ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ  (อ่าน 9156 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ (المائدة  - สำรับอาหาร)

เป็นสูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ มี 120 อายะฮฺตามการนับของชาวกูฟะฮฺ และ 122 อายะฮฺ ตามการนับของชาวฮิญาซ และ 123 อายะฮฺ ตามการนับของชาวบัศเราะฮฺ
(ในการนำเสนอนี้ ใช้การนับแบบ 120 อายะฮฺ ตัวเลขกำกับอายะฮฺจึงอาจไม่ตรงกันกับบางต้นฉบับโดยเฉพาะ R2 และ R5 ซึ่งนับแบบ 123 อายะฮฺ)

บทนำ (R3.)
    
    ชื่อ: ซูเราะฮฺนี้ได้ชื่อมาจากอายะฮฺที่ 112 ที่มีคำว่า “มาอิดะฮฺ” ปรากฏอยู่ เช่นเดียวกับชื่อของซูเราะฮฺอื่น ๆ อีกหลายซูเราะฮฺ ชื่อนี้ไม่มีความสัมพันธ์พิเศษอันใดเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของซูเราะฮฺ แต่ชื่อนี้ถูกใช้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นความแตกต่างจากซูเราะฮฺอื่นเท่านั้น
 
   ระยะเวลาของการประทานวะฮีย์: จากโครงเรื่องของซูเราะฮฺและจากการสนับสนุนของบรรดาหะดีษชี้ให้เห็นว่าซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานลงมาหลังจากการทำสัญญาหุดัยบียะฮฺในตอนท้ายปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 6 หรือตอนต้นปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 7 นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมซูเราะฮฺนี้ถึงได้พูดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากสัญญาฉบับนี้
   ในเดือนซุล-เกาะดะฮฺ ของปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 6 ท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)พร้อมบรรดามุสลิมประมาณ 1,400 คนได้เดินทางไปยังมักกะห์เพื่อทำอุมเราะฮฺ แต่พวกกุเรชที่เป็นศัตรูต่อท่านไม่ยอมให้ท่านนบีฯ เข้าไปทำ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการขัดต่อประเพณีทางศาสนาทั้งหมดของอารเบียก็ตาม หลังจากที่มีการเจรจาต่อรองกันอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายก็ได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาฉบับหนึ่งที่หุดัยบียะฮฺ ซึ่งตามสัญญานี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าจะให้ท่านนบีฯมาทำอุมเราะฮฺในปีถัดไป ถึงแม้มุสลิมหลายคนจะไม่พอใจต่อสัญญาฉบับนี้ แต่ข้อตกลงของสัญญาฉบับนี้เป็นโอกาสอันดีสำหรับการสอนมุสลิมให้ไปทำอุมเราะฮฺที่นครมักกะห์อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสให้ท่านนบีฯได้สั่งกำชับมิให้มุสลิมบรรดาผู้ปฏิเสธเข้ามาทำพิธีทางศาสนาที่มักกะห์ เป็นการโต้ตอบพฤติกรรมอันเลวทรามของคนพวกนี้ ซึ่งมิใช่เรื่องยากเลย เพราะในการเดินทางไปมักกะห์นั้น บรรดาผู้ปฏิเสธจะต้องเดินทางผ่านดินแดนของมุสลิม นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมอายะฮฺเริ่มต้นจึงได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะห์ และได้มีการกล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งในอายะฮฺที่ 101 – 104 ส่วนเรื่องอื่น ๆ ของซูเราะฮฺนี้ ก็ปรากฏว่าจะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน
   เรื่องราวที่ดำเนินต่อเนื่องกัน แสดงให้เห็นว่าซูเราะฮฺนี้เกือบทั้งหมดอาจจะถูกประทานลงมาเพื่อเล่าเหตุการณ์เรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้แล้ว ยังอาจเป็นไปได้ว่า บางอายะฮฺของซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานลงมาในช่วงหลังจากนั้น และถูกใส่เข้าไปในซูเราะฮฺนี้ตรงที่ต่าง ๆ ที่เหมาะสม แต่ก็ปรากฏว่าในซูเราะฮฺนี้ไม่มีช่องว่างตรงไหนที่แสดงให้เห็นว่าซูเราะฮฺนี้ประกอบด้วยเหตุการณ์ 2 เรื่องหรือมากไปกว่านั้น
   โอกาสในการประทานวะฮีย์ : ซูเราะฮฺนี้ถูกประทานลงมาเพื่อตอบสนองความต้องการของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปขากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการประทานวะฮีย์ในซูเราะฮฺอาลิอิมรอนและอัน-นิซาอฺ ซึ่งในช่วงเวลานั้นการพ่ายแพ้ของมุสลิมในสงครามอุฮุดทำให้รอบเมืองมะดีนะฮฺเป็นอันตรายสำหรับมุสลิม แต่ในขณะนี้อิสลามได้กลายเป็นอำนาจที่มีความเข้มแข็ง และรัฐอิสลามก็ได้ขยายไปถึงแคว้นนัจญ์ทางด้านตะวันออก ไปถึงทะเลแดงทางด้านตะวันตก ไปถึงซีเรียทางด้านตอนเหนือและถึงมักกะห์ทางตอนใต้ ถึงแม้มุสลิมะได้รับความพ่ายแพ้อย่างหนักในสงครามอุฮุด แต่ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นก็มิได้ทำลายเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของมุสลิมให้หมดไป ในทางตรงข้าม มันกลับทำให้มุสลิมเตรียมตัวพร้อมมากยิ่งขึ้น จากการต่อสู้และเสียสละอย่างต่อเนื่องทำให้ไม่นานนักอำนาจของเผ่าต่าง ๆ ภายในรัศมี 200 ไมล์ต้องถูกทำลายลง ภยันตรายของพวกยิวที่มักจะข่มขู่คุกคามนครมะดีนะฮฺก็ถูกทำลายลงหมดสิ้นและพวกยิวในส่วนต่าง ๆ ของแคว้นฮีญาซก็ยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองของรัฐแห่งมะดีนะฮฺ ความพยายามครั้งสุดท้ายของพวกกุเรชที่จะทำลายอิสลามก็ประสบกับความล้มเหลวในสงครามสนามเพลาะ หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกอาหรับจึงได้ประจักษ์ว่า ขณะนี้ไม่มีอำนาจใดที่จะมาทำลายขบวนการอิสลามลงได้แล้ว เดี๋ยวนี้อิสลามมิได้เป็นเพียงลัทธิความเชื่อที่ควบคุมความคิดและจิตใจของประชาชนเท่านั้น แต่มันยังได้เป็นรัฐที่ควบคุมชีวิตในด้านต่าง ๆ ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตแดนของมันด้วย ดังนั้น รัฐอิสลาม จึงทำให้มุสลิมสามารถใช้ชีวิตตามความเชื่อของพวกตนได้โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวาง
นอกจากนี้แล้วยังมีวิวัฒนาการอันหนึ่งเกิดขึ้นในระหว่างช่วงเวลานี้ด้วย กล่าวคือ อารยธรรมของมุสลิมได้วิวัฒนาการไปตามหลักการและทัศนะของอิสลาม อารยธรรมนี้ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากอารยธรรมอื่น ๆ ทั้งหมดในเรื่องของรายละเอียด และได้แยกมุสลิมออกจากผู้ที่มิใช่มุสลิมอย่างชัดเจนในเรื่องของศีลธรรม พฤติกรรมทางสังคมและวัฒนธรรม มัสญิดมากมายหลายแห่งได้ถูกสร้างขึ้นในทุกท้องที่และมีการนมาซกันประจำทุกเวลาโดยแต่ละท้องที่หรือแต่ละเผ่าจะมีอิมามของตนเอง กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาของอิสลามได้ถูกกำหนดรายละเอียดและถูกนำไปใช้โดยศาลอิสลาม การทำธุรกิจการค้าแบบใหม่ได้ถูกนำมาแทนแบบเก่า กฎหมายการแต่งงานและการหย่า การแยกเพศหญิงออกจากเพศชาย การลงโทษการผิดประเวณีและการใส่ร้ายและบทบัญญัติอื่น ๆ ของอิสลามได้ทำให้ชีวิตทางสังคมของมุสลิมถูกหล่อหลอมใหม่ในเบ้าหลอมพิเศษอันหนึ่งซึ่งทำให้พฤติกรรมทางสังคม การสนทนา การแต่งกาย การดำเนินชีวิต และวัฒนธรรมของมุสลิมมีรูปแบบที่แน่นอนเป็นของตนเอง จากผลของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้บรรดาผู้ที่มิใช่มุสลิมไม่คาดคิดว่ามุสลิมจะกลับไปใช้ชีวิตแบบงมงายเหมือนเก่าอีก
    ก่อนทำสัญญาหุดัยบียะฮฺ มุสลิมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับชาวกุเรชที่มิใช่มุสลิมจนไม่มีเวลาที่จะเผยแผ่หลักการอิสลามของตนเอง แต่อุปสรรคอันนี้ได้ถูกขจัดออกไปโดยสัญญาหุดัยบียะฮฺ ที่มองเผิน ๆ แล้วจะคิดว่าเป็นการพ่ายแพ้ แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือชัยชนะ เพราะสัญญานี้ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดสันติภาพในดินแดนของมุสลิมเองเท่านั้น แต่ยังได้ให้โอกาสในการเผยแผ่อิสลามไปยังดินแดนที่อยู่รอบข้างด้วย เพราะในช่วงเวลานี้เองที่ท่านนบีฯ ได้ส่งสารเชิญชวนสู่อิสลามไปยังผู้ปกครองของอิหร่าน อียิปต์ อาณาจักรโรมันและหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ของชาวอาหรับ ในเวลาเดียวกัน คณะผู้แทนของอิสลามก็ออกเดินทางไปยังตระกูลและเผ่าต่าง ๆ เพื่อเชิญชวนผู้คนเหล่านั้นให้หันมายอมรับแนวทางของอัลลอฮฺ
นี่คือสภาพเมื่อตอนที่ซูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ ได้ถูกประทานลงมา
หัวข้อเรื่อง : ซูเราะฮฺนี้พูดถึงเรื่องสำคัญ ๆ 3 หัวข้อดังนี้
    (1) คำบัญชาและคำสั่งเกี่ยวกับชีวิตทางศาสนา วัฒนธรรม และการเมืองของมุสลิม
    เกี่ยวกับเรื่องนี้ บทบัญญัติเกี่ยวกับการเดินทางไปทำหัจญ์ได้ถูกกำหนดขึ้น เช่นการให้การเคารพอย่างเคร่งครัดต่อสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของอัลลอฮฺ การห้าม ขัดขวาง หรือแทรกแซงผู้ที่จะเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่กะอฺบะฮฺ นอกจากนี้แล้วก็ยังได้มีการวางกฎระเบียบที่ว่าด้วยเรื่องอาหารที่อนุมัติและอาหารที่ต้องห้าม ตลอดจนการยกเลิกข้อจำกัดแก่ตัวเองหลายประการที่เคยปฏิบัติกันมาในยุคก่อนอิสลาม ในขณะเดียวกันก็มีการอนุญาตให้มุสลิมกินอาหารของชาวคัมภีร์อละแต่งงานกับผู้หญิงของคนพวกนี้ได้ กฎระเบียบสำหรับทำความสะอาดร่างกายเพื่อทำนมาซ (วุดูอ์ การอาบน้ำและการทำ “ตะยัมมุม” (การใช้ฝุ่นดินทำความสะอาดร่างกายแทนน้ำ) การลงโทษการกบฏ การทำลายความสงบสุขและการลักขโมย การห้ามดื่มสุราและการพนันก็ได้ถูกบัญญัติไว้ในซูเราะฮฺนี้ นอกจากนั้นแล้วก็ยังได้มีการวางกฎเกี่ยวกับการชดใช้ในกรณีที่ผิดคำสาบาน และมีการเพิ่มเติมบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับกฎหมายที่ว่าด้วยหลักฐานด้วย
(2) การกล่าวตักเตือนต่อมุสลิม
    เนื่องจากขณะนี้มุสลิมได้กลายเป็นผู้มีอำนาจปกครองแล้ว จึงเกรงว่ามุสลิมจะเสื่อมเสียเพราะอำนาจ ดังนั้น ในยุคแห่งการทดสอบนี้ อัลลอฮฺจึงได้เตือนบรรดามุสลิมครั้งแล้วครั้งเล่าให้ยึดมั่นอยู่ในความยุติธรรมและป้องกันตนเองให้พ้นจากพฤติกรรมผิด ๆ เยี่ยงที่บรรพบุรุษของพวกเขาหรือชาวคัมภีร์ปฏิบัติมา บรรดามุสลิมได้ถูกสั่งกำชับให้มั่นคงในการเชื่อฟังอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ นอกจากนั้นแล้วมุสลิมยังได้ถูกสั่งให้ปฏิบัติตามคำบัญชาใช้และงดเว้นในสิ่งที่ถูกห้าม ทั้งนี้เพื่อที่จะป้องกันพวกเขาให้พ้นจากผลชั่วร้ายที่พวกยิวและคริสเตียนได้รับมาแล้วเมื่อมีการฝ่าฝืน บรรดามุสลิมได้ถูกสั่งให้ปฏิบัติตามคัมภีร์กุรอานในทุก ๆ ด้าน และยังถูกเตือนให้รู้ถึงทัศนคติของการสับปลับตลบตะแลงอีกด้วย
(3) การเตือนพวกยิวและคริสเตียน
เนื่องจากอำนาจของพวกยิวได้อ่อนแอลงอย่างสิ้นเชิง และพวกยิวในตอนเหนือของอารเบียได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิม พวกยิวได้ถูกเตือนเกี่ยวกับทัศนคติที่ผิด ๆ ของตนเอง และได้ถูกเชิญชวนให้หันมาปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง ในขณะเดียวกัน การเชิญชวนนี้ก็มีไปถึงชาวคริสเตียนด้วย นอกจากนั้นแล้ว คัมภีร์กุรอานยังได้ชี้ให้ชาวคริสเตียนเห็นถึงความผิดพลาดในความเชื่อของพวกเขาและได้เตือนให้พวกเขายอมรับทางนำของท่านศาสดามุฮัมมัดด้วย อย่างไรก็ตาม คำเชิญชวนนี้มิได้มีต่อพวกมะยูซี (ผู้บูชาไฟ)และพวกบูชาเทวรูปในประเทศใกล้เคียง ทั้งนี้เพราะไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องกล่าวแยกไว้สำหรับคนประเภทนี้ เพราะเงื่อนไขของคนพวกนี้ได้ถูกครอบคลุมโดยคำพูดที่มีถึงพวกอาหรับที่บูชาเทวรูปแล้ว


----------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 01, 2011, 05:55 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 1 - 2




คำอ่าน
1. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..เอาฟูบิลอุกูด อุหิลลัตละกุม..บะฮีมะตุลอันอามิ อิลลามายุตลาอะลัยกุม ฆ็อยเราะ มุหิลลิศศ็อยดิวะอัน..ตุมหุรุม อิน..นัลลอฮะ ยะหฺกุมุมายุรีด
2. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตุหิลลู ชะอา..อิร็อลลอฮิ วะลัชชะฮฺร็อลหะรอมะ วะลัลฮัดยะ วะลัลเกาะลา...อิดะ วะลาอา..มีนัลบัยตัลหะรอมะ ยับตะฆูนะ ฟัฎลัม..มิรฺร็อบบิฮิม วะริฎวานา วะอิซาหะลัลตุม ฟัสฏอดู วะลายัจญริมัน..นะกุม ชะนะอานุก็อวมิน อันศ็อดดูกุม อะนิลมัสญิดิลหะรอมิ อัน..ตะอฺคะดู วะตะอาวะนูอะลัลบิรฺริวัตตักวา วะลาตะอาวะนูอะลัลอิษมิ วัลอุดวาน อิน..นัลลอฮะชะดีดุลอิกอบ
 

คำแปล R1.
1. O You who believe! Fulfill (your) obligations. Lawful to you (for food) are all the beasts of cattle except that which will be announced to you (herein), game (also) being unlawful when you assume Ihram for Hajj or 'Umrah (pilgrimage). Verily, Allah commands that which He wills.
2. O you who believe! Violate not the sanctity of the Symbols of Allah, or of the Sacred Month, or of the animals brought for sacrifice, nor the garlanded people or animals, nor the people coming to the Sacred House (Makkah), seeking the bounty and good pleasure of their Lord. But when you finish the Ihram (of Hajj or 'Umrah), you may hunt, and let not the hatred of some people in (once) stopping you from Al-Masjid-Al-Haram (at Makkah) lead you to transgression (and hostility on your part). Help you one another in Al-Birr and At-Taqwa (virtue, righteousness and piety); but do not help one another in sin and transgression. And fear Allah. Verily, Allah is severe in punishment.


คำแปล R2.
1. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายจงปฏิบัติตามสัญญาโดยครบถ้วนเถิด 2.ได้อนุมัติแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาปศุสัตว์ทั้งหลาย (คือสัตว์เลี้ยงทั้งหมด) ยกเว้นที่ถูกแถลงแก่พวกเจ้า (ว่าเป็นสัตว์ต้องห้าม เช่น สุกร, สุนัข, เลือด, สัตว์ตายเอง, สัตว์บูชายัญ, สัตว์ถูกรัดคอตาย, สัตว์ถูกตีตาย เป็นต้น) แต่ก็ไม่เป็นที่อนุมัติการล่าสัตว์ในขณะที่เจ้ากำลังครองอิหฺรอม แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงตัดสินไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์
3. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! เจ้าทั้งหลายอย่าล่วงล้ำเอกลักษณ์ต่าง ๆ (ของศาสนา) ของอัลเลาะฮฺ (ด้วยการล่าสัตว์ขณะที่อยู่ในอิหฺรอม เป็นต้น) และอย่า (ล่วงล้ำ) สัตว์ที่ถูกอุทิศเพื่อพลีทาน (ยังนครมักกะหฺด้วยการรบกวนมัน) และอย่า (ล่วงล้ำ) สัตว์ที่สวมพวงมาลัย (เป็นเครื่องหมายว่าเป็นสัตว์พลีทาน) และอย่า (ล่วงล้ำ) บรรดาผู้มุ่งสู่ “บัยติลลาฮฺอัลหะรอม” โดยมุ่งแสวงหาความโปรดปรานและความพึงพระทัยจากองค์อภิบาลของพวกเขา และเมื่อเจ้าทั้งหลายได้เปลื้องชุดอิหฺรอมแล้ว พวกเจ้าก็ล่าสัตว์ได้ (ตามปกติ) และจงอย่าให้ความเคียดแค้น (ของพวกเจ้าที่มี) ต่อคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเคยกีดกันพวกเจ้าจากมัสยิดอัลฮะรอม (เป็นเหตุจูงใจที่) ทำให้พวกเจ้าต้องละเมิด (บทบัญญัติแห่งอัลเลาะฮฺ) และพวกเจ้าจงช่วยเหลือกันในเรื่องคุณธรรมและความยำเกรง แต่พวกเจ้าอย่าได้ช่วยเหลือกันในเรื่องบาปและความเป็นศัตรูต่อกัน และเจ้าทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงลงโทษร้ายแรงยิ่ง


คำแปล R3.
1. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงปฏิบัติตามเงื่อนไขให้ครบ บรรดาปศุสัตว์สี่เท้าได้ถูกอนุมัติแก่สูเจ้า เว้นแต่ที่ได้ถูกบอกแก่สูเจ้า แต่ไม่ให้สูเจ้าถือการล่าสัตว์เป็นที่อนุมัติขณะสูเจ้าอยู่ในเอี๊ยะฮฺรอม แท้จริงอัลลอฮฺทรงบัญชาที่พระองค์ทรงปรารถนา
2. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่าละเมิดเครื่องหมายต่าง ๆ ของอัลลอฮฺ และเดือนต้องห้าม และสัตว์พลี และอูฐที่สวมพวงมาลา และ(อย่าทำร้าย)ผู้ที่มุ่งยังบ้านต้องห้ามเพื่อแสวงความโปรดปรานและความปราโมทย์จากพระผู้อภิบาลของพวกเขา และเมื่อสูเจ้าเปลื้องเอี๊ยะฮฺรอมแล้ว ก็ล่าสัตว์ได้ และจงอย่าให้การเกลียดชังหมู่ชนที่กีดกันสูเจ้าจากมัสญิดอัล-หะรอมยุสูเจ้าใฟ้ฝ่าฝืน และจงช่วยเหลือกันในคุณธรรมและการสำรวมตนจากความชั่วและจงอย่าช่วยเหลือกันในการบาปและการเป็นศัตรู แต่จงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ แท้ริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ


คำแปล R4.
1. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงรักษาบรรดาสัญญาให้ครบถ้วนเถิด สัตว์ประเภทปศุสัตว์นั้นได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว นอกจากที่จะถูกอ่านให้พวกเจ้าฟัง โดยที่พวกเจ้ามิใช่ผู้ที่ให้สัตว์ที่จะถูกล่านั้น เป็นที่อนุมัติขณะที่พวกเจ้าอยู่ในอิหฺรอม แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงชี้ขาดตามที่พระองค์ทรงประสงค์
2. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าให้เป็นที่อนุมัติซึ่งบรรดาเครื่องหมายแห่งศาสนาของอัลลอฮฺและเดือนที่ต้องห้ามและ สัตว์พลี และสัตว์ที่ถูกสวมเครื่องหมายไว้ที่คอเพื่อเป็นสัตว์พลี และบรรดาผู้ที่มุ่งสู่บ้านอันเป็นที่ต้องห้าม โดยแสวงหาความโปรดปราน และความพอพระทัยจากพระเจ้าของพวกเขา แต่เมื่อพวกเจ้าเปลื้องอิหฺรอมแล้ว ก็จงล่าสัตว์ได้ และจงอย่าให้การเกลียดชังแก่พวกหนึ่งพวกใด ที่ขัดขวางพวกเจ้ามิให้เข้ามัสยิดฮะรอม ทำให้พวกเจ้ากระทำการละเมิด และพวกจงช่วยเหลือกันในสิ่งที่เป็นคุณธรรม และความยำเกรง และจงอย่าช่วยกันในสิ่งที่เป็นบาป และเป็นศัตรูกันและพึงกลัวเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ


คำแปล R5.
๑. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงปฏิบัติตามพันธสัญญาอันเข้มแข็งซึ่งมีขึ้นระหว่างพวกเจ้ากับอัลเลาะห์โดยครบถ้วน เช่น การทำฮัจย์ การถือศีลอด การพำนัก(อิติกาฟ)ในมัสยิด การอดหลับอดนอนเพื่อประกอบการดีเพื่อพระองค์ การบนบานและกรณีอื่น ๆ ทางศาสนาและจงปฏิบัติตามข้อผูกพันระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เช่น การขาย การซื้อ การจ้าง การสมรส การหย่า ของฝาก การประนีประนอม การบอกเลิกกรรมสิทธิ์ การยกค่าตัวของทาสทั้งยังเป็น ๆ อยู่และกรณีอื่นที่ไม่ผิดครรลองแห่งศาสนา ๒. บรรดาปศุสัตว์อันมีอูฐ โค กระบือ แพะ แกะ เป็นต้น นั้นได้เป็นที่อนุญาตแก่พวกเจ้าแล้วในอันที่จะบริโภคเว้นไว้แต่ซากสัตว์อันตายเอง เลือด สุกร สุนัข สัตว์ที่ถูกเชือดด้วยการออกนามเทวรูป สัตว์ตายโดยถูกรัดคอ โดยถูกตี โดยตกลงมาจากที่สูง โดยถูกสัตว์ร้านขบกัด สัตว์ถูกเชือดต่อหน้าเทวรูปที่ถูกระบุไว้แก่พวกเจ้าว่าเป็นของห้าม(หะรอม)นอกจากว่าพวกเจ้าที่กำลังอยู่ในภาวะอิห์รอมก็เป็นการบาปที่พวกเจ้าจะล่าสัตว์เถื่อน แท้จริงอัลเลาะห์นั้นจะทรงตัดสินข้อใช้และข้อห้ามตามที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์โดยปราศจากการท้วงติง
๓. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาก่อนจากลงโองการใช้ให้ทำสงครามนั้นพวกเจ้าอย่าทำลายบรรดาสัญลักษณ์ทางศาสนาของอัลเลาะห์ด้วยการล่าสัตว์ในขณะที่พวกเจ้ากำลังอยู่ในภาวะอิห์รอมอัจย์หรืออุมเราะห์อย่าทำลายเดือนห้ามคือเดือนรอยับด้วยการทำสงครามในเดือนนั้นอย่าทำลานสัตว์ถวายที่พวกกาฟิรส่งไปถวายยังไบตุลเลาะห์ด้วยการรบกวนสัตว์นั้น อย่าทำลายสัตว์ที่มีปลอกคอเป็นเปลือกไม้ซึ่งขึ้นในแผ่นดินมักกะห์ซึ่งกาฟิรชาวมักกะห์นำมาผูกไว้เพื่อให้มันได้รับความปลอดภัย ด้วยการรบกวนสัตว์นั้นและเจ้าของสัตว์นั้นด้วย และอย่าทำลายพวกกาฟิรที่มุ่งสู่ความปลอดภัยยังไบตุลเลาะห์เพื่อแสวงการอาชีพและกุศลจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขา ด้วยการฆ่ากาฟิรเหล่านั้นเสียและเมื่อพวกเจ้าเปลื้องพิธีอิห์รอมฮัจย์ด้วยการขว้างเสาหินยุมร่อตุลอะก็บะห์ ด้วยโกนหรือขลิบผมอย่างน้อยสามเส้น และด้วยการเดินทางทำสะอาหรือเปลื้องพิธีอิหฺรอมอุมเราะห์ ด้วยการโกนหรือขลิบผมอย่างน้อยสามเส้น และด้วยการเดินทำสะอาเสร็จแล้วก็ให้ล่าสัตว์ได้ ทั้งอย่าให้ความโกรธแค้นของพวกเจ้าตอชาวชนกาฟิรที่มันกีดกันพวกเจ้าเข้าสู่มัสยิดอัลหะรอมเป็นทำให้พวกเจ้าถึงกับจะเป็นปรปักษ์กับกาฟิรพวกนั้นด้วยการฆ่ากาฟิรพวกนั้นเลย และพวกเจ้าจงเกื้อกูลกันแต่ในการดีอันพวกเจ้าถูกบัญชาใช้และในทางยำเกรงอัลเลาะห์ด้วยการงดเว้นจากสิ่งอันพวกเจ้าถูกห้าม แต่อย่าได้เกื้อกูลกันในทางชั่วเลวและในทางละเมิดขอบเขตที่อัลเลาะห์ได้ทรงกำหนดไว้ อีกทั้งพวกเจ้าจงยำเกรงการลงโทษจากอัลเลาะห์โดยพวกเจ้าต้องปฏิบัติแต่สิ่งที่ทรงใช้และงดเว้นจากที่ทรงห้ามเพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงให้การลงโทษหนักยิ่งนักแก่บรรดาที่ขัดขืนคำสั่งของพระองค์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 3


คำอ่าน
3. หุรฺริมัตอะลัยกุมุลมัยตะตุ วัดดะมุ วะละหฺมัลคินซีริ วะมาอุฮิลละลิฆ็อยริลลาฮิบิฮี วัลมุนเคาะนิเกาะตุ วัลเมากูซะตุ วัลมุตะร็ดดิยะตุ วัน..นะฏีหะตุ วะมา..อะกะลัสสะบุอุ อิลลามาซักกัยตุม วะมาซุบิหะ อะลัน..นุศุบิ วะอัน..ตัสตักสิมูบิลอัซลาม ซาลิกุมฟิสกฺ อัลเยามะ ยะอิสัลละซีนะกะฟะรูมิน..ดีนิกุม ฟะลาตัคเชาฮุม วัคเชานฺ อัลเยามะอักมัลตุละดุมดีนะกุม วะอัตมัมตุอะลัยกุมนิอฺมะตี วะเราฎีตุละกุมุลอิสลามมะดีนา ฟะมะนิฎฏุรฺเราะ ฟีมัคมะเศาะติน ห็อยเราะ มุตะญานิฟิลลิอิษมิน..ฟะอิน..นัลลอฮะเฆาะฟูรุรฺเราะหีม

คำแปล R1.
3. Forbidden to you (for food) are: Al-Maytatah (the dead animals - cattle-beast not slaughtered), blood, the flesh of swine, and the meat of that which has been slaughtered as a sacrifice for others than Allah, or has been slaughtered for idols, etc., or on which Allah's Name has not been mentioned while slaughtering, and that which has been killed by strangling, or by a violent blow, or by a headlong fall, or by the goring of horns - and that which has been (partly) eaten by a wild animal - unless you are able to slaughter it (before its death), and that which is sacrificed (slaughtered) on An-Nusub (stone altars). (Forbidden) also is to use arrows seeking luck or decision, (all) that is Fisqun (disobedience of Allah and sin). This day, those who disbelieved have given up all hope of your religion, so fear them not, but fear Me. This day, I have perfected your Religion for you, completed My Favour upon you, and have chosen for you Islam as your religion. But as for him who is forced by severe hunger, with no inclination to sin (such can eat these above-mentioned meats), then surely, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.

คำแปล R2.
4. ได้มีบทบัญญัติเป็นข้อห้ามแก่พวกเจ้าซึ่งซากสัตว์, เลือด, เนื้อสุกร, สัตว์ที่ถูกเปล่งนามขณะเชือดเพื่ออื่นจากอัลเลาะฮฺ, สัตว์ตายเพราะถูกรัดคอ.สัตว์ตามเพราะตกจากที่สูง, สัตว์ตายเพราะสัตว์อื่นชน. สัตว์ที่สัตว์ร้ายอื่น ๆ กินยกเว้นที่พวกเจ้าเชือด(ทัน) และสัตว์ที่ถูกเชือดบนแท่นบูชา, และ(เป็นข้อห้ามแก่พวกเจ้า)ที่จะเสี่ยงทายด้วยถ้วยตะไล(แบบเดียวกับคนจีนใช้ติ้ว) สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นการฝ่าฝืน(บทบัญญัติของอัลเลาะฮฺ) ในวันนี้บรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายมีความย่อท้อต่อ(การทำให้พวกเจ้าออกจาก)ศาสนาของพวกเจ้า (กลับมาสู่ศาสนาเดิมที่พวกเขานับถือ) ดังนั้นเจ้าทั้งหลายอย่ากลัวพวกเขา แต่พวกเจ้าจงกลัวข้า ในวันนี้ข้าได้ทำให้สมบูรณ์แก่ศาสนาของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าทั้งมวล และข้าได้ให้ความโปรดปรานของข้ามีครบถ้วนแก่พวกเจ้าทั้งหลาย และข้าได้ยินยอมให้อิสลามเป็นศาสนาสำหรับพวกเจ้า ดังนั้นบุคคลใดประสบความเดือดร้อนเนื่องจากความหิวโหย(จนถึงกับบริโภคสิ่งต้องห้าม)โดยพวกเขามิได้จงใจกระทำบาป ดังนั้น แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัย อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง

คำแปล R3.
3. เป็นที่ต้องห้ามแก่สูเจ้าคือ สัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และที่ถูกกล่าวนามอื่นจากนามของอัลลอฮฺเวลาเชือด และที่ถูกรัดคอตาย และที่ถูกตีจนตาย และที่ตกมาตาย และที่ถูกขวิดจนตาย และที่ถูกสัตว์ป่ากินเว้นแต่ที่สูเจ้าเชือดทัน และที่ถูกเชือดพลีบนแท่นหิน และที่สูเจ้าเสี่ยงทาย เหล่านี้เป็นการฝ่าฝืน วันนี้ บรรดาผู้ปฏิเสธระย่อต่อศาสนาของสูเจ้าแล้ว ดังนั้นจงอย่ากลัวพวกเขา แต่จงกลัวฉัน วันนี้ ฉันได้ทำให้ศาสนาของสูเจ้าครบถ้วนสำหรับสูเจ้าแล้ว และได้ให้ความโปรดปรานของฉันครบถ้วนแก่สูเจ้าด้วย และฉันพึงใจให้อิสลามเป็นแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตสำหรับสูเจ้า ดังนั้นผู้ใดถูกบังคับด้วยความหิว (ก็ให้กิน แต่)ไม่ใช่จงใจทำบาป ฉะนั้น โดยแน่แท้ อัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R4.
3. ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ตายเอง และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮฺ ที่มัน(ขณะเชือด) และสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และสัตว์ที่ถูกตีตาย และสัตว์ที่ตกเหวตายและสัตว์ที่ถูกขวิดตาย และสัตว์ที่สัตว์ร้ายกัดกิน นอกจากที่พวกเจ้าเชือดทัน และสัตว์ที่ถูกเชือดบนแท่นหินบูชา และการที่พวกเจ้าเสี่ยงทายด้วยไม้ติ้ว เหล่านั้นเป็นการละเมิด วันนี้ บรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาหมดหวังในศาสนาของพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิด วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว ผู้ใดได้รับความคับขันในความหิวโหย โดยมิใช่เป็นผู้จงใจกระทำบาปแล้วไซร้แน่นอนอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R5.
๔. ได้ถูกตราห้ามไว้เหนือพวกเจ้าแล้วในเรื่องการบริโภคซากสัตว์ เลือด เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกเชือดโดยออกนามอื่นจากพระนามของอัลเลาะห์ สัตว์ถูกรัดคอตาย ถูกตีตาย สัตว์ตกจากที่สูงตาย สัตว์ที่ถูกสัตว์อื่นชนตายและสัตว์ที่ถูกสัตว์ร้ายขบกัดตาย เว้นแต่สัตว์ ๕ จำพวก นับตั้งแต่ชนิดที่ถูกรัดคอเรื่อยมาที่พวกเจ้าเชือดขณะที่ยังทันมีชีวิตอยู่และห้ามพวกเจ้าบริโภคสัตว์ถูกเชือดถวายเทวรูปด้วย และยังได้ถูกตราห้ามไว้เหนือพวกเจ้าในเรื่องที่พวกเจ้าจะเสี่ยงทายชะตากรรมเกี่ยวกับกิจกรรมที่พวกเจ้าจะเข้าดำเนินอีกด้วยเป็นต้นว่าโดยการใช้ถ้วยตะไลเจ็ดลูกแต่ละลูกเขียนจารึกข้อความต่าง ๆ กันไว้เพื่อเสี่ยงทายทำนองเดียวกับชาวจีนมีไม้ติ้วสำหรับเสี่ยงทายที่ศาลเจ้าการอยากทราบผลทำนายว่าจะมีเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายนี้แหละคือการนอกรีต นอกคำสั่งใช้ของอัลเลาะห์และจัดว่าเป็นบาป ทั้งนี้เนื่องจากขัดแย้งกับอัล-กุรอานที่ระบุไว้มีความว่า “ผู้ซึ่งอยู่ ณ เจ็ดชั้นฟ้าและแผ่นดินจะรู้การลึกลับมิได้เว้นแต่อัลเลาะห์องค์เดียวเท่านั้น”
   โองการต่อไปนี้ถูกประทานลงมา ณ ทุงอะร่อฟะห์ในปีที่พระนบีมูฮำมัดประกอบพิธีฮัจย์ครั้งสุดท้ายว่า ณ วันนี้บรรดาผู้ไม่ศรัทธา(กาฟิร)สิ้นหวังในอันที่จะให้พวกเจ้าหันออกจากศาสนาของพวกเจ้าเสียแล้ว หลังจากที่พวกนั้นต่างก็มั่นหมายกันไว้เช่นนั้น ทั้งนี้เนื่องจากว่าพวกกาฟิรดังกล่าวได้แลเห็นว่าศาสนาอิสลามนั้นมีแต่ความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ฉะนั้นพวกเจ้าจงอย่าหวั่นเกรงพวกนั้นเลย แต่จงหวั่นเกรงข้าเถิด วันแห่งการทำฮัจย์ครั้งสุดท้ายของพระศาสดามูฮำมัดนี้ข้าได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าอันประกอบด้วยข้อบัญญัติใช้และข้อบัญญัติห้ามไว้อย่างครบครันแก่พวกเจ้า ซึ่งหลังจากนี้จะไม่มีโองการที่ว่าด้วยการใช้และห้ามปรามประทานลงมาอีกแล้วได้มอบพระกรุณาธิคุณของข้าให้แก่พวกเจ้าในประการที่พวกเจ้าได้รับศาสนาไว้อย่างครบครันดังกล่าว หรือในด้านที่พวกเจ้าเข้ามาสู่นครมักกะห์ได้โดยสวัสดิภาพ และอีกประการก็คือข้าได้ยินดีเลือกเฟ้นให้อิสลามเป็นศาสนาสำหรับพวกเจ้า ดังนั้นหากผู้ใดตกอยู่ในความอดอยากขนาดต้องบริโภคสิ่งของที่ต้องห้ามในทางศาสนาโดยที่ผู้นั้นก็มิได้โน้มเอียงไปในทางบาปแล้ว ก็ยอมให้ผู้นั้นบริโภคสิ่งที่ต้องห้ามนี้ได้โดยปราศจากบาปแน่นอน อัลเลาะห์นั้นทรงยิ่งในการอภัยโทษแก่ผู้ที่บริโภคสิ่งต้องห้ามนั้น ทรงโปรดปราณียิ่งในอันที่จะอนุญาตให้บริโภคสิ่งดังกล่าวได้ ต่างกับบุคคลที่มีใจโน้มเอียงและฝักใฝ่แต่บาป อาทิผู้คอยดักช่วงชิงทรัพย์ระหว่างหนทางและผู้เป็นขบถต่อรัฐ เมื่อบุคคลที่ว่านี้อยู่ในภาวะเดินทางศาสนาจะไม่อนุญาตให้เขาบริโภคสิ่งต้องห้ามดังกล่าวในยามคับขัน แต่ถ้าบุคคลดังกล่าวข้างต้นเป็นผู้อยู่ประจำถิ่นก็ยอมให้ผู้นั้นบริโภคของต้องห้ามได้ในยามคับขัน



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 4 - 5


คำอ่าน
4. ยัสอะลูนะกะมาซา..อุหิลละละฮุม กุล อุหิลละฮุมุฏฏ็อยยิบาตุ วะมาอัลลัมตุม..มินัลญะวาริหิ มุกัลป์ลิบีนะ ตุอัลลิมูนะฮุน..นะ มิม..มาอัลละมะกุมุลลอฮุ ฟะกุลูมิม..มาอัมสักนะ อะลัยกุม วัซกุรุสมัลลอฮิอะลัยฮิ อิน..นัลลอฮะสะรีอุลหิสาบ
5. อัลเยามะอุหิลละ ละฮุมุฏฏ็อยยิบาตุ วัเฏาะอามุลละซีนะ อูตุลกิตาบะ หิลลุลละกุม วะเฏาะอามุกุม หิลลุลละฮุม วัลมุหฺเศาะนาตุ มินัลมุอ์มินาติ วัลมุหฺเศาะนาตุ มินัลละซีนะ อูตุลกิตาบะ มิน..ก็อบลิกุม อิซา..อาตัยตุมูฮุน..นะ อุญูเราะฮุน..นะ มุหฺศินีนะ ฆ็อยเราะมุสาฟิหีนะ วะลามุตตะคิซี..อัคดาน วะมัย..ยักฟุรฺบิลอีมานิ ฟะก็อดหะบิเฏาะอะมะลุฮู วะฮุวะฟิลอาคิเราะติ มินัลคอสิรีน


คำแปล R1.
4. They ask you (O Muhammad) what is lawful for them (as food). say: "Lawful unto you are At-Tayyibat [all kind of Halal (lawful-good) foods which Allah has made lawful (meat of slaughtered eatable animals, milk products, fats, vegetables and fruits, etc.)]. and those beasts and birds of prey which you have trained as hounds, training and teaching them (to catch) in the manner as directed to you by Allah; so eat of what they catch for you, but pronounce the Name of Allah over it, and fear Allah. Verily, Allah is swift in reckoning."
5. Made lawful to you this day are At-Tayyibat [all kinds of Halal (lawful) foods, which Allah has made lawful (meat of slaughtered eatable animals, etc., milk products, fats, vegetables and fruits, etc.). The food (slaughtered cattle, eatable animals, etc.) of the people of the Scripture (Jews and Christians) is lawful to you and yours is lawful to them. (Lawful to you in marriage) are chaste women from the believers and chaste women from those who were given the Scripture (Jews and Christians) before your time, when you have given their due Mahr (bridal money given by the husband to his wife at the time of marriage), desiring chastity (i.e. taking them in legal wedlock) not committing illegal sexual intercourse, nor taking them as girl-friends. and whosoever disbelieves in the Oneness of Allah and in all the other Articles of faith [i.e. his (Allah's), angels, his Holy Books, his Messengers, the Day of Resurrection and Al-Qadar (Divine Preordainments)], then fruitless is his work, and in the Hereafter he will be among the losers.


คำแปล R2.
5. พวกเขาจะถามเจ้าว่า “อะไรเล่าที่อนุมัติสำหรับพวกเขา” เจ้าจงตอบเถิดว่า “เป็นที่อนุมัติสำหรับเจ้าทั้งหลาย บรรดา(อาหาร)ที่ดี ๆ และสัตว์ที่พวกเจ้าฝึกมันให้จับสัตว์อื่น (เช่น เหยี่ยว, เสือ, สุนับ เป็นต้น) โดยที่พวกเจ้าฝึกมันตามที่อัลเลาะฮฺได้สอนพวกเจ้า(ให้รู้วิธีการล่าสัตว์) ดังนั้น พวกเจ้าจงบริโภคเถิด จากสัตว์ที่พวกมันจับมาให้พวกเจ้า และพวกเจ้าจงกล่าวรำลึกถึงอัลเลาะฮฺบน(การล่าหรือเชือด)สัตว์นั้น และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงสอบสวนอย่างรวดเร็ว
6. ในวันนี้ ได้เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าซึ่งอาหารดี ๆ (มีประโยชน์ต่อร่างกายและได้มาโดยชอบธรรม) และอาหารของบรรดา(ชาวยิวชาวคริสต์)ที่ถูกประทานคัมภีร์ให้ย่อมเป็นที่อนุมัติสำหรับพวกเจ้า(จากการเชือดของพวกเหล่านั้น) และอาหารของพวกเจ้าก็เป็นที่อนุมัติแก่พวกเขา(เช่นเดียวกัน) และ (เป็นที่อนุมัติสำหรับพวกเจ้าทั้งหลาย) บรรดาหญิงที่สงวนตัวจากมวลผู้มีศรัทธา และบรรดาหญิงที่สงวนตัวจากบรรดากลุ่มชนที่ถูกประทานคัมภีร์ให้ก่อนหน้าพวกเจ้า ซึ่งพวกเจ้าได้นำค่าสมรสมามอบแก่พวกนาง โดยหวังสมรสแบบสุภาพชนมิได้มุ่งเพื่อการผิดประเวณีและมิได้หวังที่จะสมสู่ลับ ๆ กับพวกนาง (แบบเมียเก็บ) และผู้ใดปฏิเสธการศรัทธา แน่นอนความประพฤติ(ดีงาม)ของเขาย่อมมลายสิ้น และในโลกหน้าเขาจะอยู่ในกลุ่มผู้ขาดทุน


คำแปล R3.
4. เขาทั้งหลายถามเจ้า อันใดที่ถูกอนุมัติแก่พวกเขา จงกล่าวเถิด “ที่ถูกอนุมัติแก่พวกท่านคือสิ่งที่ดีทั้งหลาย และที่พวกท่านให้สัตว์ล่าเนื้อที่พวกท่านฝึกมันตามที่อัลลอฮฺทรงสอนพวกท่าน ดังนั้นจงกินที่มันจับมาให้พวกท่านโดยกล่าวพระนามของอัลลอฮฺบนมัน และจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงฉับพลันในการชำระ
5. วันนี้ได้ถูกอนุมัติแก่สูเจ้าซึ่งสิ่งที่ดีทั้งหลาย และอาหารของชาวคัมภีร์ก็เป็นที่อนุมัติแก่สูเจ้า และอาหารของสูเจ้าก็เป็นที่อนุมัติแก่พวกเขา และหญิงบริสุทธิ์จากหมู่ผู้ศรัทธาและหญิงบริสุทธิ์จากชาวคัมภีร์ก่อนสูเจ้าก็เป็นที่อนุมัติแก่สูเจ้าในการแต่งงาน เมื่อสูเจ้าได้ให้ของหมั้นและให้นางได้แต่งงาน ไม่ใช่เป็นผู้ค้าประเวณีและไม่ใช่ทำเป็นเมียลับ และผู้ใดปฏิเสธการศรัทธา ดังนั้น แน่นอน การงานของเขาจะไร้ผลและในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน


คำแปล R4.
4. เขาเหล่านั้นจะถามเจ้าว่า มีอะไรบ้างที่ถูกอนุมัติแก่พวกเขา จงกล่าวเถิด ที่ถูกอนุมัติแพวกเจ้านั้นคือสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย และบรรดาสัตว์สำหรับล่าเนื้อที่พวกเจ้าฝึกสอนมัน พวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่งที่มันจับมาให้แก่พวกเจ้า และจงกล่าวพระนามของอัลลอฮฺบนมันเสียก่อน และจงกลัวเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระสอบสวน
5. วันนี้สิ่งดี ๆ ทั้งหลายได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว และอาหารของบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นเป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว และอาหารของพวกเจ้าก็เป็นที่อนุมัติแก่พวกเขาและบรรดาหญิงบริสุทธิ์ในหมู่ผู้ศรัทธาหญิงและบรรดาหญิงบริสุทธิ์ในหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ก่อน จากพวกเจ้าก็เป็นอนุมัติแก่พวกเจ้าด้วย เมื่อพวกเจ้าได้มอบให้แก่พวกนางซึ่งมะหัรฺของพวกนางในฐานะเป็นผู้แต่งงานมิ ใช่เป็นผู้กระทำการซินาโดยเปิดเผย และมิใช่ยึดเอานางเป็นเพื่อน โดยกระทำซินาลับ ๆ และผู้ใดปฏิเสธการศรัทธา แน่นอนงานของเขาก็ไร้ผล ขณะเดียวกันในวันปรโลกพวกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ที่ขาดทุน


คำแปล R5.
๕. โอ้มูฮำมัด พวกสาวกของเจ้าเหล่านั้นจะไต่ถามเจ้าว่าอาหารอะไรบ้างเป็นที่อนุญาตแก่พวกเขาสำหรับจะบริโภคเจ้าจงบอกแก่พวกสาวกนั้นเถิดว่า ของที่ดีมีรสโอชะที่ปกติเป็นของบริสุทธิ์ย่อมอนุญาตให้พวกเจ้าบริโภคได้ อาทิเนื้อโคส่วนสัตว์เปรียวที่ถูกสุนัขบ้าง สัตว์ร้ายบ้างและนกบ้าง ซึ่งพวกเจ้าปล่อยให้มันไปล่ามาตามที่พวกเจ้าได้ฝึกฝนเอาไว้อย่างที่อัลเลาะห์ได้ทรงสอนวิธีการล่าให้แก่พวกเจ้านั้น จงบริโภคกันเถิดในส่วนที่ไม่ใช่เลือด เป็นต้นซึ่งมันจับมาให้พวกเจ้าถึงแม้สัตว์ที่ถูกล่ามานั้นจะถูกสัตว์ล่าฆ่าตายมาก่อนก็ตาม แค่มีเงื่อนไขว่าสัตว์ล่านั้นจะต้องไม่กินสัตว์ที่ถูกล่าหลังจากมันได้ฆ่าตายแล้วต่างกับสัตว์ที่ไม่ได้รับการฝึกหัด สัตว์ที่ถูกฆ่ามาโดยสัตว์เหล่านี้ย่อมไม่อนุญาตให้พวกเจ้าบริโภค แต่ในการปล่อยสัตว์ล่าออกไปนั้น พวกเจ้าต้องออกพระนามของอัลเลาะห์ว่า “บิสมิลลาฮิรเราะหฺมานิรร่อฮีม” ด้วย แต่ถ้าขณะปล่อยสัตว์ล่าไป พวกเจ้าลืมออกพระนามของอัลเลาะห์ ดังกล่าวก็ถือใช้ได้ทั้งจงยำเกรงอัลเลาะห์โดยการประพฤติตนตามข้อใช้ข้อห้ามของพระองค์ แท้จริงอัลเลาะห์นั้นคือองค์ทรงพินิจฉัยโดยฉับพลัน พระองค์จะทรงพินิจฉัยผลแห่งความประพฤติของผู้กระทำการดีและการชั่วเสร็จลงภายในครึ่งวันแห่งวันในพิภพนี้เท่านั้น
๖. ณ วันนี้ได้อนุญาตให้พวกเจ้าบริโภคอาหารดีที่มีรสโอชะที่ปกติเป็นของบริสุทธิ์ ส่วนอาหารที่ถูกเชือดโดยฝีมือของบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งที่เป็นยะฮูดีและนัซรอนีนั้นก็เป็นที่อนุญาตให้แก่พวกเจ้าบริโภค อาหารของพวกเจ้าก็เป็นที่อนุญาตแก่พวกทั้งสองนั้นด้วย และบรรดาหญิงเสรีชนฝ่ายที่ศรัทธา(เป็นมุอ์มิน)ก็ดี บรรดาหญิงฝ่ายที่ได้รับคัมภีร์ก่อนหน้าพวกเจ้าทั้งยะฮูดีและนัซรอนีก็ดีย่อมเป็นที่อนุญาตแก่พวกเจ้าจะทำการสมรสด้วยหญิงทั้งสองประเภทนั้นได้เหมือนกัน ในเมื่อพวกเจ้าได้มอบให้พวกเธอได้รับค่าสมรสโดยปรารถนาจะครองนางเป็นภรรยา หาได้ปรารถนาจะล่วงประเวณีนอกอนุญาต (กระทำการซินา) เป็นการเปิดเผยและเป็นชายชู้กับนางอย่างไม่เปิดเผยแต่อย่างไรไม่ ถ้าแหละผู้ใดหักจิต ไม่ศรัทธา คือกลายสภาพจากมุสลิมไปเป็นกาฟิรเสียแล้ว ความประพฤติอันดีงามของเขาแต่อดีตนั้นย่อมมลายแน่นอน โดยจะไม่ได้รับพิจารณาและไม่ได้ผลบุญเป็นเครื่องตอบแทนเลย ในเมื่อเขาตายลงในสภาพของคนกาฟิร(มุรตัด) ทั้งในวันอาคิเราะห์เขายังเป็นผู้หนึ่งในบรรดาพวกที่ขาดทุนอีกด้วย




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 6


คำอ่าน
6. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิซากุมตุม อิลัศเศาะลาติ ฟัฆสิลู วุญูฮะกุม วะอัยดิยะกุม อิลัลมะรอฟิกิ วัมสะหูบิรุอูสิกุม วะอัรฺญุละกุม อิลัลกะอฺบัยนิ วะอิน..กุน..ตุมญุนุบัน..ฟัฏเฏาะฮฺฮะรู วะอิน..กุน..ตุม..มัรฺฎอ..เอาอะลาสะฟะริน เอาญา...อะ อะหะดุม..มิน..กุม..มินัลฆอ..ฏิ เอาลามัสตุมุน..นิสา...อะ ฟะลัมตะญิดูมา...อัน..ฟะตะยัม..มะมู เศาะอีดัน..ฏ็อยยิบัน ฟัมสะหูบิวุญูฮิกุม วะอัยดีกุม..มินฮุ มายุรีดุลลอฮุ ลิยัจญอะละอะลัยกุม..มินหะเราะญิว..วะลากี..ยุรีดุ ลิยุเฏาะฮฺฮิเราะกุม วะลิยุติม..มะ นิอฺมะตะฮู อะลัยกุม ละอัลละกุม ตัชกุรูน

คำแปล R1.
6. O You who believe! When you intend to offer As-Salat (the prayer), wash your faces and your hands (forearms) up to the elbows, rub (by passing wet hands over) your heads, and (wash) your feet up to ankles . If you are in a state of Janaba (i.e. had a sexual discharge), purify yourself (bathe your whole body). But if you are ill or on a journey or any of you come from answering the call of nature, or you have been in contact with women (i.e. sexual intercourse) and you find no water, then perform Tayammum with clean earth and rub therewith your faces and hands. Allah does not want to place you in difficulty, but He wants to purify you, and to complete His Favour on you that you may be thankful.

คำแปล R2.
7.  โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! เมื่อพวกเจ้ามุ่งหมายที่จะทำละหมาด พวกเจ้าก็จง(ทำวุฎูอ์ก่อนโดย) ล้างหน้าของพวกเจ้า, มือของพวกเจ้าจนถึงข้อศอก, และพวกเจ้าจงเช็ดศีรษะ และ(จงล้าง)เท้าของพวกเจ้าจนถึงตาตุ่ม, และหากพวกเจ้ามียะนาบะฮฺ(สภาพหลังการประเวณีหรือการหลั่งอสุจิ) พวกเจ้าก็จงชำระ(ร่างกาย)ให้สะอาด และถ้าหากพวกเจ้าป่วยไข้หรืออยู่ระหว่างเดินทางหรือคนใดจากพวกเจ้า(มา)จากที่ถ่ายทุกข์(คือพวกเขาปัสสาวะ, อุจจาระหรือมีสิ่งใด ๆ ออกจากทวารทั้งสองของเขา) หรือพวกเจ้าสัมผัสกับผู้หญิง(ที่แต่งงานได้) แล้วต่อมาพวกเจ้าหาน้ำไม่ได้ ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจง(ทำตะยัมมุมแทนด้วยการ)มุ่งหาดินฝุ่นที่ดี(สะอาด บริสุทธิ์) แล้วจงเช็ดใบหน้าของพวกเจ้า และมือของพวกเจ้าจาก(การเคลื่อนย้าย)ดินนั้น(จากการใช้มือสัมผัสกับฝุ่น แล้วยกขึ้นมาเช็ดตามขั้นตอนดังกล่าว จะใช้หน้าหรือมือไปดักรอฝุ่นที่ลอยมาไม่ได้) อัลเลาะฮฺไม่ทรงประสงค์ที่จะสร้างความคับแค้นใด ๆ แก่พวกเจ้าเลย และแต่ทว่าพระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำความสะอาดแก่พวกเจ้าและเพื่อทำความสมบูรณ์แก่สิ่งโปรดปรานของพระองค์ที่ประทานแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าได้ขอบคุณ(พระองค์)

คำแปล R3.
6. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ยเมื่อสูเจ้ายืนขึ้นเพื่อทำนมาซ ดังนั้น จงล้างหน้าของสูเจ้าและมือของสูเจ้าถึงข้อศอก และจงลูบศีรษะของสูเจ้าและล้างเท้าของสูเจ้าถึงตาตุ่ม และถ้าสูเจ้ามีญะนาบะฮฺ ก็จงชำระตัวสูเจ้าให้สะอาด และถ้าสูเจ้าป่วยหรืออยู่ระหว่างการเดินทาง หรือผู้ใดในหมู่สูเจ้ามาจากส้วมหรือได้สัมผัสผู้หญิงแล้วสูเจ้าหาน้ำไม่พบ ดังนั้นจงทำตะยัมมุมด้วยฝุ่นดินที่สะอาด โดยใช้มันลูบหน้าและมือของสูเจ้า อัลลอฮฺไม่ทรงปรารถนาที่จะก่อความลำบากใด ๆ แก่สูเจ้า แต่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะชำระสูเจ้าให้สะอาด และเพื่อทรงให้ความโปรดปรานของพระองค์ครบครันแก่สูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้ขอบคุณ

คำแปล R4.
6. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! เมื่อพวกเจ้ายืนขึ้นจะไปละหมาด ก็จงล้างหน้าของพวกเจ้า และมือของพวกเจ้าถึงข้อศอก และจงลูบศีรษะของพวกเจ้า และล้างเท้าของพวกเจ้าถึงตาตุ่มทั้งสอง และหากพวกเจ้ามีญะนาบะฮฺ  ก็จงชำระร่างกายให้สะอาด และหากพวกเจ้าป่วย หรืออยู่ในการเดินทาง หรือคนใดในหมู่พวกท่านมาจากการถ่ายทุกข์ หรือได้สัมผัสหญิงมา แล้วพวกเจ้าไม่พบน้ำก็จงมุ่งสู่ดินที่ดี แล้วลูบใบหน้าของพวกเจ้า และมือของพวกเจ้า จากดินนั้น อัลลอฮฺนั้นไม่ทรงประสงค์เพื่อจะให้มีความลำบากใด ๆ แก่พวกเจ้า แต่ทว่าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเจ้าสะอาด และเพื่อให้ความกรุณาเมตตาของพระองค์ครบถ้วนแก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจักขอบคุณ

คำแปล R5.
๗. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเมื่อพวกเจ้ามุ่งหมายที่จะดำรงการละหมาดทั้งที่พวกเจ้าก็ยังมีสภาพราคีน้อย(หะดัสเล็ก-ไม่มีน้ำละหมาด)ก็ให้พวกเจ้าล้างหน้าของพวกเจ้า และล้างมือทั้งสองข้างของพวกเจ้าพร้อมทั้งข้อศอก จงเช็ดศีรษะของพวกเจ้าและจงล้างเท้าทั้งสองข้างของพวกเจ้าพร้อมทั้งตาตุ่มทั้งสองข้างและหากว่าพวกเจ้าเป็นพวกมีราคี(หะดัสใหญ่) และมีความมุ่งหมายที่จะเข้าทำละหมาดก็ให้พวกเจ้าชำระกายทั้งสิ้นให้สะอาดด้วยน้ำพร้อมทั้งตั้งจิตปรารถนา(นียะห์)จะขจัดสภาพแห่งความมีราคีนั้นเสียจากตนแต่ถ้าพวกเจ้าเป็นผู้ป่วยไข้ถึงกับถ้าใช้น้ำชำระกายเมื่อมียุนุบแล้วจะเป็นภัยแก่ตนก็ดีหรืออยู่ในภาวะเดินทางไกลในช่วงระยะทางที่อูฐบรรทุกเดินประมาณวันกับคืนหนึ่งที่ขาดแคลนน้ำก็ดีหรือในพวกเจ้านั้นใครที่เสียน้ำละหมาดโดยเกิดมีสิ่งใด ๆ ยกเว้นน้ำอสุจิออกมาจากทวารหนักก็ดีหรือทวารเบาก็ดีหรือว่าพวกเจ้าถูกต้องผิวกายของผู้หญิงที่ไม่ห้ามพวกเจ้าแต่งงานก็ดีทั้งพวกเจ้าก็ได้เสาะแสวงหาน้ำแต่ปรากฏว่าไม่พบน้ำ แล้วพวกเจ้าจงเอาฝุ่นสะอาดชำระ(ตะยำมุม)คือให้พวกเจ้าใช้มือทั้งสองข้างตบฝุ่นนั้น แล้วใช้ฝุ่นซึ่งตบครั้งแรกลูบใบหน้าของพวกเจ้าพร้อมตั้งจิตปรารถนาและฝุ่นซึ่งตบครั้งที่สองใช้ลูบมือทั้งสองข้างของพวกเจ้าจนถึงข้อศอก ดังนี้ เอาฝ่ามือข้างซ้ายลูบแขวนข้างขวาพร้อมทั้งข้อศอกและเอาฝ่ามือข้างขวาลูบแขนข้างซ้ายพร้อมทั้งข้อศอกซึ่งในเรื่องของการอาบน้ำละหมาดก็ดี เรื่องอาบน้ำขจัดคราบยุนุบก็ดี และเรื่องการใช้ฝุ่นสะอาดชำระแทนก็ดี ที่ได้ทรงบังคับให้พวกเจ้ากระทำตามนั้น อัลเลาะห์มิได้ทรงมุ่งประสงค์จะให้การดังกล่าวนั้นเป็นทางแคบแก่พวกเจ้าเลย แต่ทรงมุ่งหมายเพียงเพื่อให้สูเจ้าสะอาดปราศจากหะดัสน้อยและหะดัสใหญ่ เพื่อให้พวกเจ้าเกลี้ยงเกลาจากบาปที่พวกเจ้าประพฤติสะสมไว้ และเพื่อให้พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่มีต่อพวกเจ้าครบบริบูรณ์ โดยการประทานศาสนาอิสลามและทรงชี้แจงก็ใช้ข้อห้ามในศาสนาอิสลามให้พวกเจ้าได้ทราบทั่วกันเท่านั้น เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้ขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ และพวกเจ้าจงประพฤติตนตามใช้ตามห้ามของพระองค์กันเถิด


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 7 - 10


คำอ่าน
7. วัซกุรูนิอฺมะตัลลอฮิ อะลัยกุม วะมีษาเกาะฮุลละซี วาษะเกาะกุม..บิฮี..อิซกุลตุมสะมิอฺนา วะอะเฏาะอฺนา วัตตะกุลลอฮะ อิน..นัลลอฮะอะลีมุม..บิซาดิศศุดูรฺ
8. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู กูนูก็อววามีนะลิลลาฮิ ชุฮะดา..อะบิลกิสฏิ วะลายัจญริมัน..นะกุม ชะนะอานุก็อวมิน อะลา..อัลลาตะอฺดิลู อิอฺดิลู ฮุวะอักเราะบุลิตตักวา วัตตะกุลลอฮะ อิน..นัลลอฮะเคาะบีรุม..บิมาตะอฺมะลูน
9. วะอะดัลลอฮุลละซีนะอามะนู วะอะมิลุศศอลิหาติ ละฮุม..มัฆฟิเราะตู..วะอัจญรุนอะซีม
10. วัลละซีนะกะฟะรู วะกัซซะบูบิอายาตินา..อุลา...อิกะอัศหาบุลญะหีม


คำแปล R1.
7. And remember Allah's Favour upon you and His Covenant with which He bound you when you said: "We hear and we obey." and fear Allah. Verily, Allah is All-Knower of the secrets of (your) breasts.
8. O You who believe! Stand out firmly for Allah and be just witnesses and let not the enmity and hatred of others make you avoid justice. Be just: that is nearer to piety, and fear Allah. Verily, Allah is Well-Acquainted with what you do.
9. Allah has promised those who believe (in the Oneness of Allah - Islamic Monotheism) and do deeds of righteousness, that for them there is forgiveness and a great reward (i.e. Paradise).
10. They who disbelieve and deny our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) are those who will be the dwellers of the Hell-fire.


คำแปล R2.
8. และพวกเจ้าจงระลึกถึงความโปรดปรานของอัลเลาะฮฺที่ทรงประทานแก่พวกเจ้าเถิด และ(ระลึกถึง)สัญญาของพระองค์ที่ทรงนำมาทำสัญญากับพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้ากล่าวว่า “เรารับฟัง และเราภักดียอมปฏิบัติตาม” และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่ในจิตใจ(ของทุกคน)
9. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงดำรงตนเป็นสักขีพยานด้วยความยุติธรรมเพื่ออัลเลาะฮฺเถิด และพวกเจ้าอย่าให้ความโกรธที่มีอยู่กับคนกลุ่มหนึ่ง(ผู้เนรคุณ)เป็นเหตุให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม(ต่อพวกเขา) พวกเจ้าจงยุติธรรม มันเป็นสิ่งใกล้เคียงต่อความยำเกรงอย่างยิ่ง และจงยำเกรงอัลเลาะฮ์ เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ในการกระทำของพวกเจ้าทั้งมวล
10. อัลเลาะฮฺได้ให้สัญญาแก่บรรดาผู้มีศรัทธา และปรัพฤติแต่ความดีงามว่า พวกเขาจะได้รับการให้อภัย และรางวัลอันยิ่งใหญ่(จากพระองค์)
11. และบรรดาผู้ไร้การศรัทธา และว่าโองการต่าง ๆ ของเราเป็นความเท็จนั้น พวกเหล่านั้นเป็นชาวนรกอย่างแน่นอน


คำแปล R3.
7. และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺต่อสูเจ้า และจงอย่าลืมพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงทำกับสูเจ้าเมื่อตอนที่สูเจ้ากล่าวว่า “เราได้ยินและเราปฏิบัติตาม” และจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ที่อยู่ในหัวอก”
8. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งการเป็นพยานอย่างเที่ยงธรรมเพื่ออัลลอฮฺ และจงอย่าให้การเกลียดชังของผู้ใดยุยงสูเจ้าไม่ให้ปฏิบัติความยุติธรรม จงดำรงความยุติธรรมไว้ เพราะมันใกล้กับการสำรวมตนจากความชั่ว และจงเกรงกลัวอัลลอฮฺ แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงตระหนักที่สูเจ้ากระทำ
9. อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีทั้งหลายว่า สำหรับเขาทั้งหลายคือการอภัยโทษและรางวัลอันมหาศาล
10. และบรรดาผู้ปฏิเสธและถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จนั้น พวกเขาเป็นสหายของไฟนรกที่โชติช่วง


คำแปล R4.
7. และจงรำลึกถึงความกรุณาเมตตาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้า และสัญญาของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำมันไว้แก่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้ากล่าวว่า พวกเราได้ยินแล้ว และพวกเราเชื่อฟังแล้ว และพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในทรวงอก
8. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีเพื่ออัลลอฮฺ เป็นพยานด้วยความเที่ยงธรรมและจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด ทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า และพึงยำเกรง อัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้น เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
9. และอัลลอฮฺได้ทรงสัญญาแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธา และประกอบสิ่งที่ดีงามทั้งหลายว่าสำหรับพวกเขานั้นคือ การอภัยโทษ และรางวัลอันยิ่งใหญ่
10. และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น ชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก


คำแปล R5.
๘. ทั้งพวกเจ้าจงรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ที่มีต่อพวกเจ้าในประการที่ได้ทรงมอบศาสนาอิสลามให้พวกเจ้าเข้ารับนับถือและจงรำลึกถึงข้อสัญญาของพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงใช้ให้พระนบีมูฮำมัดมาผูกพันไว้กับพวกเจ้าดังนี้คือ พวกเจ้าจักต้องเชื่อฟังข้อบัญญัติใช้ของพระองค์ด้วยความเคารพ ทั้งจักต้องประพฤติตนตามคำบัญชาใช้ทั้งในยามลำบากลำบน ในยามปกติ ตลอดจนในยามขยันขันแข็งและในยามท้อถอยในตอนที่พวกเจ้ากล่ารับข้อสัญญาจากพระนบีมูฮำมัดว่า “พวกเราสดับฟังอย่างเคารพและยอมเชื่อฟังทุกสิ่งทุกอย่างตามที่พระนบีใช้และห้าม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสบอารมณ์หรือไม่ก็ตามเถิดและพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ในด้านที่พวกเจ้าจะผิดสัญญาของพระองค์ทั้งในส่วนเปิดเผยและไม่เปิดเผยเพราะแท้จริง อัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์รู้ยิ่งในภาวะแห่งจิตและภาวะนอกจิต
๙. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าพึงธำรงไว้ซึ่งสิทธิของอัลเลาะห์ในด้านกระทำความดีและงดเว้นจากความชั่ว และจงธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในทางเป็นสักขีพยานเพื่ออัลเลาะห์และอย่าได้ให้ความโกรธแค้นของพวกเจ้าต่อมวลชนกาฟิร เป็นเหตุให้พวกเจ้าขาดความเป็นธรรมต่อพวกเขาเลย เพื่อว่าเมื่อพวกนั้นโกรธพวกเจ้าแล้วพวกเจ้าก็จะได้ถิอโอกาสฆ่าแล้วช่วงชิงทรัพย์ของพวกนั้นเสียเลย จงให้ความเป็นธรรมแก่ทุก ๆ ฝ่ายเถิดไม่ว่าจะเป็นพวกมุอ์มินหรือกาฟิร การให้ความเป็นธรรมดังกล่าวนั้นแหละ จัดว่าเป็นการเข้าใกล้ความยำเกรงต่ออัลเลาะห์ยิ่งกว่าความไม่เป็นธรรมอีกทั้งจงยำเกรงอัลเลาะห์ด้วยเถิด เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงรู้เท่าทันในพฤติการณ์ที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่แล้วพระองค์ก็จะทรงตอบสนองแก่พวกเจ้าตามนั้น
๑๐. อัลเลาะห์ได้ทรงให้สัญญาไวแก่บรรดาผู้ศรัทธาและประพฤติชอบทั้งหลายด้วยข้อสัญญาอันดีเลิศว่าพวกเขาเหล่านั้นย่อมได้รับซึ่งการอภัยโทษและสรวงสวรรค์ซึ่งเป็นผลสนองอันใหญ่หลวง
๑๑. สาวนบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาและหาว่าบรรดาโองการของเรา(อัลเลาะห์)เป็นเท็จนั้นพวกเขาเหล่านี้แหละคือชาวนรกยะฮีม



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 11 - 12


คำอ่าน
11. ยา..อัยยุฮัลละซีนะ อามะนุซกุรู นิอฺมะตัลลอฮิอะลัยกุม อิซฮัม..มะ ก็อวมุน อัย..ยับสุฏู..อิลัยกุม อัยดิยะฮุม ฟะกัฟฟะอัยดิยะฮุม อัน..กุม วัตตะกุลลอฮฺ วะอะลัลลอฮิ ฟัลยะตะวักกะลิลมุอ์มินูน
12. วะละก็อด อะเคาะซัลลอฮุ มีษาเกาะบะนี...อิสรอ...อีล วะบะอัษนามินฮุมุษนัย อะชะเราะนะกีบา วะกอลัลลอฮุ อิน..นีมะอะกุม ละอินอะก็อมตุมุศเศาะลาตะ วะอาตัยตุมุซซะกาตะ วะอามัน..ตุม..บิรุสุลี วะอัซซัรฺตุมูฮุม วะอักร็อฎตุมุลลอฮะ ก็อรฺฎ็อน หะสะนัล ละอุกัฟฟิร็อน..นะ อัน..กุม สัยยิอาติกุม วะละอุดคิลัน..นะกุม ญัน..นาติน..ตัจญรีมิน..ตะหิติฮัลอันฮารฺ ฟะมัน..กะฟะเราะ บะอฺดะซาลิกะมิน..กุม ฟะก็อดฎ็อลละสะวา..อัสสะบีล


คำแปล R1.
11. O you who believe! Remember the favour of Allah unto you when some people desired (made a plan) to stretch out their hands against you, but (Allah) withheld their hands from you. So fear Allah. And in Allah let believers put their trust.
12. Indeed Allah took the Covenant from the Children of Israel (Jews), and we appointed twelve leaders among them. And Allah said: "I am with you if you perform As-Salat (Iqamat-as-Salat) and give Zakat and believe in my Messengers; honour and assist them, and lend to Allah a good loan. Verily, I will remit your sins and admit you to Gardens under which rivers flow (in Paradise). But if any of you after this, disbelieved, he has indeed gone astray from the Straight Path."


คำแปล R2.
12. และบรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าจงระลึกถึงความโปรดปรานของอัลเลาะฮฺที่ได้ประทานแก่พวกเจ้าเถิด เมื่อครั้งมีคนกลุ่มหนึ่งคิดที่จะยื่นมือของพวกเขามายังพวกเจ้า(เพื่อฆ่าฟัน) แต่อัลเลาะฮฺก็ได้ยับยั้งมือของพวกนั้นไว้จากพวกเจ้า (มิให้พวกนั้นทำร้ายพวกเจ้าได้) และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺเถิด และเฉพาะแต่อัลเลาะฮฺเท่านั้น บรรดาผู้มีศรัทธาจงมอบหมาย
13. ขอยืนยัน แท้จริงอัลเลาะฮฺได้เอาสัญญาแก่พวกเผ่าพันธุ์ของอิสรออีล และเราได้แต่งตั้งหัวหน้าของพวกเขา 12 คน(โดยคัดมา)จากพวกเขาเอง และอัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า “แท้จริงข้าจะอยู่ร่วมกับพวกเจ้าทั้งมวล” ขอยืนยัน หากพวกเจ้าดำรงการละหมาด, บริจาคซะกาต, มีศรัทธาในบรรดาศาสนทูตของข้า, ให้เกียรติแก่พวกเขา(เป็นอันดี) และให้อัลเลาะฮฺกู้ยืมอย่างดีงาม แน่นอนที่สุด ข้าจักนิรโทษแก่พวกเจ้า บรรดาความเลวร้ายของพวกเจ้า(ที่ได้กระทำผ่านไปแล้ว) และข้าจักให้พวกเจ้าได้เข้าสู่สวรรค์ ซึ่งมีธารน้ำไหลผ่าน ณ เบื้องใต้ของมัน แต่บุคคลใดเนรคุณภายหลังจากนั้น แน่นอนเขาก็หลงจากทางอันเที่ยงตรง


คำแปล R3.
11. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อสูเจ้าเมื่อชนหมู่หนึ่งได้ตั้งใจที่จะทำร้ายสูเจ้าแต่พระองค์ได้ทรงยั้งมือของพวกเขาจากสูเจ้า ดังนั้น จงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเท่านั้นที่ปวงผู้ศรัทธาควรต้องไว้วางใจ
12. และโดยแน่นอนยิ่ง อัลลอฮฺได้ทรงทำสัญญาผูกมัดวงศฺวานอิสรออีล และได้ตั้งหัวหน้า 12 คนขึ้นจากหมู่พวกเขาและอัลลอฮฺตรัสว่า “แท้จริงฉันอยู่กับสูเจ้า ถ้าสูเจ้าดำรงนมาซ และจ่ายซะกาต และศรัทธาในรอซูลทั้งหลายของฉันและสนับสนุนพวกเขาและให้การยืมที่ดีแก่อัลลอฮฺ แน่นอน ฉันจะลบล้างความชั่วของสูเจ้าจากสูเจ้า และแน่นอนฉันจะให้สูเจ้าเข้าสวนสวรรค์หลากหลายซึ่งเบื้องล่าง มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน เพราะฉะนั้น หลังจากนี้ไป ผู้ใดปฏิเสธ ดังนั้น แน่นอน เขาได้หลงไปจากทางอันเที่ยงตรง


คำแปล R4.
11. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้า ขณะที่พวกหนึ่งปลงใจที่จะยื่นมือของพวกเขามาทำร้ายพวกเจ้าแล้วพระองค์ก็ทรง ยับยั้งและหันมือพวกเขาออกจากพวกเจ้าเสีย และพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และแต่อัลลอฮฺเท่านั้น ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมาย
12. และแท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเอาสัญญาแก่วงศ์วานอิสรออีล และเราได้แต่งตั้งผู้ดูแลจากหมู่พวกเขาขึ้นสิบสองคน และอัลลอฮฺได้ทรงกล่าวว่า แท้จริงข้านั้นร่วมอยู่ด้วยกับพวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และศรัทธาต่อบรรดารอซูลของข้า และสนับสนุนพวกเขา และให้อัลลอฮฺยืมหนี้ที่ดี แล้วแน่นอนข้าจะลบล้างให้พ้นจากพวกเจ้า ซึ่งความชั่วทั้งหลายของพวกเจ้า และแน่นอนข้าจะให้พวกเจ้าเข้าบรรดาสวนสวรรค์ ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของสวนสวรรค์เหล่านั้น แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าปฏิเสธ หลังจากนั้นแล้ว แน่นอนเขาก็หลงทางอันเที่ยงตรง


คำแปล R5.
๑๒. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ที่มีต่อพวกเจ้าในคราวที่มีชนกลุ่มหนึ่งเป็นชาวอาหรับเผ่ากุรอยช์ได้เข้ามาจู่โจมสังหารพวกเจ้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้วพระองค์ก็ทรงระงับพวกนั้นไว้ให้วางมือเสียยิ่งกว่านั้นยังได้ทรงปกปักษ์รักษาพวกเจ้าให้รอดพ้นจากความมีเจตนาร้ายของพวกนั้นต่อพวกเจ้าอีกด้วย แล้งพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ และต่ออัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ให้พวกผู้ศรัทธาพึงมอบหมายไว้เป็นที่ยึดมั่น อย่าได้ยึดเอาอื่นจากพระองค์เป็นที่ยึดมั่นเลย
๑๓. ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าอันที่จริงอัลเลาะห์ได้ทรงบัญชาใช้มูซาให้ผูกพันสัญญาไว้แก่สายสกุลอิสรออีล(บุตรหลานของพระนบียะกู๊บ)ถึง ๕ ข้อ ดังจะกล่าวต่อไป และจากจำพวกตระกูลอิสรออีลเหล่านั้นทั้งสิบสองพวกเรา(อัลเลาะห์)ก็ได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการเสียสิบสองคนให้ทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบคนในสังกัดของตน โดยให้พวกนั้นปฏิบัติตามสัญญาที่ว่า “ทุกคนในสังกัดนั้นถูกอัลเลาะห์บัญชาให้ยาตราเข้าสู่นครซีเรีย(ชาม) และให้สู้รบพวกกาฟิรที่โหดเหี้ยม การที่พระองค์ทรงตั้งให้มีผู้รับผิดชอบนั้นก็เพื่อจะให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งนั้นเอาจริงเอาจังแก่คนในสังกัดของตนให้ปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ถูกใช้ ๒ ประการนี้ อัลเลาะห์ตรัสแก่สกุลวงศ์ของอิสรออีลว่า แท้จริงข้านี้คอยให้ความสงเคราะห์อยู่ฝ่ายพวกเจ้าและให้พวกเจ้ามีชัยชนะความจริงสัญญา ๕ ข้อนั้น คือ หากว่าพวกเจ้าดำรงละหมาด จ่ายทรัพย์ซะกาต ทั้งยังได้ศรัทธาต่อศาสนทูตของข้า ช่วยป้องกันพวกพระศาสนทูตเหล่านี้ให้พ้นจากความมุ่งร้ายของศัตรูและยินยอมสียสละเพื่อสษสนาของอัลเลาะห์แล้วไซร้ขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าข้าจะขจัดบรรดาบาปกรรมให้สิ้นไปจากพวกเจ้าและให้พวกเจ้าได้สู่สรวงสวรรค์ที่ภายใต้มีธารน้ำไหลผ่านแน่นอนทีเดียว แล้วถ้าหลังจากได้รับข้อสัญญาทั้งห้าข้อนั้นผู้ใดปฏิเสธ ผู้นั้นย่อมดำเนินผิดหนทางที่เที่ยงตรงเป็นแน่ พวกเหล่านั้นได้เสียสัตย์สัญญาที่กล่าวหาว่าพระศาสนทูตที่ถัดลำดับจากพระนบีมูซาลงมา เป็นคนเท็จทั้งนั้น และยิ่งกว่านั้นยังได้สังหารบรรดาพระศาสดา และได้หันหลังให้พระคัมภีร์ของพระนบีมูซาและพยายามทำให้ข้อบัญญัติที่จำเป็นของพระนบีมูซาไร้คุณค่า อัลเลาะห์จึงได้ตรัสว่า



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 13 - 14


คำอ่าน
13. ฟะบิมานักฎิฮิม..มีษาเกาะฮุม ละอัน..นาฮุม วะญะอัลนา กุลูบะฮุม กอสิยะฮฺ ยุหัรฺฟูนัลกะลิมะ อัม..มะวาฎิอิฮี วะนะสูหัซซ็อม..มิม..มา ซุกกิรูบิฮฺ วะลาตะซาลุ ตัฏเฏาะลิอุ อะลาคอ..อินะติม..มินฮุม อิลลาเกาะลีลัม..มินฮุม ฟะอฺฟุอันฮุม วัศฟะหฺ อิน..นัลลอฮะยุหิบบุลมุหฺสินีน
14. วะมินัลละซีนะ กอลู..อิน..นานะศอรอ..อะค็อซนามีษาเกาะฮุม ฟะนะสูหัซซ็อม..มิม..มา ซุกกิรูบิฮฺ ฟะอัฆร็อยนา บัยนะฮุมุลอะดาวะตะ วัลบัฆฎอ..อะ อิลาเยามิลกิยามะฮฺ วเสาฟะยุนับบิอุฮุมุลลอฮุ บิมากานูยัศนะอูน


คำแปล R1.
13. So because of their breach of their covenant, we cursed them, and made their hearts grow hard. They change the words from their (Right) places and have abandoned a good part of the message that was sent to them. And you will not cease to discover deceit in them, except a few of them. But forgive them, and overlook (their misdeeds). Verily, Allah loves Al-Muhsinun (good-doers - see V.2:112).
14. And from those who call themselves Christians, we took their covenant, but they have abandoned a good part of the message that was sent to them. So we planted amongst them enmity and hatred till the Day of Resurrection (when they discarded Allah's Book, disobeyed Allah's Messengers and his orders and transgressed beyond bounds in Allah's disobedience), and Allah will inform them of what they used to do.


คำแปล R2.
14. เป็นเพราะเขาทำลายสัญญาของพวกเขาเอง เราจึงได้สาปแช่งพวกเขา(ไม่ให้รับความเมตตตาของเรา) และเราได้บันดาลหัวใจของพวกเขาให้แข็งกระด้าง พวกเขาบิดเบือนถ้อยคำต่าง ๆ (ในคัมภีร์เตารอฮฺ)จากที่เดิมของมัน (และพวกเขาลืมหน้าที่)ส่วนหนึ่งจากที่พวกเขาถูกเตือนไว้(ในคัมภีร์เตารอฮฺ นั่นคือ การศรัทธานบีมุฮำมัด) และเจ้ามองเห็นความบิดพลิ้ว(สัญญา)จากพวกนั้นเสมอ นอกจากเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเท่านั้น (ที่ยังคงซื่อสัตย์ในสัญญา เช่น อับดุลเลาะฮฺ บิน สลาม กับพรรคพวก ซึ่งมี อะซัด, อุไซด์, สะละบะฮฺ) ดังนั้น (โอ้มุฮำมัด) เจ้าจงให้อภัยพวกเขา และจงอย่าถือโทษ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรักบรรดาผู้ประพฤติธรรมทั้งมวล
15. และมีบางคนจากพวกเขาที่กล่าวว่า “เราเป็นนะซอรอ” เราได้เอาสัญญากับพวกเขาแต่แล้วพวกเขาก็ลืม(ละทิ้ง)หน้าที่จากที่พวกเขาได้ถูกนำมาเตือน ดังนั้นเราจึงได้ปลูกฝังระหว่างพวกเขาให้มีอริต่อกันและความโกรธซึ่งกันและกัน จนถึงวันชาติหน้าและอัลเลาะฮฺจะแจ้งพวกเขาให้ทราบในสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำไว้ (ซึ่งบางอย่างพวกเขาก็จำไม่ได้)


คำแปล R3.
13. แต่เนื่องจากพวกเขาละเมิดพันธะสัญญาของพวกเขา ดังนั้น เราจึงได้งดความเมตตาแก่พวกเขา และเราได้ให้จิตใจของพวกเขากระด้าง พวกเขาบิดเบือนถ้อยคำของคัมภีร์และเพิกเฉยส่วนหนึ่งที่พวกเขาถูกเตือนให้รำลึก และเจ้าจะไม่วายเว้นที่จะได้เห็นการทรยศอย่างใดอย่างหนึ่งจากหมู่พวกเขา ยกเว้นเพียงบางคนเท่านั้น ดังนั้นจงให้อภัยพวกเขาและจงเมินเฉยเสีย แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักผู้ทำการดี
14. และในบรรดาพวกที่กล่าวว่า “แท้จริงพวกเราเป็นนะศอรอ” นั้นได้ทำสัญญาผูกมัดพวกเขา แต่แล้วพวกเขาก็ได้เพิกเฉยต่อส่วนหนึ่งที่พวกเขาได้ถูกเตือนให้รำลึก ดังนั้น เราได้เพาะการเป็นศัตรูและการเกลียดชังขึ้นในหมู่พวกเขาจนถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และแน่นอนอัลลอฮฺจะบอกพวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้


คำแปล R4.
13. แต่เนื่องจากการที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา เราจึงได้ให้พวกเขาห่างไกลจากความกรุณาเมตตาของเราและให้หัวใจของพวกเขาแข็ง กระด้าง พวกเขากระทำการบิดเบือน บรรดาถ้อยคำให้เฉออกจากตำแหน่งของมันและลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขา ถูกเตือนไว้ และเจ้า ก็ยังคงมองเห็นอยู่ในการคดโกงจากพวกเขานอกจากเพียงเล็กน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้น จงอภัยให้แก่พวกเขาเถิด และเมินหน้าเสีย แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงชอบผู้ทำดีทั้งหลาย
14. และจากบรรดาผู้ที่กล่าวว่า พวกเราเป็นคริสต์นั้น เราได้เอาสัญญาจากพวกเขา แต่แล้วพวกเขาก็ลืมส่วนหนึ่งจากสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนไว้ เราจึงได้ให้เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาซึ่งการเป็นศัตรูและการเกลียดชังกันจนกระ ทั่งวันกิยามะฮฺ และอัลลอฮฺจะทรงบอกเขาเหล่านั้นถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นได้กระทำมาก่อน


คำแปล R5.
๑๔. ก็เพราะว่าพวกเหล่านั้นเสียสัตย์นี่แหละ เรา(อัลเลาะห์)จึงได้ขจัดให้พวกนั้นออกห่างความเมตตาของเราเสีย ทั้งเรายังได้บันดาลใจของพวกนั้นให้แกร่งกระด้างขนาดไม่ยอมรับซึ่งความศรัทธาพวกเหล่านั้นได้สับเปลี่ยนพระคำของอัลเลาะห์ คือ คุณลักษณะของพระนบีมูฮำมัดบ้าง และเรื่องทำนองอย่างอื่นบ้าง ซึ่งพระคำนี้พระองค์ได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์เตารอตให้ผิดเป็นอื่นจากที่ได้ทรงกำหนดไว้แต่เดิมกับได้ละเลยเรื่องการเจริญรอยตามพระนบีมูฮำมัดอันเป็นส่วนหนึ่งที่พวกเขาถูกใช้อยู่ในพระคัมภีร์เตารอต และโอ้มูฮำมัดเจ้าก็แจ้งใจอยู่ว่าพวกนั้นมีความทุจริตที่เสียสัตย์สัญญาและกรณีอื่น ๆ เว้นไว้แต่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีแต่ความสัตย์ซื่อ เช่น อับดุลเลาะห์บุตรสลามกับพรรคพวกอันได้แก่อะซัด อุไซดุ์ วะละบะห์ และบุตรยามีน โอ้มูฮำมัด เจ้าจงนิรโทษกรรมให้พวกนั้นและอโหสิกรรมเสียเถิด เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นย่อมโปรดปราณีต่อผู้ปฏิบัติดีงามทั้งหลายโองการนี้ถูกยกเลิกแล้วโดยโอกงการเรื่อง “ดาบ” จากซูเราะห์ อัล-เตาบะห์โองการที่ ๒๙
๑๕. และส่วนหนึ่งจากบรรดานัซรอนีที่พูดว่า”พวกเราคือนะซอรอ” นั้น เรา(อัลเลาะห์)ได้ผูกพันสัญญาบังคับพวกนั้นไว้แล้วในคัมภีร์อินยีลว่า “พวกนั้นจะต้องศรัทธาต่อพระนบีมูฮำมัด” เช่นเดียวกับที่เราได้เคยผูกพันสัญญาไว้แก่บุคคลในตระกูลอิสรออีลคือชาวยะฮูดีนั่นแหละ แต่พวกนั้นกลับละเลยเสียจากส่วนที่พวกเขาถูกช็คือเรื่องความศรัทธาดังกล่าวบ้างและเรื่องอย่างอื่นบ้างตามที่ระบุในพระคัมภีร์อินยีล ฉะนั้นเรา(อัลเลาะห์)จึงให้เกิดมีศัตรูและความเคียดแค้นกันอยู่ท่ามกลางพวกเหล่านั้นตราบจนวันกิยามะห์โดยให้แตกแยกกันเป็นสองฝ่ายคือยะฮูดีฝ่ายหนึ่งกับนัซรอนีอีกฝ่ายหนึ่งหรือว่าให้พวกนัซรอนีแตกกันเองเป็นสามฝ่าย ได้แก่ นัสตูรียะห์ ฝ่ายมละกานียะห์และฝ่ายยะกูบียะห์ ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างว่าแก่อีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นพวกกาฟิร แล้วในภายภาคหน้าคือวันกิยามะห์อัลเลาะห์จะทรงแจ้งให้พวกนั้นได้ทราบถึงสิ่งที่พวกตนได้กระทำมาแล้วจะทรงตอบสนองแก่พวกเขาตามที่กระทำนั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 15 - 17


คำอ่าน
15. ยา..อะฮฺลัลกิตาบิ ก็อดญา...อะกุม เราะสูลุนา ยุบัยยินุละกุม กะษีร็อม..มิม..มา กุน..ตุม ตุคฟูนะ มินัลกิตาบิ วะยะอฺฟูอัน..กะษีรฺ ก็อดญา..อะกุม..มินัลลอฮิ นูรู..วะกิตาบุม..มุบีน
16. ยะฮฺดีบิฮิลลาฮุ มะนิตตะบะอะริฎวานะฮู สุบุลัสสะลามิ วะยุคริญุฮุม..มินัซซุลุมาติ อิลัน..นูริ บิอิซนิฮี วะยะฮฺดีฮิม อิลาศิรอฏิม..มุสตะกีม
17. ละก็อดกะฟะร็อลละซีนะ กอลู..อิน..นัลลอฮะ ฮุวัลมะสีหุบนุมัรฺยัม กุลฟะมัย..ยัมลิกุ มินัลลอฮิ ชัยอัน อินอะรอดะอัย..ยุฮฺลิกัลมะสีหับนะมัรฺยะมะ วะอุม..มะฮู วะมัน..ฟิลอัรฺฎิ ญะมีอา วะลิลลาฮิมุลกุสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ วัลลอฮุอะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ


คำแปล R1.
15. O people of the Scripture (Jews and Christians)! Now has come to you our Messenger (Muhammad) explaining to you much of that which you used to hide from the Scripture and passing over (i.e. leaving out without explaining) much. Indeed, there has come to you from Allah a light (Prophet Muhammad ) and a plain Book (this Qur'an).
16. Wherewith Allah guides all those who seek his good pleasure to ways of peace, and He brings them out of darkness by his will unto light and guides them to a Straight Way (Islamic Monotheism).
17. Surely, in disbelief are they who say that Allah is the Messiah, son of Maryam (Mary) . Say (O Muhammad ): "Who Then has the least power against Allah, if He were to destroy the Messiah, son of Maryam (Mary), his mother, and all those who are on the earth together?" and to Allah belongs the dominion of the heavens and the earth, and all that is between them. He creates what He wills. And Allah is able to do all things.


คำแปล R2.
16. โอ้ ชาวคัมภีร์ แท้จริงทูตของเรา(นบีมุฮำมัด)ได้มายังพวกเจ้า เพื่อแจ้งให้พวกเจ้าทราบถึง ส่วนมากของสิ่งที่พวกเจ้าเคยปกปิดไว้จากคัมภีร์(เตารอฮฺและอินญีล) และเขา(นบีมุฮำมัด)ให้อภัยจากส่วนมาก(ของสิ่งที่พวกเจ้าได้ปกปิดไว้ไม่นำมาชี้แจง. 17. แท้จริงรัศมี(แห่งสัจธรรมของนบีมุฮำมัด)และคัมภีร์อันแจ้งชัดจากอัลเลาะฮฺได้มาสู่พวกเจ้าแล้ว
18. อัลลอฮฺทรงชี้นำกับ(อัลกุรอาน)นั้น แก่ผู้ตามความพึงพระทัยของพระองค์สู่ทางแห่งสันติภาพ และทรงให้พวกเขาออกจากความมืดสู่แสงสว่าง โดยอนุมัติของพระองค์ และพระองค์ทรงชี้นำพวกเขาสู่หนทางอันเที่ยงตรง
19. ขอยืนยัน แท้จริงบรรดาผู้กล่าว “อัลเลาะฮฺคือ อัลมะซีฮฺ (อีซา) ผู้เป็นบุตรของมัรยัม” ได้เนรคุณอย่างแน่นอน จงประกาศเถิดว่า “และใครเล่าที่มีสิทธิ์(ป้งกันการลงโทษ)จากอัลเลาะฮฺสักกรณีเดียวก็ตาม หากว่าพระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำลาย(ชีวิต)ของอัลมะซีฮฺ บุตรของมัรยัมและมารดาของเขา รวมทั้งสิ่งที่มีอยู่ในพื้นพิภพทั้งสิ้น และเป็นสิทธิของอัลเลาะฮฺ อำนาจปกครองชั้นฟ้าและแผ่นดิน รวมทั้งสรรพสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง พระองค์ทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ประสงค์ และอัลเลาะฮฺทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง


คำแปล R3.
15. โอ้บรรดาชาวคัมภีร์เอ๋ย โดยแน่นอนรอซูลของเราได้มายังสูเจ้า เขาได้ทำให้สูเจ้าเกิดความกระจ่างในสิ่งที่สูเจ้าได้ปิดบังไว้จากคัมภีร์ และเขาได้ผ่านข้ามไปในหลายสิ่ง แน่นอนได้มีมายังสูเจ้าแล้วจากอัลลอฮฺซึ่งแสงสว่างและคัมภีร์อันชัดแจ้ง
16. ซึ่งโดยคัมภีร์นี้ที่อัลลอฮฺทรงนำทางผู้ปฏิบัติตามความปราโมทย์ของพระองค์ยังทางสงบสุข และทรงนำพวกเขาออกจากความมืดทั้งหลายสู่ความสว่าง ด้วยบัญชาของพระองค์ และทรงนำพวกเขาสู่ทางที่เที่ยงตรง
17. โดยแน่นอนยิ่ง พวกเขาเหล่านั้นได้ดูหมิ่นศาสนา เมื่อพวกเขากล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺคือมะซีฮฺ ลูกของมัรฺยัม” จงบอกพวกเขาเถิด ใครเล่าจะมีอำนาจเหนือไปกว่าอัลลอฮฺ ถ้าหากพระองค์ทรงปรารถนาจะทำลายมะซีฮฺลูกของมัรฺยัมและแม่ของเขาและใคร ๆ ทั้งหมดในโลกนี้? เพราะของอัลลอฮฺคืออาณาจักรแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและทุกสรรพสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสอง พระองค์ทรงสร้างที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง


คำแปล R4.
15. บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย! แท้จริงรอซูลของเราได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะแจกแจงแก่พวกเจ้า ซึ่งมากมายจากสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้จากคัมภีร์และเขาจะระงับไว้มากมาย แท้จริงแสงสว่างจากอัลลอฮฺ และคัมภีร์อันชัดแจ้งนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว
16. ด้วยคัมภีร์นั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงแนะนำผู้ที่ปฏิบัติตามความพึงพระทัยของพระองค์ซึ่งบรรดา ทางแห่งความปลอดภัย และจะทรงให้พวกเขาออกจากความมืดไปสู่แสงสว่างด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ และจะทรงแนะนำพวกเขาสู่ทางอันเที่ยงตรง
17. แน่นอนได้ปฏิเสธศรัทธาแล้วบรรดาผู้ที่กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นคืออัลมะซีหฺ บุตรของมัรยัม จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ก็ใครเล่าที่จะมีอำนาจครอบครองสิ่งของ จากอัลลอฮฺได้ หากพระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำลายอัล-มะซีหฺ บุตรของมัรยัม และมารดาของเขา และผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมด และอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺเท่านั้น และอัลลอฮฺนั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง


คำแปล R5.
๑๖. โอ้ พวกยะฮูดีและพวกนัซรอนีผู้ทรงคัมภีร์ แท้จริงมูฮำมัดผู้เป็นพระศาสนทูตของเราได้มายังพวกเจ้า จะมาชี้แจงเรื่องส่วนใหญ่จากพระคัมภีร์เตารอตบ้าง และอินยีลบ้าง ที่พวกเจ้าปกปิดกันไว้กล่าวคือ ฝ่ายยะฮูดีได้ปกปิดโองการในเตารอตว่าด้วยการขว้างชายและหญิงที่ทำประเวณีนอกอนุญาต(ซินา)กัน และว่าด้วยคุณลักษณะของพระนบีมูฮำมัด ส่วนฝ่ายนัซรอนีก็พยายามปกปิดคำแถลงของพระนบีอีซาในพระคัมภีร์อินยีลที่ว่า “มูฮำมัดจะอุบัติมีขึ้นในลำดับถัดจากเขา(อีซา)แน่นอน” แต่เรื่องที่มีระบุอยู่ในพระคัมภีร์เตารอตและพระคัมภีร์อินยีลซึ่งถูกพวกเจ้าปกปิดกันนั้น พระนบีมูฮำมัดได้งดเว้นไว้ไม่นำมาชี้แจงก็มาก ทั้งนี้เกรงว่าจะเป็นการประจานพวกเจ้าอย่างไร้ประโยชน์เสียเปล่า ๆ ๑๗. โอ้พวกยะฮูดีและนัซรอนี อันที่จริงความสว่างไสวคือพระนบีมูฮำมัดและพระคัมภีร์อัล-กุรอานอันเป็นพระคัมภีร์ที่แจ้งชัดจากอัลเลาะห์ได้มาถึงพวกเจ้าแล้ว การมาของพระนบีมูฮำมัดยังพวกเจ้านั้นมิใช่มาเพียงเพื่อชี้แจงเรื่องที่ถูกปิดบังไว้เท่านั้น แต่มาอย่างมีคุณประโยชน์จนหาค่ามิได้อีกด้วย
๑๘. พระองค์จะทรงใช้พระคัมภีร์นั้นแนะบุคคลผู้เจริญรอยตามความยินดีของพระองค์คือผู้มีความศรัทธาต่อพระองค์ให้เข้าสู่เส้นทางสันติ จะทรงให้พวกเหล่านั้นผละจากความไม่ศรัทธาอันเปรียบเสมือนความมืดมนไปสู่ความมีศรัทธาอันเปรียบเสมือนความสว่างไสวโดยความประสงค์ของพระองค์ และจะทรงแนะนำพวกเหล่าไปสู่หนทางอันเที่ยงตรงคือศาสนาอิสลาม
๑๙. ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าความจริงพวกยะกูบียะห์ซึ่งเป็นชนชาวนัซรอนีที่อ้างว่า “แท้จริงอัลเลาะห์คือพระศรีมงคลอีซาผู้เป็นบุตรมัรยำ” นั้นเป็นผู้ไม่มีศรัทธา(กาฟิร) ทั้งนี้เพราะว่าพวกนี้ถือว่าอีซาคืออัลเลาะห์และถือว่าอัลเลาะห์ก็คืออีซา โอ้มูฮำมัดเจ้าจงบอกแก่พวกนั้นเถิดว่า ไม่มีใครมีสิทธิ์คุ้มกันให้พ้นจากโทษทรมานของอัลเลาะห์ได้เลย ถ้าพระองค์ทรงมุ่งประสงค์จะทำลายพระศรีมงคลอีซาบุตรมัรยำกับมารดาของเขา(อีซา)ตลอดจนบุคคลทั้งมวลในพื้นพิภพนี้ให้พินาศเสียแล้วดังนั้นหากว่าอีซาเป็นพระเจ้าโดยแท้เขาก็ต้องมีฤทธิ์คอยให้ความคุ้มกันการลงโทษของอัลเลาะห์ได้ซิ แต่นี่ไม่อย่างนั้น จึงแสดงว่าอีวามิใช่พระผู้เป็นเจ้า แหละว่าอำนาจปกครองบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดิน ตลอดจนสรรพสิ่งระหว่างทั้งสองนั้น ย่อมเป็นสิทธิของอัลเลาะห์ทั้งสิ้น พระองค์จะทรงสร้างสรรค์อะไรที่พระองค์ทรงมีความประสงค์ย่อมได้ ด้วยอัลเลาะห์นั้นทรงมีอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 18 - 19


คำอ่าน
18. วะกอละติลยะฮูดุ วัน..นะศอรอ นะหฺนุอับนาอุลลอฮิ วะอะหิบบา...อุฮู กุลฟะลิมะยุอัซซิบุกุม..บิซุนูบิกุม บัลอัน..ตุม..บะชะรุม..มิม..มันเคาะลัก ยัฆฟิรุลิมัย..ยะชา...อุ วะยุอัซซิบุมัย..ยะชาอ์ วะลิลลาฮิมุลกุสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ วะมาบัยนะฮุมา วะอิลัยฮิลมะศีรฺ
19. ยา..อะฮิลัลกิตาบิ ก็อดญา...อะกุมเราะสูลุนา ยุบัยยินุละกุม อะลาฟัตเราะติม..มินัรฺรุสุลิ อัน..ตะกูลู มาญา...อะนา มิม..บะชีริว..วะลานะซีรฺ ฟะก็อดญา..อะกุม..บะชีรู..วะนะซีรฺ วัลลอฮุอะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ


คำแปล R1.
18. And (both) the Jews and the Christians say: "We are the Children of Allah and his loved ones." say: "Why then does He Punish you for your sins?" Nay, you are but human beings, of those He has created, He forgives whom He wills and He punishes whom He wills. And to Allah belongs the dominion of the heavens and the earth and all that is between them, and to Him is the return (of all).
19. O people of the Scripture (Jews and Christians)! Now has come to you our Messenger (Muhammad) making (things) clear unto you, after a break in (the series of) Messengers, lest you say: "There came unto us no bringer of glad tidings and no warner.” But now has come unto you a bringer of glad tidings and a warner. And Allah is able to do all things.


คำแปล R2.
20. และพวกยะฮูดีกับพวกนัศรอนีได้กล่าวว่า พวกเราล้วนเป็นบุตรของอัลเลาะฮฺและเป็นที่รักของพระองค์ เจ้าจงกล่าวเถิดว่า ฎก็แล้วเพราะอะไรเล่าพระองค์จึงลงโทษพวกเจ้าเนื่องใน(การทำ)บาปของพวกเจ้า?” (เช่น ถูกฆ่า, ถูกจับเป็นเชลย, ถูกสาปเป็นลิง เป็นต้น) แต่ความเป็นจริงนั้น พวกเจ้าเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาจากผู้ที่พระองค์ได้บันดาลไว้ พระองค์ทรงอภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงลงโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และสำหรับอัลเลาะฮฺคืออำนาจปกครองชั้นฟ้าและแผ่นดิน รวมทั้งสรรพสิ่งระหว่างมันทั้งสอง และที่กลับคืน(ของพวกเรา)คือ(กลับคืน)ยังพระองค์(เพื่อรับการสอบสวนและตอบแทน)
21. โอ้ชาวคัมภีร์ อันที่จริงทูตของเรา(นบีมุฮำมัด)ได้มายังพวกเจ้าแล้ว เขาชี้แจงพวกเจ้าในยุคปลอดศาสนทูต(ระหว่างยุคนบีอีซากับนบีมุฮำมัด เป็นเวลาประมาณ 569 ปี) ต่อการที่พวกเจ้าจะพูด(แก้ตัวในวันชาติหน้า)ว่า “ไม่มี(ศาสนทูตคนใด)ที่ทำหน้าที่ประกาศข่าวดี และ ทำหน้าที่ตักเตือนมายังพวกเราเลย ทั้ง ๆ ที่ความจริงนั้น ผู้ประกาศข่าวดีและผู้ตักเตือนได้มายังพวกเจ้าแล้ว และอัลเลาะฮฺทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง


คำแปล R3.
18. พวกยิวและพวกคริสเตียนได้กล่าวว่า “เราเป็นบุตรของอัลลอฮฺและเป็นที่รักของพระองค์” จงกล่าวเถิด “ไฉนพระองค์จึงทรงลงโทษพวกท่านเนื่องด้วยความผิดของพวกท่านเล่า?” ความจริงแล้วพวกท่านก็เป็นเพียงสามัญชนในหมู่ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น พระองค์ทรงอภัยผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และของอัลลอฮฺคืออาณาจักรแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและทุกสรรพสิ่งที่อยู่ระหว่างมันทั้งสอง และทั้งหมดจะกลับไปยังพระองค์”
19. บรรดาชาวคัมภีร์เอ๋ย แน่นอน รอซูลของเราได้มายังสูเจ้าแล้ว เขาได้ทำให้คำสอนเป็นที่กระจ่างแก่สูเจ้า หลังจากการว่างเว้นของบรรดารอซูล มิฉะนั้นสูเจ้าจะกล่าวว่า “ไม่เคยมีผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือนมายังพวกเรา” ดังนั้นตอนนี้ได้มีผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือนมายังสูเจ้าแล้ว และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง


คำแปล R4.
18. และบรรดาชาวยิว และชาวคริสต์ได้กล่าวว่า พวกเราคือบุตรของอัลลอฮฺ และเป็นที่รักใคร่ของพระองค์ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แล้วไฉนเล่าพระองค์จึงทรงลงโทษพวกท่าน เนื่องด้วยความผิดทั้งหลายของพวกท่าน มิใช่เช่นนั้นดอกพวกท่านเป็นสามัญชนในหมู่ผู้ที่พระองค์ทรงบังเกิดมาต่างหาก ซึ่งพระองค์จะทรงอภัยโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮฺเท่านั้น และยังพระองค์นั้นคือการกลับไป
19. บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย! แท้จริงรอซูล ของเราได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะได้ชี้แจงแก่พวกเจ้าตามวาระสมัยที่ได้ว่างเว้นบรรดารอซูลมา ทั้งนี้เนื่องจากการที่พวกเจ้าจะกล่าวว่า มิได้มีผู้แจ้งข่าวดีคนใด และผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเรา แท้จริงได้มีผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือนมายังพวกเจ้าแล้ว และอัลลอฮฺนั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง


คำแปล R5.
๒๐. ทั้งยะฮูดีและนัซรอนีต่างว่าพวกเรานี้มีฐานะและเกียรติคล้ายกับเป็นบุตรชายของอัลเลาะห์และคล้ายกับจะเป็นที่รักยิ่งของพระองค์เหมือนดั่งพระองค์เป็นบิดาของพวกเรา โอ้มูฮำมัดเจ้าจงถามพวกทั้งสองนั้นเถิดว่าเท่าที่พวกเจ้าพูดมานั้นถ้าเป็นความจริงแล้วทำไมเล่าพระองค์จึงได้เอาโทษพวกเจ้า? โดยการให้พวกเจ้าถูกเข่นฆ่าบ้าง ถูกจับเป็นเชลยบ้าง และถูกสาปเป้ฯลิงบ้าง พวกเจ้าก็ได้เคยรับปากอยู่แล้วว่าอัลเลาะห์จะเอาโทษพวกเจ้าเพียงสี่สิบวันเท่ากับเวลาแห่งการเคารพบูชารูปโคทองเท่านั้น แต่ผู้เป็นบิดาจะลงโทษบุตรของตนหรือคนรักจะลงโทษคู่ร่วมรักของตนขนาดนั้นก็หาไม่ แล้วนี่อัลเลาะห์ได้ทรงเอาโทษพวกเจ้าถึงขนาดที่กล่าวไว้แล้วนั้น แสดงว่าพวกเจ้าเป็นคนพูดเท็จที่อ้างว่าอัลเลาะห์กับพวกเจ้าเป็นพ่อเป็นลูกกัน แต่พวกเจ้าคือส่วนหนึ่งจากมนุษยชาติที่พระองค์ทรงสร้างต่างหากในเมื่อพวกเจ้าได้รับความดีอย่างไร มนุษยชาติทั่วไปก็พึงได้รับความดีนั้น และถ้าพวกเจ้าประสบเคราะห์ร้ายอย่างไร มนุษยชาติทั่วไปก็พึงได้รับเคราะห์ร้ายอย่างนั้น ทำนองเดียวกันนั้นเองจึงไม่เป็นการสมควรเลยที่พวกเจ้าจะยกตัวเป็นเช่นนั้น พระองค์จะทรงประทานอภัยให้แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ก็ได้ และจะทรงเอาโทษทัณฑ์บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ก็ได้โดยปราศจากการทัดทานอันว่าอำนาจปกครองบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินตลอดจนสรรพสิ่งระหว่างทั้งสองนั้นย่อมเป็นสิทธิของอัลเลาะห์ทั้งสิ้น แล้วในปั้นปลายของพวกเจ้านั้นก็จะคืนไปสู่การสอบสวนของพระองค์เพียงผู้เดียว
๒๑. โอ้พวกยะฮูดีและนัซรอนีผู้ทรงคัมภีร์ แท้จริงพระศาสนทูตของเราคือพระนบีมูฮำมัดได้มายังพวกเจ้าแล้ว จะมาชี้แจง
ข้อบัญญัติห้ามและใช้แก่พวกเจ้าในระยะศูนยกาลที่ว่างเว่นจากพวกศาสนทูตอันนับได้ห้าร้อยหกสิบเก้าปี ระหว่างพระนบีอีซากับพระนบีมูฮำมัดเพื่อป้องกันมิให้พวกเจ้าพูดแก้ตัวในขณะที่พวกเจ้ากำลังถูกลงโทษในวันกิยามะห์ว่า ไม่เห็นมีพระศาสนทูตผู้ใดมาอำนวยข่าวดีและข่าวร้ายแพวกเราเลยเพราะพระศาสนทูตมูฮำมัดผู้มาโปรดอำนวยข่าวดีด้วยสรวงสวรรค์และแจ้งข่าวร้ายด้วยนรกก็ได้มาถึงพวกเจ้าแล้วจริง ๆ เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันว่าขณะนั้นไม่มีคำแก้ตัวดังกล่าวแหละว่าอัลเลาะห์นั้นคือองค์ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างเป็นต้นว่าทรงมีอานุภาพในการลงโทษพวกเจ้า หากพวกเจ้าไม่เจริญตาม



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 20 - 22


คำอ่าน
20. วะอิซกอละมูสา ลิก็อวมิฮี ยาก็อวมิซกุรู นิอฺมะตัลลอฮิ อะลัยกุม อิซญะอะละฟีกุม อัม..บิยา...อะ วะญะอะละกุม..มุลูกา วะอาตากุม..มาลัมยุอ์ติ อะหะดัม..มินัลอาละมีน
21. ยาก็อวมิดคุลุลอัรฺฎ็อล มุก็อดดะสะตัลละตี กะตะบัลลอฮุ ละกุม วะลาตัรฺตัดดู อะลา..อัดบาริกุม ฟะตัน..เกาะลิบู คอสิรีน
22. กอลูยามูสา..อิน..นะฟีฮา ก็อวมัน..ญับบารีนะ วะอิน..นาลัน..นัดคุละฮา หัตตายัครุญูมินฮา ฟะอี..ยัครุญูมินฮา ฟะอิน..นาดาคิลูน


คำแปล R1.
20. And (remember) when Musa (Moses) said to his people: "O my people! Remember the Favour of Allah to you, when He made Prophets among you, made you kings, and gave you what He had not given to any other among the 'Alamin (mankind and jinns, In the past)."
21. "O my people! Enter the Holy land (Palestine) which Allah has assigned to you, and turn not back (in flight) for then you will be returned as losers."
22. They said: "O Musa (Moses)! In it (this Holy land) is a people of great strength, and we shall never enter it, till they leave it; when they leave, then we will enter."


คำแปล R2.
22. และเมื่อครั้งมูซาได้กล่าวแก่หมู่คณะของเขาว่า “โอ้ หมู่คณะของฉัน พวกท่านจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลเลาะฮฺที่ประทานแก่พวกท่านเถิด เมื่อครั้งที่พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งบรรดาศาสดาให้มีขึ้นในพวกท่าน และทรงบันดาลให้พวกท่านบางคนได้เป็นกษัตริย์ครองนคร และพระองค์ได้ประทานแก่พวกท่านซึ่งที่พระองค์ยังไม่เคยประทานแก่ผู้ใดจากชาวโลกทั้งมวลมาก่อนเลย
23. “โอ้หมู่คณะของฉัน พวกท่านจงเข้าแผ่นดินอันบริสุทธิ์(ปาเลสไตน์)ซึ่งอัลเลาะฮฺได้บันทึกไว้ให้เป็นของพวกเจ้า และพวกเจ้าจงอย่าได้ถอยหลังกลับเป็นอันขาด มิฉะนั้นพวกเจ้าก็จะถอยหลังกลับแบบผู้ขาดทุนเป็นแน่
24. พวกเขากล่าวว่า “โอ้ มูซา แท้จริงใน(เมืองปาเลสไตน์)นั้น มีคณะบุคคลที่มีอิทธิพล(อาศัยอยู่) และพวกเราจะเข้าไปไม่ได้ จนกว่าพวกเขาออกมาจาก(เมือง)นั้นเสียก่อน ต่อเมื่อพวกเขาออกมาจากนั้นแล้ว พวกเราจึงจะเข้าไป(พวกเหล่านั้นได้แก่พวกอ๊าดประชากรของนบีซุไอบ์ที่ตกค้างอยู่)


คำแปล R3.
20. และจงรำลึกถึงตอนที่มูซาได้กล่าวกับคนของเขาว่า “หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกท่าน เมื่อพระองค์ได้ทรงตั้งนบีหลายคนขึ้นในหมู่พวกท่านและได้ทรงทำให้พวกท่านเป็นผู้มีอำนาจปกครอง และได้ทรงประทานแก่พวกท่านในสิ่งที่มิได้ทรงประทานแก่ผู้ใดในประชาชาติทั้งหลาย
21. หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงเข้าไปในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดแก่พวกท่าน และจงอย่าหันหลังของพวกท่านกลับ เพราะพวกท่านจะกลายเป็นผู้ขาดทุน”
22. พวกเขาทั้งหลายกล่าวว่า “มูซาเอ๋ย แท้จริง ในที่แห่งนั้นมีผู้คนที่ห้าวหาญ ดังนั้น พวกเราจะไม่เข้าไปในแผ่นดินนั้นจนกว่าพวกเขาจะออกไปจากที่นั้นเสียก่อน ถ้าพวกเขาออกไปจากที่นั่น เราจึงจะเข้าไป”


คำแปล R4.
20. และจงรำลึกถึงขณะที่มูซาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า โอ้ประชาชาติของฉัน! พึงรำลึกถึงความกรุณาเมตตาของอัลลอฮฺที่มีแด่พวกท่านเถิด เพราะว่าพระองค์ได้ทรงให้มีบรรดานบีขึ้นในหมู่พวกท่าน และได้ทรงให้พวกท่านเป็นกษัตริย์ และได้ทรงประทานแก่พวกท่าน สิ่งที่มิได้ทรงประทานให้แก่ผู้ใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย
21. โอ้ประชาชาติของฉัน! จงเข้าไปในแผ่นดินอันบริสุทธิ์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้แก่พวกท่านเถิด และจงอย่าหันหลังของพวกท่านกลับ เพราะจะทำให้พวกท่านกลับกลายเป็นผู้ขาดทุน
22. พวกเขากล่าวว่า โอ้มูซา แท้จริงในแผ่นดินอันบริสุทธิ์นั้นมีพวกที่เหี้ยมโหด และพวกเราจะไม่เข้าไปในแผ่นดินนั้นเป็นอันขาด จนกว่าพวกเขาจะออกไปจากที่นั้น แต่ถ้าพวกเขาออกไปจากที่นั้นแล้ว พวกเราจึงจะเป็นผู้เข้าไป


คำแปล R5.
๒๒. และโอ้มูฮำมัดจงกล่าวประวัติของอีซากับประชากรเพื่อให้เป็นอุดมคติแก่ประชากรของเจ้าเอง จะได้ไม่หาว่าเจ้าเท็จและเพื่อให้เจ้ามีใจอดทนต่อความทรยศของประชากรของเจ้าว่าเมื่อมูซาได้กล่าวแก่ปวงชนของตนว่า โอ้ปวงชนของฉันพวกเจ้าจงรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งอัลเลาะห์ที่มีแก่พวกเจ้าในคราวที่พระองค์ได้ทรงตั้งให้ส่วนหนึ่งในหมู่ของพวกเจ้าเป็นพระศาสดา และที่ได้ทรงแต่งตั้งให้พวกเจ้าเป็นผู้ครองนคร ทั้งยังได้ประทานให้พวกเจ้าได้รับสิ่งที่พระองค์ไม่เคยประทานให้คนใดจากปวงประชาชาติในอดีตมาก่อนเลย สิ่งที่กล่าวก็คือน้ำตาลฟ้า นกคุ่ม การสำแดงเดชให้น้ำทะเลแยกและอื่น ๆ อีก
๒๓. เมื่อพระองค์ได้ทรงกระชับในเรื่องให้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเสร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงบัญชาใช้ให้พวกเหล่านั้นออกสงครามปราบศัตรูให้สิ้น พระนบีมูซารับพระบัญชามาสนองแทนว่าโอ้ปวงชนของฉันพวกเจ้าจงสู่ดินแดนนครซีเรียอันเป็นดินแดนแห่งความบริสุทธิ์ซึ่งอัลเลาะห์ได้ทรงใช้ให้พวกเจ้าไปสู่หรือที่ได้ทรงจดบันทึกไว้สำหรับพวกเจ้าแล้วในแนทะเบียน(เลาหุลมะห์ฟูต)ว่านครนี้เป็นของพวกเจ้าถ้าหากพวกเจ้ามีศรัทธาและมีการภักดีต่อพระองค์พวกเจ้าอย่าได้หันหลังกลับจากนครแห่งนี้ไปสู่อียิปต์เพราะเหตุพวกเจ้าได้ข่าวคราวว่า มีพวกโหดเหี้ยมอยู่ที่นครซีเรีย พวกเจ้าก็เกิดความหวาดกลัวแล้วร้องไห้ ครั้นแล้วพวกเจ้าก็โอดครวญว่า “พวกเราหวังอย่างยิ่งว่า พวกเราจะต้องกลับไปตายที่อียิปต์” และอย่าได้กลับสภาพเป็นพวกที่ขาดทุนในทางความพยายามอีกเลย
๒๔. พวกประชากรเหล่านั้นของพระนบีมูซาจึงคอบว่า โอ้มูซา แท้จริงที่นครแห่งนี้มีพวกทรชนโหดเหี้ยมอยู่คณะหนึ่งเป็นชนในเผ่าอ๊าดประชากรของนบีชุไอบ์รูปร่างสูงใหญ่มีกำลังแข็งแรงยิ่งนักยังคงเหลือตกค้างอยู่ พวกเราจะยังไม่เข้าไปยังนครนี้หรอกจนกว่าพวกทรชนโหดเหี้ยมเหล่านั้นจะออกไปจากที่นั่นเสียก่อน แล้วถ้าพวกเหล่านั้นออกไปนั่นแหละ พวกเราจึงจะเข้าไปสู่นครที่ว่านี้



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 23 - 26


คำอ่าน
23. กอละ เราะญุลานิ มินัลละซีนะยะคอฟูนะ อันอะมัลลอฮุ อะลัยฮิมัดคุลู อะลัยฮิมุลบาบะ ฟะอิซาดะค็อลตุมูฮุ ฟะอินนะกุมฆอลิบูน วะอะลัลลอฮิ ฟะตะวักกะลู..อิน..กุน..ตุม..มุอ์มินีน
24. กอลู..ยามูสา..อิน..นาลัน..นัดคุละฮา..อะบะดัม..มาดามูฟีฮา ฟัซฮับอัน..ตะ วะร็อบบุกะ ฟะกอติลา..อิน..นาฮาฮุนา กออิดูน
25. กอละร็อบบิอิน..นี ลา..อัมลิกุ อิลลานัฟสี วะอะคี ฟัฟรุก บัยนะนา วะบัยนัลก็อวมิลฟาสิกีน
26. กอละฟะอิน..นะฮา มุหัรฺเราะมะตุน อะลัยฮิม อัรฺบะอีนะสะนะฮฺ ยะตีฮูนะ ฟิลอัรฺฎิ ฟะลาตะอ์สะ อะลัลก็อวมิลฟาสิกีน


คำแปล R1.
23. Two men of those who feared (Allah and) on whom Allah had bestowed his Grace [they were يوشع وكالب Yusha' (Joshua) and Kalab (Caleb)] said: "Assault them through the gate, for when you are in, victory will be yours, and put your trust in Allah if you are believers indeed."
24. They said: "O Musa (Moses)! We shall never enter it as long as they are there. So go you and your Lord and fight you two, we are sitting right here."
25. He [Musa (Moses)] said: "O my Lord! I have power only over myself and my brother, so separate us from the people who are the Fasiqun (rebellious and disobedient to Allah)!"
26. (Allah) said: "Therefore it (this holy land) is forbidden to them for forty years; in distraction they will wander through the land. So be not sorrowful over the people who are the Fasiqun (rebellious and disobedient to Allah)."


คำแปล R2.
25. มีชายสองคนจากกลุ่มบุคคลที่มีความหวาดกลัว(คนหนึ่งชื่อยูซะอฺ บินนูน อีกคนหนึ่งชื่อ กาลิบ บินยูกีนา) ซึ่งอัลเลาะฮฺได้โปรดปรานเขาทั้งสองมาก เขาทั้งสองได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงเข้าไปเผชิญพวกเขาทางประตูนี้แหละ เพราะเมื่อท่านทั้งหลายได้เข้าไปแล้ว พวกท่านต้องชนะอย่างแน่นอน” 26. และเฉพาะอัลเลาะฮฺเท่านั้น พวกท่านจงมอบหมาย หากแม้นพวกท่านเป็นผู้มีศรัทธา
27. พวกเขากล่าวว่า “โอ้มูซา เราจะไม่ขอเข้าไปในนั้นตลอดไป ตราบใดที่พวกดังกล่าวยังอยู่ในนั้น ดังนั้น ท่านกับพระเจ้าของท่านจงไปกันลำพังเถิด แล้วท่านทั้งสองจงสู้รบ(กับพวกนั้น)พวกเราจะนั่งรออยู่ตรงนี้เอง”
28. เขา(นบีมูซา)กล่าว(วิงวอนต่ออัลเลาะฮฺ)ว่า “โอ้องค์อภิบาล แท้จริงตัวฉันไม่มีอำนาจปกครอง(สิ่งใดเลย)นอกจากตัวฉันเองและพี่น้องของฉัน(นบีฮารูน)เท่านั้น ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดแยกระหว่างพวกเรา และระหว่างกลุ่มชนที่ฝ่าฝืนเถิด”
29. อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า “แท้จริงเมืองนั้นถูกหวงห้ามแก่พวกเขา(ที่จะเข้าไปเป็นเวลา)สี่สิบปี พวกนั้นจะเร่ร่อนอยู่ในแผ่นดิน(ทะเลทรายอัลไตฮฺ ในช่วงเวลาดังกล่าว) ดังนั้นเจ้าจงอย่าโศกสลดต่อกลุ่มชนผู้ฝ่าฝืนเถิด”


คำแปล R3.
23. ในหมู่ผู้ที่มีความกลัวนั้น มีชายสองคนที่อัลลอฮฺได้ทรงโปรดปรานเขา กล่าวว่า “จงเข้าไปสู้พวกเขาทางประตูหน้า เพราะเมื่อพวกท่านเข่าไปในนั้นได้ พวกท่านจะเป็นผู้ชนะ จงวางใจในอัลลอฮฺ ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา”
24. แต่ถึงกระนั้นพวกเขาทั้งหลายก็กล่าวว่า “มูซาเอ๋ย แท้จริงเราจะไม่เข้าไปในเมืองนั้นเด็ดขาดตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในนั้น ขอให้ท่านและผู้อภิบาลของท่านไปและต่อสู้เถิด พวกเราจะนั่งอยู่ที่นี่”
25. เขา(มูซา)จึงกล่าวว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันไม่มีอำนาจเหนือใครนอกจากตัวฉันและพี่ชายของฉัน” ดังนั้นได้โปรดแยกเราทั้งสองออกจากหมู่ชนผู้ฝ่าฝืนเหล่านี้เถิด”
26. พระองค์ทรงตรัสว่า “ดังนั้น แผ่นดินนี้จะถูกห้ามแก่พวกเขาเป็นเวลา 40 ปี ซึ่งในช่วงนี้พวกเขาจะเร่ร่อนตามแผ่นดิน ดังนั้น จงอย่าเศร้าโศกเพื่อหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน”


คำแปล R4.
23. มีชายสองคนในหมู่ผู้ยำเกรงที่อัลลอฮฺได้ทรงกรุณาเมตตาแก่เขาทั้งสองได้ กล่าวว่าพวกท่านจงเข้าประตูนั้นไปเผชิญหน้ากับพวกเขาเถิดครั้นเมื่อพวก ท่านเข้าประตูนั้นไปแล้ว แน่นอนพวกท่านจะเป็นผู้ชนะ และแด่อัลลอฮฺนั้นพวกเจ้าจงมอบหมายเถิด หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา
24. พวกเขากล่าวว่า โอ้มูซา! แท้จริงพวกเราจะไม่เข้าไปที่นั้นโดยเด็ดขาด ตราบใดที่พวกเขายังคงอยู่ที่นั้น ดังนั้นท่านและพระเจ้าของท่านจงไปเถิด แล้วจงต่อสู้ พวกเราจะนั่งอยู่ที่นี่
25. เขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าแห่งข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ไม่มีอำนาจ นอกจากตัวของข้าพระองค์เองและพี่ชายของข้าพระองค์ เท่านั้น ดังนั้นโปรดได้แยกระหว่างเรา กับประชาชาติผู้ละเมิดด้วยเถิด
26. พระองค์ตรัสว่า แท้จริงแผ่นดินนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา สี่สิบปี ซึ่งพวกเขาจะระเหเร่ร่อนไปในผืนแผ่นดิน ดังนั้นเจ้าจงอย่าเสียใจให้แก่ประชาชาติผู้ละเมิดเหล่านั้นเลย


คำแปล R5.
๒๕. ยังมียูชะอ์บุตรของนูนผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระศาสดาหลังสมัยมูซากับกาลับบุตรยูกินาซึ่งเป็นชายสองคนจากบรรดาชนที่มีความเกรงกลัวการขัดขืนคำบัญชาของอัลเลาะห์และเป็นผู้ตรวจการณ์ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากมูซาให้ทำหน้าที่สืบข่าวของพวกโหดเหี้ยมในนครซีเรียซึ่งอัลเลาะห์ได้ทรงการุณแก่เขาทั้งสองโดยได้ทรงให้ความคุ้มครองสองคนนี้จากการประพฤติบาป กล่าวคือ คนทั้งสองเมื่อได้ตระเวนสืบข่าวในซีเรียแล้วก็กลับมารายงานข่าวให้กับพระนบีมูซาทราบโดยเฉพาะ ต่างกับนักข่าวคนอื่นอีกสิบคนได้แต่กลับมารายงานที่น่าหวาดเสียวให้แก่สมัครพรรคพวกของตนเองเกิดความขยาดเสียขวัญ ทั้งสองได้บอกแก่คนในตระกูลอิสรออีลว่า พวกเจ้าจงเข้าโจมตีพวกทรชนโหดเหี้ยมเหล่านั้นทางประตูของนครซีเรียนั้นซิอย่าได้กลัวพวกมันเลย อันที่จริงแล้วพวกเหล่านี้สูงใหญ่แต่เรือนร่างเท่านั้น หามีกำลังวังชาไม่เมื่อพวกเจ้าได้เข้าไปทางประตูนั้นแล้ว พวกเจ้าจึงจะเป็นพวกมีชัย ที่คนทั้งสองว่า “จะมีชัย” นี้ เพราะทั้งสองมั่นใจว่าอัลเลาะห์เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือและให้ความช่วยเหลือและความสำเร็จตามสัญญาของพระองค์ ๒๖. และพวกเจ้าจงมอบหมายอัลเลาะห์ไว้เป็นที่พึ่งในการประทานความดีและความชั่วเท่านั้น ถ้าแม้นพวกเจ้าเป็นผู้ที่มีศรัทธาต่อพระองค์และศรัทธาว่าพระนบีมูซาเป็นพระศาสดาที่แท้
๒๗. พวกยะฮูดีเหล่านั้นพูดว่า โอ้มูซา พวกเราจะไม่เข้าไปยังนครซีเรียนั้นเป็นอันขาดตราบใดที่พวกกันอานีย์(พวกโหดเหี้ยมทารุณ)เหล่านั้นยังอยู่ที่นั้น ท่านและองค์พระผู้อภิบาลของท่านจงไปกันเองซิ ไปสู้รบกับพวกกันอานีย์พวกเราจะไม่ออกไปสู้รบพวกมันหรอก จะนั่งอยู่เสียที่นี่แหละ
๒๘. ขณะที่พวกเหล่านั้นกำลังพูดอยู่นี้ เขา(มูซา)ก็กล่าวว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีอำนาจที่จะปกครองผู้ใดอีกแล้ว นอกจากตัวข้าพระองค์กับฮารูนผู้เป็นพี่ชายของข้าพระองค์เองเท่านั้นขอพระองค์ได้โปรดบังคับพวกเหล่านั้นให้ปฏิบัติตามพระองค์เอาเองเถิด แล้วขอพระองค์ได้โปรดให้การตัดสินโดยปลีกพวกข้าพระองค์กับที่มีบาปหนาให้ออกห่างกันเถิด
๒๙. พระองค์ตรัสแก่มูซาว่า แท้จริงนครซีเรียนั้น พวกเหล่านี้ถูกห้ามเข้าไปเป็นเวลาตั้งสี่สิบปีโดยที่พวกเขานี้หลงอยู่ในดินแดนอัล-ไตฮ์ ซึ่งกำหนดโดยกว้างได้เก้าฟัรซัคและโดยยาวได้สามสิบฟัรซัค(๑ ฟัรซัคเท่ากับ ๓ ไมล์อาหรับ) ฉะนั้นมูซาเอ๋ยเจ้าอย่าได้สลดใจต่อกลุ่มชนที่มีบาปหนาเลย เพราะว่าพวกเหล่านี้อุตส่าห์พยายามเดินทางในยามค่ำคืน แต่พอรุ่งขึ้นเช้าก็ปรากฏว่ายังเดินอยู่ในที่เดิมนั่นเอง พวกเขาพยายามเดินในตอนกลางวันอีก แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกันคือ พอตกค่ำก็ยังอยู่ในที่เดิม ในที่สุดพวกเหล่านั้นก็ตายกันหมดสิ้น เหลืออยู่แต่ผู้มีอายุยังไม่ย่างเข้ายี่สิบปีเท่านั้น กล่าวกันว่าพวกเหล่านี้มีจำนวนถึงหกแสนคน ส่วนมูซากับฮารูนผู้พี่ชายก็ได้ถึงแก่กรรมลง ณ ดินแดนอัล-ไตฮ์ แต่มูซาถึงแก่กรรมหลังจากฮารูนหนึ่งปี ซึ่งนับได้ว่าการถึงแก่กรรมของทั้งสองเป็นความโปรดปราณีสำหรับเขาทั้งสอง แต่ถือเป็นโทษทัณฑ์สำหรับพวกผู้มีบาปหนาดังกล่าวนั้น และอีกอย่างหนึ่งขณะที่มูซาจวนจะถึงแก่กรรมลงนั้นมูซาได้ขอต่ออัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งเขาว่า “ขอพระองค์ได้โปรดกรุณาให้เขา(มูซา)ได้อยู่ในปริมณฑลซึ่งใกล้ซีเรียนครแห่งความบริสุทธิ์เพียงเท่าระยะทางที่หินก้อนหนึ่งถูกขว้างไปตกอยู่ก็ยังดี” พระองค์ก็ได้ทรงให้เขาเป็นไปตามที่ได้ขอนั้น ครั้นต่อมาอีกสี่สิบปีหลังจากมูซาได้ถึงแก่กรรมลงแล้วยูชะอ์ก็ได้รับแต่งตั้งให้กินตำแหน่งพระศาสดา และถูกพระองค์บัญชาใช้ให้ออกไปปราบปรามพวกทรชนโหดเหี้ยม ดังนั้นยูชะอ์พร้อมด้วยเหล่าลูกหลานซึ่งอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีที่รอดตายจากการเดินทางหลงอยู่ในดินแดนอัล-ไตฮ์ จึงได้ออกเดินทางไปปราบปรามพวกโหดเหี้ยมตามพระบัญชา ครั้นแล้วยูชะอ์ก็ได้เข้าทำการสู้รบกับเหล่าทรชนผู้โหดเหี้ยมในวันศุกร์ และในการสู้รบกันครั้งนี้ ปรากฏว่าดวงอาทิตย์หยุดการโคจรอยู่หนึ่งชั่วโมง พอดีกับเวลาสู้รบได้เสร็จสิ้นลง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่  27 - 30


คำอ่าน
27. วัตลุอะลัยฮิม นะบะอับนัยอาดะมะ บิลหักกฺ อิซก็อรฺเราะบากุรฺบานัน..ฟะตุกุบบิละ มินอะหะดิฮิมา วะลัมยุตะก็อบบัล มินัลอาค็อรฺ กอละ ละอักตุลัน..นะกะ กอละ อิน..นะมา ยะตะก็อบบะลุลลอฮุ มินัลมุตตะกีน
28. ละอิม..บะสัตตะ อิลัยยะ ยะดะกะ ลิตักตุละนี มา..อะนะบิบาสิฏี..ยะดิยะอิลัยกะ ลิอักตุละกะ อิน..นี..อะคอฟุลลอฮะ ร็อบบัลอาละมีน
29. อิน..นี..อุรีดุ อัน..ตะบู..อะ บิอิษมี วะอิษมิกะ ฟะตะกูนะ มินอัศหาบิน..นารฺ วะซาลิกะ ญะซา..อุซซอลิมีน
30. ฟะฏ็อววะอัตละฮู นัฟสุฮู ก็อตละอะคีฮิ ฟะเกาะตะละฮู ฟะอัศบะหะ มินัลคอสิรีน

 
คำแปล R1.
27. And (O Muhammad ) recite to them (the Jews) the story of the two sons of Adam [Habil (Abel) and Qabil (Cain)] in truth; when each offered a sacrifice (to Allah), it was accepted from the one but not from the other. The latter said to the former: "I will surely kill you." The former said: "Verily, Allah accepts only from those who are Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2)."
28. "If you do stretch your hand against me to kill me, I shall never stretch my hand against you to kill you, for I fear Allah; the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns, and all that exists)."
29. "Verily, I intend to let you draw my sin on yourself as well as yours, then you will be one of the dwellers of the Fire, and that is the Recompense of the Zalimun (polytheists and wrongญdoers)."
30. So the Nafs (self) of the other (latter one) encouraged him and made fair-seeming to him the murder of his brother; He murdered him and became one of the losers.


คำแปล R2.
30. และเจ้าจงแถลงให้พวกเขารู้ถึงข่าวของบุตรสองคนของ(นบี)อาดัม โดยสัจจริง(ทั้งสองคือกอบิลกับฮาบิล) เมื่อคนทั้งสองได้ปฏิบัติการบุญ (เพื่อเข้าใกล้ชิดอัลเลาะฮฺ) แล้วได้รับการตอบสนอง (จากอัลเลาะฮฺ)เพียงคนเดียวเท่านั้น และไม่ถูกตอบรับจากอีกคนหนึ่ง เขา(กอบิลผู้ไม่ถูกตอบรับการบุญที่ตนทำ)จึงกล่าวว่า “ขอสาบาน ฉันจะต้องฆ่าท่าน” (ฮาบิล)กล่าว(เตือนสติพี่ชาย)ว่า “อันที่จริงแล้วอัลเลาะฮฺจะทรงตอบรับ(การบุญต่าง ๆ )จากบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น
31. ขอสาบาน หากท่านยื่นมือของท่านมายังข้าเพื่อฆ่าข้า แน่นอนข้าก็จะไม่ยื่นมือไปยังท่านเพื่อฆ่าท่าน เพราะแท้จริงข้ากลัวอัลเลาะฮฺ ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งโลกทั้งหลาย
32. เพราะแท้จริง ข้า(ไม่)ปรารถนาที่จะให้ท่านกลับคืน(สู่โลกหน้า)ด้วยบาป(ที่ทำกับตัว)ของข้า (คือบาปที่กอบิลคิดจะฆ่าในครั้งนี้) และบาปของท่าน(ที่ได้กระทำมาก่อน ๆ จนอัลเลาะฮฺไม่รับการบุญ) ครั้นแล้วท่านก็จะเป็นผู้หนึ่งจากชาวนรก และนั่นคือผลตอบแทนแก่บรรดาทุจริตชนทั้งปวง
33. แล้วอารมณ์อันชั่วร้ายของเขา(กอบิล)ก็ยอมภักดีแก่ตัวเขา(ตัดสินใจ)ในการฆ่า(ฮาบิล)น้องชายของเขาเอง แล้วเขาก็จัดการฆ่าเขา(ฮาบิล) ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ขาดทุน


คำแปล R3.
27. และจงเล่าให้เขารู้ถึงเรื่องราวของลูกชายทั้งสองของอาดัมด้วยความจริง เมื่อทั้งสองได้ถวายสิ่งพลีแก่เรา แล้วสิ่งพลีของคนหนึ่งในสองนั้นเป็นที่ยอมรับ แต่จากอีกคนหนึ่งไม่เป็นที่ยอมรับ ฝ่ายหลังจึงได้กล่าวว่า “ฉันจะฆ่าเจ้า” อีกฝ่ายหนึ่งจึงกล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงรับสิ่งพลีจากผู้สำรวมตนจากความชั่วเท่านั้น
28. ถ้าฉันเหยียดมือของท่านเพื่อจะฆ่าฉันฉันจะไม่ยกมือของฉันเพื่อฆ่าท่านเพราะฉันเกรงกลัวอัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
29. ฉันอยากที่จะให้ท่านรับภาระบาปของฉันและบาปของท่านด้วย และท่านจะได้กลายเป็นชาวนรกและนั่นคือการตอบแทนสำหรับผู้อธรรม”
30. แต่กระนั้นก็ตาม จิตใจที่ชั่วร้ายของเขาก็ได้ชักจูงเขาให้ฆ่าน้องชายของเขา หลังจากนั้น เขาก็ฆ่าน้องของเขา และกลายเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้ขาดทุน


คำแปล R4.
27. และเจ้าจงอ่านให้พวกเขาฟัง ซึ่งข่าวคราวเกี่ยวกับบุตรชายสองคน ของอาดัมตามความเป็นจริง ขณะที่ทั้งสองได้กระทำการพลีซึ่งสิ่งพลีอยู่นั้น แล้วสิ่งพลีนั้นก็ถูกรับจากคนหนึ่งในสองคนและมันมิได้ถูกรับจากอีกคนหนึ่งเขา จึงได้กล่าวว่า แน่นอนข้าจะฆ่าเจ้า ให้ได้ เขากล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับจากหมู่ผู้มีความยำเกรงเท่านั้น
28. หากท่านยื่นมือของท่านมายังฉัน เพื่อจะฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่ยื่นมือของฉันไปยังท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
29. แท้จริงฉันต้องการที่จะให้ท่านนำบาปของฉันและบาปของท่านกลับไป แล้วท่านก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ชาวนรก และนั่นแหละคือการตอบแทนแก่บรรดาผู้อธรรม
30. แล้วจิตใจของเขาก็คล้อยตามเขาในการที่จะฆ่าน้องชายของเขา แล้วเขาก็ฆ่าน้องชายของเขา ดังนั้นเขาจึงได้กลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ขาดทุน

 
คำแปล R5.
๓๐. และโอ้ มูฮำมัดเจ้าจงอ่านเรื่องราวของบุตรทั้งสองของอาดัมชื่อว่ากอบีลและฮาบีลด้วยความสัตย์จริงให้พวกเหล่านั้นที่เป็นประชากรของเจ้าฟังเถิดว่า ในคราวที่ทั้งสองต่างประกอบบุญกุศลเพื่อให้อัลเลาะห์ประทานความสมปรารถนาแก่ตน กล่าวคือฮาบีลประกอบพิธีโดยใช้แพะกับกิบช์และกอบีลประกอบพิธีโดยใช้พืชพันธุ แต่แพะกับกิบช์อันเป็นปัจจัยประกอบบุญพิธีของฝ่ายหนึ่งคือฮาบีลถูกรับรองว่าสัมฤทธิ์ผลโดยมีเปลวเพลิงขาวจากฟากฟ้าลงมาเผาผลาญแพะและกิบช์นั้นให้สูญสลายไป ผลปรากฏเป็นดังนี้ แสดงว่าฮาบีลเป็นผู้ได้นางอักลีมาผู้น้องสาวของกอบีลมาเป็นภรรยา ส่วนพืชพันธุ์อันเป็นปัจจัยประกอบบุญพิธีของอีกฝ่ายหนึ่งคืออกอบีลมิได้ถูกรับรองว่าสัมฤทธิ์ผล ก็แสดงว่า กอบีลเป็นผู้ได้นางลบูดาผู้น้องสาวของฮาบีลมาเป็นภรรยาเป็นการสลับคู่ฝาแฝดกัน แต่เนื่องจากนางอักลีมาหน้าตาสะสวยกว่านางลบูดา กอบีลจึงมีความโกรธแค้นและความริษยาซ่อนอยู่ในใจเรื่อยมาจนกระทั่งถึงเวลาหนึ่ง พระนบีอาดัมผู้บิดาได้เดินทางไปยังนครมักกะห์ เพื่อกระทำพิธีฮัจย์ ผู้หนึ่ง(กอบีล)จึงถือโอกาสนี้[/b]บอกแก่ฮาบีลว่า “ฉันขอปฏิญาณว่าจะต้องฆ่าเธอให้จงได้” ฝ่ายฮาบีลถามว่า “เพราะอะไรหรือที่ต้องมาฆ่าตัวฉัน?” กอบีลตอบว่า ก็บุญท่านประกอบขึ้นนั้นสัมฤทธิ์ผลท่านจึงได้น้องสาวฉันไปเป็นภรรยาอีกผู้หนึ่ง(ฮาบีล)ตอบกอบีลว่า แท้จริงอัลเลาะห์จะทรงรับรองเฉพาะแต่บุญกุศลของผู้ประกอบการที่มีความยำเกรงพระองค์เท่านั้น ฉันเป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่อพระองค์คนหนึ่ง พระองค์จึงได้ทรงให้บุญกุศลของฉันสัมฤทธิ์ผล
๓๑. ฮาบีลกล่าวอีก “ฉันขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าเป็นความจริงแท้ทีเดียว ถ้าหากว่าท่านจัเงื้อมือของท่านเพื่อฆ่าฉันละก็ ฉันจะไม่รับมือต่อสู้เพื่อฆ่าท่านเลย ทั้งนี้เพราะฉันเกรงกลัวการลงโทษของอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ในการที่จะฆ่าท่าน
๓๒. และฮาบีลกล่าวอีกว่า แท้จริงฉันนี้ไม่อยากจะให้ท่านแบกโทษที่ฆ่าฉันกับโทษของท่านเองที่ได้เคยกระทำสะสมมาก่อนกลับไปสู่โลกอคิเราะห์ด้วยเกรงว่าท่านจะเป็นผู้หนึ่งจากชาวนรก ส่วนตัวฉันไม่ปรารถนาที่จะแบกโทษที่ฉันฆ่าตัวท่านกลับไปสู่โลกอาคิเราะห์หรอก เพราะจะเป็นเหตุให้ฉันจะเป็นคนหนึ่งจากชาวนรกแต่การเป็นชาวนรกนั้นคือผลตอบแทนสำหรับบรรดาผู้คดโกงตัวเองโดยการกลับคืนไปสู่ภพอาคิเราะห์ด้วยบาปต่างหากเล่า
๓๓. แต่จิตใจของเขา(กอบีล)คิดเห็นว่าการฆ่ากอบีลผู้น้องชายของตนเป็นการดีสำหรับตนแล้ว เขาจึงฆ่าฮาบีล แต่แล้วเขาก็กลับเป็นคนหนึ่งในพวกที่ขาดทุนที่ได้กระทำลงไป ดังนั้น กอบีลไม่ทราบจะทำอย่างไรดี เพราะเนื่องจากฮาบีลเป็นคนแรกในพวกบุตรหลานของอาดัมที่ตายลงในภพนี้ เมื่อไม่เห็นทางจะจัดารแก่ศพได้ กอบีลจึงแบกศพนั้นไว้บนหลังของตนอยู่นานถึงสี่สิบวัน จนกระทั่งร่างของฮาบีลเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็น
[/color]


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่  31 – 32


คำอ่าน
31. ฟะบะอะสัลลอฮุ ฆุรอบัย..ยับหะษุฟิลอัรฺฎิ ลิยุริยะฮู กัยฟะยุวารี เสาอะตะอะคีฮฺ กอละ ยาวัยละตา..อะอะยํซตุ อันอะกูนะ มิษละฮาซัลฆุรอบิ ฟะอุวาริยะ เสาอะตะอะคี ฟะอัศบะหะ มินัน..นาดิมีน
32. มินอัจญลิซาลิกะ กะตับนาอะลาบะนี..อิสรอ...อีละ อัน..นะฮู มัน..เกาะตะละนัฟสัม..บิฆ็อยรินัฟสิน เอาฟะสาดิน..ฟิลอัรฎิ ฟะกะอัน..นะมา เกาะตะลัน..นาสะญะมีอา วะมันอะหฺยาฮา ฟะกะอัน..มาอะหฺยัน..นาสะ ญะมีอา วะละก็อดญา..อัตฮุม รุสุลุนาบิลบัยยินาติ ษุม..มะอิน..นะกะษีร็อม..มินฮุม บะอฺดะซาลิกะฟิลอัรฺฎิ ละมุสริฟูน


คำแปล R1.
31. Then Allah sent a crow who scratched the ground to show him to hide the dead body of his brother. He (the murderer) said: "Woe to me! Am I not even able to be as this crow and to hide the dead body of my brother?" Then he became one of those who regretted.
32. Because of that we ordained for the Children of Israel that if anyone killed a person not in retaliation of murder, or (and) to spread mischief in the land - it would be as if he killed all mankind, and if anyone saved a life, it would be as if he saved the life of all mankind. and indeed, there came to them our Messengers with clear proofs, evidences, and signs, even then after that many of them continued to exceed the limits (e.g. by doing oppression unjustly and exceeding beyond the limits set by Allah by committing the major sins) in the land!.


คำแปล R2.
34. ต่อจากนั้น อัลเลาะฮฺได้ส่งนกกามาตัวหนึ่ง ทำการคุ้ยตะกุยในพื้นดิน เพื่อทำให้เขา(กอบิล)เห็นว่า ทำอย่างไรเขาจึงจะฝังศพน้องชายของเขา เขารำพึงว่า “โอ้ ความพินาศของฉัน ฉันไม่สามารถที่จะเป็นเช่นกาตัวนี้ เพื่อฉันจะได้ฝังศพน้องชายของฉันได้เชียวหรือ?” ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ทุกข์ระทม
35. เนื่องจากเหตุนั้น เราจึงบัญญัติแก่เผ่าพันธุ์ของอิสรออีลว่า “แท้จริง ผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งโดยมิใช่(ทดแทน)ชีวิตหนึ่ง (ที่ถูกฆ่าเพื่อให้ตายตกไปตามกัน) หรือเป็นผู้บ่อนทำลายในหน้าแผ่นดิน แน่นอนเท่ากับเขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งหมด และผู้ใดไว้ชีวิตแก่เขา(อยู่ต่อไปด้วยการไม่ประทุษร้าย) แน่นอนก็เท่ากับเขาได้ไว้ชีวิตแก่มนุษย์ทั้งหมด(เช่นเดียวกัน) และแท้จริงบรรดาทูตของเราได้นำบรรดา(สัญลักษณ์)ที่ชัดแจ้งมายังพวกเขา แล้วหลังจากนั้นก็มีจำนวนมากจากพวกเขาเป็นผู้ฟุ้งเฟ้อ (ในการทำตัวฝ่าฝืนบทบัญญัติอัลเลาะฮฺ)ในแผ่นดินภายหลังจากนั้นอีก


คำแปล R3.
31. แล้วอัลลอฮฺก็ได้ส่งอีกาตัวหนึ่งมาคุ้ยดินเพื่อจะแสดงให้เขาได้เห็นถึงการฝังศพน้องชายของเขา เมื่อเห็นดังนั้นแล้วเขาก็ร้องออกมาว่า “วิบัติแน่แล้วตัวฉัน ฉันไม่สามารถที่จะทำอย่างเช่นที่อีกาได้ทำเพื่อกลบฝังศพน้องชายของฉันกระนั้นหรือ?” หลังจากนั้นเขาก็ตรอมใจในสิ่งที่เขาได้ทำไป
32. นั่นคือสิ่งที่ทำไมเราถึงได้กำหนดแก่พวกลูกหลานอิสรออีลว่า “ผ๔ใดฆ่าชีวิตใดเว้นเสียแต่ว่าผู้นั้นเป็นฆาตกรหรือเป็นผู้ก่อการเสียหายบนหน้าแผ่นดิน คนผู้นั้นจะถูกถือเหมือนกับเขาได้ฆ่ามนุษยชาติทั้งมวลและผู้ใดที่รักษาชีวิตหนึ่งไว้ เขาก็จะถูกถือว่าเหมือนกับผู้ให้ชีวิตแก่มนุษยชาติทั้งมวล” แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ยังคงละเมิดในแผ่นดิน แม้หลังจากนั้นรอซูลของเราได้มายังพวกเขา คนแล้วคนเล่าพร้อมกับแนวทางอันชัดแจ้งแล้วก็ตาม


คำแปล R4.
31. แล้วอัลลอฮฺก็ได้ส่งกาตัวหนึ่งมาคุ้ยหาในดินเพื่อที่จะให้เขาเห็นว่าเขาจะกลบศพน้องชายของเขาอย่างไรเขากล่าวว่า โอ้ความพินาศของฉัน ฉันไม่สามารถที่จะเป็นเช่นกาตัวนี้แล้วกลบศพน้องชายของฉันเชียวหรือนี่? แล้วเขาก็กลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ตรอมใจ
32. เนื่องจากเหตุนั้นแหละ เราจึงได้บัญญัติแก่วงศ์วาน อิสรออีลว่า แท้จริงผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งโดยมิใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง หรือมิใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้วก็ประหนึ่งว่าเขาได้ฆ่ามนุษย์ ทั้งมวล และแท้จริงนั้นบรรดารอซูลของเราได้นำหลักฐานต่าง ๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว แล้วได้มีจำนวนมากมายในหมู่พวกเขาเป็นผู้ฟุ่มเฟือยในแผ่นดิน


คำแปล R5.
๓๔. ดังนั้น อัลเลาะห์ก็ได้ทรงบันดาลให้เกิดมีกาขึ้นมาคุ้ยเขี่ยดินด้วยปากและตีนทั้งสองของมัน แล้วเอาดินนั้นกลบร่างของกาอีกตัวหนึ่งซึ่งตายเพราะถูกกาตัวนั้นจิก เพื่อให้เขา(กอบีล)ได้เห็นว่าเขาจะกลบความอุจาดของน้องชายของเขาได้อย่างไร เขา(กอบีล)กล่าวว่า น่าสลดใจนักที่ฉันนี้ไม่มีความสามารถเหมือนอย่างกาตัวนี้เลย และไม่สามารถจะปกปิดความอุจาดของน้องชายของฉันได้ ฉะนั้นเขากอบีล)จึงกลายเป็นคนหนึ่งจากพวกที่เศร้าสลดใจทั้งหลายในเรื่องที่ต้องแบกร่างอันไร้วิญญาณของฮาบีลอยู่ถึงสี่สิบวัน แล้วเพิ่งจะมาทำการขุดหลุมฝังร่างดังกล่าวต่อภายหลัง
๓๕. เพราะเหตุที่กอบีลฆ่าฮาบีลผู้เป็นน้องชายนี้เองเราจึงได้ตราเป็นกฎข้อบังคับไว้ให้แก่วงศ์ตระกูลของอิสรออีลว่า ถ้าในโอกาสต่อไปผู้ใดได้ฆ่าชีวิตหนึ่งโดยมิใช่เป็นการล้างหนี้ชีวิตกัน ซึ่งชีวิตที่ถูกฆ่านั้นมิได้ฆ่าชีวิตอื่น เช่น กอบีลฆ่าฮาบีล หรือมิใช่ชีวิตของคนกาฟิรศัตรูคู่สงคราม(ฮัรบีย์) หรือมิใช่ชีวิตของผู้ตกจากภาวะความเป็นมุสลิม(มุร-ตัด) ต่างกับการฆ่าเพื่อป้องกันตัวหรือทรัพย์สินหรือครอบครัว อย่างนี้ศาสนาถือว่าไม่จำเป็นจะต้องฆ่าผู้เป็นฆาตกรให้ตายตกไปตามกัน หรือโดยที่ผู้ถูกฆ่ามิได้เป็นผู้ก่อวินาศกรรมขึ้นในพิภพนี้ด้วยเขาเสียศรัทธาบ้าง เป็นผู้ทำการร่วมประเวณีนอกอนุญาต(ซินา)บ้าง เป็นผู้ช่วงชิงทรัพย์สินของคนสัญจรไปมาตามทางบ้าง หรืออะไรอื่นที่ผิดทำนองของศาสนาบ้าง เหล่านี้ก็เท่ากับผู้นั้นได้ฆ่ามวลมนุษย์ทั้งหมดสิ้น กล่าวคือผู้ใดทำลายเกียรติของชีวิตหนึ่งก็เหมือนผู้นั้นทำลายเกียรติของชีวิตทั้งสิ้นในแง่ที่มีความอาจหาญและแง่ทำลายโครงสร้างที่อัลเลาะห์ได้ทรงประกอบขึ้น แต่ถ้าผู้ใดไว้ชีวิตคนนั้น ๆ  ด้วยการหักห้ามใจตนเองหรือคนอื่นที่คิดจะฆ่าก็ดี หรือเข้าไปคุ้มกันคนหนึ่งให้รอดพ้นจากการถูกฆ่าก็ดี เท่ากับผู้นั้นได้ไว้ชีวิตมวลมนุษย์ทั้งหมดสิ้น กล่าวคือผู้ใดไว้ชีวิตหนึ่งก็เหมือนกับผู้นั้นได้ไว้ชีวิตทั้งสิ้นในแง่ที่เขารักษาสิทธิของอัลเลาะห์ และรักษาโครงสร้างที่อัลเลาะห์ได้ทรงประกอบขึ้นอย่างไม่มีผู้ใดสามารถจะประกอบโครงสร้างอย่างนั้นได้ และข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณว่า ความเป็นจริงนั้นบรรดาพระศาสนทูตของเราก็ได้มายังพวกในวงศ์ตระกูลอิสรออีลเหล่านั้นพร้อมด้วยอภินิหารย์ต่าง ๆ แล้ว ครั้นต่อมาหลังจากนั้น พวกเหล่านี้ส่วนมากต่างล่วงละเมิดกันในภาคภพนี้ด้วยการปฏิเสธศรัทธาบ้าง ฆ่าฟันสังหารกันบ้าง และอื่น ๆ บ้าง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 33 - 34


คำอ่าน
33. อิน..นะมาญะซา..อุลละซีนะ ยุหาริบูนัลลอฮะ วะเราะสูละฮู วะยัสเอานะฟิลอัรฎิฟะสาดัน อัย..ยุก็อตตะลู..เอายุศ็อลละบู..เอาตุก็อฏเฏาะอะ อัยดีฮิม วะอัรฺญุลุฮุม..มินคิลาฟิน เอายุน..เฟามินัลอัรฺฎิ ซาลิกะละฮุม คิซยุน..ฟิดดุนยา วะละฮุมฟิลอาคิเราะติ อะซาบุนอะซีม
34. อิลลัลละซีนะตาบู มิน..ก็อบลิ อัน..ตักดิรู อะลัยฮิม ฟะอฺละมู..อัน..นัลลอฮะ เฆาะฟูรุรฺเราะหีม


คำแปล R1.
33. The Recompense of those who wage war against Allah and his Messenger and do mischief in the land is only that they shall be killed or crucified or their hands and their feet be cut off on the opposite sides, or be exiled from the land. That is their disgrace in this world, and a great torment is theirs in the Hereafter.
34. Except for those who (having fled away and then) came back (as Muslims) with repentance before they fall into your power; In that case, know that Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.


คำแปล R2.
36. อันที่จริงผลตอบแทนแก่บรรดาผู้หาญรบกับอัลเละฮฺและศาสนทูตของพระองค์และพวกเขาเพียรสร้างความเสื่อมเสียขึ้นในแผ่นดินก็คือพวกเขาต้องถูกฆ่า ถูกตรึงไม้กางเขนหรือถูกตัดมือตัดเท้า โดยสลับกัน หรือมิฉะนั้นก็เนรเทศพวกเขาออกไปจากแผ่นดิน นั้นเป็นความอัปยศของพวกเขาในโลกนี้ และพวกเขาจะต้องได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวงในโลกหน้า
37. นอกจากบรรดาผู้ที่สารภาพผิดก่อนหน้าที่พวกเจ้าจะกำหนดโทษ(ดังกล่าว)เหนือพวกนั้น(ไม่ต้องย้อนหลังบทลงโทษเช่นนั้นแก่ความผิดที่กระทำไว้ก่อน) ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงทราบเถิดว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
33. แท้จริงการลงโทษของบรรดาผู้ทำสงครามต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และพยายามก่อการเสียหายในแผ่นดิน ก็คือพวกเขาจะต้องถูกประหารชีวิตหรือตรึงให้ตายบนไม้กางเขนหรือตัดมือและเท้าของพวกเขาสลับข้างกันหรือถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน นี่คือความอัปยศสำหรับพวกเขาในโลกนี้ และยังมีการลงโทษอันหนักหน่วงยิ่งกว่านี้สำหรับพวกเขาในโลกหน้า
34. ยกเว้นบรรดาผู้ที่สำนึกผิดก่อนที่สูเจ้ามีอำนาจเหนือพวกเขา ดังนั้นจงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
33. แท้จริงการตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่ทำสงครามต่ออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ และพยายามบ่อนทำลายในแผ่นดิน นั้นก็คือการที่พวกเขาจะถูกฆ่า หรือถูกตรึงบนไม้กางเขน หรือมือของพวกเขาและเท้าของพวกเขาจะถูกตัดสลับข้าง หรือถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน นั้นก็คือพวกเขาจะได้รับความอัปยศในโลกนี้ และจะได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวงในปรโลก
34. นอกจากบรรดาผู้ที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว ก่อนจากที่พวกเจ้าจะสามารถลงโทษพวกเขา พึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือครั้งหนึ่งได้มีชาวอาหรับเผ่าอิรนีย์เข้าไปนครมดีนะห์ ทั้งหมดต่างป่วยไข้ พระนบีมูอำมัดได้อนุญาตให้พวกนี้ไปยังอูฐฝูงหนึ่ง หลังจากที่พวกเขาได้แสดงความเป็นมุสลิมแต่เปลือกนอกให้พระนบีมูฮำมัดเห็น ครั้นแล้วพวกเขาก็ดื่มน้ำปัสสาวะและนมของอูฐฝูงนั้น และเมื่อพวกเขาได้หายจากอาการป่วยไข้แล้ว ก็ได้ฆ่าชายคนเลี้ยงอูฐของพระนบีมูฮำมัด และยังได้ไล่ต้อนอูฐดังกล่าวไปอีกด้วย
๓๖. โดยเฉพาะผลตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่หาญสู้กับอัลเลาะห์และมูฮำมัดผู้เป็นศาสนทูตของพระองค์โดยการฆ่าชายเลี้ยงอูฐดังกล่าวหรือฆ่ามุสลิมทั้งหลายหรือทั้งพยายามก่อวินาศกรรมขึ้นในพิภพโดยการช่วงชิงอูฐของผู้เลี้ยงอูฐดังกล่าวหรือทรัพย์สินของมุสลิมทั้งหลายนั้นคือ พวกนี้จะต้องถูกฆ่าหรือถูกตรึงหรือถูกตัดมือขวา ตัดเท้าซ้ายของพวกเขาโดยสลับข้างกัน หรือถูกเนรเทศออกจากดินแดน กล่าวคือ การฆ่าเป็นโทษตอบแทนสำหรับผู้ที่ฆ่าเท่านั้น การตรึงเป็นโทษตอบแทนสำหรับผู้ที่ฆ่าและช่วงชิงทรัพย์ ส่วนการตัดมือตัดเท้าเป็นโทษตอบแทนสำหรับผู้ที่ช่วงชิงทรัพย์อย่างเดียว สำหรับการเนรเทศเป็นโทษตอบแทนสำหรับผู้ที่ขู่กรรโชก โทษตอบแทนทั้งสิ้นที่กล่าวนั่นแหละคือความต่ำช้าแห่งภพนี้ที่ต้องได้แก่พวกนั้น อีกทั้งในภพหน้าพวกเหล่านั้นต้องได้รับโทษทรมานอันใหญ่หลวง
๓๗. ยกเว้นแต่บรรดาที่ถูกกล่าวนั้นได้รับสารภาพกลับใจ(เตาบะห์) ว่าจะไม่บังอาจสู้กับอัลเลาะห์และพระศาสนทูตของพระองค์และไม่ยังความพินาศในทางสัญจรก่อนจากพวกเจ้าจะกำหนดโทษพวกนั้นแล้วเท่านั้น พวกเจ้าพึงทราบไว้เถิดว่าแท้จริงอัลเลาะห์นั้นคือองค์ทรงยิ่งในการอภัยซึ่งโทษทัณฑ์ที่พวกนั้นกระทำกันมา ทรงโปรดปราณียิ่งแก่พวกนั้น เป็นอันว่าในเมื่อผู้หนึ่งได้ทำการฆ่าและชิงทรัพย์ การขอสารภาพกลับใจ(เตาบะห์) ของผู้นั้นจะเป็นประโยชน์ตรงที่ไม่ถูกลงโทษตรึง เพราะการตรึงเป็นโทษรูปหนึ่งในสิทธิของอัลเลาะห์ แต่จะไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้นั้นตรงที่เขาผู้นั้นต้องถูกฆ่าและคืนทรัพย์ให้เจ้าของเพราะทั้งสองนี้เป็นสิทธิของมนุษย์ ส่วนการขอสารภาพกลับใจของผู้นั้นหลังจากถูกจับมาดำเนินคดีแล้ว ย่อมไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้นั้นเลย




 

GoogleTagged