ผู้เขียน หัวข้อ: หะดีษ อัลอัรบะอีน อันนะวะวียะห์ หะดีษที่ 11: ยึดเอาสิ่งแน่ชัด ละทิ้งสิ่งที่สงสัย  (อ่าน 3641 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ItQan

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 177
  • Reflection
  • Respect: +50
    • ดูรายละเอียด

عَنْ أَبِي مُحَمَّدٍ الْحَسَنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ سِبْطِ رَسُولِ اللَّهِ، صلى الله عليه وسلم، وَرَيْحَانَتِهِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا، قَالَ: حَفِظْت مِنْ رَسُولِ اللَّهِ، صلى الله عليه وسلم، "دَعْ مَا يَرِيبُك إلَى مَا لَا يَرِيبُك".

จากอบีมุฮัมมัด อัลหะซัน บิน อะลีย์ บิน อบีย์ตอลิบ  หลานของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และเป็นที่รักยิ่งของท่าน (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา) ได้กล่าวว่า ฉันได้ท่องจำจากท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ว่า “จงละทิ้งสิ่งที่ทำให้ท่านสงสัย ไปสู่สิ่งที่ไม่ทำให้ท่านสงสัย” 

รายงานโดยอัตติรมิซีย์ และอันนะซาอีย์ และท่านอัตติรมิซีย์ได้กล่าวว่า หะดีษนี้หะซันเศาะฮีห์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 25, 2011, 12:29 PM โดย ItQan »
أللهم اخرجنا من ظلمات الوهم وأكرمنا بنور الفهم ... آمين يارب العالمين
โอ้อัลเลาะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้เราออกห่างจากความมืดมนแห่งความคิดคลุมเครือ  และให้เกียรติเราได้วยรัศมีแห่งความเข้าใจ... อามีน ยาร็อบ

ออฟไลน์ ItQan

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 177
  • Reflection
  • Respect: +50
    • ดูรายละเอียด

ความสำคัญของหะดีษ


หะดีษบทนี้เป็นส่วนหนึ่งจากการใช้ถ้อยคำที่กระชัดแต่มากไปด้วยความหมาย (ญะวามิอุลกะลิม) และเป็นวิทยปัญญาอันล้ำเลิศของท่านนบี เพราะด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำก็สามารถสร้างกฎอันยิ่งใหญ่ในศาสนาอิสลาม  นั่นก็คือการทิ้งสิ่งที่คลุมเครือและปฏิบัติสิ่งที่อนุมัติ (หะลาล) ที่แน่ชัด  เนื่องจากสิ่งดังกล่าวนี้เอง อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของการอธิบายหะดีษบทนี้ของท่านว่า “หะดีษบทนี้คือกฎอันยิ่งใหญ่กฎหนึ่งของศาสนา และเป็นรากฐานของการเกรงกลัวอัลเลาะฮ์ (วะเราะอ์) ซึ่งถือเป็นแกนสำคัญของบรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ปกป้องจากความมืดมนของการสงสัยและคลุมเครือ ซึ่งห้ามจากรัศมีแห่งความแน่ชัด (ยะกีน)


أللهم اخرجنا من ظلمات الوهم وأكرمنا بنور الفهم ... آمين يارب العالمين
โอ้อัลเลาะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้เราออกห่างจากความมืดมนแห่งความคิดคลุมเครือ  และให้เกียรติเราได้วยรัศมีแห่งความเข้าใจ... อามีน ยาร็อบ

ออฟไลน์ ItQan

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 177
  • Reflection
  • Respect: +50
    • ดูรายละเอียด

ความเข้าใจและสิ่งบ่งชี้จากหะดีษ

1.   ละทิ้งสิ่งที่คลุมเครือ

แท้จริงการละทิ้งสิ่งที่คลุมเครือในเรื่องของอิบาดะห์ มุอามาลาต มุนากาฮาต และหลักการเรื่องอื่นๆ และการปฏิบัติสิ่งที่หะลาลในทุกเรื่องนั้น จะทำให้มุสลิมมีวะเราะอฺ ซึ่งถือเป็นประโยชน์ที่ครอบคลุมในการตัดการกระซิบกระซาบของชัยฏอน อันส่งผลดีอย่างใหญ่หลวงทั้งในเรื่องของดุนยาและอาคิเราะฮ์  และแท้จริงสิ่งที่หะลาลอย่างแน่ชัดนั้น จะไม่ทำให้เกิดความสงสัยคลางแคลงใจใดๆ ต่อมุสลิม ยิ่งไปกว่านั้นจิตใจจะมีความสงบและพบกับความสุขในการได้สิ่งนั้นมา  ส่วนสิ่งคลุมเครือนั้น มนุษย์จะมีความยินดีแต่เพียงภายนอก และหากเราเปิดเผยถึงสิ่งที่อยู่ในหัวอกของเขา เราก็จะพบกับความวิตกกังวล ว้าวุ่น และสงสัย และการลงโทษทางจิตใจนี้ก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการขาดทุนเชิงนามธรรม และการขาดทุนและหายนะอันใหญ่หลวงเมื่อเขาเคยชินต่อสิ่งที่คลุมเครือ หลังจากนั้นเขาก็ได้ล่วงเกินไปสู่สิ่งที่หะรอม เพราะใครที่เลี้ยงสัตว์รอบเขตหวงห้าม เขาก็เกือบที่จะตกไปอยู่ในเขตหวงห้ามนั้นแล้ว

2.   คำพูดและการกระทำของสะลัฟในการทิ้งความสงสัยไปสู่ความมั่นใจที่แน่ชัด

สำหรับชาวสะลัฟอัศศอลิห์นั้น มีทั้งคำพูดและการกระทำที่ชัดเจนในการถือปฏิบัติแต่สิ่งที่หะลาลอย่างแน่ชัด และห่างไกลจากสิ่งที่คลุมเครือ และประดับประดาด้วยการเกรงกลัวอัลเลาะฮ์ ส่วนหนึ่งจากคำพูดของพวกเขาคือ

คำพูดของอบีซัรร์ อัลฆิฟารีย์ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ): ความตักวาที่สมบูรณ์คือการละทิ้งบางสิ่งที่หะลาล ด้วยเกรงว่ามันจะเป็นสิ่งหะรอม 

และคำพูดของอบีย์อับดิรเราะห์มาน อัลอุมรีย์ อัซซาฮิด: เมื่อบ่าวคนหนึ่งเกรงกลัวอัลเลาะฮ์ เขาจะทิ้งสิ่งที่ทำให้เขาสงสัยไปสู่สิ่งที่ไม่ทำให้เขาสงสัย 

และคำพูดของฟุฎ็อยล์: มนุษย์นั้นอ้างว่า การเกรงกลัวอัลเลาะฮ์ (วะเราะอฺ) นั้นเป็นเรื่องยาก และไม่มีสองสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้นกับฉัน เว้นเสียแต่ว่า ฉันจะเลือกทำสิ่งที่ยากกว่าจากสองสิ่งนั้น ดังนั้น จงละทิ้งสิ่งที่ทำให้ท่านสงสัยไปสู่สิ่งที่ไม่ทำให้ท่านสงสัย และคำพูดของหิซาน บิน อบีย์ซินาน: ไม่มีสิ่งใดง่ายกว่าไปกว่าการวะเราะอฺ เมื่อสิ่งใดทำให้ท่านสงสัย ท่านก็จงทิ้งมัน

และจากการกระทำของพวกเขา แท้จริงท่านยะซีด บิน ซะรีอฺ ได้หลีกเลี่ยงจากมรดกห้าแสน เขามิได้เอามันแต่อย่างใด โดยที่พ่อของเขานั้นเคยทำงานให้กับบรรดาสุลต่าน และยะซีดนั้นทำงานลิใบปาล์มและยังชีพด้วยงานนี้จนถึงวาระสุดท้าย (ขออัลเลาะฮ์ทรงเมตตาท่าน)  และมีคนกล่าวแก่ท่านอิบนิอัดฮัมว่า ท่านไม่ดื่มน้ำซัมซัมซักหน่อยหรือ เขาตอบว่า หากฉันมีกระป๋องตักน้ำ(ที่เป็นของฉันเอง) ฉันก็จะดื่ม เป็นการชี้ให้เห็นว่า กระป๋องตักน้ำนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากทรัพย์ของสุลต่านซึ่งเป็นสิ่งคลุมเครือ

บางคนอาจกล่าวว่า คำพูดและการกระทำเหล่านี้เป็นการวะเราะอฺที่เกินเลย เราขอกล่าวว่า แท้จริงแล้วอุมมะฮ์ในทุกยุคสมัยนั้นมีความต้องการไปยังแบบอย่างที่ดีงาม และตัวอย่างแห่งอิสลามที่ปรากฏให้เห็นในตัวของผู้ปกครองผู้ตัดสิน (ฮากิม) หรือ ผู้มีความรู้ (อาลิม) ย่อมหยุดอยู่ในขอบเขตของสิ่งที่หะลาลอันดีงาม และไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่หะรอมอันสกปรก และถ้าหากว่าคำพูดและการกระทำในการระมัดระวังจากสิ่งที่คลุมเครือเฉกเช่นที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นได้ห่างหายไปจากชีวิตของอุมมะฮ์แล้ว แน่นอนว่า มนุษย์ทั้งหลายนั้นก็จะสาละวนอยู่ในสิ่งที่คลุมเครือและหะรอม และเพลิดเพลินอยู่กับมันอย่างอาจหาญ เพราะพวกเขาไม่มีผู้ชี้แนะตักเตือนและแบบอย่างที่ดีงาม

3.   เมื่อสิ่งที่สงสัยขัดแย้งกับสิ่งที่แน่ชัด (ยะกีน)

เมื่อสิ่งที่สงสัยขัดแย้งกับสิ่งที่แน่ชัด ให้เรายึดถือตามสิ่งที่แน่ชัด และละทิ้งสิ่งที่สงสัย ดังกล่าวนี้มีอยู่ในกฎทางนิติศาสตร์ (ก็วาเอ็ด ฟิกฮียะฮ์) ข้อที่ 2 ซึ่งได้ระบุไว้โดย มะญัลละฮ์ อัลอะห์กาม อัชชัรอียะฮ์ และตัวบทก็คือ  “สิ่งที่แน่ชัด (ยะกีน) จะไม่หมดไปด้วยการสงสัย” ตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้อาบน้ำละหมาดอย่างแน่ชัดแล้ว หลังจากนั้นเกิดความสงสัยว่า น้ำละหมาดนั้นได้หมดไปแล้วหรือยัง ก็ให้ถือว่า เรายังมีน้ำละหมาดอยู่ ดังกล่าวนี้ ได้รับการสนับสนุนจากหะดีษที่รายงานโดยมุสลิม จากท่านนบี (ศ็อลฯ) ท่านได้กล่าวว่า “เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าพบสิ่งหนึ่งในท้องของเขา แล้วมันได้ทำให้เขาเกิดสงสัยขึ้นมาว่ามันได้ออกมาหรือไม่ ดังนั้น เขาก็อย่าได้ออกจากมัสยิดจนกว่าเขาจะได้ยินเสียงหรือได้กลิ่น”

4.   การหยุดในเรื่องของสิ่งที่คลุมเครือสำหรับผู้ที่สภาวะของเขามีความมั่นคง

เมื่อเราได้เรียกร้องไปสู่การให้ความละเอียดลออในเรื่องของสิ่งที่คลุมเครือและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันนั้น เราเรียกร้องผู้ที่สภาวะของเขาทั้งหมดนั้นมีความมั่นคง และอามัลต่างๆ ของเขานั้นก็มีความเสมอกันในเรื่องของตักวาและวะเราะอฺ ส่วนผู้ที่ยังอยู่ในสิ่งที่หะรอมอันชัดเจน หลังจากนั้นเขาก็พยายามที่จะระงับจากสิ่งหนึ่งที่เป็นความคลุมเครือปลีกย่อย แน่นอนว่าการระงับดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับเขา  และจำเป็นที่เราจะต้องปฏิเสธสิ่งดังกล่าวแก่เขา โดยขอให้เขาหยุดจากสิ่งที่หะรอมอย่างชัดเจนเป็นอันดับแรกก่อน เนื่องจากสิ่งดังกล่าวนี้เอง ท่านอิบนุอุมัร (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา) ได้กล่าวแก่ผู้ที่มาถามท่านถึงเลือดยุงจากชาวอิรัค “พวกเขาถามฉันถึงเลือดยุงทั้งที่พวกเขาได้ฆ่าท่านฮุเซน และฉันได้ยินท่านนบี (ศ็อลฯ) กล่าวว่า “ทั้งสองนั้นเป็นที่โปรดปรานของฉันจากดุนยา”

และชายคนหนึ่งได้ถามท่านบิชร์ บิน อัลฮาริษ ถึงชายคนหนึ่งที่มีภรรยา และแม่ของเขาใช้ให้เขาทำการหย่านาง ท่านบิชร์ได้กล่าวว่า ถ้าหากว่าชายผู้นั้นได้ทำดีต่อแม่ของเขาในทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่เหลืออะไรอีกแล้วนอกจากการหย่าร้างภรรยาของเขา ดังนั้น เขาก็จงทำเถิด และถ้าหากว่าการที่เขาทำดีต่อแม่ด้วยการหย่าร้างภรรยาของตนเอง แล้วหลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาตบตีแม่ของเขา ดังนั้นเขาก็จงอย่าทำ

5.   การพูดจริงนั้นคือความสงบ และการโกหกนั้นคือความสงสัย (ความคิดที่ไม่ดี)

และคำกล่าวของท่านนบี (ศ็อลฯ) ในสายรายงานของอัตติรมิซีย์ “แท้จริงการพูดจริงนั้นคือความสงบ และการโกหกนั้นคือความสงสัย (ความคิดไม่ดี)” นั้นบ่งชี้ถึงการค้นหาคำพูดที่จริงและชัดเจนเมื่อมนุษย์มีความต้องการไปยังคำตอบต่อคำถาม หรือการฟัตวามัสอะละห์ และเครื่องหมายของคำพูดที่จริงนั้นก็คือการที่หัวใจมีความสงบด้วยกับมัน และเครื่องหมายของการโกหกนั้นก็คือการมีความสงสัยเกิดขึ้นด้วยคำพูดนั้น ดังนั้นหัวใจก็จะไม่สงบนิ่งกับมัน ยิ่งไปกว่านั้นหัวใจจะหนีจากมันไป

6.   หะดีษบทนี้ชี้แนะให้เราสร้างหลักการต่างๆ ของเราและเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเราให้อยู่บนความแน่ชัด (ยะกีน)

7.   สิ่งที่หะลาล สิ่งที่สัจจริง (อัลฮักก์) และการพูดจริง (อัศศิดกฺ) นั้นคือความสงบและพึงพอใจ ส่วนสิ่งที่หะราม สิ่งที่เสียหาย (อัลบาฏิล) และการโกหก นั้น เป็นความสงสัย ความวิตกกังลวและการหนีห่าง

อ้างอิง: ดร. มุศตอฟา อัลบุฆอ, อัลวาฟีย์ ฟี ชัรหฺ อัลอัรบะอีน อันนะวะวียะห์ (เบรุต: ดาร อิบนิกะษีร, พิมพ์ครั้งที่ 11, ค.ศ. 1999), หน้า 85-88.
أللهم اخرجنا من ظلمات الوهم وأكرمنا بنور الفهم ... آمين يارب العالمين
โอ้อัลเลาะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้เราออกห่างจากความมืดมนแห่งความคิดคลุมเครือ  และให้เกียรติเราได้วยรัศมีแห่งความเข้าใจ... อามีน ยาร็อบ

ออฟไลน์ GeT

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 453
  • اللهم اعط منفقا خلفا
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
مَا يُرِيْبُكَ  หรือว่า مَا يَرِيْبُكَ

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
مَا يُرِيْبُكَ  หรือว่า مَا يَرِيْبُكَ

อ่านได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ  แต่อ่านฟัตหะฮ์ยาอฺเลื่องลือกว่าอ่านฎ็อมมะฮ์ยาอฺ  ซึ่งถ้าหากอ่านฏ็อมมะฮ์ยาอฺ  ก็จะมีความหมายว่า "ท่านจงทิ้งสิ่งที่ทำให้ท่านสงสัย..."

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ GeT

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 453
  • اللهم اعط منفقا خلفا
  • Respect: +25
    • ดูรายละเอียด
ญะซากุมมุลลอฮฺ ค็อยร่อน
จริงๆไม่ได้ตั้งข้อสังเกตตรงอ่านได้หรือไม่ได้ในด้านของภาษา แต่ที่หมายถึงคือสำนวนของหะดีษ มาในสำนวนแรกหรือว่าสำนวนที่สองมากกว่า หรือมีทั้งสองสำนวนเท่าๆกัน แต่ถ้าหะดีษได้รับการรายงานด้วยสำนวนใดสำนวนหนึ่งเป็นการเฉพาะ หรือมากกว่า เราก็น่าจะคงไว้ซึ่งสำนวนนั้น ส่วนเวลาอธิบาย หรือทำการสอน อาจจะอธิบายเพิ่มเติมว่า คำๆนั้นในด้านภาษาสามารถอ่านได้สองแบบ ยังงัยก็ว่าไป

ปล. เป็นเพียงข้อเสนอแนะ เท่าที่เรียนมา อาจารย์ด้านหะดีษล้วนกล่าวว่า ถ้าเราสามารถคงสำนวนหะดีษไว้เหมือนดั้งเดิม จะเป็นการดีที่สุด วัลลอฮุอะอฺลัม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 23, 2011, 09:08 PM โดย GeT »

ออฟไลน์ ItQan

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 177
  • Reflection
  • Respect: +50
    • ดูรายละเอียด
ญะซากุมุลลอฮุ ค็อยร็อน สำหรับข้อเสนอแนะค่ะ

แก้ไขสระให้เป็นไปตามสำนวนที่มัชฮูรแล้วค่ะ
أللهم اخرجنا من ظلمات الوهم وأكرمنا بنور الفهم ... آمين يارب العالمين
โอ้อัลเลาะฮ์ ขอพระองค์ทรงให้เราออกห่างจากความมืดมนแห่งความคิดคลุมเครือ  และให้เกียรติเราได้วยรัศมีแห่งความเข้าใจ... อามีน ยาร็อบ

 

GoogleTagged