เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

สุดท้ายท่านก็ทำไม่ได้ ต่อไปท่านก็โดนชาวบ้านครหาแน่นอนครับ ^_^

<< < (3/6) > >>

นูรุ้ลอิสลาม:

--- อ้างจาก: เด็กน้อยๆ ที่ ก.ค. 15, 2007, 04:27 AM ---วอลัยกุมุสสลาม

ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงนะครับ คุณเว็บมาสเตอร์ ว่าผมพึ่งจะพบบทความนี้ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าเว็บนั้นเท่าไหร่...

--- End quote ---

นั่นไง  คุณเข้ามาเว๊บไซต์นี้แต่ไม่ค่อยได้อ่านสิ่งที่เว๊บมาสเตอร์และพี่น้องได้ชี้แจงไว้แล้ว  แบบนี้ก็คุยกันไม่รู้เรื่องน่ะซิ  แล้วใครจะมาอยากตอบชี้แจงซ้ำไปซ้ำกับคนดื้อดึงไม่ฟังใครแบบวะฮาบีย์อย่างคุณ  :o

นูรุ้ลอิสลาม:

--- อ้างจาก: เด็กน้อยๆ ที่ ก.ค. 15, 2007, 04:27 AM ---ส่วนที่ท่านบอกมาว่า...

"การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน"

อย่างนี้ มันก็ค้านกับฮาดีษที่บอกว่า หลังจากบุคคลใดๆ ได้ตายลง การงานผลบุญถูกตัด เหลือเพียง 3 ทางเท่านั้น ที่จะได้รับผลบุญสิครับ คือ
1.ความรู้ที่ยังประโยชน์
2.ซอดาเกาะฮ์ญารียะฮ์ (การทำทานถาวร)
3.ลูกซอเเละฮ์ที่ขอดุอาอ์ให้

ไม่เห็นมีการให้อาหารเป็นทานอย่างที่ท่านยกมาเลยครับ? ทำไมมันขัดกันล่ะครับ? เป็นไปได้เหรอครับที่เรื่องศาสนามันจะขัดกันในสิ่งที่ถูกต้อง?
นั่นแหละครับ ผมถึงบอกว่าให้อ้างอิงฮาดิษซอเฮียะมา (เฮ้อ เอาเถ๊อะ ฮาดิษฮาซันก็ยังดี) ก็ท่านดันอ้างหนังสือ มันก็แย้งกันแบบนี้แหละ คราวหน้าขอฮาดีษซอเฮียะไปเลยนะครับ พี่น้องเราในนี้และผมจะได้ไปเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย ไม่ต้องมานั่งดูอ้างอิงหนังสือแทนฮาดิษอีก...

เพราะถ้าท่านอ้างหนังสือน่ะนะครับ โดยที่ไม่มีหลักฐานอัลกุรอ่านหรือฮาดีษที่เชื่อถือได้กำกับ มันก็อดห่วงไม่ได้ละครับ ว่าผู้แต่งหนังสือกำลังใส่ทัศนะตนเองหรือเปล่า?
เพื่อจะได้เป็นหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ตัวเองทำ โดยใส่ความคิดของตนเองเข้าไป แต่ถ้าไม่ใส่ ก็ขอหลักฐานครับ...

เอ้า ตอบที ทำไมที่ท่านอ้างมามันขัดกับฮาดีษข้างต้น เรื่องผลบุญหลังจากมุสลิมตาย 3 ข้อนั้นครับ คุณเว็บมาสเตอร์?

--- End quote ---

อะไรกัน  แบบนี้ก็กล่าวหาซอฮาบะฮ์กระทำการที่ขัดแย้งกับหะดิษนบีน่ะซิ   >:(   และท่านอิมามอัศศะยูฏีย์นั้น  เป็นอิมามที่ษิเกาะฮ์ เชื่อถือได้ในการถ่ายทอด ซึ่งท่านได้รับการยอมรับจากโลกอิสลาม  แต่วะฮาบีย์ที่นามว่าเด็กน้อยๆ พยายามเฉไฉบอกว่า  ท่านอิมามอัศศะยูฏีย์อาจจะใส่ความคิดเข้าไป  ฮ่า ๆ ๆ  หมดทางไป

เด็กน้อยๆสังกัดวะฮาบีย์ได้กล่าวอ้างว่า การทำบุญเป็นทานแก่มัยยิดขัดกับหะดิษนบี เพราะอะมัลของเขาจะขาดตอนนอกจาก 3 ประการ

ความหะดิษดังกล่าวนี้ระบุว่า  อะมัลของมนุษย์ที่เสียชีวิตเองนั้น จะขาดตอน นอกจาก 3 ประการ  อันนี้ชัดเจน  แต่การเป็นบุญเป็นทานซอดาเกาะฮ์  การอ่านอัลกุรอาน การซิกรุลลอฮ์  และอื่น ๆ นั้น  เป็นอะมัลของพี่น้องคนอื่นเป็นที่มอบฮะดียะฮ์ไปให้พี่น้องของพวกเขาที่เสียชีวิตนั้น  ไม่ใช่เป็นอะมัลของคนตายที่ขาดตอนนี่ครับ  ดังนั้น  หะดิษนี้ชี้ให้เห็นว่า อะมัลของคนเป็น  สามารถมอบให้แก่มัยยิดได้  โดยไม่ขาดตอนแต่ประการใด

ดังนั้น อะมัลของคนตายย่อมขาดตอน(นอกจาก 3 ประการ) แต่อะมัลของคนเป็นที่มอบให้แก่พี่น้องมุสลิมที่เสียชีวิตย่อมไม่ขาดตอนครับ  พูดง่ายๆคือ  อะมัลของตนเองขาดตอน  ส่วนอะมัลของคนอื่นที่มอบให้ไม่ขาดตอน  เมื่อเป็นเช่นนี้  มันจะขัดหะดิษกันอย่างไรครับแล้วนักหะดิษท่านใดบ้างที่บอกว่าการฮะดียะฮ์ผลบุญให้พี่น้องคนอื่นขัดกับหะดิษนบี  ;D

นูรุ้ลอิสลาม:

--- อ้างจาก: เด็กน้อยๆ ที่ ก.ค. 15, 2007, 04:27 AM ---วอลัยกุมุสสลาม

ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงนะครับ คุณเว็บมาสเตอร์ ว่าผมพึ่งจะพบบทความนี้ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าเว็บนั้นเท่าไหร่...

อ๋อ แน่นอนละครับ ว่าเมืองมักกะฮ์และมาดีนะฮ์ นำมาเป็นหลักฐานอย่างที่ท่านเข้าใจไม่ได้

แต่ในเมื่อเราก็รู้ๆ กันอยู่ ว่าเมืองมาดีนะฮ์เป็นเมืองที่ยังคงรักษาซุนนะฮ์ของท่านนบีฯ แบบดั้งเดิมได้อย่างเหนียวแน่น

อย่างน้อยมันก็น่าคิดไม่ใช่เหรอครับ? ว่าในเมื่อแหล่งที่ท่านนบีฯ ได้เผยแพร่เป็นอันดับต้นๆ ไม่มีสิ่งที่เรากำลังกระทำกันอยู่ในปัจจุบัน
หรือจะบอกว่า เมืองมาดีนะฮ์ไม่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ กันซะแล้วครับ แต่ว่าพวกเราที่ทำในสิ่งที่ท่านนบีฯ ไม่เคยทำ ซอฮาบะฮ์ก็ไม่เคยทำ
กลายเป็นเเหล่าคนที่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ แทน?

--- End quote ---

    เมืองมะดีนะฮ์นั้นผ่านมาตั้ง 1428 ปีแล้วครับ  แต่ละช่วงนั้นก็เปลี่ยนการปกครองไปเรื่อย ๆ  จนกระทั่งปัจจุบันนี้ราชวงศ์ซาอุฯร่วมทำสนธิสัญญากับวะฮาบีย์ในการเกลื้อหนุนจุนเจือซึ่งกันและกัน  ได้มามีบทบาทในมักกะฮ์และมะดีนะฮ์  โดยพยายามเอามักกะฮ์และมะดีนะฮ์มาเป็นโลโก้เพื่อเผยแพร่แนวทางของตน   ชาววะฮาบีย์ก็พยายามโพธนาให้คนปัจจุบันเห็นว่า นี่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ยังทำแบบนี้กันเลย  ซึ่งมักกะฮ์และมะดีนะฮ์นั้นยึดแบบฉบับของท่านร่อซูลุลอฮ์ (ซ.ล.)อย่างเหนียวแน่น  แต่อย่าให้วิจารณ์ของชั่วๆที่มีอยู่ในมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ที่วะฮาบีย์ปกครองอยู่เลยดีกว่าน่ะเพราะอายศาสนิกอื่นที่เข้ามาอ่านเปล่าๆ

    ตราบใดที่ราชวงศ์ซาอุฯยังอยู่  วะฮาบีย์ก็สะดวกในการเผยแพร่แนวทางของตนต่อไป   แต่ราชวงศ์ซาอุจะอยู่ค้ำฟ้าหรือครับ  เพราะว่าต่อไปตระกูลกุเรชจะต้องกลับมาปกครองซาอุอีกครั้ง  ไม่ใช่ตระกูลซาอุลูกพี่วะฮาบีย์

ท่านอิมามอัสศะยูฏีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวว่า

"เราาจงจบท้ายบท ด้วยเกล็ดความรู้ที่ละเอียดละออ คือ ประการที่หนึ่ง สุนัตให้อาหาร(เป็นทาน) ในช่วง 7 วัน ซึ่งได้ทราบถึงข้าพเจ้าว่า การที่สุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ยังคงมีการปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ณ ที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ ดังนั้น ที่ชัดเจนแล้ว คือ การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน และพวกเขาได้ทำการเอาการปฏิบัติดังกล่าว ของปราชญ์ค่อลัฟ จาก ปราชญ์สะลัฟ จนกระทั่งถึงยุคแรก(ยุคซอฮาบะฮ์) " ดู หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234

      ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า  ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  นักปราชญ์หะดิษระดับหน้าและเป็นนักประวัติศาสตร์ได้ยืนยันแล้วว่า  การทำบุญเป็นทานแก่มัยยิด 7 วันเป็นสุนัตที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์เขาทำกัน  ซึ่งไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยซอฮาบะฮ์โน้น  หรือว่าซอฮาบะฮ์  สะลัฟและคอลัฟในมักกะฮ์และมะดีนะฮ์สมัยโน้นทำบิดอะฮ์กันกระจาย  เพิ่งมาทำตามซุนนะฮ์กันตอนยุคสมัยวะฮาบีย์ที่ปกครองโดยราชวงศ์ซาอุฯมีอเมริกาคอยคุ้มครองด้วยกองกำลังทหารอยู่ ;D

นูรุ้ลอิสลาม:

--- อ้างจาก: เด็กน้อยๆ ที่ ก.ค. 15, 2007, 04:27 AM ---ในส่วนหนังสือที่ท่านอ้างมาคือ "หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234 " ผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดวิชาการแบบท่านสักเท่าไหร่ (ก็เคยบอกไปแล้ว)
ที่จริง ถ้าท่านจะอ้างถึงเรื่องที่ท่านอ้างมา ก็อ้างฮาดีษซอเฮียะบุคอรี/มุสลิม จะไม่ดีกว่าเหรอครับ? ให้มันเห็นๆ กันไปเลย ผมและพี่น้อง จะได้หาเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย

--- End quote ---

     เราลองมาดูการเผยแพร่ในแง่มุมของวะฮาบีย์กันครับ เวลาเราจะเสวนากับวะฮาบีย์เนี่ย พวกเขาจะไม่ใช้หลักมูลฐานนิติศาสตร์ของสะละฟุศศอลิหฺ แต่เขาจะใช้หลักนิติศาสตร์แบบวะฮาบีย์ กล่าวคือเน้นเฉพาะหลักฐานที่ตัวเองจะเอาเท่านั้น โดยปิดหูปิดตาปิดจมูกปิดสมองไม่รับอะไรอีกแล้วนอกจากสิ่งที่ตนจะเอา

1. พอประเด็นใหนที่มีหะดิษนบีมาระบุและวะฮาบีย์คิดว่านี่แหละใช่แล้ว เขาก็จะอ้างทันทีว่า นี่แหละคือซุนนะฮ์ ทัศนะอื่นบิดอะฮ์ หากมีสะลัฟมีทัศนะอื่นไม่เหมือนกับตน ก็จะบอกว่า สะลัฟผู้นั้นวินิจฉัยผิด และพยายามแอบอ้างว่าเราต้องตามซุนนะฮ์ไม่ใช่ตามสะลัฟคนอื่นที่วินิจฉัยผิด ทั้งที่ทัศนะของสะลัฟคนอื่นนั้นเขาก็มีหลักฐานจากซุนนะฮ์เหมือนกัน (แต่ผิด)

2. พอประเด็นใหนที่สะลัฟไม่เคยกระทำ วะฮาบีย์ก็จะอ้างว่า พวกเขาตามซุนนะฮ์นบีตามสะลัฟเท่านั้น แต่พอมีซอฮาบะฮ์หรือมีสะลัฟท่านหนึ่งได้มีทัศนะที่ขัดกับวะฮาบีย์ ก็จะบอกว่าพวกผมมีทัศนะที่ผิดพลาด เพราะมนุษย์มีผิดและถูก(นอกจากทัศนะวะฮาบีย์เท่านั้นที่ถูกอย่างเดียว)

3. พอประเด็นหนึ่งประเด็นใดที่ อิมามชาฟิอีย์ไม่ได้กล่าวไว้ หรือบรรดาสานุศิษย์หรืออุลามาอ์มัซฮับชาฟิอีย์ไม่ได้กล่าวไว้ วะฮาบีย์ก็จะปิดประตูวินิจฉัยทันทีแล้วบอกว่า พวกเขานี่แหละตามมัซฮับชาฟิอีย์และสานุศิษย์มัซฮับชาฟิอีย์ โตมากับมัซฮับชาฟิอีย์ หากไม่มีคำพูดหรือทัศนะของอิมามชาฟิอีย์และสานุศิษย์บอกไว้ เขาจะไม่ตาม พอเวลาตอนนี้ วะฮาบีย์ก็จะอ้างตนทันทีว่า เขาอยู่มัซฮับชาฟิอีย์ของแท้ แต่ผู้ที่อยู่มัซฮับชาฟิอีย์จริง ๆ ก็ถูกมองว่า ไม่ใช่มัซฮับชาฟิอีย์เสียแล้ว

4. วะฮาบีย์พยายามกล่าวอ้างในทัศนะของตนเองเสมอว่า สิ่งที่ตนเองยึดนั้นถูกต้องและมีซุนนะฮ์ซอฮิหฺรับรอง และแอบอ้างอย่างน่าเกลียดว่า นี่แหละมัซฮับชาฟิอีย์ เพราะอิมามชาฟิอีย์บอกว่า "เมื่อหะดิษซอเฮี๊ยะห์ นั่นคือมัซฮับของฉัน" ทั้งที่ อ.วะฮาบีย์ ที่ชอบกล่าวอ้างอย่างนั้น ไร้ความเข้าใจในคำพูดของอิมามชาฟิอีย์

5. แนวทางอื่นผิด แต่แนวทางฉันถูกอย่างเดียว จนผู้ทำรู้วะฮาบีย์บางคนบอกว่า การละหมาดวันศุกร์โดยมีเงื่อนไข 40 คนนั้น ไม่ใช่บทบัญญัติของอัลเลาะฮ์และร่อซูลุลเลาะฮ์ (หมายถึงไม่ใช่หลักการของอิสลาม) ธาติแท้ค่อวาริจญ์เริ่มฉายให้เห็นแล้วล่ะครับ

6.  ล่าสุดครับ  วะฮาบีย์ชอบอ้างสะลัฟ  แต่เวลามีหลักฐานว่าซอฮาบะฮ์และสะลัฟได้กระทำนั้น  วะฮาบีย์ก็จะเลื้อยเป็นปลาไหลโดยบอกว่า  "ก็อ้างฮาดีษซอเฮียะบุคอรี/มุสลิม จะไม่ดีกว่าเหรอครับ? "  คือประเด็นใหนที่ตนเองจนแต้ม ก็จะบอกว่าเอาหลักฐานจากหะดิษบุคอรีมุสลิมเท่านั้นและดีกว่า  แล้วที่วะฮาบีย์มักกะฮ์เขาทำกันน่ะ  มันมีในหะดิษบุคอรีและมุสลิมหรือเปล่า  เช่น ละหมาดตะฮัจยุดเป็นญะมาอะฮ์ในมัสยิดหะรอมทั้งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ไม่เคยทำในเดือนรอมะฏอนซึ่งในบุคอรีและมุสลิมมีเหรือเปล่า?   เวลาจะละหมาดตะรอวิห์ก็จะมีคนกล่าวว่า ซ่อลาตุลญะมาอะฮ์ร่อฮิมะกุมุลลอฮ์  แล้วในซอฮิห์บุคอรีและมุสลิมหรอเปล่า?  อ่านกุนูตวิติรเสียยืดยาวซึ่งถ้อยคำส่วนมากไม่มีระบุจากท่านนบี(ซ.ล.)แล้วในบุคคอรีและมุสลิมมีระบุไว้หรือเปล่า?  อ่านดุอาอ์ค่อตัมอัลกุรอานในละหมาดคืนที่ 27 - 28 ของเดือนร่อมะฏอน  แล้วมีหะดิษบุคคอรีและมุสลิมระบุไว้เปล่า?

หรือว่าสิ่งที่วะฮาบีย์กระทำนั้นเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์?  แต่เราอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ไม่กล่าวบิดอะฮ์ลุ่มหลงใครแบบมักง่ายอยู่แล้ว  เพราะการประเคนนรกให้คนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก

นูรุ้ลอิสลาม:
ผมเข้าใจว่า  เด็กน้อยๆวะฮาบีย์ท่านนี้  ยังไม่ศึกษาข้อมูลในเว๊บไซต์แห่งนี้อย่างทั่วถึง  ก็เลยเสวนาเรื่องเก่าๆ  เราก็เพียงแค่ก๊อบๆจากกระทู้โน้นกระทู้นี้ มาตอบก็พอแล้ว  เพราะไม่มีอะไรใหม่  ;D

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version