ผู้เขียน หัวข้อ: สุดท้ายท่านก็ทำไม่ได้ ต่อไปท่านก็โดนชาวบ้านครหาแน่นอนครับ ^_^  (อ่าน 3144 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เด็กน้อยๆ

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 56
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีษที่เชื่อถือได้ => ท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรอง => เมื่อท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรองก็หมายความว่า => อัลลอฮ์ก็ทรงไม่รับรอง

หลักง่ายๆ ในการจำสำหรับการปฏิบัติสิ่งใดๆ ในชีวิต

ถ้าเรื่องดุนยา = มีหลักฐานห้ามหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ทำ...

เรื่องศานา = มีหลักฐานใช้ให้ทำหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ไม่ทำ...

ก็มันง่ายๆ แค่เนี้ยะ .... จะไปทำให้มันยากทำไมกับชีวิต?

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

คุณเด็กน้อยๆ  คุณสมควรให้เกียรติแก่พี่น้องมุสลิมในเวปไซท์แห่งนี้   อย่างน้อยคุณเข้ามาในเวปไซท์นี้   ก็สมควรอยู่ในกฏระเบียบที่เขาวางไว้  ซึ่งหากคุณทำไม่ได้  ก็ยังมีเวปไซท์อื่นๆอีกมากมายที่อยู่ในแนวทางของท่าน  ที่จะเปิดโอกาสให้ท่านนำเสนอ 

หากหนึ่งวันคุณไม่ลบลายเซ็นที่มาจากเวป อิกเราะอฺ  ที่ฮุกุ่มพี่น้องมุสลิมมีนส่วนใหญ่เป็นพวกบิดอะฮ์ ล่ะก็  ผมจะก็ดำเนินการกับคุณตามกฏการเสวนา  โดยเราไม่ได้อธรรมแก่คุณเลย 

วัสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ เด็กน้อยๆ

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 56
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
กลัวเหรอครับ? ท่านกลัวอะไร?

กลัวเค้ารู้ความจริงหรือไง?

ถ้ากระดานนี้เป็นกระดานเสวนาธรรม ก็น่าจะเปิดโอกาสให้พี่น้องคนอื่นๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางของสายอื่นๆ บ้างไม่ใช่หรือ?

นี่ท่านไม่เปิดโอกาสเลยครับ เหมือนท่านต้องการปกปิดอะไรสักอย่าง

ถึงผมไม่ทำอะไรวันนี้ ยังไงๆ วันหนึ่ง ผู้คนก็ต้องรู้อยู่แล้ว แล้ววันนั้นท่านจะอยู่ยังไงครับ?

แค่ผมลงลายเซ็น ท่านก็เสียวไปถึงตาตุ่มซะแล้ว

ท่านมีอำนาจนี่ครับ เชิญไปแก้ไขลายเซ็นในเเอ็คเค้าต์ผมได้เลย ผมยินยอมครับ ในโลกออนไลน์แห่งนี้ ท่านอำนาจล้นมืออยู่แล้ว....

แต่ในโลกความจริง ระหว่างที่คุณเรียนอยู่ที่ไคโร กว่าจะกลับมา สงสัยคงไม่ทันซะแล้วครับ

เพราะยังมีหนทางอื่นๆ อีกมาก ที่มีทราฟฟิคสูงๆ ที่จะสามารถเผยแพร่ได้

จะลบลายเซ็นต์ผม ก็เชิญ ยินยอมครับ   :D;D
ไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีษที่เชื่อถือได้ => ท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรอง => เมื่อท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรองก็หมายความว่า => อัลลอฮ์ก็ทรงไม่รับรอง

หลักง่ายๆ ในการจำสำหรับการปฏิบัติสิ่งใดๆ ในชีวิต

ถ้าเรื่องดุนยา = มีหลักฐานห้ามหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ทำ...

เรื่องศานา = มีหลักฐานใช้ให้ทำหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ไม่ทำ...

ก็มันง่ายๆ แค่เนี้ยะ .... จะไปทำให้มันยากทำไมกับชีวิต?

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

ผมไม่กลัวใคร  นอกจากอัลเลาะฮ์  ปัญหาเรื่องทำบุญ 7 วันนั้น  เราได้ชี้แจงที่มุสลิมไทยไว้เรียบร้อยและตรงไปตรงมาโดยไม่กลัวใคร   คุณลองไปอ่านดูซิ  แล้วจะรู้ว่าเราก็ไม่ได้เสวนาเอาใจใครกันเหมือนกัน  ทำบุญ 40 เป็นบิดอะฮ์  เราก็บอกว่าเป็นบิดอะฮ์  บอกกันชัดๆ อย่างนี้แหละ  โดยที่ผมก็ไม่กลัวใคร   ญาติ ๆ ผมบางคนทำบุญ 40  แต่ผมก็ไม่สนครับ   เนื่องจากทัศนะของผมถือว่าเป็นบิดอะฮ์   ทำบุญโดยไปยืมเงินคนอื่นมา  ผมถือว่าหะรอมครับ  โดยที่ไม่ต้องไปกลัวใครหน้าใหน   แต่กรณีทำบุญ 7 วันนั้น  เราได้เสวนาในเชิงวิชาการที่มุสลิมไทยเรียบร้อยแล้วครับ

แต่อย่าเอาเวปไซท์ชีอะฮ์ที่ฮุกุ่มพี่น้องมุสลิมเป็นชาวนรกมาไว้ที่เวปไซท์แห่งนี้และอย่าลิงค์เวปไซท์ที่ฮุกุ่มพี่น้องมุสลิมีนเป็นชาวบิดอะฮ์ในเวปไซท์แห่งนี้  ซึ่งการลบลิงค์จำพวกดังกล่าว  ผมทำมานานแสนนานแล้วครับ   ไม่ใช่เพิ่งมาทำในขณะนี้   โปรดทราบด้วย

ส่วนจะให้ผมลบลิงค์ที่คุณอ้างอิงเป็นลายเซ็นมานั้น  โปรดลบเองครับ  ให้เกียรติกันหน่อยครับ

วัสลาม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ เด็กน้อยๆ

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 56
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อ๋อ ลบมานานแล้ว โอเคครับเข้าใจ

ผมจัดการลบลายเซ็นให้ได้ แต่คงต้องเเลกกับการที่ลิงค์นี้คงไปโผล่ในหลายๆ ที่ ต่อไปท่านคงลำบากหน่อยนะครับ พอกลับมา

อนึ่ง ท่านบอกว่า ท่านกลัวอัลลอฮ์ ดังนั้น เมื่อท่านไปเรียนถึงอียิปต์ ไคโร อยากทราบจริงๆ ว่าที่ไคโรนี่เค้าทำบุญกัน 7 วันหรือเปล่า?

มีอ่านอีซีกูโบร์ไหม? ถ้ามี ก็น่าสนใจ น่าค้นหาข้อมูลเพื่อสืบเสาะสำหรับการปฏิบัติตาม แต่ถ้าไม่มี แล้วที่มาดีนะฮ์ มักกะฮ์ก็ไม่มี

และก็ไม่ทำ เพราะหาหลักฐานอ้างอิงที่หนักแน่นไม่เจอ

แล้วท่านจะตอบต่อหน้าอัลลอฮ์อย่างไรครับ? ตรงนี้แหละที่มันวัดกันว่า ท่านกลัวอัลลอฮ์จริงหรือเปล่า?

ช่วยตอบผมที?...
ไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีษที่เชื่อถือได้ => ท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรอง => เมื่อท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรองก็หมายความว่า => อัลลอฮ์ก็ทรงไม่รับรอง

หลักง่ายๆ ในการจำสำหรับการปฏิบัติสิ่งใดๆ ในชีวิต

ถ้าเรื่องดุนยา = มีหลักฐานห้ามหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ทำ...

เรื่องศานา = มีหลักฐานใช้ให้ทำหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ไม่ทำ...

ก็มันง่ายๆ แค่เนี้ยะ .... จะไปทำให้มันยากทำไมกับชีวิต?

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
อ๋อ ลบมานานแล้ว โอเคครับเข้าใจ

ผมจัดการลบลายเซ็นให้ได้ แต่คงต้องเเลกกับการที่ลิงค์นี้คงไปโผล่ในหลายๆ ที่ ต่อไปท่านคงลำบากหน่อยนะครับ พอกลับมา

อนึ่ง ท่านบอกว่า ท่านกลัวอัลลอฮ์ ดังนั้น เมื่อท่านไปเรียนถึงอียิปต์ ไคโร อยากทราบจริงๆ ว่าที่ไคโรนี่เค้าทำบุญกัน 7 วันหรือเปล่า?

มีอ่านอีซีกูโบร์ไหม? ถ้ามี ก็น่าสนใจ น่าค้นหาข้อมูลเพื่อสืบเสาะสำหรับการปฏิบัติตาม แต่ถ้าไม่มี แล้วที่มาดีนะฮ์ มักกะฮ์ก็ไม่มี

และก็ไม่ทำ เพราะหาหลักฐานอ้างอิงที่หนักแน่นไม่เจอ

แล้วท่านจะตอบต่อหน้าอัลลอฮ์อย่างไรครับ? ตรงนี้แหละที่มันวัดกันว่า ท่านกลัวอัลลอฮ์จริงหรือเปล่า?

ช่วยตอบผมที?...

ขอบคุณที่คุณเข้าใจ   หากคุณลบลายเซ็นแล้ว  และคุณก็นำไปนำเสนอลิงค์ที่อื่น ๆ นั้น  ตามสบายเลยครับ  เพราะลิงค์ดังกล่าว  เขาเผยแพร่มันมาเยอะแล้ว   คุณเพิ่งเจอหรือยังไงกัน   แต่เวปไซท์ที่ฮุกุ่มพี่น้องมุสลิมีนส่วนใหญ่เป็นบิดอะอ์นั้น   กรุณาอย่ามาลิงค์พี่นี้  นอกจากกรณีจำเป็น 

ส่วนจะให้ผมตอบต่อหน้าอัลเลาะฮ์อย่างไรนั้น ? คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ   เพราะอัลเลาะฮ์ทรงรอบรู้ถึงจิตใจและการปฏิบัติของมนุษย์ดี   เรามีสิทธิ์ที่จะทุ่มเทค้นคว้าอุตสาหะในการทำอิบาดะฮ์  ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบกว้าง ๆ หรืออยู่ในรูปแบบเฉพาะเจาะจง    มนุษย์นั้นเอาใจยากครับ  แต่อัลเลาะฮ์ทรงรู้เจตนาของมนุษย์ดี 

และผมเองก็ไม่ทราบว่า  คุณเด็กน้อย ๆ  ยึดบรรทัดฐานของการกระทำที่อียิปต์  มักกะฮ์  มะดีนะฮ์  ด้วยหรือ  ซึ่งหากที่นั่นเขาทำแล้ว  คุณจะกระทำตามด้วยหรือครับ?

คุณลองพิจารณาคำกล่าวของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  ดังนี้ครับ

ท่านอิมามอัสศะยูฏีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวว่า

ولنختم الكتاب بلطائف :الأولى : أن سنة الإطعام سبعة أيام بلغني أنها مستمرة إلى الأن بمكة والمدينة فالظاهر أنها لم تترك من عهد الصحابة ألى الأن وأنهم أخذوها خلفا عن سلف ألى صدر الأول . ورأيت فى التوارخ كثيرا فى تراجم الأئمة بقولون : وأقام الناس على قبره سبعة أيام يقرؤون القران ، وأخرج الحافظ الكبير أبو القاسم بن عساكر فى كتابه المسمي تبيين كذب المفتري فيما نسب ألى الإمام أبى الحسن الأشعرى سمعت الشيخ الفقيه أبا الفتح نصر الله بن محمد بن عبد القوى المصيصي يقول : توفى الشيخ نصر بن إبراهيم المقدسى فى يوم الثلاثاء التاسع من المحرم سنة تسعين وأربعمائة بدمشق وأقمنا على قبره سبع ليال نقرأ كل ليلة عشرين ختمة

"เราาจงจบท้ายบท ด้วยเกล็ดความรู้ที่ละเอียดละออ คือ ประการที่หนึ่ง สุนัตให้อาหาร(เป็นทาน) ในช่วง 7 วัน ซึ่งได้ทราบถึงข้าพเจ้าว่า การที่สุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ยังคงมีการปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ณ ที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ ดังนั้น ที่ชัดเจนแล้ว คือ การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน และพวกเขาได้ทำการเอาการปฏิบัติดังกล่าว ของปราชญ์ค่อลัฟ จาก ปราชญ์สะลัฟ จนกระทั่งถึงยุคแรก(ยุคซอฮาบะฮ์) และข้าพเจ้า(คืออิมามอัสศะยูฏีย์) ได้เห็น(ทราบ)จากบรรดาประวัติศาสตร์มากมายของบรรดานักปราชญ์ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า "บรรดานักปราชญ์ได้ทำการอาศัยอยู่ที่กุบูรผู้เสียชีวติ 7 วัน เพื่อทำการอ่านอัลกุรอาน , ท่านอัลหะฟิซฺผู้ยิ่งใหญ่ คือท่านอบู อัลกอซิม บิน อะซากิร ได้นำเสนอรายงานไว้ในหนังสือของท่านที่มีชื่อว่า "ตับยีน กัซบฺ อัลมุฟตะรีย์ ฟีมา นุซิบ่า อิลา อัลอิมาม อบี อัลหะซัน อัลอัชอะรีย์ ว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่าน ชัยค์ ผู้เป็นนักปราชญ์ฟิกห์ คือ อบู อัลฟัตหฺ นัสรุลเลาะฮ์ บิน มุฮัมมัด บิน อัลดุลก่อวีย์ อัลมะซีซีย์ กล่าวว่า "ท่านชัยค์ นัสรฺ บิน อิบรอฮีม อัลมุก๊ออดิซีย์ ได้เสียชีวติในวันอังคารที่ 9 เดือน มุหัรรอม ปี ที่ 490 ณ นครดิมัชกฺ และการทำการอาศัยที่อยู่ที่กุบูรของเขา 7 คืน เพื่อเราทำการอ่านอัลกุรอานในทุก ๆ คือ ถึง 20 จบ" ดู หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234

หรือว่ามักกะฮ์และมะดีนะฮ์ในปัจจุบันสามารถนำมาเป็นหลักฐานได้  แต่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ในยุคสะลัฟไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ตามทัศนะของคุณเด็กน้อยๆ

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
ท่านอิมามอัสศะยูฏีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวว่า

"เราาจงจบท้ายบท ด้วยเกล็ดความรู้ที่ละเอียดละออ คือ ประการที่หนึ่ง สุนัตให้อาหาร(เป็นทาน) ในช่วง 7 วัน ซึ่งได้ทราบถึงข้าพเจ้าว่า การที่สุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ยังคงมีการปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ณ ที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ ดังนั้น ที่ชัดเจนแล้ว คือ การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน และพวกเขาได้ทำการเอาการปฏิบัติดังกล่าว ของปราชญ์ค่อลัฟ จาก ปราชญ์สะลัฟ จนกระทั่งถึงยุคแรก(ยุคซอฮาบะฮ์) " ดู หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234

หลักการที่อีกกลุ่มหนึ่งยึดมาอ้างว่า  คือสะลัฟทำหรือเปล่า?  ซอฮาบะฮ์ทำหรือเปล่า?  ตาบิอีนทำหรือเปล่า?  ตาบิอิตตาบีอีนทำหรือเปล่า?  หากไม่ทำถือว่าเป็นบิดอะฮ์! 

แล้วสิ่งที่ซอฮาบะฮ์   ตาบิอีน  และตาบิอิตตาบิอีน  และสะลัฟ  เขาทำกันล่ะ  หากไม่ตรงกับสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งจะเอา  เขาจะยอมรับหรือเปล่า?  หรือว่าหากไม่ตรงกับตนแม้สะลัฟจะทำถือว่าบิดอะฮ์    ก็ให้บอกจุดยืนตรง ๆ มาเลย  เราจะได้ทราบถึงหลักการที่แท้จริงของอีกกลุ่มหนึ่ง
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ เด็กน้อยๆ

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 56
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แป้บนะท่าน ขอตอบกระทู้นู้นให้เสร็จก่อน

มีไร ก็โพสต์ไปพลางๆ ละกัน ...
ไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีษที่เชื่อถือได้ => ท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรอง => เมื่อท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรองก็หมายความว่า => อัลลอฮ์ก็ทรงไม่รับรอง

หลักง่ายๆ ในการจำสำหรับการปฏิบัติสิ่งใดๆ ในชีวิต

ถ้าเรื่องดุนยา = มีหลักฐานห้ามหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ทำ...

เรื่องศานา = มีหลักฐานใช้ให้ทำหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ไม่ทำ...

ก็มันง่ายๆ แค่เนี้ยะ .... จะไปทำให้มันยากทำไมกับชีวิต?

ออฟไลน์ เด็กน้อยๆ

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 56
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
วอลัยกุมุสสลาม

ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงนะครับ คุณเว็บมาสเตอร์ ว่าผมพึ่งจะพบบทความนี้ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าเว็บนั้นเท่าไหร่...

อ๋อ แน่นอนละครับ ว่าเมืองมักกะฮ์และมาดีนะฮ์ นำมาเป็นหลักฐานอย่างที่ท่านเข้าใจไม่ได้

แต่ในเมื่อเราก็รู้ๆ กันอยู่ ว่าเมืองมาดีนะฮ์เป็นเมืองที่ยังคงรักษาซุนนะฮ์ของท่านนบีฯ แบบดั้งเดิมได้อย่างเหนียวแน่น

อย่างน้อยมันก็น่าคิดไม่ใช่เหรอครับ? ว่าในเมื่อแหล่งที่ท่านนบีฯ ได้เผยแพร่เป็นอันดับต้นๆ ไม่มีสิ่งที่เรากำลังกระทำกันอยู่ในปัจจุบัน
หรือจะบอกว่า เมืองมาดีนะฮ์ไม่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ กันซะแล้วครับ แต่ว่าพวกเราที่ทำในสิ่งที่ท่านนบีฯ ไม่เคยทำ ซอฮาบะฮ์ก็ไม่เคยทำ
กลายเป็นเเหล่าคนที่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ แทน?

ในส่วนหนังสือที่ท่านอ้างมาคือ "หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234 " ผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดวิชาการแบบท่านสักเท่าไหร่ (ก็เคยบอกไปแล้ว)
ที่จริง ถ้าท่านจะอ้างถึงเรื่องที่ท่านอ้างมา ก็อ้างฮาดีษซอเฮียะบุคอรี/มุสลิม จะไม่ดีกว่าเหรอครับ? ให้มันเห็นๆ กันไปเลย ผมและพี่น้อง จะได้หาเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย
ไม่ใช่มาอ้างหนังสือ อ้างหน้าหนังสือ อย่างที่ท่านทำอยู่

ส่วนที่ท่านบอกมาว่า...

"การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน"

อย่างนี้ มันก็ค้านกับฮาดีษที่บอกว่า หลังจากบุคคลใดๆ ได้ตายลง การงานผลบุญถูกตัด เหลือเพียง 3 ทางเท่านั้น ที่จะได้รับผลบุญสิครับ คือ
1.ความรู้ที่ยังประโยชน์
2.ซอดาเกาะฮ์ญารียะฮ์ (การทำทานถาวร)
3.ลูกซอเเละฮ์ที่ขอดุอาอ์ให้

ไม่เห็นมีการให้อาหารเป็นทานอย่างที่ท่านยกมาเลยครับ? ทำไมมันขัดกันล่ะครับ? เป็นไปได้เหรอครับที่เรื่องศาสนามันจะขัดกันในสิ่งที่ถูกต้อง?
นั่นแหละครับ ผมถึงบอกว่าให้อ้างอิงฮาดิษซอเฮียะมา (เฮ้อ เอาเถ๊อะ ฮาดิษฮาซันก็ยังดี) ก็ท่านดันอ้างหนังสือ มันก็แย้งกันแบบนี้แหละ คราวหน้าขอฮาดีษซอเฮียะไปเลยนะครับ พี่น้องเราในนี้และผมจะได้ไปเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย ไม่ต้องมานั่งดูอ้างอิงหนังสือแทนฮาดิษอีก...

เพราะถ้าท่านอ้างหนังสือน่ะนะครับ โดยที่ไม่มีหลักฐานอัลกุรอ่านหรือฮาดีษที่เชื่อถือได้กำกับ มันก็อดห่วงไม่ได้ละครับ ว่าผู้แต่งหนังสือกำลังใส่ทัศนะตนเองหรือเปล่า?
เพื่อจะได้เป็นหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ตัวเองทำ โดยใส่ความคิดของตนเองเข้าไป แต่ถ้าไม่ใส่ ก็ขอหลักฐานครับ...

เอ้า ตอบที ทำไมที่ท่านอ้างมามันขัดกับฮาดีษข้างต้น เรื่องผลบุญหลังจากมุสลิมตาย 3 ข้อนั้นครับ คุณเว็บมาสเตอร์?


ไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีษที่เชื่อถือได้ => ท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรอง => เมื่อท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรองก็หมายความว่า => อัลลอฮ์ก็ทรงไม่รับรอง

หลักง่ายๆ ในการจำสำหรับการปฏิบัติสิ่งใดๆ ในชีวิต

ถ้าเรื่องดุนยา = มีหลักฐานห้ามหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ทำ...

เรื่องศานา = มีหลักฐานใช้ให้ทำหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ไม่ทำ...

ก็มันง่ายๆ แค่เนี้ยะ .... จะไปทำให้มันยากทำไมกับชีวิต?

ออฟไลน์ เด็กน้อยๆ

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 56
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
เช้าแล้วอ่ะ เอาเป็นว่า ผมออฟไลน์ไปก่อนละกัน ค่อยเข้ามาอ่านคำตอบท่านวันหลัง ไม่ไหวรอท่านตอบ เดี๋ยวไม่ทันละหมาด....

ถ้าท่านจะลบกระทู้นี้ออก ก็ไม่เป็นไรครับ ตามสบาย ถ้างั้นค่อยตอบมาทาง "ข้อความส่วนตัว" ละกันนะ มีภารกิจต้องไปทำต่อ... :D

วัสสลามมุอลัยกุมว่าเราะมะตุ้ลลอฮ์ ว่าบารอกาตุฮ์...
ไม่มีหลักฐานจากอัลฮาดีษที่เชื่อถือได้ => ท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรอง => เมื่อท่านนบีฯ ไม่ได้ให้การรับรองก็หมายความว่า => อัลลอฮ์ก็ทรงไม่รับรอง

หลักง่ายๆ ในการจำสำหรับการปฏิบัติสิ่งใดๆ ในชีวิต

ถ้าเรื่องดุนยา = มีหลักฐานห้ามหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ทำ...

เรื่องศานา = มีหลักฐานใช้ให้ทำหรือเปล่า? ไม่มี เอ้า ! ไม่ทำ...

ก็มันง่ายๆ แค่เนี้ยะ .... จะไปทำให้มันยากทำไมกับชีวิต?

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
วอลัยกุมุสสลาม

ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงนะครับ คุณเว็บมาสเตอร์ ว่าผมพึ่งจะพบบทความนี้ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าเว็บนั้นเท่าไหร่...

นั่นไง  คุณเข้ามาเว๊บไซต์นี้แต่ไม่ค่อยได้อ่านสิ่งที่เว๊บมาสเตอร์และพี่น้องได้ชี้แจงไว้แล้ว  แบบนี้ก็คุยกันไม่รู้เรื่องน่ะซิ  แล้วใครจะมาอยากตอบชี้แจงซ้ำไปซ้ำกับคนดื้อดึงไม่ฟังใครแบบวะฮาบีย์อย่างคุณ  :o

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ส่วนที่ท่านบอกมาว่า...

"การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน"

อย่างนี้ มันก็ค้านกับฮาดีษที่บอกว่า หลังจากบุคคลใดๆ ได้ตายลง การงานผลบุญถูกตัด เหลือเพียง 3 ทางเท่านั้น ที่จะได้รับผลบุญสิครับ คือ
1.ความรู้ที่ยังประโยชน์
2.ซอดาเกาะฮ์ญารียะฮ์ (การทำทานถาวร)
3.ลูกซอเเละฮ์ที่ขอดุอาอ์ให้

ไม่เห็นมีการให้อาหารเป็นทานอย่างที่ท่านยกมาเลยครับ? ทำไมมันขัดกันล่ะครับ? เป็นไปได้เหรอครับที่เรื่องศาสนามันจะขัดกันในสิ่งที่ถูกต้อง?
นั่นแหละครับ ผมถึงบอกว่าให้อ้างอิงฮาดิษซอเฮียะมา (เฮ้อ เอาเถ๊อะ ฮาดิษฮาซันก็ยังดี) ก็ท่านดันอ้างหนังสือ มันก็แย้งกันแบบนี้แหละ คราวหน้าขอฮาดีษซอเฮียะไปเลยนะครับ พี่น้องเราในนี้และผมจะได้ไปเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย ไม่ต้องมานั่งดูอ้างอิงหนังสือแทนฮาดิษอีก...

เพราะถ้าท่านอ้างหนังสือน่ะนะครับ โดยที่ไม่มีหลักฐานอัลกุรอ่านหรือฮาดีษที่เชื่อถือได้กำกับ มันก็อดห่วงไม่ได้ละครับ ว่าผู้แต่งหนังสือกำลังใส่ทัศนะตนเองหรือเปล่า?
เพื่อจะได้เป็นหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ตัวเองทำ โดยใส่ความคิดของตนเองเข้าไป แต่ถ้าไม่ใส่ ก็ขอหลักฐานครับ...

เอ้า ตอบที ทำไมที่ท่านอ้างมามันขัดกับฮาดีษข้างต้น เรื่องผลบุญหลังจากมุสลิมตาย 3 ข้อนั้นครับ คุณเว็บมาสเตอร์?

อะไรกัน  แบบนี้ก็กล่าวหาซอฮาบะฮ์กระทำการที่ขัดแย้งกับหะดิษนบีน่ะซิ   >:(   และท่านอิมามอัศศะยูฏีย์นั้น  เป็นอิมามที่ษิเกาะฮ์ เชื่อถือได้ในการถ่ายทอด ซึ่งท่านได้รับการยอมรับจากโลกอิสลาม  แต่วะฮาบีย์ที่นามว่าเด็กน้อยๆ พยายามเฉไฉบอกว่า  ท่านอิมามอัศศะยูฏีย์อาจจะใส่ความคิดเข้าไป  ฮ่า ๆ ๆ  หมดทางไป

เด็กน้อยๆสังกัดวะฮาบีย์ได้กล่าวอ้างว่า การทำบุญเป็นทานแก่มัยยิดขัดกับหะดิษนบี เพราะอะมัลของเขาจะขาดตอนนอกจาก 3 ประการ

ความหะดิษดังกล่าวนี้ระบุว่า  อะมัลของมนุษย์ที่เสียชีวิตเองนั้น จะขาดตอน นอกจาก 3 ประการ  อันนี้ชัดเจน  แต่การเป็นบุญเป็นทานซอดาเกาะฮ์  การอ่านอัลกุรอาน การซิกรุลลอฮ์  และอื่น ๆ นั้น  เป็นอะมัลของพี่น้องคนอื่นเป็นที่มอบฮะดียะฮ์ไปให้พี่น้องของพวกเขาที่เสียชีวิตนั้น  ไม่ใช่เป็นอะมัลของคนตายที่ขาดตอนนี่ครับ  ดังนั้น  หะดิษนี้ชี้ให้เห็นว่า อะมัลของคนเป็น  สามารถมอบให้แก่มัยยิดได้  โดยไม่ขาดตอนแต่ประการใด

ดังนั้น อะมัลของคนตายย่อมขาดตอน(นอกจาก 3 ประการ) แต่อะมัลของคนเป็นที่มอบให้แก่พี่น้องมุสลิมที่เสียชีวิตย่อมไม่ขาดตอนครับ  พูดง่ายๆคือ  อะมัลของตนเองขาดตอน  ส่วนอะมัลของคนอื่นที่มอบให้ไม่ขาดตอน  เมื่อเป็นเช่นนี้  มันจะขัดหะดิษกันอย่างไรครับแล้วนักหะดิษท่านใดบ้างที่บอกว่าการฮะดียะฮ์ผลบุญให้พี่น้องคนอื่นขัดกับหะดิษนบี  ;D

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
วอลัยกุมุสสลาม

ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงนะครับ คุณเว็บมาสเตอร์ ว่าผมพึ่งจะพบบทความนี้ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าเว็บนั้นเท่าไหร่...

อ๋อ แน่นอนละครับ ว่าเมืองมักกะฮ์และมาดีนะฮ์ นำมาเป็นหลักฐานอย่างที่ท่านเข้าใจไม่ได้

แต่ในเมื่อเราก็รู้ๆ กันอยู่ ว่าเมืองมาดีนะฮ์เป็นเมืองที่ยังคงรักษาซุนนะฮ์ของท่านนบีฯ แบบดั้งเดิมได้อย่างเหนียวแน่น

อย่างน้อยมันก็น่าคิดไม่ใช่เหรอครับ? ว่าในเมื่อแหล่งที่ท่านนบีฯ ได้เผยแพร่เป็นอันดับต้นๆ ไม่มีสิ่งที่เรากำลังกระทำกันอยู่ในปัจจุบัน
หรือจะบอกว่า เมืองมาดีนะฮ์ไม่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ กันซะแล้วครับ แต่ว่าพวกเราที่ทำในสิ่งที่ท่านนบีฯ ไม่เคยทำ ซอฮาบะฮ์ก็ไม่เคยทำ
กลายเป็นเเหล่าคนที่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ แทน?

    เมืองมะดีนะฮ์นั้นผ่านมาตั้ง 1428 ปีแล้วครับ  แต่ละช่วงนั้นก็เปลี่ยนการปกครองไปเรื่อย ๆ  จนกระทั่งปัจจุบันนี้ราชวงศ์ซาอุฯร่วมทำสนธิสัญญากับวะฮาบีย์ในการเกลื้อหนุนจุนเจือซึ่งกันและกัน  ได้มามีบทบาทในมักกะฮ์และมะดีนะฮ์  โดยพยายามเอามักกะฮ์และมะดีนะฮ์มาเป็นโลโก้เพื่อเผยแพร่แนวทางของตน   ชาววะฮาบีย์ก็พยายามโพธนาให้คนปัจจุบันเห็นว่า นี่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ยังทำแบบนี้กันเลย  ซึ่งมักกะฮ์และมะดีนะฮ์นั้นยึดแบบฉบับของท่านร่อซูลุลอฮ์ (ซ.ล.)อย่างเหนียวแน่น  แต่อย่าให้วิจารณ์ของชั่วๆที่มีอยู่ในมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ที่วะฮาบีย์ปกครองอยู่เลยดีกว่าน่ะเพราะอายศาสนิกอื่นที่เข้ามาอ่านเปล่าๆ

    ตราบใดที่ราชวงศ์ซาอุฯยังอยู่  วะฮาบีย์ก็สะดวกในการเผยแพร่แนวทางของตนต่อไป   แต่ราชวงศ์ซาอุจะอยู่ค้ำฟ้าหรือครับ  เพราะว่าต่อไปตระกูลกุเรชจะต้องกลับมาปกครองซาอุอีกครั้ง  ไม่ใช่ตระกูลซาอุลูกพี่วะฮาบีย์

ท่านอิมามอัสศะยูฏีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวว่า

"เราาจงจบท้ายบท ด้วยเกล็ดความรู้ที่ละเอียดละออ คือ ประการที่หนึ่ง สุนัตให้อาหาร(เป็นทาน) ในช่วง 7 วัน ซึ่งได้ทราบถึงข้าพเจ้าว่า การที่สุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ยังคงมีการปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ณ ที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ ดังนั้น ที่ชัดเจนแล้ว คือ การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน และพวกเขาได้ทำการเอาการปฏิบัติดังกล่าว ของปราชญ์ค่อลัฟ จาก ปราชญ์สะลัฟ จนกระทั่งถึงยุคแรก(ยุคซอฮาบะฮ์) " ดู หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234

      ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า  ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  นักปราชญ์หะดิษระดับหน้าและเป็นนักประวัติศาสตร์ได้ยืนยันแล้วว่า  การทำบุญเป็นทานแก่มัยยิด 7 วันเป็นสุนัตที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์เขาทำกัน  ซึ่งไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยซอฮาบะฮ์โน้น  หรือว่าซอฮาบะฮ์  สะลัฟและคอลัฟในมักกะฮ์และมะดีนะฮ์สมัยโน้นทำบิดอะฮ์กันกระจาย  เพิ่งมาทำตามซุนนะฮ์กันตอนยุคสมัยวะฮาบีย์ที่ปกครองโดยราชวงศ์ซาอุฯมีอเมริกาคอยคุ้มครองด้วยกองกำลังทหารอยู่ ;D

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ในส่วนหนังสือที่ท่านอ้างมาคือ "หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234 " ผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดวิชาการแบบท่านสักเท่าไหร่ (ก็เคยบอกไปแล้ว)
ที่จริง ถ้าท่านจะอ้างถึงเรื่องที่ท่านอ้างมา ก็อ้างฮาดีษซอเฮียะบุคอรี/มุสลิม จะไม่ดีกว่าเหรอครับ? ให้มันเห็นๆ กันไปเลย ผมและพี่น้อง จะได้หาเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย

     เราลองมาดูการเผยแพร่ในแง่มุมของวะฮาบีย์กันครับ เวลาเราจะเสวนากับวะฮาบีย์เนี่ย พวกเขาจะไม่ใช้หลักมูลฐานนิติศาสตร์ของสะละฟุศศอลิหฺ แต่เขาจะใช้หลักนิติศาสตร์แบบวะฮาบีย์ กล่าวคือเน้นเฉพาะหลักฐานที่ตัวเองจะเอาเท่านั้น โดยปิดหูปิดตาปิดจมูกปิดสมองไม่รับอะไรอีกแล้วนอกจากสิ่งที่ตนจะเอา

1. พอประเด็นใหนที่มีหะดิษนบีมาระบุและวะฮาบีย์คิดว่านี่แหละใช่แล้ว เขาก็จะอ้างทันทีว่า นี่แหละคือซุนนะฮ์ ทัศนะอื่นบิดอะฮ์ หากมีสะลัฟมีทัศนะอื่นไม่เหมือนกับตน ก็จะบอกว่า สะลัฟผู้นั้นวินิจฉัยผิด และพยายามแอบอ้างว่าเราต้องตามซุนนะฮ์ไม่ใช่ตามสะลัฟคนอื่นที่วินิจฉัยผิด ทั้งที่ทัศนะของสะลัฟคนอื่นนั้นเขาก็มีหลักฐานจากซุนนะฮ์เหมือนกัน (แต่ผิด)

2. พอประเด็นใหนที่สะลัฟไม่เคยกระทำ วะฮาบีย์ก็จะอ้างว่า พวกเขาตามซุนนะฮ์นบีตามสะลัฟเท่านั้น แต่พอมีซอฮาบะฮ์หรือมีสะลัฟท่านหนึ่งได้มีทัศนะที่ขัดกับวะฮาบีย์ ก็จะบอกว่าพวกผมมีทัศนะที่ผิดพลาด เพราะมนุษย์มีผิดและถูก(นอกจากทัศนะวะฮาบีย์เท่านั้นที่ถูกอย่างเดียว)

3. พอประเด็นหนึ่งประเด็นใดที่ อิมามชาฟิอีย์ไม่ได้กล่าวไว้ หรือบรรดาสานุศิษย์หรืออุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์ไม่ได้กล่าวไว้ วะฮาบีย์ก็จะปิดประตูวินิจฉัยทันทีแล้วบอกว่า พวกเขานี่แหละตามมัซฮับชาฟิอีย์และสานุศิษย์มัซฮับชาฟิอีย์ โตมากับมัซฮับชาฟิอีย์ หากไม่มีคำพูดหรือทัศนะของอิมามชาฟิอีย์และสานุศิษย์บอกไว้ เขาจะไม่ตาม พอเวลาตอนนี้ วะฮาบีย์ก็จะอ้างตนทันทีว่า เขาอยู่มัซฮับชาฟิอีย์ของแท้ แต่ผู้ที่อยู่มัซฮับชาฟิอีย์จริง ๆ ก็ถูกมองว่า ไม่ใช่มัซฮับชาฟิอีย์เสียแล้ว

4. วะฮาบีย์พยายามกล่าวอ้างในทัศนะของตนเองเสมอว่า สิ่งที่ตนเองยึดนั้นถูกต้องและมีซุนนะฮ์ซอฮิหฺรับรอง และแอบอ้างอย่างน่าเกลียดว่า นี่แหละมัซฮับชาฟิอีย์ เพราะอิมามชาฟิอีย์บอกว่า "เมื่อหะดิษซอเฮี๊ยะห์ นั่นคือมัซฮับของฉัน" ทั้งที่ อ.วะฮาบีย์ ที่ชอบกล่าวอ้างอย่างนั้น ไร้ความเข้าใจในคำพูดของอิมามชาฟิอีย์

5. แนวทางอื่นผิด แต่แนวทางฉันถูกอย่างเดียว จนผู้ทำรู้วะฮาบีย์บางคนบอกว่า การละหมาดวันศุกร์โดยมีเงื่อนไข 40 คนนั้น ไม่ใช่บทบัญญัติของอัลเลาะฮ์และร่อซูลุลเลาะฮ์ (หมายถึงไม่ใช่หลักการของอิสลาม) ธาติแท้ค่อวาริจญ์เริ่มฉายให้เห็นแล้วล่ะครับ

6.  ล่าสุดครับ  วะฮาบีย์ชอบอ้างสะลัฟ  แต่เวลามีหลักฐานว่าซอฮาบะฮ์และสะลัฟได้กระทำนั้น  วะฮาบีย์ก็จะเลื้อยเป็นปลาไหลโดยบอกว่า  "ก็อ้างฮาดีษซอเฮียะบุคอรี/มุสลิม จะไม่ดีกว่าเหรอครับ? "  คือประเด็นใหนที่ตนเองจนแต้ม ก็จะบอกว่าเอาหลักฐานจากหะดิษบุคอรีมุสลิมเท่านั้นและดีกว่า  แล้วที่วะฮาบีย์มักกะฮ์เขาทำกันน่ะ  มันมีในหะดิษบุคอรีและมุสลิมหรือเปล่า  เช่น ละหมาดตะฮัจยุดเป็นญะมาอะฮ์ในมัสยิดหะรอมทั้งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยทำในเดือนรอมะฏอนซึ่งในบุคอรีและมุสลิมมีเหรือเปล่า?   เวลาจะละหมาดตะรอวิห์ก็จะมีคนกล่าวว่า ซ่อลาตุลญะมาอะฮ์ร่อฮิมะกุมุลลอฮ์  แล้วในซอฮิห์บุคอรีและมุสลิมหรอเปล่า?  อ่านกุนูตวิติรเสียยืดยาวซึ่งถ้อยคำส่วนมากไม่มีระบุจากท่านนบี(ซ.ล.)แล้วในบุคคอรีและมุสลิมมีระบุไว้หรือเปล่า?  อ่านดุอาอ์ค่อตัมอัลกุรอานในละหมาดคืนที่ 27 - 28 ของเดือนร่อมะฏอน  แล้วมีหะดิษบุคคอรีและมุสลิมระบุไว้เปล่า?

หรือว่าสิ่งที่วะฮาบีย์กระทำนั้นเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์?  แต่เราอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ไม่กล่าวบิดอะฮ์ลุ่มหลงใครแบบมักง่ายอยู่แล้ว  เพราะการประเคนนรกให้คนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
ผมเข้าใจว่า  เด็กน้อยๆวะฮาบีย์ท่านนี้  ยังไม่ศึกษาข้อมูลในเว๊บไซต์แห่งนี้อย่างทั่วถึง  ก็เลยเสวนาเรื่องเก่าๆ  เราก็เพียงแค่ก๊อบๆจากกระทู้โน้นกระทู้นี้ มาตอบก็พอแล้ว  เพราะไม่มีอะไรใหม่  ;D

 

GoogleTagged