เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

Logical Fallacy

(1/8) > >>

Taqwacore:
Tweet
 ใช้เหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป ( conclusion) โดยเหตุผลชุดที่ถูกยกไปนั้นอาจจะเป็นความจริง แต่กระนั้นมันไม่สามารถถูกนำไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป นั้นๆได้ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกัน

 

ในหลายครั้งด้วยกันที่ เมื่อมีการนำเสนอ เหตุผล หรือ หลักฐาน เพื่อพิสูจน์เรื่องหนึ่ง เรื่องใด และ อีกฝ่าย ( เช่น ฝ่าย เอ )ไม่สามารถที่จะโต้ตอบ หรือหักล้างเหตุผล หรือ หลักฐานของอีกฝ่ายได้         ( เช่นฝ่าย บี )   ฝ่าย เอ ก็จะเริ่มยกข้อมูลต่างๆมามากมาย ที่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นไม่อาจจะนำไปหักล้าง ฝ่าย บี ได้เลย ทั้งนี้เพราะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน  และที่ฝ่าย เอ ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการสร้างภาพให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ตนเองสามารถหักล้าง หรือ โต้ตอบฝ่าย บีได้แล้ว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย 

                ยกตัวอย่างเช่น นาย บี พูดว่า 1+1 เท่ากับ 2 สมมุติว่า นาย เอ ไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากตัวเองไม่สามารถหักล้างนาย บี ได้ จึงนำข้อมูลมานำเสนอว่า 5+9 เท่ากับ 14  จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่นาย เอ นำมานั้นถูกต้อง แต่กระนั้นก็ตาม มันไม่สามารถถูกนำไปหักล้าง หลักฐานของนาย บีได้  เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน

                ยกอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ สมมุติว่า นาย บี พิสูจน์แล้วว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้างที่แท้จริงนั้นมีอยู่จริง  แต่เนื่องจากนาย เอ ไม่สามารถหักล้าง หรือแย้งหลักฐาน หรือ ข้อพิสูจน์ที่นาย บี ได้นำเสนอได้  นาย เอ จึงพูดขึ้นมาว่า “ มีความชั่ว เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด แล้วจะมีพระเจ้าได้อย่างไร   มนุษย์ เรามีทั้งรวย และ จน แข็งแรง และ พิการ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ” จะเห็นได้ว่า สิ่งที่นาย เอ พูดนั้นเป็นความจริง แต่ถึงแม้จะเป็นจริงก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลหักล้าง ข้อมูล หรือ หลักฐานของนาย บี ได้  ทั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน   

 

                ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการหักล้างที่ใช้ได้ เพราะมีความเกี่ยวข้องกัน:

 

นาย เอ ยืนยันจุดยืนของตนเองว่า ท่านศาสดานบีมุฮัมหมัดได้แต่งคัมภีร์อัล-กุรอานขึ้นมา โดยคัดลอกมาจาก คัมภีร์ไบเบิ้ล  แต่นาย บี แย้งขึ้นว่า “  จะเป็นไปได้อย่างไร ที่มุฮัมหมัดจะคัดลอกมาจากไบเบิ้ล เพราะเรื่องที่คัมภีร์ไบเบิ้ลผิดพลาด คัมภีร์ อัล-กุรอาน กลับกล่าวเอาไว้ได้ถูกต้อง  เช่น ไบเบิ้ลบอกโลกแบน แต่อัล-กุรอานบอกโลกกลม และเรื่องอื่นๆ ”  นาย เอ ก็แย้งนาย บี ขึ้นว่า “  ก็คัดลอกในส่วนที่เหมือนกันไง ระหว่างอัล-กุรอาน กับ ไบเบิ้ล” นาย บี ก็แย้งนาย เอ กลับว่า “ ถ้าการเหมือนกันเป็นการลอกกันมา นั่นก็หมายความว่า นักเรียนที่ทำข้อสอบปีนี้ ที่เขียนตอบลงกระดาษสอบ แล้วไปเหมือนกัน คำตอบของนักเรียนปีที่แล้ว  นั่นเท่ากับนักเรียนปีนี้ไปลอกคำตอบมาจากนักเรียนปีที่แล้วใช่ไหม? ” นาย บี ยังกล่าวกับนาย เอ อีกว่า “ ความเหมือนกันไม่ได้เป็นเหตุที่จะนำมาใช้ยืนยันได้ว่า เป็นการลอกกันมา เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน” 

จะเห็นได้ว่า นาย บี สามารถหักล้าง หรือ แย้งเหตุผล ของนาย เอ ได้อย่างถูกต้อง โดยมีความเกี่ยวข้องกัน และเป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน

Taqwacore:
โปรดจำเอาไว้ว่า ไม่ว่าชีอะฮฺจะยกคำอธิบายอะไรมาก็แล้วแต่ หรือดูมีน้ำหนักหรือดูมีเหตุผลมากเพียงไรก็แล้วแต่   แต่ถ้าคำอธิบายที่ยกมานั้นไม่สามารถขจัดความขัดแย้งให้หมดไปได้ ก็ถือว่าความคำอธิบายนั้นเป็นเท็จ  เพราะฉะนั้นไม่ว่าพี่น้องชีอะฮฺจะยกคำอธิบายมามากมายสักเพียงใดเพื่อที่จะบอกว่า คำว่า “เมาลา” ในฮะดีษฆ่อดิรคุมนั้น จะต้องแปลว่า คอลีฟะฮฺหรือผู้นำ ก็ถือว่าฟังไม่ขึ้นและไม่มีน้ำหนัก เพราะมีหนักฐานที่ชัดเจนในเรื่องเดียวกันนี้ที่ยืนยันว่า คำว่าเมาลาในที่นี้ไม่มีทางที่จะแปลว่า ผู้นำ หรือ คอลีฟะฮฺได้ในฮะดีษฆ่อดิรคุมนี้ เพราะการแปลเช่นนี้ทำให้ขัดกันกับฮะดีษที่ชัดเจนในเรื่องเดียวกันที่บ่งบอกว่า ท่านอาลีไม่รู้เรื่องอะไรเลยในเรื่องที่ว่าตนเองได้รับแต่งตั้งเป็นผู้นำหรือคอลีฟะฮฺภายหลังจากท่านนบี และที่ยิ่งไปกว่านั้นในตำราที่เชื่อถือได้ของชีอะฮฺเอง นั้นคือ นะฮฺญุลบะลาเฆฺาะฮฺ ระบุเอาไว้ชัดว่าท่านอาลี ปฎิเสธที่จะรับตำแหน่งคอลีฟะฮฺ และนอกจากนั้นยังให้การยอมรับการเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอบูบักรอีกต่างหาก

            เพราะฉะนั้นคำแปลที่ถูกต้องและไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันเองก็คือ ‘ผู้เป็นที่รัก’  เพราะฉะนั้นบทเรียนที่เราได้รับก็คือ ไม่ว่าเราจะวิเคราะห์เรื่องอะไรก็แล้วแต่ ถ้าอีกฝ่ายได้หยิบยกคำอธิบายมาต่างๆนาๆ จะมากมายเพียงไรก็แล้วแต่เพื่อที่จะมาสนับสนุนจุดยืนของตนเอง  แต่ถ้าคำอธิบายเหล่านั้นไม่สามารถขจัดความขัดแย้งกันเองให้หมดลงไปได้ ก็ถือว่าคำอธิบายเหล่านั้นเป็นเท็จไปโดยปริยาย  เมื่อคำอธิบายเหล่านั้นต้องมาชนกับความจริงไม่อย่างหนึ่งอย่างใดในเรื่องเดียวกันนั้น การธิบายที่ถูกต้องคือ  จะต้องใช้หลักฐานอธิบายกันเองก่อนในกรณีที่มีหลักฐานหลายบทในเรื่องนั้น และ จะต้องไม่ไปค้านกับสิ่งที่เป็นความจริงในเรื่องเดียวกันนั้นอันจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันโดยทันที

Taqwacore:
ละเลย หรือมองข้าม การหักล้างเหตุผลหลักที่อีกฝ่ายได้นำเสนอ อาจจะเป็นเพราะมันเป็นเหตุผลที่ชัดเจน เด็ดขาด  แต่เลือกที่จะนำจุดหนึ่งจุดใดของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นข้อด้อย หรือข้อเสียเปรียบ หรือเหตุผลที่อ่อนที่สุดมาเป็นประเด็น โดยสร้างภาพราวกับว่ามันเป็นประเด็นหลัก ทั้งๆที่มันไม่มีผลเลยถ้าสมมุติว่า อีกฝ่ายไม่สามารถหักล้าง หรือชี้แจงสิ่งนี้ได้ เพราะเหตุผลหลักของอีกฝ่ายยังคงอยู่ไม่ถูกหักล้าง  ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะรู้ว่าตนเองไม่สามารถหักล้างเหตุผลหลักของอีกฝ่ายได้ เช่น เราพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าให้กับอีกฝ่ายอย่างชัดเจนด้วยเหตุผลและหลักฐานต่าง แต่อีกฝ่ายกลับพูดว่า “ พระเจ้าใช้ให้ถือศิลอด ซึ่งทำให้มนุษย์ต้องทรมานกับการหิว กระหาย แล้วคุณจะให้ผมเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร ”  เมื่อเป็นเช่นนี้ให้เราพูดกลับไปในทำนองที่ว่า “ สมมุติผมเห็นด้วยว่าพระเจ้าทรมานมนุษย์ให้หิว แต่คำถามคือ แล้วไม่ไปหักล้างข้อพิสูจน์ผมตรงไหนว่าพระเจ้ามีอยู่จริง  คุณจะว่าอย่างไรกับหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ผมได้นำเสนอ ”  หรือให้เรายกตัวอย่างที่ไร้สาระอย่างเห็นได้ชัด เพื่อชี้ให้เขาได้เห็นว่าเขากำลังใช้เหตุผลที่ผิดๆอยู่ เช่น  สมมุติว่านาย ก. ขับรถฝ่าไฟแดง แต่สุดท้ายก็ถูกตำรวจจราจรจับ โดยตำรวจคนนั้นใช้มือตบไปที่ข้างรถของคนๆนั้นอย่างแรงด้วยความโกรธที่เขาฝ่าไฟแดง นาย ก.จึง พูดกับตำรวจว่า “ คุณกระทำสิ่งที่ไม่สมควร คุณตบรถผมทำไม ” จะเห็นได้ว่านาย ก. กำลังนำจุดที่ดูเหมือนเป็นข้อเสียเปรียบหรือข้อด้อยของตำรวจคนนั้นมาเป็นประเด็นหลัก โดยหวังที่จะใช้ประเด็นนี้ทำให้ตัวเองพ้นจากความผิดที่ฝ่าไฟแดง  แต่ตำรวจคนนั้น อาจจะกล่าวกลับไปว่า “ ใช่ผมตบรถคุณ แล้วมันทำให้คุณพ้นจากความผิดที่ฝ่าไฟแดงได้หรือเปล่า ? ”

 

                 หรือแม้แต่ใน เรื่อง การดูจันทร์เสี้ยวเพื่อกำหนดวันเข้าบวช หรือ ออกบวช โดยรับเดือนที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยด้วย โดยเราได้นำเสนอเหตุผล และหลักฐาน ที่ว่าทำไมเราจึงรับเดือนที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยด้วย  แต่กระนั้น แทนที่อีกฝ่ายที่รับเดือนเฉพาะในประเทศ จะหักล้างหลักฐานและเหตุผลหลักๆที่เราใช้สนับสนุนจุดยืนของเราในเรื่องนี้  แต่กลับนำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเสียเปรียบ เล็กๆน้อยๆ ของฝ่ายเรา  โดยการอ้างว่า “ ถ้ารับเดือนต่างประเทศ อย่างนี้ก็จะลำบาก เพราะ เราจะทำอาหารซุโฮรไม่ทัน ( ในกรณีเข้าบวช)  หรือ ประกาศให้คนอื่นๆรับรู้ไม่ทัน ถ้าเกิดเห็นเดือนก่อนเข้าเวลาซุบฮี เล็กน้อย หรือทำเตรียมอาหารไม่ทันเพื่อเลี้ยงคนมาละหมาดอีด     ( ในกรณีออกอีด) ถ้าเห็นเดือนก่อนเข้าเวลาซุบฮีเล็กน้อย   สมมุติว่าเราเห็นด้วยว่าที่กล่าวมานี้คือ จุดเสียเปรียบ หรือ จุดด้อยของฝ่ายเรา แต่คำถามคือ แล้วมันสามารถหักล้างหลักฐาน และเหตุผลที่เรานำเสนอได้อย่างไร ที่ว่าอนุญาตให้รับเดือนพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทยได้ ?   แต่ถ้าเราจะถามกลับแบบกวนๆ เราก็จะถามได้ว่า แล้วถ้าเกิดมีคนเห็นเดือนในประเทศไทย ที่จังหวัดอยุธยา ตอนใกล้เข้าเวลาซุบฮี่   และสำนักจุฬาก็ประกาศให้ทุกคนได้รับรู้  นั่นก็หมายความว่า ไม่ต้องถือศิลอดใช้ไหม  เพราะเตรียมตัวไม่ทัน ?  ย่อมไม่ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอน  เมื่อเป็นเช่นนี้ การอ้างว่าเตรียมตัวไม่ทันจึงไม่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุผล ที่ไม่ต้องถือศิลอดได้   ซึ่งคล้ายกับ การที่คนๆหนึ่งตื่นขึ้นมาและพบว่าอีก 1 นาทีจะเข้าเวลาซุบฮี กินอาหารไม่ทันแน่  นั่นก็หมายความว่า อนุญาตให้เขาผู้นั้นไม่ต้องถือศิลอดใช่ไหม?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  แต่เขาผู้นั้นจะต้องถือศิลอดถึงแม้ว่าจะไม่ได้กินอะไรจากอาหารซุโฮรก็ตาม  ...

 

                 และ คำถามอีกอย่างสำหรับผู้ที่อ้างผู้นำก็คือ สมมุติว่า สำนักจุฬาได้ประกาศตอน 3 ทุ่มว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นดวงจันทร์ วันพรุ่งนี้จึงยังไม่ใช่วันที่ 1 ของเดือนรอมฏอน  แต่ตอนประมาณตี 3 คนในหมู่บ้านที่เราอาศัยอยู่ เห็นจันทร์เสี้ยว และ พยายามบอกให้คนอื่นๆที่สามารถจะบอกได้ให้ได้รู้ว่า เห็นจันทร์เสี้ยวแล้ว และเราก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการยืนยันข่าวการเห็น  ถามว่า เรายังจะคงอ้างว่าตามผู้นำอีกหรือไม่ ทั้งๆที่ชัดเจนแล้วว่า จันทร์เสี้ยวได้ปรากฏในประเทศไทยแล้ว ? ... 

Taqwacore:
Irrelevant Conclusion (ignoratio elenchi)  เหตุผลที่ให้ไปไม่ตรงประเด็นในการที่จะใช้เป็นหลักฐานที่จะนำมาใช้สนับสนุนข้ออ้างของตนได้ /   ดูเหมือนว่าเหตุผลที่ยกมาอ้างนั้น จะไปสนับสนุนข้อสรุปของตนเอง  แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่เกี่ยวกันเลย หรือมันไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกันเลย 

Fallacy: Red Herring 

การเบี่ยงเบนเรื่องที่กำลังพูด หรือ ถกกันอยู่ไปยังประเด็นอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อ ดึงความสนใจไปยังเรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักที่กำลังพูดกันอยู่  แต่ผู้พูดแซร้งทำเป็นว่า เรื่องที่ตัวเองพูดอยู่นั้นเกี่ยวกับข้องกับหัวข้อเรื่อง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ ...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหัวข้อหลักจึงถูกละเลยไป ทำให้หัวข้ออื่นเข้ามาแทนที่

*   ใช้เหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป ( conclusion) โดยเหตุผลชุดที่ถูกยกไปนั้นอาจจะเป็นความจริง แต่กระนั้นมันไม่สามารถถูกนำไปสนับสนุนจุดยืน หรือ ข้อสรุป นั้นๆได้ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกัน
 
ในหลายครั้งด้วยกันที่ เมื่อมีการนำเสนอ เหตุผล หรือ หลักฐาน เพื่อพิสูจน์เรื่องหนึ่ง เรื่องใด และ อีกฝ่าย ( เช่น ฝ่าย เอ )ไม่สามารถที่จะโต้ตอบ หรือหักล้างเหตุผล หรือ หลักฐานของอีกฝ่ายได้         ( เช่นฝ่าย บี )   ฝ่าย เอ ก็จะเริ่มยกข้อมูลต่างๆมามากมาย ที่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นไม่อาจจะนำไปหักล้าง ฝ่าย บี ได้เลย ทั้งนี้เพราะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน  และที่ฝ่าย เอ ทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการสร้างภาพให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ตนเองสามารถหักล้าง หรือ โต้ตอบฝ่าย บีได้แล้ว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย 

   ยกตัวอย่างเช่น นาย บี พูดว่า 1+1 เท่ากับ 2 สมมุติว่า นาย เอ ไม่เห็นด้วย แต่เนื่องจากตัวเองไม่สามารถหักล้างนาย บี ได้ จึงนำข้อมูลมานำเสนอว่า 5+9 เท่ากับ 14 / 10+10 เท่ากับ 20 / 25+25 เท่ากับ  50 จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่นาย เอ นำมานั้นถูกต้อง แต่กระนั้นก็ตาม มันไม่สามารถถูกนำไปหักล้าง หลักฐานของนาย บีได้  เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน

   ยกอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ สมมุติว่า นาย บี พิสูจน์แล้วว่า พระผู้เป็นเจ้า หรือพระผู้สร้างที่แท้จริงนั้นมีอยู่จริง  แต่เนื่องจากนาย เอ ไม่สามารถหักล้าง หรือแย้งหลักฐาน หรือ ข้อพิสูจน์ที่นาย บี ได้นำเสนอได้  นาย เอ จึงพูดขึ้นมาว่า “ มีความชั่ว เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด แล้วจะมีพระเจ้าได้อย่างไร   มนุษย์ เรามีทั้งรวย และ จน แข็งแรง และ พิการ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ” จะเห็นได้ว่า สิ่งที่นาย เอ พูดนั้นเป็นความจริง แต่ถึงแม้จะเป็นจริงก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลหักล้าง ข้อมูล หรือ หลักฐานของนาย บี ที่พิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงได้  ทั้งนี้เพราะมันไม่มีความเกี่ยวข้องกัน   

   ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการหักล้างที่ใช้ได้ เพราะมีความเกี่ยวข้องกัน:

นาย เอ ยืนยันจุดยืนของตนเองว่า ท่านศาสดานบีมุฮัมหมัดได้แต่งคัมภีร์อัล-กุรอานขึ้นมา โดยคัดลอกมาจาก คัมภีร์ไบเบิ้ล  แต่นาย บี แย้งขึ้นว่า “  จะเป็นไปได้อย่างไร ที่มุฮัมหมัดจะคัดลอกมาจากไบเบิ้ล เพราะเรื่องที่คัมภีร์ไบเบิ้ลผิดพลาด คัมภีร์ อัล-กุรอาน กลับกล่าวเอาไว้ได้ถูกต้อง  เช่น ไบเบิ้ลบอกโลกแบน แต่อัล-กุรอานบอกโลกกลม และเรื่องอื่นๆ ”  นาย เอ ก็แย้งนาย บี ขึ้นว่า “  ก็คัดลอกในส่วนที่เหมือนกันไง ระหว่างอัล-กุรอาน กับ ไบเบิ้ล” นาย บี ก็แย้งนาย เอ กลับว่า “ ถ้าการเหมือนกันเป็นการลอกกันมา นั่นก็หมายความว่า นักเรียนที่ทำข้อสอบปีนี้ ที่เขียนตอบลงกระดาษสอบ แล้วไปเหมือนกัน คำตอบของนักเรียนปีที่แล้ว  นั่นเท่ากับนักเรียนปีนี้ไปลอกคำตอบมาจากนักเรียนปีที่แล้วใช่ไหม? ” นาย บี ยังกล่าวกับนาย เอ อีกว่า “ ความเหมือนกันไม่ได้เป็นเหตุที่จะนำมาใช้ยืนยันได้ว่า เป็นการลอกกันมา เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกัน” 
จะเห็นได้ว่า นาย บี สามารถหักล้าง หรือ แย้งเหตุผล ของนาย เอ ได้อย่างถูกต้อง โดยมีความเกี่ยวข้องกัน และเป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน

Taqwacore:
Trivial objections (also referred to as hair-splitting, nothing but objections, barrage of objections and banal objections) hair-splitting

คือหนึ่งในการใช้เหตุผลที่ผิด โดยนำเอาประเด็นปลีกย่อยของเรื่องนั้นมาตั้งเป็นประเด็นหลัก เพื่อใช้โจมตีอีกฝ่าย ทั้งนี้เพราะตนเองไม่สามารถที่จะหักล้างประเด็นหลักๆหรือ เหตุผลหลักที่อีกฝ่ายได้นำเสนอได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเสาะแสวงหาส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเสียเปรียบของอีกฝ่ายในประเด็นนั้น  แล้วพยายามสร้างภาพว่า นี่คือประเด็นหลัก แต่ในความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ และถึงแม้ว่า อีกฝ่ายจะไม่สามารถหักล้าง หรือชี้แจง ประเด็นปลีกย่อยนี้ได้ ก็จะไม่มีผลอย่างใดต่อสิ่งที่เขาได้นำเสนอเป็นจุดยืน  ทั้งนี้เพราะ เหตุผล หรือ หลักฐานหลักยังคงยืนอยู่โดยไม่สามารถถูกหักล้างได้ 

   เช่น ตำรวจจับคนค้ายาเสพติดได้ โดยตำรวจพูดกับเขาว่า “ ไอ้สารเลว มึงกำลังทำลายชาติมึงรู้ตัวหรือเปล่า” คนค้ายาจึงพูดกับตำรวจกลับไปว่า “ คุณพูดกับประชาชนหยาบคายอย่างนี้หรือ ตอบผมมาทำไมคุณพูดจาหยาบคายอย่างนี้ ”

   จะเห็นได้ว่า คนค้ายาเสพติดไม่สามารถแก้ตัวในความผิดของตนเองได้ จึง หยิบเอาประเด็นปลีกย่อย ( การพูดหยาบคายของตำรวจ) มาสร้างเป็นประเด็นใหญ่ แต่กระนั้นมันก็ไม่สามารถไปหักล้างความจริงที่ว่า ตัวเองถูกจับเพราะค้ายาเสพติดได้   


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version