กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
กระทู้ที่น่าสนใจ
ฟอรั่ม
หน้าแรก
ค้นหา
ปฏิทิน
Contact
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
GoogleTagged
กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
»
เสวนาเชิงวิชาการ
»
อัลกุรอาน
(ผู้ดูแล:
นูรุ้ลอิสลาม
,
Bangmud
) »
อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า:
1
2
[
3
]
4
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ (อ่าน 10042 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #30 เมื่อ:
ส.ค. 05, 2011, 06:41 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 77 - 79
คำอ่าน
77. กุลยา..อะฮฺลัลกิตาบิ ลาตัฆลูฟีดีนิกุม ฆ็อยร็อลหักกิ วะลาตัตตะบิอูอะฮฺวา...อะ ก็อวมิน..ก็อดฎ็อลลู มิน..ก็อบลุ วะอะฎ็อลลูกะษีร็อว..วะฎ็อลลู อัน..สะวาอิสสะบีล
78. ลุอินัลละซีนะกะฟะรู มิม..บะนี..อิสรอ...อีละ อะลาลิสานิ ดาวูดะ วะอีสับนิมัรฺยะมะ ซาลิกะบิมาอะศ็อว วะกานูยะอฺตะดูน
79. กานูลายะตะนาเฮานะ อัม..มุน..กะริน..ฟะอะลูฮุ ละบิอ์สะ มากานูยัฟอะลูน
คำแปล R1.
77. Say (O Muhammad): "O people of the Scripture (Jews and Christians)! exceed not the limits in your Religion (by believing In something) other than the truth, and do not follow the vain desires of people who went astray in times gone by, and who misled many, and strayed (themselves) from the Right Path."
78. Those among the Children of Israel who disbelieved were cursed by the tongue of
Dawud
(David) and
'Iesa
(Jesus), son of
Maryam
(Mary). that was because they disobeyed (Allah and the Messengers) and were ever transgressing beyond bounds.
79. They used not to forbid one another from the
Munkar
(wrong, evilญdoing, sins, polytheism, disbelief, etc.) which they committed. Vile indeed was what they used to do.
คำแปล R2.
80. เจ้าจงประกาสเถิด! โอ้ชาวคัมภีร์ พวกเจ้าอย่าละเมิดในศาสนาของพวกเจ้าโดยไม่ชอบธรรม และพวเจ้าอย่าตามอารมณ์ของกลุ่มชนหนึ่งที่ได้หลงผิดมาก่อนหน้าและพวกเจ้าทำให้คนส่วนมากหลงผิด และพวกเขาหลงไปจากทางอันเที่ยงตรง
81. บรรดาผู้เนรคุณจากเผ่าพันธุ์ของอิสรออีลได้ถูกสาปแช่งผ่านคำประกาศของดาวู๊ดและอีซาบุตรมัรยัม นั้น! เป็นเพราะเหตุพวกเขาฝ่าฝืน และพวกเขาได้ละเมิด(บทบัญญัติของอัลเลาะฮฺ)
82. พวกเขาไม่ยอมห้ามปรามซึ่งกันและกันในสิ่งต้องห้ามที่พวกเขาได้กระทำ ขอยืนยัน! สิ่งที่พวกเขาได้เคยประพฤตินั้น เป็นความเลวร้ายเหลือเกิน
คำแปล R3.
77. จงกล่าวเถิด “โอ้ชาวคัมภีร์ จงอย่าละเมิดขอบเขตแห่งสัจธรรมในศาสนาของพวกท่าน และจงอย่าปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของบรรดาผู้ที่หลงผิดมาแล้วก่อนหน้าพวกท่าน และได้ทำให้คนอื่นอีกหลายคนหลงผิดและพวกเขาเองก็ได้หลงออกไปจากทางที่เที่ยงตรง
78. บรรดาผู้ปฏิเสธจากวงศ์วานอิสรออีลถูกสาปแช่งโดยลิ้นของดาวูดและอีซาลูกของมัรยัม นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาฝ่าฝืนและละเมิดเสมอ
79. พวกเขาไม่ได้ห้ามปรามกันและกันจากความชั่วช้าที่พวกเขาปฏิบัติ แน่นอน ช่าง ๆ ชั่วช้าแท้ ๆ ที่พวกเขาปฏิบัติ
คำแปล R4.
77. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย! จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขตในศาสนาของพวกท่านโดยปราศจากความเป็นจริง และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกหนึ่งพวกใดที่พวกเขาได้หลงผิดมา ก่อนแล้ว และได้ทำให้ผู้คนมากมายหลงผิดด้วย และพวกเขาก็ได้หลงผิดไปจากทางอันเที่ยงตรง
78. บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาในหมู่วงศ์วานอิสรออีลนั้นได้ถูกสาปโดยถ้อยคำของดาวูดและอีซาบุตรของมัรยัม นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน และที่พวกเขาเคยละเมิดกัน
79. ปรากฏว่าพวกเขาต่างไม่ห้ามปรามกันในสิ่งไม่ชอบที่พวกเขาได้กระทำมันขึ้น ช่างเลวร้ายจริง ๆ สิ่งที่พวกเขากระทำ
คำแปล R5.
๘๐. โอ้มูฮำมัด
เจ้าจงกล่าว
แก่พวกยะฮูดีและนัซรอนี
เถิดว่า โอ้ผู้ทรงพระคัมภีร์
ทั้งสองฝ่าย
พวกเจ้าอย่าได้ล่วงละเมิด
ซึงขอบเขค
ในศาสนาของพวกเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม
โดยฝ่ายยะฮูดีเหยียดหยามอีซาให้เสื่อมเสียเกียรติยศด้วยถ้อยคำกล่าวหาที่ว่า “อีซาเป็นลูกซินา(ลูกที่เกิดจากการปฏิสนธิของบิดามารดาที่ร่วมประเวณีกันนอกอนุญาต)” และด้วยคำกล่าวยกย่องของฝ่ายนัซรอนีที่ว่า “อีซาเป็นพระเจ้า”
และพวกเจ้าอย่าได้เจริญรอยตามอารมณ์
แห่งกิเลส
ของชนพวกหนึ่งที่
เป็นบรรพบุรุษของพวกเจ้า ซึ่งบรรพบุรุษเหล่านั้น
เคยหลงงมงาย
เกี่ยวกับเรื่องอีซา
กันมาก่อนแล้ว
ด้วยการล่วงละเมิดขอบเขตในพระคัมภีร์อินยีล เช่น เหยียดหยามอีซาเกินไปและด้วยการยกอีซาเกินไป
อีกทั้ง
บรรพบุรุษ
เหล่านั้นยังได้ทำให้คนส่วนใหญ่หลงงมงาย และพวกเหล่านั้นเอง
ที่เป็นบุตรหลานในปัจจุบันของบรรพบุรุษที่กล่าวนี้
ก็ได้หลงงมงายพลาดทางเที่ยงตรง
จากพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ที่แจ้งไว้ว่า อีซานั้นไม่ใช่พระเจ้าและไม่ใช่ลูกซินา
อีกด้วย
๘๑.
บรรดาที่เป็นวงส์วานอิสรออีลบางคน
ทั้งฝ่ายยะฮูดีและนัซรอนี
ที่ไม่มีศรัทธานั้นถูกสาปแช่งเสียแล้วโดยน้ำคำของดาวู๊ด
ที่ออกปากสาปแช่งยะฮูดีให้เป็นลิงตามคำบัญชาของอัลเลาะห์ คืออกทำการประมงในวันเสาร์ ยะฮูดีพวกนี้คือพวกไอละห์
และ
ถูกสาปแช่งโดยน้ำคำของ
อีซาบุตรมัรยำ
ที่ออกปากสาปแช่งพวกนัซรอนีให้เป็นสุกรบ้าง เป็นลิงบ้าง ตามคำบัญชาของอัลเลาะห์ เพราะพวกนี้ฝ่าฝืนข้อบัญญัติใช้และห้ามของพระองค์ คือเก็บกักอาหารไว้บริโภคอีกหลังจากได้บริโภคแล้ว นัซรอนีพวกนี้คือพวกมาอิดะห์(อาหารจากฟากฟ้า) ชนจำพวกนี้มีจำนวนห้าพันคนซึ่งล้วนแต่เป็นชานฉกรรจ์ทั้งนั้นไม่มีแม้แต่หญิงหรือเด็ก ๆ การสาปแช่งให้เป็นไปดังกล่าว
นี้แหละเนื่องจากพวกเหล่านั้นทรยศและล่วงละเมิดซึ่งขอบเขค
แห่งศาสนา
๘๒.
พวก
ในวงส์วานอิสรออีล
เหล่านั้นไม่เคยห้ามซึ่งกันและกันเลยในเรื่องต้องห้ามที่พวกเหล่านั้น
บางคนหันกลับมา
ประพฤติมัน
อีก พฤติการณ์อย่างนี้
ที่พวกนั้นได้ประพฤติกันเลวร้ายยิ่งนัก
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #31 เมื่อ:
ส.ค. 05, 2011, 10:38 PM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 80 - 82
คำอ่าน
80. ตะรอ กะษีร็อม..มินฮุม ยะตะวัลเลานัลละซีนะกะฟะรู ละบิอ์สะมาก็อดดะมัต ละฮุม อัน..ฟุสุฮุม อัน..สะคิฏ็อลลอฮุ อะลัยฮิม วะฟิลอะซาบิ ฮุมคอลิดูน
81. วะเลากานู ยุอ์มินูนะ บิลลาฮิ วัน..นะบียิ วะมา..อุน..ซิละอิลัยฮิ มัตตะเคาะซูฮุม เอาลิยา..อะ วะลากิน..นะ กะษีร็อม..มินฮุม ฟาสิกูน
82. ละตะญิดัน..นะ อะชัดดัน..นาสิ อะดาวะตัลลิลละซีนะ อามะนุลยะฮูดะ วัลละซีนะอัชเราะกู วะละตะญิดัน..นะ อักเราะบะฮุม..มะวัดดะตัลลิลละซีนะอามะนุลละซีนะ กอลู..อิน..นา นะศอรอ ซาลิกะบิอัน..นะมิน ฮุม กิสสีสีนะ วะรุฮฺบาเนา..วะอัน..นะฮุม ลายัสตักบิรูน
คำแปล R1.
80. You see many of them taking the disbelievers as their
Auliya'
(protectors and helpers). Evil indeed is that which their ownselves have sent forward before them, for that (reason) Allah's wrath fell upon them and in torment they will abide.
81. And had they believed in Allah, and in the Prophet (Muhammad) and in what has been revealed to him, never would they have taken them (the disbelievers) as
Auliya'
(protectors and helpers), but many of them are the
Fasiqun
(rebellious, disobedient to Allah).
82. Verily, you will find the strongest among men in enmity to the believers (Muslims) the Jews and those who are
Al-Mushrikun
(See V.2:105), and you will find the nearest in love to the believers (Muslims) those who say: "We are Christians." that is because amongst them are priests and monks, and they are not proud.
คำแปล R2.
83. เจ้าเห็นพวกนั้นส่วนมากคบหาสมาคมกับบรรดาพวกเนรคุณ ขอยืนยัน! อันสิ่งที่พวกเขาได้กระทำล่วงหน้าไว้โดยตัวพวกเขาเพื่อพวกเขาเองนั้น ช่างเลวร้ายเหลือเกิน อัลเลาะฮฺทรงกริ้วพวกเขายิ่งนัก และพวกเขาต้องเข้าอยู่ในการลงโทษโดยนินันดร
84. และมาดแม้นพวกเขาศรัทธาในอัลเลาะฮฺ และในศาสดาและในคัมภีร์ที่ถูกลงมาให้ศาสดาแน่นอนพวกเขาก็จะไม่ยึดเอา(คนเนรคุณ)พวกนั้นมาเป็นมิตรหรอก แต่ทว่าคนส่วนมากของพวกนั้นเป็นพวกฝ่าฝืน(บทบัญญัติของอัลเลาะฮฺ)
85. ขอยืนยัน แน่แท้เจ้าจะได้พบกับมนุษย์ที่ทำการรุกรานอย่างรุนแรงกับบรรดาผู้ศรัทธานั่นคือพวกยะฮูดี และบรรดาพวกที่ตั้งภาคีและเจ้าจะได้พบกับพวกที่มีความรักสนิทสนมยิ่งกับมวลผู้ศรัทธา ซึ่งพวกนั้นกล่าวว่า “พวกเราเป็นนัศรอนี(คริสต์)” ทั้งนี้เป็นเพราะบางคนของพวกเขาเป็นนักปราชญ์และนักบุญ และพวกเขาไม่ทระนงตน
คำแปล R3.
80. เจ้าเห็นส่วนมากของพวกเขาเป็นมิตรกับบรรดาผู้ปฏิเสธ แน่นอนช่างชั่วช้าแม้ ๆ ที่พวกเขาได้กระทำไว้สหรับตัวเอง เพราะพวกเขาทำให้อัลลอฮฺทรงกริ้ว และพวกเขาจะต้องถูกลงโทษ
81. และถ้าหากพวกเขาศรัทธาในอัลลอฮฺและนบีและที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เขา พวกเขาคงไม่คบคนพวกนั้น(ผู้ปฏิเสธ)เป็นมิตร แต่ว่าส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ฝ่าฝืน
82. แน่นอนเจ้าจะพบว่าพวกยิวและบรรดาผู้ตั้งภาคีนั้นเป็นศัตรูยิ่งต่อบรรดาผู้ศรัทธา และแน่นอนเจ้าจะพบว่าพวกที่มีความรักใคร่ใกล้ชิดกับบรรดาผู้ศรัทธามากว่านั้น คือบรรดาผู้ที่กล่าวว่า “แท้จริงเราเป็นคริสต์ชน” นั่นเป็นเพราะในหมู่พวกเขามีผู้ทรงความรู้และพวกบาทหลวง และเพราะพวกเขาเย่อหยิ่ง
คำแปล R4.
80. เจ้า(มุฮัมมัด) ก็จะเห็นมากมายในหมู่พวกเขาเป็นมิตรกับบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา ช่างเลวร้ายจริงๆสิ่งที่ตัวของพวกเขาเองได้ประกอบล่วงหน้าไว้สำหรับพวก เขาอันเป็นเหตุให้อัลลอฮฺทรงกริ้วพวกเขาและพวกเขาจะคงอยู่ในการลงโทษตลอดกาล
81. และหากพวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และนบีและสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เขา แล้วพวกเขาก็จะไม่ยึดเอาเขาเหล่านั้นเป็นมิตร แต่ทว่ามากมายในหมู่พวกเขานั้นเป็นผู้ที่ละเมิด
82. แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮฺ และแน่นอนเจ้าจะพบว่า บรรดาผู้ที่มีความรักใคร่แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาใกล้กว่าพวกเขานั้นคือ บรรดาผู้ที่กล่าวว่าแท้จริงพวกเราเป็นคริสต์ นั่นก็เพราะว่า ในหมู่พวกเขานั้นมีบรรดานักปราชญ์ และบาทหลวงและก็เพราะว่าพวกเขาไม่เย่อหยิ่ง
คำแปล R5.
๘๓. โอ้มูฮำมัด
เจ้าจะได้เห็นพวก
ในวงศ์ตระกูลอิสรออีล
เหล่านั้นเป็นส่วนมากที่เข้าเป็นมิตร
และรักใคร่ชอบพอ
กับบรรดาที่เป็นกาฟิร
ชาวมักกะห์ เนื่องจากพวกนี้มีความโกรธแค้นในตัวเจ้า
ถือได้ว่าเป็นความเลวยิ่งสำหรับพวกนั้นที่ประพฤติ
ตนเป็นมิตรไมตรีขึ้นกับพวกกาฟิรมักกะห์
ถึงกับอัลเลาะห์กริ้วโกรธพวกเหล่านั้น และพวกเหล่านั้นจะต้องสถิตถาวรอยู่ในการลงโทษทรมาน
๘๔.
แหละถ้าพวก
ในวงศ์สกุลอิสรออีล
เหล่านั้นศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ต่อพระศาสดา
มูฮำมัด
และต่อพระคัมภีร์
อัล-กุรอาน
ที่ถูก
อัลเลาะห์
ประทานมายังเขา
(มูฮำมัด)
แล้วไซร้ พวกเขาก็คงไม่คบหาพวก
กาฟิรชาวมักกะห์
เหล่านั้นเป็นมิตร
และเป็นที่รัก
แน่นอน แต่ทว่าพวกเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้มีบาปหนา
โดยการออกห่างจากความศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ต่อพระศาสดามูฮำมัดและต่อพระคัมภีร์อัล-กุรอาน
๘๕. และ โอ้มูฮำมัด ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณว่า
อันที่จริงนั้น เจ้าต้องได้พบแน่ว่าพวกยะฮูดีและบรรดา
กาฟิรมักกะห์
ผู้ถือ
เอาอื่นจากอัลเลาะห์เป็น
ภาคีเทียบเคียงพระองค์นั้นเป็นปรปักษ์อย่างร้ายแรงต่อบรรดาผู้ศรัทธา
(มุอ์มิน)
ยิ่งกว่ามวลมนุษย์
เพราะว่าพวกนี้มีความไม่ศรัทธา มีความโง่งม ตลอดจนได้รับความล่มจมเพราะอารมณ์แห่งกิเลสพอกพูนมากขึ้น
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้มีอยู่ว่า
ขณะที่พวกนะยาซีย์ได้เดินทางมาจากเมืองฮับซีย์(อบิซิเนีย)เพื่อต้องการพบกับพวกมุอ์มิน พระศาสดามูฮำมัดได้นำซูเราะห์ยาซีนมาอัญเชิญให้พวกนั้นสดับฟัง พวกเหล่านั้นถึงกับร้องไห้ และได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า เนื้อความแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานนี้ช่างคล้ายกับเนื้อความในพระคัมภีร์อินยีลเสียจริง ๆ จึงได้มีโองการจากอัลเลาะห์ลงมา
และ
โอ้มูฮำมัด ข้าขอให้สัตย์ปฏิญาณ
ว่าอันที่จริงนั้นเจ้าต้องได้พบแน่ว่าบรรดาผู
อยู่ในวงศ์ตระกูลอิสรออีล
ซึ่งกล่าวว่า “แท้จริงพวกเราเป็นพวกนัซรอนี” นั้นมีความรักใคร่อย่างใกล้ชิดกับบรรดาผู้ศรัทธา
(มุอ์มิน)
ยิ่งกว่า
มนุษย์
พวกนั้น
ความรักใคร่อย่างใกล้ชิดยิ่งของพวกนี้ที่มีต่อพวกผู้ศรัทธา
นี่แหละพวก
นัซรอนี
เหล่านี้บางคนถึงเป็นนักปราชญ์และเป็นนักธรรมวินัยกันได้ โดยมิได้เย่อหยิ่งยโส
ต่อการที่พวกเขาเหล่านั้นจะดำเนินแนวตามความสัจจริงเหมือนอย่างที่พวกยะฮูดีและพวกกาฟิรชาวมักกะห์เย่อหยิ่ง
กันเลย
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #32 เมื่อ:
ส.ค. 09, 2011, 09:02 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 83 - 86
คำอ่าน
83. วะอิซาสะมิอู มา..อุน..ซิละอิลัรฺเราะสูลิ ตะรอ..อะอฺยุนะฮุม ตะฟีฎุ มินัดดัมอิ มิม..มาอะเราะฟูมินัลหักกฺ ยะกูลูนะร็อบบะนา..อามัน..นา ฟักตุบนามะอัชชาฮิดีน
84. วะมาละนาลานุอ์มินุบิลลาฮิ วะมาญา...อะนามินัลหักกิ วะนัฏมะอุ อัย..ยุดคิละนา ร็อบบุนา มะอัลก็อวมิศศอลิหีน
85. ฟะอะษาบะฮุมุลลอฮุ บิมากอลู ญัน..นาติน..ตัจญรีมิน..ตะหฺติฮัลอันฮารุ คอลิดีนะฟีฮา วะซาลิกะญะซาอุลมุหฺสินีน
86. วัลละซีนะกะฟะรู วะกัซซะบูบิอายาตินา..อุลา...อิกะอัศหาบุลญะหีม
คำแปล R1.
83. And when they (who call themselves Christians) listen to what has been sent down to the Messenger (Muhammad), you see their eyes overflowing with tears because of the truth they have recognized. They say: "Our Lord! We believe; so write us down among the witnesses.
84. "And why should we not believe in Allah and in that which has come to us of the truth (Islamic Monotheism)? And we wish that our Lord will admit us (in Paradise on the Day of Resurrection) along with the righteous people (Prophet Muhammad and his Companions)."
85. So because of what they said, Allah rewarded them Gardens under which rivers flow (in Paradise), they will abide therein forever. Such is the reward of good-doers.
86. But those who disbelieved and belied Our
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), they shall be the dwellers of the (Hell) Fire.
คำแปล R2.
86. และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่ง(กุรอาน)ที่ถูกประทานมายังศาสนทูต(แห่งอัลเลาะฮฺ)เจ้าก็เห็นดวงตาของเขาหลั่งนองไปด้วยน้ำตา เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาได้เคยรู้จากสัจธรรม(แห่งอัลกุรอาน ซึ่งคัมภีร์ของเขาได้ระบุไว้ชัดเจน) เขาจึงรำพึงว่า “โอ้องค์อภิบาลของเรา เราศรัทธาแล้ว (ในนบีมุฮำมัดและอัลกุรอานอันบริสุทธิ์) ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดบันทึกเรา ให้อยู่รวมกับบรรดาผู้เป็นสักขีพยาน (ที่ยืนยันและรับรองในสัจจะแห่งนบีมุฮำมัด ซ.ล.เถิด)
87. และไม่มีเหตุผลสำหรับเราเลยที่เราจะไม่ศรัทธาในอัลเลาะฮฺ และสัจธรรม(อัลกุรอาน)ที่ได้มาถึงเราแล้ว และเรามีความมุ่งหวังเหลือเกินว่าองค์อภิบาลของเราจะให้เราเข้าอยู่ร่วมกับบรรดาคนดี ๆ ทั้งหลาย(ในสวรรค์)
88. ครั้นแล้วอัลเลาะฮฺได้ทรงตอบแทนกุศลแก่พวกเขา(อย่างสาสม)กับที่พวกเขาได้เคยกล่าวไว้(นั่นคือพวกเขายอมรับศรัทธาโดยบริสุทธิ์ใจ) โดยได้สวรรค์ที่มีธารน้ำไหลผ่าน ณ เบื้องใต้ของมัน พวกเขาเข้าอยู่ในนั้นโดยนิรันดร และนั้นเป็นการตอบแทนแก่บรรดาผู้ประพฤติดีทั้งหลาย
89. และบรรดาผู้เนรคุณและว่าโองการต่าง ๆ ของเราเป็นเท็จนั้น พวกเหล่านั้นเป็นชาวนรก (อย่างแน่นอน)
คำแปล R3.
83. เมื่อพวกเขาได้ยินที่ถูกประทานมาแก่รอซูลเจ้าจะเห็นตาของพวกเขาท้นด้วยน้ำตาเนื่องด้วยความจริงที่พวกเขาจำได้ พวกเขากล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของเรา เราศรัทธาแล้ว ดังนั้นได้ทรงโปรดบันทึกเราร่วมไว้กับผู้ที่เป็นพยาน”
84.
(และพวกเขากล่าวว่า)
“และไฉนเล่าที่เราไม่ศรัทธาในอัลลอฮฺและในความจริงที่ได้มายังเรา เมื่อเราใคร่ที่จะให้พระผู้อภิบาลของเราให้เราเข้าไป(ในสวนสวรรค์) พร้อมกับบรรดากัลป์ยานชน”
85. ดังนั้น ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไป อัลลอฮฺได้ทรงตอบแทนรางวัลพวกเขาด้วยสวนสวรรค์หลากหลาย ซึ่ง ณ เบื้องล่างมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน พวกเขาจะได้พำนักอยู่ในนั้น และนั่นคือการตอบแทนของผู้ทำดี
86. และบรรดาผู้ปฏิเสธและถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จนั้น เหล่านี้คือสหายของไฟที่โชติช่วง
คำแปล R4.
83. และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่รอซูลแล้ว เจ้าก็จะเห็นตาของพวกเขาหลั่งออกมาซึ่งน้ำตา เนื่องจากความจริงที่พวกเขารู้ โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดได้ทรงจารึกพวกข้าพระองค์ไว้ร่วมกับบรรดาผู้ กล่าวปฏิญาณยืนยันด้วยเถิด
84. และไม่มีเหตุผลใด ๆ แก่เราที่เราจะไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และความจริงที่มายังเรา และเราปรารถนาอย่างแรงกล้าที่พระเจ้าของเราจะทรงให้เราเข้าร่วมอยู่กับพวกที่ดี ๆ ทั้งหลาย
85. แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงตอบแทนแก่พวกเขาเนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขากล่าว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ภายใต้สวนเหล่านั้น โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และนั่นแหละคือ การตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำดี
86. และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น ชนเหล่านี้แหละคือ ชาวนรกที่มีเปลวไฟอันโชติช่วง (อัล-ญะฮีม)
คำแปล R5.
๘๖.
และ
มีมวลชนคณะหนึ่งได้แก่ นะยาซีย์กับพรรคพวกอีก ๗๐ คน
และเมื่อเขาได้ยินบท
บัญญัติแห่งซูเราะห์มัรยำ
ที่ถูกประทานไปยังพระศาสนทูต
ซึ่งยะฟัรบุตรอะบูตอลิบได้นำมาอัญเชิญแล้ว โอ้มุฮำมัด
เจ้าก็จะได้แลเห็นน้ำตาของพวกนั้นเอ่อรินออกมาเพราะต่างได้เข้าใจ
ซาบซึ้ง
ในความสัจจริงเสียแล้ว
โดยพวกเหล่านั้น
เอ่ยว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย พวกข้าพระองค์นี้ได้ศรัทธา
ต่อองค์พระศาสดามุฮำมัดผู้เป็นพระศาสนทูตของพระองค์ และศรัทธาต่อพระคัมภีร์อัล-กุรอานของพระองค์แล้ว
ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดบันทึกให้บรรดาข้าพระองค์ได้ร่วมอยู่กับเหล่าชนผู้ยอมรับ
ว่า มุฮำมัดและพระคัมภีร์อัล-กุรอานเป็นของจริง
ด้วยเถิด
๘๗. แล้วพวกเหล่านั้นก็ได้กล่าวตอบพวกยะฮูดีที่ตำหนิติเตียนพวกตนท่ไปยอมเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามว่า
ไม่เป็นการอันควรเลยที่พวกเราจะไม่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และความสัจจริง
คือ อัล-กุรอาน
ที่มีมายังพวกเรา
และว่าไม่มีสิ่งใดจะมาหักห้ามพวกเรามิให้ศรัทธาได้เลย ในเมื่อสื่อชักนำให้ศรัทธามีอยู่แล้ว
และ
ไม่เป็นการอันควรเลย
ที่พวกเราจะไม่นึกอยากให้องค์พระผู้อภิบาลของพวกเรานำพวกเราไปอยู่
สรวงสวรรค์
พร้อมกับผู้ประพฤติชอบทั้งหลาย
๘๘. ทรงตรัสว่า
เหตุที่พวกนั้นกล่าวไว้
ว่า “พวกเราศรัทธาต่อมุฮำมัดและอัล-กุรอาน
นี้เอง อัลเลาะห์จึงได้ทรงปูนบำเหน็จบุญกุศลให้พวกเหล่านั้นใต้สู่สวรรค์ที่ภายใต้มีธารน้ำหลายสายไหลผ่าน โดย
พวกเหล่านั้น
สถิตถาวรอยู่ใน
สวรรค์
นั้นประจำ
อย่างไม่มีวันถูกขับให้ออกและไม่ตาย
แหละอันนี้เองเป็นผลตอบแทนสำหรับผู้ประพฤติการดีทั้งหลาย
ในด้านกระทำให้ความศรัทธาของตนดีงามเลิศล้น
๘๙.
ส่วนบรรดา
วงศ์วานของอิสรออีล
ที่มิได้ศรัทธา
อย่างมั่นคง
ทั้งยังหาว่าบรรดาโองการของเราเป็นเท็จนั้น พวกเหล่านี้แหละคือชาวนรกยะฮีม
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #33 เมื่อ:
ส.ค. 12, 2011, 08:47 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 87 - 89
คำอ่าน
87. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตุหัรฺริมูฏ็อยยิบาติ มาอะหัลลัลลอฮุ ละกุม วะลาตะอฺตะดู อิน..นัลลอฮะ ลายุหิบบุลมุอฺตะดีน
88. วะกุลูมิม..มา เราะซะเกาะกุมุลลอฮุ หะลาลัน..ฏ็อยยิบา วัตตะกุลลอฮัลละซี อัน..ตุม..บิฮีมุอ์มินูน
89. ลายุอาคิซุกุมุลลอฮุ บิลลัฆวิฟี..อัยมานิกุม วะลากี..ยุอาคิซุกุม..บิมาอักก็อตตุมุลอัยมานะ ฟะกัฟฟาเราะตุฮู..อิฏอามุ อะชะเราะติมะสากีนะ มินเอาสะฏิ มาตุฏอิมูนะ อะฮฺลีกุม เอากิสวะตุฮุม เอาตะหฺรีรุเราะเกาะบะฮฺ ฟะมัลลัมยะญิด ฟะศิยามุฎะลาฎะติอัยยาม ซาลิกะกัฟฟาเราะตุ อัยมานิกุม อิซาหะลัฟตุม วะหฺฟะซู..อัยมานะกุม กะซาลิกะยุบัยยุนุลลอฮุละกุม อายาติฮีละอัลละกุมตัชกุรูน
คำแปล R1.
87. O you who believe! Make not unlawful the
Taiyibat
(all that is good as regards foods, things, deeds, beliefs, persons, etc.) which Allah has made lawful to you, and transgress not. Verily, Allah does not like the transgressors.
88. And eat of the things which Allah has provided for you, lawful and good, and fear Allah in whom you believe.
89. Allah will not punish you for what is unintentional in your oaths, but He will punish you for your deliberate oaths; for its expiation (a deliberate oath) feed ten
Masakin
(poor persons), on a scale of the average of that with which you feed your own families; or clothe them; or manumit a slave. but whosoever cannot afford (that), then he should fast for three days. that is the expiation for the oaths when you have sworn . And protect your oaths (i.e. do not swear much). Thus Allah make clear to you his
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) that you may be grateful.
คำแปล R2.
90. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! เจ้าทั้งหลายจงอย่าว่าสิ่งดี ๆ (อาหาร)ที่อัลเลาะฮฺทรงอนุมัติแก่พวกเจ้าเป็นสิ่งต้องห้าม และพวกเจ้าอย่าล่วงละเมิด(บทบัญญัติแห่งอัลเลาะฮฺ) แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่รักบรรดาผู้ละเมิดทั้งมวล
91. และเจ้าทั้งหลายจงบริโภคจากสิ่งที่อัลเลาะฮฺได้ทรงประทานแก่พวกเจ้า เฉพาะสิ่งที่อนุมัติที่ดี(มีคุณค่า) และเจ้าทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ ซึ่งพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาในพระองค์
92. อัลเลาะฮฺไม่ทรงเอาผิดพวกเจ้าทั้งหลายในการสาบานที่ไม่จงใจของพวกเจ้า แต่พระองค์ทรงเอาผิดพวกเจ้า ด้วยสิ่งที่พวกเจ้าจงใจผูกพันกับการสาบาน(อย่างจริงจัง) ดังนั้น การไถ่ความผิดของมัน (เมื่อไม่ได้ทำไปตามสาบานนั้น ๆ) คือการให้อาหารแก่คนอนาถาสิบคน (โดยเลือกมา)จากระดับปานกลางของ(อาหาร)ที่พวกเจ้าให้แก่ครอบครัวของพวกเจ้า หรือเครื่องนุ่งห่มของพวกเขา (คนอนาถา 10 คน) หรือการปล่อยทาสเป็นอิสระ(1 คน) แต่ถ้าผู้ใดไม่ได้ (สิ่งเหล่านั้นมาไถ่ความผิดที่กล่าวมา) ก็จะต้องถือศีลอดสามวัน นั้นเป็นการไถ่ความผิด(แห่งการฝ่าฝืน)คำสาบานของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าได้ทำการสาบานไว้ และเจ้าทั้งหลายจงรักษาการสาบานของพวกเจ้า (ไว้ด้วยการปฏิบัติตามสาบานอย่างเคร่งครัด) เช่นนี้แหละที่อัลเลาะฮฺทรงชี้แจงแก่พวกเจ้าซึ่งโองการต่าง ๆ ของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ
คำแปล R3.
87. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่าห้ามสิ่งที่ดีทั้งหลายที่อัลลอฮิได้ทรงอนุมัติสำหรับสูเจ้า และจงอย่าละเมิด แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงรักผู้ละเมิด
88. และจงบริโภคจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่สูเจ้าซึ่งสิ่งที่อนุมัติและที่ดี และจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ ผู้ซึ่งสูเจ้าทั้งหลายมีความศรัทธา
89. อัลลอฮฺไม่ทรงยึดถือถ้อยคำไร้สาระในการสาบานของสูเจ้า แต่อัลลอฮฺทรงยึดถือสิ่งที่สูเจ้าได้ผูกพันธะสาบานไว้โดยเจตนา ดังนั้น การไถ่โทษของเขา
(ในการผิดคำสาบาน)
คือการให้อาหารคนขัดสนสิบคนตามปริมาณเฉลี่ยที่สูเจ้าให้อาคารแก่ครอบครัวของสูเจ้าหรือให้เครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาหรือการปลดปล่อยทาสหนึ่งคน หรือถ้าหากไม่สามารถสามารถทำได้ก็ให้ถือศีลอด 3 วัน เมื่อสูเจ้าได้สาบานจงรักษาคำสาบานของสูเจ้า ดังนั้น อัลลอฮฺได้ทรงทำให้คำบัญชาทั้งหลายของพระองค์กระจ่างแจ้งแก่สูเจ้าเพื่อสูเจ้าจะได้ขอบคุณ
คำแปล R4.
87. ผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าได้ให้เป็นที่ต้องห้าม ซึ่งบรรดาสิ่งดี ๆ ในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงอนุมัติแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจงอย่าละเมิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้ละเมิด
88. และพวกเจ้าจงบริโภคสิ่งอนุมัติที่ดี ๆ จากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เป็นปัจจัยชีพแก่พวกเจ้า และพึงยำเกรงอัลลอฮฺผู้ซึ่งพวกเจ้าศรัทธาต่อพระองค์เถิด
89. อัลลอฮฺจะไม่ทรงเอาโทษแก่พวกเจ้าด้วยถ้อยคำที่ไร้สาระในการสาบานของพวก เจ้า แต่ทว่าพระองค์จะทรงเอาโทษแก่พวกเจ้าด้วยถ้อยคำที่พวกเจ้าปลงใจสาบาน แล้วสิ่งไถ่โทษมันนั้นคือการให้อาหารแก่มิสกีนสิบคนจากอาหารปานกลางของ สิ่งที่พวกเจ้าให้เป็นอาหารแก่ครอบครัวของพวกเจ้า หรือไม่ก็ให้เครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขา หรือไถ่ทาสคนหนึ่งให้เป็นอิสระ ผู้ใดไม่พบก็ให้มีการถือบวชสามวัน นั่นแหละคือสิ่งไถ่โทษในการสาบานของพวกเจ้าเมื่อพวกเจ้าได้สาบานไว้ และจงรักษาการสาบานของพวกเจ้าเถิด ในทำนองนั้นแหละอัลลอฮฺจะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจักขอบคุณ
คำแปล R5.
๙๐.
โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าอย่าถือว่าอาหารดี
มีรสโอชะ
ที่อัลเลาะห์ได้ทรงอนุญาตแก่พวกเจ้า
บริโภคนั้น
เป็นของต้องห้าม
(หะรอม)
ทั้งอย่าได้ล่วงละเมิดขอบเขต
แห่งคำบัญชาใช้กับพระองค์เลย
เพราะแท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ทรงโปรดซึ่งพวกที่ล่วงละเมิดทั้งหลาย
๙๑.
อีกทั้งพวกเจ้าบริโภคอาหารดีที่อนุญาต
อันมีรสโอชะ
ซึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งจากอาหารที่
อัลเลาะห์ได้ทรงอำนวยให้แก่พวกเจ้า และจงยำเกรงอัลเลาะห์ผู้ซึ่งพวกเจ้าศรัทธาต่อพระองค์ด้วยเถิด
๙๒.
อัลเลาะห์จะไม่ทรงถือโทษแก่พวกเจ้าเพราะการสาบานพล่อย ๆ ของพวกเจ้าหรอก
อาทิ พวกเจ้าเอ่ยปฏิเสธว่า “ไม่อย่างนั้น” และเอ่ยคำว่า “เป็นอย่างนั้น ๆ” โดยอ้างพระนามของอัลเลาะห์ประกอบว่า “ด้วยอัลเลาะห์) หากว่าเจ้าจงใจสาบานโดยแสดงถ้อยคำดังที่กล่าวมาแล้วนั้นย่อมถือว่าเป็นการสาบานที่พวกเจ้าต้องได้รับโทษ
แต่ทว่าพระองค์จะทรงเอาโทษพวกเจ้าในฐานะที่พวกเจ้าปักใจสาบาน
โดยเอ่ยถ้อยคำดังที่กล่าวไว้แล้วในเมื่อพวกเจ้าปฏิบัติไม่ตรงตามที่สาบานไว้
ฉะนั้นการไถ่โทษของการ
ทำผิดสาบาน
นั้นคือ
พวกเจ้าจำเป็นต้อง
ให้อาหารแก่ผู้ยากจน ๑๐ คน
ในอัตราคนละ ๑ ลิตรโดยประมาณ
เป็นอาหารระดับกลางที่พวกเจ้าเลี้ยงดูครอบครัวของพวกเจ้า หรือให้
จ่าย
เครื่องนุ่งห่มแก่พวก
ยากจน ๑๐ คน
นั้น
มี เลื้อ ผ้านุ่ง ผ้าฌพกศีรษะและผ้าเช็ดหน้าเป็นต้น คนละ ๑ ชิ้น ถือว่าเป็นการใช้ไม่ได้ในเมื่อพวกเจ้าจะจ่ายอาหารก็ดีและเครื่องนุ่งห่มก็ดีให้แก่ผู้ยากจนเพียงคนเดียว
หรือให้
พวกเจ้า
ปล่อยทาส
มุอ์มิน
คนหนึ่งให้เป็นไทแก่ตน ฉะนั้น ถ้าผู้ใดหา
สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสามประการดังกล่าว
มิได้ ก็ให้
ผู้นั้นไถ่โทษด้วยการ
ถือศีลอด ๓ วัน
ติดต่อกันก็ได้ หรือ เว้นว่างห่างจากกันก็ได้ นี้ตามทัศนะของอิมามชาฟิอีย์ การไถ่โทษอย่างใดอย่างหนึ่งในสี่ประการ
นี่แหละคือการไถ่โทษการสาบานของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้ากล่าวคำสาบาน
แล้วกระทำให้ผิดสาบาน
ทั้งพวกเจ้าจงระมัดระวังซึ่งคำสาบานของพวกเจ้าไว้ด้วยเถิด
อย่าเสียคำสาบานเลย นอกจากว่าถ้าพวกเจ้าสาบานไว้ว่าจะไม่ทำการดีหรือจะไม่ไกล่เกลี่ยประนีประนอมระหว่างมนุษย์ ให้ยอมความกันหรือจะกระทำการอันเป็นที่ต้องห้ามตามหลักศาสนา ก็ยอมให้พวกเจ้าฝืนการสาบานดังกล่าวนั้นด้วยการทำดี ด้วยการไกล่เกลี่ยประนีประนอมให้มวลมนุษย์ยอมความกัน หรือด้วยการงดเว้นจากการอันที่ห้ามตามหลักการศาสนา
ทำนอง
เดียวกับที่อัลเลาะห์ได้ทรงแจ้งข้อใช้และข้อห้ามเกี่ยวกับคำสาบานไว้แล้ว
นี้แหละ อัลเลาะห์จะได้ทรงแจ้งโองการต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกเจ้าอีก เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้ขอบคุณ
สรรเสริญพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงแจ้งบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเจ้า ฉะนั้น พวกเจ้าจะต้องปฏิบัติตามใช้และตามห้ามของพระองค์
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #34 เมื่อ:
ส.ค. 13, 2011, 05:59 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 90 - 91
คำอ่าน
91. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู อิน..นะมัลค็อมรุ วัลมัยสิรฺ วัลอัน..ศอบุ วัลอัซลามุ ริจญสุม..มินอะมะลิชชัยฏอนิ ฟัจญตะนิบูฮุ ละอัลละกุมตุฟลิหูน
91. อิน..นะมา ยุรีดุชชัยฏอนุ อัย..ยุกิอะ บัยนะกุมุลอะดาวะตะ วัลบัฆฎอ..อะ ฟิลค็อมริ วัลมัยสิริ วะยะศุดดะกุม อันซซิกริลลาฮิ วะอะนิศเศาะลาติ ฟะฮัลอัน..ตุมมุน..ตะฮูน
คำแปล R1.
90. O you who believe! Intoxicants (all kinds of alcoholic drinks), gambling, Al-Ansab , and Al-Azlam (arrows for seeking luck or decision) are an abomination of
Shaitan's
(Satan) handiwork. So avoid (strictly all) that (abomination) in order that you may be successful.
91.
Shaitan
(Satan) wants only to excite enmity and hatred between you with intoxicants (alcoholic drinks) and gambling, and hinder you from the remembrance of Allah and from As-Salat (the prayer). So, will you not then abstain?
คำแปล R2.
93. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย อันที่จริงสุราและการพนันและการบูชายัญและการเสี่ยงถ้วย(และติ้วและอื่น ๆ) เป็นสิ่งชั่วช้าอันมาจากผลงานของมารร้าย ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลมันเถิด เพื่อพวกเจ้าจะได้ประสบความสมหวัง
94. ความจริงมารร้ายปรารถนาที่จะประจุความเป็นศัตรูและความโกรธแค้น(ให้บังเกิดขึ้น)ระหว่างพวกเจ้า เพราะ(การดื่ม)สุราและการพนัน และมันกีดขวางพวกเจ้าจากการรำลึกถึงอัลเลาะฮฺ และจากการละหมาด แล้วพวกเจ้าจะยุติ(การกระทำอันเลวร้ายดังกล่าว)ไหม ?
คำแปล R3.
90. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา แท้จริง น้ำเมาและการพนัน และการบูชายัญและการเสี่ยงติ้วเป็นสิ่งโสมมจากการกระทำของมาร ดังนั้นจงหันห่างจากมันเสีย เพื่อสูเจ้าจะได้ประสบความสำเร็จ
91. มารเพียงแต่ปรารถนาที่จะก่อการเป็นศัตรูและการเกลียดชังกันในระหว่างสูเจ้าโดยอาศัยน้ำเมาและการพนัน และเพื่อหันเหสูเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺและจากการนมาซ แล้วสูเจ้าจะเป็นผู้ฝ่าฝืนอยู่อีกหรือ?
คำแปล R4.
90. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัญ และการเสี่ยงติ้วนั้น เป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
91. ที่จริงชัยฏอนนั้นเพียงต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกันและการเกลียดชัง กันระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนันเท่านั้น และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ และการละหมาดแล้วพวกเจ้าจะยุติใหม่
คำแปล R5.
๙๓.
โอ้บรรดาผู้ศรัทธา โดยเฉพาะสุราเมรัย การพนัน เทวรูปและ
ถ้วยตะลัยอันเป็น
เครื่องเสี่ยงโชค
ซึ่งพวกกาฟิรมีไว้ที่ไบตุลเลาะห์เหมือนดั่งชาวจีนมีติ้วไว้ในศาลเจ้า
นั้นย่อมเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงอย่างยิ่งจากฝีมือของไซตอน
ซึ่งมันพรางให้มองเห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นงดงาม
ดังนั้นพวกเจ้าจงออกห่างจากการ
ที่จะปฏิบัติสิ่งอันน่าขยะแขยง
นั้นเพื่อว่าพวกเจ้าจักได้มีชัย
โดยได้เข้าสู่สรวงสวรรค์
๙๔.
เฉพาะแต่ไซตอนเท่านั้น ที่มันปรารถนาจะให้เกิดการเป็นปรปักษ์และการโกรธแค้นขึ้นท่ามกลางพวกเจ้า เพราะสุราเมรัยบ้างและการพนันบ้าง
ในเมื่อพวกเจ้าไปเสพสิ่งทั้งสองนั้นเข้า ทั้งนี้เพราะเหตุว่าสองอย่างนี้เป็นแหล่งที่มาแห่งความชั่วและความบาดหมาง
ทั้งมันยัง
ปรารถนา
จะให้พวกเจ้างดระลึกถึงอัลเลาะห์และงดการ
ปฏิบัติ
ละหมาด
โดยหันไปฝักใฝ่กับความชั่วทั้งสองนั้น
แล้วพวกเจ้าจงระงับยับยั้ง
ซึ่งสิ่งทั้งสองดังกล่าว
ไว้เถิด
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #35 เมื่อ:
ส.ค. 14, 2011, 11:34 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 92 - 93
คำอ่าน
92. วะอะฏีอุลลอฮะ วะอะฏีอุรฺเราะสูละ วะหฺซะรู ฟะอิน..ตะวัลลัยตุม ฟะอฺละมู..อัน..นะมา อะลาเราะสูลินัลบะลาฆุลมุบีน
93. ลัยสะอะลัลละซีนะอามะนู วะอะมิลุศศอลิหาติ ญุนาหุน..ฟีมาเฎาะอิมู อิซามัตตะก็อววะอามะนู วะอะมิลุศศอลิหาติ ษุม..มัตตะก็อววะอามะนู ษุม..มัตตะก็อววะอะหฺสะนู วัลลอฮุยุหิบบุลมุหฺสินีน
คำแปล R1.
92. And obey Allah and the Messenger (Muhammad), and beware (of even coming near to drinking or gambling or Al-Ansab, or Al-Azlam, etc.) and fear Allah. Then if you turn away, You should know that it is our Messenger's duty to convey (the Message) in the clearest way.
93. Those who believe and do righteous good deeds, there is no sin on them for what they ate (in the past), if they fear Allah (by keeping away from his forbidden things), and believe and do righteous good deeds, and again fear Allah and believe, and once again fear Allah and do good deeds with
Ihsan
(perfection). And Allah loves the good-doers.
คำแปล R2.
95. และเจ้าทั้งหลายจงภักดีต่ออัลเลาะฮฺ จงภักดีต่อศาสนาทูต และพวกเจ้าจงระวัง (อย่าล่วงละเมิดในบทบัญญัติแห่งอัลเลาะฮฺ) ดังนั้นหากพวกเจ้าหันเห (จากการภักดีต่ออัลเลาะฮฺ) เจ้าทั้งหลายก็จงทราบเถิดว่า ที่เป็นภาระหน้าที่ของทูตแห่งเรานั้นคือการเผยแพร่ (บทบัญญัติ) อันชัดแจ้งเท่านั้น (ส่วนการตอบแทนเป็นเรื่องของอัลเลาะฮฺ
96. ย่อมไม่เป็นบาปแก่บรรดาผู้ศรัทธาและประพฤติความดีงามในสิ่งที่พวกเขาได้บริโภค(เมื่อสมัยก่อนที่ยังไม่ได้บัญญัติห้ามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้) ทั้งนี้เมื่อพวกเขามีความยำเกรง มีศรัทธา และปฏิบัติต่ความดีต่าง ๆ หลังจากนั้น พวกเขามีความยำเกรงและมีศรัทธา หลังจากนั้นพวกเขามีความยำเกรงและมีความประพฤติดี และอัลเลาะฮฺทรงรักบรรดาผู้ประพฤติดีทั้งมวล
คำแปล R3.
92. จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังรอซูลและจงละเว้นจากสิ่งเหล่านี้ ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อฟัง ดังนั้นจงรู้เถิดว่า หน้าที่ของรอซูลของเรานั้นคือการเผยแผ่สารอันชัดแจ้งเท่านั้น
93. ไม่มีบาปแก่บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีในสิ่งที่เขาทั้งหลายได้บริโภคไปในอดีต เมื่อเขาทั้งหลายละเว้นจากสิ่งที่เป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขา และยังคงศรัทธาและประกอบการดี และหลังจากนั้นก็ยับยั้งตนเองจากสิ่งต้องห้าม และศรัทธาหละเกรงกลัวอัลลอฮฺและกระทำการดี เพราะอัลลอฮฺทรงรักผู้กระทำการดี
คำแปล R4.
92. และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังรอซูลเถิด และพึงระมัดระวังไว้ด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าผินหลังได้ ก็พึงรู้เถิดว่าที่จริงหน้าที่ของรอซูลของเรานั้น คือ การประกาศอันชัดเจนเท่านั้น
93. ไม่มีบาปใด ๆ แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาและปฏิบัติสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย ในสิ่งที่พวกเขาได้บริโภค เมื่อพวกเขามีความยำเกรงและศรัทธา และปฏิบัติสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย แล้วก็มีความยำเกรงและศรัทธาแล้วก็มีความยำเกรง และกระทำดี และอัลลอฮฺนั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย
คำแปล R5.
๙๕.
ทั้งพวกเจ้าจงน้อมภักดีต่ออัลเลาะห์ และจงน้อมภักดีต่อ
มุฮำมัดผู้เป็น
พระศาสนทูต
ของพระองค์
และพึงระวังตัว
จากการชั่ว
ไว้เถิด ฉะนั้นหากพวกเจ้าให้หลัง
ไม่นำพาซึ่งการภักดีต่ออัลเลาะห์และมุฮำมัด
แล้วไซร้ พวกเจ้าพึงทราบไว้ด้วยเถิดว่า
มุฮำมัด
พระศาสนทูตของเรานั้นมีหน้าที่เพียงแต่เป็นผู้ประกาศแจ้งความ
เกี่ยวกับข้อใช้และข้อห้ามไปยังพวกเจ้า
เท่านั้น
ส่วนการตอบแทนผลกรรมแก่พวกเจ้าเป็นหน้าที่ของเรา
๙๖.
สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาที่ได้ประพฤติการชอบนั้นหาได้มีบาปกรรมแต่อย่างใดไม่ ในอันที่พวกเขาจะเสพ
สุราเมรัย และบริโภคทรัพย์ส่วนที่ได้มาจากการนั้นก่อนมีโองการห้ามเรื่องนี้
ในเมื่อพวกเขานั้นกลัวเกรง
สิ่งที่เป็นบาปนอกเหนือจากสุราและการพนัน
มีความศรัทธา
หนักแน่น
และประพฤติปฏิบัติแต่การชอบ ครั้นแล้วพวกเขายังเกรงกลัวและมีศรัทธา
หนักยิ่งขึ้น
ครั้นแล้วพวกเขาก็ยังเกรงกลัว
เรื่องการฉ้อโกงให้จริงยิ่งขึ้น
และปฏิบัติการดีงามขึ้นอีกฝ่ายอัลเลาะห์นั้นจะทรงสนองบุญกุศลแก่ผู้มุ่ง
ประสงค์และกังวลใจที่จะ
ปฏิบัติการให้ดีงามทั้งหลาย
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #36 เมื่อ:
ส.ค. 15, 2011, 10:03 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 94 -96
คำอ่าน
94. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ละยับลุวัน..นะกุมุลลอฮุ บิชัยอิม..มินัศศ็อยดิ ตะนาลุฮู..อัยดีกุม วะริมาหุกุม ลิยะอฺละมัลลอฮุ มัย..ยะคอฟุฮูบิลฆ็อยบฺ ฟะมะนิอฺตะดา บะอฺดะซาลิกะ ฟะละฮุอะซาบุนอะลีม
95. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตักตุลุศศ็อยดะ วะอัน..ตุมหุรุม วะมัน..เกาะตะละฮูมิน..กุม..มุตะอัม..มิดัน..ฟะญะซา..อุม..มิษลุ มาเกาะตะละมินัน..นะอะมิ ยะหฺกุมุบิฮี ซะวาอัดลิม..มิน..กุม ฮัดยัม..บาลิฆ็อลกะอฺบะติ เอากัฟฟาเราะตุน..เฏาะอามุมะสากีนะ เอาอัดลุ ซาลิกะศิยามัล ลิยะซูเกาะ วะบาละอัมริฮฺ อะฟัลลอฮุ อัม..มาสะลัฟ วะมันอาดะ ฟะยัน..ตะกิมุลลอฮุมินฮุ วัลลอฮุอะซีซุน..ซุน..ติกอม
96. อุหิลละละกุม ศ็อยดุลบะหฺริ วะเฏาะอามุฮู มะตาอัลละกุม วะลิสสัยยาเราะฮฺ วะหุรฺริมะอะลัยกุม ศ็อยดุลบัรฺริ มาดุมตุมหุรุมา วัตตะกุลลอฮัลละซี..อิลัยฮิตุหฺชะรูน
คำแปล R1.
94. O you who believe! Allah will certainly make a trial of you with something in (the matter of) the game that is well within reach of your hands and your lances, that Allah may test who fears Him unseen. Then whoever transgresses thereafter, for him there is a painful torment.
95. O you who believe! kill not game while you are in a state of
Ihram
for Hajj or 'Umrah (pilgrimage), and whosoever of you kills it intentionally, the penalty is an offering, brought to the Ka'bah, of an eatable animal (i.e. sheep, goat, cow, etc.) equivalent to the one he killed, as adjudged by two just men among you; or, for expiation, he should feed
Masakin
(poor persons), or its equivalent in
Saum
(fasting), that he may taste the heaviness (punishment) of his deed. Allah has forgiven what is past, but whosoever commits it again, Allah will take retribution from him. And Allah is All-Mighty, All-Able of Retribution.
96. Lawful to you is (the pursuit of) water-game and its use for food - for the benefit of yourselves and those who travel, but forbidden is (the pursuit of) land-game as long as you are in a state of
Ihram
(for Hajj or 'Umrah). and fear Allah to whom you shall be gathered back.
คำแปล R2.
97. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! ขอยืนยัน แท้จริงอัลเลาะฮฺจะทรงทดสอบพวกเจ้าทั้งหลาย (ในช่วงที่พวกเจ้ากำลังอยู่ระหว่างอิหฺรอม) กับบางสิ่งจากสัตว์ล่าที่ได้มันมาโดยมือของพวกเจ้า (ด้วยการจับตัวมันมา) หรือหอกของพวกเจ้า (ด้วยการแทงมัน) เพื่ออัลเลาะฮฺทราบว่าใครบ้างที่กลัวพระองค์ในความลี้ลับ (ซึ่งเขามองพระองค์ไม่เห็น) ดังนั้นผู้ใดล่วงละเมิด(บทบัญญัติของพระองค์) ภายหลังจาก(ได้วางบทบัญญัติไว้แล้ว)นั้น แน่นอน เขาย่อมได้รับการลงโทษอันทรมานยิ่ง
98. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! เจ้าทั้งหลายอย่าฆ่าสัตว์ล่า (สัตว์ป่าที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง) ในขณะที่พวกเจ้าอยู่ระหว่างอิหฺรอม(สวมชุดสีขาวเพื่อประกอบพิธีฮัจย์หรืออุมเราะฮฺ) และผู้ใดจากพวกเจ้าทำการฆ่ามันโดยจงใจ แน่นอนการทดแทน (เพื่อไถ่โทษจากการกระทำดังกล่าว ก็ให้เขาทำการเชือดสัตว์พลีทานโดยใช้)ปศุสัตว์ที่หมือนกับสัตว์ที่เขาได้ฆ่าไป โดยมีผู้ทรงคุณธรรมสองคน จากพวกเจ้าทำการชี้ขาดใน(การเลือกสัตว์ดังกล่าว)นั้น (เช่น แพะต่ออีเก้ง อูฐต่อนกกระจอกเทศ วัวต่อวัว วัวต่อลาป่า เป็นต้น) เพื่อเป็นสิ่งพลีทานที่บรรลุผล (ด้วยการมอบเนื้อของมันแก่บรรดาผู้ขัดสนที่อยู่ในแผ่นดินอันเป็นที่สถิตของ)อัลกะอฺบะฮฺ หรือ(ถ้าเขาไม่สมามารถจะทดแทนด้วยการเชือดสัตว์พลีทานก็)ให้ทำการไถ่โทษโยให้อาหารแก่คนอนาถา(คนละหนึ่งทะนานตามจำนวนที่เปรียบเทียบจากราคาของสัตว์ที่ได้ฆ่า) หรือทดแทนสิ่งนั้นโดยถือศีลอด (ให้ครบตามจำนวนอาหารที่เทียบจากสัตว์ดังกล่าวทะนานละ 1 วัน) ทั้งนี้เพื่อเขาจะได้ลิ้มรสผลร้ายแห่งการงานของเขา (ที่ได้กระทำไว้) อัลเลาะฮฺได้ให้อภัยจากสิ่งที่ล่วงพ้นไปแล้ว และผู้ใดหวนกลับ(ไปทำอีก) แน่นอนอัลเลาะฮฺจะทรงเอาโทษกับเขา และอัลเลาะฮฺทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงทำโทษ (แก่ผู้ทำความผิดโดยยุติธรรมยิ่ง)
99. เป็นที่อนุมัติสำหรับพวกเจ้าทั้งหลาย สัตว์ทะเลและอาหาร(ที่ได้มา)จากมัน เพื่ออำนวยสุขแก่พวกเจ้า (ด้วยการรับประทานมัน) และเพื่อนักเดินทาง (ได้เตรียมไว้เป็นเสบียง) และได้ถูกวางบทบัญญัติห้ามแก่พวกเจ้าทั้งหลาย ซึ่งสัตว์บนบก(ที่จะล่ามันมา)ตราบใดที่พวกเจ้ายังอยู่ระหว่างอิหฺรอม และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ ซึ่งพวกเจ้าจะถูกรวมตัวไปยังพระองค์
คำแปล R3.
94. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา แน่นอนอัลลอฮฺจะทรงทดลองสูเจ้าด้วยการล่าสัตว์ซึ่งอยู่ในระยะที่มือและหอกของสูเจ้าสามารถที่จะถึงได้ เพื่ออัลลอฮฺจะได้ทรงจำแนกให้รู้ว่าผู้ใดกลัวพระองค์ถึงแม้ว่าพระองค์จะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ดังนั้นผู้ใดละเมิด สำหรับเขาคือการลงโทษอันเจ็บปวดหลังจากนี้
95. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาจงอย่าฆ่าสัตว์ขณะที่สูเจ้ายังครองเอี๊ยะฮฺรอม และผู้ใดในหมู่สูเจ้าฆ่ามันโดยเจตนา เขาจะต้องหาปศุสัตว์ที่มีค่าเท่ากับสัตว์ที่เขาฆ่า โดยให้ผู้ที่เที่ยงธรรมสองคนในหมู่สูเจ้าตัดสิน มาพลีที่กะอฺบะฮฺ เป็นการชดเชย หรือไถ่โทษนั้นด้วยการให้อาหารแก่คนขัดสน
(ตามราคาของสัตว์)
หรือด้วยการถือศีลอดที่เท่าเทียมกัน ทั้งนี้เพื่อที่เขาจะได้ลิ้มผลร้ายในสิ่งที่เขาได้กระทำไป อัลลอฮฺได้ทรงอภัยที่ได้ล่วงไป แต่ผู้ใดละเมิดอีก อัลลอฮฺจะทรงลงโทษตอบแทนเขาและอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นผู้ทรงลงโทษตอบแทน
96. การล่าสัตว์ในทะเลและการบริโภคมันเป็นที่อนุมัติแก่สูเจ้า สูเจ้าจะใช้กินหรือใช้เป็นเสบียงเพื่อการเดินทางก็ได้ แต่ที่ต้องห้ามสำหรับสูเจ้าคือการล่าสัตว์บนบกตราบที่สูเจ้ายังครองเอี๊ยะฮฺรอมอยู่ และจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺผู้ซึ่งสูเจ้าจะถูกรวบรวมยังพระองค์
คำแปล R4.
94. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! แน่นอนอัลลอฮฺจะทรงทดสอบพวกเจ้าด้วยสิ่งหนึ่ง อันได้แก่สัตว์ล่าที่มือของพวกเจ้าได้มันมา และหอกของพวกเจ้าด้วย เพื่ออัลลอฮฺจะทรงรู้ว่าใครที่ยำเกรงพระองค์ในสภาพที่เขาไม่เห็นพระองค์ แล้วผู้ใดละเมิดหลังจากนั้น เขาก็จะได้รับโทษอันเจ็บแสบ
95. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าฆ่าสัตว์ล่าในขณะที่พวกเจ้ากำลังครองอิหฺรอมอยู่ และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าได้ฆ่ามันโดยเจตนาแล้วไซร้ การชดเชยก็คือ ชนิดเดียวกับที่ถูกฆ่า (จากปศุสัตว์) โดยผู้ที่ยุติธรรมสองคนในหมู่พวกเจ้าจะกระทำการชี้ขาดมัน ในฐานะเป็นสัตว์พลีที่ไปถึงอัล-กะอฺบะฮฺหรือไม่ ก็ให้มีการลงไถ่โทษ คือให้อาหารแก่บรรดามีสกีน หรือสิ่งที่เท่าเทียมสิ่งนั้น ด้วยการถือศีลอด เพื่อที่เขาจะได้ลิ้มรสผลภัยแห่งกิจกรรมของเขา อัลลอฮ์ได้ทรงอภัยให้จากสิ่งที่ได้ล่วงเลยมาแล้ว และผู้ใดกลับกระทำอีก อัลลอฮฺก็จะทรงลงโทษเขาและอัลลอฮฺ คือผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงลงโทษ
96. ได้ถูกอนุมัติแก่พวกเจ้า ซึ่งสัตว์ล่าในทะเลและอาหารจากทะเล ทั้งนี้เพื่อเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์แก่พวกเจ้า และแก่บรรดาผู้เดินทาง และได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้า ซึ่งสัตว์ล่าบนบกตราบใดที่พวกเจ้าครองอิหฺรอมอยู่และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิดผู้ ที่พวกเจ้าจะถูกรวบรวมนำไปสู่พระองค์
คำแปล R5.
๙๗.
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาอันที่จริงนั้นอัลเลาะห์จะทรง
แสดงความรอบรู้แต่อดีตของพระองค์ให้ปรากฏแก่พวกเจ้าเหมือนดั่งจะทรง
ลองใจพวกเจ้าด้วยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ
อาทิ ไข่ในรังของสัตว์ปีกบ้าง ลูกเป็นตัวอันเกิด
จากสัตว์ป่าบ้าง
ว่ามือของคนใดจะจับต้องและไม่จับต้องลูกนก หรือหอกของคนใดจะแทงหรือไม่แทงสัตว์ป่า
ซึ่งพวกเจ้าก็สามารถใช้มือของพวกเจ้า
จับสัตว์ปีกเหล่านั้น
และใช้หอกของพวกเจ้าจัดการ
ยิงสัตว์ป่า
ให้ได้มันมา
และการที่ทรงแสดงเหมือนหนึ่งการลองใจครั้งนี้ปรากฏขึ้น ณ ตำบลหุไดบียะห์ ปีที่ ๖ แห่งฮิจเราะห์ศักราช ในโอกาสที่พวกเจ้ายังครองตัวอยู่ในภาวะอิห์รอมอุมเราะห์และขณะเดียวกันนี้ได้มีนกและสัตว์มารายล้อมอยู่รอบ ๆ พวกเจ้า และสัตว์พาหนะของพวกเจ้าอย่างเดียระดาษ ทั้งนี้
เพื่อที่อัลเลาะห์จะทรง
ให้ความรู้อันมีอยู่เฉพาะส่วนพระงค์ให้ปรากฏเด่นชัดขึ้นเหมือนเพิ่ง
รู้ว่าใครบ้างจะกลัวเกรงพระองค์ในยามปลอดสายตา
คน โดยเขาไม่ยอมแตะต้องไข่และลูกของสัตว์ป่าและไม่ยิงสัตว์ป่าเหล่านั้นเลย
แล้วถ้าภายหลัง
จากได้มีข้อห้ามมิให้จับมิให้ยิงนกและสัตว์ป่า ในภาวะอิห์รอมฮัจย์หรืออุมเราะห์
ผู้ใดได้ล่วงละเมิด
ซึ่งขอบเขต ไม่ว่าจะโดยการจับต้องหรือยิงสัตว์ดังกล่าว
ผู้นั้นย่อมได้รับโทษทรมานอันเจ็บแสบ
๙๘.
โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าอย่าได้ฆ่าสัตว์ป่าโดยที่พวกเจ้ายังอยู่ในภาวะอิห์รอม
ฮัจย์หรืออุมเราะห์
ถ้าแหละผู้ใดในหมู่พวกเจ้าจงใจฆ่ามันแล้วฆ่าปรับเปรียบเทียบก็คือ
เขาผู้นั้นจำต้องเชือด
สัตว์คล้าย ๆ กับสัตว์เชื่องที่เขาได้ฆ่านั้นแหละโดยเชือดถวาย ณ แผ่นดินห้าม
แห่งนครมักกะห์
ตามที่ผู้ทรงธรรมสองคน
ในหมู่ของพวกเจ้า
ตัดสินไว้อย่างนั้น
โดยนัยคล้ายคลึงกันดังนี้คือ ผู้นั้นจำต้องเชือดอูฐหนึ่งตัวต่อการฆ่านกกระจอกเทศตัวหนึ่ง วัวตัวหนึ่งต่อการฆ่าวัวหนึ่งตัวหรือลาป่าหนึ่งตัว และแพะหนึ่งตัวต่อการฆ่าเก้งหนึ่งตัว สำหรับการตัดสินของท่านอิบนุอับบาส อุมัรและผู้อื่น ว่า ให้เชือดแพะหนึ่งตัวต่อการฆ่านกพิราบหนึ่งตัวเป็นค่าเปรียบเทียบ ทั้งจะต้องเอาเนื้อสัตว์จับจ่ายเป็นทานแก่ผู้ยากไร้ที่อยู่ ณ แผ่นดินห้ามนั้นด้วย
หรือ
ว่าถ้าสัตว์ที่พวกเจ้าฆ่าในภาวะอิห์รอมไม่โตเท่าอูฐ ไม่โตเท่าวัวและไม่เท่าแพะ เช่น นกกระจอกและตั๊กแตนถูกพวกเจ้าฆ่า ก็จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องเสียค่าปรับเปรียบเทียบด้วยราคาของสัตว์ที่ฆ่านั้นแล้วซื้ออาหารมาตรฐานปานกลาง
แจกจ่ายอาหารแก่ผู้ยากไร้
ประมาณคนละหนึ่งลิตร
เป็นค่าปรับก็ได้หรือจะโดยถือศีลอด
ให้จำนวนวัน
เท่ากับ
จำนวนลิตรของอาหาร
ที่กล่าวนั้นก็ได้
ค่าเปรียบเทียบอย่างใดอย่างหนึ่งจากสองอย่างที่จำต้องเลือกกระทำ (ตีราคาแล้วนำไปซื้ออาหารหรือถือศีลอด) ตามกรณีที่สัตว์ที่จะถูกเชือดเป็นอูฐ วัว และแพะก็ดี เหล่านี้แหละ
เพื่อผู้นั้นจะได้รู้รสแห่งความเข้มงวดเพราะกรรมของเขาเสียบ้าง อัลเลาะห์ได้ทรงนิรโทษในเรื่อง
การฆ่า
ที่แล้วไปแล้ว
ก่อนจากจะมีโองการห้ามฆ่าลงมา
แล้วถ้าผู้ใดหวนกลับมา
ทำการฆ่าอีกหลังจากโองการห้ามฆ่ามีมา
แล้วไซร้ อัลเลาะห์ก็จะทรงลงอาญาแก่เขา ด้วยว่าอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์อิทธิฤทธิ์ยิ่ง
เหนือกิจการทั้งสิ้นของพระองค์ จะไม่มีสิ่งใดสามารถห้ามพระองค์มิให้สำเร็จกิจได้เลย
ทรงเป็นองค์ลงอาญาอย่างหนัก
แก่บรรดาผู้ทรยศต่อพระองค์ ทั้งจะไม่มีผู้ใดสามารถลงโทษได้อย่างพระองค์อีกด้วย
๙๙. โอ้ปวงชนที่กำลังอยู่ในภาวะอิห์รอมฮัจย์หรืออุมเราะห์ก็ดี หรือที่มิได้อยู่ในภาวะอิห์รอมเลยก็ดี
สัตว์ทะเล
ทั้งที่ยังเป็น ๆ อยู่และที่ตายแล้ว
นั้นได้ถูกอนุญาตให้พวกเจ้า
บริโภค
แล้วเพื่อคุณประโยชน์สำหรับพวกเจ้า
ที่ประจำท้องถิ่นได้บริโภคมันเป็นอาหารสด
บ้างและ
เป็นคุณประโยชน์
สำหรับผู้ท่องเที่ยว
ที่จะนำมันไปเป็นเสบียงกรัง
บ้าง แต่พวกเจ้าถูกห้ามเรื่องสัตว์บก
ในอันที่พวกเจ้าจะล่ามันมาบริโภค
ตราบใดที่พวกเจ้ายังครองภาวะอิห์รอม
ฮัจย์และอุมเราะห์อยู่ เว้นไว้แต่ผู้ล่าสัตว์นั้นมิได้อยู่ในภาวะอิห์รอม ก็อนุญาตให้ผู้อยู่ในภาวะอิห์รอมนั้นบริโภคสัตว์นั้นได้
ทั้งพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์
ในทุก ๆ โอกาส
ผู้ซึ่งพวกเจ้าทั้งหลายจะถูกต้อนไป
ชุมนุมกัน
ยัง
การสอบสวนของ
พระองค์เถิด
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #37 เมื่อ:
ส.ค. 16, 2011, 09:39 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 97 - 100
คำอ่าน
97. ญะอะลัลลฮุลกะอฺบะตัล บัยตัลหะรอมะ กิยามัลลิน..นาสิ วัชชะฮฺร็อลหะรอมะ วัลฮัดยะ วัลเกาะลาอิด ซาลิกะลิตะอฺละมู..อัน..นัลลอฮะ ยะอฺละมุมาฟิสสะมาวาติ วะมาฟิลอัรฺฎิ วะอัน..นัลลอฮะบิกุลลิชัยอิน อะลีม
98. อิอฺละมู..อัน..นัลลอฮะชะดีดุลอิกอบิ วะอัน..นัลลอฮะ เฆาะฟูรุรฺเราะหีม
99. มาอะลัรฺเราะสูลิ อิลลัลบะลาฆุ วัลลอฮุยะอฺละมุ มาตุบดูนะ วะมาตักตุมูน
100. กุลลายัสตะวิลเคาะบีสุ วัฏฏ็อยยิบุ วะเลาอะอฺญะบะกะ กัน..ซะตุลเคาะบีษิ ฟัตตะกุลลอฮะ ยา..อุลิลอัลบาบิ ละอัลละกุมตุฟลิหูน
คำแปล R1.
97. Allah has made the Ka'bah, the Sacred House, an asylum of security and Hajj and 'Umrah (pilgrimage) for mankind, and also the sacred month and the animals of offerings and the garlanded (people or animals, etc. marked with the garlands on their necks made from the outer part of the stem of the Makkah trees for their security), that you may know that Allah has knowledge of all that is in the heavens and all that is in the earth, and that Allah is the All-Knower of each and everything.
98. Know that Allah is severe in punishment and that Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.
99. The Messenger's duty [i.e. Our Messenger Muhammad whom we have sent to you, (O mankind)] is but to convey (the Message). And Allah knows all that you reveal and all that you conceal.
100. Say (O Muhammad ): "Not equal are
Al-Khabith
(all that is evil and bad as regards things, deeds, beliefs, persons, foods, etc.) and
At-Taiyib
(all that is good as regards things, deeds, beliefs, persons, foods, etc.), even though the abundance of
Al-Khabith
(evil) may please you." So fear Allah much [(abstain from all kinds of sins and evil deeds which he has forbidden) and love Allah much (perform all kinds of good deeds which He has ordained)], O men of understanding in order that you may be successful.
คำแปล R2.
100. อัลเลาะฮฺทรงดลบันดาลให้ “อัลกะอฺบะฮ์” เป็นบ้านต้องห้าม(ที่จะล่วงล้ำ)อีกทั้งเป็นที่ยืนหยัด(เพื่อประกอบกุศลกรรม)สำหรับมวลมนุษย์ทั้งหลาย และ(ทรงบันดาลให้มี) เดือนต้องห้ามและการเชือดสัตว์พลีทานและมาลัยสวมคอ(เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงว่าสัตว์นั้นเป็นพลีทาน) (การบันดาลให้มีสิ่งดังกล่าว)นั้นก็เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้แจ้งว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้สรรพสิ่งในฟากฟ้า และสรรพสิ่งในแผ่นดิน และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ในทุก ๆ สิ่ง
101. เจ้าทั้งหลายจงทราบเถิดว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงลงโทษรุนแรงนัก และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
102. ศาสนทูตไม่มีหน้าที่อื่นใดทั้งสิ้นนอกจากการเผยแพร่(บทบัญญัติของอัลเลาะฮฺ) และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยและสิ่งที่พวกเจ้าปิดบัง
103. เจ้าจงประกาศเถิดว่า ! สิ่งชั่วช้า (ซึ่งต้องห้ามทั้งหลาย) กับสิ่งดีงาม(ที่ถูกอนุมัติ) ย่อมไม่เท่าเทียมกัน และถึงแม้จำนวนมากมายแห่งสิ่งชั่วช้านั้น จะทำให้เจ้าเกิดความชื่นชมก็ตาม ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺเถิด (โดยการละทิ้งสิ่งชั่วช้าดังกล่าว) โอ้ผู้มีวิจารณญาณทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อพวกเจ้าจะได้สมหวัง
คำแปล R3.
97. อัลลอฮฺได้ทรงทำอัล-กะอฺบะฮฺ บ้านต้องห้ามไว้เป็นที่ค้ำจุนสำหรับมนุษย์และ(เช่นเดียวกับ)เดือนต้องห้ามและสิ่งพลีและสัตว์สวมพวงมาลา เพื่อสูเจ้าจะได้รู้ว่า อัลลอฮฺทรงรอบรู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและที่อยู่ในแผ่นดิน และนั่นคือ อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรู้ทุกสิ่ง
98. จงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษและอัลลอฮฺก็ทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
99. หน้าที่อย่างเดียวของรอซูลคือการเผยแผ่ และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ที่สูเจ้าเปิดเผยและสูเจ้าปิดบัง
100. โอ้รอซูล จงบอกพวกเขาว่า สิ่งชั่วช้าและสิ่งดีนั้นไม่เหมือนกัน แม้ว่าความมากมายของสิ่งชั่วช้าจะทำให้เจ้าประหลาดใจก็ตาม ดังนั้นจงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺ โอ้ผู้มีสติเอ๋ย เพื่อที่สูเจ้าจะได้ประสบผลสำเร็จ
คำแปล R4.
97. อัลลอฮฺได้ทรงให้อัล-กะอฺบะฮฺ อันเป็นบ้านที่ต้องห้ามนั้นเป็นที่ดำรงอยู่สำหรับมนุษย์และเดือนที่ต้อง ห้าม และสัตว์พลีและสัตว์ที่ถูกสวมเครื่องหมายไว้ที่คอ เพื่อเป็นสัตว์พลีด้วย นั่นก็เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงรู้สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และแท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง
98. พวกเจ้าพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้รุนแรงในการลงโทษ และแท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษทรงเอ็นดูเมตตา
99. หน้าที่ของรอซูลนั้นมิใช่อะไรอื่น นอกจากการประกาศให้ทราบเท่านั้น และอัลลอฮฺทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผย และสิ่งที่พวกเจ้าปกปิด
100. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่าสิ่งเลวกับสิ่งดีนั้นย่อมไม่เท่าเทียมกัน และแม้ว่าความมากมายของสิ่งชั่วนั้น ได้ทำให้ท่านพึงใจก็ตาม จงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด ผู้มีสติบัญญัติทั้งหลาย! เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ
คำแปล R5.
๑๐๐.
อัลเลาะห์ได้ทรงให้กะบะห์คือบุญยสถาน
(ไบตุลหะรอม)
เป็นสันนิบาต
ฝ่ายศาสนา
สำหรับมวลมนุษย์
จะมุ่งสู่นั้นเพื่อทำพิธีฮัจย์และทรงให้เป็นสถานสงบปลอดภัยแก่ผู้ที่เข้าไปสู่
ทรงกำหนดให้มี
เดือนซุลกออิดะห์ เดือนซุลฮิจยะห์ เดือนมุฮัรร็อมและเดือนรอยับ (เดือนที่ ๑๑, ๑๒, ๑และ๗ ตามลำดับของเดือนอาหรับ) เป็น
เดือนห้าม
มิให้ก่อการสงครามขึ้นในเดือนเหล่านี้เพื่อเจริญศาสนา
ทรงกำหนดให้มีอูฐเป็นสัตว์ถวาย
ไว้ ณ นครมักกะห์
และทรงให้มีสัตว์หรือคนสวมปลอกคอ
เป็นเปลือกไม้ซึ่งขึ้นอยู่ในแผ่นดินห้ามแห่งนครมักกะห์ เป็นการห้ามมิให้มวลมนุษย์รบกวนรังแกอูฐกับเจ้าของของมันด้วย เพื่อความจำเริญทางศาสนา
การ
ให้เกิดความจำเริญทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น
นี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าตระหนักว่า แน่แท้อัลเลาะห์นั้นทรงรู้สรรพสิ่งในบรรดาชั้นฟ้า
ทั้งเจ็ด
และสรรพสิ่งในพื้นแผ่นดิน
และเพื่อให้พวกเจ้าได้ตระหนักอีกว่า
แน่แท้อัลเลาะห์ทรงเป็นองค์รู้ยิ่งในทุกสิ่งทุกอย่าง
ความจำเริญทั้งหมดนั้นถือได้ว่าเป็นสนุฏฐานแห่งคุณประโยชน์พึงมีขึ้นกับพวกเจ้า และเป็นผลที่จะขจัดภัยให้กับพวกเจ้าด้วย
๑๐๑.
พวกเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงให้การลงโทษอย่างหนัก
แก่พวกที่เป็นศัตรูต่อพระองค์
และ
พวกเจ้าจงรู้ไว้อีกด้วยว่า
แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงยิ่งในการอภัยโทษ
แก่บรรดาที่โปรดปรานีของพระองค์
ทรงโปรดปรานียิ่ง
ต่อพวกเหล่านั้น
๑๐๒.
หาได้มีหน้าที่ใดตกแก่พระศาสนทูต
มูฮำมัด
ไม่ นอกจากการเผยแพร่
บทใช้และบทห้ามของอัลเลาะห์ให้ไปถึงพวกเจ้า
เท่านั้น ฝ่ายอัลเลาะห์ทรงย่อมรู้พฤติกรรมซึ่งพวกเจ้าเปิดเผยและพฤติกรรมที่พวกเจ้าปกปิดกันไว้
แล้วพระองค์ก็จะทรงสนองแก่พวกเจ้าตามผลกรรมที่ได้กระทำกัน
๑๐๓. โอ้มูฮำมัด
เจ้าจงกล่าว
แก่ปวงประชากรของเจ้า
เถิดว่า สิ่งต้องห้ามกับสิ่งอนุญาตนั้นจะเสมอกันมิได้ ถึงแม้ว่าปริมาณอันมากของสิ่งต้องห้ามจะยังความพอใจแก่เจ้าก็เอาเถอะ
สิ่งทั้งสองนี้ก็เสมอกันมิได้อยู่นั่นเอง
ฉะนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์
โดยพยายามละทิ้งสิ่งต้องห้ามเสียเถิดไม่ว่าจะโดยกายกรรมและมโนกรรม
โอ้บรรดาผู้ครองปัญญาเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้มีชัย
โดยเข้าสู่สรวงสวรรค์
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #38 เมื่อ:
ส.ค. 17, 2011, 10:09 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 101 - 103
คำอ่าน
101. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตัสอะลู อันอัชยา..อะ อิน..ตุบดะละกุม ตะสุอ์กุม อะอินตัสอะลูอันฮา หีนะยุนัซซะลุลกุรฺอานุ ตุบดะละดุม อะฟัลลอฮุอันฮา วัลลอฮุเฆาะฟูรุนหะลีม
102. ก็อดสะอะละฮษ ก็อวมุม..มิน..ก็อบลิกุม ษุม..มะอัศบะหูบิฮา กาฟิรีน
103. มาญะอะลัลลอฮุ มิม..บะหีเราะติว..วะลาสา...อิบะติว..วะลาวะศีละติว..วะลาหามิว..วะลากิน..นัลละซีนะกะฟะรู ยัฟตะรูนะอะลัลลอฮิลกะซิบ วะอักษะรุฮุมลายะอฺกิลูน
คำแปล R1.
101. O you who believe! Ask not about things which, if made plain to you, may cause you trouble. But if you ask about them while the Qur'an is being revealed, they will be made plain to you. Allah has forgiven that, and Allah is Oft-Forgiving, Most Forbearing.
102. Before you, a community asked such questions, then on that account they became disbelievers.
103. Allah has not instituted things like
Bahirah
(a she-camel whose milk was spared for the idols and nobody was allowed to milk it) or a
Sa'ibah
(a she-camel let loose for free pasture for their false gods, e.g. idols, etc., and nothing was allowed to be carried on it), or a
Wasilah
(a she-camel set free for idols because it has given birth to a she-camel at its first delivery and then again gives birth to a she-camel at its second delivery) or a
Ham
(a stallion-camel freed from work for their idols, after it had finished a number of copulations assigned for it, all these animals were liberated in honour of idols as practiced by pagan Arabs in the pre-Islamic period). But those who disbelieve invent lies against Allah, and most of them have no understanding.
คำแปล R2.
104. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! เจ้าทั้งหลายอย่าซักถาม(นบี)ถึงกรณีต่าง ๆ ซึ่งหากเด่นชัดแก่เจ้าแล้วจะทำให้เกิดความเลวร้าย(ความลำบากยากแค้น)แก่พวกเจ้าเอง และหากพวกเจ้าถามถึงสิ่งเหล่านั้นขณะที่อัลกุรอานถูกลงมาให้ แน่นอนก็จะทำให้เด่นชัดแก่พวกเจ้าได้ อัลเลาะฮฺทรงอโหสิแก่สิ่งเหล่านั้น และอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยอีกทั้งทรงสุขุมยิ่ง
105. แท้จริงได้มีกลุ่มชนเมื่อก่อนหน้าพวกเจ้าเคยถามถึงสิ่งเหล่านั้น(จากนบีของพวกเขา) แต่แล้วพวกเขาก็กลับกลายเป็นผู้เนรคุณ เพราะ(การถาม)สิ่งนั้น ๆ (เพราะเมื่อเด่นชัดแล้วพวกเขาก็หาได้เชื่อถือไม่)
106. อัลเลาะฮฺมิได้บัญญัติ (ให้ปฏิบัติในสิ่งต่อไปนี้) บะฮีเราะฮฺ (แม่อูฐที่ออกลูก 5 ครั้งแล้ว ในครั้งที่ 5 ลูกมันเป็นตัวผู้ จากนั้นก็จะนำมันมาผ่าหู แล้วปล่อยเป็นอิสระเพื่อบูชาเทวรูป) และไม่(ได้บัญญัติ)ซาอิบะฮฺ (แม่อูฐที่ถูกปล่อยบูชาเทวรูปเพื่อบนบานให้หายป่วย หรือบนบานให้ได้รับชัยชนะในการรบ เป็นต้น) และมา(ได้บัญญัติ)วะซีละฮฺ (แม่อูฐที่ถูกปล่อยบูชาเทวรูป เมื่อมันออกลูกเป็นตัวเมียซ้อนกันถึงสองท้อง) และไม่(ได้บัญญัติ)ฮาม (พ่อพันธุ์อูฐที่ใช้ผสมพันธุ์ จะไม่นำมาขี่หรือบรรทุกของ) และหากทว่าบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายได้เสกสรรความเท็จแก่อัลเลาะฮฺ(ว่าพระองค์ทรงบัญญัติให้ปฏิบัติสิ่งเหล่านั้น) และพวกเขาส่วนมากไม่ใช้ปัญญาตริตรองเลย
คำแปล R3.
101. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา จงอย่าถามถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ถ้าหากมันถูกเปิดเผยให้สูเจ้าได้รู้แล้วจะทำให้สูเจ้าลำบาก แต่ถ้าหากสูเจ้าจะถามถึงมันระหว่างที่อัล-กุรอานถูกประทานลงมา มันก็จะถูกเปิดเผยให้สูเจ้าได้รู้ อัลลอฮฺทรงอภัยให้แก่สูเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงขันติ
102. แน่นอนประชาชนก่อน ๆ สูเจ้าได้เคยถามเช่นนี้มาแล้ว แล้วพวกเขาก็ยังเป็นผู้ปฏิเสธเพราะสิ่งเหล่านี้
103. อัลลอฮฺมิได้ทรงกำหนดบะฮีเราะฮฺและซาอิบะฮฺและวะซีละฮฺและฮาม แต่บรรดาผู้ปฏิเสธได้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ และส่วนมากพวกเขาไม่ใช้สติปัญญา (ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์)
คำแปล R4.
101. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าถามถึงสิ่งต่างๆ หากสิ่งเหล่านี้ถูกเปิดเผยขึ้นแล้วมันก็จะก่อให้เกิดความเลวร้าย แก่พวกเจ้า และถ้าพวกเจ้าถามถึงสิ่งเหล่านั้น ขณะที่อัล-กรุอานถูกประทานลงมา มันก็จะถูกเปิดเผยขึ้นแก่พวกเจ้า อัลลอฮฺได้ทรงอภัยสิ่งเหล่านั้นแล้ว และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงหนักแน่น
102. แท้จริงได้มีพวกหนึ่งก่อนพวกเจ้าได้ถามถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาแล้ว แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้ปฏิเสธสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
103. อัลลอฮฺมิได้ทรงให้มีขึ้น ซึ่งบะฮีเราะฮฺและซาอิบะฮฺ และวะซีละฮฺ และฮาม แต่ทว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่างหากที่อุปโลกน์ความเท็จแก่อัลลอฮฺ และส่วนมากของพวกเขาไม่ใช่ปัญญา
คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้
คือในกลุ่มสาวกของพระศาสดามูฮำมัดนั้นได้พยายามเซ้าซี้ถามพระนบีมูฮำมัดอยู่เนื่อง ๆ ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องและไม่ใช่ธุระของพวกเขา เป็นต้นว่า เรื่องการทำฮัจย์ที่ยอมให้กระทำเพียงครั้งหนึ่งในชีวิต พวกเขาก็ยังอุตส่าห์ถามพระนบีว่า “ให้ทำทุก ๆ ปีหรือ?” ถ้าอย่างนั้นสมมติว่ามีโองการจากอัลเลาะห์ลงมาว่า จำต้องทำฮัจย์ทุก ๆ ปีละก็จะเกิดความลำบากลำบนแก่พวกเขามากทีเดียวจึงนับว่าเป็นโชคดีแล้วที่ไม่มีโองการเรื่อง “ให้ทำฮัจย์ทุก ๆ ปี” หลังจากคำถามของพวกนั้น ยังมีสาวกบางคนถามพระนบีมูฮำมัดเรื่องบิดาของเขาว่า “บิดาของฉันตายไปแล้วอยู่ที่ไหน” มูฮำมัดตอบว่าอยู่ในขุมนรก คำถามของผู้นั้นเป็นการแฉสภาพอันน่าตำหนิของบิดาของตน ฉะนั้นจึงลงเนื้อความได้ว่า การเซ้าซี้ซักถามมูฮำมัดบ่อย ๆ นั้นเข้าตำราที่ว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน
๑๐๔.
โอ้บรรดาผู้ศรัทธา
ในยุคมูฮำมัด คราใดที่พวกเจ้าซักถามสิ่งต่าง ๆ ก็จะมีโองการแห่งอัล-กุรอานมาชี้แจงสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกถามนั้น ครั้นเมื่อมีคำชี้แจงจากอัล-กุรอานลงมาแล้วก็ไม่สบอารมณ์ของพวกเจ้า เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมีความยากลำบากอยู่ด้วย ฉะนั้นพวกสาวกทั้งหลาย
พวกเจ้าอย่าได้ไต่ถามสิ่งต่าง ๆ
ที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่ใช่ธุระอะไรของพวกเจ้าเลย
ซึ่งถ้าหากว่าสิ่ง
ต่าง ๆ ซึ่งพวกเจ้าถาม
นั้นจะถูกเผยขึ้นแก่พวกเจ้าก็จะทำให้พวกเจ้าลำบากเปล่า ๆ
แต่ก็อนุญาตให้พวกเจ้าถามมุฮำมัดได้แต่สิ่งที่จำเป็นแก่พวกเจ้าเท่านั้น
และถ้าพวกเจ้าจะไต่ถามเรื่อง
ต่าง ๆ เหล่า
นั้นในโอกาสที่อัล-กุรอานถูกประทานลงมา เรื่องนั้นก็จะถูกเผยขึ้นแก่พวกเจ้าเสียเลย ซึ่งอัลเลาะห์ก็ได้ทรงนิรโทษกรรมเรื่อง
การถามจู้จี้ที่กล่าว
นั้น
แก่พวกเจ้า
แล้ว
ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้คิดอ่านกลับมาไต่ถามเรื่องทำนองเดียวกันนั้นต่อไปอีก
ด้วยว่าอัลเลาะห์นั้นทรงยิ่งในการอภัยโทษ
แก่พวกเจ้า
ทรงสุขุมยิ่ง
โดยทรงให้พวกเจ้ารอการลงอาญาจนกว่าจะถึงวันปรภพ(อาคิเราะห์)
๑๐๕. โอ้ปวงสาวกของพระศาสดามูฮำมัด
ได้เคยมีปวงชน
ในยุค
ก่อนจากพวกเจ้าไต่ถามเรื่องทำนอง
คล้าย ๆกัน
นั้นมาแล้ว
จากพวกพระศาสนทูตของพวกเขา โดยที่สิ่งอันถูกพวกเขาถามนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว และหมิ่นเหม่ไปในทางย่อยยับเสียหาย แล้วปวงประชากรเหล่านั้นก็ได้รับตอบข้อเรียนถามด้วยบทบัญญัติใช้บ้าง หรือบัญญัติห้ามบ้าง
ครั้นแล้วพวก
ประชากร
เหล่านั้นกลับไม่ศรัทธาต่อสิ่งนั้นเลย
อาทิ เช่น ปวงประชากรของพระศาสดาซอลิห์ต่างเรียกร้องอยากได้อูฐตัวเมียที่ไมมีลูก ห้ามมิให้ใครฆ่ามัน พวกนั้นกลับฆ่ามันเสีย ฝ่ายประชากรของพระศาสดาอีซานั้นเรียกร้องอยากได้อาหารจากสวรรค์ (อัล-มาอิดะห์) ที่ถูกห้ามเก็บกักไว้แล้วพวกนั้นก็เก็บกักกันไว้ ส่วนประชากรของพระศาสดามูซาก็ขอว่าอยากจะแลเห็นองค์ของอัลเลาะห์ให้ประจกษ์แก่สายตา พวกเหล่านี้กลับถูกยิบรออีลตวาดเสียงลั่นจนพวกเหล่านี้ต้องตายไปชั่วระยะกาลหนึ่ง
๑๐๖.
อัลเลาะห์มิได้ทรงให้อูฐบะฮีเราะห์
(แม่อูฐที่มีลูกตัวที่ ๕ เป็นตัวเมีย ปล่อยไว้ไม่ใช้งาน ไม่ต้องการลูกรุ่นต่อไป ทั้งยังเอานมของแม่อูฐนี้เซ่นเทพเจ้า ครั้นแล้วก็เจาะหูเพี่อให้เป็นหมายรู้กันว่าเป็นอูฐบะฮีเราะห์) อูฐ
ซาอิบะห์
(อูฐตัวเมียที่ถูกปล่อยไว้เป็นอิสระ เป็นการถวายเทวรูป ห้ามมิให้ใช้เป็นพาหนะบรรทุกสัมภาระ) อูฐ
วะซีละห์
(แม่อูฐที่ลูกตัวแรกและตัวที่สองเป็นตัวเมีย แล้วแม่อูฐนั้นจะถูกปล่อยไว้เป็นการถวายเทวรูป)
และ
อูฐ
ฮาม
(อูฐตัวผู้ที่ทับตัวเมียอยู่หลาย ๆ ครั้ง เมื่อถึงเวลาที่มันถูกกำหนดให้หยุดทับตัวเมียแล้วก็จะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ไม่ใช้มันทำงาน และไม่ใช้มันบรรทุกสัมภาระ)
เป็นสัตว์ที่ห้าม
บริโภคเหมือนกับที่ชาวอนารยชน(ยาหิลียะห์)ถืออย่างนั้น
แต่ทว่า
บรรดาปวงปราชญ์ของบรรดา
ผู้ไม่ศรัทธากลับปั้นเท็จเพื่อแอบอ้างถึงอัลเลาะห์
หาว่าพระองค์ทรงบัญชาใช้ให้พวกเขาถือว่าสัตว์ทั้งสี่นั้นบริโภคแล้วบาป นี่คืออุปนิสัยเท็จของพวกนักปราชญ์และชนชั้นผู้ใหญ่ของชนกาฟิร
และพวกนั้นส่วนมากหาได้พิจารณา
ไม่ว่าที่พวกนักปราชญ์ของตนและพวกตนที่เป็นชนชั้นสามัญในสมัยพระนบีมูฮำมัดได้กระทำเช่นนั้น คือการกล่าวเท็จไปแอบอ้างอัลเลาะห์ เท่าที่กระทำตามนักปราชญ์และชนชั้นผู้ใหญ่ก็เพราะพวกตนโง่
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #39 เมื่อ:
ส.ค. 18, 2011, 02:51 PM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 104 - 105
คำอ่าน
104. วะอิซากีละละฮุม ตะอาเลา อิลามา..อัน..ซะลัลลอฮุ วะอิลัรฺเราะสูลิ กอลูหัสบุนา มาวะญัดนา อะลัยฮิอาบา..อะนา อะวะเลากานะอาบา...อุฮุม ลายะอฺละมูนะชัยเอา..วะลายะฮฺตะดูน
105. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู อะลัยกุมอัน..ฟุสะกุม ลายะฎุรฺรุกุม..มัน..ฎ็อลละอิซะฮฺตะดัยตุม อิลัลลอฮิมัรฺญิอุกุม ญะมีอัน..ฟะยุนับบิอุกุม..บิมากุน..ตุมตะอฺมะลูน
คำแปล R1.
104. And when it is said to them: "Come to what Allah has revealed and unto the Messenger (Muhammad for the verdict of that which you have made unlawful)." they say: "Enough for us is that which we found our fathers following," even though their fathers had no knowledge whatsoever and no guidance.
105. O you who believe! Take care of your own selves, [do righteous deeds, fear Allah much (abstain from all kinds of sins and evil deeds which he has forbidden) and love Allah much (perform all kinds of good deeds which He has ordained)]. If you follow the right guidance and enjoin what is right (Islamic Monotheism and all that Islam orders one to do) and forbid what is wrong (polytheism, disbelief and all that Islam has forbidden) no hurt can come to aou from those who are in error. The return of you all is to Allah, then He will inform you about (all) that which you used to do.
คำแปล R2.
107. และเมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาฟัง (อัลกุรอาน) ที่อัลเลาะฮฺทรงประทานลงมา และมาสู่ศาสนทูต(เพื่อเผยแพร่อัลกุรอาน)เถิด “พวกเขาก็กล่าวตอบว่า “เป็นการเพียงพอแก่เราแล้ว ที่เราได้ประพฤติตามสิ่งที่บรรพบุรุษของเราตั้งมั่นอยู่” แม้แต่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาไม่รู้(บทบัญญัติ)สักประการเดียว และไม่ได้รับการชี้นำ(สู่แนวทางอันถูกต้อง พวกเขาก็ยังประพฤติตามอีก)กระนั้นหรือ?
108. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! พวกเจ้ามีหน้าที่พึง (ระมัดระวัง) ตัวของพวกเจ้าเอง(อย่าได้ประพฤติการสิ่งใดที่ฝ่าฝืน บทบัญญัติของอัลเลาะฮฺ) ย่อมไม่ให้โทษแก่พวกเจ้าโดยผู้ที่หลงผิด เมื่อพวกเจ้าได้รับการชี้นำ ที่กลับคืนของพวกเจ้าทั้งหลายก็คือสู่อัลเลาะฮฺทั้งสิ้น แล้วพระองค์ก็จะทรงแจ้งแก่พวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้าได้เคยประพฤติไว้
คำแปล R3.
104. และเมื่อได้มีกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงมายังที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาและยังรอซูล” พวกเขากล่าวว่า “เพียงพอแล้วสำหรับเราในสิ่งที่เราได้พบจากบรรพบุรุษของเรา” ทั้ง ๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเขาไม่พบอะไรเลยและไม่ได้รับทางนำกระนั้นหรือ?
105. บรรดาผู้ศรัทธา จงระวังรักษาตัวของสูเจ้า ผู้หลงทางจะให้โทษแก่สูเจ้าไม่ได้เลยถ้าหากสูเจ้าอยู่ในทางนำ ยังอัลลอฮฺคือการกลับของสูเจ้าทั้งมวล แล้วพระองค์จะทรงให้สูเจ้าได้รู้สิ่งที่สูเจ้าได้กระทำ
คำแปล R4.
104. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า ท่านทั้งหลายจงมาสู่สิ่งที่อัลลอฮฺ ได้ทรงประทานลงมาเถิด และมาสู่รอซูลด้วย พวกเขาก็กล่าวว่า เป็นการพอเพียงแก่เราแล้ว สิ่งที่เราได้พบบรรพบุรุษของเราเคยกระทำมันมาถึงแม้ได้ปรากฏว่า บรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับคำแนะนำอีกด้วยกระนั้นหรือ?
105. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จำเป็นแก่พวกเจ้าในการป้องกันตัวของพวกเจ้า ผู้ที่หลงผิดไปนั้นจะไม่เป็นอันตรายแก่พวกเจ้าได้ เมื่อพวกเจ้ารับคำแนะนำไว้ ยังอัลลอฮฺนั้นคือการกลับไปของพวกเจ้าทั้งหมด แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเจ้าทั้งหลาย ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
คำแปล R5.
๑๐๗.
ครั้นเมื่อพวก
กาฟิรสามัญ
เหล่านั้น
บางคน
ถูกกล่าวว่า เชิญเถิด เชิญพวกเจ้าไปสู่
การยึดถือว่าสัตว์ทั้งสี่นั้นเป็นสิ่งอนุญาตให้บริโภคได้ตาม
บทที่อัลเลาะห์ได้ประทานลงมา
ไม่ใช่สิ่งของห้ามบริโภคหรอก และเชิญพวกเจ้า
ไปสู่
การตัดสินของ
พระศาสนทูตมุฮำมัด
ซึ่งทั้งบทแห่งอัล-กุรอานและคำตัดสินของพระศาสนทูตมุฮำมัดย่อมชี้ขาดอยู่แล้วว่าสัตว์ทั้งสี่ชื่อนั้นเป็นสิ่งอันพึงอนุญาตให้บริโภค
พวก
สามัญผู้ไม่ศรัทธา
เหล่านั้นจึงตอบว่า ตามศาสนาที่พวกเราพบว่าบรรพบุรุษของพวกเราถืออย่างนั้นย่อมเป็นที่พอใจของพวกเราอยู่แล้ว
(ดูในซูเราะห์อัลบะเกาะเราะห์ โองการที่ ๑๗๐ หน้า ๙๙) อัลเลาะห์ตรัสแก่พวกเหล่านั้นว่า
แล้วก็ถ้าหากว่าบรรพบุรุษของพวกเหล่านั้นไม่รู้อะไร
ทางศาสนา
เลยและมิได้รับการแนะนำ
ให้ไปสู่ความเที่ยงแท้
เลยละ
ศาสนาที่บรรพบุรุษพวกนั้นถืออยู่ก็จะเป็นที่พอใจแก่พวกนั้นมิได้เลย
๑๐๘.
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาพึงระมัดระวังตัวอของพวกเจ้า
จากการประพฤติ##invalid input## จงยืนยงในการพัฒนาตัวของพวกเจ้าให้ดีไว้
แล้วผู้ที่หลงงมงาย
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยะฮูดี ฝ่ายนัซรอนี ฝ่ายกาฟิร
จะไม่สามารถยังความเดือดร้อนแก่พวกเจ้าได้เลย ในเมื่อพวกเจ้าได้รับหนทางนำ
ไปสู่วิถีทางอันเที่ยงแท้
แล้ว บั้นปลายของพวกเจ้าทั้งสิ้น
ทั้งฝ่ายที่กระทำการดีและฝ่ายที่หลงงมงาย
ก็คือจะต้องกลับไปสู่
การสอบสวนของ
อัลเลาะห์เท่านั้น แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้เจ้าผลกรรมที่พวกเจ้า
และพวกที่หลงงมงาย
ปฏิบัติกันไว้ด้วย
ทั้งพระองค์จะทรงตอบสนองแก่พวกเจ้าและพวกเหล่านั้นตามที่ได้ปฏิบัติกันไว้
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #40 เมื่อ:
ส.ค. 23, 2011, 09:51 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 106 - 108
คำอ่าน
106. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ชะฮาดะตุบัยนิกุม อิซาหะเฎาะเราะอะหะดะกุมุลเมาตุ หีนัลวะศียะติษนานิ ซะวาอัดลิม..มิน..กุม เอาอาเคาะรอนิ มินฆ็อยริกุม อินอัน..ตุม เฎาะร็อบตุม ฟิลอัรฺฎิ ฟะอะศอบัตกุม..มุศีบะตุลเมาติ ตะหฺบิสูนะฮุมา มิม..บะอฺดิศเศาะลาติ ฟะยุกสิมานิบิลลาฮิ อินิรฺตับตุม ลานัชตะรีบิฮี ษะมะเนา..วะเลากานะซากุรฺบา วะลานักตุมุ ชะฮาดะตัลลอฮิ อิน..นา..อิซัลละมินัลอาษิมีน
107. ฟะอินอุษิเราะ อะลาอัน..นะฮุมัสตะหักกอ..อิษมัน..ฟะอาเคาะรอนิ ยะกูมานิ มะกอมะฮุมา มินัลละซีนัสตะหักเกาะ อะลัยฮิมุลเอาละยานิ ฟะยุกสิมานิบิลลาฮิ ละชะฮาดะตุนา..อะหักกุมิน..ชะฮาดะติฮิมา วะมะอฺตะดัยนา อิน..นา..อิซัลละมินัซซอลิมีน
108. ซาลิกะอัดนา..อัย..ยะอ์ตูบิชชะฮาดะติ อะลาวัจญฮิฮา..เอายะคอฟู..อัน..ตุร็อดดะ อัยมานุม..บะอฺดะอัยมานิฮิม วัตตะกุลลอฮะ วัสมะอู วัลลอฮุลายะฮดิลก็อวมัลฟาสิกีน
คำแปล R1.
106. O you who believe! When death approaches any of you, and you make a bequest, then take the testimony of two just men of your own folk or two others from outside, if you are traveling through the land and the calamity of death befalls you. Detain them both after
As-Salat
(the prayer), (then) if you are in doubt (about their truthfulness), let them both swear by Allah (saying): "We wish not for any worldly gain in this, even though he (the beneficiary) be our near relative. We shall not hide testimony of Allah, for then indeed we should be of the sinful."
107. If then it gets known that these two had been guilty of sin, let two others stand forth in their places, nearest in kin from among those who claim a lawful right. Let them swear by Allah (saying): "We affirm that our testimony is truer than that of both of them, and that we have not trespassed (the truth), for then indeed we should be of the wrong-doers."
108. That should make it closer (to the fact) that their testimony would be in its true nature and shape (and thus accepted), or else they would fear that (other) oaths would be admitted after their oaths. And fear Allah and listen ( with obedience to Him). And Allah guides not the people who are
Al-Fasiqun
(the rebellious and disobedient).
คำแปล R2.
109. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! การเป็นพยานระหว่างพวกเจ้า ขณะทำพินัยกรรมในกรณีเมื่อความตายได้มาประสบแก่คนหนึ่งคนใดจากพวกเจ้า ต้องชายสองคนจากพวกเจ้าที่มีความเที่ยงธรรม หรือชายอีกสองคนจากที่มิใช่(คนในศาสนาเดียวกันกับ)พวกเจ้า หากพวกเจ้า(อยู่ในระหว่าง)เดินทางในพื้นแผ่นดินแล้ว เหตุร้ายแห่งความตายก็ได้ประสบแก่พวกเจ้า(ในกรณีที่พวกเจ้าในฐานะทายาทของผู้ตายเกิดสงสัยในพฤติการณ์ของพยานสองคนนั้นก็ให้)พวกเจ้ากักตัวคนทั้งสองไว้หลังจากทำละหมาดให้คนทั้งสองสาบานตนในนามของอัลเลาะฮฺหากพวกเจ้ามีความสงสัย(ในพฤติการณ์ของพยานทั้งสองดังกล่าวแล้ว และให้เขาเอ่ยคำสาบานของเขาว่า) “เราไม่ขอขายคำสาบานของเราด้วย(ผลประโยชน์แห่งทรัพย์สินที่มี)ราคา(เพื่อให้เราบิดเบือนคำสั่งของพินัยกรรม) แม้ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นญาติสนิทก็ตาม และเราไม่ขอปิดบัง(สภาพเป็นจริงตามที่เราได้)เป็นพยาน(ตามบทบัญญัติ)ของอัลเลาะฮฺ แท้จริงเรานี้(หากพูดเท็จหรือปิดบัง)แน่นอนเราก็จะเป็นผู้หนึ่งจากมวลผู้ทำบาปทันที”
110. ต่อมา หากปรากฏชัดแจ้งว่า คนทั้งสองทำความผิดจริง ก็ให้คนอื่นอีกสองคนขึ้นมาดำรงฐานะ(พยาน)แทนที่ของคนทั้งสอง(ที่ปรากฏชัดในความผิดของเขานั้น)จากบรรดาผู้ซึ่งทายาทใกล้ชิดทั้งสอง(ที่ถูกเลือกมาดำรงฐานะพยานดังกล่าว)ทรงสิทธิ์ยิ่งเหนือพวกเขา(แก่การที่จะชี้แจงในความจริงแท้แห่งการทำพินัยกรรมนั้น ๆ) แล้วให้คนทั้งสองกล่าวสาบานตนต่ออัลเลาะฮฺว่า “ขอสาบาน! แท้จริงการเป็นพยานของเราทั้งสองนี้ มีความสัจจริงยิ่งกว่าการเป็นพยานของเขาทั้งสอง(ซึ่งปรากฏชัดแจ้งแล้วว่าเป็นผู้มดเท็จ) และเราไม่ล่วงละเมิด(บทบัญญัติของอัลเลาะฮฺเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอันขาด และถ้าเราทั้งสองเบิกพยานเท็จในครั้งนี้) แน่นอนที่สุด เราก็จะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ฉ้อฉลทันที่
111. (บทบัญญัติและขั้นตอนในการเบิกพยานตามที่ได้พรรณนามา)นั้นย่อมเป็น (หนทาง)ที่ใกล้เคียงที่สุดที่พวกเขาจักนำมาซึ่งการเป็นพยาน ตามนัยยะที่เป็นจริงของมัน หรือพวกเขาจักรู้สึกหวั่นกลัวว่าจะถูกโอนสาบาน (ให้เป็นหน้าที่ของทายาท)ภายหลังจากการสาบานของพวกเขา(ซึ่งได้บิดเบือน กล่าวเท็จและปิดบัง) และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ และจงฟัง(ข้อบัญญัติของพระองค์) และอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำ แก่กลุ่มชนที่ฝ่าฝืนทั้งมวล
คำแปล R3.
106. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา เมื่อเวลาแห่งความตายได้มาถึงผู้ใดในหมู่สูเจ้าและสูเจ้าจะทำพินัยกรรม พยานระหว่างสูเจ้าก็คือผู้เที่ยงธรรมสองคนจากหมู่สูเจ้าหรือถ้าหากสู้เจ้าอยู่ในระหว่างเดินทาง และทุกขภัยแห่งความตายประสบแก่สูเจ้า ก็ให้เอาพยานสองคนอื่นจากหมู่สูเจ้า ถ้าหากสูเจ้าสงสัยสูเจ้าต้องกักกันตัวเขาทั้งสองไว้หลังจากการนมาซและให้เขาทั้งสองสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า “เราจะไม่ขายหลักฐานด้วยราคาใด ๆ แม้ว่าเราจะเป็นญาติสนิทก็ตาม (เราจะไม่เข้าข้างเขา) และเราจะไม่ปิดบังหลักฐานของอัลลอฮฺ เพราะแท้จริงถ้าเราทำเช่นนั้นเราจะอยู่ในหมู่ผู้ทำบาปอย่างแน่นอน”
107. แต่ถ้าถูกค้นพบว่าทั้งสองคนมีผิดจริงก็ให้พยานอีกสองคนจากบรรดาผู้ที่ถูกลิดรอนสิทธิ ออกมาและให้ทั้งสองสาบานต่ออัลลอฮฺว่า “การยืนยันของเราถูกต้องชอบธรรมมากกว่าการยืนยันของเขาทั้งสอง และเราทั้งสองไม่ได้ละเมิด มิฉะนั้น แน่แท้เราจะเป็นผู้หนึ่งในหมู่พวกอธรรม”
108. ด้วยวิธีการเช่นนี้จะเป็นการเหมาะกว่าที่พวกเขาจะให้การเป็นพยานตามความเป็นจริง หรือ (อย่างน้อยที่สุด) พวกเขาจะกลัวว่าการสาบานของพวกเขาจะขัดแย้งกับการสาบานภายหลัง จงเกรงกลัวอัลลอฮฺและจงฟัง อัลลอฮฺนั้นมิทรงนำทางหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน
คำแปล R4.
106. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การเป็นพยานระหว่างพวกเจ้า เมื่อความตายได้มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้า ขณะมีการทำพินัยกรรมนั้น คือสองคนที่เป็นผู้เที่ยงธรรมในหมู่พวกเจ้า หรือคนอื่นสองคนที่มิใช่ในหมู่พวกเจ้าหากพวกเจ้าได้เดินทางไปในผืนแผ่นดินแล้วได้มีเหตุภัยแห่งความตายประสบกับพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าจะต้องกักตัว เขาทั้งสองไว้หลังจากละหมาดแล้วทั้งสองนั้นก็จะสาบานต่ออัลลอฮฺ หากพวก เจ้าสงสัยว่า เราจะไม่นำการสาบานนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาใด ๆ และแม้ว่าเขาจะเป็นญาติใกล้ชิดก็ตาม และเราจะไม่ปกปิดหลักฐานของอัลลอฮ์(ถ้ามิเช่นนั้น) แน่นอนทันใดนั้นเอง เราก็จะอยู่ในหมู่ผู้ที่กระทำบาป
107. แล้วหากได้รับรู้ว่าพยานทั้งสองคนนั้นสมควรได้รับโทษก็ให้คนอื่นสองคน ทำหน้าที่ในตำแหน่งพยานทั้งสองนั้นแทน จากบรรดาผู้ที่มีคนสองคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้สมควร แล้วทั้งสองนั้นก็จะสาบานต่ออัลลอฮฺว่า แน่นอนการเป็นพยานของเรานั้นสมควรยิ่งกว่าการเป็นพยานของเขาทั้งสอง และเรามิได้ละเมิด (ถ้ามิเช่นนั้น) แน่นอนทันใดนั้นเอง เราก็จะอยู่ในหมู่ผู้อธรรม
108. นั้นแหละคือสิ่งที่ใกล้ยิ่งกว่า ในการที่พวกเขาจะนำมาซึ่งการเป็นพยานตามความเป็นจริงของมันหรือในการ ที่พวกเขากลัวว่า คำสาบานจะถูกปฏิเสธหลังจากที่พวกเขาสาบาน จงยำเกรงอัลลอฮฺและจงสดับฟังเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงแนะนำพวกที่เป็นผู้ละเมิด
คำแปล R5.
๑๐๙.
โอ้บรรดาชนผู้ศรัทธา (๑.) การอ้างสิทธิ์กันระหว่างพวกเจ้าในเมื่อ
เหตุแห่ง
ความตายมาถึงคนใดคนหนึ่งจากพวกเจ้าในกรณีเมื่อมีการสั่งเสียไว้ด้วย
ว่า “ให้จัดการเรื่องใดเรทื่องหนึ่งแทนตนหลังจากที่ตนได้ตายลงแล้ว”
นั้น
จำเป็น
ต้องมีพยานเป็นชายผู้ดำรงธรรมสองคนในหมู่ของพวกเจ้า
(๒.) การมาปรากฏตัวอยู่ของพวกเจ้าในเมื่อ
มีเหตุแห่ง
ความตายมาถึงคนใดคนหนึ่งจากพวกเจ้าในกรณีที่มีการสั่งเสียไว้ด้วย
ว่า “ให้ใครเป็นผู้จัดการเรื่องใดเรื่องหนึ่งแทนตนหลังจากที่ตนได้ตายลงแล้ว”
นั้น
จำเป็น
ต้องเป็นชายผู้ทรงธรรมสองคนในหมู่พวกเจ้าหรือว่า
จะให้
สองคนที่นอก
ศาสนา
จากพวกเจ้า
รับจัดการตามคำสั่งเสียหรือเป็นพยานในการนำทรัพย์สินของพวกเจ้าไปส่งมอบแก่ทายาทผู้มีสิทธิ์ในกองมรดกของพวกเจ้าหลังจากพวกเจ้าได้ตายลงแล้ว
ก็ได้ ถ้าหากพวกเจ้าได้เร่ร่อนอยู่ในผืนแผ่นดินทั้ง
ภัยแห่ง
ความตายก็กำลังจะประสบแก่พวกเจ้า
ในขณะเดินทางอยู่โดยไม่มีมุอ์มินแม้สักคนเดียวร่วมอยู่ในสถานที่นั้นเลย
หากพวกเจ้า
ผู้เป็นทายาท
เกิดคลางแคลงใจ
ผู้รับมอบหมายให้จัดการตามคำสั่งเสียทั้งสองคนก็ดี หรือผู้เป็นพยานทั้งสองคนก็ดี
พวกเจ้าจะกักตัวเขาทั้งสองไว้จนถึงเวลาหลังจากละหมาด
อัล-อัซริ
จะให้ทั้งสองสบถสาบาน
โดย
พระนามของ
อัลเลาะห์ด้วยก็ได้
โดยเอ่ยคำสาบาน
ว่า “เราจะไม่นำคำ
สาบานโดยพระนามของ
พระองค์
หรือการเบิกพยานเท็จ
เพื่อไปแลกกับค่างวด
ส่วนหนึ่งจากทรัพย์สินในกองมรดก
หรอกถึงแม้ว่าผู้นั้น
ที่ใช้ให้สาบานก็ดี หรือผู้ที่ใช้ให้เป็นพยานก็ดี
จะเป็นญาติสนิท
กับเรา
ก็เอาเถอะ ทั้งเราจะไม่อำพรางซึ่งการ
สบถสาบาน
อ้างถึงอัลเลาะห์
หรือการเบิกพยาน
อีกด้วย ถ้าอย่างนั้นแล้ว เรานี้ย่อมเป็นส่วนหนึ่งจากผู้มีบาปกรรมทั้งหลายแน่ทีเดียว
๑๑๐.
แต่ถ้าเป็นที่ประจักษ์ว่า คน
นอกศาสนา
ทั้งสอง
ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการตามคำสั่งเสีย หรือที่เป็นพยาน
เป็นคนทุจริตจริง
หลังจากที่คนทั้งสองนั้นได้สบถสาบานหรือเบิกพยานแล้ว โดยทั้งสองอ้างว่า “ตนได้รับซื้อทรัพย์สินดังกล่าวจากผู้ตายไว้แล้วในตอนเขายังไม่ตาย” ก็ดี ก่อนตายผู้ตายได้สั่งเสียยกทรัพย์สินให้แก่ตนเองหรือคนอื่น ๆ ก็ดี
ก็ให้
ทายาท
อีกสองคนจากผู้มีสิทธิ
ได้รับทรัพย์พินัยกรรมอยู่ด้วย
ว่าการแทนในตำแหน่งของคน
นอกศาสนาที่รั้งตำแหน่งอยู่ก่อน
นั้นเสียเลย แล้วให้คนทั้งสองต้องสาบานโดย
กล่าวพระนามของ
อัลเลาะห์
หรือเป็นพยานเพื่อหักล้างคนนอกศาสนาทั้งสองที่ได้รับมอบหมายให้จัดการตามคำสั่งเสียว่าเป็นผู้ทุจริต หรือทำการเบิกพยานเท็จเสร็จแล้วทรัพย์พินัยกรรมจึงตกเป็นของทายาททั้งหมดที่พึงได้มรดกโดยให้ทายาททั้งสองนั้น
เอ่ยว่า “การอ้าง
สาบาน
ของเรา
ถึงอัลเลาะห์นั้น
เที่ยงแท้กว่า การอ้าง
สาบานถึงอัลเลาะห์และการเบิกพยาน
ของคน
นอกศาสนา
ทั้งสองนัก ทั้งเราก็มิได้ล่วงละเมิดขอบเขต
ให้เกินความเป็นจริง
เลย ถ้าอย่างนั้นแล้วเรานี้ย่อมเป็นส่วนหนึ่งจากพวกคดโกงทั้งหลายเป็นแน่”
๑๑๑. การโอนหน้าที่สาบานให้ตกมาเป็นของญาติผู้ตาย
นี่แหละจึงจะเป็นทาง
บังคับ
ให้พวก
นอกศาสนา
เหล่านั้นมาเป็นพยานตรงตามรูปการ
โดยไม่มีการทุจริต
หรือ
เป็นการบังคับให้พวกนอกศาสนาเหล่านั้น
กลัวได้ว่าจะถูกโอนสาบาน
และการเบิกพยานที่ฟังไม่ขึ้น ไปเป็นหน้าที่ของทายาทผู้ตาย
หลังจากที่พวกตนได้สาบาน
และเป็นพยาน
ไปแล้ว
โดยไม่สุจริตใจ แล้วทรัพย์สินที่พวกตนได้ไว้โดยทุจริตก็จะถูกเรียกคืนให้แก่ทายาทผู้ตายนั้น เป็นเหตุให้พวกนอกศาสนานั้นต้องอับอายขายหน้า จะได้ไม่กล้าสาบานและเป็นพยานเท็จ
ทั้งพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์
โดยการงดเว้นเสียซึ่งการทุจริตหรือการอ้างเท็จ
และจงสดับฟัง
สิ่งที่พวกเจ้าถูกบัญชาใช้ด้วยความเคารพนบนอบ
เถิดฝ่ายอัลเลาะห์จะไม่ทรงแนะนำให้พวกนอกภักดีทั้งหลาย
ไปสู่หนทางดีเลย
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #41 เมื่อ:
ส.ค. 24, 2011, 09:00 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 109 - 110
คำอ่าน
109. เยามะยัจญมะอุลลอฮุรฺรุสุละ ฟะยะกูลุมาซา..อุญิบตุม กอลูลาอิลมะละนา อินนะกะ อัน..ตะ อัลลามุลฆุยูบ
110. อิซกอลัลลอฮุ ยาอีสับนะมัรฺยะมัซกุรฺนิอฺมะตี อะลัยกะ วะอะลาวาลิดะติกะ อิซอัยยัดตุกะ บิรูหิลกุดุส ตุกัลป์ลุมุน..นาสิฟิลมะฮฺดิ วะกะฮฺลา วะอิซอัลลัมตุกัลกิตาบะ วัลหิกมะตะ วัตเตารอตะ วัลอินญีละ วะอิซตัคลุกุ มินัฏฏีนิ กะฮัยอะติฏฏ็อยริ บิอิซนี ฟะตัน..ฟุคุ ฟีฮา ฟะตะกูนุ ฏ็อยร็อม..บิอิซนี วะตุบริอุลอักมะฮะ วัลอับเราะเศาะบิอิซนี วะอิซตุคริญุลเมาตาบิอิซนี วะอิซกะฟัฟตุบะนี..อิสรอ...อีละ อัน..กะ อิซญิอ์ตะฮุม..บิลบัยยินาติ ฟะกอลัลละซีนะกะฟะรูมินฮุม อินฮาซา..อิลาสิหฺรุม..มุบีน
คำแปล R1.
109. On the day when Allah will gather the Messengers together and say to them: "What was the response you received (from men to your teaching)? They will say: "We have no knowledge, verily, only You are the All-Knower of all that is hidden (or unseen, etc.)."
110. (Remember) when Allah will say (on the Day of Resurrection). "O
'Iesa
(Jesus), son of
Maryam
(Mary)! Remember My Favour to you and to your mother when I supported you with
Ruh-ul-Qudus
[Jibrael (Gabriel)] so that you spoke to the people in the cradle and in maturity; and when I taught you writing,
Al-Hikmah
(the power of understanding), the
Taurat
(Torah) and the
Injeel
(Gospel); and when you made out of the clay, as it were, the figure of a bird, by My Permission, and you breathed into it, and it became a bird by My Permission, and you healed those born blind, and the lepers by My Permission, and when you brought forth the dead by My Permission; and when I restrained the Children of Israel from you (when they resolved to kill you) since you came unto them with clear proofs, and the disbelievers among them said: 'This is nothing but evident magic.' "
คำแปล R2.
112. (จงระลึกเถิด)วัน(ชาติหน้า)ซึ่งอัลเลาะฮฺทรงรวบรวมบรรดาศาสนทูต(ในที่ชุมนุมเดียวกัน)แล้วพระองค์ทรงตรัสว่า “อะไรบ้างที่พวกเจ้าถูกตอบสนอง(จากประชาชาติของพวกเจ้า)?” พวกเขาทูลตอบว่า “เราไม่มีความรู้(พอที่จะวินิจฉัยสิ่งนั้นได้) แท้จริงพระองค์ทรงรู้ในความลี้ลับยิ่งนัก
113. (จงระลึกเถิด)เมื่อครั้งอัลเลาะฮฺได้ทรงตรัสแก่อีซาบุตรของมัรยัมว่า “เจ้าจงระลึกถึงความโปรดปรานของข้าที่ได้ให้แก่เจ้า และที่ให้แก่มารดาของเจ้าเถิด เมื่อข้าได้สนับสนุนเจ้าด้วยวิญญาณอันบริสุทธิ์(ยิบรีล)เจ้าพูดคุยกับผู้คนได้ตั้งแต่อยู่ในเปล(ยามเยาว์วัย)และในวัยฉกรรจ์(อายุประมาณ 33 ปี) และเมื่อข้าได้สอนเจ้าให้รู้การเขียน วิทยญาณ คัมภีร์เตารอฮฺ และคัมภีร์อินยีลและเมื่อเจ้าปั้นรูปเหมือนของนกมาจากดินโดยอนุมัติของข้า แล้วเจ้าก็เป่าลงไปในนั้นแล้วมันก็เป็นนก(ที่มีชีวิต)โดยอนุมัติของข้า เจ้าทำการบำบัดคนตาบอดและคนเป็นโรคผิวด่าง(ให้หายเป็นปกติ) โดยอนุมัติของข้า และเมื่อเจ้าได้ให้คนที่ตายแล้วคืนชีพได้โดยอนุมัติของข้า และเมื่อข้าได้ยับยั้งเผ่าพันธุ์ของอิสรออีลมิให้ทำอันตรายแก่เจ้าได้ในขณะที่เจ้าได้นำบรรดา(สัญลักษณ์)ที่ชัดแจ้งมายังพวกเขา แต่แล้วบรรดาพวกเนรคูรจากพวกเขากลับกล่าวว่า “สิ่งนี้มิใช่อื่นใดเลย นอกจากเป็นมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น”
คำแปล R3.
119. ในวันนั้น อัลลอฮฺจะทรงรวบรวมบรรดาศาสนทูตทั้งหมดของพระองค์และจะทรงถามว่า “พวกเจ้าได้รับการสนองตอบอย่างไร?” เขาทั้งหลายกล่าวว่า “เราไม่มีความรู้ แท้จริงพระองค์เท่านั้นที่ทรงรอบรู้ยิ่งซึ่งความลับทั้งผอง”
110. จงระลึกถึงเมื่ออัลลอฮฺตรัสว่า “อีซาลูกของมัรยัมเอ๋ย จงระลึกถึงความโปรดปรานของฉันแก่เจ้าและแก่แม่ของเจ้าเมื่อฉันได้ทำให้เจ้าเข้มแข็งด้วยวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าได้พูดกับผู้คนแม้แต่เมื่ออยู่ในเปลเหมือนกับเจ้าพูดในตอนโต และเมื่อฉันได้สอนเจ้าซึ่งคัมภีร์และวิทยปัญญาและเตารอตและอินญีล และเมื่อเจ้าจำลองรูปนกจากดินโดยอนุมัติของฉัน แล้วเจ้าเป่าเข้าไปในมัน มันก็กลายเป็นนกโดยอนุมัติของฉัน และเจ้ารักษาคนตาบอดและคนโรคเรื้อนโดยอนุมัติของฉัน และเมื่อเจ้าให้คนตายกลับมีชีวิตขึ้นมา และเมื่อฉันได้คุ้มครองเจ้าจากพวกวงศ์วานอิสรออีลเมื่อเจ้าไปหาพวกเขาด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งและพวกเขากล่าวว่า “นี่มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นมายากล”
คำแปล R4.
109. วันที่อัลลอฮฺจะทรงชุมนุมบรรดารอซูล แล้วตรัสว่าสิ่งใดบ้างที่พวกเจ้าได้รับการตอบสนอง พวกเขากล่าวว่าไม่มีความรู้ใด ๆ แก่พวกข้าพระองค์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ความเร้นลับทั้งหลาย
110. จงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺ ตรัสแก่อีซาบุตรของมัรยัมว่า จงรำถึงความโปรดปรานของข้าที่มีต่อเจ้า และมารดาของเจ้า ขณะที่ข้าได้สนับสนุนเจ้า ด้วยวิญญาณอันบริสุทธิ์โดยที่เจ้าพูดกับประชาชน ขณะที่อยู่ในเปลและขณะที่อยู่ในวัยกลางคน และขณะที่ข้าได้สอนเจ้า ซึ่งคัมภีร์และความมุ่งหมายแห่งบัญญัติศาสนาและอัต-เตารอตและอัล-อิน-ญีล และขณะที่เจ้าสร้างขึ้นจากดินดั่งรูปนกด้วยอนุมัติของข้า แล้วเจ้าเป่าเข้าไปในรูปนกนั้น มันก็กลายเป็นนกด้วยอนุมัติของข้า และที่เจ้าทำให้คนตาบอดแต่กำเนิด และคนเป็นโรคผิวหนังหาย ด้วยอนุมัติของข้า และขณะที่เจ้าทำให้บรรดาคนตายออกมา ด้วยอนุมัติของข้า และขณะที่ข้าได้ยับยั้งและหันเหวงศ์วานอิสรออีลออกจากเจ้า เมื่อเจ้านำบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้วบรรดาผู้ฝ่าฝืนในหมู่พวก เขาก็กล่าวว่า สิ่งนี้มิใช่อื่นใด นอกจากมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น
คำแปล R5.
๑๑๒. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ปวงประชากรของเจ้า เป็นการชี้แจงให้พวกเขาเกิดความเกรงกลัวเถิดว่า
วันหนึ่ง
คือวันกิยามะห์
อัลเลาะห์จะทรงรวบรวมพระศาสนทูตทั้งหลายแล้วพระองค์ก็ตรัส
แก่ศาสนทูตเหล่านั้นขึ้นเป็นการตำหนิปวงประชากรของแต่ละศาสนทูต
ว่า
ในคราวที่พวกเจ้าชักชวนประชากรของพวกเจ้า ณ หน้าแผ่นดินเพื่อให้เขาเลื่อมใสว่าอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวและให้มีความภักดีในพระองค์นั้น
พวกเจ้าได้รับคำตอบว่ากระไร? พวก
พระศาสนทูต
นั้นทูลตอบว่า สำหรับข้าพระองค์ทั้งหลายหารู้
คำตอบที่ปวงประชากรของข้าพระองค์
แต่อย่างไรไม่ แม้จริงพระองค์นั่นแหละเป็นองค์ทรงรอบรู้รอบคอบที่สุดในสิ่งซ่อนเร้นทั้งหลาย
จากบรรดาผู้เป็นข้าของพระองค์เพราะความรู้ที่พระศาสนทูตได้รับตอบจากปวงประชากรได้สูญสิ้นไปหมด เนื่องจากการจลาจลและความโกลาหลแห่งวันสิ้นโลก และเพราะความตื่นตระหนกตกใตของพวกพระศาสนทูตเหล่านั้น ครั้นเมื่อความหวาดกลัวของพวกพระศาสนทูตสร่างซาลงแล้ว พวกศาสนทูตก็จะพูดยืนยันว่า “พวกข้าพระองค์ได้นำบทบัญญัติใช้และห้ามทั้งสิ้น รวมทั้งเรื่องเอกภาพของพระองค์และเรื่องการถือภาคีเทียบเท่าพระองค์ไปประกาศแก่ปวงประชากรของข้าพระองค์แล้ว
๑๑๓. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวประวัติของพระนบีอีซาให้ปวงประชากรของเจ้าทราบเถิด ในตอนที่อัลเลาะห์จะได้ตรัสว่า
“โอ้อีซาบุตรมัรยำ เจ้าจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของข้าที่มีต่อ
เจ้า ๗ อย่าง ซึ่งอีกสักครู่จะกล่าวถึง
และที่มีต่อ
มัรยำ
มารดาของเจ้า
โดยให้เธอเจริญเติบโตขึ้น มีรูปร่างสะสวย ไม่มีเลือดระดูประจำเดือน และได้รับการคัดเลือกให้เลอเลิศในเกียรติศักดิ์เหนือปวงสตรีทั้งหลายสมัยเดียวกับเธอและในอีกด้านหนึ่ง คือให้การตำหนิพวกกาฟิรที่ขัดแย้งกับทุกสภาพของอีซา ที่บางคนว่าอีซาเป็นบุตรของอัลเลาะห์ บ้างก็ว่าอีซาเป็นลูกนอกสมรสของมัรยำ และบ้างก็ว่าอีซาเป็นพระเจ้าองค์ที่สาม ตลอดจนให้การตำหนิกาฟิรที่ขัดแย้งกับทุกสถานภาพนางมัรยำ ซึ่งบางพวกว่าเธอเป็นผู้ประพฤติการประเวณีนอกอนุญาต(ซินา) และบ้างก็ว่า เธิเป็นพระเจ้าองค์ที่สาม กล่าวคือ
๑.
ในคราวที่ข้าได้ให้การสนับสนุนเจ้าให้มีอำนาจขึ้นด้วยวิญญาณอันบริสุทธิ์
คือยิบรออีลเป็นพระอภิบาลติดตามอีซาไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่ามีภัยอันตรายจะมีมาแต่ฟากฟ้าหรือแผ่นดิน ยิบรออีลจะให้ความคุ้มกันซึ่งอีซาจะได้รับการดลใจให้รู้จักพระอภิบาลคือยิบรออีลได้โดยหลักฐาน และรู้จักโดยถูกตรงตามความจริง
โดยที่เจ้าจะพูดจากับมวลมนุษย์ได้แต่ยังเยาว์
ว่า แน่แท้ฉันนี้เป็นข้าแห่งอัลเลาะห์
และในวัยผู้ใหญ่
มีอายุได้ ๓๓ ปี เจ้าก็ยังพูดว่า แน่แท้ ฉันเป็นข้าแห่งอัลเลาะห์ ยิ่งกว่านั้นเจ้ายังมีความจำเริญบริบูรณ์พร้อมทั้งทางสติปัญญาและกิจการ
๒.
ในคราวที่ข้าสอนเจ้าให้รู้จักการเขียนให้เกิดความเข้าใจ
แตกฉานสามารถมองเห็นความรู้ในแง่ลึกได้
ให้รู้จักเตารอต
อันเป็นคัมภีร์ของพระศาสดามูซา
และอินยีล
อันเป็นพระคัมภีร์สำหรับตัวเจ้าเอง
๓.
ในคราวที่เจ้าจะเอาดินมาปั้นขึ้นเหมือนรูปนกด้วยความประสงค์แห่งข้าแล้วเจ้าก็เป่าประจุชีพให้มัน ครั้นแล้วมันก็เป็นนก
ค้างคาว
ขึ้นได้ตามความประสงค์แห่งข้า
(ดูในซูเราะห์ อาลอิมรอน โองการที่ ๔๔)
๔.
และในคราวที่เจ้าจะให้คนตาบอด
มาแต่กำเนิด
กับคนด่างกลับหาย
กลายเป็นคนตาดีและเป็นคนไม่มีโรคด่าง
ได้ด้วยความประสงค์แห่งข้า
๕.
และในคราวที่เจ้าได้ให้บรรดาที่ตายแล้ว
อาทิ ซามบุตรของนบีนูห์ ชายอีกสองคน หญิงเสรีคนหนึ่งกับทาสหญิงอีกคนหนึ่ง
คืนชีพ
ออกจากสุสาน
ได้ด้วยความประสงค์แห่งข้า
๖.
ในคราวที่ข้าได้ระงับการร้าย
(สังหาร)
ของพวกในตระกูลอิสรออีลที่มีต่อเจ้า ตอนที่เจ้าได้นำหลักฐาน
ซึ่งแปลกผิดธรรมดา
ไปแจ้งยังพวกนั้น
ข้าจึงได้ช่วยเหลือเจ้าไว้ให้รอดพ้นอันตรายจากพวกนั้นแล้วได้นำตัวเจ้าเข้าสู่ฟากฟ้าชั้นที่สอง
แต่บรรดา
ยะฮูดี
ผู้ไม่ศรัทธาบางคนกล่าวว่า
“หลักฐานผิดธรรมดา
นี้นะมิใช่อื่นเลยหากแต่เป็นวิทยากลแน่ชัด”
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #42 เมื่อ:
ส.ค. 26, 2011, 10:09 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 111 - 113
คำอ่าน
111. วะอิซเอาหัยตุ อิลัลหะวารียีนะ อันอามินูบี วะบิเราะสูลี กอลู..อามัน..นา วัชฮัด บิอัน..นะนามุสลิมูน
112. อิซกอลัลหะวารียูนะ ยาอีสับนะมัรฺยะมะ ฮัลยัสตะฏีอุ ร็อบบุกะ อัย..ยุนัซซิละ อะลัยนามา...อิดะตัม..มินัสสะมา...อิ กอลัตตะกุลลอฮะ อิน..กุน..ตุม..มุอ์มินีน
113. กอลูนุรีดุ อัน..นะอ์กุละ มินฮา วะตัฏมะอิน..นะ กุลูบุนา วะนะอฺละมะ อัน..ก็อดเศาะดักตะนา วะนะกูนะอะลัยฮา มินัชชาฮิดีน
คำแปล R1.
111. And when I (Allah) put in the hearts of
Al-Hawarieen
(the disciples) [of 'Iesa (Jesus)] to believe in Me and My Messenger, they said: "We believe. And bear witness that we are Muslims."
112. (Remember) when
Al-Hawariun
(the disciples) said: "O
'Iesa
(Jesus), son of
Maryam
(Mary)! Can your Lord send down to us a table spread (with food) from heaven?"
'Iesa
(Jesus) said: "Fear Allah, if you are indeed believers."
113. They said: "We wish to eat thereof and to be stronger in faith, and to know that you have indeed told us the truth and that we ourselves be its witnesses."
คำแปล R2.
114. และ(จงระลึกเถิด)เมื่อครั้งที่ข้าได้ดลจิตแก่พวกเสวกของนบีอีซาว่า “พวกเจ้าจงศรัทธาต่อข้าและต่อศาสนทูตของข้าเถิด” พวกเขาก็ทูลตอบว่า “พวกเราศรัทธาและโปรดเป็นพยานเถิดว่า “แท้จริงพวกเราเป็นผู้ยอมสวามิภักดิ์(ต่ออัลเลาะฮฺ)”
115. เมื่อบรรดาเสวกของอีซากล่าวว่า โอ้อีซา บุตรมัรยัม พระอผู้ทรงอภิบาลของท่านมีความสามารถไหมที่จะส่งสำรับอาหารลงมาให้พวกเรา” เขากล่าว(เตือนพวกนั้น)ว่า “พวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะฮฺเถิด หากแม้นพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา”
116. พวกเขากล่าวว่า “พวกเราปรารถนาจะรัปทานจากมัน(สำรับอาหาร)และ(ปรารถนาที่จะให้)หัวใจของพวกเรามีความสงบมั่นและเรา(ปรารถนาที่)จะรู้ว่าท่านได้พูดจริงกับพวกเราแล้ว และเรา(ปรารถนาที่)จะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้เป็นสักขีพยานในเรื่อง(ของสำรับอาหาร)นั้น
คำแปล R3.
111. และจงรำลึกถึงตอนที่ฉันได้วะฮีย์แก่บรรดาสาวกว่า “จงศรัทธาในฉันและรอซูลของฉัน” พวกเขากล่าวว่า “เราศรัทธาและได้ทรงโปรดเป็นพยานว่าเราเป็นมุสลิม”
112. (และจงรำลึกถึงเรื่องบรรดาสาวก) เมื่อสาวกกล่าวว่า “อีซาลูกของมัรฺยัมพระผู้อภิบาลของท่านสามารถส่งอาหารจากฟากฟ้าลงมาแก่เราได้ไหม?” เขากล่าวว่า “จงเกรงกลัวอัลลออฺถ้าพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา”
113. พวกเขากล่าวว่า “เราปรารถนาที่จะบริโภคมันและทำให้เรามั่นใจและเพื่อเราจะได้รู้แน่นอนว่าสิ่งที่ท่านได้พูดแก่เรานั้นเป็นความจริง และเพื่อเราจะได้เป็นพยานในเรื่องนั้น”
คำแปล R4.
111. และจงรำลึกถึงขณะที่ข้าได้ดลใจแก่อัลฮะวารียินว่า จงศรัทธาต่อข้าและต่อรอซูลของข้าเถิด พวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ศรัทธากันแล้ว และโปรดได้ทรงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกข้าพระองค์นั้นเป็นผู้สวามิภักดิ์(ต่อพระองค์)
112. ขณะที่อัล-ฮะวารียูนกล่าวว่า โอ้อีซาบุตรของมัรยัม! พระเจ้าของท่านสามารถที่จะให้สำรับอาหารจากฟากฟ้าลงมาแก่พวกเราไหม? เขากล่าวว่าพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺ หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา
113. พวกเขากล่าวว่า พวกเราต้องการที่จะบริโภคจากมัน และที่จะให้หัวใจของพวกเราสงบ และที่พวกเราจะได้รู้ว่า ท่านได้พูดจริงแก่พวกเรา และที่พวกเราจะได้เป็นพยานยืนยันในเรื่องนั้นด้วย
คำแปล R5.
๑๑๔. ๗.
และในคราวที่ข้าได้ดลโองการไปยัง
เจ้าเพื่อเจ้านำโองการของข้าไปอำนวยแก่
พวกสาวกทั้งหลาย
ของเจ้า
ว่าพวกเจ้า
(สาวกเหล่านั้น)
จงศรัทธาต่อข้าและต่อ
อีซา
ผู้เป็นศาสนทูตของข้า พวก
สาวก
เหล่านั้นตอบว่า “พวกเราก็ได้ศรัทธา
ต่ออัลเลาะห์และต่อพระศาสนทูตอีซา
อยู่แล้ว
” โอ้อีซา
แล้วขอให้ท่านเป็นสักขีพยานด้วยว่าพวกเรานั้นเป็นมุสลิม
๑๑๕. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ปวงประชากรของเจ้าเป็นการชี้แจงให้พวกเขาเกิดความเกรงกลัวเถิด
ในตอนที่เหล่าสาวกกล่าว
แก่อีซา
ว่า โอ้อีซาบุตรมัรยำ องค์พระผู้อภิบาลของท่านมีความสามารถไหม? ที่จะประทานอาหารจากฟากฟ้ามายังพวกเรา
สักครั้งหนึ่ง
เขา
(อีซา)
จึงตอบว่า พวกท่านจงยำเกรงอัลเลาะห์
ในอันที่จะขอร้องให้ได้สิ่งของที่ผิดธรรมดาไม่มีแบบอย่างมาก่อน
ถ้าแม้นว่าท่านเป็นผู้ศรัทธา
ก็จงยำเกรงอัลเลาะห์ในการขอเช่นว่านี้
๑๑๖.
พวกนั้นกล่าวว่า พวกเราประสงค์เพียงเพื่อจะบริโภคมันสักหน่อย จะให้จิตใจของเราสงบเงียบ
มีความแน่ใจเพิ่มขึ้น
เราจะได้รู้ว่าท่านจริงจังต่อพวกเรา
ในเรื่องที่อ้างตัวว่าท่านเป็นพระศาสดา
และเพื่อพวกเราจะได้เป็นผู้รู้เห็น
เป็นพยานให้แก่พวกตระกูลอิสรออีลที่มิได้มาเห็น เพื่อพวกผู้ศรัทธาจากคนในคนตระกูลอิสรออีลจะได้เพิ่มความสงบใจและความแน่ใจมากขึ้นเพราะมีพวกเราเป็นพยาน และเพื่อให้ชนกาฟิรจากตระกูลอิสรออีลเกิดความศรัทธาเพราะพวกเราเป็นพยานอยู่ใน
เรื่อง
เกี่ยวกับอาหาร
นั้นบ้างเท่านั้น
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #43 เมื่อ:
ส.ค. 27, 2011, 08:14 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 114 - 115
คำอ่าน
114. กอละอีสับนุมัรฺยะมัลลอฮุม..มะ ร็อบบะนา อัน..ซิลอะลัยนามา...อิดะตัม..มินัสสะมา...อิตะกูนุละนา อีดัลลิเอาวะลินา วะอาคิรินา วะอายะตัม..มิน..กะ วัรฺซุกนา วะอัน..ตะค็อยรุรฺรอซิกีน
115. กอลัลลอฮุ อิน..นี มุนัซซิลุฮาอะลัยกุม ฟะมัย..ยักฟุรฺบะอฺดุมิน..กุม ฟะอิน..นี..อุอัซซิบุฮู อะซาลัลลา..อุอัซซิบุฮู..อะหะดัม..มินัลอาละมีน
คำแปล R1.
114.
'Iesa
(Jesus), son of
Maryam
(Mary), said: "O Allah, our Lord! Send us from heaven a table spread (with food) that there may be for us - for the first and the last of us - a festival and a sign from you; and provide us sustenance, for you are the best of sustainers."
115. Allah said: "I am going to send it down unto you, but if any of you after that disbelieves, then I will punish him with a torment such as I have not inflicted on anyone among (all) the
'Alamin
(mankind and jinns)."
คำแปล R2.
117. อีซาบุตรมัรยัมได้กล่าวว่า “โอ้ อัลเลาะฮฺ โอ้องค์อภิบาลของเรา! โปรดประทานสำรับอาหารจากฟากฟ้าลงมาให้พวกเราด้วยเถิด เพื่อความสราญสุขแก่คนแรกและคนสุดท้ายของพวกเรา และเพื่อเป็นสัญลักษณ์หนึ่งจากพระองค์(ที่แสดงถึงเอกานุภาพและเดชานุภาพของพระองค์) และได้โปรดประทานปัจจัยครองชีพแก่พวกเราและพระองค์เป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดจากบรรดาผู้ให้ปัจจัยครองชีพทั้งหลาย”
118. อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า “ข้าจะส่งมันลงมาให้พวกเจ้า(ตามคำขอ)แต่ถ้าผู้ใดจากพวกเจ้าเนรคุณในภายหลัง แน่นอนเขาจะลงโทษอย่างร้ายแรง ชนิดที่ข้าไม่เคยลงโทษแก่ผู้ใดมาก่อน จากบรรดาชาวโลกทั้งมวล”
คำแปล R3.
114. อีซาลูกของมัรฺยัมวิงวอนว่า “โอ้อัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลของเรา ได้ทรงโปรดประทานอาหารจากฟากฟ้าลงมาแก่เราเพื่อเป็นการรื่นเริงแก่คนแรกและคนสุดท้ายของเราและเป็นสัญญาณจากพระองค์ได้ทรงโปรดประทานเครื่องยังชีพแก่เราและพระองค์ทรงเป็นเลิศแห่งผู้ประทานเครื่องยังชีพ”
115. อัลลอฮฺตรัสว่า “แท้จริงฉันจะส่งมันลงมายังเจ้า แต่หลังจากนั้นถ้าผู้ใดในหมู่สูเจ้าได้ปฏิเสธฉันจะลงโทษเขาด้วยการลงโทษที่ฉันจะไม่ลงโทษผู้ใดในโลกเลย”
คำแปล R4.
114. อีซาบุตรของมัรยัม ได้กล่าวว่า ข้าแต่อัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์! โปรดได้ทรงประทานลงมาแก่พวกข้าพระองค์ ซึ่งสำรับอาหารจากฟากฟ้าด้วยเถิด จะได้เป็นวันรื่นเริงแก่พวกข้าพระองค์ ทั้งแก่คนแรกของพวกข้าพระองค์และแก่คนสุดท้ายของพวกข้าพระองค์ และจะได้เป็นสัญญาณหนึ่งจากพระองค์ และโปรดได้ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด และพระองค์นั้น คือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ประทานปัจจัยยังชีพทั้งหลาย
115. อัลลอฮฺตรัสว่า แท้จริงข้าจะให้มันลงมาแก่พวกเจ้า แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธาหลังจากนั้น แน่นอนข้าจะลงโทษเขา ซึ่งโทษที่ข้าจะไม่ลงโทษนั้นแก่ผู้ใดในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย
คำแปล R5.
๑๑๗.
อีซาบุตรมัรยำกล่าวว่า ข้าแต่อัลเลาะห์พระผู้อภิบาลแห่งบรรดาข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดประทานอาหารจากฟากฟ้ามายังพวกข้าพระองค์
สักครั้ง
เถิด ซึ่ง
อาหารที่กล่าวถึงนี้
มันจะได้เป็นเทศกาลสำคัญทั้งครั้งแรกและครั้งสุดท้ายสำหรับพวกข้าพระองค์
โดยถือเอาวันเริ่มรับประทานอาหารจากฟากฟ้านี้เป็นวันเทศกาล(วันอาทิตย์) สำหรับที่ข้าพระองค์ทั้งหลายตลอดจนผู้ที่อยู่ในสมัยหลัง ๆ จะให้ความเคารพยกย่องและกระทำการละหมาดในวันนั้นด้วงย พวกนัซรอนีก็ถือวันนี้เป็นวันเทศกาลด้วยเหมือนกัน
และเป็นสัญลักขณ์อย่างหนึ่งจากพระองค์
แสดงให้เห็นถึงพลานุภาพของพระองค์หนึ่ง และตำแหน่งพระศาสดาของข้าพระองค์อีกหนึ่ง
และขอพระองค์ได้โปรดอำนวยโภคลาภแก่เหล่าข้าพระองค์ด้วยเถิด ด้วยว่าพระองค์นั้นทรงเลิศยิ่งกว่าผู้อำนวยลาภทั้งหลาย
๑๑๘.
อัลเลาะห์ตรัส
เป็นการสนองคำวิงวอนของอีซา
ว่า “ข้าจะประทานมันมาให้แก่พวกเจ้าแน่” แต่ถ้าผู้
รับประทานคน
ใดในหมู่พวกเจ้าไม่ยอมเชื่อถือหลังจาก
ที่ได้มีอาหารประทานมาแล้ว
นั้น ข้าจะลงโทษผู้นั้นอย่างหนักชนิดที่ข้าไม่เคยลงโทษคนใดในสากลโลก
สมัยนั้น
มาก่อนเลย
ครั้นแล้วพวกในตระกูลอิสรออีลผู้ได้รับประทานอาหารก็ถูกลงโทษให้เป็นลิงและสุกร ซึ่งพระองค์ไม่ทรงลงโทษพวกอื่นด้วยโทษสถานนี้เลย กล่าวคือเหล่ามลาอิกะห์เป็นผู้นำอาหารชนิดต่าง ๆ มาให้อันได้แก่ ข้าว ขนมปังเจ็ดก้อน ปลาเจ็ดตัว พร้อมด้วยคำสั่งของอัลเลาะห์ว่า “เมื่อได้รับประทานอาหารกันอิ่มแล้ว อย่าได้เก็บกักไว้ในวันรุ่งขึ้น” แต่พวกนั้นกลับทรยศฝ่าฝืนเก็บอาหารนั้นไว้รับประทานในวันรุ่งขึ้น พวกนั้นจึงต้องถูกสาปเป็นลิงและสุกรอยู่นานเจ็ดวัน ต่อแต่นั้นก็สาบสูญไป กล่าวกันว่า พวกนี้มีจำนวนถึง ๓๓๓ คน
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
«
ตอบกลับ #44 เมื่อ:
ส.ค. 28, 2011, 09:30 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮฺที่ 116 - 118
คำอ่าน
116. วะอิซกอลัลลอฮุ ยาอีสับนะมัรฺยะมะ อะอัน..ตะกุลตะ ลิน..นาสิตตะคิซูนี วะอุม..มิยะอิลาฮัยนิ มิน..ดูนิลลาฮฺ กอละ สุบหานะกะ มายะกูนุลี อันอะกูละมาลัยสะลีบิหักกฺ อิน..กุน..ตุ กุลตุฮู ฟะก็อดอะลิมตะฮฺ ตะอฺละมุมาฟีนัหสี วะลาอะอฺละมุมาฟีนัฟสิก อินนะกะอันตะอัลลามุลฆุยูบ
117. มากุลตุละฮุม อิลลามา..อะมัรฺตะนีบิฮี..อะนิอฺบุดุลลอฮะ ร็อบบี วะร็อบบุกุม วะกุน..ตุอะลัยฮมชะฮีดัม..มาดุมตุฟีฮิม ฟะลัม..ตะวัฟฟัยตะนี กุน..ตะ อัน..ตัรฺเราะกีบะอะลัยฮิม วะอัน..ตะอะลากุลลิชัยฮิน..ชะฮีด
อิน..ตุอัซซิบฮุม ฟะอิน..นะฮุมอิบาดุก วะอินตัฆฟิรละฮุม ฟะอิน..นะกะอันตัลอะซีซุลหะกีม
118. อิน..ตุอัซซิบฮุม ฟะอิน..นะฮุมอิบาดุก วะอิน..ตัฆฟิรฺละฮุม ฟะอิน..นะกะอัน..ตัลอะซีซุลหะกีม
คำแปล R1.
116. And (remember) when Allah will say (on the Day of Resurrection): "O
'Iesa
(Jesus), son of
Maryam
(Mary)! Did you say unto men: 'Worship me and my mother as two gods besides Allah?' " He will say: "Glory be to you! It was not for me to say what I had no right (to say). Had I said such a thing, you would surely have known it. You know what is in my inner-self though I do not know what is in yours, truly, You, only You, are the All-Knower of all that is hidden and unseen.
117. "Never did I say to them aught except what you (Allah) did command me to say: 'Worship Allah, my Lord and your Lord.' and I was a witness over them while I dwelt amongst them, but when You took me up, You were the watcher over them, and You are a witness to all things. (This is a great admonition and warning to the Christians of the whole world).
118. "If you punish them, they are your slaves, and if you forgive them, verily you, only You are the All-Mighty, the All-Wise."
คำแปล R2.
119. และ(จงระลึกเถิด) เมื่อครั้งอัลเลาะฮฺได้ตรัสว่า “โอ้อีซา บุตรมัรยัม เจ้าหรือที่ประกาศแก่มนุษย์ว่า “พวกท่านทั้งหลายจงยึดถือฉันและมารดาของฉันเป็นพระเจ้าอีกสององค์เถิด” นอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ” เขา(อีซา)กล่าวว่า “พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง! ข้าพเจ้าไม่มีเหตุผลใดที่จะพูดในสิ่งที่ฉันไม่มีสิทธิ์เลย หากแม้นข้าพเจ้าได้พูดอย่างนั้นจริง แน่นอนพระองค์ก็ย่อมทรงล่วงรู้ในสิ่งนั้น พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่รู้สิ่งที่อยู่ในเจตนาของพระองค์ แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งนัก แก่บรรดาความเร้นลับต่าง ๆ
120. ข้าพเจ้าไม่พูดสิ่งใดกับพวกเขานอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่ข้าพเจ้าเท่านั้น นั่นคือ “ท่านทั้งหลายจงนมัสการอัลเลาะฮฺผู้เป็นพระเจ้าของฉันและของพวกท่าน และข้าพเจ้าเป็นสักขีพยานแก่พวกเขา(เพื่อยืนยันและรับรองสิ่งที่ถูกและปฏิเสธสิ่งที่ผิดหลักการ) ตราบที่ข้ะเจ้าได้อยู่ร่วมในหมู่พวกเขา ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงประทานความสมบูรณ์แก่ข้าพเจ้า (โดยให้ข้าพเจ้าขึ้นไปสถิตอยู่ที่ฟ้าชั้นสอง) พระองค์ก็ทรงเป็นผู้ดูแลพวกเขาและพระองค์ทรงเป็นสักขัพยานแก่ทุก ๆ สิ่ง
121. ถึงแม้นพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา แต่ที่แท้แล้วพวกเขาก็คือข้าทาสของพระองค์นั่นเอง และหากแม้นพระองค์ทรงให้อภัยแก่พวกเขา ที่จริงพระองค์ทรงเป็นผู้มีอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง
คำแปล R3.
116. (หลังจากที่ได้เตือนให้รำลึกถึงความโปรดปรานนี้แล้ว) อัลลอฮฺตรัสว่า “โอ้อีซาลูกของมัรฺยัม เจ้าพูดกับผู้คนหรือว่า จงยึดถือฉันหรือแม่ฉันเป็นพระเจ้าสองคนอื่นจากอัลลอฮฺ” เขากล่าวว่า “มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์มิเป็นการบังควรที่ฉันจะกล่าวในสิ่งที่ฉันไม่มีสิทธิ์ ถ้าหากว่าฉันได้กล่าวเช่นนั้น แน่นอนพระองค์ต้องทราบ พระองค์ทรงทราบที่อยู่ในจิตใจของฉัน แต่ฉันไม่ทราบที่อยู่ในจิตใจของพระองค์ แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงรอบรู้เหลือหลายยิ่งซึ่งความลับทั้งมวล
117. ฉันไม่ได้กล่าวอันใดแก่พวกเขานอกจากที่พระองค์ได้ทรงบัญชาแก่ฉันว่า จงเคารพภักดีอัลลอฮฺพระผู้อภิบาลของฉันและพระผู้อภิบาลของพวกท่าน และฉันเป็นพยานต่อความประพฤติของพวกเขา (เมื่อฉันยังอยู่กับพวกเขา) แต่เมื่อพระองค์ทรงเรียกฉันกลับคืน พระองค์ทรงเป็นผู้เฝ้าดูพวกเขา และพระองค์ทรงเฝ้าดูทุกสิ่ง
118. ถ้าพระองค์ทรงลงโทษพวกเขา ดังนั้น แท้จริง พวกเขาจะเป็นบ่าวของพระองค์ และถ้าพระองค์ทรงอภัยพวกเขา ดังนั้นแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจผู้ทรงปรีชาญาณ
คำแปล R4.
116. และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺ ตรัสว่าอีซาบุตรของมัรยัม เอ๋ย! เจ้าพูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า จงยึดถือฉันและมารดาของฉันเป็นที่เคารพสักการะทั้งสองอื่นจากอัลลอฮ์ เขากล่าวว่า มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน! ไม่เคยแก่ข้าพระองค์ที่จะกล่าวสิ่งที่มิใช่สิทธิของข้าพระองค์ หากข้าพระองค์เคยกล่าวสิ่งนั้น แน่นอนพระองค์ย่อมรู้ดี โดยที่พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย
117. ข้าพระองค์มิได้กล่าวแก่พวกเขา นอกจากสิ่งที่พระองค์ใช้ข้าพระองค์เท่านั้น ที่ว่าท่านทั้งหลายจงเคารพสักการะต่ออัลลอฮฺ ผู้เป็นเจ้าของฉัน และเป็นพระเจ้าของพวกท่านด้วย และข้าพระองค์ย่อมเป็นพยานยืนยันต่อพวกเขาในระยะเวลาที่ข้าพระองค์อยู่ใน หมู่พวกเขา ครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงรับข้าพระองค์ไปแล้ว พระองค์ท่านก็เป็นผู้ดูและพวกเขา และพระองค์ทรงเป็นสักขีพยานในทุกสิ่ง
118. หากพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาแท้จริงพวกเขาก็คือบ่าวของพระองค์ และหากพระองค์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้จริงพระองค์ท่านคือ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ
คำแปล R5.
๑๑๙. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ปวงประชากรของเจ้าเป็นการเตือนด้วยว่า
ในขณะที่อัลเลาะห์
จะ
ได้ตรัส
แก่อีซาในวันกิยามะห์เป็นการตำหนิประชากรของอีซา
ว่า โอ้อีซาบุตรมัรยำ เจ้านะหรือที่ได้บอกแก่ปวงชน
ของเจ้าว่า ปวงชนของฉัน
นอกจากอัลเลาะห์แล้วพวกท่านจงนับถือฉันกับมารดาของฉันเป็นพระเจ้าอีกสองเถิด เขา
(อีซา)
ตอบ
พระวาจาในอาการกลัวจนตัวสั่นว่า ฉันขอแสดงถึง
พระบริสุทธิคุณแห่งพระองค์
ไว้ว่า พระองค์บริสุทธิ์สะอาดปราศจากสิ่งใดที่จะมาเป็นภาคีเทียบเคียง
หามิได้แล้วที่ข้าพระองค์จะพูดจาสิ่งที่ไม่คู่ควรกับข้าพระองค์ ซึ่งถ้าข้าพระองค์พูดเรื่อง
ซึ่งไม่เป็นความจริงดังกล่าว
นั้น พระองค์ก็ทรงรู้แน่ พระองค์ทรงรู้สิ่ง
ที่เป็นความลับ
อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ซิไม่รู้สิ่ง
ที่พระองค์ทรงรู้
อยู่ในส่วนพระองค์
โดยเฉพาะ
แท้จริง พระองค์นั่นแหละคือองค์ทรงรู้รอบคอบที่สุดในสิ่งซ่อนเร้นทั้งหลาย
จากบรรดาผู้เป็นข้าของพระองค์ เพราะความรู้ที่พวกศาสนทูตได้รับตอบจากปวงประชากรได้สูญสิ้นไปหมด เนื่องจากการจลาจลและความโกลาหลแห่งวันสิ้นโลก และความตื่นตระหนกตกใจของพวกพระศาสนทูตเหล่านั้น
๑๒๐. ในยามที่ความหวาดกลัวและความตื่นตกใจสงบเป็นปกติแล้ว อีซาก็กล่าวขึ้นว่า
ข้าพระองค์หาได้บอกอะไรแก่พวกนั้นไม่นอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาใช้ข้าพระองค์ไว้เท่านั้นว่า “พวกท่านจงเคารพสักการะอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของฉันและองค์พระผู้อภิบาลของพวกท่าน” ทั้งข้าพระองค์เองก็คอยดูแลพวกนั้นอยู่
คอยห้ามปรามยับยั้งเรื่องที่พวกนั้นจะพูดจากัน
ตราบใดที่ข้าพระองค์ได้ร่วมอยู่ท่ามกลางพวกนั้น ครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงรับตัวข้าพระองค์ไป
สู่ฟากฟ้าชั้นที่สอง
แล้ว พระองค์ได้ทรงควบคุม
กิจการทั้งมวลของ
พวกเหล่านั้นไว้เอง ด้วยว่าพระองค์นั้นเป็นองค์ทรงรู้ประจักษ์แจ้งยิ่งในทุกสิ่งทุกอย่าง
จากถ้อยคำของข้าพระองค์ที่พูดกับพวกนั้นและถ้อยคำที่พวกนั้นพูดกันเองลับหลังข้าพระองค์และเรื่องอื่น ๆ
๑๒๑.
ถึงแม้พระองค์จะทรงลงโทษพวกนั้น
ที่ไม่ยอมศรัทธาอย่างแข็งและมั่นคงที่เป็นส่วนจากตระกูลอิสรออีล
ก็ย่อมได้ เพราะพวกเหล่านั้นคือข้าของพระองค์
ส่วนพระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองของพวกนั้น ซึ่งพระองค์จะทรงบริหารพวกนั้นอย่างไรก็ได้สุดแต่พระองค์ โดยปราศจากการทัดทานท้วงติงแต่ประการใด
แต่ถ้าพระองค์จะทรงประทานอภัยให้
พวกผู้ศรัทธา(มุอ์มิน)จาก
พวกเหล่านั้นก็ได้ เพราะแน่แท้พระองค์นั้นทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่ง
เหนือกิจทั้งปวงของพระองค์
ทรงประณีตยิ่ง
ในการสร้างสรรค์ของพระองค์
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
พิมพ์
หน้า:
1
2
[
3
]
4
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
»
เสวนาเชิงวิชาการ
»
อัลกุรอาน
(ผู้ดูแล:
นูรุ้ลอิสลาม
,
Bangmud
) »
อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย สูเราะฮฺที่ 5 อัลมาอิดะฮฺ
GoogleTagged
60444564
google
แปลว่า
รูปภาพ
กอซอซ
testimony
ฮฺ
สตรี
อัลม
ว่า
มะซีดิ
ฮ
48705608
อายะฮ
101
agc
61965928
61190604
ซุกรี่
يَحْكُم