ผู้เขียน หัวข้อ: มะตันอัลอะญัรรูมียะฮ์ (ตอน1)  (อ่าน 14539 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: มะตันอัลอะญัรรูมียะฮ์ (ตอน1)
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: ก.ค. 26, 2009, 05:08 AM »
0
ถ้าพูดว่า" อัจญลีซู" คำเดียว เข้าใจหรือเปล่าล่ะ มีครบมั๊ยล่ะ ประธานกับกริยา
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ ฮุ้นปวยเอี๊ยง

  • رَبِّ زدْنِيْ عِلْماً
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 994
  • เพศ: ชาย
  • وَارْزُقْنِيْ فَهْماً
  • Respect: +116
    • ดูรายละเอียด
Re: มะตันอัลอะญัรรูมียะฮ์ (ตอน1)
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: ก.ย. 11, 2009, 04:22 PM »
0

 salam

ได้คำตอบที่ชัดเจนมาครับ


ประโยค  หมายถึง  คำพูดหรือข้อความที่ได้ความบริบูรณ์ตอนหนึ่ง ๆ เช่น  ประโยคบอกเล่า,  ประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม  เป็นต้น  (พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.2525  หน้า  509)  ส่วน “คำ” หมายถึง  เสียงพูดโดยปรกติถือว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด  ซึ่งมีความหมายในตัว  (อ้างแล้ว  หน้า  186)

ดังนั้นในข้อความที่อ้างมากจากหนังสือ متن الآجرومية  ที่ว่า  :

الكلام : هواللفظ المركّب المفيد بالوضع ، وأقسامه ﺋﻼثة
اسم ، وفعل وحرف جاءلمعنى

ประโยค :  คือคำพูด  (ที่มีเสียงซึ่งรวมเอาอักษรบางส่วนเอาไว้)  ที่ถูกประกอบกันขึ้น  (จาก  2  คำพูดเป็นต้นไป)  อันให้ประโยชน์  (ในการสื่อที่ผู้พูดจบการสื่อนั้นอย่างสวยงามโดยผู้ฟังไม่ต้องรอสิ่งอื่น อีก  คือ  ฟังแล้วรู้เรื่องได้ใจความ)  ตามการกำหนดวาง  (บัญญัติทางภาษาอาหรับคือการกำหนดให้คำพูดนั้นเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความหมาย)  และบรรดาประเภทของประโยค  (หมายถึงส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นประโยค)  นั้นมี  3  ประเภทคือ  คำนาม,  กริยาและบุพบทที่มีมา  (คือถูกวางเอาไว้)


สำหรับความหมาย หนึ่งและคำสรรพนาม  (ฎ่อมีรฺ)  ในคำที่ว่า  (أقسامُه)  นั้นย้อนกลับไปยังคำว่า  (الكلام)  อันหมายถึง  ประโยคตามที่ปรากฏ  (ซอฮิรฺ)  และการแบ่งประเภทของประโยคออกเป็น  3  ประเภทนี้จัดว่าเป็นการแบ่งประเภทของทั้งหมด  (คือประโยคโดยรวม)  ออกเป็นส่วนต่าง ๆ ของประโยคตามจารีตทางภาษา  ดังนั้นจึงไม่ถูกต้องในการที่กล่าวว่า  คำนาม  (الإسم)  คือประโยคเพราะทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกัน  เพราะคำนามมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นคำโดด  (الإفراد)  แต่ประโยค  (الكلام)  มีเงื่อนไขว่าต้องมีการประกอบกันขึ้นหรือการประสมคำเข้าด้วยกัน  (التركيب)  หรือจะให้สรรพนาม  (ฎ่อมีรฺ)  ในคำว่า  (أقسامه)  กลับไปยังคำว่า  (اللفظ)  ก็ได้โดยไม่เกี่ยวกับเงื่อนไข  (قيد)  ที่ว่า  (المركب)  และสิ่งที่อยู่ถัดมา  โดย  اللفظ  หมายถึง  “คำ”  (الكلمة)  จึงถูกต้องในการกล่าวว่า  คำนามเป็นคำ  (الإسم كلمة)  กริยาเป็นคำ  (الفعل كلمة)  เป็นต้น


ดังนั้นคำว่า  (الأقسام)  จึงถูกใช้ตามความหมายที่แท้จริงของมันก็คือหมายถึง  ส่วนต่าง ๆ (الجزﺋﻴﺎت)  นั่นเอง  (ดูฮาชิยะฮฺ  อัลอัลลามะฮฺ  อบี  อันนะญา  อะลา  ชัรฮิ  อัชชัยคฺ  คอลิด  อัลอัซฮะรีย์  อะลา  มัตนิ  อัลอาญุรฺรุมียะฮฺ  ฟี  อิลมิลอะร่อบียะฮฺ  หน้า  7-10)  นอกจากนี้  นักไวยากรณ์อาหรับยังเรียกประโยค  (المركّب)  ว่า  (كَلاَمٌ)  และ  (جُمْلَةٌ)  อีกด้วย  (ก่อวาอิดุ้ลลุเฆาะฮฺ  อัลอะร่อบียะฮฺ  หน้า  7  อรัมภบท-มุก็อดดิมะฮฺ-)  โดยนักไวยากรณ์กลุ่มนี้ถือว่า  (جملة)  และ  (كلام)  มีความหมายใกล้เคียงกัน  (مترادفين)  แต่ที่ถูกต้องแล้ว  (جملة)  มีนัยกว้างกว่า  (كلام)  ทั้งนี้เพราะ  (كلام)  มีเงื่อนไขว่าต้องสื่อรู้เรื่อง  (المفيد)  ส่วน  (جملة)  นั้นอาจจะสื่อรู้เรื่อง  (مفيدة)  หรือสื่อไม่รู้เรื่อง  (غيرمفيدة)  ก็ได้ในบางกรณี  (อัลมุอฺญัม  อัลมุ่ฟัซซ็อล  ฟินนะฮฺวี  อัลอะรอบีย์  เล่มที่  1  หน้า  419)


เมื่อทำความเข้าใจตามรายละเอียดที่ กล่าวมาก็ย่อมกล่าวได้ว่า  คำว่า  (كلام)  ในข้อความที่อ้างมาแปลเป็น  “ประโยค”  ได้  ไม่ผิดแต่อย่างใด  ทั้งนี้เพราะผู้ประพันธ์ตำรา  (متن الآجرومية)  มุ่งหมายถึงการให้คำนิยาม  (تعريف)  ของ  (كلام)  ก่อนในข้อความแรก  และกล่าวถึง  كلمة  ในข้อความถัดมาที่ว่า  (وأقسامه...)  -ดูฮาชิยะฮฺฯ  อ้างแล้ว  หน้า  7)  ส่วนที่อ้างว่า  “เพราะประโยคประกอบด้วยกริยา  (فعل)  และคำนาม  (اسم)  ด้วยนั้น”  ไม่จำเป็นเสมอไป  เพราะประโยคอาจจะประกอบด้วยคำนาม  2  ตัวก็ได้  เช่น  زَيْدٌمُجْتَهِدٌ  (นายซัยด์เป็นคนขยัน)  หรือ  كانَ زيدٌ مُجْتَهِدًا  (ปรากฏว่านายซัยด์เป็นคนขยัน)  เป็นต้น

ส่วนข้อความที่ว่า

(الحال نحو  :  جاءَ زَيْدٌ رَاكِبًا ، ولاتكون إلانكرة ولاتكون إلابعدتمام الكلام ولايكون صاحبهاإلامعرفة)

“อัล ฮ้าลฺ  (คำบ่งสภาพ)  อาทิเช่น  นายซัยฺด์ได้มาในสภาพที่ขี่พาหนะ  และฮ้าลฺจะไม่ปรากฏนอกจากเป็นนะกิเราะฮฺ  (คำนามที่ไม่เจาะจง)  และฮ้าลจะไม่ปรากฏนอกจากหลังความสมบูรณ์ของประโยค  และซอฮิบุ้ลฮ้าล  (เจ้าของสภาพ)  จะไม่ปรากฏนอกจากเป็นมะอฺริฟะฮฺ  (คำนามที่เจาะจง)”  หมายความว่า  คำที่บ่งสภาพ  (الحال)  นั้นจะเป็นคำนามที่ไม่เจาะจง  (نكرة)  ดังเช่นในตัวอย่างคือคำว่า  (راكبًا)  นั้นเป็นคำนามที่ไม่เจาะจงสังเกตได้จากการใส่สระซ้อน  (ตันวีน)  ที่ท้ายคำด้วยสระฟัตฮะฮฺซึ่งเป็นเครื่องหมายของการอ่านนัซฺบ์  (نصْب)

และ คำบ่งสภาพ  (الحال)  จะถูกกล่าวมาในประโยคหลังจากที่ใจความประโยคครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว  เพราะคำบ่งสภาพ  (الحال)  ในประโยคตัวอย่าง  (راكبًا)  นั้นเป็นเศษหรือส่วนเกินของประโยค  (فَضْلَة)  คำว่า  (تمامُ الكلام)  หมายถึง  คำขึ้นต้นประโยค  (المبتدأ)  มีคำขยาย  (نحبر)  ของมันแล้ว  หรือคำกริยา  (فغل)  มีประธานปรากฏแล้ว  ไม่ว่าการสื่อที่รู้เรื่องจะขึ้นอยู่กับคำบ่งสภาพหรือไม่ก็ตามที  ส่วนเจ้าของสภาพ  (صاحب الحال)  นั้นจะเป็นคำนามที่เจาะจง  (معرفة)  คือคำว่า  زَيْدٌ  ในประโยคนั่นเอง  (ดูฮาชิยะฮฺฯ  อ้างแล้ว  หน้า  85)


ฉะนั้น อย่าไปสับสนระหว่างข้อความในเรื่องฮ้าลกับคำนิยามของ  (اَلْكَلاَمُ)  เพราะคำว่า  تمام الكلام   หมายถึงประโยคนั้นสมบูรณ์ในใจความแล้วเพียงแต่คำบ่งสภาพ  (الحال)   มาแจ้งให้ทราบถึงสภาพของกริยาคือ  (جَاءَ)  ว่านายซัยด์มาอย่างไรเท่านั้นเอง  แต่ประโยคนั้นได้ใจความแล้วคือ  มีกริยา+ประธาน  คำบ่งสภาพที่ห้อยท้ายประโยคจึงเป็นเศษหรือส่วนเกินเท่านั้นเอง

والله أعلم بالصواب

http://www.alisuasaming.com/qa/index.php?topic=964.msg1375#msg1375

 

GoogleTagged