ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ  (อ่าน 9192 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 35 - 40


คำอ่าน
35. ยา..อัยยุฮัลละซีนะ อามะนุตตะกุลลอฮะ วับตะฆู..อิลัยฮิลวะสีละตะ วะญาฮฺดูฟีสะบีลิฮี ละอัลละกุม ตุฟลิหูน
36. อิน..นัลละซีนะกะฟะรู เลาอัน..นะละฮุม..มาฟิลอัรฺฎิญะมีเอา..วะมิษละฮูมะอะฮู ลิยัฟตะดูบิฮี มินอะซาบิ เยามิลกิยามะติ มาตุกุบบิละ มินฮุม วะละฮุมอะซาบุนอะลีม
37. ยุรีดูนะ อัย..ยัครุญูมินัน..นาริ วะมาฮุม..บิคอริญีนะมินฮา วะละฮุมอะซาบุม..มุกีม
38. วัสสาริกุ วัสสาริเกาะตุ ฟักเฏาะอู..อัยดิยะฮุมา ญะซา..อัม..บิมากะสะบา นะกาลัม..มินัลลอฮฺ วัลลอฮุอะซีซุนหะกีม
39. ฟะมัน..ตาบะ มิม..บะอฺดิ ซุลมิฮี วะอัศละหะ ฟะอิน..นัลลอฮะ ยะตูบุอะละยฮิ อิน..นัลลอฮะเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
40. อะลัมตะอฺลัม อัน..นัลลอฮะละฮู มุลกุสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ ยุอัซซิบุมัย..ยะชา..อุ วะยัฆฟิรุลิมัย..ยะชา..อุ วัลลอฮุอะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ


คำแปล R1.
35. O You who believe! Do your duty to Allah and fear Him. Seek the means of approach to Him, and strive hard in His cause as much as you can. So that you may be successful.
36. Verily, those who disbelieve, if they had all that is in the earth, and as much again therewith to ransom themselves thereby from the torment on the Day of Resurrection, it would never be accepted of them, and theirs would be a painful torment.
37. They will long to get out of the Fire, but never will they get out therefrom, and theirs will be a lasting torment.
38. Cut off (from the wrist joint) the (Right) Hand of the thief, male or female, as a Recompense for that which they committed, a punishment by way of example from Allah. And Allah is All-Powerful, All-Wise.
39. But whosoever repents after his crime and does righteous good deeds (by obeying Allah), then verily, Allah will pardon him (accept his repentance). Verily, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.
40. Know you not that to Allah (alone) belongs the dominion of the heavens and the earth! He punishes whom He wills and He forgives whom He wills. And Allah is able to do all things.


คำแปล R2.
38. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงอัลเลาะฮฺและจงแสวงหาสื่อนำไปสู่พระองค์ และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของพระองค์เพื่อพวกเจ้าประสบความสมหวัง
39. แท้จริงพวกเนรคุณ หากแม้นพวกเขามีสรรพสิ่งในแผ่นดินนี้ทั้งหมดและอีกเท่าหนึ่งของมันพร้อมกัน(เป็นอีกเท่าตัว) แน่นอนพวกเขาก็จะนำสิ่งเหล่านั้นมาไถ่ตัวเขาให้พ้นจากการลงโทษของวันชาติหน้า ไม่ถูกตอบรับจากพวกเขา(ในการไถ่ตัวนั้น) และพวกเขาต้องได้รับโทษอันทรมานยิ่ง
40. พวกเขามุ่งมาดที่จะออกจากนรก แต่พวกเขาก็หาออกจากมันได้ไม่ และพวกเขาต้องได้รับการลงโทษอันจีรังตลอดไป
41. อันผู้ชายที่ขโมย และผู้หญิงที่ขโมย(ทรัพย์สินของผู้อื่น)พวกเจ้าจงตัดมือ(ขวา)ของเขาทั้งสองทิ้งเสียเถิดเพื่อตอบแทนที่เขาทั้งสองได้กระทำไว้ อีกทั้งเพื่อเป็นบทลงโทษให้หลาบจำจากอัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง
42. ดังนั้นผู้ใดสารภาพผิด ภายหลังจากเขาได้ทุจริต(ด้วยการทำชั่ว) และเขาก็ปรับปรุงตนเอง(ด้วยการทำความดี)แน่นอนอัลเลาะฮฺย่อมรับการสารภาพของเขา แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
43. เจ้าไม่รู้หรือว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงอำนาจในชั้นฟ้าและแผ่นดิน พระองค์ทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงให้อภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลเลาะฮฺทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง


คำแปล R3.
35. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ยจงเกรงกลัวอัลลอฮฺและจงแสวงหาทางที่จะได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ และจงดิ้นรนต่อสู้ในหนทางของพระองค์ เพื่อสูเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
36. จงรู้ไว้เถิดว่าบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นจะไม่อาจหนีพ้นการลงโทษเป็นการตอบแทนได้ถึงแม้พวกเขาจะครอบครองความมั่งคั่งทั้งหมดของโลกและมีเพิ่มอีกมากเท่านั้น แล้วนำมันทั้งหมดมาไถ่แทนเพื่อให้พวกเขาหลุดพ้นจากการลงโทษในวันฟื้นคืนชีพ สิ่งเหล่านั้นก็จะไม่เป็นที่รับจากพวกเขาและพวกเขาจะต้องได้รับการทรมานอันแสนสาหัส
37. พวกเขาปรารถนาที่จะออกจากไฟนรก แต่พวกเขาจะไม่สามารถออกมาจากมันได้ และสำหรับพวกเขาคือการทรมานอย่างต่อเนื่อง
38. สำหรับขโมย ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงจงตัดมือของพวกเขา นั่นคือการตอบแทนสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ เป็นการลงโทษที่เป็นแบบอย่างให้เข็ดหลาบจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
39. แต่ถ้าผู้ใดสำนึกผิดหลังจากที่ทำผิดไปแล้วและปรับปรุงตนเอง อัลลอฮฺจะทรงหันกลับไปยังเขาโดยปราณี แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
40. เจ้าไม่รู้ดอกหรือว่าอัลลอฮฺทรงเป็นเจ้าของอาณาจักรแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน? พระองค์ทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงอภัยโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง


คำแปล R4.
35. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงแสวงหาสื่อ ไปสู่พระองค์ และจงต่อสู้และเสียสละในทางของอัลลอฮฺเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
36. แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น หากพวกเขามีสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมด และมีเยี่ยงนั้นอีกรวมกัน เพื่อจะใช้มันไถ่ตัวให้พ้นจากการลงโทษในวันกิยามะฮฺแล้ว มันก็จะไม่ถูกรับจากพวกเขา และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บแสบ
37. เขาเหล่านั้นปรารถนาที่จะออกจากไฟนรก แต่พวกเขาก็หาได้ออกจากมันไปได้ไม่ และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษที่คงอยู่ตลอดไป
38. และขโมยชายและขโมยหญิงนั้นจงตัดมือของเขา ทั้งสองคน ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่ทั้งสองนั้นได้แสวงหาไว้ (และ) เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างการลงโทษ จากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงเดชานุภาพ ทรงปรีชาญาณ
39. แล้วผู้ใดสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวหลังจากการอธรรมของเขา และแก้ไขปรับปรุงแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ
40. เจ้ามิได้รู้ดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงมีอำนาจในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน โดยที่พระองค์จะทรงลงโทษใครก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงอภัยโทษแก่ใครก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์นั้น ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง


คำแปล R5.
๓๘. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงยำเกรงการลงโทษของอัลเลาะห์ ทั้งจงใฝ่หาทางไปเข้าชิดพระองค์ในด้านเกียรติและตำแหน่ง และจงต่อสู้ในวิถีทางแห่งแห่งศาสนาของพระองค์ เพื่อให้ศาสนาของพระองค์สูงเด่นขึ้น เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้มัชัยด้วยการได้เข้าสู่สวนสวรรค์
๓๙. แท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธานั้น ถ้าพวกเขามีสิ่งทั้งสิ้นในหน้าแผ่นดินเป็นสิทธิ์ เพื่อพวกเขาจะได้เอาสิ่งนั้นไว้ไถ่ตัวและมีอีกหนึ่งเท่าตัวของสิ่งทั้งสิ้นนั้นกับอีกเท่านั้นเพื่อจะได้เอาสิ่งนั้น ๆ ไถ่ตัวให้พ้นจากการถูกลงโทษในวันกิยามะห์ สิ่งทั้งสิ้นดังกล่าวที่ถูกนำมาเป็นค่าไถ่ตัวนั้น ก็จะไม่ถูกรับไว้จากพวกเขาเลย ทั้งพวกเขายังต้องได้รับโทษทรมานอันเจ็บแสบอีกด้วย
๔๐. พวกที่ไม่ศรัทธา(กาฟิร)เหล่านั้นอยากจะออกไปให้พ้นจากขุมนรกนั้น แต่ออกพ้นไปมิได้ ซ้ำยังต้องได้รับโทษทรมานอยู่เป็นประจ
๔๑. ชายผู้เป็นขโมยกับหญิงผู้ป็นขโมยนั้น พวกเจ้าจงตัดมือขวาเพียงข้อมือของเขาทั้งสองนั้น โดยกำหนดว่าทรัพย์ที่ถูกขโมยนั้นต้องมีค่าอย่างน้อยหนึ่งในสี่ของหนึ่งดีนาร(เหรียญทองคำ) ตามทัศนะของอิมามชาฟิอียฺ ถ้าเขาได้ขโมยอีกเป็นครั้งสองก็ให้เจ้าตัดเท้าซ้ายเพียงข้อเท้า สำหรับการขโมยครั้งมราสามและครั้งที่สี่ก็ให้ตัดมือซ้ายและเท้าขวาของคนขโมยตามลำดับหากเขายังขโมยอีก เขาก็จะถูกลงโทษตามดุลยพินิจของผู้พิพากษา(ตะอ์ซิร) เพื่อให้เข็ดหลาบ การลงโทษตามที่บรรยายนี้เป็นการตอบแทนผลแห่งการที่ทั้งสองนั้นพยายามก่อกรรมขึ้นเป็นการลงทัณฑ์จากอัลเลาะห์แก่คนทั้งสองนั้นฝ่ายอัลเลาะห์นั้นเป็นองค์อิทธิฤทธิ์ยิ่งในงานทั้งหลายของพระองค์ ทรงประณีตยิ่งในสิ่งที่พระองค์จัดสร้าง
๔๒. ฉะนั้น หากผู้ใดได้สารภาพกลับใจ(เตาบะห์)ละมือจากการขโมย หลังจากที่ตนเคยเป็นผู้ร้ายคดโกงคนอื่น และปรับตัวเป็นคนดีได้ อัลเลาะห์จะทรงรับรองซึ่งการสารภาพกลับใจของเขา เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์ยิ่งในการอภัยแก่ผู้กลับใจจากการเป็นผู้ขโมยทรงโปรดปราณียิ่งต่อผู้นั้น การกลับเนื้อกลับตัวจากการเป็นชโมยนั้นย่อมพ้นจากการถูกลงโทษในภพหน้า เพราะโทษรูปนี้เป็นสิทธิของอัลเลาะห์ ส่วนการตัดมือกับการคืนทรัพย์แก่ผู้เป็นเจ้าของนั้นจะไม่ถูกยก เพราะการทั้งสองเป็นสิทธิของมนุษย์ นอกจากว่าเจ้าทรัพย์จะเป็นฝ่ายให้อภัยก่อนจากเรื่องราวถูกนำขึ้นฟ้องศาลเท่านั้น
๔๓. โอ้มูฮำมัด เจ้าย่อมรู้อยู่ว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นพระองค์เป็นผู้ทรงสิทธิในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดิน พระองค์จะทรงลงโทษทรมานบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ก็ได้จะทรงอภัยให้แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ก็ได้ ด้วยว่าอัลเลาะห์นั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง อาทิ ทรงอานุภาพในอันที่จะลงโทษทรมานและในการให้อภัย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 17, 2011, 06:18 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 41


คำอ่าน
41. ยา..อัยยุฮัรฺเราะสูลุ ลายะหฺซุน..กัลละซีนะ ยุสาริอูนะฟิลกุฟริ มินัลละซีนะกอลู..อามัน..นาบิอัฟวาฮิฮิม วะลัมตุอ์มิน..กุลูบุฮุม วะมินัลละซีนะฮาดู สัม..มาอูนะ ลิลกะซิบิ สัมมาอูนะลิก็อวมินอาเคาะรีนะ ลัมยะอ์ตูกะ ยุหัรฺริฟูนัลกะลิมะ มิม..บะอฺฎิ มะวาฎิอิฮี ยะกูลูนะ อินอูตีตุม ฮาซาฟะคุซูฮุ วะอิลลัมตุอ์เจาฮุ ฟะหฺซะรู วะมัย..ยุริดิลลาฮุ ฟิตนะตะฮู ฟะลัน..ตัมลิกะ ละฮูมินัลลอฮิชัยอา อุลา...อิกัลป์ละซีนะ ลัมยุริดิลลาฮุ อัย..ยุเฏาะฮฺฮิเราะกุลูบะฮุม ละฮุม ฟิดดุนยาคิซยู..วะละฮุมฟิลอาคิเราะติอะซาบุนอะซีม

คำแปล R1.
41. O Messenger (Muhammad)! Let not those who hurry to fall into disbelief grieve you, of such who say: "We believe" with their mouths but their hearts have no faith. And of the Jews are men who listen much and eagerly to lies - listen to others who have not come to you. They change the words from their places; They say, "If you are given this, take it, but if you are not given this, then beware!" and whomsoever Allah wants to put in Al-Fitnah [error, because of his rejecting the Faith], you can do nothing for him against Allah. Those are the ones whose hearts Allah does not want to purify (from disbelief and hypocrisy); for them there is a disgrace in this world, and in the Hereafter a great torment.

คำแปล R2.
44. โอ้ศาสนทูต จงอย่าทำให้เจ้าเศร้าโศกเพราะเหตุจากบรรดาผู้เร่งรีบในการเนรคุณนั่นคือได้แก่บรรดาผู้ที่กล่าวว่า “เราศรัทธา” กับปากของพวกเขา แต่หัวใจของพวกเขาหาได้ศรัทธาไม่ และได้แก่บรรดาผู้เป็นยะฮูดี(ยิว)ซึ่งเป็นพวกที่ชอบฟังเรื่องเท็จ(จากพวกนักปราชญ์ของพวกเขา) พวกเขาเป็นผู้ชอบฟัง(เรื่องราวของเจ้า) เพื่อ (นำไปบอกเล่าแก่) กลุ่มชนอื่น ๆ ที่มิได้มาหาเจ้า พวกเขาบิดเบือนบรรดาถ้อยคำ(แห่งคัมภีร์) ไปจากที่(จุดหมายเดิม)ของมัน พวกเขากล่าวว่า “หากพวกท่านทั้งหลายถูกประทานสิ่งนี้ พวกท่านก็จงรับไว้เถิด และถ้าพวกท่านมิได้ถูกประทาน(สิ่งนี้)ให้พวกท่านก็จงระมัดระวัง(อย่ารับไว้)” และผู้ใดที่อัลเลาะฮฺประสงค์จะให้เขาวุ่นวาย(หลงผิด) แน่นอนเจ้าก็ไม่มีอำนาจ(อย่างเด็ดขาดที่จะปกป้อง)แก่เขา(ให้พ้น)จาก(การลงโทษของ)อัลเลาะฮฺได้สักสิ่งเดียวก็ตาม พวกเหล่านั้นเป็นพวกที่อัลเลาะฮฺไม่ประสงค์จะทำความสะอาดแก่หัวใจของพวกเขา ในโลกนี้พวกเขาประสบความอัปยศ และในโลกหน้าพวกเขาก็จะประสบการลงโทษอันยิ่งใหญ่

คำแปล R3.
41. รอซูลเอ๋ย จงอย่าปล่อยให้ผู้คนที่กำลังดิ้นรนในหนทางแห่งการปฏิเสธ ทำให้เจ้าต้องระทมใจ ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากผู้ที่กล่าวด้วยปากของพวกเขาว่า “เราศรัทธา” แต่หัวใจของพวกเขาไม่ศรัทธา หรือจากพวกยิว เพราะพวกหลังนี้ชอบฟังเรื่องโกหก พวกเขาชอบสอดแนมเพื่อคนอื่นที่ไม่มีโอกาสได้มาหาเจ้า พวกเขาบิดถ้อยคำในคัมภีร์ของอัลลอฮฺจากตัวบทของมัน เพื่อบิดเบือนความหมายที่ดีของมัน พวกเขากล่าวแก่ผู้คนว่า “ถ้าหากพวกท่านได้ถูกกำชับให้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนนี้ พวกท่านก็จงรับมันแต่ถ้าไม่ได้ถูกให้ทำตามนั้นก็จงปฏิเสธ” เจ้าไม่อาจที่จะทำสิ่งใดเพื่อปกป้องคนที่อัลลอฮฺปรารถนาที่จะทดสอบเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺ คนเช่นนี้ก็คือคนที่อัลลอฮฺไม่ปรารถนาที่จะขัดเกลาหัวใจของเขา สำหรับพวกเขาในโลกนี้ก็คือความระทม และสำหรับพวกเขาในโลกหน้าก็คือการลงโทษอันมหันต์

คำแปล R4.
41. รอซูลเอ๋ย! จงอย่าให้เป็นที่เสียใจแก่เจ้าซึ่งบรรดาผู้ที่รีบเร่งกันในการปฏิเสธศรัทธา จากหมู่ผู้ที่กล่าวด้วยปากของพวกเขาว่า พวกเราศรัทธาแล้วโดยที่หัวใจของพวกเขามิได้ศรัทธา และจากหมู่ผู้ที่เป็นยิวด้วย โดยที่พวกเขาชอบฟังคำมุสา พวกเขาชอบฟังเพื่อพวกอื่นที่มิได้มุ่งหาเจ้า พวกเขาบิดเบือนบรรดาถ้อยคำหลังจาก (ที่มันถูกวางใน) ที่ของมัน พวกเขากล่าวว่า หากพวกท่านได้รับสิ่งนี้ก็จงเอามันไว้ และถ้าหากพวกท่านมิได้รับมันก็จงระวัง และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ซึ่งการทดสอบเขาแล้ว เจ้าก็ไม่มีสิทธิแต่อย่างใดจากอัลลอฮฺที่จะช่วยเหลือเขาได้ ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่อัลลอฮฺมิทรงประสงค์จะให้หัวใจของพวกเขาสะอาด โดยที่พวกเขาจะได้รับความอัปยศในโลกนี้ และจะได้รับการลงโทษอันมหันต์ในปรโลก

คำแปล R5.
๔๔. โอ้พระศาสนทูตมูฮำมัด อย่าได้ให้เป็นที่สลดแก่เจ้าเพราะบรรดามุนาฟิกผู้ขาดศรัทธาโดยไว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากผู้ที่เคยพูดแต่ปากว่าพวกเราศรัทธา แต่หัวใจมิได้ศรัทธาเลย และส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้เป็นยะฮูดีที่เป็นพวกก็รีเฎาะห์นั้น เป็นทั้งผู้คอยจ้องสดับฟังคำเท็จอย่างเคารพยกย่องที่นักปราชญ์ของพวกเขาปั้นขึ้น แล้วนำเอาความเท็จนั้นไปถ่ายทอดแก่คนชั้นสามัญของพวกเขา และเป็นนักฟังความจริงจากเจ้าและนำความจริงอันนั้นไปถ่ายทอดแก่นักปราชญ์ของพวกเขา เพื่อให้นักปราชญ์แก้ไขคัมภีร์บ้าง และเพื่อเป็นสื่อกลางให้แก่อีกพวกหนึ่ง อันได้แก่พวกคอยบัร ทั้ง ๆ ที่พวกคอยบัรนี้ไม่เคยไปมาหาสู่เจ้าเลย ทั้งนี้เพราะว่าพวกคอยบัรนั้นมีความโกรธแค้นเจ้าและเย่อหยิ่งต่อเจ้า พวกคอยบัรเหล่านี้พยายามเปลี่ยนแปรพระคำของอัลเลาะห์ในพระคัมภีร์เตารอตที่ว่าด้วยโทษขว้างชายหญิงซึ่งประกอบการประเวณีนอกอนุญาตด้วยหิน ให้เป็นอื่นจากที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ แล้วก็เขียนเนื้อความใหม่ลงไว้ในพระคัมภีร์เตารอตว่าเป็นโทษเพียงให้เฆี่ยน โดยพวกยะฮูดีคอยบีรเหล่านั้นกล่าวแก่พวกยะฮูดีก็รีเฎาะห์ผู้เป็นสื่อระหว่างพวกตนกับมูฮำมัดว่า ถ้าแม้นพวกเจ้าได้รับคำแนะนำเรื่องอย่างนี้จากพระนบีมูฮำมัดว่าจะต้องเฆี่ยนชายหญิงผู้ประกอบการแล้วไซร้ พวกเจ้าจงรับไว้เถิด แต่ถ้าแม้นพวกเจ้ามิได้รับคำแนะนำอย่างนั้นจากพระนบีมูฮำมัดแล้วพวกเจ้าก็จงระวังตัวอย่ารับมันไว้ซิ กล่าวคือในหมู่ของยะฮูดีคอยบัรมีชายหญิงในตระกูลคู่หนึ่งได้ร่วมทำประเวณีนอกอนุญาต(ซินา)กัน ซึ่งคนทั้งสองนี้ต่างก็มีภรรยาและสามีกันมาแล้ว ยะฮูดีพวกนี้ไม่ชอบวิธีการลงโทษผู้ประกอบการซินาด้วยการใช้หินขว้าง พวกเขาจึงได้ส่งตัวของชายและหญิงนี้ไปยังยะฮูดีก็รีเฎาะห์เมื่อให้ยะฮูดีก็รีเฎาะห์นำชายหญิงนี้ไปยังพระนบีมูฮำมัดเพื่อจะสอบถามความจริง พระนบีมูฮำมัดก็ให้คำแนะนำว่าจะต้องลงโทษชายหญิงดังกล่าวด้วยการใช้หินขว้าง แต่พวกเหล่านั้นไม่ยอม ยิบรออีลจึงได้กล่าวแก่พระนบีมูฮำมัดว่า “เจ้าจงเอาอิบนุซูริยาซึ่งเป็นนักปราชญ์ของพวกนั้นมาเป็นคนกลาง” พระนบีมูฮำมัดถามปราชญ์ผู้นั้นว่า “ท่านเคยได้พบเรื่องให้ขว้างฯมีกล่าวอยูในพระคัมภีร์เตารอตหรือไม่” อิบนุซูริยาตอบว่า “มีกล่าวอยู่” แล้วพระนบีก็ได้ทำการลงโทษชายหญิงดังกล่าวนั้นด้วยใช้หินขว้าง ณ ประตูมัสยิดมดีนะห์ ต่อมาอิบนุซูริยาก็ได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ถ้าแหละผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงประสงค์ให้ผู้นั้นพลาดหนทางเสียแล้ว โอ้มูฮำมัด เจ้าย่อมไม่มีสิทธิ์ให้เขาพ้นจากการให้พลาดทางเที่ยงตรงของอัลเลาะห์ได้เลย พวกมุนาฟิกก็ดี พวกยะฮูดีก็ดี เหล่านั้นแหละคือพวกที่อัลเลาะห์ไม่ประสงค์จะให้หัวใจของพวกเขาบริสุทธิ์สะอาดจากความไม่ศรัทธา แล้วในภพนี้พวกเขาจะได้รับความตกต่ำ คือพวกมุนาฟิกได้รับความตกต่ำโดยการแสดงออกซึ่งความไม่ศรัทธาให้ปรากฏท่ามกลางผู้ศรัทธาทั้งมวล ส่วนพวกยะฮูดีก็ได้รับความตกต่ำที่ต้องยอมชำระเงินเป็นเบี้ยรายปีให้แก่พวกมุอ์มิน ทั้งในวันอาคิเราะห์พวกเหล่านั้นทั้งที่เป็นมุนาฟิก(พวกตีสองหน้า)และพวกยะฮูดี ย่อมได้รับโทษทรมานอันใหญ่หลวงอีกด้วย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่  42 - 43


คำอ่าน
42. สัมมาอูนะลิลกะซิบิ อักกาลูนะลิสสุหฺติ ฟะอิน..ญา..อูกะ ฟะหฺกุม..บัยนะฮุม เอาอะอฺริฎอันฮุม วะอิน..ตุอฺริฎอันฮุม ฟะลัย..ยะฎุรรูกะชัยอา วะอินหะกัมตะ ฟะหฺกุม..บัยนะฮุม..บิลกิสฏฺ อิน..นัลลอฮะยุหิบบุลมุกสิฏีน
43. วะกัยฟะ ยุหักกิมูนะกะ วะอินดะฮุมุตเตารอตุ ฟีฮาหุกมุลลอฮิ ษุม..มะยะตะวัลเลานะ มิม..บะอฺดิซาลิก วะมา..อุลา..อิกะ บิลมุอ์มินีน


คำแปล R1.
42. (They like to) listen to falsehood, to devour anything forbidden. So if they come to you (O Muhammad ), either judge between them, or turn away from them. If you turn away from them, they cannot hurt yYou in the least. And if you judge, judge with justice between them. Verily, Allah loves those who act justly.
43. But how do they come to you for decision while they have the Taurat (Torah), in which is the (plain) decision of Allah; yet even after that, they turn away. For they are not (really) believers.


คำแปล R2.
45. พวกเขาเป็นนักฟังสิ่งเท็จ(จากพวกนักปราชญ์ที่บิดเบือน) เป็นนักบริโภคสิ่งต้องห้าม(เช่นกินสินบน) ดังนั้นหากพวกเขามาหาเจ้า เจ้าก็จงตัดสินระหว่างพวกเขาหรือมิฉะนั้นเจ้าก็จงหันจากพวกเขาเสีย(อย่าเอาใจใส่หรือถือสา) และหากเจ้าหันจากพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ทำอันตรายใด ๆ แก่เจ้าได้เลย และเมื่อเจ้าตัดสินก็จงตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยความยุติธรรม เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรักบรรดาผู้มีความยุติธรรม
46. และพวกเขาจะมอบอำนาจตัดสินแก่เจ้าได้อย่างไร? ทั้ง ๆ ที่พวกเขามี(คัมภีร์)เตารอฮฺอยู่แล้ว ซึ่งในนั้นมีการตัดสินของอัลเลาะฮฺ(อยู่พร้อมมูล) แต่ครั้นแล้วพวกเขาก็ยังหัน(ให้กับคำตัดสินดังกล่าว)ภายหลังจากนั้น และพวกเหล่านั้นหาใช่ผู้ศรัทธาไม่


คำแปล R3.
42. พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ฟังความเท็จและเป็นผู้กินสิ่งต้องห้าม ดังนั้นถ้าพวกเขามาหาเจ้า(พร้อมคดีความ)เจ้าจงตัดสินระหว่างพวกเขาหรือปฏิเสธไป เพราะถึงแม้เจ้าปฏิเสธพวกเขาก็จะไม่สามารถทำร้ายอะไรเจ้าได้ แต่ถ้าหากเจ้าตัดสินระหว่างพวกเขา เจ้าก็จงตัดสินด้วยความยุติธรรมเพราะอัลลอฮฺทรงรักผู้เที่ยงธรรม
43. และเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินในเมื่อพวกเขาเองก็มีคัมภีร์เตารอตซึ่งในนั้นมีคำตัดสินของอัลลอฮฺอยู่ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังหันหลังไปจากมัน? แท้จริงแล้วคนเหล่านี้ไม่มีความศรัทธา


คำแปล R4.
42. พวกเขาชอบฟังคำมุสา ชอบกินสิ่งต้องห้ามถ้าหากพวกเขามาหาเจ้า ก็จงตัดสินระหว่างพวกเขา หรือไม่ก็หลีกเลี่ยงพวกเขาเสีย และถ้าหากเจ้าหลีกเลี่ยงพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ให้โทษแก่เจ้าได้แต่อย่างใดเลย และหากเจ้าตัดสินใจ ก็จงตัดสินใจระหว่างพวกเขา ด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรักบรรดาผู้ที่ยุติธรรม
43. และอย่างไรเล่าที่พวกเขาจะให้เจ้าตัดสินทั้ง ๆ ที่พวกเขามี อัต-เตารอตอยู่ ซึ่งในนั้นมีข้อตัดสินของอัลลอฮฺอยู่แล้วแล้วพวกเขาก็ผินหลังให้ หลังจากนั้น ชนเหล่านี้หาใช่เป็นผู้ศรัทธาไม่


คำแปล R5.
๔๕.พวกยะฮูดีเหล่านั้นเป็นผู้คอยจ้องฟังคำเท็จจากพวกปราชญ์ของพวกตนเป็นนักบริโภคของบาป อาทิ เบี้ยยัด แล้วก็ถ้าพวกยะฮูดีเหล่านั้นได้มาหาเจ้าเพื่อให้เจ้าตัดสินความระหว่างพวกนั้นแล้ว ก็ให้เจ้าตัดสินความระหว่างพวกนั้นด้วยหรือจงผินออกจากพวกนั้นเสียเลย ข้อบัญญัติที่ว่าให้พระนบีมูฮำมัดเลือกเอาระหว่างตัดสินหรือไม่นั้นถูกยกเลิกโดยโองการที่ ๕๒ ซูเราะห์ อัล-มาอิดะห์ มีเนื้อความว่า “เจ้าจะต้องตัดสินความระหว่างพวกเหล่านั้นฯ” ฉะนั้นจึงถือว่าย่อมเป็นการจำเป็น(วายิบ)ที่จะต้องให้การตัดสินตามหลักแห่งศาสนา เมื่อพวกนั้นได้นำเรื่องขึ้นฟ้องให้พวกเราเป็นฝ่ายตัดสิน แล้วพวกเหล่านั้นก็ไม่อาจทำความเดือดร้อนแก่เจ้าได้เลยสักนิดเดียว แต่หากเจ้าจะตัดสินเจ้าก็ต้องตัดสินความระหว่างพวกนั้นโดยความเป็นธรรม แท้จริงอัลเลาะห์จะทรงอำนวยบุญกุศลแก่ผู้ทรงความยุติธรรมทั้งหลายในการตัดสิน
๔๖. และ โอ้มูฮำมัด เจ้าจะต้องประหลาดใจว่าทำไมเล่าพวกยะฮูดีเหล่านั้นถึงได้ตั้งให้เจ้ามาตัดสิน ทั้งที่พวกเขาก็มีพระคัมภีร์เตารอต โดยในพระคัมภีร์เตารอตนั้นมีคำตัดสินของอัลเลาะห์ว่าด้วยการขวางชายหญิงผู้ประกอบการซินาด้วยหินอยู่ด้วย แต่แล้วหลังจากที่ได้แต่งตั้งเจ้าขึ้นนั้น พวกเหล่านี้ก็ผินหลังให้การตัดสินความดังกล่าวของเจ้าซึ่งก็ตรงตามพระคัมภีร์เตารอตด้วย พวกเหล่านี้แหละ หาใช่ผู้ศรัทธาไม่



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 44 - 45


คำอ่าน
44. อิน..นา..อัน..ซัลนัตเตารอตะ ฟีฮาฮุเดา..วะนูรฺ ยะหฺกุมุบิฮัน..นะบียูนัลละซีนะ อัสละมู ลิลละซีนะฮาดู วัรฺร็อบบานียูนะ วัลอะหฺบารุ บิมัสตุหฺฟิซู มิน..กิตาบิลลาฮิ วะกานูอะลัยฮิชุฮะดา...อ์ วะลาตะหฺชะวุน..นาสะ วัคเชานิ วะลาตัชตะรู บิอายาตี ษะมะนัน..เกาะลีลา วะมัลลัมยะหฺกุม..บิมา..อัน..ซะลัลลอฮุ ฟะอุลา...อิกะฮุมุลกาฟิรูน
45. วะกะตับนาอะลัยฮิม ฟีฮา..อัน..นัน..นัฟสะ บิน..นัฟสิ วัลอัยนะบิลอัยนิ วัลอัน..ฟะ บิลอัน..ฟิ วัลอุซุนะบิลอุซุนิ วัสสิน..นะบิสสิน..นิ วัลญุรูหะกิศอศฺ ฟะมันตะศ็อดดะเกาะบิฮี ฟะฮุวะกัฟฟาเราะตุลละฮฺ วะมัลลัมยะหฺกุม..บิมา..อัน..วะลัลลอฮุ ฟะอุลา..อิกะฮุมุซซอลิมูน

 
คำแปล R1.
44. Verily, we did send down the Taurat (Torah) [to Musa (Moses)], therein was guidance and light, by which the Prophets, who submitted themselves to Allah's will, judged the Jews. and the rabbis and the priests [too judged the Jews by the Taurat (Torah) after those Prophets] for to them was entrusted the protection of Allah's Book, and they were witnesses thereto. Therefore fear not men but fear Me (O Jews) and sell not My Verses for a miserable price. And whosoever does not judge by what Allah has revealed, such are the Kafirun (i.e. disbelievers - of a lesser degree as they do not act on Allah's laws ).
45. And we ordained therein for them: "Life for life, eye for eye, nose for nose, ear for ear, tooth for tooth and wounds equal for equal." but if anyone remits the retaliation by way of charity, it shall be for him expiation. And whosoever does not judge by that which Allah has revealed, such are the Zalimun (polytheists and wrong-doers - of a lesser degree).


คำแปล R2.
47. แท้จริงเราได้ลง(คัมภีร์)เตารอฮฺมาให้ ซึ่งในนั้นมีสิ่งชี้นำและรัศมี(ส่องทางรอด)บรรดาศาสดาที่ยอมสวามิภักดิ์(ต่ออัลเลาะฮฺ) ต่างใช้คัมภีร์นั้นตัดสินแก่บรรดาชาวยะฮูดี และ(โดยคัมภีร์นั้น) พวกนักบุญและบรรดานักปราชญ์(ของยะฮูดีต่างนำมาเป็นบทบัญญัติแห่งตน) เนื่องเพราะสิ่งที่เขาถูกบัญชาให้รักษาไว้ อันที่เกี่ยวกับคัมภีร์แห่งอัลเลาะฮฺ และพวกเขาต่างเป็นพยานให้คัมภีร์นั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวมนุษย์แต่จงกลัวข้า และพวกเจ้าอย่านำโองการของข้ามาแลกเปลี่ยนกับราคาเพียงเล็กน้อย และบุคคลใดที่ไม่ตัดสินตาม(คัมภีร์)ที่อัลเลาะฮฺได้ประทานให้ แน่นอนพวกเหล่านั้น เป็นพวกที่เนรคุณโดยแท้จริง
48. และเราได้บัญญัติแก่พวกเขาในคัมภีร์(เตารอฮฺ)นั้นว่า “ชีวิตหนึ่งที่ถูกฆ่าต้องฆ่าตกให้ตายตามกันไป)ด้วยกับชีวิต(ที่เป็นฆาตกร), (การประทุษร้าย)ดวงตา(ก้ต้องตอบแทน)ด้วยดวงตา, จมูกด้วยจมูก, หูด้วยหู, ฟันด้วยฟัน และบาดแผลต่าง ๆ ก็ต้องตอบแทน(ในทำนองเดียวกัน) แต่ผู้ใดก็ตามที่ยกให้(ไม่เอาความ)กับสิ่งนั้น แน่นอนการดังกล่าวก็จะนิรโทษให้แก่เขา(ในความผิดที่เขาได้กระทำมา) และผู้ใดไม่ตัดสินไปตามบทบัญญัติที่อัลเลาะฮฺได้ทรงประทานให้ แน่นอนที่สุด พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ฉ้อฉล(เนรคุณ)


คำแปล R3.
44. แท้จริงแล้ว เราได้ประทานเตารอตลงมาซึ่งในนั้นมีทางนำและแสงสว่าง นบีทุกคนที่เป็นมุสลิมได้ใช้ตัดสินกรณีต่าง ๆ ของพวกยิว เช่นเดียวกับที่พวกร็อบบานีและอะฮฺบารฺ(ได้ใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสิน)เพราะพวกเขาได้ถูกทำให้เป็นผู้รักษาคัมภีร์ของอัลลอฮฺและเป็นพยานต่อมัน ดังนั้น (โอ้ พวกยิว)จงอย่ากลัวมนุษย์ แต่จงกลัวฉัน และจงอย่าขายอายะฮฺของฉันเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อย บรรดาผู้ที่ไม่ตัดสินตามที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมานั้น แท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธ
45. และเราได้กำหนดไว้ในเตารอตสำหรับพวกยิวไว้แล้วว่า “ชีวิตติ่ชีวิต ตาต่อตา จมูกต่อจมูก หูต่อหู ฟันต่อฟัน และบาดแผลนั้นก็มีการตอบแทนกันอย่างเท่าเทียมกัน” แต่ถ้าผู้ใดยกการแก้แค้นแทนให้เป็นทาน ดังนั้นมันก็เป็นการไถ่โทษสำหรับเขา ส่วนผู้ใดไม่ตัดสินตามที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานมา เขาเหล่านั้นก็คือผู้อธรรม


คำแปล R4.
44. แท้จริงเราได้ให้อัต-เตารอตลงมา โดยที่ในนั้นมีข้อแนะนำและแสงสว่าง ซึ่งบรรดานบีที่สวามิภักดิ์ได้ใช้อัต-เตารอตตัดสินบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่รู้แล้วในอัลลอฮฺ และนักปราชญ์ทั้งหลายก็ได้ใช้อัต-เตารอต ตัดสินด้วย เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้รักษาไว้ (นั่นคือ) คัมภีร์ของอัลลอฮ์ และพวกเขาก็เป็นพยานยืนยันในคัมภีร์นั้นด้วย ดังนั้นพวกเจ้า จงอย่ากลัวมนุษย์แต่จงกลัวข้าเถิด และจงอย่าแลกเปลี่ยนบรรดาโองการของข้ากับราคาอันเล็กน้อย และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธการศรัทธา
45. และเราได้บัญญัติแก่พวกเขาไว้ในคัมภีร์นั้นว่า ชีวิตด้วยชีวิต และตาด้วยตา และจมูกด้วยจมูก และหูด้วยหู และฟันด้วยฟัน และบรรดาบาดแผลก็ให้มีการชดเชยเยี่ยงเดียวกัน และผู้ใดให้การชดเชยนั้นเป็นทาน มันก็เป็นสิ่งลบล้างบาปของเขา และผู้ใดมิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้อธรรม


คำแปล R5.
๔๗. แท้จริงเรา(อัลเลาะห์)ได้ประทานพระคัมภีร์เตารอตลงมาซึ่งในพระคัมภีร์นั้นมีหนทางนำไปยังความจริงมิใช่แนะนำให้หลงงมงายอยู่ในความหายนะและมีแสงสว่างอันกระจ่างแจ้ง ส่องทางให้ได้แลเห็นซึ่งข้อห้ามและข้อใช้ของอัลเลาะห์ซึ่งพระศาสดาทั้งหลายผู้นอบน้อมในอัลเลาะห์ที่สืบสายมาจากอิสรออีลและปวงปราชญ์ยะฮูดีตลอดจนนักปราชญ์นัซรอนีต่างก็ใช้คัมภีร์นั้น ๆ ตัดสินให้บรรดาผู้เป็นยะฮูดีในฐานะที่พวกทั้งสามที่กล่าวนั้นถูกอัลเลาะห์บังคับบัญชาให้ปกปักษ์รักษาไว้ซึ่งพระคัมภีร์เตารอตของอัลเลาะห์มิให้ถูกเปลี่ยนแปลงและแก้ไขโดยที่พวกเขาทั้งสามนั้นต่างเป็นองค์สักขีพยานยืนยันพระคัมภีร์นั้นอยู่ด้วยว่า แท้จริงพระคัมภีร์เตารอตนี้เป็นของเที่ยงแท้ โอ้ปวงชนยะฮูดี พวกเจ้าอย่าได้เกรงกลัวมนุษย์ในเรื่องที่จะเปิดเผยคุณลักษณะของพระนบีมูฮำมัด และเรื่องว่าด้วยการลงโทษขว้างชายหญิงที่ประกอบการซินาด้วยหิน ตลอดจนเรื่องอย่างอื่น ๆ ที่มีขึ้นกับพวกเจ้าเลย แต่จงเกรงกลัวข้าในอันที่จะปกปิดเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นเถิด ทั้งพวกเจ้าอย่าได้นำบรรดาโองการของข้าไปเปลี่ยนเอาค่างวดนิดหน่อยเพื่อเป็นค่าจ้างปิดบังโองการต่าง ๆ ของข้าในภพนี้ และถ้าพวกยะฮูดีก็ดีและปวงประชากรของพระนบีมูฮำมัดก็ดีผู้ใดมิได้ตัดสินด้วยบทใช้และบทห้ามที่อัลเลาะห์ได้ประทานลงมาไว้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอานบ้าง ในเตารอตบ้างแล้วไซร้ พวกเหล่านั้นคือผู้ปฏิเสธศรัทธา ฝ่าฝืนข้อใช้ข้อห้ามของพระองค์
๔๘. ทั้งเรา(อัลเลาะห์)ยังได้ตราเป็นกฎบังคับพวกยะฮูดีเหล่านี้ไว้ในพระคัมภีร์เตารอตนั้นว่า ชีวิตต่อชีวิต แปลว่า ชีวิตหนึ่งจะต้องถูกฆ่าเพราะอีกชีวิตหนึ่งถูกฆ่าโดยชีวิตนั้น ตาต่อตา แปลว่า ตาของคนหนึ่งจะต้องถูกเจาะเพราะตาของอีกผู้หนึ่งถูกเจาะโดยเจ้าของตาคนนั้น จมูกต่อจมูกแปลว่าจมูกของคนหนึ่งจะต้องถูกตัดเพราะจมูกของอีกผู้หนึ่งถูกตัดโดยเจ้าของจมูกคนนั้น หูต่อหูแปลว่าหูของคนคนหนึ่งจะต้องถูกตัดเพราะหูของอีกคนหนึ่ง๔กตัดโดยเจ้าของหูคนนั้นและฟันต่อฟันแปลว่าฟันของคนหนึ่งจพถูกถอนเพราะฟันของอีกคนหนึ่งถูกถอนโดยเจ้าของฟันคนนั้น ส่วนบาดแผลก็ให้ตอบสนองด้วยบาดแผล[/b]เหมือน ๆ กัน[/b] เช่น ผู้หนึ่ง ได้รับบาดแผลที่มือ ที่เท้า ที่ริมฝีปาก ที่ลูกอัณฑะและที่องคชาติ (อวัยวะสืบพันธุ์) เป็นต้น ก็ต้องให้กระทำแก่ตัวการนั้นในอวัยวะส่วนที่เหมือน ๆ กันด้วย ถ้าส่วนใดจะปรับโทษให้เหมือนกันแล้วจะเกิดอันตรายเกินกว่ากัน เช่น บาดแผลภายในท้อง และทำให้กระดูกแตกหักเป็นต้น กรณีเช่นนี้ย่อมให้ตีราคาเป็นค่าทำขวัญแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บแผลดังนี้ วมมติว่าผู้ได้รับบาดแผลนั้นเป็นทาส เมื่อได้รับบาดแผลแล้วราคาตกมากน้อยเพียงไร ก็ให้คิดราคาส่วนที่ตกนั้นเป็นค่าทำขวัญ เช่น เมื่อร่างกายของทาสนั้นยังดี ๆ อยู่ มีราคาเพียงสิบบาท เมื่อได้รับบาดแผลราคาเหลือเพียงเก้าบาท ก็ให้ถือว่าค่าทำขวัญที่ควรแก่ผู้นี้มีเพียงสิบบาทเท่านั้น ถ้าแหละอาชญากรคนใดยอมมอบตัวให้ทำตามกฎนั้นนั่นแหละคือการไถ่โทษตัวเองที่ได้กระทำขึ้นแล้ว พอถึงวันอาคิเราะห์เขาจะไม่ถูกลงโทษอีกเป็นครั้งที่สอง แหละถ้าว่ายะฮูดีคนใดมิได้ตัดสินความด้วยบทในพระคัมภีร์เตารอตอันว่าด้วยเรื่องของกิซอส(โทษทดแทนเสมอภาค) ก็ดี เรื่องให้จ่ายค่าทำขวัญเป็นอูฐร้อยตัวแก่ทายาทผู้รับมรดกของผู้ถูกฆ่าในกรณีที่มายาทให้อภัยก็ดี ที่อัลเลาะห์ประทานลงมายังพวกนั้น แต่พวกนั้นกลับตัดสินผิดแผกไปจากพระคัมภีร์เตารอตว่าไม่ต้องฆ่าฆาตกรที่อยู่ในตระกูลสูงซึ่งฆ่าคนในตระกูลต่ำ ไม่ต้องฆ่าฆาตกรที่เป็นชายซึ่งฆ่าผู้หญิง และว่าเมื่อคนในเผ่านะดีรถูกคนในเผ่าก็รีเฎาะห์ฆ่าแล้วก็ให้พวกก็รีเฎาะห์จ่ายค่าทำขวัญเป็นอูฐห้าสิบตัวให้แก่พวกนะดีร แต่ถ้าคนในเผ่าก็รีเฎาะห์ถูกพวกนะดีรฆ่าก็ให้พวกนะดีรจ่ายค่าทำขวัญเป็นอูฐเต็มหนึ่งร้อยตัวให้แก่พวกก็รีเฎาะห์ พวกยะฮูดีเหล่านั้นแหละคือพวกไร้ความเป็นธรรม


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 46 -48


คำอ่าน
46. วะก็อฟฟัยนาอะลา..อาษาริฮิม บิอีสับนิมัรฺยะมะ มุศ็อดดิก็อลลิมาบัยนะยะดัยฮิ มินัตเตารอติ วะอาตัยนาฮุลอิน..ญีละ ฟีฮิฮุเดา..วะนูรู..วะมุศ็อดดิก็อลลิมาบัยนะยะดัยฮิ มินัตเตารอติ วะฮุเดา..วะเมาอิเซาะตัลลิลมุตตะกีน
47. วัลยะหฺกุมอะฮฺลุลอินญีลิ บิมา..อัน..ซะลัลลอฮุฟีฮิ วะมัลลัมยะหฺกุม..บิมา..อัน..ซะลัลลอฮุ ฟะอุลา...อิกะฮุมุลฟาสิกูน
48. วะอัน..ซัลนา..อิลัยกัลกิตาบะบิลหักกิ มุศ็อดดิก็อลลิมาบัยนะยะดัยฮิ มินัลกิตาบิ วะมุฮัยมินันอะลัยฮิ ฟะหฺกุม..บัยนะฮุม..บิมา..อัน..ซะลัลลอฮุ วะลาตัตตะบิอฺ อะฮฺวา..อะฮุม อัม..มาญา..อะกะมินัลหักกฺ ลิกุลลิน..ญะอัลนา มิน..กุมชิร์อะเตา..วะมินฮาญา วะเลาชา..อัลลอฮุ ละญะอะละกุม อุม..มะเตา..วาหิดัเตา..วะลากิลลิยับลุวะกุม ฟีมา..อาตากุม ฟัสตะบิกุลค็อยรอต อิลัลลอฮฺมัร์ญิอุกุม ญะมีอัน..ฟะยุนับบิอุกุม..บิมากุน..ตุมฟีฮิ ตัคตะลิฟูน


คำแปล R1.
46. And in their footsteps, we sent 'Iesa (Jesus), son of Maryam (Mary) , confirming the Taurat (Torah) that had come before him, and we gave him the Injeel (Gospel), in which was guidance and light and confirmation of the Taurat (Torah) that had come before it, a guidance and an admonition for Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2).
47. Let the people of the Injeel (Gospel) judge by what Allah has revealed therein. And whosoever does not judge by what Allah has revealed (then) such (people) are the Fasiqun (the rebellious i.e. disobedient (of a lesser degree) to Allah.
48. And we have sent down to you (O Muhammad ) the Book (this Qur'an) in truth, confirming the Scripture that came before it and Mohayminan (trustworthy In highness and a witness) over it (old Scriptures) . So judge between them by what Allah has revealed, and follow not their vain desires, diverging away from the Truth that has come to you. To each among you, we have prescribed a law and a clear way. If Allah willed, He would have made you one nation, but that (He) may test you in what He has given you; So strive as in a race in good deeds. The return of you (all) is to Allah; Then He will inform you about that in which you used to differ.


คำแปล R2.
49. และเราได้ส่งอีซาบุตรมัรยัม(เป็นทูตประกาศศาสนา) ให้ต่อเนื่องกับร่องรอยของพวกเขา (ศาสดาต่าง ๆ ในกลุ่มบนีอิสรออีล)เพื่อรับรองสิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าของเขา สิ่งนั้นคือ(คัมภีร์)เตารอฮฺ และเราก็ให้(คัมภีร์)อินญีลแก่เขา ซึ่งในนั้นมีสิ่งชี้นำและรัศมี(ส่องทางรอด) และเพื่อคัมภีร์อินญีลนี้ รับรองคัมภีร์ที่อยู่ต่อหน้าเขา คือคัมภีร์เตารอฮฺและ(คัมภีร์อินญีล)เป็นสิ่งชี้นำ และเป็นคำเตือนแก่บรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย
50. และชาวคัมภีร์อินญีล จะต้องตัดสินไปตามบทบัญญัติที่อัลเลาะฮฺได้ทรงประทานลงมาในนั้น และผู้ใดไม่ตัดสินตามบทบัญญัติที่อัลเลาะฮฺได้ประทานให้ แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นพวกฝ่าฝืน
51. และเราได้ลงคัมภีร์(อัลกุรอาน)มาให้เจ้าด้วยสัจธรรม เพื่อรับรองคัมภีร์ที่อยู่ต่อหน้าเจ้า(คือเตารอฮฺและอินญีล เป็นต้น) และเพื่อเป็นประจักษ์พยานให้แก่สิ่งนั้น(คัมภีร์ดังกล่าว) ดังนั้นเจ้าจงตัดสินระหว่างพวกเขาตามบทบัญญัติที่อัลเลาะห์ได้ประทานลงมา และเจ้าอย่าตามอารมณ์ของพวกนั้น(จนเจ้าทอดทิ้งไป)จากสัจธรรมที่ได้มาสู่เจ้า(คืออัลกุรอาน) สำหรับทุก ๆ (ประชาชาติ) เราได้บันดาลจากพวกเจ้าซึ่งบทบัญญัติและแนวทางไว้(โดยพวกยะฮูดีมีคัมภีร์เตารอฮฺ พวกนัศรอนีมีคัมภีร์อินญีล และมุสลิมมีคัมภีร์อัลกุรอาน แล้วข้อความในคัมภีร์ก่อน ๆ ที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน ก็ใหยึดตามอัลกุรอานเป็นบรรทัดฐาน) และมาดแม้นอัลเลาะห์ทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์ก็จักดลบันดาลพวกเจ้าเป็นประชาชาติ(ที่มีลัทธิศาสนา)เดียวกัน แต่ทว่า เพื่อพระองค์ทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่ทรงประทานแก่พวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงแข่งขันกันในการ(ทำความ)ดี อัลเลาะฮฺเท่านั้นเป็นที่กลับคืนของพวกเจ้าทั้งสิ้น แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเจ้าทราบถึงกรณีที่พวกเจ้าเคยพิพาทกันมา


คำแปล R3.
46. แล้วหลังจากนบีเหล่านั้น เราได้ส่งอีซาบุตรของมัรยัมมาเป็นผู้ยืนยันสิ่งที่ยังมีอยู่ในเตารอตและเราได้ประทานอินญีลแก่เขาซึ่งในนั้นมีทางนำและแสงสว่าง และยังเป็นที่ยืนยันสิ่งที่มีอยู่ในเตารอตในเวลานั้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นทางนำและข้อตักเตือนสำหรับผู้เกรงกลัวพระเจ้า
47. และจงให้พวกที่ได้รับคัมภีร์อินญีลตัดสินตามที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาในนั้น ส่วนผู้ใดที่ไม่ตัดสินตามที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานมาเขาเหล่านั้นคือผู้ฝ่าฝืน
48. (โอ้ มุฮัมมัด)เราได้ประทานคัมภีร์ที่นำสัจธรรมมาให้แก่เจ้า เป็นที่ยืนยันสิ่งที่ยังมีอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงจากคัมภีร์ และเป็นที่คุ้มครองป้องกันมัน ดังนั้นเจ้าจงตัดสินระหว่างพวกเขาโดยกฎหมายที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมา และจงอย่าปฏิบัติตาม ความปรารถนาของพวกเขา โดยการหันออกไปจากสัจธรรมที่ได้มายังสูเจ้า เราได้กำหนดกฎและแนวทางแห่งชีวิตไว้สำหรับสูเจ้าทุกคนแล้ว ถึงแม้ว่าพระผู้อภิบาลของสูเจ้าสามารถที่จะทำให้สูเจ้าเป็นหมู่ชนเดียวถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์เช่นนั้น แต่ (พระองค์ทรงประสงค์อย่างอื่น)เพื่อที่จะทดสอบสูเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แก่สูเจ้า ดังนั้น จงพยายามแข่งขันในการทำความดี ในท้ายที่สุดแล้ว สูเจ้าทั้งหมดก็จะกลับไปหาพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงทำให้สูเจ้ารู้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่สูเจ้าขัดแย้งกัน


คำแปล R4.
46. และเราได้ให้อีซาบุตรของมัรยัมตามหลังพวกเขามา ในฐานะผู้ยืนยันสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือ อัต-เตารอต และเราได้ให้อัล-อินญีลแก่เขา ซึ่งในนั้นมีคำแนะนำและแสงสว่าง และเป็นที่ยืนยันสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ามัน คืออัต-เตารอต และเป็นคำแนะนำ และคำตักเตือนแก่ผู้ยำเกรงทั้งหลาย
47. และบรรดาผู้ที่ได้รับอัล-อินญีลก็จงตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลง มาในนั้น และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแล้ว ชนเหล่านี้คือผู้ที่ละเมิด
48. และเราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เจ้าด้วยความจริงในฐานะเป็นที่ยืนยัน คัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้ามันและเป็นที่ควบคุมคัมภีร์(เบื้องหน้า) นั้น ดังนั้นเจ้าจงตัดสินสินระหว่างพวกเขา ด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานลงมาเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขา โดยเขวออกจากความจริงที่ได้มายังเจ้า สำหรับแต่ละประชาชาติในหมู่พวกเจ้านั้น เราได้ให้มีบทบัญญัติและแนวทางไว้ และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้วแน่นอนก็ทรงให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติเดียวกันแล้ว แต่ทว่าเพื่อที่จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงแข่งขันกันในความดีทั้งหลายเถิด ยังอัลลอฮฺนั้นคือ การกลับไปของพวกเจ้าทั้งหมด แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเจ้าทราบในสิ่งที่พวกเจ้ากำลังขัดแย้งกันในสิ่งนั้น


คำแปล R5.
๔๙. และเรา(อัลเลาะห์)ได้ส่งอีซาบุตรมัรยำมาในแนวของพวกศาสดาก่อนโน้น ที่ใช้พระคัมภีร์เตารอตเป็นบทตัดสินเป็นการให้อีซายืนยันว่าพระคัมภีร์เตารอตอันมัอยู่ก่อนเขา(อีซา)นั้นจริงแท้ ทั้งเรา(อัลเลาะห์)ยังได้มอบให้เขา(อีซา)ได้รับพระคัมภีร์อินยีลซึ่งในพระคัมภีร์นั้นมีหนทางนำไปสู่ความจริง มิใช่แนะนำให้ลุ่มหลงอยู่ในความงมงายหายนะ และมีแสงสว่างอันกระจ่างแจ้งส่องทางให้ได้แลเห็นซึ่งข้อห้ามและข้อใช้ของอัลเลาะห์อยู่ด้วย และให้พระคัมภีร์อินยีลนี้เป็นที่รับรองว่าพระคัมภีร์เตารอตอันมีอยู่ก่อนเขา(อีซา)นั้นจริงแท้ทั้งเป็นหนทางนำและเป็นข้อตักเตือนสำหรับผู้ยำเกรงทั้งหลายในอันที่จะใช้พระคัมภีร์อินยีลเป็นบทตัดสิน
๕๐. แล้วเราก็บอกแก่ผู้ทรงคัมภีร์อินยีลว่าผู้ทรงคัมภีร์อินยีลจงทำการตัดสินโดยใช้บทว่าด้วยข้อใช้และข้อห้ามที่อัลเลาะห์ได้ประทานให้ไว้ในพระคัมภีร์อินยีลนั้นเถิด ถ้าแหละผู้ทรงคัมภีร์อินยีลคนใดมิได้ทำการตัดสินโดยใช้บทจากพระคัมภีร์ดังกล่าวที่อัลเลาะห์ได้ประทานให้ไว้แล้วไซร้ พวกเหล่านั้นแหละคือพวกที่มีบาปหนา
๕๑. และโอ้มูฮำมัดเรา(อัลเลาะห์)ได้ประทานพระคัมภีร์อัล-กุรอานมายังเจ้าพร้อมด้วยความสัตย์จริง โดยให้อัล-กุรอานนี้เป็นที่รับรองเนื้อความแห่งพระคัมภีร์ก่อน ๆ จากอัล-กุรอานว่าจริงแท้ และเป็นประจักษ์พยานแก่พระคัมภีร์ฉบับก่อน ๆ ที่กล่าวนั้นด้วย โอ้มูฮำมัดเจ้าจงทำการตัดสินระหว่างพวกผู้ทรงคัมภีร์เหล่านั้นโดยใช้บทบัญญัติใช้และห้ามซึ่งอัลเลาะห์ได้ประทานให้ไว้แก่เจ้าเถิด ในเมื่อพวกนั้นนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อเจ้า ให้เจ้าเป็นผู้พิพากษา ซึ่งเจ้าก็เคยได้ทำการตัดสินมาแล้วว่าให้ลงโทษด้วยการใช้ก้อนหินขว้างชายหญิงยะฮูดีเผ่าคอยบัรผู้ประกอบการประเวณีนอกอนุญาตแต่เจ้าอย่าได้เจริญตามอำเภอใจแห่งกิเลสของพวกนั้น ทิ้งขว้างซึ่งสัจจะที่มีมาถึงเจ้าหันเข้าสู่อารมณ์แห่งกิเลสของพวกเหล่านั้นที่ขอร้องเจ้าให้ตัดสินลงโทษชายหญิงที่กล่าวถึงนั้นเพียงแต่ให้เฆี่ยนหนึ่งร้อยครั้งบ้าง เนรเทศมีกำหนดหนึ่งปีบ้าง ครั้นแล้วเจ้าก็มิได้ตัดสินความที่พวกนั้นขอร้องเลย โอ้ปวงประชากรของมูซา ของอีซาและของมูฮำมัดสำหรับประชากรของมูซา ของอีซาและของมูฮำมัดแต่ละฝ่ายจากหมู่มวลของพวกเจ้านั้น เรา(อัลเลาะห์)ก็ได้ให้บังเกิดมีหลักศาสนาและความสว่างไสวแห่งหนทางที่จะดำเนินสู่ศาสนาไว้แล้ว คือว่า สำหรับประชากรของพระนบีมูซา มีพระคัมภีร์เตารอตเป็นหลักศาสนาจนกระทั่งถึงสมัยของอีซา สำหรับประชากรของพระนบีอีซามีพระคัมภีร์อินยีลเป็นหลักศาสนาจนกระทั่งถึงสมัยของมูฮำมัด ส่วนประชากรของพระนบีมูฮำมัดและประชากรของพระนบีมูซาและอีซาซึ่งยังคงมีเหลืออยู่ในสมัยของมูฮำมัดก็มีพระคัมภีร์อัล-กุรอานเป็นหลักศาสนา ฉะนั้นพวกเจ้าทั้งสามฝ่ายจะต้องเชื่ออัล-กุรอาน ตลอดจนข้อบัญญัติใช้และห้ามที่ถูกระบุไว้ในนั้นเถิดและถ้าอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์ จะให้พวกเจ้าทั้งสามเป็นประชากรเดียวกันและนับถือศาสนาเดียวกันโดยไม่มีการยกเลิกจากการนับถือศาสนาหนึ่งในยุคของศาสดาแห่งอดีต เปลี่ยนไปนับถือศาสนาในยุคของศาสดาแห่งปัจจุบันหรือโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนาในอดีตแล้วไซร้ พระองค์ย่อมจะทรงกระทำให้พวกเจ้าทั้งสามฝ่ายเป็นประชากรเดียวกันและนับถือศาสนาเดียวกันตามที่กล่าวแล้วได้เป็นแน่แท้ แต่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์จะให้พวกเจ้าทั้งสามฝ่ายแตกแขนงกันไปเป็นหลายจำพวก กล่าวคือประชากรของพระนบีมูซาแยกกระจายออกเป็นเจ็ดสิบเอ็ดจำพวกและมีพวกเดียวเท่านั้นที่ประพฤติตามห้ามตามใช้ในพระคัมภีร์เตารอต ประชากรของพระนบีอีซาก็กระจายออกเป็นเจ็ดสิบสองจำพวกซึ่งมีอยู่พวกเดียวเท่านั้นที่ประพฤติตามห้ามและตามใช้ในพระคัมภีร์อินยีล ส่วนประชากรของพระนบีมูฮำมัดโดยรวมประชากรของพระนบีมูซาและอีซาที่ยังมีเหลืออยู่ในยุคมูฮำมัดเข้าด้วยกัน ก็แบ่งแยกกันเป็นเจ็ดสิบสามจำพวก และมีอยู่พวกเดียวเหมือนกันที่ประพฤติตามห้ามและตามใช้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ความมุ่งประสงค์ของพระองค์ในการให้แตกแยกดังที่กล่าวมานี้มิใช่อื่นใดเลยแต่เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงแสดงออกซึ่งความรู้แล้วของพระองค์ซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนพระองค์ให้ปรากฏแก่พวกเจ้าทั้งสามฝ่ายในเรื่องเกี่ยวกับข้อบัญญัติใช้และห้ามที่พระองค์ทรงมอบไว้แก่พวกเจ้า ว่าในหมู่ของพวกเจ้านั้นจะมีพวกใดถือปฏิบัติตามใช้และตามห้าม และมีพวกใดไม่ถือปฏิบัติตามนั้นดังนั้นพวกเจ้าทั้งสามฝ่ายจงเร่งไปสู่การประกอบความดีเป็นการฉวยโอกาสไว้ก่อน และให้ได้มาซึ่งความดีเลิศล้นแห่งความมีชัยและความก้าวหน้าเถิด เฉพาะแต่การสอบสวนของอัลเลาะห์เท่านั้นที่พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องกลับไปสู่ด้วยพวกเจ้าเกิดใหม่จากสุสานแล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเจ้าทราบถึงเรื่องของศาสนาที่พวกเจ้าเคยได้ขัดแย้งกันมาแล้วเมื่อครั้งยังอยู่ในภพนี้และในภพหน้าพระองค์จะตอบสนองแก่พวกเจ้าแต่ละฝ่ายตามกรรมที่ได้ปฏิบัติกันมา



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 49 - 50


คำอ่าน
49. วะอะนิหฺกุม..บัยนะฮุม..บิมาอัน..ซะลัลลอฮุ วะลาตัตตะบิอฺ อะฮฺวา..อะฮุม วะหฺซัรฺฮุม อัย..ยัฟตินูกะ อัม..บะอฺฎิ มา..อัน..ซะลัลลอฮุอิลัยกะ ฟะอิน..ตะวัลเลา ฟะอฺลัมอัน..นะมา ยุรีดุลลอฮุ อัย..ยุศีบะฮุม..บิบะอฺฎิ ซุนูบิฮิม วะอิน..กะษีร็อม..มินัน..นาสิ ละฟาสิกูน
50. อะฟะหุกมัลญาฮิลียะติยับฆูน วะมันอะหฺสะนุมินัลลอฮิ หุกมัลลิก็อวมี..ยูกินูน


คำแปล R1.
49. And so judge (you O Muhammad ) between them by what Allah has revealed and follow not their vain desires, but beware of them lest they turn you (O Muhammad ) far away from some of that which Allah has sent down to you. And if they turn away, then know that Allah's will is to punish them for some sins of theirs. And truly, most of men are Fasiqun (rebellious and disobedient to Allah).
50. Do they then seek the judgment of (the days of) ignorance? And who is better in judgment than Allah for a people who have firm faith.


คำแปล R2.
52. และเจ้าจงตัดสินระหว่างพวกเขาตามบทบัญญัติที่อัลเลาะฮฺได้ทรงประทานมาให้ และเจ้าจงอย่าประพฤติตามอารมณ์ใคร่ของพวกนั้น และจงระวังพวกเขาจะทำให้พวกเจ้าพลั้งพลาดจากบางบทแห่งคัมภีร์ที่อัลเลาะฮฺได้ประทานแก่เจ้า(คืออัลกุรอาน) ดังนั้นเมื่อพวกเขาหัน(ออกไปจากข้อบัญญัติจากอัลกุรอาน) เจ้าก็จงทราบเถิดว่า ความจริงแล้วอัลเลาะฮฺทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขาประสบภัยพิบัติ เพราะบาปบางอย่างของพวกเขาเอง (ที่ได้กระทำผ่านมา) และแท้จริงมนุษย์ส่วนมากนั้นเป็นพวกฝ่าฝืน(บทบัญญัติ ชอบทำแต่การบาป)
53. พวกเขาจะแสวงหาคำตัดสินของพวกโง่เขลากระนั้นหรือ? และใครกันเล่าที่จะมีคำตัดสินอันงดงามยิ่งไปกว่าอัลเลาะฮฺสำหรับมวลชนผู้เชื่อมั่น


คำแปล R3.
49. ดังนั้น โอ้มุฮัมมัด จงตัดสินระหว่างพวกเขาตามที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาและจงอย่าปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขา แล้วจงระวังพวกเขาให้ดี มิฉะนั้น พวกเขาจะล่อลวงเจ้า อย่างน้อยที่สุดก็ให้ออกจากทางนำที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานแก่เจ้า และถ้าหากพวกเขาหันไปจากมัน ดังนั้นจงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะลงโทษพวกเขาตามความผิดบางอย่างที่พวกเขาได้กระทำ และความจริงแล้ว ส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้นเป็นผู้ฝ่าฝืน
50.(ถ้าหากพวกเขาหันออกไปจากกฎของอัลลอฮฺแล้ว)พวกเขาปรารถนาที่จะถูกตัดสินโดยกฎหมายแห่งความโง่เขลากระนั้นหรือ? และใครเล่าที่ดีเลิศกว่าอัลลอฮฺในการตัดสินสำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์


คำแปล R4.
49. และเจ้า จงตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขา และจงระวังพวกเขา ในการที่พวกเขาจะจูงใจเจ้าให้เขวออกจากบางสิ่ง ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแก่เจ้า แล้วถ้าหากพวกเจ้าผินหลังให้ ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเพียงประสงค์จะให้ประสบแก่พวกเขาซึ่งบางส่วนแห่งโทษของ พวกเขาเท่านั้น และแท้จริง จำนวนมากมายในหมู่มนุษย์นั้นเป็นผู้ละเมิด
50. ข้อตัดสินสมัยญาฮิลีญะฮฺ กระนั้นหรือ ที่พวกเขาปรารถนา และใครเล่าที่จะมีข้อตัดสินดียิ่งกว่าอัลลอฮฺสำหรับกลุ่มชนที่เชื่อมั่น


คำแปล R5.
๕๒. และโอ้มูฮำมัด เจ้าจงตัดสินความระหว่างพวกเหล่านั้นทั้งฝ่ายยะฮูดีและฝ่ายนัซรอนีโดยใช้บทแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานที่อัลเลาะห์ได้ประทานให้ไว้แก่เจ้า ในเมื่อพวกเหล่านั้นได้ตั้งให้เจ้าเป็นผู้ตัดสิน ฉะนนั้นเจ้าจงตัดสินลงโทษฆาตกรตระกูลสูงที่ฆ่าคนในตระกูลต่ำ ลงโทษฆาตกรชายที่ฆ่าผู้หญิงและลงโทษพวกนะดีรโดยให้จ่ายค่าทำขวัญเป็นอูฐเต็มหนึ่งร้อยตัวให้แก่ทายาทผู้มีส่วนในกองมรดกของพวกก็รีเฎาะห์ที่ถูกพวกนะดีรฆ่า ทั้งจงอย่าเจริญรอยตามอำเภอใจแห่งกิเลสของพวกเหล่านั้นที่พอใจให้เจ้าตัดสินยกโทษให้แก่ฆาตกรที่อยู่ในตระกูลสูงที่ฆ่าคนในตระกูลต่ำ ยกโทษให้แก่ฆาตรกรชายที่ฆ่าผู้หญิง และให้พวกนะดีรจ่ายค่าทำขวัญเป็นอูฐห้าสิบตัวแก่ทายาทในกองมรดกของพวกก็รีเฏาะห์ที่ถูกพวกนะดีรฆ่า และจงระวังพวกเหล่านั้นที่คอยจะทำมห้พวกเจ้าพลั้งเผลอไปบ้างจากส่วนแห่งพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอานที่อัลเลาะห์ได้ประทานลงมายังเจ้า แล้วถ้าพวกเหล่านั้นให้หลังไม่ใส่ใจในคำตัดสินที่ถูกระบุไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานแต่กลับหันความสนใจไปเรื่องอื่น ๆ แล้วไซร้โอ้มูฮำมัดพึงทราบไว้เถิดว่า อัลเลาะห์นั้นทรงมีความประสงค์ให้พวกเหล่านั้นต้องประสบการลงโทษทรมานในภพนี้ด้วยบางส่วนแห่งบาปต่าง ๆ ของพวกนั้น ซึ่งได้กระทำกันไว้ เช่น ถูกฆ่า ถูกจับตัวไปเป็นเชลยและถูกให้บ้านเมืองร้าง ซึ่งเหล่านี้เป็นบาปเพราะพวกเหล่านั้นไม่เจริญรอยตามมูฮำมัด ส่วนบาปทั้งสิ้นพระองค์จะทรงตอบสนองผลกรรมของมันอีกจนหมดในวันปรภพแต่มนุษย์พวกที่กล่าวเหล่านั้นส่วนมากกลับเป็นผู้บาปหนา
๕๓.ไม่เป็นการสมควรเลยที่พวกเหล่านั้นจะฝ่าฝืนคำตัดสินของเจ้าที่ว่าให้จ่ายค่าทำขวัญเป็นอูฐหนึ่งร้อยตัวเหมือน ๆ กันให้แก่ทายาทของพวกก็รีเฎาะห์และของพวกนะดีรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และไม่เป็นการอันสมควรเลยที่พวกเหล่านั้นจะเรียกหาการตัดสินของพวกอนารยชน(ป่าเถื่อน) ที่ว่าให้พวกนะดีรจ่ายค่าทำขวัญเป็นอูฐห้าสิบตัวแก่ทายาทของพวกก็รีเฎาะห์ที่ถูกพวกนะดีรฆ่า และให้พวกก็รีเฎาะห์จ่ายค่าทำขวัญเป็นอูฐหนึ่งร้อยตัวแก่ทายาทของพวกนะดีรที่ถูกพวกก็รีเฎาะห์ฆ่า ย่อมไม่มีผู้ใดหรอกที่จะดีงามยิ่งกว่าอัลเลาะห์ในเชิงการตัดสินสำหรับปวงชนผู้มีจิตใจอันแน่วแน่ต่อการตัดสินของพระองค์




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 51 - 53

     
คำอ่าน
51. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตัตตะคิซุลยะฮูดะ วัน..นะศอรอ..เอาลิยา...อะบะอฺฎุฮุม เอาลิยา...อุบะอฺฎฺ วะมัย..ยะตะวัลละฮุม..มิน..กุม ฟะอิน..นะฮูมินฮุม อิน..นัลลอฮะลายะฮฺดิลก็อวมัซซอลิมีน
52. ฟะตะร็อลละซีนะ ฟีกุลูบิฮิม..มะเราะฎุย..ยุสาริอูนะฟีฮิม ยะกูลูนะนัคชา..อัน..ตุศีบะนา ดา...อิเราะฮฺ ฟะอะสัลลอฮุ อัย..ยะอ์ติยะ บิลฟัตหิ เอาอัมริม..มินอิน..ดิฮี ฟะยุศบิหูอะลามา..อะสัรฺรู ฟี..อัน..ฟุสิฮิม นาดิมีน
53. วะยะกูลุลละซีนะอามะนู อะฮา..อุลอิลละซีนะ อักสะมูบิลลาฮิ ญะฮฺดะอัยมานิฮิม อิน..นะฮุม ละมะอะกุม หะบิฏ็อต อะอฺมาลุฮุม ฟะอัศบะหู คอสิรีน


คำแปล R1.
51. O you who believe! Take not the Jews and the Christians as Auliya' (friends, protectors, helpers, etc.), they are but Auliya' to one another. and if any amongst you takes them as Auliya', then surely he is one of them. Verily, Allah guides not those people who are the Zalimun (polytheists and wrong-doers and unjust).
52. And you see those in whose hearts there is a disease (of hypocrisy), they hurry to their friendship, saying: "We fear lest some misfortune of a disaster may befall us." Perhaps Allah may bring a victory or a decision according to his will. Then they will become regretful for what they have been keeping as a secret in themselves.
53. And those who believe will say: "Are these the men (hypocrites) who swore their strongest oaths by Allah that they were with you (Muslims)?" All that they did has been in vain (because of their hypocrisy), and they have become the losers.


คำแปล R2.
54. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าจงอย่าเอาพวกยะฮูดีและนัศรอนีมาเป็นมิตรสนิท เพราะพวกเหล่านั้นย่อมเป็นมิตรสนิทซึ่งกันและกัน (แม้จะแตกต่างหลักความเชื่ออยู่บ้าง แต่ก็เป็นแนวร่วมเดียวกันในอันที่จะขัดขวางอิสลาม) และผู้ใดจากพวกเจ้าเป็นมิตรกับพวกนั้น แน่นอนตัวเขาก็คือหนึ่งในพวกนั้นนั่นเอง แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่ฉ้อฉล
55. แล้วเจ้า(มุฮำมัด)ก็จะเห็นบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีความป่วยไข้(ทางความคิดและจิตใจ ได้แก่ พวกสับปลับ และตัวการในเรื่องนี้ ชื่อ “อับดุลเลาะฮฺ บินอุบัย”) พวกเขารีบเข้าไป (ขออารักขา)ในกลุ่มพวกนั้น (ยะฮูดีและนัศรอนี) พร้อมกับพูดว่า “เราหวั่นวิตกว่าเหตุร้ายจะเวียนมาประสบแก่เรา(เพราะฝ่ายมุสลิมเข้มแข็งขึ้นทุกที)” ดังนั้น คาดว่าอัลเลาะฮฺจักทรงนำมาซึ่งชัยชนะ(แก่ฝ่ายนบีมุฮำมัด) หรือ (มิฉะนั้นก็ทรงนำมาซึ่ง) การงานจากเบื้องพระองค์(เพื่อลงโทษแก่พวกสับปลับดังกล่าว) อันเป็นเหตุให้พวกเขาต้องเศร้าตรม เพราะเรื่องที่พวกเขาได้แฝงเร้นไว้ในจิใจของพวกเขา
56. และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายกล่าวว่า “บรรดากลุ่มชนเหล่านี้นะหรือที่ได้ทำการสาบานตนต่ออัลเลาะฮฺอย่างจริง ๆ ว่าพวกเขาจะอยู่ร่วมกับพวกเจ้า?” ความประพฤติ(ดี)ทั้งมวลของพวกเขาได้มลายสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องขาดทุนเป็นที่สุด


คำแปล R3.
51. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา จงอย่าเอาพวกยิวและพวกคริสเตียนมาเป็นเพื่อนของสูเจ้า พวกเขาต่างเป็นเพื่อนซึ่งกันและกัน ถ้าหากใครคนหนึ่งคนใดในหมู่สูเจ้าเอาเขามาเป็นเพื่อน แน่นอนเขาก็จะถูกนับว่าอยู่ในหมู่พวกนั้น แท้จริงอัลลอฮิไม่ทรงนำทางหมู่ชนที่อธรรม
52. แล้วพวกสูเจ้าจะเห็นบรรดาผู้ที่มีโรคแห่งการสับปลับในหัวใจของพวกเขาเคลื่อนไหวกันในหมู่พวกเขาอยู่เสมอพวกเขากล่าวว่า “เรากลัวว่าเราจะประสบกับความหายนะบางอย่าง” แต่มันอาจเป็นไปได้เมื่ออัลลอฮฺจะทรงประทานชัยชนะให้แก่สูเจ้าหรือแสดงสิ่งอื่นจากพระองค์เอง คนพวกนี้จะรู้สึกอายในความตลบตะแลงที่พวกเขาซ่อนไว้ในหัวใจของพวกเขา
53. ในตอนนั้นบรรดาผู้ศรัทธาจะกล่าวว่า “คนเหล่านี้หรือที่สบถสาบานต่ออัลลอฮฺอย่างหนักแน่นว่าพวกเขาจะอยู่กับท่าน?” การงานของพวกเขาไร้ผลและพวกเขาจะกลายเป็นผู้ขาดทุน


คำแปล R4.
51. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเอาพวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
52. แล้วเจ้าจะได้เห็นบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีโรค ต่างรีบเร่งกันไปอยู่ในหมู่พวกเขา โดยกล่าวว่า พวกเรากลัวภัยพิบัติ จะเวียนมาประสบแก่พวกเรา อาจเป็นไปได้ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทรงนำมาซึ่งชัยชนะหรือไม่ก็นำพระบัญชา อย่างหนึ่งอย่างใดมาจากที่พระองค์ แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้เสียใจต่อสิ่งที่พวกเขาปกปิดไว้ในใจของพวกเขา
53. และบรรดาผู้ที่ศรัทธากล่าวว่า ชนเหล่านี้หรือคือผู้ที่สาบานต่ออัลลอฮฺอย่างเข้มแข็งว่า แท้จริงพวกเขานั้นจะรวมอยู่กับพวกเจ้า การงานของพวกเขานั้นไร้ผล แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้ขาดทุน


คำแปล R5.
๕๔. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าอย่าคบยะฮูดีและนัซรอนีไว้เป็นมิตร เพราะพวกเหล่านั้นต่างฝ่ายต่างเป็นมิตรของกันและกัน มีความรักใคร่ชอบพอกันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางไม่ศรัทธา หากผู้ใดในหมู่ของพวกเจ้าคบหาพวกเหล่านั้นไว้เป็นมิตร ผู้นั้นย่อมเป็นส่วนหนึ่งจากพวกเหล่านั้นด้วยแน่นอน แท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ทรงแนะนำทางเที่ยงทำแก่ปวงชนผู้คดโกง ให้ไปสู่ความศรัทธาเลย เนื่องจากพวกทั้งหลายเหล่านั้นเป็นมิตรและรักใคร่ชอบพอกับพวกที่ไร้ศรัทธา(กาฟิร)
๕๕. โอ้มูฮำมัดเจ้าจะได้เห็นบรรดาชนมุนาฟิกผู้มีหัวใจบกพร่องในความคิด อาทิ มุนาฟิกผู้หนึ่งมีชื่อว่า อับดุลเลาะห์บุตรอุไบ ซึ่งพวกเขาต่างรีบไปเข้าเป็นมิตรกับพวกยะฮูดีและนัซรอนีเหล่านั้นทันที โดยอ้างเพื่อโยนความผิดให้พ้นตัว ฐานที่คบหาพวกยะฮูดีและนัซรอนีเป็นมิตรว่า “พวกเรากลัวว่าจะเกิดความอัปโชคในด้านขาดแคลนน้ำฝนบ้าง ฝ่ายศัตรูจะมีชัยบ้าง มาประสบแก่พวกเรา” ทั้งที่กิจการของพระนบีมูฮำมัดยังไม่เสร็จเรียบร้อยเลย เกรงว่าพวกยะฮูดีและนัซรอนีจะไม่ยอมให้อาหารแก่พวกเราในเมื่อพวกเราได้ประสบภัยที่ว่านั้น อัลเลาะห์ได้ตรัสว่า ”หวังใจว่าอัลเลาะห์จะทรงนำมาซึ่งความมีชัยโดยทรงให้ความช่วยเหลือพระนบีมูฮำมัดเพื่อให้ศาสนาของพระองค์รุ่งโรจน์ขึ้นหรือจะทรงทำอะไร ๆ ซึ่งมีเตรียมอยู่ที่พระองค์มาให้ทำลายความลับของพวกมุนาฟิกและเปิดเผยเรื่องที่น่าตำหนิของพวกเหล่านั้นให้ปรากฏแล้วพวกมุนาฟิกเหล่านั้นจะกลับเป็นผู้สลดใจในเรื่องความสงสัย เรื่องความเป็นมิตรและรักใคร่กับพวกยะฮูดีและนัซรอนีซึ่งพวกเขาได้ปิดซ่อนไว้
๕๖. ฝ่ายบรรดาผู้ศรัทธาก็กล่าวแก่ผู้ศรัทธาด้วยกันบางคนพลางชี้มือไปยังพวกมุนาฟิกอย่างประหลาดใจในท่าทีของมุนาฟิกเพราะว่า มุนาฟิกเหล่านี้ปรารถนาจะปกปิดความลับของพวกตนแต่กลับถูกเปิดเผยขึ้น “ประหลาดแท้ที่พวกมุนาฟิกเหล่านั้นได้จงใจสบถสาบานโดยการกล่าวพระนามของอัลเลาะห์ว่าแน่แท้พวกเขาจะเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเจ้าในเรื่องการนับถือศาสนา” อัลเลาะห์ตรัสว่าการปฏิบัติการดีทั้งหลายของพวกเหล่านั้นที่ได้อุตส่าห์พยายามกระทำกันมาสูญสลายหมด แล้วก็กลับกลายเป็นพวกที่ขาดทุนไปเลยทั้งในภพนี้ เหตุที่ความตำหนิของพวกเขาถูกเปิดเผย และในภพหน้าเหตุที่ต้องถูกลงโทษ




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 54 - 56



คำอ่าน
54. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู มัย..ยัรฺตัดดะมิน..กุม อัน..ดีนิฮี ฟะเสาฟะ ยะอ์ติลลาฮุ บิก็อวมี..ยุหิบบุฮุม วะยุหิบบูนะฮู อะซิลละติน อะลัลมุอ์มินีนะ อะอิซซะติน อะลัลกาฟิรีนะ ยุญาฮิดูนะ ฟีสะบีลิลลาฮิ วะลายะคอฟูนะ เลามะตะลา...อิม ซาลิกะฟัฎลุลลอฮิ ยุอ์ตีฮิ มัย..ยะชา..อ์ วัลลอฮุวาสิอุนอะลีม
55. อิน..นะมาวะลียุกุมุลลอฮุ วะเราะสูลุฮู วัลละซีนะอามะนุลละซีนะ ยุกีมูนัศเศาะลาตะ วะยุอ์ตูนัซซะกาตะ วะฮุมรอกิอูน
56. วะมัย..ยะตะวัลลัลลอฮะ วะเราะสูละฮู วัลละซีนะอามะนู ฟะอิน..นะหิซบัลลอฮิ ฮุมุลฆอลิบูน


คำแปล R1.
54. O you who believe! whoever from among you turns back from his Religion (Islam), Allah will bring a people whom he will love and they will love him; humble towards the believers, stern towards the disbelievers, fighting in the Way of Allah, and never afraid of the blame of the blamers. That is the Grace of Allah which He bestows on whom He wills. And Allah is All-Sufficient for his creatures' needs, All-Knower.
55. Verily, your Wali (protector or helper) is Allah, his Messenger, and the believers, - those who perform As-Salat (Iqamat-as-Salat), and give Zakat, and they bow down (submit themselves with obedience to Allah in prayer).
56. And whosoever takes Allah, his Messenger, and those who have believed, as protectors,t the party of Allah will be the victorious.


คำแปล R2.
57. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา! ผู้ใดจากพวกเจ้าที่ได้ถอนตัวจากศาสนาของเขา แน่นอนอัลเลาะฮฺจะทรงนำมาซึ่งกลุ่มชนหนึ่งซึ่งพระองค์ทรงรักพวกนั้นและพวกนั้นก็รักพระองค์ เป็นกลุ่มชนที่นอบน้อมต่อศรัทธาชนแต่แข็งกล้าต่อพวกเนรคุณ พวกเขาออกสู้ศึกในทางอัลเลาะฮฺ และพวกเขาไม่หวาดกลัวคำตำหนิของผู้ตำหนิคนใด นั้นเป็นความโปรดปรานของอัลเลาะฮฺที่พระองค์ทรงประทานมันแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงไพศาลอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
58. อันความเป็นจริง มิตรแท้ของเจ้าทั้งหลายคืออัลเลาะฮฺ ศาสนทูตของพระองค์ และบรรดาผู้มีศรัทธา ซึ่งพวกเขาดำรงการละหมาด, บริจาคทานซะกาฮฺ และพวกเขาก้ม(รับบทบัญญัติแห่งอัลเลาะฮ์โดยดุษฎี)
59. และผู้ใดเป็นมิตรกับอัลเลาะฮฺ กับศาสนทูตของพระองค์ และกับบรรดาผู้มีศรัทธา แน่นอนพันธมิตรแห่งอัลเลาะฮฺย่อมเป็นผู้พิชิตเสมอ


คำแปล R3.
54. โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา ผู้ใดในหมู่สูเจ้าที่หันเหออกไปจากศาสนาของเขา(ก็ปล่อยเขา)อัลลอฮฺจะทรงยกหมู่ชนที่พระองค์ทรงรักพวกเขาและพวกเขารักพระองค์ขึ้นมา ผู้ที่อ่อนน้อมต่อผู้ศรัทธาและองอาจเข้มแข็งต่อบรรดาผู้ปฏิเสธ ผู้ที่ต่อสู้ดิ้นรนในหนทางของอัลลอฮฺและไม่หวั่นต่อการให้ร้ายของใครก็ตามที่ให้ร้ายพวกเขา นั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺ พระองค์ทรงประทานมันให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เพราะความมั่งคั่งของพระองค์นั้นไร้ขอบเขตและพระองค์ทรงรอบรู้
55. แท้จริง มิตรของสูเจ้าคืออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์และบรรดาผู้ศรัทธาที่ดำรงนมาซและจ่ายซะกาตและโค้งต่ออัลลอฮฺ
56. และผู้ใดที่เอาอัลลอฮิและรอซูลของพระองค์และบรรดาผู้ศรัทธาเป็นมิตรของเขา ขอให้เขารู้เถิดว่าพรรคของอัลลอฮฺนั้นจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน

 
คำแปล R4.
54. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกจากศาสนาของพวกเขาไปอัลลอฮฺ ก็จะทรงนำมาซึ่งพวกหนึ่ง ที่พระองค์ทรงรักพวกเขาและพวกเขาก็รักพระองค์ เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อบรรดามุมิน ไว้เกียรติแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาพวกเขาจะเสียสละและต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ และไม่กลัวการตำหนิของผู้ตำหนิคนใดนั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺซึ่ง พระองค์จะทรงประทานมันแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงกว้างขวาง ผู้ทรงรอบรู้
55. แท้จริงผู้ที่เป็นมิตรของพวกเจ้านั้น คืออัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาที่ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาตและขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นผู้นอบน้อม
56. และผู้ใดให้อัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และบรรดาผู้ที่ศรัทธาเป็นมิตรแล้วไซร้ แท้จริงพรรคของอัลลอฮฺนั้น คือพวกที่ชนะ


คำแปล R5.
๕๗. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา ในหมู่ของพวกเจ้านั้น คนใดได้ละเสียจากศาสนาอิสลามอันเป็นศาสนาของตนที่นับถืออยู่หันไปเข้ารับนับถือศาสนาแห่งกุฟร์ นี้เป็นคำพยากรณ์ของอัลเลาะห์ว่า จะต้องมีการตกศาสนาอยู่ในหมู่ของผู้ศรัทธาทั้งหลาย แล้วความจริงก็ปรากฏเป็นเช่นนั้น กล่าวคือมีชนคณะหนึ่งได้ตกศาสนาหลังจากพระนบีมูฮำมัดได้ถึงแก่กรรมลงแล้ว อีกไม่ช้าหรอก อัลเลาะห์จะทรงนำชนคณะหนึ่งที่พระองค์โปรดปรานีในพวกนั้นและพวกนั้นก็รักพระองค์ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงใช้และทรงห้ามมาแทนพวกเหล่านั้นซึ่งพวกที่ถูกพระองค์ทรงนำมาแทนนี้ต่างก็มีความอ่อนโยนต่อผู้ศรัทธาทั้งหลาย แต่มีความเกรี้ยวกราดต่อพวกที่ไม่ศรัทธาทั้งหลาย(กาฟิร)พวกเหล่านั้นจะสู้รบอยู่ในวิถีทางแห่งศาสนาของอัลเลาะห์และไม่หวั่นเกรงต่อการตำหนิของคนใดต่างกับพวกมุนาฟิกที่กลัวจพถูกพวกกาฟิรตำหนิ คุณสมบัติหกอย่าง คือ พระองค์โปรดปรานีพวกเขาหนึ่ง พวกเขารักพระองค์หนึ่ง พวกเขามีความอ่อนโยนต่อพวกผู้ศรัทธาหนึ่ง มีความเกรี้ยวกราดต่อพวกไม่ศรัทธาหนึ่ง พวกเหล่านั้นจะสู้รบในหนทางแห่งอัลเลาะห์หนึ่ง และไม่หวั่นเกรงต่อการตำหนิของผู้ใดหนึ่ง นี่แหละคือความอำนวยขั้นพิเศษสุดของอัลเลาะห์ที่ทรงมอบให้แก่บุคคลที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์ ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นคือผู้ไพศาลยิ่งในการอำนวยความพิเศษสุดให้ ทรงรู้ยิ่งว่าคนใดควรและไม่ควรได้รับความอำนวยให้ดังกล่าวนั้น
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ เนื่องจากครั้งหนึ่งอับดุลเลาะห์บุตรสลาม ได้ไปยังพระนบีมูฮำมัดและเรียนว่า โอ้พระศาสนทูตของอัลเลาะห์ คณะชนของเราทั้งฝ่ายก็รีเฎาะห์และฝ่ายนะดีร ปลีกตัวออกห่างจากเราเสียแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังได้สาบานไว้ว่าจะไม่เข้าร่วมวงกับพวกเราอีกด้วย
๕๘. แท้จริงมิตรและผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเจ้านั้นได้แก่อัลเลาะห์ มูฮำมัดผู้เป็นพระศาสนทูตของพระองค์และบรรดาชนผู้ศรัทธาที่ดำรงการละหมาดเป็นประจำวันละ ๕ เวลาและที่จ่ายทรัพย์เป็นซะกาตโดยต่างมีความนอบน้อมและมีใจแน่วแน่อยู่กับอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
๕๙. แล้วถ้าผู้ใดคบหาอัลเลาะห์ มูฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์และบรรดาผู้ศรัทธาไว้เป็นมิตรและเป็นที่รักแล้วไซร้ แน่นอนอัลเลาะห์จะทรงช่วยเหลือเขา เพราะแท้จริงผู้เจริญตามอัลเลาะห์พวกเขาจะได้เป็นผู้มีชัยเสมอด้วยหลักฐาน มิใช่ด้วยการเข้ายึดครองอาณาจักรหรือปฏิวัติ ทั้งนี้เนื่องจากว่า ผู้เจริญตามอัลเลาะห์นั้น บางทีอาจจะได้รับความปราชัยก็ได้




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 57 - 59


คำอ่าน
57. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตัตตะคิซุลละซีนัตตะเคาะซู ดีนะกุม ฮุซุเวา..วะละอิบัม..มินัลละซีนะ อูตุลกิตาบะ มิน..ก็อบลิกุม วัลกุฟฟาเราะ เอาลิยา..อ์ วัตตะกุลลอฮะ อิน..กุนตุม..มุอ์มินีน
58. วะอิซา นาดัยตุม อิลัศเศาะลาติตตะเคาะซูฮา ฮุซุเวา..วะละอิบา ซาลิกะบิอัน..นะฮุม ก็อวมุลลายะอฺกิลูน
59. กุลยา..อะฮฺลัลกิตาบิ ฮัลตัน..กิมูนะมิน..นา..อิลลา..อันอามัน..นาบิลลาฮิ วะมา..อุน..ซิละอิลัยนา วะมา..อุนซซิละมิน..ก็อบลุ วะอัน..นะอักษะเราะกุม ฟาสิกูน


คำแปล R1.
57. O you who believe! take not for Auliya' (protectors and helpers) those who take your Religion for a mockery and fun from among those who received the Scripture (Jews and Christians) before you, nor from among the disbelievers; and fear Allah if you indeed are true believers.
58. And when you proclaim the call for As-Salat [call for the prayer (Adhan)], they take it (but) as a mockery and fun; that is because they are a people who understand not.
59. Say: "O people of the Scripture (Jews and Christians)! do you criticize us for no other reason than that we believe in Allah, and in (the Revelation) which has been sent down to us and in that which has been sent down before (us), and that most of you are Fasiqun [rebellious and disobedient (to Allah)]?"


คำแปล R2.
60. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา! เจ้าทั้งหลายอย่าเอาพวกที่ถือเอาศาสนาของพวกเจ้าเป็นสิ่งเย้ยหยันและเครื่องเล่น(ซึ่งพวกนั้นมา)จากกลุ่ม(ยะฮูดี นัศรอนี) ที่ถุกประทานคัมภีร์มาก่อนหน้าพวกเจ้า และ(อย่าเอา)กลุ่มผู้เนรคุณ(ชาวมุซริกีน) ทั้งหลายเป็นมิตร และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาโดยแท้จริง
61. และเมื่อพวกเจ้าเรียกร้อง(อะซาน)ให้มาทำละหมาด พวกเขาก็เอามัน(การอะซานละหมาดนั้น)มาเย้ยหยันและมาเป็นเครื่องเล่น(เห็นเป็นสนุกสนาน) นั้นเป็นเพราะพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ไม่ใช้ปัญญาเลย
62. เจ้าจงประกาศเถิด โอ้ชาวคัมภีร์(ยะฮูดี) พวกท่านมิได้คัดค้านพวกเรา(เพราะเหตุอื่นใดเลย) นอกจาก(เป็นเพราะ)การที่พวกเราศรัทธากับอัลเลาะฮฺและสิ่ง(คัมภีร์)ที่ถูกประทานมายังพวกเรา และสิ่งที่ถูกประทานมาก่อนหน้า และแท้จริงส่วนมากของพวกท่านนั้น ล้วนเป็นผู้ฝ่าฝืน


คำแปล R3.
57. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา จงอย่าเอาคนเหล่านี้มาเป็นเพื่อน นั่นคือพวกคนที่ถูกประทานคัมภีร์ก่อนหน้าสูเจ้าและถือเอาศาสนาของสูเจ้าเป็นที่เยาะเย้ยและล้อเล่น และบรรดาผู้ปฏิเสธ จงเกรงกลัวอัลลอฮฺ ถ้าหากสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง
58. เมื่อสูเจ้าป่าวร้องให้มานมาซ พวกเขาถือมันเป็นการตลกขบขันและล้อเล่น นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นคนที่ไม่ใช้ปัญญา
59. จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า “โอ้ชาวคัมภีร์ทั้งหลาย อะไรนักหรือที่พวกท่านหาเรื่องกับพวกเรา นอกไปจากว่าพวกเราเชื่อในอัลลอฮิและสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมายังเราและสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาก่อนหน้าเรา? และความจริงแล้ว ส่วนมากของพวกท่านเป็นผู้ฝ่าฝืน


คำแปล R4.
57. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าได้ยึดเอามาเป็นมิตรผู้ซึ่งถือเอาศรัทธาของพวกเจ้าเป็นการเย้ยหยัน และเป็นการล้อเล่น จากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ ก่อนพวกเจ้า และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย และพึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา
58. และเมื่อพวกเจ้าได้เรียกร้องไปสู่การละหมาด พวกเขาก็ถือเอาการละหมาดเป็นการเย้ยหยันเป็นการล้อเล่นนั่นก็เพราะพวกเขา เป็นพวกที่ไม่ใช้ปัญญา
59. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย! พวกท่านมิได้ตำหนิติเตียนและปฏิเสธพวกเรา(เพราะอื่นใด) นอกจากว่าพวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เรา และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนแล้วเท่านั้น และแท้จริงส่วนมากของพวกท่านนั้นเป็นผู้ละเมิด


คำแปล R5.
๖๐. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าอย่าได้คบหาบรรดาชนยะฮูดีและพวกนัซรอนีที่ได้รับพระคัมภีร์ก่อนจากพวกเจ้า ตลอดจนพวกไม่ศรัทธาซึ่งเคารพบูชาเทวรูปที่เหยียดหยามและที่เอาศาสนาของพวกเจ้าเป็นเครื่องเล่นไว้เป็นมิตรและเป็นที่รักเลย ทั้งพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ด้วยการละเสียจากการคบพวกยะฮูดีและนัซรอนีและพวกที่ไม่ศรัทธาไว้เป็นมิตรเถิด หากว่าพวกเจ้าเป็นผู้ที่มีศรัทธาอย่างจริงใจ
๖๑. อีกทั้งพวกเจ้าอย่าคบหาพวกยะฮูดี พวกกาฟิรและมุนาฟิกในเมื่อพวกเจ้าได้เรียกให้มาสู่การดำรงละหมาดด้วยวิธีการอะซาน(การแสดงธรรมโฆษกให้มาสู่การละหมาด)พวกเหล่านั้นกลับเหยียดหยามทำเป็นเล่น ๆ กับการละหมาด นี่แหละพวกเหล่านั้นจึงเป็นเหล่าชนที่ไร้พิจารณญาณ
มูลเหตุแห่งการลงโฮงการต่อไปนี้ ขณะที่พวกยะฮูดีถามพระนบีมูฮำมัดว่าพระศาสนทูตใดบ้างที่ท่านศรัทธา พระนบีมูฮำมัดตอบว่า ฉันศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ต่อพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน และบรรดาพระคัมภีร์ที่ถูกประทานมายังพระศาสดาทั้งหลาย ครั้นเมื่อพระนบีมูฮำมัดเอ่ยถึงอีซา พวกยะฮูดีกล่าวว่า “เราไม่เห็นมีศาสนาใดที่เลวยิ่งกว่าศาสนาของท่านที่นับถืออีซาเป็นศาสนทูต” แล้วพวกนั้นยังพร้อมกันปฏิญาณว่า “พวกเราจะไม่ศรัทธาต่อตัวท่านที่ศรัทธาในตัวอีซา” โองการของอัลเลาะห์จึงถูกประทานลงมาว่า
๖๒. โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกยะฮูดีเหล่านั้นเถิดว่า โอ้ผู้ทรงพระคัมภีร์ที่พวกท่านได้ปฏิเสธศาสนาของเราว่าเลวนั้นก็เท่ากับปฏิเสธความศรัทธาของเราต่ออัลเลาะห์ต่อพระคัมภีร์ทั้งหลายที่ถูกประทานให้แก่พวกเราและที่ถูกประทานไว้แก่บรรดาพระศาสดาที่ก่อนจากพวกเรา แต่ทว่าพวกเจ้านั้นเป็นผู้มีบาปหนาเสียเป็นส่วนมาก เพราะการปฏิเสธความศรัทธาของเราดังกล่าว



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 60 - 63

   
คำอ่าน
60. กุลฮัลอุนับบิอุกุม..บิชัรฺริม..มิน..ซาลิกะ มะษูบะตัน อิน..ดัลลอฮิ มัลละอะนะฮุลลอฮุ วะเฆาะฎิบะอะลัยฮิ วะญะอะละมินฮุมุลกิเราะดะตะ วัลเคาะนาซีเราะ วะอะบะดัฏฏอฆูต อุลา..อิกะ ชัรรุม..มะกาเนา..วะอะฎ็อลลุ อัน..สะวา..อิสสะบีล
61. วะอิซาญา...อูกุม กอลู..อามัน..นา วะก็อดดะเคาะลูบิลกุฟริ วะฮุมก็อดเคาะเราะญูบิฮฺ วัลลอฮุ อะอฺละมุบิมากานูยักตุมูน
62. วะตะรอกะษีร็อม..มินฮุม ยุสาริอูนะ ฟิลอิษมิ วัลอุดวานิ วะอักลิฮิมุสสุหฺตะ ละบิอ์สะมากานูยะอฺมะลูน
63. เลาลาบัยนะฮุมุรฺร็อบบานียูนะ วัลอะหฺบารุ อัน..ก็อวลิฮิมุลอิษมะ วะอักลิฮิมุสสุหฺตะ ละบิอ์สะมากานูยัศนะอูน


คำแปล R1.
60. Say (O Muhammad to the people of the Scripture): "Shall I inform you of something worse than that, regarding the Recompense from Allah: those (Jews) who incurred the Curse of Allah and his wrath, those of whom (some) He transformed into monkeys and swines, those who worshipped Taghut (false deities); such are worse in rank (on the Day of Resurrection in the Hell-fire), and far more astray from the right Path (in the life of this world)."
61. When they come to you, they say: "We believe." but in fact they enter with (an intention of) disbelief and they go out with the same. And Allah knows all what they were hiding.
62. And you see many of them (Jews) hurrying for sin and transgression, and eating illegal things [as bribes and Riba (usury), etc.]. Evil indeed is that which they have been doing.
63. Why do not the rabbis and the religious learned men forbid them from uttering sinful words and from eating illegal things. Evil indeed is that which they have been performing.


คำแปล R2.
63. เจ้าจงประกาศเถิด “เอาไหม? ฉันจะแจ้งให้พวกท่านได้ทราบถึงการตอบสนองจากอัลเลาะฮฺที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น? นั่นคือ บุคคลที่อัลเลาะฮฺได้แช้งเขา, และทรงกริ้วเขา และทรงสาปแช่งบางคนของพวกเขาให้เป็นลิง เป็นหมู และผู้ทำการกราบไหว้มารร้าย พวกเหล่านั้นมีสถานที่(อยู่)อันเลวยิ่ง และหลงไปจากทางอันเที่ยงตรง
64. และเมื่อพวกเขา(ยิวและมุนาฟิก) ได้มาหาพวกเจ้า พวกเขาก็กล่าวว่า “เราศรัทธา” ทั้ง ๆ ที่พวกเขาได้เข้า(มาคลุกคลีกับพวกเจ้า) ด้วยความเนรคุณแท้ ๆ และพวกเขาก็ออก(ไปจากพวกเจ้า) ด้วยความเนรคุณ และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งนัก ในสิ่งที่พวกเขาได้บิดบังไว้
65. และเจ้า(มุฮำมัด)เห็นพวกเขาส่วนมากต่างก็รีบเร่งในการทำบาป, และการสร้างศัตรู, และการกินสิ่งต้องห้าม แน่นอนเป้นความเลวร้ายยิ่งนักสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้
66. ทำไมหนอพวกนักบุญและนักปราชญ์จึงไม่ห้ามปรามพวกเขาไว้มิให้พูดบาป และกินสิ่งต้องห้าม แน่นอนเป็นความเลวร้ายยิ่งนัก สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้นั้น


คำแปล R3.
60. แล้วจงกล่าวเถิด “จะให้ฉันบอกพวกท่านถึงผู้ที่จะได้รับการตอบแทนที่เลวร้ายกว่านั้นจากอัลลอฮฺไหม? คนเหล่านั้นก็คือผู้ที่อัลลอฮฺทรงสาปแช่ง ผู้ที่พระองค์ทรงกริ้ว และบางคนที่พระองค์ได้ทรงทำให้เป็นลิงและหมู ผู้ที่เคารพบูชาตอฆูต คนเหล่านี้เป็นผู้ที่อยู่ในสภาพที่เลวร้ายมากและเป็นผู้ที่หลงออกไปไกลจากแนวทางที่ถูกต้อง”
61. และเมื่อพวกเขามาหาสูเจ้า พวกเขากล่าวว่า “เราศรัทธา” แต่ความจริงแล้วพวกเขาเข้ามาในสภาพของการปฏิเสธและออกไปด้วยการปฏิเสธ และอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกเขาปิดบังไว้ในหัวใจของพวกเขา
62. และเจ้าเห็นส่วนมากของพวกเขาดิ้นรนกันเพื่อการบาปและการไม่เป็นธรรมและการกินสิ่งต้องห้าม ช่างชั่วช้าจริง ๆ ในสิ่งที่พวกเขากระทำ
63. ทำไมพวกแรบไบ (นักปราชญ์ศาสนาของพวกยิว) และนักกฎหมายของพวกเขาจึงไม่ห้ามพวกเขาในการกล่าวถ้อยคำที่เป็นบาปและการกินสิ่งต้องห้าม แท้จริงแล้ว นั่นเป็นการงานที่ชั่วร้ายที่พวกเขาได้ประกอบไว้


คำแปล R4.
60. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าจะให้ฉันบอกแก่พวกท่านไหม ถึงการตอบแทนที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น ณ ที่อัลลอฮฺ คือผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงละอฺนัต เขาและกริ้วโกรธเขา และให้ส่วนหนึ่งในพวกเขาเป็นลิง และเป็นสุกร และเป็นผู้สักการะชัยฎอน ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีตำแหน่งอันชั่วร้ายและเป็นผู้ที่หลงไปจากทางอัน เที่ยงตรง
61. และเมื่อเขาเหล่านั้น มาหาพวกเจ้า พวกเขาก็กล่าวว่า เราศรัทธาแล้ว ทั้ง ๆ ที่โดยแท้จริงนั้น พวกเขาเข้ามาในสภาพผู้ปฏิเสธศรัทธา และขณะที่พวกเขาออกไปก็ในสภาพนั้น และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเขาปกปิด
62. และเจ้าจะได้เห็นมากมายในหมู่พวกเขาต่างรีบเร่งกันในการทำบาป และการเป็นศัตรูกันและการที่พวกเขากินสิ่งที่เป็นที่ต้องห้าม ช่างเลวจริง ๆ สิ่งที่พวกเขากระทำกัน
63. ไฉนเล่าผู้ที่รู้แจ้งในอัลลอฮฺและนักปราชญ์เหล่านั้นจึงไม่ห้ามพวกเขา ในการที่พวกเขาพูดสิ่งที่เป็นบาป และในการที่พวกเขากินสิ่งที่ต้องห้ามช่างเลวจริง ๆ สิ่งที่พวกเขาทำ


คำแปล R5.
๖๓. โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นเถิดว่า ฉันจะบอกให้พวกเจ้าถึงเรื่องของคนชั่วเลวยิ่งกว่าผู้ถือศาสนาของเราที่ถูกพวกท่านปฏิเสธดังกล่าวนั้นซึ่งได้รับตอบแทนโทษจากฝ่ายอัลเลาะห์จะเอาไหม? คือพวกยะฮูดีนั้นผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงละเมตตาและที่พระองค์กริ้วโกรธตลอดทั้งบางคนจากพวกนั้นที่พระองค์สาปให้เขาเป็นลิงและสุกรและใครที่กราบเคารพไซตอนโดยประพฤติตามบัญชาของมันแล้วไซร้ พวกเหล่านั้นแหละย่อมตกอยู่ในสถานอันเลวร้ายในภพหน้าคือนรก และตกอยู่ในความพลาดพลั้งหนทางเที่ยง
๖๔. และเมื่อพวกมุนาฟิกเหล่านั้นที่เป็นส่วนหนึ่งของพวกยะฮูดีได้มาหาพวกเจ้าแล้วก็กล่าวว่าพวกเราศรัทธา ทั้ง ๆ ที่พวกนั้นต่างเข้ามาสู่พวกเจ้าและกลับออกไปจากพวกเจ้าพร้อมด้วยความไม่ศรัทธา อัลเลาะห์นั้นทรงรู้ยิ่งในสิ่งภายนอกซึ่งไม่ตรงกับความในใจที่พวกนั้นได้ปกปิดกันไว้
๖๕. และโอ้มูฮำมัดเจ้าจะได้แลเห็นพวกยะฮูดีเหล่านั้นเป็นส่วนมากที่ชิงกันกล่าวเท็จและฉ้อโกงกันตลอดจนบริโภคของบาป อาทิเช่น เบี้ยยัด พฤติการณ์อย่างนี้ที่พวกนั้นได้ปฏิบัติกันนั้นเลวร้ายยิ่งนัก
๖๖. พวกนักธรรมกับพวกนักปราชญ์จงห้ามปรามพวกยะฮูดีเหล่านั้นให้เลิกกล่าวคำเท็จและบริโภคของบาป อาทิเบี้ยยัดเสียซิ ที่พวกนักธรรมและนักปราชญ์เหล่านั้นได้กระทำกันโดยไม่ห้ามปรามพวกยะฮูดีให้เลิกกล่าวคำเท็จและเลิกบริโภคของบาปนั้นเลวร้ายนัก




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 64 - 66

   
คำอ่าน
64. วะกอละติลยะฮูดุ ยะดุลลอฮิมัฆลูละฮฺ ฆุลลัตอัยดีฮิม วะลุอินูบิมากอลู บัลยะดาฮุ มับสูเฏาะตานิ ยุน..ฟิกุ กัยฟะยะชา...อ์ วะละยะซีดัน..นะกะษีร็อม..มินฮุม..มา..อุน..ซิละ อิลัยกะ มิรฺร็อบบิกะ ฏุฆยาเนา..วะกุฟรอ วะอัลก็อยนา บัยนะฮุมุลอะดาวะตะ วัลบัฆฎอ...อะ อิลาเยามิลกิยามะฮฺ กุลละมา..เอาเกาะดูนาร็อลลิลหัรฺบิ อัฏฟะอะฮัลลอฮุ วะยัสเอานะฟิลอัรฺฎิ ฟะสาดา วัลลอฮุลายุหิบบุลมุฟสิดีน
65. วะเลาอัน..นะ อะฮฺลัลกิตาบิ อามะนู วัตตะกู ละกัฟฟัรฺนาอันฮุม สัยยิอาติฮิม วะละอัดค็อลนาฮุม ญัน..นาติน..นะอีม
66. วะเลาอัน..นะฮุม อะกอมุตเตารอตะ วัลอิน..ญีละ วะมา..อุน..ซิละ อิลัยฮิม..มิรฺร็อบบิฮิม ละอะกะลูมิน..เฟากิฮิม วะมิน..ตะหฺติอัรฺญุลิฮิม มินฮุม อุม..มะตุม..มุฟตะศิดะฮฺ วะกะษีรุม..มินฮุม สา..อะมายะอฺมะลูน


คำแปล R1.
64. The Jews say: "Allah's Hand is tied up (i.e. He does not give and spend of his Bounty)." be their hands tied up and be they accursed for what they uttered. Nay, both his hands are widely outstretched. He spends (of his Bounty) as He wills. Verily, the Revelation that has come to you from Allah increases in Most of them their obstinate rebellion and disbelief. We have put enmity and hatred amongst them till the Day of Resurrection. Every time they kindled the fire of war, Allah extinguished it; and they (ever) strive to make mischief on earth. And Allah does not like the Mufsidun (mischief-makers).
65. And if only the people of the Scripture (Jews and Christians) had believed (in Muhammad ) and warded off evil (sin, ascribing partners to Allah) and had become Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2) we would indeed have blotted out their sins and admitted them to gardens of pleasure (in Paradise).
66. And if only they had acted according to the Taurat (Torah), the Injeel (Gospel), and what has (now) been sent down to them from their Lord (the Qur'an), they would surely have gotten provision from above them and from underneath their feet. There are from among them people who are on the right course (i.e. they act on the Revelation and believe in Prophet Muhammad like 'Abdullah bin Salam ), but many of them do evil deeds.


คำแปล R2.
67. และพวกยะฮูดีได้กล่าวว่า “มือของอัลเลาะฮฺถูกล่ามโซ่ไว้(หมายถึงความตระหนี่)” มือของพวกเขา(ต่างหาก)ที่ถูกล่ามโซ่(เพราะพวกเขามีความตระหนี่ ไม่ยอมบริจาคเพื่อส่งเสริมความดี) และพวกเขาถูกสาปแช่งเพราะเหตุที่พวกเขาได้กล่าวไว้(เช่นนั้น) ...แต่ความจริง(ความเมตตาอันเปรียบดัง)พระหัตถ์ทั้งสองของอัลเลาะฮฺได้แบอยู่เสมอ พระองค์ทรงใช้จ่ายอย่างไรที่พระองค์ประสงค์ และแน่นอนจะเพิ่มพูนโดย(บทบัญญัติ)ที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า จากองค์อภิบาลของเจ้า ซึ่งความละเมิดและความเนรคุณแก่คนส่วนมากของพวกเขาและเราได้ปลูกฝังไว้ระหว่างพวกเขาให้เป็นอริต่อกัน และโกรธเคืองกันตราบถึงวันชาติหน้า ทุกครั้งที่เขาจุดไฟสงครามขึ้น อัลเลาะฮฺก็ดับมันเสีย และพวกเขาก็เพียรบ่อนทำลายในแผ่นดิน และอัลเลาะฮฺไม่ทรงรักบรรดาผู้บ่อนทำลาย
68. และถ้าหากพวกชาวคัมภีร์ได้ศรัทธาและยำเกรง แน่นอนที่สุดเราก็จักนิรโทษความเลวทรามต่าง ๆ แก่พวกเขา และแน่นอนเราจักให้พวกเข้าได้เข้าสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความสุข
69. และถ้าพวกเขาได้ดำรง(ตน ยึดมั่นและปฏิบัติตามคัมภีร์)เตารอฮฺและ(คัมภีร์)อินญีล รวมทั้งสิ่ง(คัมภีร์)ที่ถูกประทานแก่พวกเขาจากองค์อภิบาลของพวกเขา(คืออัลกุรอาน) แน่นอนที่สุดพวกเขาได้บริโภค(โชคผลเครื่องยังชีพอันได้มา)จากเบื้องบนของพวกเขา(คือได้จากฟ้า) และจากใต้เท้าของพวกเขา(คือแผ่นดินและในแผ่นดิน) บางส่วนจากพวกนั้นเป็นประชาชาติสายกลาง และพวกเขาส่วนมากมีความประพฤติอันเลวทราม


คำแปล R3.
64. พวกยิวได้กล่าวว่าพระหัตถ์ของอัลลอฮิถูกล่ามไว้ ไม่ใช่ มือของพวกเขาเองต่างหากที่ถูกล่าม และพวกเขาได้ถูกสาปแช่งเพราะคำกล่าวร้ายที่พวกเขากล่าวออกมา พระหัตถ์ของอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นอิสระและพระองค์ทรงแจกจ่ายในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ อันที่จริงแล้วสารที่ได้ถูกประทานมายังเจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นได้เพิ่มการดื้อด้านและการปฏิเสธของพวกเขาหลายคนเสียมากกว่า (เมื่อเป็นเช่นนี้)เราจึงได้ก่อความเป็นศัตรูและความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในระหว่างพวกเขาจนกระทั่งวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาก่อไฟแห่งสงครามขึ้น อัลลอฮฺจะทรงดับมัน ทีนี้ พวกเขากำลังพยายามแพร่ความเสียหายขึ้นในโลก แต่อัลลอฮิไม่ทรงชอบผู้ก่อการเสียหาย
65. ถ้าหากพวกชาวคัมภีร์ได้ศรัทธาและเกรงกลัวพระเจ้า เราก็จะขจัดความชั่วช้าต่าง ๆ ของพวกเขาออกไปจากพวกเขา และเราจะให้พวกเขาได้เข้าไปในสวนสวรรค์แห่งความโปรดปราน
66. ถ้าหากพวกเขาปฏิบัติตามเตารตและอินญีลและคัมภีร์อื่น ๆ ที่ได้ถูกประทานลงมายังพวกเขาจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา พวกเขาก็จะได้รับความมั่งคั่งสมบูรณ์ทั้งจากเบื้องบนและเบื้องล่างที่อยู่ใต้เท้าของพวกเขา ถึงแม้ในหมู่พวกเขาจะมีคนที่เที่ยงธรรมบ้าง แต่ส่วนมากของพวกเขาก็เป็นผู้กระทำความชั่ว


คำแปล R4.
64. และชาวยิวนั้นได้กล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮ์นั้นถูกล่ามตรวน มือของพวกเขาต่างหากที่ถูกล่ามตรวนและพวกเขาได้รับละอฺนัต เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาพูด หามิได้ พระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์ถูกแบออกต่างหาก ซึ่งพระองค์จะทรงแจกจ่ายอย่างไรก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และแน่นอนสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นจะเพิ่มการ ละเมิด และการปฏิเสธศรัทธาแก่จำนวนมากมายในหมู่พวกเขา และเราได้ก่อให้เกิดการเป็นศัตรูกันและการเกลียดชังกันในระหว่างพวกเขา จนถึงวันกิยามะฮฺ ทุกครั้งที่พวกเขาจุดไฟขึ้น เพื่อทำสงคราม อัลลอฮฺก็ทรงดับไฟนั้นเสีย และพวกเขาเพียรพยายามบ่อนทำลายในผืนแผ่นดิน และอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงชอบผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย
65. และหากอะฮฺลุลกิตาบศรัทธา และยำเกรงแล้ว แน่นอนเราก็จะลบล้างบรรดาความชั่วของพวกเขาให้พ้นจากพวกเขา และแน่นอนเราจะให้พวกเขาเข้าบรรดาสวนสวรรค์แห่งความสุขสำราญ
66. และหากว่าเขาเหล่านั้นได้ดำรงไว้ซึ่งอัต-เตารอต และอัล-อินญีล และสิ่งที่ถูกประทานลงมา แก่พวกเขาจากพระเจ้าของพวกเขาแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ได้บริโภคไปแล้วที่มาจากเบื้องบนของพวกเขา และที่มาจากภายใต้เท้า ของพวกเขาในหมู่พวกเขานั้นมีกลุ่มหนึ่งที่มีความยุติธรรม และมากมายในหมู่พวกเขานั้น ช่างเลวร้ายจริง ๆ สิ่งที่พวกเขากระทำกัน


คำแปล R5.
๖๗. พวกยะฮูดียังได้กล่าวอีกในคราวที่พวกเขาตกยากเพราะหาว่าพระนบีมูฮำมัดเป็นคนเท็จหลังจากที่ได้เคยร่ำรวยกันมาแล้วว่า “มือของอัลเลาะห์นั้นกำแน่นอยู่มีแต่ความตระหนี่เหนียวแน่นไม่อำนวยลาภให้แก่พวกเราเสียเลย” พระองค์จึงตรัสสาปแช่งพวกนั้นว่า มือของพวกนั้นต่างหากที่ถูกบับยั้งไว้มิให้ประกอบความดีงามอีกทั้งยังถูกหักเมตตาจิตใจให้ห่างพ้นจากพระกรุณา ในฐานะที่พวกนั้นได้กล่าวคำก้าวร้าวอัลเลาะห์ไว้ แต่ทว่ามือทั้งสองของพระองค์นั้นแผ่กว้างอยู่แล้วคือพระองค์ทรงมีการอำนวยลาภให้อย่างกว้างขวางซึ่งพระองค์จะทรงสละให้อย่างไรก็ได้สุดแต่จะมีความมุ่งประสงค์จะมากจะน้อยสักเท่าไรก็หามีใครขัดขวางพระองค์ได้ไม่และทรงให้สัตย์ปฏิญาณว่าอันที่จริงพระคัมภีร์อัล-กุรอานซึ่งถูกประทานจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้ามายังเจ้านั้น ก็ได้ทวีการละเมิดขอบเขตแห่งศาสนาและความไม่มีศรัทธาให้แก่ส่วนใหญ่จากพวกยะฮูดีเหล่านั้น เพราะเหตุที่พวกเหล่านั้นไม่ยอมเชื่ออัล-กุรอานเลยและเราอัลเลาะห์ก็ได้เอาความเป็นศัตรูกันและความโกรธแค้นกันใส่ลงท่ามกลางพวกยะฮูดีเหล่านั้นจนกว่าจะถึงวันกิยามะห์ ทุก ๆ ฝ่ายจึงเกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกัน เช่นฝ่ายยะฮูดีก็แตกกันเองเป็น ๔ พวก อันได้แก่ยะบะรียะห์วกหนึ่ง ก็ดะรียะห์พวกหนึ่ง มุชับบิฮะห์พวกหนึ่ง และมุรอจยิอะห์อีกพวกหนึ่ง ส่วนฝ่ายรัซรอนีก็แตกกันเป็นหลายพวกอันได้แก่ มละกานียะห์พวกหนึ่ง นัซตูรียะห์พวกหนึ่ง ยะกูบียะห์พวกหนึ่ง และมาริดานียะห์อีกพวกหนึ่ง คราใดที่พวกเหล่านั้นได้ก่อเพลิงแห่งสงครามรุกรานพระนบีมูฮำมัดและได้เตรียมการขึ้น อัลเลาะห์ก็ทรงระงับมันไว้ โดยทรงให้พวกนั้นต้องล่าถอยกลับไป ทั้งยังทรงกุมอำนาจนั้นไว้ ทั้งนี้เพราะเหตุว่าพวกนั้นขาดสามัคคีธรรมและความมีไมตรีต่อกันแต่พวกเหล่านั้นก็พยายามก่อความวินาศขึ้นในพิภพนี้โดยการประพฤติชั่วเลวส่วนอัลเลาะห์นั้นจะทรงลงโทษพวกผู้ก่อความพินาศทั้งหลาย
๖๘. แล้วหากว่าพวกทรงคัมภีร์ได้ศรัทธาต่อพระนบีมูฮำมัดและมีความหวั่นเกรงต่อสภาพไร้การศรัทธาแล้วไซร้ แน่นอนเรา(อัลเลาะห์)ย่อมจะลบล้างบาปกรรมของพวกนั้นให้หมดสิ้นไปเสีย ทั้งเรา(อัลเลาะห์)ยังจะให้พวกเหล่านั้นได้เข้าสู่สวรรค์ชั้นนะอีมอย่างแน่นอนอีกด้วยซ้ำ
๖๙. และถ้าพวกเหล่านั้นยืนยงอยู่กับพระคัมภีร์เตารอตและพระคัมภีร์อินยีลด้วยการปฏิบัติตามเนื้อความที่กล่าวในพระคัมภีร์ทั้งสองนั้น เช่น มีกล่าวให้ศรัทธาต่อมูฮำมัดเป็นต้นตลอดทั้งพระคัมภีร์ที่ถูกประทานจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขามายังพวกเขาคือพระคัมภีร์ของพระนบีซะยาอ์ พระคัมภีร์ของพระนบีดานิยาล พระคัมภีร์ของพระนบีอัรมิยาอ์ และพระคัมภีร์ซะบูรของพระนบีดาวู๊ด ซึ่งพระคัมภีร์เหล่านี้แต่ละเล่มก็มีกล่าวไว่ว่าให้ศรัทธาต่อพระนบีมูฮำมัด เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วไซร้ พวกเขาย่อมได้รับบริโภคอาหารชนิดต่าง ๆ อย่างเหลือเฟือทีเดียวโดยมีสิ่งอุปโภค บริโภคมาจากทุกหนทุกแห่งส่วนหนึ่งจากพวกยะฮูดีเหล่านั้นมีชนคณะหนึ่งที่ประพฤติตามพระคัมภีร์เตารอตและพระคัมภีร์อื่น ๆ ที่กล่าวแล้วอย่างคงเส้นคงวา อาทิ อับดุลเลาะห์บุตรสลาม กับคณะ แต่มีส่วนใหญ่จากพวกเหล่านั้นที่ประพฤติตนชั่วร้าย




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 67 - 69

   
คำอ่าน
67. ยา..อัยยุฮัรฺเราะสูลุ บัลลิฆมาอุน..ซิละอิลัยกะ มิรฺร็อบบิก วะอิลลัมตัฟอัล ฟะมาบัลลัฆตะ ริสาละตะฮฺ วัลลอฮุยะอฺศิมุกะมินัน..นาส อิน..นัลลอฮะ ลายะฮฺดิลก็อวมัลกาฟิรีน
68. กุลยา..อะฮฺลัลกิตาบิ ลัสตุมอะลาชัยอิน หัตตา ตุกีมุตเตารอตะ วัลอินญีละ วะมา..อุน..ซิละอิลัยกุม..มิรฺร็อบบิกุม วะละยะซีดัน..นะกะษีร็อม..มินฮุม..มา..อุน..ซิละอิลัยกะ มิรฺร็อบบิกะฏุฆยาเนา..วะกุฟรอ ฟะลาตะอ์สะ อะลัลก็อวมิลกาฟิรีน
69. อิน..นัลละซีนะอามะนู วัลละซีนะฮาดู วัศศอบิอูนะ วัน..นะศอรอ มันอามะนะบิลลาฮฺวัลเยามิลอาคิริ วะอะมิละศอลิหัน..ฟะลาค็อวฟุนอะลัยฮิม วะลาฮุมยะหฺซะนูน


คำแปล R1.
67. O Messenger (Muhammad)! Proclaim (the Message) which has been sent down to you from your Lord. And if you do not, then you have not conveyed his Message. Allah will protect you from mankind. Verily, Allah guides not the people who disbelieve.
68. Say (O Muhammad) "O people of the Scripture (Jews and Christians)! you have nothing (as regards guidance) till you act according to the Taurat (Torah), the Injeel (Gospel), and what has (now) been sent down to you from your Lord (the Qur'an)." Verily, that which has been sent down to you (Muhammad) from your Lord increases in many of them their obstinate rebellion and disbelief. So be not sorrowful over the people who disbelieve.
69. Surely, those who believe (in the Oneness of Allah, in his Messenger Muhammad and all that was revealed to him from Allah), those who are the Jews and the Sabians and the Christians, - whosoever believed in Allah and the Last Day, and worked righteousness, on them shall be no fear, nor shall they grieve.


คำแปล R2.
70. โอ้ศาสนทูต! เจ้าจงเผยแพร่(บทบัญญัติ)ที่ถูกให้ลงมายังเจ้า จากองค์อภิบาลของเจ้า และหากเจ้าไม่ทำ(การเผยแพร่บทบัญญัตทั้งหมดออกไปสู่มวลชน) แน่นอนเจ้าก็ยังไม่ได้เผยแพร่สารธรรมของพระองค์เลย(เพราะการไม่เผยแพร่บางส่วนก้เท่ากับไม่ได้เผยแพร่ทั้งหมดนั่นเอง) และอัลเลาะฮฺทรงพิทักษ์เจ้าจาก(ความชั่วร้ายของ)มวลมนุษย์ แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่เนรคุณ
71. เจ้าจงประกาศเถิด! โอ้ชาวคัมภีร์ทั้งหลาย! พวกเจ้ามิได้(ตั้งอยู่)บนสิ่งใด(ที่เป็นแก่นสาร)เลย จนกว่าพวกเจ้าจะดำรง(ตนตามบทบัญญัติแห่งคัมภีร์)เตารอฮฺ,และอินญีล(ที่ระบุให้ศรัทธาในนบีมุฮำมัด)และคัมภีร์ที่ถูกลงมาให้พวกเจ้าจากองค์อภิบาลแห่งพวกเจ้า(คืออัลกุรอาน) ขอยืนยัน แน้แท้สิ่ง(บทบัญญัติ)ที่ถูกลงมายังเจ้าจากองค์อภิบาลของเจ้านั้น จะเพิ่มพูนแก่พวกเขาเป็นส่วนมาก ซึ่งความละเมิดและความเนรคุณ ดังนั้นเจ้าอย่าเศร้าสลดเนื่องเพราะ(ความเชื่อถือของ)กลุ่มชนที่เนรคุณ
72. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา, บรรดาชาวยะฮูดี, บรรดาพวกซอบิอีน(กราบไหว้ดวงดาวหรือมลาอิกะฮฺ) และบรรดาชาวนัศรอนีผู้ใด(จากพวกเหล่านั้น)ที่ศรัทธาในอัลเลาะฮฺและวันสุดท้าย และประพฤติแต่ความดีเท่านั้น จึงจะไม่มีความหวาดกลัวแก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก


คำแปล R3.
67. โอ้ รอซูล จงนำสิ่งที่ถูกประทานให้แก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้าไปบอกแก่ผู้คน เพราะถ้าหากเจ้าไม่ทำเช่นนั้น เจ้าก็มิได้นำสารของพระองค์ไปยังผู้คน อัลลอฮฺจะคุ้มครองเจ้าจากการมุ่งร้ายของผู้คนจงมั่นใจเถิดว่า พระองค์จะไม่ทรงนำทางให้แก่ผู้ปฏิเสธ
68. จงบอกพวกเขาว่า “โอ้ ชาวคัมภีร์ พวกท่านไม่มีอะรมาอ้างทั้งสิ้นเว้นเสียแต่ว่าท่านจะปฏิบัติตามเตารอตและอินญีลและคัมภีร์ที่ได้ถูกประทานลงมาแก่พวกท่านจากพระผู้อภิบาลของพวกท่าน” แต่เป็นที่แน่นอนว่า สิ่งที่ได้ถูกประทานแก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้านั้นจะเพิ่มพูนการดื้อดึงและการปฏิเสธในส่วนมากของพวกเขา แต่เจ้าจงอย่าเศร้าโศกให้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธ
69. (จงเชื่อเถิดว่าไม่มีใครได้รับอภิสิทธิ์ใด ๆ):ใครก็ตามในบรรดาผู้ศรัทธาหรือผู้เป็นยิวหรือชาวซอบิอีนหรือชาวคริสเตียนที่ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้ายและประกอบคุณงามความดี เขาเหล่านี้ไม่มีสาเหตุที่จะต้องกลัวและพวกเขาจะไม่ทุกข์โศก


คำแปล R4.
67. รอซูลเอ๋ย! จงประกาศสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเข้า และถ้าเจ้ามิได้ปฏิบัติ เจ้าก็มิได้ประกาศสารของพระองค์ และอัลลอฮฺนั้นจะทรงคุ้มกันเจ้าให้พ้นจากมนุษย์ แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงแนะนำพวกที่ปฏิเสธศรัทธา
68. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย! พวกท่านมิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใด จนกว่าพวกท่านจะดำรงไว้ซึ่งอัต-เตารอต และอัล-อินญีล และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกท่านจากพระเจ้าของพวกท่านและแน่นอนสิ่ง ที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า จากพระเจ้าของเจ้านั้นจะเพิ่มการละเมิด และการปฏิเสธศรัทธาแก่จำนวนมากในหมู่พวกเขา ดังนั้นเจ้าจงอย่าเศร้าใจแก่พวกที่ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นเลย
69. แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธา และบรรดาผู้ที่เป็นยิว และพวกซอบิอูน และบรรดาผู้ที่เป็นคริสต์นั้น ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกและประกอบสิ่งที่ดีงามแล้ว ก็ไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ


คำแปล R5.
โองการต่อไปนี้ ได้มีคำกล่าวรายงานมาจากหะซันว่า ในเมื่ออัลเลาะห์ได้ทรงแต่งตั้งให้พระนบีมูฮำมัดมาเป็นพระศาสนทูตแล้วก็เกิดการฝืดเคืองทางพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งพระนบีเองก็ทราบว่า ในบรรดาหมู่ชนยังมีที่หาว่าตนเป็นคนมดเท็จ อัลเลาะห์จึงได้ประทานลงมาว่า
๗๐. โอ้พระศาสนทูต เจ้าจงเผยแพร่เรื่องส่วใหญ่ทั้งที่เป็นข้อใช้และข้อห้ามซึ่งได้ถูกประทานมาแต่องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าไปยังเจ้าให้ปวงประชากรของเจ้ารู้ทั่วถึงกันเถิด ไม่ต้องเกรงว่าจะเกิดมีภัยอะไรขึ้นแก่เจ้าแต่ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติตามที่กล่าวมานั้นแล้วก็เท่ากับเจ้ามิได้เผยแพร่เรื่องทั้งสิ้นที่ทรงแต่งตั้งให้เจ้ามาเป็นศาสนทูตทั้งนี้เพราะเหตุว่าการปกปิดส่วนหนึ่งถือว่าเท่ากับปกปิดส่วนทั้งหมด ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นทรงพิทักษ์รักษาเจ้าให้พ้นจากมวลมนุษย์ที่จะคอยสังหารเจ้าเพราะแท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ทรงแนะนำทางแก่มวลชนฝ่ายกาฟิรให้ไปสู่จุดมุ่งร้ายในตัวเจ้าเลย
โองการต่อไปนี้ บุตรอับบาสบอกว่า รอฟิอ์ บุตรฮาริซะห์ สลามบุตรมัชกัม มาลิกบุตรซอยฟ์กับรอฟิอ์บุตรชัรมะละห์ ต่างได้มาหาพระนบีมูฮำมัดแล้วเอ่ยถามว่า โอ้มูฮำมัด ท่านมิได้คิดหรือว่า ท่านนั้นกำลังนับถือศาสนาอิบรอฮีมอยู่และกำลังศรัทธาต่อพระคัมภีร์เตารอตซึ่งพวกเราได้รับ พระนบีมูฮำมัดตอบว่า เป็นความจริงเช่นนั้น แต่ทว่า พวกท่านพยายามประดิษฐ์แก้ไขและปฏิเสธเนื้อความภายในพระคัมภีร์นั้น ทั้งยังได้ปกปิดบางเรื่องในพระคัมภีร์นั้นที่พวกท่านถูกใช้ให้ชี้แจงเรื่องนั้น ๆ แก่ปวงชน ดังนั้นฉันจึงต้องขอปลีกตัวจากการดัดแปลงของพวกท่านดังกล่าว พวกนั้นกลับตอบว่าพวกเราจะยึดถือเนื้อความในเตารอตเท่าที่มีอยู่ที่พวกเรา พวกเราอยู่ในความสัจจริงและหนทางนำอยู่แล้ว แต่จะไม่ศรัทธาและเจริญรอยตามท่านหรอก อัลเลาะห์จึงได้ประทานโองการลงมาว่า
๗๑. โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่า โอ้ผู้ทรงพระคัมภีร์พวกเจ้านั้นหาได้ยึดมั่นในพระศาสนาแต่ประการใดไม่จนกว่าพวกเจ้าจะดำรงมั่นอยู่กับพระคัมภีร์เตารอตและพระคัมภีร์อินยีลตลอดทั้งพระคัมภีร์ที่ถูกประทานจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้าไปยังพวกเจ้าคือพระคัมภีร์ของพระนบีซะยาอ์ พระคัมภีร์ของนบีดานิยาล พระคัมภีร์ของพระนบีอัรนิยาอ์ และพระคัมภีร์ซะบูรของพระนบีดาวู๊ด ซึ่งแต่ละคัมภีร์ก็สั่งให้พวกเจ้าประพฤติตามเนื้อความในนั้น เป็นต้นว่าให้มีความศรัทธาต่อฉันแหละทรงให้สัตย์ปฏิญาณว่าอันที่จริงพระคัมภีร์อัล-กุรอานซึ่งถูกประทานจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้ามายังเจ้านั้นได้ทวีการละเมิดขอบเขตแห่งศาสนาและความไม่ศรัทธาให้แก่ส่วนใหญ่จากพวกยะฮูดีเหล่านั้นเพราะเหตุที่พวกเหล่านี้ไม่ยอมเชื่ออัล-กุรอานเลย ดังนั้นถึงว่าพวกเหล่านั้นจะไม่ยอมศรัทธาต่อเจ้า เจ้าก็อย่าได้สลดใจต่อมวลชนกาฟิรเหล่านั้นและอย่าได้เสียดายพวกเหล่านั้นเลย ไม่ต้องเสียใจกับพวกเหล่านั้นหรอกเพราะพวกเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์จะได้รับความสนใจจากเจ้า
๗๒. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาอย่างจริงใจไม่ระคนด้วยความกลับกลอกก็ดี บรรดาที่เป็นยะฮูดีก็ดี พวกซอบิอ์และพวกนัซรอนีก็ดีในพวกเหล่านี้ใครที่ได้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และวันอวสาน(อาคิเราะห์)ทั้งยังได้ประพฤติชอบนั้น ย่อมไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ สำหรับพวกเขาในวาระแห่งการเป่าสังข์ครั้งแรกและจะไม่มีความโศกสลดใจเลยที่ความดีงามบางประการขาดปฏิบัติไปบ้างในโลกปัจจุบันนี้(ดุนยา)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 70 - 71

 
คำอ่าน
70. ละก็อดอะค็อซนามีษาเกาะ บะนี..อิสรอ..อีละ วะอัรฺสัลนาอะลัยฮิม รุสุลา กุลละมาญา...อะฮุม เราสูลุม..บิมาลาตะฮฺวา อัน..ฟุสุฮุม ฟะรีก็อน..กัซซะบู วะฟะรีก็อย..ยักตุลูน
71. วะหะสิบู..อัลลา ตะกูนะฟิตนะตุน..ฟะอะมู วะศ็อม..มู ษุม..มะตาบัลลอฮุ อะลัยฮิม ษุม..มะอะมู วะศ็อม..มู กะษีรุม..มินฮุม วัลลอฮุบะศีรุม..บิมาตะอฺมะลูน


คำแปล R1.
70. Verily, we took the Covenant of the Children of Israel and sent them Messengers. Whenever there came to them a Messenger with what they themselves desired not - a group of them they called liars and others among them they killed.
71. They thought there will be no Fitnah (trial or punishment), so they became blind and deaf; after that Allah turned to them (with Forgiveness); yet again many of them became blind and deaf. and Allah is the All-Seer of what they do.


คำแปล R2.
73. ขอยืนยัน เราได้เอาสัญญากับพวกเผ่าพันธุ์ของอิสรออีล และเราได้ส่งบรรดาศาสนทูตของเรามายังพวกเขา ทุกครั้งที่มีศาสนทูตนำสิ่งอารมณ์ของพวกเขาไม่ชอบมายังพวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวหาศาสนทูตบางกลุ่มว่าพูดเท็จ(โดยไม่ได้ประทุษร้ายแต่ประการใด ๆ ) และบางกลุ่ม(ศาสนทูต)พวกเขาก็จัดการประหารชีวิตเสีย
74. และพวกเขาคิดว่าวิกฤตการณ์จะไม่อุบัติขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตาบอด และหูหนวก ครั้นต่อจากนั้น อัลเลาะฮฺก็รับการสารภาพผิดของพวกเขา แต่แล้วหลังจากนั้น พวกเขาส่วนมากก็ยังตาบอดและหูหนวก(ต่อการศรัทธาอยู่นั่นเอง) และอัลเลาะฮฺทรงมองเห็นสิ่งที่พวกเขาประพฤติ


คำแปล R3.
70. เราได้ทำสัญญาอันมั่นคงกับพวกลูกหลานของอิสรออีลและเราได้ส่งรอซูลหลายคนมายังพวกเขา แต่เมื่อใดก็ตามที่รอซูลคนใดมายังพวกเขาพร้อมกับสิ่งที่ขัดต่อความปรารถนาของพวกเขาพวกเขาก็ถือว่ารอซูลผู้นั้นเป็นคนโกหกหรือไม่ก็ฆ่าเขา
71. และพวกเขาก็ยังกระหยิ่มว่าจะไม่มีความเสียหายอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตาบอด และหูหนวก และหลังจากนั้น อัลลอฮฺก็ได้ทรงอภัยพวกเขา แต่ส่วนมากพวกเขาก็ยังคงปฏิบัติตัวเหมือนคนตาบอดและหูหนวกอีก และอัลลอฮฺทรงเฝ้ามองทุกสิ่งที่พวกเขากระทำอยู่


คำแปล R4.
70. แท้จริงนั้นเราได้เอาสัญญาแก่วงศ์วานอิสราอีล และเราได้ส่งบรรดารอซูลมายังพวกเขา ทุกครั้งที่รอซูลคนใดนำสิ่งที่จิตใจของพวกเขาไม่ชอบมายังพวกเขาแล้ว กลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็ปฏิเสธ และอีกกลุ่มหนึ่งพวกเขาก็ฆ่าเสีย
71. และพวกเขาคิดว่าจะไม่มีการทดสอบใด ๆ เกิดขึ้น แล้วพวกเขาจึงได้ตาบอด และหูหนวก แล้วอัลลอฮฺก็ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แล้วพวกเขาก็ตาบอดและหูหนวกอีก คือจำนวนมากในหมู่พวกเขา และอัลลอฮฺนั้นทรงเห็นสิ่งที่พวกเขากระทำกัน


คำแปล R5.
๗๓. ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าอันที่จริงเรา(อัลเลาะห์)ได้ผูกพันสัญญาไว้แก่สายสกุลอิสรออีล(บุตรหลานของพระนบียะกูบ)ในเรื่องให้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และพระศาสนทูตของพระองค์ทั้งหมดไว้แล้วในพระคัมภีร์เตารอตกับเรา(อัลเลาะห์)ยังได้แต่งตั้งพระศาสนทูตทั้งหลายมายังพวกเหล่านั้นอีกด้วย คราใดที่มีพระศาสนทูตหนึ่งจากเหล่าพระศาสนทูตทั้งหลายมายังพวกนั้นพร้อมด้วยสิ่งที่เป็นความจริงแท้ซึ่งไม่สบอารมณ์ของพวกนั้นแล้วพวกนั้นก็คิดการทรยศบ้าง ตั้งตัวเป็นศัตรูบ้าง และจำพวกพระศาสนทูตนั้นบ้างก็ถูกพวกนั้นหาว่าเท็จแต่มิได้ทำร้ายอะไรให้ อาทิ พระศาสนทูตมูฮำมัดและพระศาสนทูตอีซาและบ้างก็ถูกพวกนั้นหาว่าเท็จแล้วก็ฆ่าเสีย อาทิพระศาสนทูตสองท่านชื่อซะกะรียาและยะห์ยา
๗๔. แล้วก็พวกยะฮูดีเหล่านั้นยังได้สำคัญผิดว่าในการหาว่าพระศาสนทูตทั้งหลายเท็จก็ดี กับการเข่นฆ่าพระศาสนทูตเหล่านั้นก็ดีคงไม่มีโทษอันใดแก่พวกเขาเลยทั้งนี้เนื่องจากพวกนี้มั่นใจว่าเป็นการจำเป็นที่พวกเขาจะต้องว่าพระศาสนทูตทั้งหลายเท็จและฆ่าพระศาสนทูตเหล่านั้นเสีย ในเมื่อพระศาสนทูตดังกล่าวได้นำศาสนาอื่นจากศาสนาของพวกเขามาให้พวกยะฮูดีเหล่านั้นจึงมองไม่เห็นทางเที่ยงธรรมประหนึ่งคนตาบอดและไม่ได้ยินความจริงที่พวกศษสนทูตนำมาให้พวกตนประหนึ่งคนหูหนวก ด้วยประการฉะนี้ จึงเป็นเหตุให้พวกนั้นฝ่าฝืนคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามที่มีบ่งไว้ในพระคัมภีร์เตารอตและได้ประพฤติชั่วร้ายกัน โดยเฉพาะพวกเหล่านั้นได้เข่นฆ่าพระนบีซะยาอ์เป็นประการแรก และได้กักขังพระนบีอัรมิยาอ์ครั้นต่อมาอัลเลาะห์จึงได้ทรงรับซึ่งคำสารภาพผิดของพวกเหล่านั้นเมื่อพวกนั้นขอสารภาพกลับใจและกลับเนื้อกลับตัวไม่ประพฤติตนเสียหายเหมือนดั่งที่เคยประพฤติกันมาเป็นเวลาช้านาน ณ เมืองบาบิล(บาบิโลน) ครั้นแล้วส่วนใหญ่ของพวกยะฮูดีเหล่านั้นก็มองไม่เห็นและไม่ได้ยินความจริงดังกล่าวแล้วอีก จึงเป็นเหตุให้พวกนั้นบังอาจฆ่าพระศาสนทูตซะกะรียาและพระศาสนทูตยะห์ยา และยังหมายปองจะฆ่าพระศาสนทูตอีซาเข้าอีกเป็นคำรบสอง ด้วยว่าอัลเลาะห์นั้นทรงเล็งเห็นตลอดถึงสิ่งใดอันพวกเหล่านั้นกระทำกันอยู่แล้วพระองค์จะทรงตอบสนองพวกเหล่านั้นให้ได้รับผลตามที่ได้กระทำนั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 72 - 74

 
คำอ่าน
72. ละก็อดกะฟะร็อลละซีนะ กอลู..อิน..นัลลอฮะ ฮุวัลมะสีหุบนุมัรฺยัม วะกอลัลมะสีหุ ยาบะนี..อิสรอ...อีละอฺบุดุลลอฮะ ร็อบบี วะร็อบบะกุม อินนะฮู มัย..ยุชริกบิลลาฮิ ฟะก็อดหัรฺเราะมัลลอฮุ อะลัยฮิลญัน..นะตะ วะมะอ์วาฮุน..นารฺ วะมาลิซซอลิมีนะ มินอัน..ศอรฺ
73. ละก็อดกะฟะร็อลละซีนะ กอลู..อิน..นัลลอฮะ ษาลิษุ ษะลาษะติว..วะมามินอิลาฮิน อิลลา..อิลาฮู..วาหิด วะอิลลัมยันตะฮู อัม..มายะกูลูนะ ละยะมัสสัน..นัลละซีนะ กะฟะรูมินฮุม อะซาบุนอะลีม
74. อะฟะลายะตูบูนะอิลัลลอฮิ วะยัสตัฆฟิรูนะฮู วัลลอฮุเฆาะฟูรุรฺเราะหีม


คำแปล R1.
72. Surely, they have disbelieved who say: "Allah is the Messiah ['Iesa (Jesus)], son of Maryam (Mary)." but the Messiah ['Iesa (Jesus)] said: "O Children of Israel! Worship Allah, my Lord and your Lord." Verily, whosoever sets up partners in worship with Allah, then Allah has forbidden Paradise for him, and the Fire will be his abode . And for the Zalimun (polytheists and wrongญdoers) there are no helpers.
73. Surely, disbelievers are those who said: "Allah is the third of the three (in a Trinity)." but there is no Ilah (God) (none who has the right to be worshipped) but one Ilah (God -Allah). and if they cease not from what they say, verily, a painful torment will befall the disbelievers among them.
74. Will they not repent to Allah and ask his Forgiveness? For Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.


คำแปล R2.
75. ขอยืนยัน! แท้จริงได้ตกเป็นผู้เนรคุณไปแล้ว บรรดาผู้ที่กล่าวว่า “แท้จริงอัลเลาะฮฺก็คืออัลมะซีฮฺ(อีซา)บุตรของมัรยัม” ทั้ง ๆ ที่อัลมะซีฮฺได้ประกาศ(อย่างชัดเจนปฏิเสธฐานะของตัวเองที่ถูกยกย่องเป็นพระเจ้า)ว่า “โอ้เผ่าพันธุ์แห่งอิสรออีล! พวกท่านจงนมัสการอัลเลาะฮฺผู้เป็นพระเจ้าของฉัน และพระเจ้าของพวกท่านเถิด เพราะแท้จริงผู้ใดตั้งภาคีกับอัลเลาะฮฺ แน่นอนอัลเลาะฮฺจักทรงห้ามสวรรค์แก่เขา และที่อยู่ของเขาคือนรก และไม่มีผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ที่ให้การช่วยเหลือแก่พวกที่ฉ้อฉลเลย
76. ขอยืนยัน! แท้จริงได้ตกเป็นผู้เนรคุณไปแล้ว บรรดาผู้ที่กล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺเป็นหนึ่งในพระเจ้าสามองค์” ทั้ง ๆที่ความเป็นจริงหามีพระเจ้าอื่นใดไม่ นอกจากอัลเลาะฮฺเพียงองค์เดียว และหากพวกเขาไม่ยุติคำพูดของพวกเขา(เช่นนั้น) แน่นอนการลงโทษอันทรมานยิ่งจะต้องสัมผัสแก่บรรดาผู้เนรคุณจากพวกเขา
77. แล้วพวกเขาไม่สารภาพโทษและขออภัยต่ออัลเลาะฮฺดอกหรือ(เมื่อได้รับคำชี้แจงที่ถูกต้องตามที่กล่าวมาแล้ว) และอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
72. แน่นอนที่สุด พวกเขาได้กล่าวเท็จ ปฏิเสธศาสนา นั่นคือคนที่กล่าวว่า “แท้จริง อัลลอฮฺพระองค์คืออัลมะซีฮฺ ลูกของมัรฺยัม” ในขณะที่อัลมะซีฮฺได้กล่าวว่า “โอ้ลูกหลานของอิสรออีล จงเคารพภักดีอัลลอฮฺท่านั้น ผู้ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของฉันและพระผู้อภิบาลของท่านด้วยเช่นกัน” ใครที่ตั้งภาคีให้กับอัลลอฮฺ แน่นอน อัลลอฮฺจะกันเขาอกจากสวนสวรรค์ และนรกจะเป็นที่พำนักสำหรับเขา และพวกที่สร้างความอธรรมนั้นจะไม่มีผู้ช่วยเหลือ
73. แน่นอนที่สุด พวกเขาได้กล่าวปฏิเสธศาสนา นั่นคือคนที่กล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงเป็นหนึ่งในสาม” ในขณะที่ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว นอกจากพวกเขาไม่หยุดยั้งจากการพูดเช่นนั้น การลงโทษอันเจ็บปวดก็จะประสบแก่ทุกคนในหมู่พวกเขาที่กล่าวเท็จ ปฏิเสธศาสนา
74. ดังนั้น พวกเขาจะไม่หันไปยังอัลลอฮฺและขออภัยโทษต่อพระองค์กระนั้นหรือ? และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
72. แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮฺคือ อัล-มะซีหฺบุตรของมัรยัมนั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว และอัล-มะซีหฺได้กล่าวว่า วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย! จงเคารพอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าของฉัน และเป็นพระเจ้าของพวกท่านเถิด แท้จริงผู้ใดให้มีภาคีแก่อัลลอฮฺ แน่นอนอัลลอฮฺจะทรงให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขา และที่พำนักของเขานั้นคือนรก และสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้นย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ
73. แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นผู้ที่สามของสามองค์นั้น ได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากผู้ที่ควรเคารพสักการะองค์เดียวเท่านั้น และหากพวกเขามิหยุดยั้งจากสิ่งที่พวกเขากล่าวแน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการ ศรัทธาในหมู่พวกเขานั้นจะต้องประสบการลงโทษอันเจ็บแสบ
74. พวกเขาจะไม่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่อัลลอฮฺ และขออภัยโทษต่อพระองค์กระนั้นหรือ? และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ


คำแปล R5.
   หลังจากที่ได้ทรงสาธยายถึงสภาพแห่งความน่าขยะแขยงของชาวยะฮูดีตามที่กล่าวมาแล้ว พระองค์ก็ทรงสาธยายอีกสภาพแห่งความน่าขยะแขยงของพวกนัซรอนีเผ่ายะอ์กูบียะห์ และทรงสาธยายถึงถ้อยคำอันเสียหายจากพวกเหล่านี้ว่า
๗๕. ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าอันที่จริงบรรดานัซรอนีเผ่ายะอ์กูบียะห์ที่พูดว่า”อัลเลาะห์คือพระศรีมงคลอีซาบุตรมัรยำ” นั้น เป็นผู้ไม่มีศรัทธา(กาฟิร)เลย ทั้ง ๆ ที่พระศรีมงคลอีซาก็บอกอยู่แล้วในขณะที่นำข้อบัญญัติใช้และห้ามมายังพวกเหล่านี้ว่าโอ้วงศ์วานอิสรออีล พวกเจ้าจงเคารพสักการะอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของฉันและองค์พระผู้อภิบาลของพวกท่านเถิดเพราะตัวของฉันเองเป็นเพียงข้าของพระองค์คนหนึ่งเท่านั้น หาได้เป็นพระเจ้าไม่ความจริงหากว่าผู้ใดเคารพสักการะต่อใครและอันใดที่อื่นจากอัลเลาะห์เป็นการตั้งภาคีเทียบเคียงกับอัลเลาะห์แล้วไซร้ อัลเลาะห์ก็ทรงกันผู้นั้นมิให้สู่สวรรค์แน่นอน ส่วนที่พำนักของเขาก็คือนรก สำหรับผู้ที่คดโกงทั้งหลายนั้นย่อมไม่มีผู้อนุเคราะห์คอยป้องกันมิให้พวกนี้ต้องโทษจากอัลเลาะห์เลย
๗๖. ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าอันที่จริงบรรดานัซรอนีเผ่านัซตูรียะห์กับเผ่ามัรกูซียะห์ที่พูดว่า “อัลเลาะห์คือพระเจ้าองค์ที่สามจากพระเจ้าสามองค์ซึ่งอีกสององค์ได้แก่อีซากับพระนางมัรยำ” นั้นเป็นผู้ไม่มีศรัทธา(กาฟิร)เลย จะมีพระเจ้าอื่นใดมิได้นอกจากพระเจ้าองค์เดียวคืออัลเลาะห์เท่านั้น แล้วถ้าพวกนัซรอนีทั้งสองเผ่านั้นไม่หยุดยั้งละถ้อยคำที่เอ่ยว่า “มีพระเจ้าสามองค์” แล้วไซร้โทษทรมานอันเจ็บแสบจะต้องประสบกับบางส่วนจากบรรดาผู้ที่ยืนกรานไม่มีศรัทธานั้นเป็นแน่
๗๗. เป็นการอันน่าตำหนิและไม่เป็นการอันควรเลยที่พวกเหล่านั้นจะไม่ขอสารภาพกลับใจต่ออัลเลาะห์ และที่จะไม่ขอประทานอภัยจากพระองค์ว่าพวกตนจะไม่พูดจาอย่างนั้นฝ่ายอัลเลาะห์นั้นเป็นองค์ยิ่งในการอภัยให้แก่ผู้ซึ่งยอมสารภาพกลับใจในความผิดต่ออัลเลาะห์ทรงโปรดปราณีบิ่งต่อผู้นั้น



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 75 - 76


คำอ่าน
75. มัลมะสีหุบนุมัรฺยะมะ อิลลาเราะสูลุน..ก็อดเคาะลัตมิน..ก็อบลิฮิรฺรุสุลุ วะอุม..มุฮูศิดดีเกาะฮฺ กานายะอ์กุลานิฏเฏาะอามะ อุน..ซุรฺกัยฟะ ยุบัยยินุละฮุมุลอายาติ ษุม..มัน..ซุร อัน..นายุอ์ฟะกูน
76. กุลอะตะอฺบุดูนะ มิน..ดูนิลลาฮิ มาลายัมลิกุ ละกุมฎ็อรฺร็อว..วะลานัฟอา วัลลอฮุ ฮุวัสสะมีอุลอะลีม


คำแปล R1.
75. The Messiah ['Iesa (Jesus)], son of Maryam (Mary), was no more than a Messenger; many were the Messengers that passed away before him. His mother [Maryam (Mary)] was a Siddiqah [i.e. she believed in the words of Allah and his Books (See Verse 66:12)]. they both used to eat food (as any other human being, while Allah does not eat). Look how we make the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) clear to them, yet look how they are deluded away (from the truth).
76. Say (O Muhammad to mankind): "How do you worship besides Allah something which has no power either to harm or to benefit you? But it is Allah who is the All-Hearer, All-Knower."


คำแปล R2.
78. อัลมะซีฮฺ(อีซา) บุตรของมัรฺยัม มิใช่อื่นใดเลยนอกจากเป็นศาสนทูตซึ่งมีศาสนทูตเป็นจำนวนมากล่วงลับมาก่อนหน้าเขาแล้ว และมารดาของเขาเป็นผู้สัตย์จริง เขาทั้งสอง(เป็นคนธรรมดาที่)รับประทานอาหาร(เหมือนพวกเจ้านั่นเอง) จงพิจารณาเถิดอย่างไรบ้างที่เราได้แจ้งแก่พวกเขา ซึ่งโอกงการต่าง ๆ หลังจากนั้น เจ้าจงพิจารณาเถิด ไฉนพวกเขาจึงถูกบิดผัน
79. เจ้าจงประกาศเถิด! พวกท่านทั้งหลายจะนมัสการนอกเหนือไปจากอัลเลาะฮฺ แก่สิ่งที่ไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและ(ไม่มีอำนาจที่จะให้)คุณแก่พวกเจ้าเลยกระนั้นหรือ และอัลเลาะฮฺทรงได้ยินยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง


คำแปล R3.
75. มะซีฮฺลูกของมัรยัมนั้นมิใช่ผู้ใดอื่นนอกจากเป็นรอซูลคนหนึ่ง รอซูลหลายคนได้ล่วงลับไปแล้วก่อนหน้าเขาและแม่ของเขาเป็นหญิงที่มีคุณธรรม และเขาทั้งสองก็กินอาหาร (เหมือนกับมนุษย์คนอื่น ๆ) จงดูเถิดว่า เราได้ทำให้สัญญาณทั้งหลายที่นำไปสู่ความจริงชัดเจนแก่พวกเขาอย่างไรและจงดูเถิดว่า พวกเขาถูกทำให้หันเหไปทางอื่นอย่างไร
76. จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า “พวกท่านเคารพภักดีสิ่งอื่นที่ไม่มีอำนาจให้โทษและยังคุณประโยชน์แก่พวกท่านแทนอัลลอฮฺกระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วอัลลอฮฺเท่านั้นที่เป็นผู้ทรงได้ยินและทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง


คำแปล R4.
75. อัล-มะซีหฺบุตรของมัรยัม นั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นรอซูลคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งบรรดารอซูลก่อนเขาก็ได้ล่วงลับไปแล้ว และมารดาของเขานั้นคือหญิงที่มีสัจจะวาจา ซึ่งทั้งสองนั้นรับประทานอาหาร จงดูเถิด (มุฮัมมัด) ว่าอย่างไรเล่าที่เราได้แจกแจงโองการต่าง ๆ แก่พวกเขา? และจงดูเถิดว่าอย่างไรเล่าพวกเขาจึงถูกหันเหไปได้
76. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจะเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮฺ สิ่งซึ่งไม่มีอำนาจครอบครองอันตรายใด ๆ และประโยชน์ใด ๆ ไว้สำหรับพวกท่านกระนั้นหรือ? และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้


คำแปล R5.
๗๘. อีซาพระศรีมงคลผู้เป็นบุตรมัรยำนั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นพระศาสนทูตของอัลเลาะห์ซึ่งก่อนจากพระศาสนทูตผู้นี้(อีซา)ก็เคยมีพระศาสนทูตล่วงลับไปแล้ว อีซาเองก็ต้องล่วงลับไปด้วยเช่นเดียวกัน ฉะนั้นอีซาจึงไม่ใช่พระเจ้าเหมือนดังที่พวกนั้นเข้าใจผิด ๆ กันอยู่ แต่ถ้าอีซาเป็นพระเจ้าแล้วอีซาก็ต้องยังมีอยู่ ส่วนนางมัรยำผู้เป็นมารดาของเขา(อีซา)นั้นก็เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความสัจจริงเหมือนกับสตรีที่ถึงพร้อมด้วยความสัจจริงทั่ว ๆ ไป นางมัรยำจึงไม่ใช่พระเจ้า ซึ่งอีซาก็ดี นางมัรยำผู้เป็นมารดาก็ดีทั้งสองต่างก็กินอาหารเหมือนกับสัตว์โลกกินอาหารนั่นแหละ เมื่อทั้งสงมีสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไปดังที่ว่านี้แล้ว ย่อมแสดงว่าทั้งสองนี้เป็นพระเจ้าหาได้ไม่เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนประกอบเป็นโครงร่าง เป็นผู้มีความอ่อนแอและมีสิ่งที่ปลีกออกจากเรือนร่างของเขา อันมีปัสสาวะและอุจจาระเป็นต้น โอ้มูฮำมัด เจ้าจงมองดูซิว่าเรา(อัลเลาะห์)ได้ชี้แจงสัญญาณแห่งความเป็นเอกภาพ(ความเป็นองค์เดียว)ของเราไว้แก่พวกเหล่านั้นเป็นไฉน? มีความพิสดารอันน่าประหลาดขนาดไหน? แล้วก็จงมองดูอีกทีเถิดว่าทำไมพวกเหล่านั้นจึงได้ปลีกตัวออกจากความจริงทั้ง ๆ ที่หลักฐานยืนยันในเอกภาพของอัลเลาะห์ที่ทรงชี้แจงแก่พวกนั้นอย่างถี่ถ้วนพิสดารก็มีอยู่พร้อม ถือได้ว่าการปลีกตัวออกจากสัญญาณแห่งเอกภาพที่พิสดารนี้เป็นความประหลาดยิ่งนัก
๗๙. โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ยะฮูดีเผ่ายะกูบียะห์ เผ่านัซตูรียะห์เถิดว่า ย่อมไม่เป็นการอันควรเลยที่พวกเจ้าทั้งสามเผ่าจะเคารพสักการะอื่นจากอัลเลาะห์ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันไม่สิทธิ์ยังความเดือดร้อนและยังประโยชน์แก่พวกเจ้าได้เลย แต่อัลเลาะห์ซิทรงเป็นองค์ได้ยินยิ่งในถ้อยคำของพวกเจ้าที่พูดจากันทรงรู้ยิ่งถึงอากัปกิริยาของพวกเจ้าที่กระทำกันขึ้น



 

GoogleTagged