salam
สำหรับผมนั้น อาจารย์ที่ดีที่สุดสำหรับผมนั่นก็คือ ท่านนบีมุหัมมัด ศ.ล. ครับ เพราะแม้แต่วินาทีสุดท้ายของชีวิตท่าน ท่านยังอุตส่าห์เป็นห่วง และอุมมะฮฺมุสลิมทุกคนเลย จำได้ไม๊ ประโยคสุดท้ายที่ท่านกล่าวก่อนวะฟาตคืออะไร หลายคนคงนึกออก แต่อีกหลายคนคงนึกไม่ออกเช่นกัน งั้นผมบอกก็ได้คือ คำว่า "อุมมะตี อุมมะตี" (ประชาชาติของฉัน ประชาชาติของฉัน) ความรู้สึกตอนที่ได้ยินคำนี้ ตอนอ่านหนังสือชีวประวัติอันยืดยาวของท่านนั้น ผมขนลุก และน้ำคลอเบา

แบบไม่รู้ตัวอะครับ มันสุดบรรยายอะครับ และคิดว่าอีกหลายคนก็คงจะรู้สึกเหมือนผมเช่นกัน สุดจะบรรยาย เพราะบรรยายไม่ได้จริง
ส่วนอาจารย์ที่ผมได้เคยมีชีวิตร่วมสมัยกับท่านมาช่วงหนึ่ง แต่ตอนนี้ท่านได้เสียชีวิตไปแล้วนั้น เป็นโต๊ะอิม่ามที่ชุมชนของผมเอง ท่านชื่อ อัล-มัรฮูม อับดุลกอดิร บิน...(จำไม่ได้ อิอิ) อัล-ฟาฏอนีย์ ท่านเป็นคนที่ใครๆ ก็เกรงขาม ท่านจะไม่ก้มหัวให้ใครง่าย นอกจากคนนั้นจะยึดหลักมั่นในศาสนาเท่านั้น ผมเคยฟังท่านบรรยายศาสนามาหลายครั้งแล้ว ท่านย้ำเสมอว่า "ตราบใดที่อัลเลาะฮฺยังไม่เอาฉันไป มาเถิด มาเก็บเกี่ยวความรู้จากฉัน ฉันจะให้ท่านอย่างเต็มความสามารถ หากท่านต้องการ จงอย่าอาย มาเถิด ฉันชอบคนที่แสวงหาความรู้ เพราะอามัลของคนที่มีความรู้นั้นย่อมดีกว่าคนที่ไม่มีความรู้" ผมฟังประโยคนี้จากท่านบ่อยมากๆ ท่านเน้นย้ำทุกครั้ง เมื่อท่านได้มีโอกาสเทศนาธรรมต่อผู้คนในชุมชน ท่านเป็นที่กล้าหาญดุจนักรบ ท่านไม่เคยกล้าที่จะต่อว่าผู้ที่มีอิทธิพลแถว 3จ. หากเขาประพฤติผิดครรลองศาสนา แต่ท่านจะอ่อนโยนมากๆ กับเด็ก ผู้หญิง และคนแก่ ท่านจะไม่ยอมละหมาดจนกว่าแถวละหมาดจะตรงเสียก่อน ซึ่งท่านกำชับเสมอในเรื่องนี้ ท่านรังเกียจการตบแต่ง ประดับประดา มัสญิดมาก เพราะเคยมีครั้งผมจำได้ คือ มีคนเอาภาพมัสญิดรูปหนึ่ง ซึ่งสวยมากๆ ผมยังชอบเลย เอามาเสนอต่อโต๊ะอิม่าม แต่ท่านกลับแสดงหน้าไม่พอใจ และตอบปฏิเสธ แม้แต่ภาพมัสญิดดิลหะรอม ท่านยังคิดแล้วคิดอีกว่าจะติดตั้งที่มัสญิดดีหรือไม่ ท่านปรึกษากับทุกคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ จนในที่สุดท่านยอมให้ติดตั้งได้ ซึ่งภาพดังกล่าวมีภาพคนด้วย แต่ท่านอนุโลม เพราะเป็นภาพที่คนกำลังทำอิบาดะฮฺอยู่ แต่ถึงยังงัยก็แนะว่าพยายามเลี่ยงดีกว่า เกรงว่าวันนี้ติดแค่มัสญิด และมีคนละหมาด อีกหน่อยก็ติดภาพคนขอดุอาอฺ อีกหน่อยในภาพมีทั้งคนที่ทำอิบาดะฮฺ และไม่ทำอิบาดะฮฺ จนในที่สุด ติดรูปมนุษย์ หรือ สิ่งที่มีชีวิต ท่านรังเกียจสิ่งนี้มากๆ ท่านมักจะวิริดเป็นเวลานานมากๆ เสมอหลังละหมาด โดยเฉพาะหลังละหมาดศุบหฺ และมัฆริบจะนานเป็นพิเศษ ท่านไม่เคยละทิ้งมัน ท่านยังแนะนำ เป็นเชิงบังคับด้วยซ้ำว่า อย่าละทิ้งการวิริด และการดุอาอฺหลังละหมาดเป็นอันขาด เพราะนี่คือสิ่งที่ท่านนบี ศ.ล. ทำเป็นประจำ ท่านแนะว่า หากรีบ ก็ให้ทำมันด้วย การกล่าว "อัซตัฆฟิรรุ้ลเลาะฮฺ" เพียง 3 ครั้งก็พอ แล้วขอดุอาอฺสั้นๆ ก็พอ
ส่วนตัวท่าน ท่านจะต่อต้านอะกีดะฮฺแบบวะฮะบีย์มากๆ เพราะเคยมีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมไม่มีวันลืม นั่นก็คือ มีกลุ่มญะมะอะฮฺตับลีฆกลุ่มหนึ่งมาที่ชุมชนผม ที่จริงท่านเองก็ไม่ค่อยชอบกลุ่มญะมะอะฮฺตับลีฆเท่าไร (เดียวผมละเล่า) พวกเขามาได้แค่วันเดียวเท่านั้นก็ถูกท่านโต๊ะอิม่ามไล่ออกจากมัสญิดต่อหน้าผู้คนที่กำลังนั่งฟังการบะยานของพวกเขาอยู่ เพราะตอนที่บะยานนั้น เป็นเวลาศุบหฺ ปกติของท่านเวลามีกลุ่มตับลีฆมา ท่านจะไม่ร่วมนั่งฟัง เพราะท่านไม่ชอบคนมีความรู้น้อย และไม่มีความสามารถที่จะยกข้อความอัลกุรฺอาน และอัลหะดีษมาประกอบคำนะศีฮัต โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้เรียนมาอย่างแตกฉาน หรือมีความเข้าใจจริงๆ ท่านทนฟัง และดูไม่ได้ ท่านได้ย้ำเรื่องหลายครั้ง แต่เป็นที่ทราบๆ กันว่า ผู้คนในชุมชนของผมนั้น เป็นคนที่ดื้อดึงมากๆ ไม่ค่อยยอมรับความคิด หรือการนะศีฮีตของใครง่ายๆ ไม่ค่อยมีความสามัคคีกัน หากไปปัตตานี แล้วถามถึงคนในชุมชนผม แน่นอน เกือบจะทุกคนจะส่ายหน้า แสดงอาการแบบไม่อยากคบด้วยอะครับ (คงไม่ต้องบอกหรอกว่า ชื่อชุมชนอะไร ใบ้ให้ว่าอยู่ใกล้กับศูนย์กลางตับลีฆของปัตตานี ในตัวเมืองปัตตานี) ซึ่งปรากฎว่าคนที่กำลังบะยานอยู่นั้น เค้าได้ไปพูดอะไรสักอย่างผมจำไม่ค่อยได้อะครับ เพราะฟังเขาเล่ามาอีกที เท่าที่จำได้นะครับ ขณะนั้นท่านกำลังอ่านอัล กุรฺอานอยู่ แล้วท่านเผอิญสะดุดกับคำบะยานประโยคหนึ่ง ท่านจึงเกิดความไม่พอใจอย่างมาก ท่านรีบรุดไปที่กลุ่มตับลีฆ ที่เป็นวะฮะบีย์นั้นทันที และท่านก็ได้ไล่พวกนั้นออกจากมัสญิดทันที ทั้งๆ ที่อยู่ได้แค่วันเดียว ไม่ถึง 24 ชม ด้วยซ้ำอะครับ ท่านบอกว่า "อย่ามาเผยแพร่คำสอนที่แปดเปื้อนต่ออะกีดะฮฺอะฮฺลุซซุนนะฮฺที่นี่ ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่พวกแกไม่สิทธิมาบอกว่า อัลเลาะฮฺอยู่บนอรัช ณ มัสญิดแห่งนี้ ไม่มีวัน จงออกไป จงออกไปจากชุมชนของฉันเดียวนี้ ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกที่พยายามจะให้ศีฟัตของอัลเลาะฮฺหม่นหม่อง เพราะเอาพระองค์ไปเทียบกับมัคลูก" เพียงประโยคสั้นๆ เท่านั้น กลุ่มตับลีฆวะฮะบีย์ออกจากมัสญิดทันที จากเหตุการณ์วันนั้น ถือเป็นการประกาศเจตนารมณ์ และจุดยืนของท่านต่อพวกวะฮะบีย์ได้อย่างชัดเจน ตั้งวันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีวะฮะบีย์แม้แต่คนเดียวกล้ามาสอนอะกีดะฮฺของพวกเขาที่ชุมชนผมอีก เพราะหากได้ยินถึงหูท่าน ต้องเจอดีกันแน่ เพราะท่านชำนาญในวิชาอุศูลลุดดีนมากๆ ถือได้ว่า ท่านเป็นหนึ่งในโต๊ะอิม่ามในตัวเมืองปัตตานี เพียงไม่กี่คนที่มีความชำนาญเรื่องนี้อย่างชนิดที่ว่าหาคนมาเทียบได้ยาก เพราะโต๊ะครูที่ชำนาญส่วนใหญ่จะอยู่นอกเมืองปัตตานี (ปอเนาะ) แต่ก็มีวะฮะบีย์เพียงไม่กี่คน ที่มีญาติ หรืออยู่ที่ชุมชนแต่เดิมแล้ว มาละหมาดที่มัสญิดกัน แต่ก็เกร็งๆ อยู่ เท่าที่นับได้มีประมาณ ไม่กี่ 5 คนด้วยซ้ำอะครับ บางคนหนีไปละหมาดมัสญิดอื่น บางคนนานๆ ครั้ง จากวีรกรรมครั้งนั้น ทำให้ผู้คนในตัวเมืองปัตตานีต่างกล่าวขานถึงท่านในความกล้าหาญในการแยกแยะความจริงออกจากความเท็จ ในทัศนะของผม ท่านคือ บุคคลในดวงใจของผมรองจากท่านนบี ศ.ล. ครับ ผมรักท่านมากๆ ทุกครั้งที่ท่านบรรยายศาสนา ผมจะเตรียมปากกา และกิตาบไปเรียนกับท่านเสมอ ท่านเชี่ยวชาญในวิชาความรู้ทางศาสนามากๆ เพราะเคยมีครั้งหนึ่งท่านได้บรรยายถึงความประเสริฐของบิสมิลละฮฺ เพียงประโยคเดียว ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง จนต้องมีการกล่าวต่อในสัปดาห์หน้าเมื่อถึงคิววิชานี้ ท่านเป็นคนที่มีความจำดีเลิศ ท่านจำเหตุการณ์สมัยท่านยังเด็ก และหนุ่มสมัยที่เริ่มเรียนศาสนาใหม่ๆ ได้แม่นยำ ท่านมักจะนำมาเล่าบ่อยครั้ง แต่ละครั้งเค้าโครงเรื่องยังเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยน จากการเล่าครั้งที่ผ่านมาเลย
ที่จริงท่านมีวีรกรรมอีกเยอะ ซึ่งบางเหตุการณ์ได้เปลี่ยนจากคนที่มีอิทธิพล ไม่เข้าใกล้ศาสนาเลย กลายเป็นคนยอมสยบต่อคำสอนแห่งอัล-อิสลามโดยง่าย อันมาจากการนะศีอัตของท่าน และได้เป็นแกนนำในการทำงานเพื่อศาสนาอย่างจริงจัง เรื่องราวเกี่ยวกับท่านมีอีกเยอะอะครับ หากใครสนใจ อินชาอัลเลาะฮฺ จะเล่าให้อีก อิอิ
อ้อ อีกคนที่ผมชอบคือ Baba Ismail Spanjang Al-Fatoni อุลามาอฺนามอุโฆษแห่งดินแดนอัล-ฟาฏอนีย์ ดารุสสลาม อินชาอัลเลาะฮฺ จะพยายามรวบรวมประวัติท่านนำมาเสนอ อิอิ อย่าเพิ่งมีใครตัดหน้านำเสนอก่อนละ ไม่ยอมนะวุ้ย อิอิ
วัสสลามุ อลัยกุม