกเขาไม่เห็นหรือว่าอัลลอฮฺผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และมิทรงเหน็ดเหนื่อยต่อการสร้างสิ่งเหล่านั้นทรงมีอำนาจให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมา ทำไมจะไม่เล่า แน่นอนพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
34. ในวันที่บรรดาผู้ปฏิเสธความศรัทธาถูกรวบรวมเข้าด้วยกันต่อหน้าไฟนรกนั้น พวกเขาจะถูกถามว่า “นี่มิใช่ความผิดกระนั้นหรือ?” พวกเขาจะกล่าวว่า “ใช่แล้วขอสาบานด้วยพระผู้อภิบาลของเรา (ว่านี่คือความจริง) อัลลอฮฺจะทรงกล่าวว่า “ดังนั้นเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษจากผลที่สูเจ้าปฏิเสธ”
35. ดังนั้น จงอดทน (โอ้ นบี) เช่นเดียวกับบรรดารอซูลผู้ยึดมั่นและไม่ต้องไปรีบร้อนเกี่ยวกับคนพวกนี้ วันที่พวกคนเหล่านี้เห็นสิ่งที่พวกเขาได้ถูกสัญญาไว้จะปรากฏแก่พวกเขาเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้เกินกว่าหนึ่งชั่วโมงของวันหนึ่ง ศาส์นได้ถูกนำมาแล้ว ดังนั้นจะไม่มีใครนอกไปจากผู้ฝ่าฝืนที่จะถูกทำลาย


คำแปล R4.
33. และพวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺ ซึ่งทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้ และมิทรงอ่อนเพลียต่อการสร้างสิ่งเหล่านั้น ย่อมทรงเป็นผู้อานุภาพที่จะให้คนตายมีชีวิตขึ้นมาอีก แน่นอนแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุก ๆ สิ่ง
34. และวันซึ่งบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้าไฟนรก (จะมีเสียงกล่าวขึ้นว่า) นี่มิใช่ความจริงดอกหรือ ?พวกเขากล่าวว่า แน่นอนครับ ขอสาบานต่อพระเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษตามที่พวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธา
35. ดังนั้นเจ้าจงอดทนดังเช่นบรรดาผู้ตั้งจิตมั่นแห่งร่อซูลทั้งหลาย ได้อดทนมาก่อนแล้ว และอย่ารีบเร่ง (ให้มีการลงโทษ) แก่พวกเขา วันที่พวกเขาจะเห็นสิ่งที่ถูกสัญญาไว้แก่พวกเขานั้น ประหนึ่งว่าพวกเขามิได้พำนักอยู่ในโลกนี้เว้นแต่เพียงชั่วครู่หนึ่งยามกลาง วันเท่านั้น นี้คือการประกาศตักเตือนดังนั้นความหายนะจะไม่ประสบแก่ผู้ใดนอกจากหมู่ชนผู้ ฝ่าฝืนเท่านั้น


คำแปล R5.
๓๓. พวกเขา ชาวเนรคุณที่ปฏิสธเรื่องการฟื้นขึ้นจากสุสานเมื่อสู่วันปรภพนั้น ไม่รู้หรือว่า แท้จริงอัลเลาะห์ผู้ทรงบันดาลชั้นฟ้าและแผ่นดินทั้งเจ็ด และพระองค์ไม่ไร้สมรรถภาพที่จะบันดาลสิ่งเหล่านั้น จะเป็นผู้ทรงอานุภาพในการชุบชีวิตแก่ผู้ตายให้ฟื้นขึ้นจากสุสานได้อีก แน่นอนพระองค์ทรงอานุภาพที่จะให้ทุกชีวิตฟื้นขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงอานุภาพยิ่งเหนือทุกสิ่งมิเฉพาะแต่เพียงการทำให้ฟื้นจากสุสาน
๓๔. และจงระลึกเถิด โอ้มุฮำมัด ถึงวันปรภพ ซึ่งบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายถูกเสนอตัวบนนรกเพื่อรับการลงโทษ พร้อมกับมีผู้ประกาศแก่พวกเขาว่า สิ่งนี้มิใช้เรื่องจริงหรือ พวกเขากล่าวรับรองว่า ถูกแล้วมันเป็นเรื่องจริง โอ้องค์อภิบาลของเรา อัลเลาะห์ทรงตรัสว่า ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษเถิด เพราะเหตุที่พวกเจ้าได้เคยเนรคุณมาแต่อดีตกาล
๓๕. ดังนั้น โอ้มุฮำมัด เจ้าจงอดทนเถิดประดุจดังคณะผู้มีปณิธานแน่วแน่จากบรรดาศาสนทูตทั้งหลายอดทนกัน และเจ้าอย่าเร่งขอให้พวกนั้นประสบการลงโทษ เพราะถึงอย่างไรการลงโทษก็ต้องเกิดขึ้นแน่โดยไม่ต้องสงสัย คล้ายกับว่าพวกเขา ชาวเนรคุณในวันปรภพ ซึ่งพวกเขาเห็นสิ่งที่พวกเขาถูกให้สัญญาไว้ทุกประการพวกเขามิได้พำนักอยู่ในโลกสากลนี้นานเลย นอกจากเพียงยามหนึ่งจากตอนกลางวันเท่านั้น อัลกุรอานนี้เป็นสิ่งเผยแพร่จากอัลเลาะห์สู่พวกเจ้าทั้งมวล เพื่อพวกเจ้าจะได้ศรัทธาในพระองค์ แท้จริงไม่ประสบความหายนะนอกจากกลุ่มชนที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งอัลเลาะห์เท่านั้น




ดำรัสของอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่เป็นจริงเสมอ (صدق الله العظيم)
จบสูเราะฮฺที่ 45  อัลอะหฺกอฟ



 

GoogleTagged