السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
بسم الله الرحمن الرحيم
มีผู้อ่านที่รักบางท่านถามผมเกี่ยวกับเรื่องราวของ มะลาอิเกาะฮ์ ที่มีนามว่า ฮารูตและมารูต ซึ่งได้ถูกระบุไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ ดังนี้ครับ
وَاتَّبَعُواْ مَا تَتْلُواْ الشَّيَاطِينُ عَلَى مُلْكِ سُلَيْمَانَ وَمَا كَفَرَ سُلَيْمَانُ وَلَـكِنَّ الشَّيْاطِينَ كَفَرُواْ يُعَلِّمُونَ النَّاسَ السِّحْرَ وَمَا أُنزِلَ عَلَى الْمَلَكَيْنِ بِبَابِلَ هَارُوتَ وَمَارُوتَ وَمَا يُعَلِّمَانِ مِنْ أَحَدٍ حَتَّى يَقُولاَ إِنَّمَا نَحْنُ فِتْنَةٌ فَلاَ تَكْفُرْ فَيَتَعَلَّمُونَ مِنْهُمَا مَا يُفَرِّقُونَ بِهِ بَيْنَ الْمَرْءِ وَزَوْجِهِ وَمَا هُم بِضَآرِّينَ بِهِ مِنْ أَحَدٍ إِلاَّ بِإِذْنِ اللّهِ وَيَتَعَلَّمُونَ مَا يَضُرُّهُمْ وَلاَ يَنفَعُهُمْ وَلَقَدْ عَلِمُواْ لَمَنِ اشْتَرَاهُ مَا لَهُ فِي الآخِرَةِ مِنْ خَلاَقٍ وَلَبِئْسَ مَا شَرَوْاْ بِهِ أَنفُسَهُمْ لَوْ كَانُواْ يَعْلَمُونَ
"และพวกเขาได้ประพฤติตามสิ่งที่เหล่ามารร้ายได้นำมาอ่านในยุคปกครองของ(นบี)สุลัยมาน (สิ่งนั้นคือตำราทางไสยศาสตร์และมายากล) และสุลัยมานมิได้เนรคุณ (ต่ออัลเลาะฮ์) แต่พวกมารร้ายเหล่านั้นต่างหากที่เนรคุณ พวกมันสอนวิชาไสยศาสตร์แก่มนุษย์ทั้งหลาย และ(พวกมันได้สอน) วิชาที่ถูกประทานแก่มลาอิกะฮ์สององค์ ณ เมืองบาบิล (ซึ่งทั้งสองคือ) ฮารู๊ตและมารู๊ต และทั้งสองจะยังไม่สอน (วิชาไสยศาสตร์ดังกล่าว) แก่ผู้ใดทั้งสิ้น จนกว่าทั้งสองจะประกาศตัวว่า "เราเป็นข้อทดสอบ ดังนั้น ท่านจงอย่างเนรคุณ" แต่แล้วพวกเขาเหล่านั้นต่างก็พร่ำเล่าเรียนจากทั้งสอง (วิชาดังกล่าวซึ่งเป็น) สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องแตกแยกกัน เพราะมันระหว่างชายคนหนึ่งกับภริยาของเขา ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นหาได้ใช้สิ่งนั้นมาทำอันตรายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดได้ไม่ นอกจากจะเป็นไปโดยอนุญาตของอัลเลาะฮ์เท่านั้น และพวกเหล่านั้นต่างก็เรียนวิชาที่ให้โทษแก่พวกเขาเอง และมันไม่ได้ให้คุณแก่พวกเขาเลย ขอยืนยัน แท้จริงพวกเขาก็รู้ดีว่าใครกันที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนมัน(คำภีร์เตารอฮ์) เขาผู้นั้นย่อมไม่มีส่วนวาสนาใด ๆ ในโลกหน้าเลย และสิ่งที่เขาได้นำมาขายตัวของเขาเองนั้นช่างเลวร้ายสิ้นดี ทั้งนี้หากพวกเขารู้" อัลบะกอเราะฮ์ 102
ประเด็นที่ชี้แจงเกี่ยวกับอายะฮ์นี้ คือประเด็นของมะลาอิกะฮ์ ที่มีนามว่า ฮารู๊ตและมารู๊ต เรื่องราวเบื้องต้นคือ ในสมัยของท่านนบี สุลัยมาน อะลัยฮิสลาม ได้เป็นกษัตริย์นั้น เป็นยุคสมัยที่พวกยิว(ยะฮูดีย์) นิยมให้เวตมนต์ไสยศาสตร์กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งพวกเขาเหล่านั้น ได้รับสือทอดวิชาดังกล่าวมาจากพวกญินและมารร้าย(ชัยฏอน) ซึ่งพวกมารร้ายจะโขมยหรือแอบฟังเรื่องราวต่าง ๆ บนชั้นฟ้า ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์บนผืนโลก แต่ทว่าพวกมันได้ยินแบบสับสนเจือปนไปด้วยความโกหกมุสา และพวกเขาก็นำมาใช้ทำนาย แล้วพวกเขาก็ทำการบันทึกเป็นตำราขึ้นมาเพื่อใช้อ่านและทำการเรียนการสอนให้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย
และเหตุการณ์ดังกล่าว ได้เกิดขึ้นแพร่หลายในสมัยของท่านนบี สุลัยมาน อะลัยฮิสลาม และจนกระทั่งพวกยิวกล่าวกันว่า ไสยศาสตร์และมายากลที่พวกเขาได้ร่ำเรียนมันมานั้น เป็นวิทยาการหรือศาสตร์ของนบีสุลัยมาน ซึ่งท่านนบีสุลัยมานไม่สามารถเป็นกษัตริย์ปกครองได้นอกจากใช้ด้วยวิชานี้ ดังนั้น พวกเขาจึงน้อมตามตำราไสยศาสตร์และปฏิเสธคำภีร์ของบรรดานบี (อะลัยฮิมุสลาม) ฉะนั้น อัลเลาะฮ์ทรงตอบโต้คำพูดของพวกเขาดังกล่าว ความว่า "สุลัยมานมิได้เนรคุณ (ต่ออัลเลาะฮ์ด้วยการสอนไสยศาสตร์เพราะสุลัยมานไม่ได้สอนไสยศาสตร์) แต่พวกมารร้ายเหล่านั้นต่างหากที่เนรคุณ" คือ พวกมารร้ายได้สอนไสยศาสตร์แก่บรรดามนุษย์ทั้งหลายเพื่อให้พวกเขานำไปปฏิบัติ ซึ่งพวกเขามีเป้าหมายหลอกลวงและทำให้ผู้คนลุ่มหลงด้วยกับสิ่งดังกล่าว
และวิชาไสยศาสตร์ที่พวกมารร้ายสอนแก่บรรดามนุษย์ทั้งหลายนั้น คือวิชาไสยศาสตร์ ที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้แก่มะลาอิกะฮ์ทั้งองค์ พระองค์ทรงส่งมาลาอิกะฮ์สองท่านที่ชื่อ ฮารู๊ตและมารู๊ตมา เพื่อให้มนุษย์ทราบถึงข้อเท็จจริงของไสยศาสตร์ และเพื่อให้ทั้งสองทำให้มนุษย์สามารถแยกแยะระหว่างมั๊วะญิซาตกับไสยศาสตร์ ซึ่งมะลาอิกะฮ์ทั้งสองได้ลงมาที่ เมืองบาบิล ซึ่งอยู่ที่อิรักและครอบคลุมถึงอียิปต์ด้วย มะลาอิกะฮ์ทั้งสองได้ทำการสอนไสยศาสตร์ต่อบรรดามนุษย์ทั้งหลาย จนกระทั่งทั้งสองบอกว่า เราได้ถูกอัลเลาะฮ์ส่งมาเพื่อทำการทดสอบพวกท่าน และให้พวกท่านจงระวังเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ ดังนั้นพวกท่านอย่าเนรคุณ(กุฟุร) เพราะเรื่องไสยศาสตร์นั้น ส่วนมากแล้วอยู่บนการเนรคุณ(กุฟุร) และเมืองอิรักและอียิปต์ในขณะนั้น มีบรรดาผู้คนที่ชอบใช้ไสยศาสตร์กันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทำแต่งตั้งนบีมูซา อะลัยฮิสลาม มาทำลายไสยศาสตร์และมายากลเหล่านั้นด้วยไม้เท้าของท่าน"
นั่นคือเรื่องราวพอสังเขปของ มะลาอิกะฮ์ ฮารู๊ตและมารู๊ต ที่มีความถูกต้อง
วัลลอฮุอะลัม
والسلام