เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
สุดท้ายท่านก็ทำไม่ได้ ต่อไปท่านก็โดนชาวบ้านครหาแน่นอนครับ ^_^
al-azhary:
--- อ้างจาก: เด็กน้อยๆ ที่ ก.ค. 15, 2007, 03:09 AM ---อ๋อ ลบมานานแล้ว โอเคครับเข้าใจ
ผมจัดการลบลายเซ็นให้ได้ แต่คงต้องเเลกกับการที่ลิงค์นี้คงไปโผล่ในหลายๆ ที่ ต่อไปท่านคงลำบากหน่อยนะครับ พอกลับมา
อนึ่ง ท่านบอกว่า ท่านกลัวอัลลอฮ์ ดังนั้น เมื่อท่านไปเรียนถึงอียิปต์ ไคโร อยากทราบจริงๆ ว่าที่ไคโรนี่เค้าทำบุญกัน 7 วันหรือเปล่า?
มีอ่านอีซีกูโบร์ไหม? ถ้ามี ก็น่าสนใจ น่าค้นหาข้อมูลเพื่อสืบเสาะสำหรับการปฏิบัติตาม แต่ถ้าไม่มี แล้วที่มาดีนะฮ์ มักกะฮ์ก็ไม่มี
และก็ไม่ทำ เพราะหาหลักฐานอ้างอิงที่หนักแน่นไม่เจอ
แล้วท่านจะตอบต่อหน้าอัลลอฮ์อย่างไรครับ? ตรงนี้แหละที่มันวัดกันว่า ท่านกลัวอัลลอฮ์จริงหรือเปล่า?
ช่วยตอบผมที?...
--- End quote ---
ขอบคุณที่คุณเข้าใจ หากคุณลบลายเซ็นแล้ว และคุณก็นำไปนำเสนอลิงค์ที่อื่น ๆ นั้น ตามสบายเลยครับ เพราะลิงค์ดังกล่าว เขาเผยแพร่มันมาเยอะแล้ว คุณเพิ่งเจอหรือยังไงกัน แต่เวปไซท์ที่ฮุกุ่มพี่น้องมุสลิมีนส่วนใหญ่เป็นบิดอะอ์นั้น กรุณาอย่ามาลิงค์พี่นี้ นอกจากกรณีจำเป็น
ส่วนจะให้ผมตอบต่อหน้าอัลเลาะฮ์อย่างไรนั้น ? คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะอัลเลาะฮ์ทรงรอบรู้ถึงจิตใจและการปฏิบัติของมนุษย์ดี เรามีสิทธิ์ที่จะทุ่มเทค้นคว้าอุตสาหะในการทำอิบาดะฮ์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบกว้าง ๆ หรืออยู่ในรูปแบบเฉพาะเจาะจง มนุษย์นั้นเอาใจยากครับ แต่อัลเลาะฮ์ทรงรู้เจตนาของมนุษย์ดี
และผมเองก็ไม่ทราบว่า คุณเด็กน้อย ๆ ยึดบรรทัดฐานของการกระทำที่อียิปต์ มักกะฮ์ มะดีนะฮ์ ด้วยหรือ ซึ่งหากที่นั่นเขาทำแล้ว คุณจะกระทำตามด้วยหรือครับ?
คุณลองพิจารณาคำกล่าวของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ดังนี้ครับ
ท่านอิมามอัสศะยูฏีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวว่า
ولنختم الكتاب بلطائف :الأولى : أن سنة الإطعام سبعة أيام بلغني أنها مستمرة إلى الأن بمكة والمدينة فالظاهر أنها لم تترك من عهد الصحابة ألى الأن وأنهم أخذوها خلفا عن سلف ألى صدر الأول . ورأيت فى التوارخ كثيرا فى تراجم الأئمة بقولون : وأقام الناس على قبره سبعة أيام يقرؤون القران ، وأخرج الحافظ الكبير أبو القاسم بن عساكر فى كتابه المسمي تبيين كذب المفتري فيما نسب ألى الإمام أبى الحسن الأشعرى سمعت الشيخ الفقيه أبا الفتح نصر الله بن محمد بن عبد القوى المصيصي يقول : توفى الشيخ نصر بن إبراهيم المقدسى فى يوم الثلاثاء التاسع من المحرم سنة تسعين وأربعمائة بدمشق وأقمنا على قبره سبع ليال نقرأ كل ليلة عشرين ختمة
"เราาจงจบท้ายบท ด้วยเกล็ดความรู้ที่ละเอียดละออ คือ ประการที่หนึ่ง สุนัตให้อาหาร(เป็นทาน) ในช่วง 7 วัน ซึ่งได้ทราบถึงข้าพเจ้าว่า การที่สุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ยังคงมีการปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ณ ที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ ดังนั้น ที่ชัดเจนแล้ว คือ การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน และพวกเขาได้ทำการเอาการปฏิบัติดังกล่าว ของปราชญ์ค่อลัฟ จาก ปราชญ์สะลัฟ จนกระทั่งถึงยุคแรก(ยุคซอฮาบะฮ์) และข้าพเจ้า(คืออิมามอัสศะยูฏีย์) ได้เห็น(ทราบ)จากบรรดาประวัติศาสตร์มากมายของบรรดานักปราชญ์ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า "บรรดานักปราชญ์ได้ทำการอาศัยอยู่ที่กุบูรผู้เสียชีวติ 7 วัน เพื่อทำการอ่านอัลกุรอาน , ท่านอัลหะฟิซฺผู้ยิ่งใหญ่ คือท่านอบู อัลกอซิม บิน อะซากิร ได้นำเสนอรายงานไว้ในหนังสือของท่านที่มีชื่อว่า "ตับยีน กัซบฺ อัลมุฟตะรีย์ ฟีมา นุซิบ่า อิลา อัลอิมาม อบี อัลหะซัน อัลอัชอะรีย์ ว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่าน ชัยค์ ผู้เป็นนักปราชญ์ฟิกห์ คือ อบู อัลฟัตหฺ นัสรุลเลาะฮ์ บิน มุฮัมมัด บิน อัลดุลก่อวีย์ อัลมะซีซีย์ กล่าวว่า "ท่านชัยค์ นัสรฺ บิน อิบรอฮีม อัลมุก๊ออดิซีย์ ได้เสียชีวติในวันอังคารที่ 9 เดือน มุหัรรอม ปี ที่ 490 ณ นครดิมัชกฺ และการทำการอาศัยที่อยู่ที่กุบูรของเขา 7 คืน เพื่อเราทำการอ่านอัลกุรอานในทุก ๆ คือ ถึง 20 จบ" ดู หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234
หรือว่ามักกะฮ์และมะดีนะฮ์ในปัจจุบันสามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ แต่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์ในยุคสะลัฟไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ตามทัศนะของคุณเด็กน้อยๆ
วัลลอฮุอะลัม
al-azhary:
ท่านอิมามอัสศะยูฏีย์(ร.ฏ.) ได้กล่าวว่า
"เราาจงจบท้ายบท ด้วยเกล็ดความรู้ที่ละเอียดละออ คือ ประการที่หนึ่ง สุนัตให้อาหาร(เป็นทาน) ในช่วง 7 วัน ซึ่งได้ทราบถึงข้าพเจ้าว่า การที่สุนัตให้อาหารเป็นทานแก่มัยยิด ยังคงมีการปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่องจากถึงปัจจุบัน ณ ที่นครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ ดังนั้น ที่ชัดเจนแล้ว คือ การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน และพวกเขาได้ทำการเอาการปฏิบัติดังกล่าว ของปราชญ์ค่อลัฟ จาก ปราชญ์สะลัฟ จนกระทั่งถึงยุคแรก(ยุคซอฮาบะฮ์) " ดู หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234
หลักการที่อีกกลุ่มหนึ่งยึดมาอ้างว่า คือสะลัฟทำหรือเปล่า? ซอฮาบะฮ์ทำหรือเปล่า? ตาบิอีนทำหรือเปล่า? ตาบิอิตตาบีอีนทำหรือเปล่า? หากไม่ทำถือว่าเป็นบิดอะฮ์!
แล้วสิ่งที่ซอฮาบะฮ์ ตาบิอีน และตาบิอิตตาบิอีน และสะลัฟ เขาทำกันล่ะ หากไม่ตรงกับสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งจะเอา เขาจะยอมรับหรือเปล่า? หรือว่าหากไม่ตรงกับตนแม้สะลัฟจะทำถือว่าบิดอะฮ์ ก็ให้บอกจุดยืนตรง ๆ มาเลย เราจะได้ทราบถึงหลักการที่แท้จริงของอีกกลุ่มหนึ่ง
เด็กน้อยๆ:
แป้บนะท่าน ขอตอบกระทู้นู้นให้เสร็จก่อน
มีไร ก็โพสต์ไปพลางๆ ละกัน ...
เด็กน้อยๆ:
วอลัยกุมุสสลาม
ก็ต้องตอบตามความเป็นจริงนะครับ คุณเว็บมาสเตอร์ ว่าผมพึ่งจะพบบทความนี้ เพราะผมไม่ค่อยได้เข้าเว็บนั้นเท่าไหร่...
อ๋อ แน่นอนละครับ ว่าเมืองมักกะฮ์และมาดีนะฮ์ นำมาเป็นหลักฐานอย่างที่ท่านเข้าใจไม่ได้
แต่ในเมื่อเราก็รู้ๆ กันอยู่ ว่าเมืองมาดีนะฮ์เป็นเมืองที่ยังคงรักษาซุนนะฮ์ของท่านนบีฯ แบบดั้งเดิมได้อย่างเหนียวแน่น
อย่างน้อยมันก็น่าคิดไม่ใช่เหรอครับ? ว่าในเมื่อแหล่งที่ท่านนบีฯ ได้เผยแพร่เป็นอันดับต้นๆ ไม่มีสิ่งที่เรากำลังกระทำกันอยู่ในปัจจุบัน
หรือจะบอกว่า เมืองมาดีนะฮ์ไม่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ กันซะแล้วครับ แต่ว่าพวกเราที่ทำในสิ่งที่ท่านนบีฯ ไม่เคยทำ ซอฮาบะฮ์ก็ไม่เคยทำ
กลายเป็นเเหล่าคนที่รักษาซุนนะฮ์นบีฯ แทน?
ในส่วนหนังสือที่ท่านอ้างมาคือ "หนังสือ อัลหาวีย์ ฟี อัลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 234 " ผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดวิชาการแบบท่านสักเท่าไหร่ (ก็เคยบอกไปแล้ว)
ที่จริง ถ้าท่านจะอ้างถึงเรื่องที่ท่านอ้างมา ก็อ้างฮาดีษซอเฮียะบุคอรี/มุสลิม จะไม่ดีกว่าเหรอครับ? ให้มันเห็นๆ กันไปเลย ผมและพี่น้อง จะได้หาเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย
ไม่ใช่มาอ้างหนังสือ อ้างหน้าหนังสือ อย่างที่ท่านทำอยู่
ส่วนที่ท่านบอกมาว่า...
"การสุนัตให้อาหาร(เป็นทานแก่มัยยิด)นั้น ไม่เคยถูกทิ้งการกระทำมาเลยตั้งแต่สมัยของซอฮาบะฮ จวบจนถึงปัจจุบัน"
อย่างนี้ มันก็ค้านกับฮาดีษที่บอกว่า หลังจากบุคคลใดๆ ได้ตายลง การงานผลบุญถูกตัด เหลือเพียง 3 ทางเท่านั้น ที่จะได้รับผลบุญสิครับ คือ
1.ความรู้ที่ยังประโยชน์
2.ซอดาเกาะฮ์ญารียะฮ์ (การทำทานถาวร)
3.ลูกซอเเละฮ์ที่ขอดุอาอ์ให้
ไม่เห็นมีการให้อาหารเป็นทานอย่างที่ท่านยกมาเลยครับ? ทำไมมันขัดกันล่ะครับ? เป็นไปได้เหรอครับที่เรื่องศาสนามันจะขัดกันในสิ่งที่ถูกต้อง?
นั่นแหละครับ ผมถึงบอกว่าให้อ้างอิงฮาดิษซอเฮียะมา (เฮ้อ เอาเถ๊อะ ฮาดิษฮาซันก็ยังดี) ก็ท่านดันอ้างหนังสือ มันก็แย้งกันแบบนี้แหละ คราวหน้าขอฮาดีษซอเฮียะไปเลยนะครับ พี่น้องเราในนี้และผมจะได้ไปเปิดดูกันง่ายๆ หน่อย ไม่ต้องมานั่งดูอ้างอิงหนังสือแทนฮาดิษอีก...
เพราะถ้าท่านอ้างหนังสือน่ะนะครับ โดยที่ไม่มีหลักฐานอัลกุรอ่านหรือฮาดีษที่เชื่อถือได้กำกับ มันก็อดห่วงไม่ได้ละครับ ว่าผู้แต่งหนังสือกำลังใส่ทัศนะตนเองหรือเปล่า?
เพื่อจะได้เป็นหลักฐานยืนยันในสิ่งที่ตัวเองทำ โดยใส่ความคิดของตนเองเข้าไป แต่ถ้าไม่ใส่ ก็ขอหลักฐานครับ...
เอ้า ตอบที ทำไมที่ท่านอ้างมามันขัดกับฮาดีษข้างต้น เรื่องผลบุญหลังจากมุสลิมตาย 3 ข้อนั้นครับ คุณเว็บมาสเตอร์?
เด็กน้อยๆ:
เช้าแล้วอ่ะ เอาเป็นว่า ผมออฟไลน์ไปก่อนละกัน ค่อยเข้ามาอ่านคำตอบท่านวันหลัง ไม่ไหวรอท่านตอบ เดี๋ยวไม่ทันละหมาด....
ถ้าท่านจะลบกระทู้นี้ออก ก็ไม่เป็นไรครับ ตามสบาย ถ้างั้นค่อยตอบมาทาง "ข้อความส่วนตัว" ละกันนะ มีภารกิจต้องไปทำต่อ... :D
วัสสลามมุอลัยกุมว่าเราะมะตุ้ลลอฮ์ ว่าบารอกาตุฮ์...
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version