ผู้เขียน หัวข้อ: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป  (อ่าน 2414 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ falaora

  • I'm just a human being
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 78
  • Respect: +155
    • ดูรายละเอียด
คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« เมื่อ: มิ.ย. 12, 2011, 03:41 PM »
0

อัสลามมุอาลัยกุมค่ะ   falaora   มีเรื่องอยากขอคำปรึกษาจากเพื่อนๆในเว็บ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับคุณลุงที่รักที่  falaora รู้จักท่านหนึ่ง  ขอใช้นามสมมุติน่ะค่ะ ว่าชื่อลุงมัติ

ลุงมัติแต่งงานกับป้าอัยชะ  ป้าอัยชะเป็นคนจังหวัดภูเก็ต ป้าไม่ได้เรียนหนังสือ เมื่อแต่งงานก็ได้ย้ายมาอยู่พัทลุง มาเป็นแม่บ้าน  ส่วนลุงมัติรับราชการเป็นครู  ทั้งคู่อยู่กินกันมาสามสิบปี มีลูกด้วยกันห้าคน ที่บ้านป้าอัยชะช่วยลุงมัติทำสวนเก็บผักที่สวนไปขายที่ตลาด  ทั้งคู่ช่วยกันทำมาหากิน จนสร้างเนื้อสร้างตัว ปลูกบ้าน ซื้อรถ และส่งเสียให้ลูกเรียนจบปริญญา

ลุงมัตินั้นเป็นคนใจดี ลุงมัติเป็นคนตลก ชอบเล่านิทาน ชอบพาหลานไปเที่ยว ทำให้หลานๆทุกคนรักคุณลุงมัติมาก ส่วนป้าอัยชะนั้นก็ใจดี แม้จะเป็นสะใภ้ที่แต่งเข้ามา แต่ก็สามารถเข้ากับญาติทางฝ่ายลุงมัติได้ดี

แต่เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง falaora ก็ได้ข่าวว่า ลุงมัติหย่ากับป้าอัยชะ โดยการหย่าครั้งนี้เป็นการหย่าครั้งที่สาม  ลุงมัติมีผู้หญิงคนใหม่  ออกไปเที่ยวเตร่ ทำตัวเหมือนวัยรุ่นเสเพล  ลุงมัติไล่ป้าอัยชะออกจากบ้าน และกล่าวหาว่า ป้ามาแต่ตัวฉะนั้นก็กลับไปแต่ตัว โดยไม่ให้ค่าเลี้ยงดู และจะไม่ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ญาติฝ่ายป้าอัยชะเมื่อรู้ว่าป้าโดนลุงมัติปฏิบัติอย่างนั้นก็ไม่พอใจ โดยทางญาติฝ่ายป้าอัยชะต้องการจะฟ้องร้องศาล เพื่อให้ลุงมัติรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายบ้าง โดยต้องการใช้ลุงมัติ หาที่พักให้ ต้องการเงินสักก้อนไว้ทำมาหากินเลี้ยง เป็ดเลี้ยงไก่ ในช่วงบั้นปลายชีวิต  ส่วนลูกๆนั้นก็เสียใจกับเหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้น ญาติๆฝ่ายลุงมัติก็ทุกใจพยายามปรับความเข้าใจกับญาติฝ่ายป้าอัยชะ

แต่ตอนนี้ยังไม่มีทางออกเลย เพราะตัวลุงเองยืนยันที่จะไม่จ่ายค่าอะไรทั้งสิ้น  แบบนี้จะมีทางออกไหนให้ป้าอัยชะบ้างค่ะ สงสารเขาในฐานะหัวอกลูกผู้หญิงเหมือนกัน  mycry  mycry  mycry

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิ.ย. 12, 2011, 06:50 PM »
0

เอาประเด็นศาสนาขึ้นมาอ้างเลย (จะดีมั้ย) ครับ

การหย่า
การแบ่งทรัำพย์สิน

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิ.ย. 12, 2011, 06:56 PM »
0
ทำไมคนเรา...ถึงไม่รู้จักรักกันนานๆนะ 
รักก็แสนรัก...เมื่อคิดจะหน่าย ก็ทำกันง่ายๆ เหมือนคนใจร้าย
ไม่ใช่สิ... เหมือนคนไม่มีหัวใจมากกว่า

ออฟไลน์ fadia

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 106
  • Respect: +5
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิ.ย. 12, 2011, 09:20 PM »
0
โดนวางยาเสน่ห์อรัยหรือป่าว ทำไมถึงกับเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือแบบไม่น่าเชื่อ

แล้วอ่านจี๊ดๆอ่ะ ปวดใจ สงสารเหลือเกิน  mycry

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิ.ย. 12, 2011, 09:40 PM »
0
 :salam:

หากจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายสามารถเรียกสินสมรสใด้ครึ่งนึงตามกฎหมายอยู่แล้ว

หากไม่ได้จดทะเบียนอาจใช้ข้อกฎหมายได้ยากนิดนึง ต้องลองดูรายละเอียดดู

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิ.ย. 12, 2011, 09:43 PM »
0
เรื่องของสินสมรส

     ตามกฎหมาย  เมื่อชายหญิงตกลงปลงใจเป็นสามี ภรรยากัน และผ่านการจดทะเบียนสมรสแล้ว  ความผูกพันนี้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา 2 ลักษณะ  คือ  ความสัมพันธ์ส่วนตัว  คือ  อยู่กินกันแบบสามีภรรยา ต้องอุปการะเลี้ยงดูกัน  และ ความสัมพันธ์ทางด้านทรัพย์สิน ซึ่งแยกเป็นสินสมรส  และสินส่วนตัว

      พูดตามภาษาชาวบ้าน  สินส่วนตัว คือ  ทรัพย์สิน  ข้าวของส่วนตัวต่าง ๆ  ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ก่อนเดิม ก่อนแต่งงาน  สินสมรส  คือ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาหลังแต่งงาน และสามีภรรยาเป็นเจ้าของร่วมกัน

ตามกฎหมายได้แจกแจงไว้อย่างละเอียดว่า  สินส่วนตัว มี 4  ประเภท  คือ
1.   ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส  เช่น  บ้าน  ที่ดิน  เงินทอง 
2.   ทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสโดยการรับมรดก  หรือได้มาโดยเสน่หา
3.   ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องใช้สอยส่วนตัว  เครื่องประดับ  เครื่องแต่งกาย  เครื่องมือประกอบอาชีพ
4.   ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น จะถือเป็นสินส่วนตัวของผู้หญิง

     นอกจากนี้  ถ้าทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้น  เปลี่ยนสภาพไป  เช่น  นำไปขายและได้เงินมา  นำไปแลกหรือซื้อของอื่น  ให้ถือว่าเงินหรือของที่ได้มานั้น เป็นสินส่วนตัวด้วย

สินสมรส  แบ่งเป็น 3  ประเภท 
1.   ทรัพย์ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส  เช่น  เงินเดือน  โบนัส 
2.   ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาโดยพินัยกรรม  โดยระบุว่าให้เป็นสินสมรส
3.   ทรัพย์สินที่เป็นกำไรสุทธิ  หรือดอกผลของสินส่วนตัว

     สิทธิการจัดการทรัพย์สิน  กฎหมายถือให้ผู้เป็นเจ้าของมีอำนาจจัดการทรัพย์สินส่วนตัวได้โดยลำพัง   สำหรับสินสมรส  ถือเป็นทรัพย์สินร่วมกันคนละครึ่ง  จึงให้สองฝ่ายจัดการร่วมกัน
 
สามีภรรยาสามารถแยกกันจัดการสินสมรสได้  4 กรณี  คือ
1.   เมื่อคู่สมรสตกลงแยกกันจัดการสินสมรสโดยการทำสัญญาก่อนสมรสไว้ก่อน
2.   เมื่อคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกเป็นคนไร้ความสามารถ  อีกฝ่ายมีสิทธิร้องขอให้ศาลแยกสินสมรสได้
3.   เมื่อคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย  จะมีผลให้สินสมรสแยกกันตามกฎหมาย
4.   เมื่อมีการร้องขอต่อศาลให้แยกสินสมรสเพราะสาเหตุ  เช่น  อีกฝ่ายทำความเสียหายแก่สินสมรส  ไม่อุปการะ  เลี้ยงดู  เป็นหนี้สินมากมาย  หรือขัดขวางการจัดการสินสมรสโดยไม่มีเหตุอันควรและเมื่อมีการแยกสินสมรส  ออกจากกันแล้ว  สินสมรสส่วนที่แยกออกมาจะถือเป็นสินส่วนตัวของแต่ละฝ่าย  รวมถึงทรัพย์สิน  เช่น  มรดก  ดอกผลที่ได้มาหลังการแยกสินสมรสด้วย

การจัดการเรื่องหนี้สินของสามีภรรยาควรทำอย่างไร
      เมื่อสามีภรรยาไปเป็นหนี้บุคคลภายนอก  หากหนี้นั้นมีมาก่อนสมรสถือเป็นหนี้ส่วนตัว  ให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบใช้ต่อเจ้าหนี้เป็นการส่วนตัวโดยใช้สินส่วนตัวมาก่อน  ถ้าไม่พอจึงใช้จากสินสมรสที่เป็นส่วนของตนได้คือ  ครึ่งหนึ่งของสินสมรส  ในกรณีที่เกิดหนี้ระหว่างสมรสหนี้นั้นอาจเป็นหนี้ส่วนตัวค้างคามาหรือเป็นหนี้ร่วม  สามีภรรยาต้องร่วมกันชดใช้เจ้าหนี้โดยใช้เงินทั้งจากสินสมรสและสินส่วนตัวได้  หนี้ที่เกิดระหว่างสมรส  และถือเป็นหนี้ร่วมได้แก่  หนี้ค่าอุปการะเลี้ยงดู  รักษาพยาบาลคนในครอบครัว  และให้การศึกษาบุตร  หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส  หนี้ที่เกิดจารการงานที่สามีภรรยาทำร่วมกันและหนี้ที่สามีหรือภรรยาก่อให้เกิดเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว  แต่อีกฝ่ายยินยอมและรับรู้ด้วย  4  กรณีนี้สามีภรรยาต้องรับผิดชอบร่วมกัน

คู่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส 
      การจัดการทรัพย์สินมีข้อแตกต่าง  คือ  ในแง่กฎหมายเพราะกฎหมายจะถือว่าคู่ที่อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียนสมรสไม่เป็นคู่สมรสต่อกัน
บุตรที่เกิดมาเป็นของฝ่ายหญิงฝ่ายเดียว  และการอยู่ด้วยกันไม่มีผลให้เกิดสินส่วนตัวและสินสมรส  แต่ในแง่ปฏิบัติ  เพื่อความเป็นธรรมและเพื่อป้องกันความแตกแยกในครอบครัว  กฎหมายจึงถือให้ทรัพย์สินที่ฝ่ายชาย และหญิงลงทุนร่วมแรงทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างที่อยู่กินด้วยกันเป็นทรัพย์สินรวม  ชายและหญิงเป็นเจ้าของร่วมกันและมีสิทธิ์ในทรัพย์สินคนละครึ่ง  การลงทุนร่วมแรงโดยหลักหมายถึงการที่ชายและหญิงร่วมกันทำการค้าหรือดำเนินกิจการโดยเฉพาะเจาะจงแล้วได้ทรัพย์สินมา  และในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่บ้านช่วยดูแลบ้าน  และครอบครัวโดยอีกฝ่ายเป็นผู้ทำการค้าก็ถือว่าร่วมแรงทำมาหากินเช่นกัน  ในทางกลับกันถ้าทรัพย์สินต่างคนต่างทำมาหาได้แยกกันหรือเป็นมรดกที่ได้รับมาจะถือเป็นสิทธิของฝ่ายนั้นผู้เดียว  อีกฝ่ายไม่มีส่วนแบ่งรวมทั้งไม่สามารถฟ้องขอแบ่งทรัพย์ได้

การทำพินัยกรรม
      ถ้าทำพินัยกรรมสินส่วนตัวสามารถยกให้ใครก็ได้ตามความพอใจ  แต่กับสินสมรส  เนื่องจากสามีและภรรยามีสิทธิเป็นเจ้าของสินสมรสร่วมกันคนละครึ่ง  จึงไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสเกินกว่าส่วนของตัวเองให้แก่บุคคลอื่น  ถ้าทำไปพินัยกรรมนั้นจะสมบูรณ์เฉพาะส่วนของตัวเองเท่านั้น

http://www.formumandme.com/article.php?a=473

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิ.ย. 12, 2011, 10:38 PM »
0
ส่วนเรื่องศาสนานั้นต่างกันครับ
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ amad 254

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 176
  • Respect: +48
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มิ.ย. 12, 2011, 10:49 PM »
+1
อัสลามุอลัยกุมครับ  

   ในเรื่องนี้ (ตามความคิดผม) ว่า ควรฟ้องร้องดำเนินการตามกฎหมาย ประเทศไทย แล้วเมื่อศาลได้ตัดสินและได้แบ่งมรดกตาม กฎหมายทุกประการ  หลังจากนั้น ก็ให้ ผู้รู้ในด้านศาสนาทำการตัดสินอีกที หากทรัพย์สินที่ฝ่ายหญิงได้มากกว่าที่ศาสนากำหนดก็ให้คืน  แต่ถ้าได้น้อยกว่าที่ศาสนากำหนด ก็ให้อีหม่าม ณ สถานที่อยู่ปัจจุบัน ใช้กฎหมายอิสลามบังคับภายหลัง แต่ถ้าไม่ได้ ก็ต้องยอมให้เป็นไปตามนั้น (ให้เป็นผลตอบแทนในวัน อาคิเราะห์) พร้อมกับขอดุอา ให้เขา(ผู้ชาย) กลับใจหันเข้าหาศาสนาเพื่อเป็นการดีสำหรับตัวเขาเอง หากเขากลับใจแน่นอนเขาก็ต้องคืนในกรรมสิทธิที่เป็นของฝ่ายหญิง  

   ไม่รู้ว่ากฎหมายอิสลาม เรื่องมรดกเขาใช้ ถึง พัทลุงหรือยัง เพราะเท่าที่รู้มา เขาใช้แค่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนการจะฟ้องร้องเรื่องมรดกใน 3 ชายแดนใต้ เรื่องนี้ ต้องให้ผู้รู้กฎหมายจริงเข้ามาบอกรายละเอียดอีกที  แต่ถ้าสามารถฟ้องร้องตามกฎหมายอิสลามได้ ก็ดีครับไม่ต้องให้ผู้รู้หรืออีหม่ามมาบังคับผู้ชาย เพราะกฎหมายจะบังคับให้เลยครับ (ต้องปฎิบัติตามกฎหมาย) 


                                                                                   วัสลามครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิ.ย. 12, 2011, 10:58 PM โดย amad 254 »

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มิ.ย. 13, 2011, 12:51 AM »
0
ส่วนเรื่องศาสนานั้นต่างกันครับ


หากกฎหมายอิสลาม  ไม่ทราบว่ากรณีนี้  ผู้หญิงเรียกร้องได้แค่ที่อยู่อาศัย ตามความสามารถของผู้ชายที่สามารถจัดหาให้ได้หรือเปล่าครับ

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มิ.ย. 15, 2011, 07:14 AM »
0
ส่วนเรื่องศาสนานั้นต่างกันครับ


สอบเสร็จแล้วบังบาชีรน่าจะลองเขียนบทความเกี่ยวกับเปรียบเทียบในประเด็นนี้ว่ากฏหมายไทยกับกฏหมายอิสลามต่างกันอย่างไรบ้าง

หรือว่ามีแล้ว...  ::)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: คุณลุงที่รักของหนูเปลี่ยนไป
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ก.ย. 05, 2013, 08:14 PM »
0
อ่านแล้วก็ยังคาใจ...ไม่มีใครเข้ามาต่อให้จบเลย...
ยังรออ่านอยู่นะคะ...

ปล.เรื่องกฎหมายอิสลามนั้น พัทลุงยังเข้ามาไม่ถึงค่ะ
คือ พื้นที่พัทลุงไม่มีสิทธิ์ขาดเรื่องกฎหมายอิสลามอย่าง 3 จังหวัดชายแดนใต้

แต่เราก็บังคับใช้กันเองค่ะ คือ รัฐไม่ให้เราใช้ แต่เราก็พยายามใช้กฎหมายอิสลาม
เพียงแต่ไม่ทั่วถึง แล้วแต่บ้านไหนจะบังคับใช้หรือเปล่าเท่านั้นค่ะ
เช่น เรื่องการแบ่งมรดก บางบ้านก็แบ่งสรรปันส่วนตามหลักศาสนา
ซึ่งบิดามารดาก็ต้องจัดการให้เสร็จสรรพก่อนจะกลับคืนสู่อัลลอฮฺ...
ซึ่งก็ต้องรีบทำตั้งแต่เนิ่นๆ...มีทรัพย์เท่าไหร่ก็พยายามแบ่งสรรปันส่วนกันก่อน
โดยไม่รอให้ศาลตัดสินสั่งให้แบ่งเมื่อเจ้าของทรัพย์ไม่อยู่
เพราะนั่นจะต้องเข้าสู่กระบวนการตามหลักกฎหมายบ้านเมืองนั้นๆไปค่ะ...

เรื่องกรณีของเจ้าของกระทู้ เป็นกรณีที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยค่ะ
อยากให้ผู้รู้ช่วยให้ความรู้ และเปรียบเทียบในกรณีนี้ให้อ่านกันบ้างน่ะค่ะ...
ไม่รู้จะขอมากไปมั้ย...

แต่เมื่อได้อ่าน สิ่งหนึ่งที่อดคิดไม่ได้เลยก็คือ...จิตใจมนุษย์นี้ ยากแท้หยั่งถึง
ครั้งหนึ่งเคยรักกันมากมาย มีความดีเท่าไหร่ก็ทุ่มเทแสดงออกมา
แต่พอหมดรัก แม้แต่เศษเสี้ยวความดีที่เคยมีให้มาก็แทบไม่เหลือ...


มีอยู่วันนึง เคยถามพ่อว่า...พ่อ...ทำไมคนเราต้องหลอกลวงกันด้วยพ่อ
อยากได้อะไรทำไมไม่บอกกันตรงๆ ทำไมต้องหลอกเราด้วย...
ทำไมต้องแสร้งทำเป็นคนดีเพื่อตบตาคนอื่นด้วย
เป็นคนดีเสียเลยไม่ได้หรือพ่อ
ก็ในเมื่อรู้แก่ใจว่าทำดีแล้วเขาต้องรักต้องยอมเราแน่ๆ
ก็แล้วทำไมไม่ทำดี ไม่เป็นคนดีเสียเลย
ต้องแกล้งทำดีให้เหนื่อยเปล่าทำไม...แล้วต้องแกล้งเป็นคนจริงใจ
เพื่อหลอกตบตาคนอื่นเพื่ออะไร...ในเมื่อเลือกที่จะเป็นคนจริงใจจริงๆได้...

ทำไมมนุษย์ถึงได้คิดอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหลือเกิน...
คิดง่ายๆทำง่ายๆไม่ได้หรือ...

พ่อเลยตอบว่า...

ก็ถ้ามนุษย์มันคิดจะเป็นคนดีกันทุกคน โลกก็คงสงบสุขไปนานแล้ว
และคงไม่มีคนมานั่งตั้งคำถามอยู่แบบนี้หรอก...

พ่อบอกว่า...คนที่เคยเป็นคนดี เวลาผ่านไปกลายเป็นคนชั่วก็มี
คนที่เคยทำชั่วมาตลอด ภายหลังกลับตัวมาเป็นคนดี
ก็มีมาก และคนชั่วที่ได้กลับตัวเป็นคนดีและสุดท้ายก็ได้กลับไป
ทำความชั่วอีกก็มีไม่น้อย...

จะเอาแน่เอานอนกับมนุษย์ได้เสียทีไหน...
สำคัญอยู่ที่เรานี่...ว่าเราเลือกจะเป็นอะไร...
อย่าปล่อยให้สิ่งไม่ดีทำให้เราหันเหจากความดีก็แล้วกัน...

เพราะการจะยืนหยัดบนความดีได้อย่างมั่นคงไปตลอดนั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...

อัลลอฮฺเท่านั้นแหล่ะที่จะรู้ถึงจุดสุดท้ายของเราและเขา...



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged