ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 6 สูเราะฮฺ อัล-อันอาม  (อ่าน 7022 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด


 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัล-อันอาม (الأنعام  -  ปศุสัตว์) R3.
 
บทนำ

ชื่อ: ซูเราะฮฺนี้ได้ชื่อมาจากอายะฮฺที่ 136, 138 และ 139 ซึ่งในเนื้อความได้มีการกล่าวปฏิเสธความเชื่อในเรื่องโชคลางไสยศาสตร์ของพวกอาหรับบูชารูปปั้น เกี่ยวกับการอนุมัติปศุสัตว์บางอย่างและการไม่อนุมัติปศุสัตว์บางอย่าง
ระยะเวลาของการประทานวะฮีย์ : ตามรายงานหะดีษของอิบนุอับบาส ซูเราะฮฺนี้ทั้งหมดได้ถูกประทานลงมาที่ นครมักกะฮฺ อัสมา บุตรสาวคนหนึ่งของยะซีดและเป็นลูกพี่ลูกน้องของมุอาซ บิน ญับล์ กล่าวว่า “ในระหว่างการประทานซูเราะฮฺนี้ท่านนบีมุฮัมมัด(ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) กำลังขี่อูฐอยู่ และฉันถือเชือกจูงจมูกมัน อูฐเริ่มมีความร็สึกว่าตัวมันเองกำลังแบกของหนักจนกระดูกของมันแทบหัก” นอกจากนั้นแล้ว เรายังได้ทราบจากหะดีษอื่น ๆ อีกว่า ท่านนบีได้บอกให้บันทึกซูเราะฮฺนี้ทั้งหมดไว้ในคืนเดียวกับที่ซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานลงมา
   เนื้อหาเรื่องราวของซูเราะฮฺนี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าได้ถูกประทานลงมาระหว่างปีสุดท้ายของชีวิตของท่านนบีในนครมักกะฮฺ หะดีษของอัสมาบุตรสาวของยะซีดก็ยืนยันเรื่องนี้ ในฐานะที่นางเป็นชาวอันศอรและได้เข้ารับอิสลามหลังจากที่ท่านนบีฯ ได้อพยพไปยังเมืองยัถริบ การไปเยี่ยมท่านนบีฯ ของนางที่นครมักกะฮฺจะต้องมีขึ้นระหว่างปีสุดท้ายที่ท่านนบีฯ มีชีวิตอยู่ที่นั่น เพราะก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของท่านกับผู้คนเหล่านั้นยังไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกันจนถึงกับจะมีผู้หญิงจากที่นั่นเดินทางมาเยี่ยมท่านถึงนครมักกะฮฺ
โอกาสในการประทานวะฮีย์ : หลังจากที่ได้สินเรื่องระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺนี้ไปแล้ว มันเป็นการง่ายขึ้นที่จะมองภาพภูมิหลังของซูเราะฮฺนี้
   ในมักกะฮฺ ท่านนบีฯใช้เวลาไป 12 ปีแล้วในการเรียกร้องเชิญชวนผู้คนสู่อิสลาม แต่ความเป็นศัตรูและความอาฆาตมาดร้ายก็ยิ่งป่าเถื่อนและรุนแรงยิ่งขึ้นจนมุสลิมส่วนใหญ่ต้องทิ้งบ้านช่องของตนอพยพไปยังฮะบาชะฮฺ (อะบิสสิเนีย) เหนืออื่นใด ผู้สนับสนุนคนสำคัญสองคนของท่านนบีฯ คืออะบู๖อลิบและนางคอดีญะฮฺก็ม่าจที่จะช่วยเหลือและคุ้มครองท่านได้ เพราะบุคคลทั้งสองต้องเสียชีวิตลง แต่ถึงกระนั้นก็ตามท่านก็ยังคงปฏิบัติภารกิจของท่าน ท่ามกลางการต่อต้านของฝ่ายศัตรู ผลที่ติดตามมาก็คือ ในด้านหนึ่ง คนดี ๆ ในนครมักกะฮฺและตระกูลต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยกันมาเข้ารับอิสลาม ในอีกด้านหนึ่งประชาคมทั้งหมดก็โน้มไปในทางต่อต้านและปฏิเสธ ดังนั้นถ้าใครผู้ใดแสดงการเอนเอียงมาสู่อิสลาม คนผู้นั้นก็จะถูกประณามและเย้ยหยันหรือไม่ก็ถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกคว่ำบาตรทางสังคม ในท่ามกลางความมืดทึบนี้เองที่รังสีแห่งความหวังได้ส่องประกายจากเมืองยัถริบ ซึ่งที่นั่นอิสลามได้เริ่มแผ่ขยายอย่างเสรีโดยความพยายามของผู้ที่มีอิทธิพลบางคนแห่งเผ่าเอาส์และคอสรอจญ์ ซึ่งมาเข้ารับอิสลามที่นครมักกะฮฺ นี่คือการเริ่มต้นอย่างง่าย ๆ ของอิสลาม บนเส้นทางที่มุ่งไปสู่ความสำเร็จโดยที่ไม่มีใครคาดคิดถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังในเวลานั้นเลยเพราะสำหรับผู้ที่มองอะไรอย่างฉาบฉวยแล้ว ในเวลานั้นอิสลามดูเหมือนจะเป็นเพียงขบวนการที่อ่อนแอ ไม่มีการหนุนหลังทางด้านวัตถุใด ๆ ยกเว้นการสนับสนุนเล็ก ๆ น้อย ๆ จากครอบครัวของท่านนบีฯเอง และจากผู้ร่วมขบวนการที่ยากจนเพียงไม่กี่คน ซึ่งผู้สนับสนุนประเภทหลังนี้ก็ไม่สามารถที่จะให้ความช่วยเหลืออะไรได้มากเพราะพวกเขาเองก็ถูกจองเวรจากผู้คนที่กลายมาเป็นศัตรูของพวกเขาด้วยเช่นกัน
หัวข้อเรื่อง : ที่กล่าวมานั้นคือสถานการณ์?อายะฮฺต่าง ๆ ในซูเราะฮฺนี้ได้ถูกประทานมา เรื่องสำคัญ ๆ ที่ได้มีการพูดถึงในซูเราะฮฺนี้อาจแบ่งออกได้เป็น 7 หัวข้อด้วยกัน คือ :
   1) การปฏิเสธ “ชิริก” (การตั้งภาคีเทียบเทียมอัลลอฮฺ) และการเชิญชวนสู่ “เตาฮีด” (การเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว)
   2) การวางหลักการเรื่องชีวิตหลังความตายและการปฏิเสธความคิดผิด ๆ ที่ว่าหลังจากชีวิตโลกนี้แล้วไม่มีอะไร
   3) การปฏิเสธเรื่องโชคลางไสยศาสตร์ที่เป็นอยู่ในเวลานั้น
   4) การกำหนดหลักการทางด้านศีลธรรมสำหรับการสร้างสังคมอิสลาม
   5) การตอบข้อคัดค้านที่ถูกยกขึ้นมาต่อต้านคนของท่านนบีฯ และภารกิจของท่าน
   6) การปลอบใจและให้กำลังใจแก่ท่านนบีฯ และบรรดาสาวกของท่านซึ่งในเวลานั้นอยู่ในสภาพวิตกกังวลและสิ้นหวังเพราะการปฏิบัติภารกิจไม่ประสบผลสำเร็จ
   7) การเตือนและการขู่บรรดาผู้ปฏิเสธและฝ่ายตรงข้ามให้เลิกความอาฆาตแค้นและความเป็นศัตรูของพวกตนเสีย อย่างไรก็ตาม จะต้องเข้าใจว่าซูเราะฮฺนี้มิได้กล่าวถึงหัวข้อทั้งเจ็ดดังกล่าวมาทีละหัวข้อโดยแยกกัน แต่ได้กล่าวรวมกันไป โดยที่ได้มีการพูดถึงเรื่องที่กล่าวมานั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในลักษณะใหม่ ๆ และแตกต่างกันออกไป
พื้นฐานของซูเราะฮฺมักกียะฮฺ (ซูเราะฮฺที่ประทานลงมาในมักกะฮฺ) ในฐานะที่ซูเราะฮฺนี้เป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺที่ยาวเป็นอันดับแรกในการเรียงลำดับของการรวบรวมกุรฺอาน ดังนั้นมันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งถ้าหากว่าได้มีการอธิบายถึงพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ของซูเราะฮฺมักกียะฮฺโดยทั่วไปเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อที่ผู้อ่านจะได้เข้าใจถึงซูเราะฮฺมักกียะฮฺและการอ้างอิงถึงขั้นตอนต่าง ๆ ของมันที่เกี่ยวข้องกับการอธิบายความหมายของเรา
   ก่อนอื่น ผู้อ่านจะต้องเข้าใจว่า หากจะเปรียบเทียบแล้ว ข้อมูลหรือวัตถุดิบเกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานของการประทานซูเราะฮฺมักกียะฮฺนั้นมีอยู่น้อยมาก ในขณะที่ระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ (ซูฌราะฮฺที่ถูกประทานลงมาในมะดีนะฮฺ)นั้น เป็นที่รู้กันหรือสามารถที่จะกำหนดได้โดยไม่ยาก นอกจากนั้นแล้วยังมีรายงานที่เชื่อถือได้อีกมากมาย แม้แต่ในเรื่องที่เกี่ยวกับโอกาสในการประทานอายะฮฺส่วนใหญ่ ในทางตรงข้าม เรากลับไม่มีรายละเอียดเช่นนั้นเกี่ยวกับสูเราะฮฺมักกียะฮฺเลย จะมีก็แต่เพียงไม่กี่ซูเราะฮฺและอายะฮฺเท่านั้นที่จะมีรายงานที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับเวลาและสาเหตุของการประทานมันลงมา นี่เป็นเพราะว่าประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาที่ท่านนบีฯอยู่ในมักกะฮฺนั้นมิได้มีการรวบรวมรายละเอียดไว้เหมือนกับช่วงเวลาที่ท่านนบีฯอยู่ในนครมะดีนะฮฺ ดังนั้น เราจึงต้องอาศัยหลักฐานภายในของซูเราะฮฺเหล่านี้สำหรับตัดสินช่วงเวลาของการประทานวะฮีย์ ตัวอย่างเช่น หัวข้อเรื่องที่พูด ลีลาการพูด การอ้างอิงโดยตรงหรือโดยอ้อมถึงเหตุการณ์และโอกาสของการประทานวะฮีย์ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าโดยอาศัยหลักฐานดังกล่าวมานี้ เราไม่สามารถกล่าวได้อย่างแม่นยำว่าซูเราะฮฺนั้นหรืออายะฮฺนี้ได้ถูกประทานลงมาในโอกาสนั้นหรือในโอกาสนี้ อย่างมากที่สุดที่เราสามารถทำได้ก็คือการเปรียบเทียบหลักฐานภายในของซูเราะฮฺกับเรื่องราวชีวิตของท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ที่นครมักกะฮฺ แล้วถึงจะมาสรุปว่า ซูเราะฮฺนี้จะอยู่ช่วงไหน
   ถ้าหากเราใช้สิ่งที่กล่าวมาเป็นข้อพิจารณาแล้ว ประวีติศาสตร์ภารกิจของท่านนบีฯที่มักกะฮฺสามารถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนดังนี้
   ขั้นแรก เริ่มต้นด้วยการถูกแต่งตั้งเป็นรอซูลุลลอฮฺและไปสิ้นสุดตรงที่ท่านประกาศตัวเป็นนบี 3 ปีหลังจากนั้น ในช่วงระยะเวลานี้การเผยแผ่สารของอัลลอฮฺได้กระทำกันอย่างลับ ๆ ไปยังคนบางคนที่ถูกคัดเลือกไว้เท่านั้น โดยที่คนทั่วไปในมักกะฮฺยังไม่รู้
   ขั้นที่ 2 กินระยะเวลา 2 ปี หลังจากการประกาศตนเป็นนบี มันเริ่มต้นด้วยการต่อต้านโดยบุคคลต่าง ๆ ก่อนหลังจากนั้นก็กลายมาเป็นการประกาศตนเป็นศัตรู การหัวเราะเยาะ การประณาม การกล่าวร้าย การทารุณ และการโฆษณาชวนเชื่ออย่างผิด ๆ หลังจากนั้นก็มีการตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อทารุณทำร้ายบรรดามุสลิมที่ยากจนและอ่อนแอกว่า
   ขั้นที่ 3 กินระยะเวลาประมาณ 6 ปี จากการเริ่มต้นทารุณทำร้ายมุสลิมไปจนถึงการตายของอะบูตอลิบและท่านหญิงคอดีญะฮฺมนช่วงปีที่สิบของการเป็นนบีฯ ในช่วงเวลานี้ การหนีไปยังฮะบาชะฮฺ (อบิสสิเนียหรือเอธิโอเปียในปัจจุบัน) การคว่ำบาตรทางสังคมและเศรษฐกิจได้ถูกนำมาใช้กับท่านนบีฯ และสมาชิกในครอบครัวของท่าน และบรรดามุสลิมที่ยังคงอยู่ในมักกะฮฺก็ถูกบังคับให้ต้องเข้าไปอยู่ในความคุ้มครองของอะบูตอลิบซึ่งก็ถูกปิดล้อมอยู่ด้วยเช่นกัน
   ขั้นที่ 4 กินระยะเวลาประมาณ 3 ปี นับจากปีที่ 10 ถึงปีที่ 13 ของการเป็นนบี ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบอย่างหนักและเป็นช่วงเวลาแห่งการทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสสำหรับท่านนบีฯ และบรรดาสาวกของท่าน เพราะชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นเหลืออดเหลือทนแล้วต่อสถานการณ์ในมักกะฮฺ และก็ดูเหมือนจะไม่มีที่หลบภัยที่ไหนให้พึ่งพิงแม้แต่นอกมักกะฮฺ แม้ท่านนบีจะเดินทางไปยังเมืองตออีฟ คนที่นั่นก็ไม่ให้ที่พักหรือการคุ้มครองแก่ท่าน นอกจากนั้นแล้ว  ในช่วงเวลาการทำฮัจญ์ เมื่อท่านเรียกร้องเชิญชวนชาวอาหรับตระกูลต่าง ๆ ทุกตระกูลให้เข้ารับอิสลาม ท่านได้ถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย และในเวลาเดียวกันนั้นเอง คนในมักกะฮฺก็ประชุมปรึกษาหารือกันในการที่จะกำจัดท่านโดยการฆ่าหรือคุมขังหรือเนรเทศท่านออกไปจากเมือง ในช่วงเวลาอันวิกฤตนี้เองที่อัลลอฮฺได้เปิดหัวใจให้อิสลามแก่ชาวอันศอรที่เมืองยัถริบ ซึ่งที่นั่นท่านได้อพยพไปตามการเชิญชวนของชาวเมือง
   เมื่อเราแบ่งชีวิตของท่านนบีฯ ที่นครมักกะฮฺออกเป็น 4 ขั้นตอนแล้ว ก็จะเป็นการง่ายขึ้นสำหรับเราที่จะพอบอกได้ว่าขั้นตอนไหนที่ซูเราะฮฺมักกียะฮฺถูกประทานลงมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าซูเราะฮฺที่อยู่ในขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดนั้นสามารถที่จะจำแนกได้จากซูเราะฮฺที่อยู่ในอีกขั้นตอนหนึ่งโดยอาศัยเนื้อหา เรื่องราวและลีลาของซูเราะฮฺนั้นเป็นเครื่องช่วย นอกจากนี้แล้ว ซูเราะฮฺเหล่านั้นยังมีข้ออ้างอิงที่ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์และเรื่องราวที่เป็นภูมิหลังของการประทานวะฮีย์อีกด้วย ในซูเราะฮฺมักกียะฮฺที่ตามมาภายหลังนั้น เราจะตัดสินและชี้แจงให้เห็นว่าในขั้นตอนไหนที่ซูเราะฮฺมักกียะฮฺถูกประทานลงมาโดยอาศัยจากลักษณะที่แตกต่างกันของแต่ละขั้นตอนเป็นข้อพิจารณา



----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


--------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 1-4



คำอ่าน
1. อัลหัมดุลิลลาฮิลละซี เคาะละก็อสสะมาวาติวัลอัรฺเฎาะ วะญะอะลัซซุลุมาติวัน..นูรฺ ษุม..มัลละซีนะกะฟะรู บิร็อบบิฮิม ยะอฺดิลูน
2. ฮุวัลละซีเคาะละเกาะกุม..มิน..ฏีนิน..ษุม..มะเกาะฎอ..อะญะลา ษุม..มะอัน..ตุมตัน..ตะรูน
3. วะฮุวัลลอฮุ ฟิสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ ยะอฺละมุสิรฺเราะกุม วะญะฮฺเราะกุม วะยะอฺละมุมาตักสิบูน
4. วะมาตะอ์ตีฮิม..มินอายะติม..มินอายาติ ร็อบบิฮิม อิลลากานูอันฮา มุอฺริฎีน


คำแปล R1.
1. All praises and thanks are to Allah, who (alone) created the heavens and the earth, and originated the darkness and the light, yet those who disbelieve hold others as equal with their Lord.
2. He it is who has created you from clay, and then has decreed a stated term (for you to die). And there is with Him another determined term (for you to be resurrected), yet you doubt (in the Resurrection).
3. And He is Allah (to be worshiped alone) in the heavens and on the earth, He knows what you conceal and what you reveal, and He knows what you earn (good or bad).
4. And never an Ayah (sign) comes to them from the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of their Lord, but that they have been turning away from it.


คำแปล R2.
1. มวลการสรรเสริญย่อมเป็นของอัลเลาะฮฺผู้ทรงบันดาลฟากฟ้าและแผ่นดินและพระองค์บันดาลความมืดและแสงสว่าง หลังจากนั้นบรรดาผู้เนรคุณต่างเทียบเทียม(สิ่งอื่น ๆ)กับองค์อภิบาลของพวกเขา
2. พระองค์เป็นผู้ทรงบันดาลพวกเจ้ามาจากดินหลังจากนั้นทรงกำหนดอายุขัย(แห่งการดำรงชีวิต)ไว้อายุขัย(แห่งการฟื้นคืนชีพแห่งความตาย)ก็เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ ณ พระองค์(เช่นเดียวกัน) แต่ภายหลังพวกเจ้าทั้งหลายก็มีความสงสัย(ในอายุขัยนั้น)
3. และพระองค์คืออัลเลาะฮฺ(ที่ถูกนมัสการและถูกยอมรับ)ทั้งในชั้นฟ้าและในแผ่นดิน ทรงรอบรู้ทั้งสิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า และทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเจ้าพากเพียรไว้
4. และไม่มีโองการใด ๆ เลยที่มาสู่พวกเขานอกจากพวกเขาเป็นผู้ผินหลังให้แก่โองการนั้น ๆ (เป็นการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง)


คำแปล R3.
1. บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺผู้ทรงบันดาลชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและทรงทำให้มีความมืดสนิทและความสว่าง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม บรรดาผู้ปฏิเสธก็ยังตั้งภาคีเทียมเท่าพระผู้อภิบาลของพวกเขา
2. พระองค์คือผู้ทรงสร้างสูเจ้าจากดิน และทรงกำหนดวาระแห่งชีวิตสำหรับสูเจ้า และมีอีกวาระหนึ่งที่พระองค์เท่านั้นที่ทรงรู้ แต่สูเจ้าก็ยังสงสัย
3. และพระองค์คืออัลลอฮฺ ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์ทรงรู้ความลับของสูเจ้าและความเปิดเผยของสูเจ้า และทรงรู้ที่สูเจ้าขวนขวายไว้
4. และเมื่อใดที่สัญญาณหนึ่งจากบรรดาสัญญาณต่าง ๆ ของพระผู้อภิบาลของพวกเขาได้มายังพวกเขา พวกเขากลับหันห่างจากมัน

 
คำแปล R4.
1. การสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน ได้ทรงให้มีบรรดาความมืดและแสงสว่าง แต่แล้วบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น ก็ยังให้ (สิ่งอื่น) เท่าเทียมกับพระเจ้าของเขาอยู่
2. พระองค์คือ ผู้ที่ทรงบังเกิดพวกเจ้าจากดิน แล้วได้ทรงกำหนดเวลาแห่งความตายไว้ และกำหนดที่ถูกระบุไว้อีกกำหนดหนึ่งนั้นอยู่ที่พระองค์ แต่แล้วพวกเจ้าก็ยังสงสัยกันอยู่
3. และพระองค์นั้นคือ อัลลอฮ์ ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดิน ทรงรู้สึกเร้นลับของพวกเจ้า และสิ่งเปิดเผยของพวกเจ้า และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายกันอยู่
4. และไม่มีโองการใด จากบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของพวกเขามายังพวกเขานอกจากได้ปรากฏว่าพวกเขาผินหลังให้แก่โองการนั้น


คำแปล R5.
๑. การสรรเสริญทั้งมวลนั้นย่อมเป็นสิทธิของอัลเลาะห์ผู้ซึ่งได้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินและได้ทรงบันดาลให้เกิดมีความมืดกับความสว่างไสวขึ้นนี้ย่อมนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งจากหลักฐานที่แสดงว่าอัลเลาะห์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวครั้นแล้วบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อองค์พระผู้อภิบาลพวกเขากลับถือเอาสิ่งอื่นจากพระองค์มาเคารพสักการะเป็นหุ้นส่วนเสมอภาคเช่นพวกกาฟิรชาวนครมักกะห์เคารพบูชาเทวรูปเทียบฐานะเสมอพระองค์ ทั้ง ๆ ที่หลักฐานแสดงชัดแจ้งว่า อัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวก็มีพร้อมอยู่แล้วที่พวกเหล่านั้น
๒. พระองค์เป็นผู้ซึ่งได้ทรงสร้างพวกเจ้าจากดินหลุมฝังศพของพวกเจ้าซึ่งถูกนำมาเคล้าปนกับน้ำอสุจิครั้นต่อมาก็ได้ทรงกำหนดวารกาลแห่งอายุไขให้แก่พวกเจ้าไว้ด้วย ว่าพวกเจ้าจะต้องสิ้นอายุขัยลงเมื่อถึงวารกาลนั้น ๆ และวารกาลหนึ่งแห่งอายุขัยก็ถูกกำหนดไว้แล้วโดยฝ่ายพระองค์ซึ่งพวกเจ้าทั้งหลายไม่สามารถจะล่วงรู้ถึงเรื่องของอายุที่ทรงกำหนดไว้เลย ว่า ถึงอายุของมนุษย์แล้ว มีดังนี้
   ๑. ช่วงอายุมีสองช่วง คือ
   ก. ช่วงอายุที่นับแต่เริ่มเกิดจนถึงตายไปจากพิภพนี้
   ข. ช่วงอายุที่นับแต่ตายจนถึงวาระเกิดใหม่ในปรภพ
   ๒. ปริมาณอายุมีสองอย่างคือ
   ก. ปริมาณอายุตายตัว (เรียกว่าอายุมุบร็อม) เป็นอายุที่ไม่ได้รับการผัดผ่อนให้ยาวออกไปหรือน้อยลงไปจากที่กำหนดไว้เดิม
   ข. ปริมาณอายุไม่ตายตัว เป้นอายุที่อาจได้รับการผัดผ่อนให้ยาวนานออกไปก็ได้ สำหรับผู้ใดที่มีความยำเกรงต่ออัลเลาะห์ มีความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อบิดามารดา และที่ผูกไมตรีกับวงศาคณาญาติ และให้ลดน้อยลงไปก็ได้สำหรับผู้ใดที่มิได้เป็นเช่นที่กล่าวข้างต้น
   แต่แล้วพวกเจ้าผู้เป็นกาฟิรต่างก็เคลือบแคลงสงสัยกันในเรื่องเกิดขึ้นใหม่ หลังจากที่พวกเจ้าได้ทราบแล้วว่าพระองค์ได้เริ่มสร้างสรรค์พวกเจ้าด้วยพลังของพระองค์ และทราบว่าพระอง๕ทรงมีพลังที่จะให้เรือนร่างของพวกเจ้าคืนสู่สภาพเดิมในวันสิ้นโลกไปสู่วันปรภพได้
๓. และพระองค์คืออัลเลาะห์ผู้ซึ่งได้รับการเคารพบูชาโดยแน่นอนจากบรรดาข้าของพระองค์ทั้งในบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและในแผ่นดิน พระองค์ก็ทรงทราบถึงความลับของพวกเจ้าที่ซ่อนเร้นไว้และความเปิดเผยของพวกเจ้าได้ และทรงทราบถึงสิ่งอันเป็นความดีและความชั่วที่พวกเจ้ากระทำสะสมไว้อีกด้วย
๔. ทั้งจะไม่มีโองการหนึ่งโองการใดจากบรรดาโองการของพระองคัมภีร์อัล-กุรอานแห่งอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกนั้นลงมายังพวกนั้นที่เป็นชาวมักกะห์หรอก นอกจากพวกนั้นจะผินหลังให้โองการนั้นอย่างสิ้นเชิง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 01, 2011, 11:28 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด


อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 5-7


คำอ่าน
5. ฟะก็อดกัซซะบูบิลหักกิ ลัม..มาญา...อะฮุม ฟะเสาฟะยะอ์ตีฮิม อัม..บา...อุมากานูบิฮี ยัสตะฮฺซิอูน
6. อะลัมยะร็อวกัมอะฮฺลักนา มิน..ก็อบลิฮิม มิน..ก็อรฺนิม..มักกัน..นาฮุม ฟิลอัรฺฎิ มาลัมนุมักกิลละกุม วะอัรฺสัลนัสสะมา...อะ อะลัยฮิม..มิดรอรอ วะญะอัลนัลอันฮาเราะ ตัจญรีมิน..ตะหฺติฮิม ฟะอะฮฺลักนาฮุม..บิซุนูบิฮิม วะอันชะอ์นามิม..บะอฺดิฮิม ก็อรฺนัน อาเคาะรีน
7. วะเลานัซซัลนาอะลัยกะ กิตาบัน..ฟีกิร์ฏอสิน..ฟะละมะสูฮุบิอัยดีฮิม ละกอลัลละซีนะกะฟะรู อินฮาซา..อิลลาสิหฺรุม..มุบีน


คำแปล R1.
5. Indeed, they rejected the Truth (the Qur'an and Muhammad ) when it came to them, but there will come to them the news of that (the torment) which they used to mock at.
6. Have they not seen how many a generation before them we have destroyed whom we had established on the earth such as we have not established you? And we poured out on them rain from the sky in abundance, and made the rivers flow under them. Yet we destroyed them for their sins, and created after them other generations.
7. And even if we had sent down unto you (O Muhammad) a message written on paper so that they could touch it with their hands, the disbelievers would have said: "This is nothing but obvious magic!"


คำแปล R2.
5. แท้จริงพวกเขาได้กล่าวหาสัจธรรม(อัลกุรอาน)ว่าเป็นเท็จ ดังนั้นคำชี้แจง(ที่เกี่ยวกับโทษทัณฑ์เนื่องจาก)สิ่งที่พวกเขาได้เคยเย้ยหยันก็จะมาสู่พวกเขาอย่างแน่นอน
6. พวกเขาไม่สังเกตดอกหรือตั้งเท่าใดแล้ว(ประชาชาติ)จากศตวรรษต่าง ๆ ก่อนหน้าพวกเขาที่เราได้ทำลายล้าง(ให้สูญสิ้นไปจากโลกนี้ด้วยการลงโทษต่าง ๆ นานา)ทั้งที่เราได้ให้พวกเหล่านั้นอยู่อย่างมั่นคงในผืนแผ่นดินนี้อย่างที่เราไม่ได้ให้พวกเจ้าอยู่อย่างมั่นคงเลยและเราได้ลงมาให้พวกเขาซึ่งน้ำฝนที่ตกอย่างมากมายจากฟากฟ้า และเราได้บันดาลสายธารต่าง ๆ ที่มีน้ำไหลรินอยู่ ณ เบื้องใต้ของพวกเขา ครั้นต่อมาเราก็ทำลายล้างพวกเขาเสีย เพราะบาปต่าง ๆ ของพวกเขา และเราได้ดลบันดาลให้มีปวงชนอื่น ๆ อีก(ขึ้นมาแทนที่)ภายหลังจากพวกเขา(ได้ถูกทำลายล้างไปแล้ว
7. และหากเราได้ส่งลงมาให้เจ้า(โอ้มุฮำมัด)ซึ่งคัมภีร์หนึ่ง(ที่ถูกบันทึกไว้เรียบร้อย)ในแผ่นกระดาษแล้วพวกเขาก็ลูบคลำมันด้วยมือของพวกเขาเอง แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธก็ต้องกล่าวว่า สิ่งนี้หาใช่อื่นใดไม่ นอกจากเป็นเพียงมายากลอันเด่นชัด


คำแปล R3.
5. ดังนั้นพวกเขาจึงได้ปฏิเสธสัจธรรมที่ได้มายังพวกเขา แล้วในไม่ช้าพวกเขาจะได้รับข่าว เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเย้ยหยันมาจนกระทั่งเวลานี้
6. พวกเขาไม่คิดดูดอกหรือว่าก่อนหน้าพวกเขานั้น เราได้ทำลายไปกี่ชั่วคนแล้วสำหรับผู้ที่เราได้ตั้งหลักแหล่งพวกเขา? เราได้ส่งฝนมากมายมายังพวกเขา และเราได้สร้างลำน้ำหลายสายให้ไหลผ่านเบื้องล่างพวกเขา แล้วเราได้ทำลายพวกเขาเนื่องด้วยความผิดของพวกเขา และเราได้ให้คนรุ่นอื่นอุบัติขึ้นแทนพวกเขา
7. ถ้าเราได้ส่งคัมภีร์ลงมาแก่เจ้าโดยเขียนไว้แล้วบนแผ่นกระดาษแล้วพวกเขาได้จับต้องด้วยมือของพวกเขา แน่นอนพวกที่ปฏิเสธจะกล่าวว่า “นี่มิใช่อะไรนอกจากมายากลแท้ ๆ”

 
คำแปล R4.
5. แน่นอนพวกเขาได้ปฏิเสธความจริง เมื่อความจริงนั้นได้มายังพวกเขา แล้วข่าวคราวของสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันไว้นั้นก็จะมายังพวกเขา
6. พวกเขามิได้เห็นดอกหรือว่า กี่ประชาชาติมาแล้วที่เราได้ทำลายมาก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งเราได้พวกเขามีอำนาจและความสามารถในแผ่นดิน ซึ่งสิ่งที่เรามิได้ให้มีแก่พวกเจ้า และเราได้ส่งฝนมายังพวกเขาอย่างมากมาย และเราได้ให้มีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของพวกเขา แล้วเราก็ทำลายพวกเขาเสีย เนื่องด้วยบรรดาความผิดของพวกเขา และเราได้ให้มีขึ้นหลังจากพวกเขาซึ่งประชาชาติอื่น
7. และหากเราได้ให้ลงมาแก่เจ้า ซึ่งคัมภีร์ฉบับหนึ่ง (ที่ถูกจารึกไว้) ในกระดาษแล้วพวกเขาก็ได้สัมผัสคัมภีร์นั้นด้วยมือของพวกเขาเองแน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาย่อมกล่าวว่า สิ่งนี้มิใช่อื่นใด นอกจากมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น


คำแปล R5.
๕. ความเป็นจริงพวกเหล่านั้นได้หาว่า ความเที่ยงแท้คืออัล-กุรอานเป็นเท็จ ทั้งยังได้เหยียดหยามอัล-กุรอานในเมื่อพระคัมภีร์อัล-กุรอานได้มีมายังพวกนั้นแล้ว แล้วผลในที่สุดที่พวกนั้นได้เคยเหยียดหยามพระคัมภีร์อัล-กุรอานและที่ถูกหาว่าเท็จนั้นก็จะตามมาถึงพวกนั้นเองในภายภาคหน้านั่นคือพวกนี้จะต้องถูกฆ่าบ้าง ถูกจับเป็นเชลยศึกบ้าง และถูกริบทรัพย์สินในภพนี้บ้าง
๖. พวกกาฟิรชาวนครมักกะห์เหล่านั้นได้แลเห็นแล้วด้วยตาและได้ยินด้วยหูมิใช่หรือ?ในคราวที่พวกกาฟิรนี้ได้เดินทางไปทำการค้าขายยังนครซีเรียในฤดูร้อนและในนครยะมันในฤดูหนาวว่าก่อนจากพวกกาฟิรมักกะห์เหล่านี้เรา(อัลเลาะห์)ได้เคยทำลายล้างมาแล้วหลายเผ่าชนซึ่งเราได้ให้บ้านเมืองพร้อมกับความมีอิทธิพลและความมั่งคั่งแก่พวกนี้ในหน้าแผ่นดินขนาดที่เราไม่เคยให้สิ่งทั้งหลายนี้แก่พวกเจ้าเลยอาทิ ปวงชนของพระศาสดานูห์ พวกอ๊าด พวกซะมูด ปวงชนของพระศาสดาลู๊ต ปวงชนของพระศาสดาชุไอบ์ ตลอดจนฟิรเอาน์และคนอื่น ๆ และที่เราได้หลั่งน้ำฝนลงมายังพวกเหล่านั้นหลายครั้งหลายคราวปะติดปะต่อกันทั้งเรายังได้ให้เกิดเป็นกระแสธารอยู่เบื้องล่างที่พักอาศัยของพวกเหล่านั้นเองด้วย แต่เราก็ได้ทำลายล้างพวกเหล่านั้นเสียเพราะบาปกรรมของพวกนั้นเองที่กล่าวหาว่าพระศาสดาของพวกตนเป็นคนเท็จ แล้วเราก็ได้ให้ปวงชนฝ่ายอื่นมีขึ้นแทนพวกเหล่านั้นต่อภายหลัง
๗. โอ้มุฮำมัดมาดแม้นว่าเรา(อัลเลาะห์)จะประทานข้อเขียนในหนังแผ่นลงมายังเจ้าเหมือนดังที่พวกกาฟิรมักกะห์ขอร้องเจ้าแล้วพวกนั้นก็ยังเอามือลูบคลำสิ่งนั้นกัน บรรดาผู้ไม่ศรัทธาย่อมจะพูดว่า “นี่มิใช่อะไรหากแต่เป็นวิทยากลแน่ชัดทีเดียว” แต่ความจริงปรากฏว่าคำกล่าวอย่างนี้ของพวกกาฟิรเหล่านั้นไม่เคยมี จึงได้ความว่า อัลเลาะห์มิได้ทรงมีข้อเขียนดังกล่าวลงมายังเจ้าตามที่พวกกาฟิรชาวมักกะห์ขอร้อง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด


อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 8-12


คำอ่าน
8. วะกอลู เลาลา..อุน..ซิละอะลัยฮิมะลัก วะเลาอัน..ซัลนามะละกัลป์ ละกุฎิยัลอัมรุ ษุม..มะลายุน..เซาะรูน
9. วะเลาญะอัลนาฮุ มะละกัลป์ละญะอัลนาฮุ เราะญุเลา..วะละละบัสนาอะลัยฮิม..มายัลบิสูน
10. วะละเกาะดิสตุฮฺซิอะ บิรุสุลิม..มิน..ก็อบลิกะ ฟะหาเกาะบิลละซีนะสะคิรูมินฮุม..มากานูบิฮี ยัสตะฮฺซิอูน
11. กุลสีรูฟิลอัรฺฎิ ษุม..มัน..ซุรูกัยฟะ กานะอากิบะตุลมุกัซซิบีน
12. กุลลิมัม..มาฟิสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ กุลลิลาฮฺ กะตะบะอะลานัฟสิฮิรฺเราะหฺมะตะ ละยัจญมะอัน..นะกุม อิลาเยามิลกิยามะติ ลาร็อยบะฟีฮฺ อัลละซีนะเคาะสิรู..อัน..ฟุสะฮุม ฟะฮุมลายุอ์มินูน


คำแปล R1.
8. And they say: "Why has not an angel been sent down to him?" had we sent down an angel, the matter would have been judged at once, and no respite would be granted to them.
9. And had we appointed him an angel, we indeed would have made him a man, and we would have certainly caused them confusion in a matter which they have already covered with confusion (i.e. the message of Prophet Muhammad).
10. And indeed (many) Messengers were mocked before you, but their scoffers were surrounded by the very thing that they used to mock at.
11. Say (O Muhammad): "Travel in the land and see what the end of those who rejected truth was."
12. Say (O Muhammad): "To whom belongs all that is in the heavens and the earth?" say: "To Allah. He has prescribed Mercy for himself. Indeed He will gather you together on the Day of Resurrection, about which there is no doubt. Those who destroy themselves will not believe [in Allah as being the only Ilah (God), and Muhammad as being one of his Messengers, and in Resurrection, etc.].


คำแปล R2.
8. และพวก(อาหรับโง่เขลา)เขากล่าวว่า “ไฉนเล่าจึงไม่ส่งมลาอิกะฮฺ(เทพ)ลงมายังเขา(มุฮำมัด)(เพื่อทำการเผยแพร่อิสลามร่วมกับมุฮำมัด)” และถ้าเราส่งมลาอิกะฮฺลงมาจริง(ตามที่เขาพูดกัน)แน่นอนงานการ(ลงโทษพวกเขาเนื่องเพราะพวกเขาไม่ยอมศรัทธา)ก็ย่อมได้รับการปฏิบัติให้ลุล่วง(แต่ในโลกนี้)แล้วพวกเขาก็จะไม่ได้รับการรอคอย(จนถึงวันชาติหน้าเลย
9. และหากเราจัดการแก่เขา(ผู้ถูกส่งมาเป็นศาสนทูต)ให้เป็นมลาอิกะฮฺ แน่นอนเราก็จะแปลงรูปเขาให้เป็นชายผู้หนึ่ง(เพื่อพวกนั้นจะได้มองเห็น)และแน่นอนเราก็จะเป็นเหตุให้เกิดความเคลือบแคลงแก่พวกเขาเหมือนเช่นที่พวกเขาแสดงความเคลือบแคลง(มาก่อนนั้นเอง)
10. ขอยืนยัน! แท้จริงบรรดาศาสนทูตเมื่อก่อนหน้าเจ้าก็ถูกเย้ยหยัน(มาก่อนทั้งสิ้น)แล้ว(โทษทัณฑ์จากการ)ที่พวกเขาได้เคยนำมาเย้ยหยันนั้นก็จะต้องอุบัติแก่บรรดาผู้ทำการเย้ยหยันในหมู่พวกเขาอย่างแน่นอน
11. เจ้าจงประกาศเถิด!(มุฮำมัด) “พวกท่านจงจาริกไปในแผ่นดินเถิด แล้วจงพินิจพิเคราะห์ดูว่า จุดจบของบรรดาผู้กล่าวหา(บรรดาศาสนทูต)ว่าเป็นผู้มุสา(ในอดีต)นั้น เป็นอย่างไร?”
12. เจ้าจงประกาศเถิดว่า! “สรรพสิ่งในฟากฟ้าและแผ่นดินเป็นของใครกันเล่า?” “เจ้าจงประกาศเถิด!” (สรรพสิ่งทั้งผองล้วน)เป็นของอัลเลาะฮฺ พระองค์ทรงลิขิตพระเมตตาธิคุณไว้สำหรับพระองค์เอง ขอสาบาน! พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าทั้งหลายสู่วันชาติหน้า โดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในนั้นเลย” บรรดาผู้ทำความขาดทุนแก่ตัวเอง พวกเขาย่อมไม่ศรัทธาอย่างแน่นอน


คำแปล R3.
8. และพวกเขากล่าวว่า “ไฉนจึงไม่ส่งมลักองค์หนึ่งลงมายังเขา ?” ถ้าเราส่งมลักลงมา ชะตากรรมของพวกเขาจะต้องถูกตัดสินไปก่อนหน้านี้แล้วอย่างแน่นอน และพวกเขาจะไม่ได้รับการผ่อนปรนเลย
9. และถ้าเราส่งมลักมา แน่นอนเราจะส่งเขาในรูปมนุษย์เพศชาย แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะยังคงฉงนสงสัยในสิ่งที่พวกเขาสงสัยอยู่
10. บรรดารอซูลก่อนหน้าเจ้าได้ถูกเยาะเย้ย แต่ในระยะยาว บรรดาผู้ที่เย้ยหยันจะพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่พวกเขาได้เย้ยหยัน
11. จงกล่าวเถิด “จงท่องเที่ยวไปตามแผ่นดิน แล้วจงดูผลสุดท้ายของพวกที่ถือว่าสัจธรรมเป็นความเท็จว่าเป็นอย่างไร”
12. จงถามพวกเขาว่า “ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นของใคร?” จงกล่าวเถิด “เป็นของอัลลอฮฺ พระองค์ได้ทรงกำหนดความเมตตาไว้สำหรับพระองค์แล้ว (นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพระองค์ถึงไม่ทำลายพวกท่านทันทีที่ปฏิเสธ) แน่นอนพระองค์จะทรงรวบรวมพวกท่านในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ไม่มีข้อคลางแคลงสงสัยใด ๆ ในเรื่องนี้ แต่ผู้ที่ทำตัวเองให้เป็นผู้หายนะนั้นพวกเขาจะไม่ศรัทธา”


คำแปล R4.
8. และพวกเขาได้กล่าวว่าไฉนเล่ามะลักจึงมิได้ถูกให้ลงมาแก่เขา และหากว่าเราได้ให้มะลักลงมาแล้ว แน่นอนกิจการทั้งหลายก็ย่อมถูกชี้ขาด แล้วพวกเขาก็จะไม่ถูกรอคอย
9. และหาพวกว่าเราได้ให้เขาเป็นมะลักแน่นอนเราก็ย่อมให้เขาเป็นคนผู้ชาย และแน่นอนเราก็ย่อมให้สิ่งที่พวกเขาคลุมเครือกันอยู่เป็นที่คลุมเครือแก่พวกเขา
10. และแน่นอนบรรดารอซูล ก่อนเจ้านั้นได้ถูกเย้ยหยันมาแล้ว ดังนั้นจึงได้ล้อมบรรดาผู้ที่เย้ยหยันรอซูลเหล่านั้นไว้ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเคยเย้ยหยันกัน
11. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงเดินไปในแผ่นดินเถิด แล้วจงดูว่า ผลสุดท้ายของบรรดาผู้ปฏิเสธนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
12. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินนั้นเป็นของใคร? จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์ได้ทรงกำหนดการเอ็นดูเมตตาไว้บนตัวของพระองค์ แน่นอนพระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าไปสู่วันกิยามะฮฺ โดยที่ไม่มีการสงสัยใด ๆ ในวันนั้นบรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุนนั้นพวกเขาก็จะไม่ศรัทธา


คำแปล R5.
๘. อีกทั้งพวกกาฟิรชาวมักกะห์เหล่านั้นยังได้พูดว่า “จงให้มีมลาอิกะห์สักท่านหนึ่งถูกส่งลงมายังเขา(มุฮำมัด)ด้วยซิให้มาเป็นผู้บอกความจริงว่าพระศาสดามุฮำมัดเป็นพระศาสนทูตของอัลเลาะห์แต่ถ้าเรา(อัลเลาะห์)[/b]จะส่งมลาอิกะห์หนึ่งลงมา[/b]ยังมุฮำมัดตามคำเรียกร้องของพวกนั้นและพวกนั้นก็ย่อมไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่ามุฮำมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์แล้ว เรื่องที่ว่าให้พวกนั้นถูกทำลายล้างก็จะถูกให้มีขึ้นแน่นอนทีเดียว แล้วพวกนั้นยังจะไม่ได้รับการผัดผ่อนให้ขอรับสารภาพกลับใจ(เตาบะห์)หรือขอประทานอภัยอีกด้วยเหมือนกับธรรมดาที่อัลเลาะห์ได้ทรงทำลายล้างปวงประชากรสมัยก่อนที่ไม่ยอมเชื่อในเมื่อสิ่งตามคำขอได้ถูกประทานลงมาแล้ว แต่ปรากฏความจริงว่าคำสั่งการว่าให้พวกกาฟิรมักกะห์ต้องถูกทำลายล้างนั้นมิได้ถูกกำหนดให้มีขึ้น ย่อมแสดงว่าอัลเลาะห์มิได้ทรงส่งมลาอิกะห์ลงมาตามคำเรียกร้องของพวกกาฟิรชาวมักกะห์เลย
๙. แต่ถ้าเรา(อัลเลาะห์)จะให้ผูที่จะถูกส่งมายังเจ้านั้นเป็นมลาอิกะห์แล้วไซร้เราก็จะให้มลาอิกะห์ผู้นั้นมีรูปร่างเป็นบุรุษหนึ่ง เพื่อมนุษย์เหล่านั้นจะสามารถแลเห็นได้ เพราะพลังสามารถทางตาของมนุษย์ไม่สามารถจะแลเห็นมลาอิกะห์ในสภาพเดิมได้ และถ้าเราจะให้มีมลาอิกะห์ลงมาเป็นเรือนร่างของบุรุษหนึ่งแล้ว เราก็จะให้พวกเหล่านั้นเคลือบแคลงสงสัยในส่วนของเรือนร่างบุรุษที่พวกนั้นกำลังเคลือบแคลงสงสัยอยู่กล่าวคือเมื่ออัลเลาะห์ได้ส่งมลาอิกะห์มาในรูปเรือนร่างแบบมนุษย์แล้ว พวกนั้นก็จะเอ่ยว่าก็คือมนุษย์เราดี ๆ นั่นเอง แต่ปรากฏความจริงว่าพวกกาฟิรเหล่านั้นมิได้เอ่ยถ้อยคำว่าดังนั้น คงได้ความว่าอัลเลาะห์มิได้ทรงส่งมลาอิกะห์ลงมาในเรือนร่างของมนุษยชาติตามคำเรียกร้องของพวกเหล่านั้นเลย
๑๐. และอัลเลาะห์ได้ตรัสเป็นการปลอบใจพระศาสดามุฮำมัดให้เกิดมีมานะอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามของชาวมักกะห์ว่าโดยความจริงบรรดาพระศาสนทูตที่ก่อนจากเจ้าก็เคยถูกดูถูกเหยียดหยามกันมาแล้วการต้องโทษอันเนื่องมาแต่พวกเหล่านั้นได้เคยเหยียดหยามนี้เอง จึงมาประสบกับบางคนจากพวกกาฟิรเหล่านั้นที่ได้เหยียดหยามพวกพระศาสนทูต ในทำนองเดียวกันนี้แหละ การฃลงโทษก็จะต้องมาประสบกับพวกกาฟิรมักกะห์ที่ดูถูกเหยียดหยามเจ้า
๑๑. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกกาฟิรชาวมักกะห์เถิดว่า พวกเจ้าจงสัญจรไป ณ ผืนแผ่นดินแล้วก็จงดูแลเสียด้วยว่าผลที่สุดของพวกที่ชอบหาว่าพระศาสนทูตทั้งหลายพูดเท็จนั้นเป็นอย่างไร นั่นคือพวกนั้นต้องถูกทำลายล้างด้วยการรับโทษทรมาน เพื่อให้พวกกาฟิรชาวมักกะห์เหล่านั้นได้พินิจพิเคราะห์ไว้เป็นบทเรียน
๑๒. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่พวกกาฟิรนครมักกะห์เถิดว่า ใครเป็นผู้ทรงสิทธิ์ในสิ่งทั้งปวง ซึ่งมีในบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดิน เจ้าจงบอกว่าเป็นสิทธ์ของอัลเลาะห์ แต่ถ้าพวกเหล่านั้นไม่ซักถามว่ากระไร ก็ไม่ต้องตอบเกินกว่านี้ อัลเลาะห์ได้ตรัสว่า พระองค์ได้ทรงจารึกเรื่องความเมตตาปราณีเป็นเกณฑ์สำหรับพระองค์ไว้แล้ว เกณฑ์อย่างนี้เป็นทางละมุนละม่อมที่สุดในอันที่จะชักชวนกาฟิรให้หันมามีมาความศรัทธา กล่าวคือ ทรงให้สัตย์ปฏิญาณไว้ว่า พระองค์จะทรงผัดผ่อนเวลาให้พวกเจ้าได้มีอายุยืนนานทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็ไม่ได้ศรัทธาเลยจนกว่าจะถึงวันกิยามะห์อันเป็นวันซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงให้การตอบแทนผลกรรมที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติกันไว้บรรดาที่กระทำตนให้ขาดทุนโดยการเสนอตัวให้ถูกลงโทษนั่นแหละที่จะไม่ยอมศรัทธา


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 13 - 16


คำอ่าน
13. วะละฮูมาสะกะนะฟิลลัยลิ วัน..นะฮารฺ วะฮุวัสสะมีอุลอะลีม
14. กุลอะฆ็อยร็อลลอฮิ อัตตะคิซุวะลียัน..ฟาฏิริสสะมาวาติวัลอัรฎิ วะฮุวะยุฏอิมุ วะลายุฏอัม กุลอิน..นี..อุมิรฺตุอันอะกูนะ เอาวะละ มันอัสลัม วะลาตะกูนัน..นะมินัลมุชริกีน
15. กุลอิน..นี..อะคอฟุ อินอะศ็อยตุ ร็อบบี อะซาบะเยามินอะซีม
16. มัย..ยุศร็อฟอันฮุ เยามะอิซิน ฟะก็อดเราะหิมะฮู วะซาลิกัลเฟาซุลมุบีน


คำแปล R1.
13. And to Him belongs whatsoever exists in the night and the day, and He is the All-Hearing, the All-Knowing."
14. Say (O Muhammad): "Shall I take as a Wali (helper, Protector, etc.) any other than Allah, the Creator of the heavens and the earth? And it is He who feeds but is not fed." say: "Verily, I am commanded to be the first of those who submit themselves to Allah (as Muslims)." and be not you (O Muhammad) of the Mushrikun [polytheists, pagans, idolaters and disbelievers In the Oneness of Allah].
15. Say: "I fear, if I disobey my Lord, the torment of a mighty Day."
16. Who is averted from (such a torment) on that day, (Allah) has surely been Merciful to Him. And that would be the obvious success.


คำแปล R2.
13. และเป็นสิทธิแห่งพระองค์ สิ่งอาศัยอยู่ในยามกลางคืนและยามกลางวัน และพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยิน อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
14. จงประกาศเถิด(มุฮำมัด)! จะให้ฉันยึดนอกจากอัลเลาะฮฺมาเป็นผู้คุ้มครองกระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงเป็นผู้บันดาลชั้นฟ้าและแผ่นดิน (พระองค์ทรงให้(สัตว์โลกทั้งหลาย)ได้บริโภค(จากอาหารที่พระองค์ทรงประทานให้) และพระองค์ไม่บริโภค(สิ่งใด ๆ เช่น การบูชายัญ การเซ่นถวายสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น) จงประกาศเถิด! แท้จริงฉันนี้ได้รับคำบัญชามาว่า ให้ฉันเป็นคนแรกที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ และพวกท่านทั้งหลายอย่าได้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย
15. จงประกาศเถิด! แท้จริงฉันหวั่นกลัวการลงโทษในวัน(ชาติหน้า)อันยิ่งใหญ่เหลือเกิน หากว่าฉัน(ทำการอันใด)ฝ่าฝืน(คำบัญชาของ)องค์อภิบาลของฉัน
16. ใครก็ตามที่ถูกผันการลงโทษออกจากเขาในวันนั้น แน่นอนอัลเลาะฮฺ ได้ทรงโปรดเมตตาแก่เขาแล้วและนั่นเป็นรางวัลอันชัดแจ้งที่สุด


คำแปล R3.
13. และของพระองค์คือทุกสิ่งที่อยู่ในกลางคืนและกลางวัน และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
14. จงกล่าวเถิด “ฉันจะยึดเอาผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺเป็นผู้คุ้มครองกระนั้นหรือ ในเมื่อพระองค์ทรงเนรมิตชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์ทรงให้อาหารและไม่ต้องการอาหาร?” จงกล่าวเถิด “แท้จริง ฉันได้ถูกบัญชาให้เป็นคนแรกของผู้นอบน้อมยอมจำนนและไม่ได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี”
15. จงกล่าวเถิด “แท้จริงฉันกลัวการลงโทษแห่งวันอันยิ่งใหญ่ ถ้าฉันฝ่าฝืนพระผู้อภิบาลของฉัน”
16. ผู้ใดที่การลงโทษถูกหันห่างจากเขาในวันนั้น แน่นอนพระองค์ได้ทรงเมตตาเขา และนั่นคือความสำเร็จอันชัดแจ้ง


คำแปล R4.
13. และสิ่งที่สงบเงียบอยู่ในเวลากลางคืนและกลางวันนั้นเป็นสิทธิของพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
14. จงกล่าวเถิด ฉันจะยึดถือ “ผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ” ซึ่งพระองค์เป็นผู้ประดิษฐ์บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและพระองค์เป็นผู้ทรงให้อาหาร และไม่ถูกให้อาหาร จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) แท้จริงฉันถูกใช้ให้เป็นคนแรกในหมู่ที่สวามิภักดิ์ และพวกท่านจงอย่าอยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีเป็นอันขาด
15. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงฉันกลัวการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉัน
16. ผู้ใดที่การลงโทษถูกหันเหออกจากเขาในวันนั้น แน่นอนพระองค์ทรงเอ็นดูเมตตาเขา และนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่


คำแปล R5.
๑๓. ทุก ๆ สิ่งที่ประจำและที่เคลื่อนไหวอยู่ในยามค่ำคืนก็ดี ในกลางวันก็ดีย่อมเป็นสิทธิของพระองค์พระองค์ทรงเป็นเจ้าของ ทรงสร้างและทรงปกครองสิ่งเหล่านั้นแหละว่าพระองค์นั้นทรงได้ยินยิ่งซึ่งคำที่ถูกพูดจากันทรงรู้ยิ่งในสิ่งที่ถูกกระทำ
๑๔. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวถ้อยคำหักล้างพวกกาฟิรชาวมักกะห์ที่ชักชวนเข้าไปรับนับถือศาสนาแห่งบรรพบุรุษของพวกเขาเถิดว่า อื่นจากอัลเลาะห์ พระผู้สร้างบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินโดยปราศจากแบบตัวอย่างแล้วฉันจะไม่นับถือใครเป็นที่รักหรอกสำหรับจะให้ความเคารพบูชาไม่ว่าจะโดยเอกเทศหรือโดยเป็นภาคีร่วมกับพระองค์โดยที่พระองค์ทรงให้เครื่องบริโภคมิใช่ผู้รับเครื่องบริโภคโอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวถ้อยคำหักล้างพวกกาฟิรดังกล่าวที่ชักชวนเจ้าไปเข้ารับนับถือศาสนาแห่งบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นคำรบสองเถิดว่า แท้จริงฉันนั้นถูกอัลเลาะห์บัญชาใช้ให้เป็นผู้แรกของบุคคลผู้น้อมตามศาสนาอิสลามในหมู่ประชากรทั้งหมดของฉันและถูกอัลเลาะห์ตรัสสั่งไว้ว่า เจ้าอย่าเป็นคนหนึ่งจากพวกที่ตั้งภาคีเทียบเคียงอัลเลาะห์ในด้านเคารพบูชาเชียวนะ
๑๕. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวถ้อยคำหักล้างพวกกาฟิรดังกล่าวเป็นคำนบสามเถิดว่า ฉันกลัวโทษจากอัลเลาะห์ในวันสิ้นโลกที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ซึ่งถ้าฉันทรยศต่อองค์พระผู้อภิบาลของฉันโดยไปกราบสักการะผู้อื่นจากพระองค์
๑๖. ในวันสิ้นโลกที่ยิ่งใหญ่นั้น หากว่าผู้ใดถูกเบี่ยงให้พ้นโทษเสียแล้ว ก็เท่ากับพระองค์ทรงให้ความปราณีแก่ผู้นั้นแน่นอนก็การเบี่ยงเบนผู้นั้นให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษนั่นแหละคือความมีชัยที่แจ้งชัด



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด


อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 17 - 20


คำอ่าน
17. วะอี..ยัมสัสกัลลอฮุ บิฎุรริน..ฟะลากาชิฟะละฮู..อิลลาฮู วะอี..ยัมสัสกะบิค็อยริน..ฟะฮุวะอะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ
18. วะฮุวัลกอฮิรุ เฟาเกาะอิบาดิฮี วะฮุวัลหะกีมมุลเคาะบีรฺ
19. กุล อัยยุชัยอิน อักบะรุชะฮาดะฮฺ กุลิลลาฮุ ชะฮีดุม..บัยนี วะบัยนะกุม วะอูหิยะ อิลัยยะฮาซัลกุรฺอานุ ลิอุน..ซิเราะกุม..บิฮี วะมัม..บะละเฆาะ อะอิน..นะกุม ละตัชฮะดูนะ อัน..นะมะอัลลอฮิ อาลิฮะตันอุครอ กุลลา..อัชฮะดุ กุลอิน..นะมาฮุวะ อิลาฮู..วาหิด วะอิน..นะนีบะรี..อุม..มิมมาตุชริกูน
20. อัลละซีนะอาตัยนาฮุมุลกิตาบะ ยะอฺริฟูนะฮู กะมายะอฺริฟูนะอับนา..อะฮุม อัลละซีนะเคาะสิรู..อัน..ฟุสะฮุม ฟะฮุมลายุอ์มินูน


คำแปล R1.
17. And if Allah touches you with harm, none can remove it but he, and if He touches you with good, then He is able to do all things.
18. And He is the irresistible, above his slaves, and He is the All-Wise, Well-Acquainted with all things.
19. Say (O Muhammad): "What thing is the most great in witness?" say: "Allah (the Most Great!) is witness between me and you; This Qur'an has been revealed to me that I may therewith warn you and whomsoever it may reach. Can you verily bear witness that besides Allah there are other aliha (gods)?" Say "I bear no (such) witness!" say: "But in truth He (Allah) is the only one Ilah (God). And truly I am innocent of what you join in worship with Him."
20. Those to whom we have given the Scripture (Jews and Christians) recognize him (i.e. Muhammad as a Messenger of Allah, and they also know that there is no Ilah (God) but Allah and Islam is Allah's Religion), as they recognize their own sons. Those who destroy themselves will not believe. (Tafsir At-Tabari)


คำแปล R2.
17. และหากอัลเลาะฮฺทรงกักเจ้าไว้ด้วยโทษอย่างหนึ่ง ก็จะไม่มีผู้ใดมาคลี่คลายแก่มันได้หรอก นอกจากพระองค์เท่านั้น และหากพระองค์ทรงกักตัวเจ้าไว้ด้วยคุณความดี แน่นอนพระองค์ย่อมทรงเดชานุภาพเหนือทุก ๆ สิ่ง (อยู่แล้ว จึงไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ่น)
18. และพระองค์ทรงเป็นผู้ทรงมหิทธานุภาพ เหนือข้าทาสของพระองค์ และพระองค์ทรงปรีชาญาณยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
19. จงประกาศเถิดว่า! สิ่งใดบ้างเล่าที่จะยิ่งใหญ่ในการเป็นสักขีพยาน(ยืนยันและรับรองในสาระใด ๆ )” เจ้าจงประกาศตอบเถิดว่า “อัลเลาะฮฺ! (ทรงเป็นสักขีพยานผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด) พระองค์ทรงเป็นสักขีพยานระหว่างตัวฉันและระหว่างพวกท่าน และฉันได้รับการดลจิตจากพระองค์)ซึ่งอัลกุรอานเล่มนี้เพื่อฉันจะได้นำมาตักเตือนพวกท่านและผู้ที่(เสียงประกาศของอัลกุรอาน)ได้แพร่มาถึงเขา หรือพวกท่านทั้งหลายจะเป็นพยานยืนยันว่า มีบรรดาพระเจ้าอื่น ๆ ร่วมเป็นภาคีกับอัลเลาะฮฺ” จงประกาศเถิด! “ฉันไม่ขอเป็นพยานยืนยัน” จงประกาศเถิด! ความเป็นจริง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น และแท้จริงตัวฉันได้ปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านทำการตั้งภาคี (ไม่เกี่ยวข้องด้วยประการทั้งปวง)”
20. บรรดาผู้ซึ่งเราได้ส่งคัมภีร์ให้แก่พวกเขา (พวกเขาคือยิวและคริสต์) ซึ่งพวกนั้นรู้จักเขา(มุฮำมัดอย่างดีจากคัมภีร์ดังกล่าว)ประดุจดังพวกเขารู้จักลูก ๆ ของพวกเขาเอง กระนั้นบรรดาผู้ที่ทำความขาดทุนแก่ตัวเอง (โดยไม่สนใจต่อคำประกาศจากอัลกุรอาน) แน่นอน พวกเขาเป็นผู้ไม่ศรัทธา


คำแปล R3.
17. และถ้าอัลลอฮฺทรงให้ใครประสบความทุกข์ยาก ดังนั้นก็ไม่มีใครปลดเปลื้องให้เขาได้นอกจากระองค์ และถ้าพระองค์ทรงให้เขาประสบความดี ดังนั้น (จงรู้เถิดว่า)พระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง
18. และพระองค์เป็นผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดเหนือปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงตระหนัก
19. จงถามพวกเขาว่า “การเป็นพยานของใครเชื่อถือได้มากที่สุด?” จงกล่าวเถิด “อัลลอฮฺทรงเป็นพยานระหว่างฉันและพวกท่าน และอัล-กุรอานนี้ได้ถูกวะฮีย์แก่ฉัน เพื่อฉันจะได้ตักเตือนพวกท่านและผู้ที่มันจะไปถึง พวกท่านจะยืนยันอย่างแน่นอนหรือว่ามีพระเจ้าอื่น ๆ ร่วมกับอัลลอฮฺอีก?” จงกล่าวเถิด “ฉันเองไม่ยืนยัน” จงกล่าวเถิด “แท้จริงพระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นและแท้จริงฉันรังเกียจการตั้งภาคีที่พวกท่านปฏิบัติ”
20. บรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์แก่พวกเขา รู้เรื่องนี้เหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของพวกเขาเอง แต่บรรดาผู้ที่ทำให้ตัวพวกเขาเองขาดทุนนั้นไม่เชื่อในเรื่องนี้


คำแปล R4.
17. และหากว่าอัลลอฮฺ ทรงให้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า แล้วก็ไม่มีผู้ใดจะเปลื้องมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น และหากพระองค์ทรงให้ความดีอย่างหนึ่งอย่างใดประสบแก่เจ้า แท้จริงพระองค์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
18. และพระองค์คือผู้ทรงชนะเหนือปวงบ่าวของพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
19. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า สิ่งใดใหญ่ยิ่งกว่าในการเป็นพยาน จงกล่าวเถิดว่าอัลลอฮฺนั้นคือผู้เป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน และอัล-กุรฺอานนี้ก็ได้ถูกประทานลงมาแก่ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ใช้อัลกุรฺอาน นี้ตักเตือนพวกท่าน และผู้ที่อัลกุรฺอานนี้ไปถึง พวกท่านจะยืนยันโดยแน่นอนกระนั้นหรือว่า มีบรรดาที่เคารพสักการะอื่นร่วมกับอัลลอฮฺ? จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าฉันจะไม่ยืนยัน จงกล่าวเถิด แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น และแท้จริงฉันขอปลีกตัวอกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคี(แก่อัลลอฮฺ)
20. บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขารู้จักเขา เช่นเดียวกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของพวกเขาเอง บรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุนนั้น พวกเขาจะไม่ศรัทธา


คำแปล R5.
๑๗. ถ้าแม้นว่าอัลเลาะห์จะทรงให้เจ้าต้องประสบความทุกข์ร้อนอาทิ ความป่วยไข้และความอับจนแล้วไซร้ ก็ไม่มีผู้ขจัดความทุกข์ร้อนให้พ้นไปจากเจ้าได้เลย เว้นแต่พระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่ถ้าพระองค์จะทรงให้เจ้าประสบความสุขสราญอาทิ ความสุขกายสุขใจ และความมั่งคั่งในทรัพย์สมบัติก็ได้ ด้วยพระองค์นั้นทรงมีอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งการที่ทรงให้เจ้าประสบความสุขสราญนั้น ก็จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งจากอานุภาพของพระองค์
๑๘. แหละว่าพระองค์นั้นคือ องค์ทรงมหิทธิพลอยู่เหนือเหล่าข้าพระองค์ไม่มีสิ่งใดจะทำให้มหิทธิพลของพระองค์หย่อนลงได้เลยและพระองค์นั้นทรงประณีตยิ่งในบรรดาที่ถูกพระองค์สร้างทรงรู้เท่าทันยิ่งในพฤติการณ์ของบรรดาที่ถูกสร้างสรรค์เหล่านั้นทั้งภายในและภายนอก

มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือในขณะนั้นชนชาวมักกะห์ได้แก่ศาสดามุฮำมัดว่า ท่านจงหาบุคคลที่เป็นสักขีพยานในตำแหน่งศาสดาของท่านมายังพวกเราสักคนหนึ่ง ให้มาอ้างว่าท่านคือพระศาสนทูตของอัลเลาะห์จริง ๆ เพราะได้มีพวกยะฮูดีและพวกนัซรอนีปฏิเสธตำแหน่งการเป็นพระศาสดาของท่าน โองการจากอัลเลาะห์จึงมีลงมาว่า
๑๙. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงถามปวงชนชาวมักกะห์เถิดว่า อะไรคือความยิ่งใหญ่ในการเป็นองค์พยานถ้าพวกนั้นไม่ตอบว่า “อัลเลาะห์” แล้ว เจ้าจงบอกแก่พวกเหล่านั้นเถิดว่า “อัลเลาะห์” พระผู้ทรงยิ่งในการเป็นองค์พยานท่ามกลางตัวฉันและพวกท่านทั้งหลายด้วยทรงมอบสิ่งประหลาด ๆ หลายอย่างแก่ฉัน เช่น การผ่าดวงจันทร์ และการประทานอัล-กุรอาน เป็นต้น โดยมีอัล-กุรอานฉบับนี้ถูกดลลงมายังฉันด้วย เพื่อฉันจะได้ใช้อัล-กุรอานนี้สำหรับตักเตือนพวกท่านและสำหรับตักเตือนบุคคลและยิน ทั้งที่เป็นชาวอาหรับตลอดจนบรรดาที่อยู่ถัดไปจากสมัยฉัน จนถึงวันกิยามะห์ ที่พระคัมภีร์อัล-กุรอานมีไปถึง พวกท่านนะไม่สมควรเลยที่จะอ้างสัจปฏิญาณว่ามีพระเจ้าอื่นร่วมกับอัลเลาะห์ มุฮำมัดจงบอกแก่พวกนั้นเถิดว่า ฉันจะไม่อ้างสัจปฏิญาณอย่างนั้นหรอก แต่ฉันต้องปฏิเสธการอ้างสัจปฏิญาณเช้นที่ว่านั้น โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นอีกเถิดว่า พระองค์เท่านั้นเป็นพระเจ้าองค์เดียว และฉันขอปลีกตัวออกจากเหล่าเทวรูปที่พวกเจ้าตั้งขึ้นเป็นภาคีเทียบเคียงอัลเลาะห์
๒๐. อัลเลาะห์ได้ตรัสแสดงออกถึงความพูดเท็จของพวกยะฮูดีและนัซรอนีว่าบรรดา(นักปราชญ์ในหมู่ของชนชาวยะฮูดีและนัซรอนีสมัยพระศาสดามุฮำมัด)ที่เราได้มอบคัมภีร์เตารอตและอินยีลให้นั้นย่อมรู้จักเขา(มุฮำมัด)ดีโดยคุณลักษณะที่บ่งบอกไว้ในคัมภีร์เตารอตและอินยีลเหมือนอย่างที่พวกเขาทั้งสองรู้จักลูก ๆ ของเขาเอง บรรดาที่กระทำตนให้ขาดทุนนั้น พวกเขาหาได้ศรัทธาไม่


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 21 - 24


คำอ่าน
21. วะมันอัซละมุ มิมะนิฟตะรอ อะลัลลอฮฺกะซิบัน เอากัซซะบะบิอายาติฮี อิน..นะฮูลายุฟลิหุซซอลิมูน
22. วะเยามะนะหฺชุรุฮุมญะมีอัน..ษุม..มะนะกูลุ ลิลละซีนะอัชเราะกู อัยนะชุเราะกา...อุกุมุลละซีนะ กุน..ตุมตัซอุมูน
23. ษุม..มะลัมตะกุน..ฟิตนะตุฮุม อิลลา..อัน..กอลูวัลลอฮิ ร็อบบินา มากุน..ตุม..มุชริกีน
24. อุน..ซุรฺกัยฟะ กะซะบูอะลา..อัน..ฟุสิฮิม วะฎ็อลละอันฮุม..มากานูยัฟตะรูน

 
คำแปล R1.
21. And who does more wrong than he who invents a lie against Allah or rejects his Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, revelations, etc.)? Verily, the Zalimun (polytheists and wrongญdoers, etc.) shall never be successful.
22. And on the Day when we shall gather them all together, We shall say to those who joined partners in Worship (with Us): "Where are your partners (false deities) whom you used to assert (as partners in Worship with Allah)?"
23. There will then be (left) no Fitnah (excuses or statements or arguments) for them but to say: "By Allah, our Lord, we were not those who joined others in Worship with Allah."
24. Look! How they lie against themselves! But the (lie) which they invented will disappear from them.


คำแปล R2.
21. และมีใครอีกเล่าที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าบุคคลที่เสกสรรความเท็จแก่อัลเลาะฮฺ และกล่าวหาบรรดาโองการต่าง ๆ ของพระองค์ว่าเป็นเท็จ แท้จริงบรรดาผู้อธรรมย่อมไม่สมหวังอย่างแน่นอน
22. และ(จงระลึกถึง)วัน(ชาติหน้า)ซึ่งเราทำการรวบรวมพวกเขาทั้งหมด(มาชุมนุมกันอยู่ในสถานที่เดียวกัน) หลังจากนั้นเราก็กล่าวกับบรรดาพวกที่ตั้งภาคีทั้งหลายว่า “ไหนเล่า? บรรดาหุ้นส่วนของพวกเจ้าที่พวกเจ้าคิดเอาเอง(ว่าเป็นพระเจ้า)”
23. หลังจากนั้นข้อแก้ตัวของพวกเขาก็ไม่ปรากฏขึ้นนอกจากพวกเขากล่าว(ตอบคำถามของอัลเลาะฮฺ)ว่า “ขอสาบานในนามของอัลเลาะฮฺ ผู้ทรงอภิบาลพวกเรา พวกเราหาใช่ผู้ตั้งภาคี(ต่อพระองค์)ไม่”
24. เจ้าจงพินิจเถิด พวกเขาได้มุสาแม้แต่ตัวของตัวเองอย่างไร? และสิ่งที่พวกเขาได้เสกสรร(ขึ้นเป็นภาคีกับอัลเลาะฮฺนั้น)ก็ได้ลับหายไปจากพวกเขาแล้ว


คำแปล R3.
21. และผู้ใดเล่าอธรรมยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ หรือปฏิเสธสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ แท้จริงผู้อธรรมจะไม่บรรลุความสำเร็จ
22. และวันหนึ่ง เมื่อเราจะรวบรวมพวกเขาทั้งหมดเข้าด้วยกัน เราจะกล่าวกับบรรดาผู้ตั้งภาคีว่า “ไหนเล่าภาคีย่อย ๆ ของสูเจ้าที่สูเจ้ากล่าวอ้าง?”
23. แล้วพวกเขาก็ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้นอกจากจะกล่าวว่า “ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺพระผู้อภิบาลของเรา เรามิใช่พวกบูชาเจว็ด”
24. จงดูเถิดว่า “พวกเขาได้โกหกต่อตัวพวกเขาเองอย่างไร และพระเจ้าย่อย ๆ ที่พวกเขากุขึ้นนั้นจะหายไปจากพวกเขา


คำแปล R4.
21. และผู้ใดเล่า คือผู้อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮฺหรือปฏิเสธบรรดาโองการของพระองค์? แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่ได้รับความสำเร็จ
22. และวันที่เราจะชุมชุมพวกเขาทั้งมวลแล้วเรากล่าวแก่บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นว่าไหนเล่า บรรดาภาคีของพวกเจ้าที่พวกเจ้าอ้างกัน
23. แล้ว(ผลแห่ง) การทดสอบพวกเขาก็มิได้เป็นอย่างอื่น นอกจากพวกเขากล่าวว่าพวกข้าพระองค์ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ว่า พวกข้าพระองค์ไม่เคยเป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น
24. จงดูเถิด(มุอัมมัด)ว่า พวกเขาได้โกหกแก่ตัวของพวกเขาเองอย่างไร ? และสิ่งที่พวกเขาเคยอุปโลกน์ขึ้นก็ได้หายไปจากพวกเขา


คำแปล R5.
๒๑. ย่อมไม่มีผู้ใดคดโกงตนเองยิ่งกว่าผู้เป็นชาวมักกะห์ที่แอบอ้างเท็จยังอัลเลาะห์โดยแอบอ้างหาว่าอัลเลาะห์ทรงมีบัญชาใช้ให้กราบสักการะเทวรูปหรือยิ่งกว่าผู้เป็นยะฮูดีและนัซรอนีที่ปฏิเสธการรู้จักพระศาสดามุฮำมัดหาว่าบรรดาโองการของพระองค์ที่มีว่า “พวกยะฮูดีและนัซรอนีจะรู้จักมุฮำมัดเหมือนอย่างการรู้จักลูกหลานของพวกตนเอง” เป็นเท็จ พวกคดโกงดังกล่าวเหล่านั้นย่อมไม่ได้ชัยชนะเลย ทั้งนี้เพราะการแอบอ้างความเท็จยังอัลเลาะห์อย่างหนึ่ง และเพราะเหล่าบรรดาโองการที่ว่า “พวกยะฮูดีและนัซรอนีจะรู้จักมุฮำมัดเหมือนอย่างการรู้จักลูกหลานของพวกตนเอง” เป็นเท็จอีกอย่างหนึ่ง
๒๒. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงเตือนปวงชนให้เกิดกลัวเถิดว่าในวันหนึ่งเราจะรวบรวมพวกเหล่านั้นที่เคารพบูชาผู้ที่มิใช่อัลเลาะห์กับผู้นั้นหรือสิ่งนั้นที่ถูกเคารพบูชาไว้ให้พรักพร้อม ครั้นแล้วเราก็เอ่ยถามบรรดาผู้นิยมตั้งภาคีด้วยการกราบเคารพบูชาผู้มิใช่อัลเลาะห์ว่า ไหนเล่า ตัวภาคีของพวกเจ้าที่พวกเจ้าสำคัญผิดว่ามันคือพระเจ้าคู่เคียงอัลเลาะห์ที่พวกเจ้าจะให้ความเคารพเสมอกัน
๒๓. แล้วข้อแก้ตัวของพวกนั้นจะไม่มีขึ้น นอกจากพวกนั้นจะต้องเอ่ยคำปฏิญาณตนออกพระนามของอัลเลาะห์ว่า “โดยอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเรา เราจะไม่เป็นพวกถือภาคีเอาอื่นใดมาเทียบเคียงอัลเลาะห์โดยให้การเคารพบูชาร่วมกันอีกแล้ว
๒๔. โอ้มุฮำมัด จงแลดูเถิด ทำไมพวกเหล่านั้นถึงได้โกหกตนเองเล่าโดยที่พวกเหล่านั้นปฏิเสธเรื่องการถือภาคีของตน แล้วเหล่าเทวรูปที่พวกเหล่านั้นแอบอ้างว่าอัลเลาะห์ได้ทรงใช้ให้เคารพร่วมกับพระองค์ก็ได้สาบสูญไปจากพวกเหล่านั้นหมดในวันกิยามะห์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 25 - 28


คำอ่าน
25. วะมินฮุม..มัย..ยัสตะมิอุอิลัยกะ วะญะอัลนาอะลากุลูบิฮิม อะกิน..นะตัน อัย..ยัฟเกาะฮูฮุ วะฟีอาซานิฮิมวักรอ วะอี..ยะร็อว กุลละอายะติล ลายุอ์มินูบิฮา หัตตา..อิซาญา..อูกะยุญาดิลูนะกะ ยะกูลุลละซีนะกะฟะรู..อินฮาซา..อิลลา..อะสาฏีรุลเอาวะลีน
26. วะฮุมยันเฮานะอันฮุ วะยันเอานะอันฮุ วะอี..ยุฮฺลิกูนะ อิลลา..อัน..ฟุสะฮุม วะมายัชอุรูน
27. วะเลาตะรอ..อิซวุกิฟู อะลัน..นาริ ฟะกอลู ยาลัยตะนานุร็อดดุ วะลานุกัซซิบะบิอายาติร็อบบินา วะตะกูนะมินัลมุอ์มินีน
28. บัลบะดาละฮุม..มากานู ยุคฟูนะมิน..ก็อบลุ วะเลารุดดู ละอาดู ลิมานุฮู อันฮุ วะอิน..นะฮุมละกาซิบูน


คำแปล R1.
25. And of them there are some who listen to you; but we have set veils on their hearts, so they understand it not, and deafness In their ears; if they see every one of the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) they will not believe therein; to the point that when they come to you to argue with you, the disbelievers say: "These are nothing but tales of the men of old."
26. And they prevent others from him (from following Prophet Muhammad) and they themselves keep away from him, and (by doing so) they destroy not but their own selves, yet they perceive (it) not.
27. If you could but see when they will be held over the (Hell) Fire! They will say: "Would that we were but sent back (to the world)! Then we would not deny the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, revelations, etc.) of our Lord, and we would be of the believers!"
28. Nay, it has become manifest to them what they had been concealing before. But if they were returned (to the world), they would certainly revert to that which they were forbidden. And indeed they are liars.


คำแปล R2.
25. และมีพวกเขาบางคนเป็นผู้ที่รับฟังต่อเจ้า(เนื่องในการอ่านอัลกุรอาน) และเราได้ดลบันดาลไว้ในจิตใจของพวกเขา ให้มีฝาครอบอยู่(จนมิดชิด ไม่สามารถ)ที่จะเข้าใจอัลกุรอานได้ และในหูของพวกเขาก็(ถูกบันดาลให้)หนวก และมาดแม้นพวกเขาจะมองเห็นสัญลักษณ์ทุกอย่างพวกเขาก็จะยังคงไม่ศรัทธาสิ่งนั้น(อยู่นั่นเอง)จนกว่าเมื่อพวกเขาได้มาหาเจ้าเพื่อทำการโต้เถียงกับเจ้า บรรดาผู้ปฏิเสธจะกล่าวว่า “สิ่งนี้หาใช่อื่นใดไม่ นอกจากเป็นเพียงนิยายปรัมปราของบรรพชน(เมื่ออดีต)”
26. และพวกเขาคอยห้ามปราม(ผู้อื่นให้ผละออก)จากสิ่งนั้น(อัลกุรอาน)และพวกเขาเองก็ผละออกไปจากสิ่งนั้น(อัลกุรอาน)และพวกเขามิได้ทำลายล้าง(สิ่งอื่นใดทั้งสิ้น)นอกจากตัวของพวกเขาเอง แต่พวกเขาหาได้สำนึกไม่
27. และหากเจ้า(มุฮำมัด)เห็นในตอนที่คนพวกนั้นถูกนำตัวไปยืนอยู่บนนรก(เพื่อลงโทษเขาให้ลงนรก) พวกเขาก็กล่าวว่า “โอ้ความหวังของเรา! พวกเราน่าจะได้รับการส่งตัวกลับ(ไปสู่สากลโลกอีกครั้งหนึ่ง)และพวกเราจะไม่ขอกล่าวหาบรรดาโองการต่าง ๆ แห่งองค์อภิบาลของพวกเราเป็นเท็จ และพวกเราจะขอเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ศรัทธาทั้งหลายอย่างแน่นอน
28. (ที่พวกนั้นพูดเช่นนั้นหาใช่จะพูดเพราะความศรัทธาก็หาไม่) แต่ทว่า(เป็นเพราะ)ได้ประจักษ์แจ้งแก่พวกเขาแล้วสิ่งที่พวกเขาได้เคยปิดบังไว้แต่ครั้งก่อนนั้น(ว่าปรากฏเป็นการลงโทษอันสาหัสซึ่งรออยู่ต่อหน้าพวกเขา)และถ้า(สมมติว่า)พวกเขาถูกส่งตัวกลับคืน(ไปสู่สากลโลกจริงตามที่เขาขอไว้) แน่นอนพวกเขาก็ต้องกลับไปยัง(พฤติกรรมเดิม)ที่พวกเขาเคยถูกห้ามไว้นั่นเอง และแท้จริงพวกเขาเป็นผู้มุสา


คำแปล R3.
25. และในหมู่พวกเขามีผู้(แสร้ง)ฟังเจ้าแต่พวกเขาไม่เข้าใจมัน เพราะเราได้คลุมหัวใจของพวกเขา เราได้ทำให้พวกเขาลำบากที่จะได้ยิน(ดังนั้นหูของพวกเขาจึงหนวกต่อสิ่งที่พวกเขาได้ยิน)และแม้พวกเขาเห็นสัญญาณทุกชนิดพวกเขาก็จะไม่เชื่อมัน จนกระทั่งเมื่อพวกเขามาหาเจ้า พวกเขาก็ยังโต้แย้งเจ้า บรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านี้จะกล่าวว่า “นี่มิใช่อื่นใดนอกจากนิยายปรัมปรา”
26. พวกเขาห้ามปรามคนอื่นให้ห่างจากความจริงและพวกเขาเองก็หลีกห่างจากมัน(พวกเขาคิดว่าโดยวิธีการนี้พวกเขาจะทำร้ายเจ้าได้)แต่พวกเขาไม่ได้ทำลายผู้ใดนอกจากตัวพวกเขาเอง แต่พวกเขาหารู้สึกไม่
27. และหากเจ้าเห็นพวกเขาตอนที่ถูกทำให้หยุดยืนอยู่หน้านรก พวกเขาจะกล่าวว่า “วิบัติแก่เราแท้ ๆ หากเราถูกส่งกลับมามีชีวิตในโลกนี้อีกเราจะไม่ปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของพระผู้อภิบาลของเราและเราจะอยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา”
28. แต่ความจริงแล้วพวกเขากล่าวเช่นนี้ก็เพราะความจริงที่พวกเขาปิดบังไว้ก่อนหน้านี้จะปรากฏชัดแก่พวกเขา และถ้าพวกเขาถูกส่งกลับไปมีชีวิตอีก แน่นอน พวกเขาก็จะหันกลับไปยังสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามอีก


คำแปล R4.
25. และในหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่สดับฟังเจ้าอยู่บ้าง แต่เราได้ให้มีสิ่งปิดกั้นอยู่บนหัวใจของพวกเขา ในการที่พวกเขาจะเข้าใจอัลกุรอาน และได้ให้ในหูของพวกเขามีความหนวกอยู่ด้วย และหากพวกเขาเห็นสัญญาณทุกอย่าง พวกเขาก็จะไม่ศรัทธาจนกระทั่งพวกเขาได้มาหาเจ้าก็ยังโต้เถียงกับเจ้า บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นจะกล่าวว่า นี่มิใช่อะไรอื่น นอกจากบรรดาสิ่งขีดเขียนอันไร้สาระของคนก่อน ๆ เท่านั้น (นิยายโบราณ)
26. และพวกเขาห้ามเกี่ยวข้องกับอัลกุรอาน และพวกเขาก็ปลีกตัวออกห่างจากอัลกรุอานด้วย และพวกเขาจะไม่ทำให้ใครพินาศนอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้สึก
27. และหากเจ้าจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาถูกให้หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าไฟนรก แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า โอ้! หวังว่าเราจะถูกนำกลับไป และเราก็จะไม่ปฏิเสธบรรดาโองการแห่งพระเจ้าของเราอีกและเราก็จะได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา
28. แต่ทว่าได้ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว สิ่งที่พวกเขาปกปิดไว้แต่กาลก่อน และแม้ว่าพวกเขาถูกให้กลับไป แน่นอนพวกเขาก็กลับกระทำอีกในสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามไว้ และแท้จริงพวกเขาคือผู้ที่กล่าวเท็จ


คำแปล R5.
๒๕. และส่วนหนึ่งจากพวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรชาวนครมักกะห์มีผู้หนึ่งที่สดับฟังเจ้าขณะที่เจ้ากำลังอ่านอัล-กุรอาน เรา(อัลเลาะห์)จึงได้ทำฝาครอบหัวใจของพวกนั้นไว้มิให้เข้าใจพระคัมภีร์กันได้ และสำหรับที่หูของพวกนั้นก็ให้เป็นเสมือนดังคนหนวกอื้อพวกนั้นจึงเข้าใจอัลกุรอานไม่ได้แหละถึงแม้พวกเหล่านั้นจะได้แลเห็นทุก ๆ โองการ พวกนั้นก็ไม่ศรัทธาด้วยโองการต่าง ๆ ดังกล่าวเลยขนาดถึงกับพวกนั้นได้มาหาเจ้าถกเถียงกับเจ้า บรรดาผู้ไม่ศรัทธา(กาฟิรชาวมักกะห์)กล่าวว่าอัล-กุรอานนี้มิใช่อื่นใดหรอก หากแต่เป็นนิยายโบราณที่พวกบรรพบุรุษเล่าโกหกเล่น เป็นการสนุกสนานเฮอาเท่านั้น
๒๖. พวกเหล่านั้นพยายามกันท่ามิให้ผู้ใดเจริญรอยตามเขา(มุฮำมัด)และออกห่างเขา(มุฮำมัด) ทั้งพวกเหล่านั้นเองก็ไม่ยอมเชื่อถือพระศาสดามุฮำมัด พวกเหล่านั้นหาได้ทำลายล้างอันใดไม่ ในการทำตัวออกห่างจากพระศาสดามุฮำมัด นอกจากตัวของพวกเขาเอง แต่ก็มิได้รู้สึกกันเลยในการทำลายล้างตนเองดังกล่าว

   ส่วนต้นของโองการที่ ๒๖ นี้ มีกระแสยืนยันไว้อีกนัยหนึ่งมีความหมายว่า โองการนี้ลงมาในเรื่องของอบูตอลิบผู้เป็นลุงของพระศาสดามุฮำมัด คืออบูตอลิบได้ห้ามมวลมนุษย์มิให้รังแกมุฮำมัด แต่ทว่าตัวเขาเองนั้นมิได้เชื่อถือมุฮำมัดแต่ประการใดเลย
๒๗. โอ้มุฮำมัด ถ้าเจ้าได้แลเห็นในตอนที่พวกเหล่านั้นถูกเสนอตัวไปลงนรก พวกนั้นก็จะกล่าวว่า หวังใจว่าพวกเราคงจะถูกส่งกลับไปสู่ภพปางหลังแล้วพวกเราจะไม่หาว่าเท็จอีกแล้วสำหรับบรรดาโองการขององค์พระผู้อภิบาลแห่งเรา ซึ่งบรรยายถึงสภาพของนรกและความจลาจลภายในนรก อันเป็นโองการใช้ให้เราเกรงกลัวไว้ และพวกเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งจากพวกที่ศรัทธาทั้งหลาย มุฮำมัด ถ้าหากเจ้าได้แลเห็นสภาพการณ์ในตอนนั้น เจ้าย่อมจะทราบว่ามันเป็นสภาพการณ์อันใหญ่หลวงเหลือเกิน
๒๘. อัลเลาะห์ตรัสว่า แต่นั่นแหละ สิ่งที่พวกเหล่านั้นได้เคยปกปิดกันไว้แต่ก่อนที่ว่า “โดยอัลเลาะห์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเรา เราจะไม่เป็นพวกถือภาคีอีกแล้ว” (จากโองการที่ ๒๓ ซูเราะห์เดียวกัน) ก็ได้เปิดเผยขึ้นแก่พวกนั้นแล้ว โดยมีอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของพวกนั้นเป็นพยานยืนยัน พวกนั้นมีความหวังที่จะได้กลับคืนเข้าสู่ภพปางหลังอีก ในเมื่อพวกตนได้แลเห็นสภาพที่ร้ายกาจในขุมนรกแล้ว สมมติว่าถ้าพวกนั้นจะถูกส่งกลับคืนไปสู่ภพปางหลังพวกนั้นก็จะกลับไปมีสภาพถือภาคีตามที่เคยถูกห้ามไว้เมื่อก่อนเท่านั้นเอง ทั้งนี้เนื่องจากพวกเหล่านี้ได้ถูกอัลเลาะห์ตัดสินมาแต่เดิมแล้วว่า พวกนี้จะต้องเป็นพวกมุชริกเสมอไป และที่แท้พวกนั้นก็โกหกทั้งนั้น ที่ให้สัจสัญญาว่าพวกเขาจะเป็นผู้ศรัทธาเมื่อได้ถูกส่งกลับไปอยู่ภพปางหลังแล้ว



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 29 - 32


คำอ่าน
29. วะกอลู..อินฮิยะ อิลลาหะยาตุนัดดุนยา วะมานะหฺนุ บิมับอูษีน
30. วะเลาตะรอ..อิซวุกิฟูอะลาร็อบบิฮิม กอละ อะลัยสะฮาซาบิลหักกฺ กอลูวะลาร็อบบินา กอละฟะซูกุลอะซาบะบิมากุน..ตุมตักฟุรูน
31. ก็อดเคาะสิร็อลละซีนะกัซซะบูบิลิกอ...อิลลาฮฺ หัตตา..อิซาญา...อัตฮุมุสสาอะตุ บัฆตะตัน..กอลู ยาหัสเราะตะนา อะลามาฟัรฺร็อฏนาฟีฮา วะฮุมยะหฺมิลูนะ เอาซาเราะฮุม อะลาซุฮุริฮิม อะลาสา..อะมายะซิรูน
32. วะมัลหะยาตุดดุนยา..อิลลาละอิบู..วะละฮฺวฺ วะลัดดารุลอาคิเราะตุ ค็อยรุลลิลละซีนะยัตตะกูน อะฟะลาตะอฺกิลูน


คำแปล R1.
29. And they said: "There is no (other life) but our (present) life of this world, and never shall we be resurrected (on the Day of Resurrection)."
30. If you could but see when they will be held (brought and made to stand) in front of their Lord! He will say: "Is not this (Resurrection and the taking of the accounts) the truth?" they will say: "Yes, by our Lord!" He will then say: "So taste you the torment because you used not to believe."
31. They indeed are losers who denied their meeting with Allah , until all of a sudden, the Hour (signs of death) is on them, and they say: "Alas for us that we gave no thought to it," while they will bear their burdens on their backs; and evil indeed are the burdens that they will bear!
32. And the life of this world is nothing but play and amusement. But far better is the Housei the Hereafter for those who are Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2). Will you not then understand?


คำแปล R2.
29. และพวกเขากล่าวว่า “ไม่มีชีวิตอื่นใดนอกจากชีวิตของเราในโลกนี้เท่านั้น และพวกเราจะไม่ถูกฟื้นขึ้น(จากสุสานอีกอย่างแน่นอน)
30. และหากเจ้าเห็นในขณะที่พวกนั้นถูกให้ยืนอยู่ต่อหน้าองค์อภิบาลของพวกเขา แล้วพระองค์ทรงตรัสว่า “สิ่งนี้(วันชาติหน้า)มิใช่เป็นเรื่องจริงดอกหรือ?” พวกเขาก็ทูลตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าแต่องค์อภิบาลของเรา” พระองค์ทรงตรัสต่อไปว่า “ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษเนื่องเพราะสิ่งที่พวกเจ้าได้เคยปฏิเสธไว้เถิด”
31. แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าการพบอัลเลาะฮฺ(ในวันชาติหน้า)เป็นเรื่องเท็จนั้น ย่อมประสบความขาดทุนอย่างแน่นอน จนเมื่อวันชาติหน้าได้มาประสบแก่พวกเขาโดยฉับพลัน พวกเขาก็กล่าวรำพึงว่า “โอ้! เป็นความเศร้าโศกของเรายิ่งนัก เนื่องเพราะสิ่งที่เราได้เฉยเมยในมัน(เรื่องของวันชาติหน้า)” และพวกเขาต้องแบกโทษหนักของตนเองไว้บนหลังของพวกเขา พึงทราบ! สิ่งที่พวกเขาแบกไว้นั้นช่างเลวร้ายยิ่งนัก!
32. และชีวิตทางโลกนี้หาใช่(มีสาระสำคัญ)อันใดไม่ นอกจากเป็นเพียงความสนุกสนานและความเพลิดเพลิน(เพียงชั่วครั้งคราวเท่านั้น) ขอยืนยัน! แท้จริงโลกหน้านั้นย่อมประเสริฐยิ่งนัก สำหรับบรรดาผู้มีความยำเกรง(อัลเลาะฮฺ) แล้วพวกเจ้าไม่ตริตรองดอกหรือ


คำแปล R3.
29. และพวกเขากล่าวว่า “ไม่มีชีวิตอื่นนอกจากชีวิตของเราในโลกนี้เท่านั้น และพวกเราจะไม่ถูกทำให้ฟื้นขึ้น”
30. และหากเจ้าได้เห็นเมื่อพวกเขาถูกนำมาอยู่ต่อหน้าพระผู้อภิบาลของพวกเขาแล้วพระองค์จะตรัสว่า “นี่มิใช่ความจริงกระนั้นหรือ?” พวกเขากล่าวว่า “แน่นอน ขอสาบานด้วยพระผู้อภิบาลของเรา” แล้วพระองค์จะตรัสว่า “ดังนั้นจงชิมการลงโทษสำหรับการปฏิเสธความจริงเถิด”
31. แน่นอน ผู้ที่ขาดทุนคือผู้ที่ถือว่ามันเป็นเรื่องโกหกที่พวกเขาจะพบอัลลอฮฺ จนกระทั่งเวลาสุดท้ายได้มาถึงพวกเขาโดยกะทันหัน พวกเขาจะกล่าวว่า “อนิจจาเคราะห์กรรมของเราแท้ ๆ ที่เราละเลยในเรื่องนี้” และพวกเขาจะแบกภาระบาปของพวกเขาไว้บนหลังของพวกเขาจงรู้ไว้เถิดว่า บาปที่พวกเขาแบกไว้นั้นช่างหนักเหลือ
32. และชีวิตแห่งโลกนี้มิใช่อื่นใดเว้นแต่เป็นการละเล่นและการบันเทิง และแน่นอนสถานพำนักในปรโลกนั้นดีกว่าสำหรับบรรดาผู้สำรวมตนจากความชั่ว และสูเจ้ามิได้ใช้ปัญญาดอกหรือ?


คำแปล R4.
29. และพวกเขากล่าวว่า มันมิใช่อะไรอื่นนอกจากชีวิตความเป็นอยู่ของเราในโลกนี้เท่านั้น และเรานั้นใช่ว่าจะเป็นผู้ถูกให้ฟื้นคือชีพก็หาไม่
30. และหากกล่าวเจ้าจะได้เห็น ขณะที่พวกเขาถูกให้ยืนอยู่เบื้องหน้าพระเจ้าของพวกเขา โดยที่พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า นี่มิใช่ความจริงดอกหรือ? พวกเขาตอบว่า ใช่ขอรับ พวกข้าพระองค์ขอสาบานด้วยพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์ตรัสว่า พวกจ้าจงลิ้มรสการลงโทษกันเถิด เนื่องจากการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา
31. แน่นอนได้ขาดทุนไปแล้ว บรรดาผู้ที่ปฏิเสธต่อการพบอัลลอฮฺ จนกระทั่งเมื่อวันกิยามะฮฺได้มายังพวกเขาโดยกะทันหัน แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า โอ้ความเสียใจของเราในสิ่งที่เราได้ทำให้บกพร่องในโลก โดยที่พวกเขาแบกบรรดาบาปของพวกเขาไว้บนหลังของพวกเขาด้วย พึงรู้เถิดว่า ช่างเลวร้ายจริง ๆ สิ่งที่พวกเขากำลังแบกอยู่
32. และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้นมิใช่อะไรอื่น นอกจากการเล่น และการเพลิดเพลินเท่านั้น และแน่นอนสำหรับบ้านแห่งอาคิเราะฮฺ นั้นดียิ่งกว่า สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง พวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ?


คำแปล R5.
๒๙. และพวกเหล่านั้นที่ปฏิเสธเรื่องการเกิดใหม่ในวันสิ้นโลกได้พูดว่า “จะมีได้ก็เฉพาะแต่ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราที่ภพนี้เท่านั้นโดยที่พวกเราจะไม่ถูกให้บังเกิดขึ้นอีกแล้วในวันสิ้นโลก”
๓๐. และ โอ้มุฮำมัด ถ้าเจ้าได้แลเห็นในตอนที่พวกเหล่านั้นถูกเสนอตัวไปเฉพาะที่องค์พระผู้อภิบาลของพวกนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะได้แลเห็นว่าเป็นการอันใหญ่หลวงยิ่งนัก พระองค์จะตรัสสั่งมวลมลาอิกะห์ให้เอ่ยถามเป็นการตำหนิว่า เป็นความจริงมิใช่หรือ เรื่องการเกิดใหม่ในวันสิ้นโลก และเรื่องการสอบสวนความดีความชั่วนี้นะ? พวกนั้นตอบว่าด้วยองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเรา การทั้งสองอย่างดังกล่าวนั้นเป็นความจริงขอรับ พระองค์ได้ตรัสสั่งมวลมลาอิกะห์ให้บอกว่า พวกเจ้าจงลิ้มรสแห่งโทษทรมานฐานที่พวกเจ้าเคยปฏิเสธเรื่องการเกิดใหม่ในวันสิ้นโลกกันมาแล้วเสียเถิด
๓๑. ย่อมขาดทุนเสียแล้วโดยแท้สำหรับบรรดาที่หาว่าการเกิดใหม่ในวันสิ้นโลกไปเผชิญเฉพาะที่อัลเลาะห์นั้นเป็นเท็จ จนกว่าเมื่อไรการเวลาแห่งกิยามะห์จะมีมาถึงพวกนั้นโดยกะทันหันนั่นแหละ พวกนั้นจึงจะเอ่ยว่า โอ้อกเอ๋ย สิ้นโอกาสที่พวกเราจะหยิบฉวยเอาความดีเสียแล้ว พวกเหล่านั้นจึงต่างแบกภาระกรรมแห่งบาปของพวกตนไว้บนหลัง กล่าวคือบาปดังกล่าวจะมาประสบกับพวกเหล่านั้นในพวกที่น่าเกลียดและเหม็นยิ่งนัก ทั้งยังได้ขึ้นขี่อยู่บนพวกนั้นอีกด้วย ดูเถอะ บาปกรรมที่พวกเหล่านั้นแบกเป็นภาระอยู่นั้นชั่วเลวนัก
๓๒. แหละว่าการฝักใฝ่ประกอบการงานเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ในหน้าแผ่นดิน(ดุนยา)นี้มิใช่อื่นเลยหากแต่เป็นเรื่องเล่น ๆ เหห่างจากผลประโยชน์อันพึงได้รับแก่ตนและเป็นความบันเทิงเหลิงลืมเสียซึ่งงานที่เป็นล่ำเป็นสัน ส่วนการประกอบคุณความดีและปัจจัยต่าง ๆ ในการทำความดีเพื่อโลกปรภพและสรวงสวรรค์อันเป็นสถานบั้นปลายนั้นย่อมดียิ่งสำหรับบรรดาชนซึ่งยำเกรงในอันที่จะถือภาคีเทียบเคียงอัลเลาะห์ พวกเจ้าจะไม่พิเคราะห์ดูบ้างเชียวหรือ? โดยที่พวกเจ้ามิได้พิเคราะห์นี่เองพวกเจ้าจึงมิได้ศรัทธา ความจริงโลกปรภพนั้นดีกว่าภพปัจจุบัน(ดุนยา) ซึ่งพวกเจ้าจะต้องเชื่อมั่นอย่างนั้น



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 33 - 37


คำอ่าน
33. ก็อดนะอฺละมุ อิน..นะฮู ละยะหฺซุนุกัลป์ละซี ยะกูลูนะ ฟะอิน..นะฮุม ลายุกัซซิบูนะกะ วะลากินนัซซอลิมีนะ บิอายาติลลาฮิ ยัจญหะดูน
34. วะละก็อด กุซซิบัต รุสุลุม..มิน..ก็อบลิกะ ฟะเศาะบะรู อะลามากุซซิบู วะอูซู หัตตา..อะตาฮุม นัศรุนา วะลามุบัดดิละ ลิกะลิมาติลลาฮิ วะละก็อดญา...อะกะ มิน..นะบะอิลมุรฺสะลีน
35. วะอิน..กานะ กะบุเราะ อะลัยกะ อิอฺรอฎุฮุม ฟะอินิสตะฏ็ออฺตะ อัน..ตับตะฆิยะ นะฟะก็อน..ฟิลอัรฺฎิ เอาสัลละมัน..ฟิสสะมา...อิ ฟะตะอ์ติยะฮุม..บิอายะฮฺ วะเลาชา...อัลลอฮุ ละญะมะอะฮุม อะลัลฮุดา ฟะลาตะกูนัน..นะมินัลญาฮิลีน
36. อิน..นะมา ยัสตะญีบุลละซีนะ ยัสมะอูนะ วัลเมาตา ยับอะสุฮุมุลลอฮุ ษุม..มะอิลัยฮิ ยุรฺญะอูน
37. วะกอลู เลาลา นุซซิละอะลัยฮิ อายะตุม..มิรฺร็อบบิฮี กุลอิน..นัลลอฮะ กอดิรุน..อะลาอะลา..อัย..ยุนัซซิละอายะเตา..วะลากิน..นะ อักษะเราะฮุม ลายะอฺละมูน


คำแปล R1.
33. We know indeed the grief which their words cause you (O Muhammad): it is not you that they deny, but it is the Verses (the Qur'an) of Allah that the Zalimun (polytheists and wrong-doers) deny.
34. Verily, (many) messengers were denied before you (O Muhammad), but with patience they bore the denial, and they were hurt, till our help reached them, and none can alter the words (decisions) of Allah. Surely there has reached you the information (news) about the messengers (before you).
35. If their aversion (from you, O Muhammad and from that with which you have been sent) is hard on you, (and you cannot be patient from their harm to you), then if you were able to seek a tunnel in the ground or a ladder to the sky, so that you may bring them a sign (and you cannot do it, so be patient). And had Allah willed, He could have gathered them together (all) unto true guidance, so be not you one of those who are Al-Jahilun (the ignorant).
36. It is only those who listen (to the message of Prophet Muhammad), will respond (benefit from it), but as for the dead (disbelievers), Allah will raise them up, then to Him they will be returned (for their recompense).
37. And they said: "Why is not a sign sent down to him from his Lord?" say: "Allah is certainly able to send down a sign, but most of them know not."


คำแปล R2.
33. แท้จริงเรารอบรู้ดีว่า อันที่จริงแล้วสิ่งที่พวกนั้นพูดไว้(เกี่ยวกับการปฏิเสธ)ย่อมนำความโศกสลดแก่เจ้าอย่างแน่นอน แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นหาใช่จะเพียงแต่กล่าวหาว่าเจ้ามุสาเท่านั้น แต่บทว่าบรรดาผู้ฉ้อฉลต่างก็ปฏิเสธบรรดาโองการแห่งอัลเลาะฮฺทั้งสิ้น (เพราะความโง่ดักดานของพวกเขาเอง)
34. ขอยืนยัน! ที่จริงนั้นบรรดาศาสนทูตเมื่อก่อนหน้าเจ้า ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มุสาเหมือนกัน แต่พวกเขามีความอดทนต่อข้อถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มุสานั้นเป็นอันดี และ(พวกเขาอดทนต่อเหตุการณ์)ที่พวกเขาถูกรังควาน จนกระทั่งความช่วยเหลือของเราได้มาประสบแก่พวกเขา(ได้รับชัยชนะจากเหล่าชนผู้ปฏิเสธโดยราบคาบแท้จริง) และไม่มีผู้ใดทำการเปลี่ยนแปลงบรรดาพระคำแห่งอัลเลาะฮฺได้ และแท้จริงข่าวบางกระแสของบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ได้มาถึงเจ้าแล้ว
35. และถ้าหากปรากฏว่าการหันเหของพวกเขา(จากการศรัทธาในคำประกาศของเจ้า)เป็นเรื่องใหญ่โต(ที่มีความลำบากใจ)สำหรับเจ้าแล้วไซร้ แน่นอนแม้เจ้าจะสามารถแสวงหาช่องทางใด ๆ ลงไปในแผ่นดิน หรือ(แสวงหา)บันไดขึ้นไปในท้องฟ้า เพื่อเจ้าจะนำสัญลักษณ์หนึ่งมายังพวกเขา (นอกจากอัลกุรอานที่เราได้มอบให้นี้ เจ้าก็จงทำเถิด ถ้าเจ้ารับรองว่า จะทำให้พวกนั้นหันกลับมาสู่ความศรัทธาได้ และถ้าสมมติว่าเจ้าทำได้จริง พวกนั้นก็หาศรัทธาไม่) และมาดแม้นอัลเลาะห์ทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์ก็จะทรงรวบรวมพวกเขาให้ตั้งมั่นอยู่ในสิ้งชี้นำ(อันถูกต้อง) ดังนั้น เจ้าทั้งหลายจงอย่าเป็นผู้หนึ่งจากจำนวนผู้โง่เขลาทั้งหลาย
36. อันที่จริงบรรดาผู้รับฟัง (ด้วยใจจริง) ย่อมสนองตอบ(คำประกาศของเจ้า) แต่ว่า (คนที่ไม่ยอมศรัทธาที่เปรียบเหมือน)คนตายนั้น อัลเลาะห์จะทรงทำให้พวกเขาฟื้นขึ้น(มาอีก)หลังจากนั้น พวกเขาก็จะถูกส่งตัวกลับคืนยังพระองค์(เพื่อรอรับการตัดสิน)
37. และพวกเขา(ชาวกาฟิรมุชริก)กล่าวว่า “มาดแม้นไม่มีสัญลักษณ์จากพระเจ้าของเขา(มหัศจรรย์ในรูปปาฏิหาริย์)ถูกส่งมาให้เขา(มุฮำมัด)แล้วไซร้(แน่นอนเราจะไม่ขอศรัทธาอย่างเด็ดขาด) เจ้าจงประกาศเถิดว่า “แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงเชานุภาพ ที่จะส่งสัญลักษณ์หนึ่งใดลงมา แต่ทว่าพวกเขาส่วนมากไม่รู้”


คำแปล R3.
33. (โอ้มุฮัมมัด)เรารู้ดีว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นทำให้เจ้าระทมใจ แต่แท้จริงแล้วพวกเขามิได้ว่าเจ้าโกหก แต่อายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺต่างหากที่พวกเขาปฏิเสธ
34. และโดยแน่นอนยิ่งรอซูลหลายคนก่อนหน้าเจ้าต่างถูกกล่าวหาว่าโกหกมาแล้ว แต่พวกเขาเหล่านั้นอดทนต่อการถูกกล่าวเท็จและต่อการถูกทำร้ายจนกระทั่งความช่วยเหลือของเราได้มายังพวกเขา ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนกฎของอัลลอฮฺได้ และโดยแน่นอนยิ่ง เจ้าก็ได้รับข่าวคราวของบรรดาผู้ที่ถูกส่งมาก่อนหน้าเจ้าแล้ว
35. และถ้าหาเจ้าพบว่ามันเป็นการลำบากที่จะทรต่อการหันห่างของพวกเขา ดังนั้นถ้าหากเจ้าสามารถก็จงหาช่องลงไปในแผ่นดินหรือหาบันไดสู่ฟากฟ้าเพื่อจะนำสัญญาณหนึ่งมาให้แก่พวกเขา และถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงรวบรวมพวกเขาไว้บนทางนำ ดังนั้น เจ้าอย่าทำตนเช่นเดียวกับพวกงมงาย
36. เพียงแต่บรรดาผู้ฟังเท่านั้นที่สนองตอบ และคนตายนั้น อัลลอฮฺจะทรงทำให้พวกเขาฟื้นขึ้น แล้วยังพระองค์เท่านั้นที่พวกเขาจะถูกนำกลับ
37. และพวกเขาถามว่า “ไฉนจึงไม่มีสัญญาณหยึ่งจากพระผู้อภิบาลของเขาถูกส่งลงมายังเขา ?” จงกล่าวเถิด “แท้จริงอัลลอฮฺทรงอานุภาพที่จะส่งสัญญาณใด ๆ ลงมา แต่ว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้”


คำแปล R4.
33. เรารู้ดีว่า สิ่งที่พวกเขากล่าวกันนั้นทำให้เจ้าเสียใจ แท้จริงพวกเขาหาได้ปฏิเสธเจ้าไม่ แต่ทว่าบรรดาผู้อธรรมนั้นปฏิเสธโองการต่าง ๆ ของอัลลอฮฺ ต่างหาก
34. และแน่นอนบรรดา รอซูลก่อนเจ้านั้นได้ถูกปฏิเสธมาแล้ว แล้วพวกเขาอดทนต่อสิ่งที่พวกเขาถูกปฏิเสธมา และถูกทำร้ายจนกระทั่ง ความช่วยเหลือของเราได้มายังพวกเขา และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงพจนารถของอัลลอฮฺได้ และแท้จริงนั้นได้มายังเจ้าแล้วจากข่าวคราวของบรรดาผู้ที่ถูกส่งมา
35. และหากว่าการผินหลังให้ของพวกเขานั้นมันใหญ่โตแก่เจ้าแล้ว หากเจ้าสามารถที่จะแสวงหาช่องใด ๆ ลงในแผ่นดิน หรือบันไดสู่ฟากฟ้า แล้วทำสัญญาณหนึ่งมายังพวกเขา และหากว่าอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว แน่นอนพระองค์ก็ทรงรวบรวมพวกเขาให้อยู่บนคำแนะนำแล้ว ดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้งมงายเลย
36. แท้จริง ที่ตอบรับนั้น เพียงบรรดาผู้ที่ฟังเท่านั้น และบรรดาผู้ที่ตายนั้น อัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ และพวกเขาก็จะถูกนำกลับไปยังพระองค์
37. และพวกเขากล่าวว่า ไฉนเล่าจึงไม่มีสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของเขาถูกให้ลงมาแก่เขา จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงสามารถที่จะให้สัญญาณหนึ่งลงมา แต่ทว่าส่วนมากพวกเขานั้นไม่รู้


คำแปล R5.
๓๓. โอ้มุฮำมัด อันที่จริง เรา(อัลเลาะห์) ย่อมทราบดีว่า แท้จริงบรรดาชนกาฟิรที่พูดจากันหาว่าการได้รั้งตำแหน่งพระศาสดาของเจ้าไม่จริงนั้นยังความโศกสลดแก่เจ้า แต่ที่แท้แล้วในยามที่มิได้อยู่ต่อหน้าประชุมชนพวกเหล่านั้นหาได้อ้างว่าเจ้าเท็จไม่เพราะพวกนั้นย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เจ้าพูดเป็นความสัจจริงเสมอแต่พวกคดโกงทั้งหลายจะพยายามหาว่าบรรดาโองการของอัลเลาะห์(อัล-กุรอาน)โกหก
๓๔. และได้ทรงให้สัจปฏิญาณว่า อันที่จริงนั้นบรรดาพระศาสนทูตที่ก่อน ๆ จากเจ้าก็เคยถูกหาว่าโกหกกันมาแล้ว แต่พวกพระศาสนทูตเหล่านั้นได้อดกลั้นต่อการซึ่งถูกหาว่าโกหกไว้และต่อการถูกรังควานจนกระทั่งความช่วยเหลือจากเรา(อัลเลาะห์)มีมายังพวกพระศาสนทูตนั้น โดยให้พวกซึ่งรังควานและหาว่าเหล่าพระศาสนทูตเป็นคนเท็จได้ถูกทำลายล้างให้พินาศย่อยยับ โอ้มุฮำมัด เจ้าจงพยายามอดกลั้นไว้เถิดจนกว่าการช่วยเหลือของเราตามวิธีดังที่กล่าวจะมาถึงเจ้า และย่อมไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงกฤษฎีกาการลงโทษของอัลเลาะห์ได้เลย และทรงให้สัจปฏิญาณว่า ความเป็นจริง ข่าวสารต่าง ๆ ของพระศาสนทูตทั้งหลาย ก็ได้มีมาถึงเจ้าอยู่แล้วซึ่งพอที่จะทำให้จิตใจของเจ้าสงบลงได้
๓๕. ถ้าแม้ว่าการให้หลังของพวกกาฟิรเหล่านั้นออกจากศาสนาอิสลามเป็นการสลักสำคัญสำหรับเจ้าเพราะเหตุที่เจ้าอยากจะได้พวกเหล่านั้นมาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งถ้าเจ้าสามารถจะขุดอุโมงค์ใต้ดินอยู่หรือจะทอดบันไดขึ้นสู่ฟากฟ้าได้แล้วไซร้ เจ้าย่อมจะไปนำเอาโองการหนึ่งตามที่พวกเหล่านั้นเรียกร้องข่าวจากเจ้ามาให้พวกนั้นแน่นอนแต่เจ้าไม่อาจจะกระทำอย่างนั้นได้ ฉะนั้นเจ้าจงอดทนไปก่อนจนกว่าอัลเลาะห์จะทรงพิพากษาให้พวกนั้นถูกทำลายล้างหายนะสิ้น แล้วถ้าอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์จพแนะแนวทางอันถูกต้องแก่พวกเหล่านั้นแล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงให้พวกเหล่านั้นร่วมกันได้รับทางนำอันถูกต้อง แต่พระองค์ก็มิได้ทรงมุ่งประสงค์อย่างนั้น พวกนั้นจึงไม่ยอมเชื่อ โอ้มุฮำมัดฉะนั้นเจ้าอย่าได้เป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้โง่งมในข้อที่ว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์สิ่งนั้นต้องมี และสิ่งใดที่มิได้ทรงมุ่งประสงค์สิ่งนั้นย่อมจะไม่มีขึ้น
๓๖. บรรดาชนกาฟิรผู้สดับฟังการเรียกร้องชักชวนของเจ้าอย่างเข้าใจและพินิจพิเคราะห์เท่านั้นที่จะยอมรับการชี้ชวนของเจ้าไปยังการศรัทธาต่อัลเลาะห์ แต่สำหรับพวกกาฟิรซึ่งเปรียบเสมือนคนที่ตายแล้ว ที่ไม่ยอมเชื่อฟังตามการชักชวนของเจ้าไปสู่ความศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และที่ไม่ยอมสดับฟังให้เข้าใจและไม่พินิจพิเคราะห์ถึงผลที่สุดที่จะได้รับนั้น อัลเลาะห์ก็จะทรงให้พวกเขาบังเกิดขึ้นใหม่ในวันปรภพ ต่อแต่นั้นพวกเขาจะถูกให้คืนกลับไปยังการสอบสวนของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนพวกนั้นตามพฤ๖กรรมที่ได้บำเพ็ยกันไว้
๓๗. และพวกกาฟิรชาวมักกะห์เหล่านั้นกล่าวว่า “ก็จงให้มีสัญญาณแห่งการได้รั้งตำแหน่งพระศาสดสของมุฮำมัดจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งเขา(มุฮำมัด)ถูกประทานลงมายังพวกเราด้วยซิ เช่นเคยมัอูฐตัวเมียถูกประทานลงมาเป็นสัญญาณบอกว่า พระศาสดาซอลิห์เป็นผู้รั้งตำแหน่งพระศาสดา ไม้เท้าเป็นสัญญาณบอกว่า พระศาสดามูซาเป็นพระศาสดา และมีอาหารจากฟากฟ้า(อัลมาอิดะห์)เป็นสัญญาณว่า พระศาสดาอีซา เป็นพระศาสดา เป็นต้น โอ้มุฮำมัด เจ้าจงบอกแก่พวกกาฟิรชาวนครมักกะห์เหล่านั้นเถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงพลังในอันที่จะประทานสัญญาณแสดงความเป็นพระศาสดาลงมาได้ตามที่พวกนั้นบางคนได้ขอร้อง แต่ทว่าส่วนใหญ่แล้วพวกกาฟิรเหล่านั้นหาได้รู้ไม่ ว่าการที่พวกกาฟิรเหล่านั้นบางคนเรียกร้องขอให้แสดงสัญญาณแห่งการได้รับตำแหน่งพระศาสดานั้นเป็นความวิบัติแก่พวกตนเอง เพราะการณ์นี้พวกเขาจำเป็นจะต้องถูกล้างชาติพันธุ์ ในเมื่อได้มีสัญญาณตามที่เรียกร้องถูกประทานลงมาแล้วพวกนั้นไม่ยอมศรัทธาเชื่อถือ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 38 - 39


คำอ่าน
38. วะมามิน..ดา...บะติน..ฟิลอัรฺฎิ วะลาฏอ..อิรี..ยะฏีรุ บิญะนาหัยฮิ อิลลาอุมะมุน อัมษาลุกุม มาฟัรร็อฏนา ฟิลกิตาบิ มิน..ชัยอิน..ษุม..มะอิลาร็อบบิฮิม ยุหฺชะรูน
39. วัลละซีนะกัซซะบู บิอายาตินา ศุม..มู..วะบุกมุน..ฟิซซุลุมาติ มัย..ยะชะอิลลาฮุ ยุฎลิลฮุ วะมัย..ยะชา ยัจญอัลฮุ อะลาศิรอติม..มุสตะกีม


คำแปล R1.
38. There is not a moving (living) creature on earth, nor a bird that flies with its two wings, but are communities like you. We have neglected nothing in the Book, then unto their Lord they (all) shall be gathered.
39. Those who reject our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) are deaf and dumb in darkness. Allah sends astray whom He wills and He guides on the Straight Path whom He wills.


คำแปล R2.
38. และไม่ว่าจะเป็นสัตว์ในแผ่นดิน และไม่ว่าจะเป็นนกที่บินได้ด้วยปีกทั้งสองข้างของมันก็ตาม นอกจากว่า (พวกมันเหล่านั้นก็) เป็นบรรดาประชาชาติที่เหมือนกับพวกเจ้าทั้งหลายนั่นเอง เรามิได้ละเลยในคัมภีร์(อัลกุรอาน) ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใดก็ตาม(ล้วนมีระบุอยู่ในนั้นโดยพร้อมสรรพ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ โดยครบถ้วน) หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกรวบรวมไปยังองค์อภิบาลของพวกเขา (เพื่อรอรับการพิพากษา)
39. และบรรดาผู้กล่าวว่า บรรดาโองการของเราเป็นเท็จนั้นล้วนเป็นคนหูหนวกและเป็นใบ้(ที่อยู่)ในความมืดมน ผู้ใดที่อัลเลาะฮฺทรงประสงค์ พระองค์ก็(ทรงอำนาจที่)จะทำให้เขาหลงผิดได้ และผู้ใดที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็(ทรงอำนาจที่)จะดลบันดาลเขาให้อยู่บนแนวทาง(อิสลามอันเที่ยงธรรม)


คำแปล R3.
38. (เกี่ยวกับสัญญาณเหล่านี้ จงดูเถิดว่า)สัตว์ทั้งหลายในแผ่นดินและที่บินด้วยปีกทั้งสองของมันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเผ่าพันธุ์เยี่ยงสูเจ้า เ(จ้าจะเห็นว่า)เรามิได้ละเลยในการกำหนดแนวทางแห่งชีวิตของพวกมันไว้ล่วงหน้า แล้วในที่สุดพวกเขาจะถูกรวบรวมยังพระผู้อภิบาลของพวกเขา
39. และบรรดาผู้ปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของเรานั้น พวกเขาหูหนวกและเป็นใบ้อยู่ในความทึบ ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ พระองค์ทรงปล่อยให้เขาระหนและผู้ใดที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ทรงให้เขาอยู่ในทางที่เที่ยงตรง


คำแปล R4.
38. และไม่มีสัตว์ใด ๆ ในแผ่นดิน และไม่มีสัตว์ปีกใด ๆ ที่ยินด้วยสองปีกของมัน นอกจากประหนึ่งเป็นประชาชาติเยี่ยงพวกเจ้านั้นเอง เรามิได้ให้บกพร่องแต่อย่างใดในคัมภีร์ แล้วยังพระเจ้าของพวกเขานั้น พวกเขาจะถูกนำไปชุมนุม
39. และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรานั้น คือผู้ที่หูหนวก และเป็นใบ้ ซึ่งอยู่ในบรรดาความมืด ผู้ใดที่อัลลอฮฺ ทรงประสงค์ พระองค์ก็จะทรงให้เขาหลงทางไป และผู้ใดที่พระองค์ประสงค์ ก็จะทรงให้เขาอยู่บนทางอันเที่ยงตรง


คำแปล R5.
๓๘. ย่อมไม่มีสัตว์เดินดินใด ๆ และไม่มีนกซึ่งมันบินในอากาศด้วยปีกทั้งสองของมัน นอกจากจะเป็นพวกเป็นเหล่าในด้านการมีโครงสร้างบ้าง ในด้านได้รับการบริโภคบ้าง และในทางอาการต่าง ๆ บ้างเหมือนดั่งพวกเจ้าซึ่งแม้สักนิดเดียว เรา(อัลเลาะฮฺ)ก็มิได้ละบันทึกไว้ในทะเบียนเดิมซึ่งเป็นแผ่นศิลาอันถูกแขวนไว้ใต้ฟ้าชั้น๙เลย เราต้องจดบันทึกเรื่องทุกเรื่องไว้หมดสิ้น ครั้นแล้วพวกเหล่านั้นจะถูกให้ไปรวมกันยังการสอบสวนขององค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกนั้น กล่าวคือพระองค์จะทรงพิพากษาให้สัตว์มีเขาถูกชนโดยสัตว์ไม่มีเขา และให้นกซึ่งมีเล็บและปากเป็นอาวุธถูกชำระโทษโดยสัตว์ที่ไม่มีเล็บและปากเป็นอาวุธ ต่อแต่นั้นพระองค์จึงตรัสแก่พวกสัตว์ทั้งหลายว่า พวกเจ้าจงกลายสภาพเป็นดินไป ไม่มีการเข้าสู่สวรรค์และนรก
๓๙. และบรรดาชนกาฟิรที่หาว่าบรรดาโองการแห่งอัล-กุรอานของเราเท็จนั้นเป็นเหมือนดั่งคนหูหนวกขาดการสดับฟังพระคัมภีร์อัล-กุรอานอย่างเคารพยกย่องและเป็นเหมือนกั่งคนใบ้ไม่พูดเรื่องจริงแท้ ไม่ใฝ่ใจศรัทธาต่ออัล-กุรอาน อันความไม่ศรัทธานี้เปรียบเสมือนอยู่ในความมืดมน ถ้าผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์จะให้เขาหลงหนทางเที่ยงแล้ว พระองค์ก็จะทรงให้ผู้นั้นหลงหนทางเที่ยงได้ และถ้าผู้ใดที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์จะแนะนำหนทางเที่ยงให้แล้วพระองค์ก็จะทรงให้ผู้นั้นดำรงอยู่ในหนทางอันเที่ยงตรงคือศาสนาอิสลามได้



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 40 - 45


คำอ่าน
40. กุลอะเราะอัยตุม อินอะตากุม อะซาบุลลอฮิ เอาอะตัตกุมุสสาอะตุ อะฆ็อยร็อลลอฮิ ตัดอูนะ อิน..กุน..ตุมศอดิกีน
41. บัลอียาฮุ ตัดอูนะ ฟะยักชิฟุ มาตัดอูนะ อิลัยฮิ อิน..ชา...อะวะตัน..เชานะ มาตุชริกูน
42. วะละก็อดอัรฺสัลนา..อิลา..อุมะมิม..มิน..ก็อบลิกะ ฟะอะค็อซนาฮุม..บิลบะอ์สา...อิ วัฎฎ็อรฺรอ...อิ ละอัลละฮุม ยะตะฎ็อรฺเราะอูน
43. ฟะเลาลา..อิซญา...อะฮุม..บะอ์สุนา ตะฏ็อรฺเราะอู วะลากิน..เกาะสัตกุลูบุฮุม วะซัยยะนะละฮุมุชชัยฏอนุ มากานูยะอฺมะลูน
44. ฟะลัม..มา นะสูมาซุกกิรูบิฮฺ ฟะตะหฺนา อะลัยฮิม อับวาบะ กุลลิชัยอ์ หัตตา..อิซาฟะริหูบิมา..อูตู..อะค็อซนาฮุม..บัฆตะตัน ฟะอิซาฮุม..มุบลิสูน
45. ฟะกุฏิอะ ดาบิรุลก็อวมิลละซีนะ เซาะละมู วัลหัมดุลิลลาฮิ ร็อบบิลอาละมีน

คำแปล R1.
40. Say (O Muhammad): "Tell me if Allah's torment comes upon you, or the Hour comes upon you, would you then call upon any one other than Allah? (Reply) if you are truthful!"
41. Nay! to Him alone you call, and, if He will, He would remove that (distress) for which you call upon him, and you forget at that time whatever partners you joined with Him (in worship)!
42. Verily, we sent (Messengers) to many nations before you (O Muhammad). And we seized them with extreme poverty (or loss in wealth) and loss in health with calamities so that they might believe with humility.
43. When Our torment reached them, why then did they not believe with humility? But their hearts became hardened, and Shaitan (Satan) made fair-seeming to them that which they used to do.
44. So, when they forgot (the warning) with which they had been reminded, we opened to them the gates of every (pleasant) thing, until in the midst of their enjoyment in that which they were given, all of a sudden, we took them to Punishment, and Lo! They were plunged into destruction with deep regrets and sorrows.
45. So the roots of the people who did wrong were cut off. And all the praises and thanks are to Allah, the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns, and all that exists).


คำแปล R2.
40. จงประกาศเถิด! พวกเจ้าเห็นเป็นอย่างไร ? (จงตอบมาซิ) “หากการลงโทษของอัลเลาะฮฺได้มาประสบแก่พวกเจ้า หรือว่ากาลอวสานของโลกนี้ได้มาประสบแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจะยังวอนขอต่อสิ่งอื่น ๆ นอกจากอัลเลาะฮฺอีกกระนั้นหรือ ? หากพวกเจ้าเป็นผู้สัตย์จริง
41. แต่ความเป็นจริงแล้ว พวกเจ้าต้องวอนขอเฉพาะพระองค์เท่านั้น แล้วพระองค์ก็จะทรงคลี่คลายสิ่งที่พวกเจ้าขอเพื่อสิ่งนั้น ทั้งนี้หากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกเจ้าก็ลืมสิ่งที่พวกเจ้าเคยตั้งภาคีมาก่อน(ไม่ได้นึกถึงมันขณะนั้นเลยแม้แต่น้อย)
42. ขอยืนยัน! แท้จริงเราได้ส่ง(ศาสนทูต)ให้ลงมายังประชาชาติต่าง ๆ ก่อนหน้าเจ้า (แต่ประชาชาติเหล่านั้น กลับปฏิเสธฐานะของศาสนทูต) ดังนั้นเราจึงจัดการลงโทษพวกเขาด้วย(การดลบันดาลให้พวกนั้นประสบ)ความยากไร้ และความเจ็บไข้ เพื่อพวกเขาจะได้นอบน้อม(และสำนึกในความผิดของตนเอง)
43. เมื่อการลงโทษของเราได้มาประสบแก่พวกเขา แล้วไฉนพวกเขาจึงไม่นอบน้อมเล่า ? แต่ทว่า (หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง และสาเหตุที่ไม่นอบน้อมก็เพราะ)มารร้ายได้ทำการประดับแก่พวกเขาซึ่งพฤติกรรม(อันเลวร้าย)ของพวกเขาเอง (ให้พวกเขาเห็นชอบในพฤติกรรมนั้น จนหลงใหลคลั่งไคล้มองความถูกต้องไม่เห็น)
44. ต่อมาเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาถูกนำมาตักเตือน(อันได้แก่ ความยากไร้และความเจ็บไข้ และพวกเขาก็กลับปฏิเสธดังเดิม) เราก็จักเปิดแก่พวกเขาซึ่งประตู(แห่งความดี)ของทุก ๆ สิ่ง จนกระทั่งเมื่อพวกเขามีความยินดีต่อสิ่งที่พวกเขาถูกประทานให้นั้น (จนเพลิดเพลินลืมความยากไร้และความเจ็บไข้สิ้นเชิง) เราก็จักจัดการ(ลงโทษ)พวกเขาโดยฉับพลัน และเมื่อนั้นพวกเขาก็ประสบความท้อแท้(สิ้นหวัง)
45. และแล้ว รุ่นหลังของกลุ่มชนที่ฉ้อฉลก็ถูกตัดสะบั้น (ให้สาบสูญชาติพันธุ์ไปจากโลกนี้ ด้วยถูกทำลายอย่างรุนแรง) และการสรรเสริญทั้งหลาย ย่อมเป็นสิทธิของอัลเลาะฮฺ (เพียงพระองค์เดียว) ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก


คำแปล R3.
40. จงถามพวกเขาว่า “พวกท่านไม่คิดดูหรือว่า ถ้าการลงโทษของอัลลอฮฺประสบแก่พวกท่าน หรือเวลาสุดท้ายกำลังจะมาถึงพวกท่าน พวกท่านจะร้องเรียกผู้ใดอื่นนอกไปจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ ถ้าพวกท่านสัตย์จริง ?”
41. แต่ว่าพระองค์เท่านั้นที่สูเจ้าร้องเรียกแล้วพระองคืทรงปลดเปลื้องความทุกข์ที่สูเจ้าวิงวอนขอต่อพระองค์ถ้าพระองค์ทรงประสงค์ และสูเจ้าจะลืมที่สูเจ้าตั้งเป็นภาคีเทียบเทียมพระองค์
42. และเราได้ส่งบรรดารอซูลมายังหมู่ชนต่าง ๆ ก่อนเจ้า แล้วเราได้ทำให้พวกเขาได้ทุกข์ยากลำบากด้วยความลำเค็ญและเคราะห์กรรมเพื่อที่พวกเขาจะได้ถ่อมตน
43. แต่เมื่อความทุกข์ยากของเราบังเกิดแก่พวกเขาแล้ว ไฉนพวกเขาจึงไม่ยอมถ่อมตน ? (แทนที่จะถ่อมตน)หัวใจของพวกเขากลับกระด้าง และมารได้ทำให้สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ดูเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา
44. ดังนั้น เมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาได้ถูกตักเตือน เราก็ได้เปิดประตูแห่งความสำราญของทุกสิ่งให้แก่พวกเขา จนกระทั่งเมื่อพวกเขาคะนองต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานแก่พวกเขา เราจึงได้กระชากพวกเขาโดยพลัน แล้วเมื่อนั้นพวกเขาก็เป็นผู้สิ้นหวัง
45. ดังนั้น รากเหง้าของหมู่ชนผู้อธรรมก็ได้ถูกขุดทิ้งโดยสิ้นเชิง และบรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก


คำแปล R4.
40. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ท่านได้เห็นพวกท่านแล้วมิใช่หรือ?หากการลงโทษของอัลลอฮฺมายังพวกท่าน หรือวันกิยามะฮฺ ได้มายังพวกท่านอื่นจากอัลลอฮฺ กระนั้นหรือ ที่พวกท่านจะวิงวอนหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง
41. มิได้ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะวิงวอนขอ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดเปลื้องสิ่งที่พวกท่านวิงวอนให้ช่วยเหลือ หากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกเจ้าก็จะลืมสิ่งที่พวกเจ้าให้มีภาคีขึ้น
42. และแท้จริงเราได้ส่งไปยังประชาชาติก่อนหน้าเจ้า แล้วเราก็ได้ลงโทษพวกเขาด้วยความแร้นแค้น และการเจ็บป่วยเพื่อว่าพวกเขาจะได้นอบน้อม
43. แล้วไฉนเล่า พวกเขาจึงไม่นอบน้อม เมื่อการลงโทษของเราได้มายังพวกเขา แต่ทว่าหัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง และชัยฎอนก็ได้ให้เป็นที่สวยงามแก่พวกเขาด้วยในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
44. ครั้นเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนให้รำลึกในสิ่งนั้น เราก็เปิดให้แก่พวกเขาซึ่งบรรดาประตูของสิ่งจนกระทั่งเมื่อพวกเขาระเริงต่อสิ่งที่พวกเขาได้รับ เราก็ลงโทษพวกเขาโดยกะทันหัน แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็หมดหวัง
45. แล้วได้ถูกตัดขาด จนคนสุดท้ายของกลุ่มชนที่อธรรม และการสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก


คำแปล R5.
๔๐. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวตำหนิชนชาวมักกะห์เถิด พวกเจ้าเห็นความประหลาดบ้างไหม? โปรดบอกแก่ฉันด้วย ถ้าได้มีโทษทรมานจากอัลเลาะห์มาถึงพวกเจ้าในภพนี้ก็ดีหรือวารกาลแห่งวันสิ้นโลก เกิดมีขึ้นแก่พวกเจ้าโดยกะทันหันก็ดี แลวพวกเจ้าต้องร้องขอต่อผู้มิใช่อัลเลาะห์ให้ช่วยขจัดโทษถ้าพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง ว่าพวกเทวรูปสามารถก่อประโยชน์ให้แก่พวกเจ้าได้ละก็ พวกเจ้าจงร้องขอต่อมันให้ช่วยขจัดการทั้งสองนั้นด้วยซิ พวกเจ้าไม่สามารถร้องขอต่อเทวรูปเหล่านั้นได้เลย เพราะในวันนั้นพวกเทวรูปทั้งหลายจะสาปสูยไปจากพวกเจ้าหมด
๔๑. แต่พวกเจ้าจะร้องขอให้สิ้นภาวะคับขันได้เฉพาะที่พระองค์เท่านั้น ถ้าพระองค์ทรงมุ่งประสงค์จะให้อันตรายสูญหายไปแล้วไซร้ พระองค์ย่อมจะทรงขจัดสิ่งที่เป็นภัยอันตรายซึ่งพวกเจ้าร้องขอให้พ้นภัยอันตรายนั้นได้ แล้วพวกเจ้าก็จะลืมเลือนเทวรูปที่พวกเจ้าตั้งให้เป็นภาคีเทียเคียงพระองค์ในทางการให้การสัการะบูชาลงได้ โดยไม่ร้องขอจากเหล่าเทวรูปให้ช่วยเหลือให้พ้นภัยอันตราย
๔๒. และทรงให้สัจปฏิญาณไว้ว่าเป็นความจริงแล้วเรา(อัลเลาะห์)ก็เคยแต่งตั้งพระศาสนทูตส่งไปยังปวงประชากรที่ก่อนจากเจ้าแต่ปรากฏว่าปวงประชากรเหล่านั้นจะหาว่าพระศาสนทูตดังกล่าวเป็นคนเท็จแล้วเรา(อัลเลาะห์)ก็ได้ให้ปวงประชากรเหล่านั้นได้รับเคราะห์ด้วยเกิดความอัตคัดอย่างหนักและเกิดโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อว่าพวกนั้นจะได้ระย่อเสียบ้างแล้วจะได้หันกลับมามีความศรัทธาต่อพวกพระศาสนทูต
๔๓. แล้วทำไมเล่าพวกเหล่านั้นถึงมิได้ระย่อเลย ? ในเมื่อได้มีทุกข์ยากจากเรา (อัลเลาะห์) อาทิ ความอัตคัดยากจนและความป่วยไข้ซึ่งเป็นเหตุกระทำให้พวกนั้นต้องระย่อใจมาถึงพวกเหล่านั้นเข้าแล้ว แต่หัวใจของพวกนั้นแข็งแกร่งถึงกับรับความศรัทธาไม่ได้ ทั้งไชตอนก็ยังได้ให้พวกเหล่านั้นเห็นพฤติการณ์ชั่วเลวที่ได้กระทำกันขึ้นเป็นของงดงามอีกด้วย พวกนั้นจึงคงดำเนินอยู่ในความชั่วเลวเรื่อย ๆ ไปไม่หยุดยั้ง และไม่ฉุกคิดเลยสักนิดเดียวว่า ความจริง ความอัตคัดยากจนก็ดี ความป่วยไข้ก็ดี ที่มีมาประสบแก่พวกตนนั้น เพราะความชั่วเลวของตัวเองแท้ ๆ
๔๔. ครั้นเมื่อพวกนั้นได้ลืมเลือนจากภาวะทุกข์ยากจนและความป่วยไข้ที่พวกเขาถูกเตือนถูกขู่เสียแล้ว พวกนั้นก็กลับไม่เชื่อฟังคำเตือนคำขู่เสียเลย เราจึงได้เปิดประตูความดีทุกด้านล่อพวกเหล่านั้นไว้จนเพลิดเพลินต่อสิ่งปลาบปลื้มอย่างลืมนึกถึงบุญคุณที่พวกนั้นได้รับ ทันใดนั้นเรา(อัลเลาะห์)ก็ได้ให้พวกนั้นประสบเคราะห์กรรม พวกเหล่านั้นจึงต้องเป็นผู้สิ้นหวัง จากความดีทุกด้านที่เราได้เปิดไว้เมื่อกี้
๔๕. อนุชนของบรรดาที่คดโกงซึ่งปฏิเสธพระคัมภีร์อัล-กุรอานจึงถูกล้างชาติพันธุ์ตัดขาดเชื้อสายด้วยการถูกลงโทษเสียเลยและการสรรเสริญในฐานะที่พวกพระศาสนทูตมีชัยและพวกกาฟิรปราชัยนั้น ย่อมเป็นสิทธิของอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ประโยคการสรรเสริญ ณ โองการนี้ หมายความว่า หากพวกพระศาสนทูตเป็นฝ่ายมีชัยก็ให้พระศาสนทูตเหล่านั้นและบรรดาผู้ที่เชื่อแสดงการสรรเสริญพระองค์ และถ้าหากว่าพวกกาฟิรพ่ายแพ้ก็ให้พระศาสดามุฮำมัดกับพวกสาวกแสดงการสรรเสริญพระองค์ด้วยเหมือนกัน



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 46 - 49


คำอ่าน
46. กุลอะเราะอัยตุม อินอะเคาะซัลลอฮุสัมอะกุม วะอับศอเราะกุม วะเคาะตะมะอะลากุลูบิกุม..มันอิลาฮุน ฆ็อยรุลลอฮิ ยะอ์ตีกุม..บิฮฺ อุน..ซุรกัยฟะ นุศ็อรฺริฟุลอายาติ ษุม..มะฮุม ยัศดิฟูน
47. กุลอะเราะอัยตุม อินอะตากุม อะซาบุลลอฮิ บัฆตะตัน เอาญะฮฺเราะตัน ฮัลยุฮฺละกุ อิลลัลก็อวมุซซอลิมูน
48. วะมานุรฺสิลุลมุรฺสะลีนะ อิลลามุบัชชิรีนะ วะมุน..ซิรีน ฟะมันอามะนะ วะอัศละหะ ฟะลาค็อวฟุนอะลัยฮิม วะลาฮุมยะหฺซะนูน
49. วัลละซีนะกัซซะบู บิอายาตินา ยะมัสสุฮุมุลอะซาบุ บิมากานูยัฟสุกูน


คำแปล R1.
46. Say (to the disbelievers): "Tell me, if Allah took away your hearing and your sight, and sealed up your hearts, who is there - an Ilah (a god) other than Allah who could restore them to you?" see how variously we explain the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), yet they turn aside.
47. Say: "Tell me, if the punishment of Allah comes to you suddenly (during the night), or openly (during the day), will any be destroyed except the Zalimun (polytheists and wrong-doing people)?"
48. And we send not the Messengers but as givers of glad tidings and as warners. So whosoever believes and does righteous good deeds, upon such shall come no fear, nor shall they grieve.
49. But those who reject our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), the torment will touch them for their disbelief (and for their belying the message of Muhammad. [Tafsir Al-Qurtubi].


คำแปล R2.
46. จงประกาศเถิด ! “พวกท่านทั้งหลายเห็นเป็นอย่างไร? หากว่าอัลเลาะฮฺทรงเก็บเอาหูของพวกเจ้าไป, เก็บเอาตาของพวกเจ้าไป, และทรงประทับ(ความมืดบอด)ลงบนหัวใจของเจ้า แล้วใครเล่าที่จะเป็นพระเจ้านำสิ่งนั้นมาคืนให้แก่พวกเจ้านอกจากอัลเลาะฮฺ จงพินิจเถิด เราจัดการผันแปรบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ (ให้ปรากฏเป็นหลายรูปแบบ)ได้อย่างไร? แต่แล้วพวกเขาก็ยังคงหันเห(ไม่ยอมศรัทธาอยู่นั่นเอง)
47. จงประกาศเถิด ! พวกท่านเห็นเป็นอย่างไรหากการลงโทษของอัลเลาะฮฺได้มาประสบแก่พวกท่านโดยฉับพลันหรือโดยชัดแจ้ง ไม่มีผู้ใดถูกทำลายหรอก นอกจากกลุ่มชนที่ฉ้อฉลเท่านั้น
48. และเรามิได้ส่งบรรดาศาสนทูต (เพื่อสิ่งใดทั้งสิ้น) นอกจากให้ทำหน้าที่แจ้งกล่าวประเสริฐ (แก่ผู้ทำดี) และทำหน้าที่ตักเตือน (ผู้กระทำผิดทั้งหลาย) ดังนั้น ผู้ใดมีศรัทธาและปรับปรุงตัวเอง (ด้วยการทำดี) แน่นอน ความหวาดกลัวจะไม่ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาไม่มีความเศร้าโศก
49. และบรรดาผู้กล่าวว่า บรรดาโองการของเราเป็นสิ่งเท็จนั้น การลงโทษจะสัมผัสพวกเขา เพราะเหตุที่พวกเขาได้เคยฝ่าฝืนไว้


คำแปล R3.
46. (มุฮัมมัด)จงถามพวกเขาว่า “พวกท่านเคยพิจารณาสิ่งนี้หรือไม่? ถ้าหากอัลลอฮฺทรงริบเอาการได้ยินของพวกท่าน การมองของพวกท่าน และทรงปิดผนึกจิตใจของพวกท่าน พระเจ้าอื่นใดเล่านอกจากอัลลอฮฺที่จะนำมันกลับมาให้แก่พวกท่าน” จงดูเถิดว่าเราได้แจกแจงสำแดงให้เห็นถึงสัญญาณทั้งหลายอย่างไร แล้วพวกเขาก็ยังหันห่างอีก
47. จงกล่าวเถิด “พวกท่านพิจารณาถึงสิ่งนี้หรือไม่ ? ถ้าการลงโทษของอัลลอฮฺประสบแก่พวกท่านโดยฉับพลันหรือโดยเปิดเผย ใครเล่าจะถูกทำลายนอกจากหมู่ชนผู้อธรรม ?”
48. และเราไม่ได้ส่งบรรดารอซูลมาเพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อเป็นผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือน ฉะนั้นผู้ใดศรัทธาและฟื้นฟูการดี ก็จะไม่มีสาเหตุที่พวกเขาหวาดกลัวและเขาทั้งหลายจะไม่ระทม
49. ส่วนบรรดาผู้กล่าวหาว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเนื่องจากพวกเขาได้ฝ่าฝืน


คำแปล R4.
46. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือ? หากอัลลอฮฺทรงเอาหูของพวกท่าน และตาของพวกท่านไป และได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกท่านด้วยแล้ว ใครเล่าคือผู้ซึ่งได้รับการเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮฺที่จะนำมันมาให้แก่พวกท่านได้ จงดูเถิดว่า อย่างไรเล่าที่เราแจกแจงโองการทั้งหลาย แล้วพวกเขาก็ยังหันเหไปได้
47. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือว่า หากการลงโทษของอัลลอฮฺ มายังพวกท่านโดยกระทันหันก็ดี หรือโดยเปิดเผยก็ดีนั้น จะไม่มีใครถูกทำลาย นอกจากกลุ่มชนผู้อธรรมเท่านั้น
48. และเราจะไม่ส่งบรรดารอซูลมา นอกจากในฐานะผู้แจ้งข่าวดี และผู้ตักเตือนเท่านั้น ดังนั้นผู้ใดที่ศรัทธาและปรับปรุงแก้ไขแล้ว ก็ไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ
49. และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น การลงโทษจะประสบแก่พวกเขา เนื่องจากการที่พวกเขาละเมิด


คำแปล R5.
๔๖. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาวมักกะห์เถิดว่า พวกเห็นความแปลกประหลาดไหม? โปรดบอกความแปลกประหลาดแก่ฉันด้วยถ้าอัลเลาะห์จะทรงระงับการได้ยินของพวกเจ้าและการแลเห็นของพวกเจ้า และทรงผนึกปิดตายหัวใจของพวกเจ้า เหมือนกับถูกประทับตราไว้แล้วไซร้ พวกเจ้าก็จะไม่รู้จักสิ่งใดเสียเลย ก็ไม่มีพระเจ้าที่ไหนแล้วที่นอกจากอัลเลาะห์จะนำประสาทสัมผัสต่าง ๆ นั้นกลับมาให้พวกเจ้าได้อีกเหมือนดังที่พวกเจ้าคาดคิดกันไว้ โอ้มุฮำมัดเจ้าจงแลดูซิว่าเรา(อัลเลาะห์)บรรยายสัญญาณแห่งเอกภาพของเราไว้เป็นอย่างไร? โอ้มุฮำมัด แล้วพวกนั้นก็บิดเบือนสัญญาณนั้นไปเสียอีกทางหนึ่ง คงไม่เชื่อมั่นอยู่นั่นเอง
๔๗. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาวมักกะห์เถิดว่า พวกเจ้าเห็นความแปลกประหลาดไหม? โปรดบอกความแปลกประหลาดแก่ฉันด้วยถ้าการลงโทษทรมานจากอัลเลาะห์มีมายังพวกเจ้าในทันทีทันใด คือในยามค่ำคืนหรือในตอนกลางวันแล้ว จะไม่มีใครถูกทำลายล้างชาติพันธุ์เลยนอกจากกลุ่มชนกาฟิรผู้คดโกงเท่านั้น
๔๘. และเรา(อัลเลาะห์)มิได้แต่งตั้งบรรดาพระศาสนทูตมาทำไมหรอก ? หากแต่ให้เป็นผู้อำนวยข่าวดีด้วยสวรรค์และเป็นผู้ตักเตือนผู้มิได้ศรัทธาด้วยนรกเท่านั้น ถ้าแหละผู้ใดศรัทธาต่อพระศาสนทูตและปรับตนเองให้บำเพ็ญแต่การดีได้แล้ว ก็จะไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ สำหรับพวกนั้น ในขณะที่แลเห็นขุมนรกและไม่มีความโศกสลดใจเลยที่ความดีบางประการขาดปฏิบัติไปบ้างในภพปัจจุบัน (ดุนยา) นี้
๔๙. สำหรับชนชาวมักกะห์บรรดาที่หาว่าโองการต่าง ๆ แห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานของเราเป็นเท็จนั้น โทษทรมานก็จะเผชิญพวกนั้นในฐานะที่ขาดความภักดีต่ออัลเลาะห์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 50 - 53


คำอ่าน
50. กุลลา..อะกูลุละกุม อิน..ดี เคาะซา...อินุลลอฮิ วะลาอะอฺละมุลฆ็อยบะ วะลาอะกูลุละกุมอิน..นีมะลัก อินอัตตะบิอุ อิลลามายูหา..อิลัยยะ กุลฮัลยัสตะวิลอะอฺมา วัลบะศีรฺ อะฟะลาตะตะฟักกะรูน
51. วะอัน..ซิรฺบิฮิลละซีนะ ยะคอฟูนะ อัย..ยุหฺชะรู...อิลาร็อบบิฮิม ลัยสะละฮุม..มินดูนิฮี วะลียูงงวะลาชะฟีอลละอัลละฮุมยัตตะกูน
52. วะลาตัดรุดิลละซีนะตัดอูนะร็อบบะฮุม..บิลเฆาะดาวะติ วัลอะชียยุ ยุรีดูนะวัจญฮะฮู มาอะลัยกะมินหิสาบิฮิม..มิน..ชัยอิว..วะมามินหิสาบิกะ อะลัยฮิม..มิน..ชัยอิน..ฟะตัฏรุดะฮุม..ฟะตะกูนะมินัซซอลิมีน
53. วะกะซาลิกะ ฟะตัน..นาบะอฺเฎาะฮุม..บิบะอฺฎิลลิยะกูลู..อะฮา..อุลา...อิ มัน..นัลลอฮุอะลัยฮิมมิม..บัยนินา อะลัยสัลลอฮุ บิอะอฺละมะ บิชชากิรีน


คำแปล R1.
50. Say (O Muhammad): "I don't tell you that with me are the treasures of Allah, nor (that) I know the unseen; nor I tell you that I am an angel. I but follow what is revealed to me by inspiration." say: "Are the blind and the one who sees equal? Will you not then take thought?"
51. And warn therewith (the Qur'an) those who fear that they will be gathered before their Lord, when there will be neither a protector nor an intercessor for them besides him, so that they may fear Allah and keep their duty to Him (by abstaining from committing sins and by doing all kinds of good deeds which he has ordained).
52. And turn not away those who invoke their Lord, morning and afternoon seeking his face. You are accountable for them in nothing, and they are accountable for you in nothing, that you may turn them away, and thus become of the Zalimun (unjust).
53. Thus we have tried some of them with others that they might say: "Is it these (poor believers) that Allah has favoured from amongst us?" Does not Allah know best those who are grateful?


คำแปล R2.
50. จงประกาศเถิด ! “ฉันไม่บอกกับพวกท่านว่าฉันมีคลังเก็บสมบัติของอัลเลาะฮฺ (ซึ่งฉันจะขอจากพระองค์เมื่อใดก็ได้), ฉันไม่รู้ความเร้นลับ, และฉันไม่ได้บอกกับพวกท่านว่า ฉันนี้เป็นมลาอิกะฮฺ(เทพ) ฉันมิได้ประพฤติตาม(สิ่งอื่นใดทั้งสิ้น) นอกจากสิ่งที่ถูกดลจิตแก่ฉัน(จากอัลเลาะฮฺ)เท่านั้น จงประกาศเถิด “คนตาบอดกับคนตาดีจะทัดเทียมกันหรือ แล้วไฉนพวกท่านจึงไม่ใคร่ครวญ?”
51. และเจ้าจงนำอัลกุรอานมาตักเตือนแก่บรรดาผู้ที่หวั่นกลัวว่าจะถูกรวมตัวสู่องค์อภิบาลของพวกเขา แน่นอน นอกจากพระองค์แล้ว พวกเขาย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ให้การสงเคราะห์อื่นใดเลย ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้ยำเกรง
52. และเจ้าอย่าขับไล่บรรดาผู้(ยากจน)ที่วอนขอต่อองค์อภิบาลของพวกเขาในยามเช้า และยามเย็น โดยพวกเขามุ่งหวังต่อพระองค์(โดยบริสุทธิ์ใจ) เจ้าไม่มีหน้าที่ที่จะรับผิดชอบใด ๆ จากการสอบสวน(ความประพฤติ)ของพวกนั้นเลยสักกรณีเดียวก็ตาม และพวกเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบจากการ(ความประพฤติ)ของเจ้าสักกรณีเดียวก็ตาม (ดังนั้น เมื่อความจริงเป็นอย่างนั้น เจ้าก็จงไปร่วมสังคมกับคนยากจนเหล่านั้นเถิด) แล้วเจ้าอย่าขับไล่พวกเขา อันเป็นเหตุให้เจ้าต้องเป็นหนึ่งจากบรรดาผู้ฉ้อฉลทั้งมวล
53. และเช่นนั้นเอง ที่เราได้ทดสอบแก่พวกเขาบางส่วน(คือคนรวย)กับอีกบางส่วน(คือคนจน) เพื่อพวกเขา(ผู้ร่ำรวย)จะได้กล่าว(เกี่ยวกับคนยากจน)ว่า “ก็พวกนี้มิใช่หรือที่อัลเลาะฮฺทรงโปรดปรานแก่พวกเขาในระหว่างพวกเรา (โดยให้พวกเราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่พวกเขา) อัลเลาะฮฺมิใช่หือที่ทรงรอบรู้ยิ่งนัก กับบรรดาผู้ที่ขอบคุณทั้งหลาย


คำแปล R3.
50. (มุฮัมมัด)จงกล่าวเถิด “ฉันไม่ได้อ้างว่าฉันมีคลังสมบัติของอัลลอฮฺและฉันไม่รู้ในสิ่งที่พ้นญาณวิสัยและฉันก็ไม่ได้อ้างว่าฉันเป็นมลัก (สิ่งที่ฉันพูด็คือ)ฉันไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งใดเว้นแต่ที่ถูกวะฮีย์แก่ฉัน” จงถามพวกเขาว่า “คนตาบอดและคนตาดีนั้นจะเหมือนกันกระนั้นหรือ แล้วพวกท่านยังไม่พิจารณาอีกหรือ?”
51. และ(มุฮัมมัด) จงตักเตือนด้วยสิ่งนี้(อัล-กุรอาน)แก่บรรดาผู้ที่เกรงกลัวว่า วันหนึ่งพวกเขาจะถูกนำกลับไปยังพระผู้อภิบาลของพวกเขาในสภาพที่พวกเขาจะไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ไถ่แทนนอกจากพระองค์ ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้สำรวมตนจากความชั่ว
52. และจงอย่าขับไล่บรรดาผู้ที่วิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาในยามเช้าและยามเย็นและปรารถนาในความโปรดปรานของพระองค์ เจ้าไม่ต้องรับผิดชอบในการชำระของพวกเขาและพวกเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบในการชำระของเจ้าแต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าเจ้าขับไล่พวกเขา เจ้าก็จะอยู่ในหมู่ผู้อธรรม
53. และด้วยวิธีนี้เอง เราได้ใช้พวกเขาบางคนทดลองบางคน เพื่อพวกเขาจะได้กล่าวว่า “คนพวกนี้ดอกหรือ ในหมู่พวกเราที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานความโปรดปราน?” มิใช่อัลลอฮฺดอกหรือผู้ทรงรู้จักผู้กตัญญูดีกว่าพวกเขา ?


คำแปล R4.
50. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)ว่า ฉันจะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ที่ฉันมีบรรดาคลังสมบัติของอัลลอฮฺและทั้งฉันก็ไม่รู้สิ่งเร้นลับ และฉันก็จะไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ฉันคือมะลัก ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม นอกจากสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันเท่านั้นจงกล่าวเถิด คนตาบอดกับคนตาดีนั้นจะเท่าเทียมกันหรือ? พวกท่านไม่ใคร่ครวญดอกหรือ?
51. และเจ้าจงตักเตือนด้วย อัลกุรอานแก่บรรดาผู้ที่เกรงกลัวว่าพวกเขาจะถูกนำไปชุมนุมยังพระเจ้าของพวกเขา โดยที่อื่นจากพระองค์แล้วไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใด และไม่มีผู้ทำการซะฟาอะฮฺคนใด สำหรับพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง
52. เจ้าจงอย่าขับไล่บรรดาผู้ที่วิงวอนต่อพระเจ้าของพวกเขา ทั้งในเวลาเช้าและเวลาเย็นโดยปรารถนาความโปรดปรานจากพระองค์ ไม่เป็นภัยแก่เจ้าแต่อย่างใด ในการชำระพวกเขาและก็ไม่เป็นภัยแก่พวกเขาแต่อย่างใด จากการชำระเจ้าแล้วเหตุใดเจ้าจึงจะขับไล่พวกเขา? (ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นแล้ว) เจ้าก็จะกลายเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรม
53. และในทำนองนั้นเราได้ทดสอบบางคนของพวกเขาด้วยอีกบางคนเพื่อพวกเขาจะได้กล่าวว่า ชนเหล่านี้กระนั้นหรือ ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาแก่พวกเขา ในระหว่างพวกเรา อัลลอฮฺนั้นมิใช่เป็นผู้ทรงรู้ยิ่งต่อบรรดาผู้ที่กตัญญูดอกหรือ?


คำแปล R5.
๕๐. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงบอกแก่ชนชาวมักกะห์เถิดว่า ฉันไม่ได้พูดแก่พวกท่านว่า “คลังแห่งอาหารจากอัลเลาะห์มีอยู่ที่ฉัน” ไม่เป็นการอันสมควรเลยที่พวกเจ้าจะขอจากฉันให้พวกเจ้ามีความกว้างขวางและร่ำรวยในทรัพย์สิน ฉันมิได้พูดแก่พวกท่านเลยว่า “ฉันรู้สิ่งเร้นลับ” จึงไม่เป็นการสมควรเหมือนกันที่จะให้ฉันรายงานเรื่องในอดีตของพวกท่านและทายเหตุการณ์ในอนาคตของพวกท่านและฉันก็มิได้พูดแก่พวกท่านว่าฉันคือมลาอิกะห์ พวกท่านไม่น่าจะตำหนิฉันว่า ฉันกิน ฉันเดินไปมาแถวตลาด ฉันมีภรรยาเป็นต้น ความจริงเรื่องไม่กิน ไม่เดินไปมาแถวตลาด และอื่น ๆ อีกหลายอย่างดังกล่าวนั้น เป็นคุณลักษณะของเหล่ามลาอิกะห์ต่างหาก ฉันมิได้เจริญรอยตามอื่นใดนอกจากสิ่งที่ถูกอัลเลาะห์ดลมายังฉันเท่านั้น โอ้มุฮำมัด เจ้าจงบอกแก่ชนชาวมักกะห์เถิด คนตาบอด คือพวกกาฟิร กับคนตาดี คือพวกผู้ศรัทธานั้นจะเสมอกันได้หรือ ? ย่อมไม่เสมอกันแน่นอน ทำไมถึงพวกเจ้าไม่สดับฟังและตรึกตรองเนื้อความนี้ที่เป็นความจริงเล่า ? อันนี้เองพวกเจ้าจึงเป็นพวกกาฟิรกัน
๕๑. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงใช้คัมภีร์อัล-กุรอานตักเตือนบรรดาชนที่เกรงกลัวพวกตนจะถูกให้ไปรวมกันยังที่สอบสวนแห่งองค์อภิบาลของพวกเหล่านั้นว่า สำหรับพวกเหล่านั้น นอกจากพระองค์อัลเลาะห์แล้วย่อมไม่มีผู้สงเคราะห์ให้พวกเขาพ้นการลงโทษในภาคภพนี้ และไม่มีผู้ขอพิทักษ์รักษาต่ออัลเลาะห์ให้เขารอดพ้นจากการเข้าสู่ขุมนรกในภาคภพอาคิเราะห์ได้เลย เพื่อว่าพวกนั้นจะได้ยำเกรง โดยการถอนตัวออกจากความชั่วช้า และหันกลับมาบำเพ็ญแต่การดี
๕๒. และโอ้มุฮำมัดเจ้าอย่าได้ขับไล่บรรดาชนคณะหนึ่งอันมีฐานะยากจนอันได้แก่ อัมมาร บิลาล และสุไฮบ์ ที่เคารพบูชาองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขาอยู่ทั้งยามเช้ายามเย็น โดยพวกเขานั้นแสดงความเคารพบูชา มุ่งจดจ่ออยู่แต่เฉพาะพระองค์เท่านั้น หาได้มุ่งหาประโยชน์อื่นใดในภาคภพนี้เลยไม่ ฝ่ายพวกมุชริกได้ตำหนิรังเกียจชนคณะนั้น แล้วขอร้องให้พระศาสดามุฮำมัดขับไล่พวกนี้ให้ออกไป เพื่อพวกตนจะได้สังคมใกล้ชิดกับพระศาสดามุฮัมมัด แล้วพระศาสดามุฮัมมัดก็มุ่งหมายจะกระทำตามคำขอร้องนั้น ทั้งนี้ก็หวังจะให้ผู้มาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นสมาชิกเพิ่มมากขึ้น อัลเลาะห์จึงตรัสว่า โอ้มุฮำมัด เจ้าไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบเรื่องโชคลาภของพวกนั้น และพวกนั้นก็ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องโชคลาภของเจ้า เจ้าจึงไม่ควรขับไล่พวกนั้น เกรงว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ไม่เป็นธรรม แม้นว่าเจ้าขับไล่
๕๓. เช่นเดียวกับความเจ็บแค้นดังที่กล่าวมาแล้วนี้เอง เรา(อัลเลาะห์)จึงได้ให้เกิดเป็นภัยขึ้นซึ่งกันและกันระหว่างพวกที่ร่ำรวยกับพวกที่ยากจน คือว่าคนที่ร่ำรวย เราได้ให้เขาต้องรับความเจ็บแค้น เพราะแรงริษยาที่คนยากจนได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามก่อนพวกตน สำหรับคนที่ยากจน เราก็ได้ให้เขาได้รับความเจ็บแค้นเพราะแรงริษยาที่คนร่ำรวยมีอันจะกินกว่า และบรรดาที่มีเกียรติ มีศักดิ์เราก็ให้เขาได้ความแค้นใจเพราะแรงริษยาที่ผู้ไร้เกียรติศักดิ์ได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามก่อน ผู้ไม่มีเกียรติศักดิ์ก็เหมือนกัน ต้องได้รับความเจ็บแค้นเพราะแรงริษยาผู้มีเกียรติศักดิ์ ที่มีผู้คนนับหน้าถือตา ความอิจฉาริษยาที่กล่าวนี้เองคือความเจ็บแค้น เพื่อว่าในที่สุดพวกเหล่านั้นทั้งฝ่ายที่ร่ำรวยและที่มีเกียรติมีศักดิ์จะได้กล่าวถ้อยคำปฏิเสธว่า พวกยากจนเหล่านั้นนะหรือ ? อัลเลาะห์มิได้ทรงเมตตาการุณโดยให้ได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามก่อนกว่าพวกเราหรอก ถ้าแม้นว่าการเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นการดีแล้ว พวกยากจนก็คงจะเข้ามารับนับถือก่อนเราไม่ได้ แต่ปรากฏว่าพวกนั้นได้เข้าอิสลลามก่อนพวกเรา จึงเป็นว่าอิสลามหาใช่วิถีทางเที่ยงตรงไม่ และเพื่อว่าในที่สุดพวกที่ยากจนและที่ไร้เกียรติศักดิ์จะได้กล่าวถ้อยคำหักล้างว่าพวกมีเกียรติและพวกที่ร่ำรวยนั้นว่า อัลเลาะห์จะไม่ทรงเมตตาการุณโดยให้พวกนั้นเป็นคนที่มีผู้นับหน้าถือตา และเป็นผู้ร่ำรวยเกินหน้าพวกเราเช่นเดียวกัน ถ้าแม้นว่าเกียรติศักดิ์และความร่ำรวยเป็นหนทางที่เที่ยงตรงแล้ว พวกนั้นก็คงจะไม่ร่ำรวยและมีเกียรติศักดิ์ได้ก่อนพวกเราหรอก แต่เท่าที่พวกนั้นได้ร่ำรวยและมีเกียรติศักดิ์ก่อนพวกเรานี้ แสดงว่าทั้งสองอย่างนั้นหาใช่เป็นหนทางอันเที่ยงตรงไม่ อัลเลาะห์ตรัสโต้พวกที่มีเกียรติศักดิ์และที่ร่ำรวยดังกล่าวข้างต้นว่า อัลเลาะห์รู้ดีถึงบรรดาผู้ที่รู้จักคุณของพระองค์มิใช่หรือ? พระองค์จึงได้ชี้ชวนบรรดาผู้รู้จักพระคุณของพระองค์ให้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม พวกนั้นทูลตอบพระองค์ว่า พระองค์ทรงรู้ดีถึงบรรดาที่รู้จักพระคุณขอรับ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 54 - 58


คำอ่าน
54. วะอิซาญา...อะกัลละซีนะ ยุอ์มินูนะ บิอายาตินา ฟะกุลสะลามุนอะลัยกุม กะตะบะร็อบบุกุม อะลานัฟสิฮิรฺเราะหฺมะฮฺ อัน..นะฮู มันอะมิละ มิน..กุมสู...อัม..บิญะฮาละติน..ษุม..มะตาบะ มิม..บะอฺดิฮี วะอัศละหะ ฟะอัน..นะฮูเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
55. วะกะซาลิกะ นุฟัศศิลุลอายาติ วะลิตัสตะบีนะ สะบีลุลมุจญริมีน
56. กุลอิน..นี นุฮีตุ อันอะฮฺบุดัลละซีนะ ตัดอูนะ มิน..ดูนิลลาฮิ กุลลา..อัตตะบิอุ อะฮฺวา...อะกุม ก็อดเฎาะลัลตุ อิเซา..วะมาอะนะ มินัลมุฮฺตะดีน
57. กุลอิน..นี อะลาบัยยินะติม..มิรฺร็อบบี วะกัซซับตุม..บิฮี มาอิน..ดี มาตัสตะอฺญิลูนะบิฮฺ อินิลหุกมุ อิลลาลิลลาฮฺ ยะกุศศุลหักเกาะ วะฮุวะค็อยรุลฟาศิลีน
58. กุลเลาอัน..นะอิน..ดี มาตัสตะอฺญิลูนะบิฮี ละกุฎิยัลอัมรุ บัยนีวะบัยนะกุม วัลลอฮุ อฺละมุ บิซซอลิมีน


คำแปล R1.
54. When those who believe in our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) come to you, say: "Salamun 'Alaikum" (peace be on you); Your Lord has written Mercy for himself, so that, if any of you does evil in ignorance, and thereafter repents and does righteous good deeds (by obeying Allah), then surely, He is Oft-Forgiving, Most Merciful.
55. And thus do we explain the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) in detail, that the Way of the Mujrimun (criminals, polytheists, sinners), may become manifest.
56. Say (O Muhammad): "I have been forbidden to Worship those whom you invoke (worship) besides Allah." say: "I will not follow your vain desires. If I did, I would go astray, and I would not be one of the rightly guided."
57. Say (O Muhammad): "I am on clear proof from my Lord (Islamic Monotheism), but you deny (the truth that has come to me from Allah). I have not gotten what you are asking for impatiently (the torment). The decision is only for Allah, He declares the truth, and He is the best of judges."
58. Say: "If I had that which you are asking for impatiently (the torment), the matter would have been settled at once between me and you, but Allah knows best the Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.)."


คำแปล R2.
54. และเมื่อเหล่าชนผู้มีศรัทธาในโองการต่าง ๆ ของเราได้มาหาเจ้า เจ้าก็จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า “ขอสันติสุขได้ประสบแก่พวกท่านเถิด องค์อภิบาลของพวกท่านได้ทรงลิขิตเมตตาธิคุณไว้เฉพาะที่พระองค์แล้วว่า” แท้จริงผู้ใดจากพวกเจ้าประพฤติความเลวร้ายโดยโง่เขลา(รู้เท่าไม่ถึงการณ์)แล้วเขาก็ขอสารภาพผิดภายหลังจากนั้น และปรับปรุงตัวเอง(ด้วยการประพฤติแต่ความดีต่าง ๆ ) แน่นอนพระองค์ทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
55. และเช่นนั้นเอง เราได้แจกแจงบรรดาโองการต่าง ๆ (แห่งอัลกุรอาน เพื่อเป็นธรรมนูญชีวิตแห่งพวกเจ้าทั้งมวล)และเพื่อแนวทางของธุรชนทั้งหลายจะได้กระจ่างชัดขึ้น (จนวสามารถจำแนกและหลีกห่างได้อย่างสะดวกสบาย)
56. จงประกาศเถิด ! แท้จริงฉันถูกห้ามมิให้ทำการนมัสการแก่บรรดาสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายทำการนมัสการนอกจากอัลเลาะฮฺ เจ้าจงประกาศอีกว่า “ฉันไม่ขอตามอารมณ์ของพวกท่าน เพราะแท้จริง (หากฉันตามอารมณ์พวกนั้น) ฉันก็ย่อมหลงผิดโดยพลัน และตัวฉันก็จะมิใช่ผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ได้รับการชี้นำอย่างแน่นอน
57. จงประกาศเถิด ! “แท้จริงฉันตั้งมั่นอยู่บนหลักฐานอันเด่นชัดแล้ว จากองค์อภิบาลของฉัน(คืออัลกุรอาน) แต่พวกท่านซิที่กล่าวว่า สิ่งนั้น(อัลกุรอาน)เป็นความเท็จ ฉันไม่มีหรอกสิ่งที่พวกท่านเร่งเร้าแก่มัน(จะให้อุบัติขึ้นเร็ว ๆ นั่นคือการถูกลงโทษ เป็นการเย้ยหยัน) ที่จริงแล้ว การตัดสินไม่มี(เป็นของผู้ใด)หรอก นอกจากเป็นของอัลเลาะฮฺ เท่านั้นเพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงแถลงแต่สัจธรรมและพระองค์ทรงเป็นผู้ชี้ขาดที่ประเสริฐสุด
58. จงประกาศเถิด ! มาดแม้นที่ฉันมี (ความสามารถที่จะลงโทษอันเป็น)สิ่งที่พวกท่านได้เคยขอให้มันเกิดขึ้นอย่างเร็วไวแล้ว แน่นอน การงาน(การลงโทษดังกล่าว) ก็ย่อมถูกให้ลุล่วงไปแล้วระหว่างฉันและระหว่างพวกท่าน และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งกับบรรดาผู้ฉ้อฉลทั้งมวล


คำแปล R3.
54. และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธาในอายะฮฺทั้งหลายของเรามายังเจ้า จงกล่าวแก่พวกเขาว่า “ขอความสันติจงมีแด่ท่าน พระผู้อภิบาลของพวกท่านได้ทรงกำหนดความเมตตาไว้สำหรับพระองค์แล้ว สำหรับในหมู่พวกท่านที่กระทำความชั่วไปโดยไม่รู้ แล้วเกิดสำนึกผิดกลับตัวในภายหลังนั้น แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
55. และในทำนองนี้เอง เราได้ทำให้สัญญาณทั้งหลายของเรากระจ่างชัดและง่าย เพื่อที่จะได้เห็นทางของผู้ผิดอย่างชัดเจน
56. (มุฮัมมัด)จงกล่าวเถิด “แท้จริงฉันถูกห้ามเคารพภักดีสิ่งที่พวกท่านวิงวอนนอกไปจากอัลลอฮฺ” จงกล่าวเถิด “ฉันจะไม่ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกท่าน มิเช่นนั้น ฉันจะหลงผิดและฉันจะไม่อยู่ในหมู่ผู้ถูกนำทาง”
57. จงกล่าวเถิด “ฉันอยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของฉัน และพวกท่านปฏิเสธมัน สิ่งที่พวกท่านรีบเร่งอยากให้มีขึ้นนั้นมิได้อยู่ในอำนาจของฉัน เพราะอัลลอฮฺเท่านั้นที่มีอำนาจแต่ผู้เดียวในการตัดสิน พระองค์ทรงแจ้งสัจธรรม และพระองค์เป็นเลิศแห่งผู้ตัดสินทั้งหลาย”
58. จงกล่าวเถิด “ถ้าฉันมีอำนาจทำสิ่งที่ท่านเร่งอยากให้มีขึ้น การโต้แย้งระหว่างฉันกับพวกท่านก็คงจะยุติแล้ว และอัลลอฮฺทรงรู้ดีว่าจะทำอย่างไรกับบรรดาผู้ทำชั่ว”


คำแปล R4.
54. และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของเราได้มาหาเจ้า(มุฮัมมัด) ก็จงกล่าวเถิดว่าขอความปลอดภัยจงมีแด่พวกท่านเถิดพระเจ้าของพวกเจ้าได้กำหนดการเอ็นดูเมตตาไว้บนตัวของพระองค์ว่า ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากระทำความชั่วโดยไม่รู้แล้วเขาสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวหลังจากนั้นและปรับปรุงแก้ไขแล้ว แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
55. และในทำนองนั้นเราจะแจกแจงโองการทั้งหลาย และเพื่อที่วิถีทางของผู้กระทำผิดจะได้ประจักษ์ชัด
56. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่าแท้จริงฉันถูกห้ามมิให้เคารพสักการะ บรรดาผู้ที่พวกท่านวิงวอนกันอยู่อื่นจากอัลลอฮฺ จงกล่าวเถิดฉันจะไม่ปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเจ้า ถ้าเช่นนั้นแน่นอน ฉันก็ย่อมหลงผิดไปด้วย และฉันก็จะไม่ใช่เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ได้รับคำแนะนำ
57. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) แท้จริงฉันอยู่บนหลักฐานอันชัดเจน จากพระเจ้าของฉัน ในขณะเดียวกันพวกเจ้าก็ปฏิเสธหลักฐานนั้น ที่ฉันนั้นไม่มีสิ่งที่พวกเจ้าเร่งรีบดอกแท้จริงการชี้ขาดนั้นมิใช่สิทธิของใครอื่น นอกจากเป็นสิทธิของอัลลอฮฺเท่านั้น โดยที่พระองค์จะทรงแจ้งความจริง และพระองค์เป็นผู้ที่เยี่ยมที่สุดในบรรดาผู้ชี้ขาด
58. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า หากที่ฉันมีสิ่ง(อำนาจ) ที่พวกเจ้าเร่งรีบกันแล้ว แน่นอนกิจการทั้งหลายก็ถูกชี้ขาดระหว่างฉันกับพวกท่านแล้วและอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรู้ยิ่งต่อผู้อธรรมทั้งหลาย


คำแปล R5.
๕๔. และโอ้มุฮำมัด ได้มีบรรดาชนที่ศรัทธาต่อโองการต่าง ๆ แห่งอัล-กุรอานของเรา(อัลเลาะห์)มาหาเจ้าแล้ว จงกล่าวแก่พวกนั้นด้วยเถิดว่า “ความสุขสวัสดิ์จงมีแก่พวกท่าน”  องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกท่านได้ทรงจารึกเรื่องความเมตตาปราณีเป็นเกณฑ์สำหรับพระองค์ไว้แล้วว่า แท้จริงหากผู้ใดในหมู่พวกท่านประพฤติความชั่วโดยความโง่เขลา ครั้นแล้วผู้นั้นได้ขอสารภาพกลับใจละประพฤติตนเป็นคนชั่วต่อภายหลัง และปรับตนเองเป็นคนดีด้วยปฏิบัติศาสนกิจให้ดียิ่งขึ้นได้แล้ว แน่นอนอัลเลาะห์ก็ทรงยิ่งในการให้อภัยแก่ผู้นั้น ทรงโปรดปราณียิ่งต่อผู้นั้นด้วย
๕๕. ดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้นแห่งซูเราะห์อัล-อันอาม จนบัดนี้ นี้แหละเรา(อัลเลาะห์)จึงได้แจกแจงบรรดาโองการจากอัล-กุรอานของเราไว้เพื่อให้ความจริงปรากฏขึ้นเป็นของจริงที่ถูกประพฤติปฏิบัติ และเพื่อให้แนวทางของบรรดาผู้ประกอบการบาปเป็นที่กระจ่างขึ้นแก่เจ้าเพื่อให้เจ้าออกห่างเสีย
๕๖. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกที่ยังมั่นคงอยู่ในความเป็นมุชริกเพื่อตัดปัญหาการโลภมากซึ่งไร้ประโยชน์ของพวกนั้น ที่หวังจะได้ตัวเจ้ามาเป็นผู้อยู่ในศาสนาเดียวกับพวกนั้นว่า ฉันถูกห้ามเคารพบูชาบรรดาเทวรูปที่พวกท่านเคารพอยู่ หาใช่พระองค์ไม่ซึ่งเรื่องนี้ฉันเองได้ถูกห้ามไว้ด้วยหลักฐานทางปัญญาและทางพระคัมภีร์อัล-กุรอาน โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกดังกล่าวนี้อีกว่า ฉันไม่เจริญตามอารมณ์แห่งกิเลสของพวกท่านที่ยอมบูชากิเลสหรอก ถ้าอย่างนั้นฉันก็หลงงมงายซิ และฉันย่อมไม่ใช่ผู้หนึ่งจากพวกได้รับหนทางนำแน่นอนทีเดียว
๕๗. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่พวกดังกล่าวนี้อีกว่าฉันมั่นในหลักการแห่งองค์พระผู้อภิบาลแห่งฉันอยู่แล้ว แต่พวกท่านกลับหาว่าพระองค์เท็จ ทั้งนี้เนื่องจากว่าพวกท่านนับถือพระเจ้าอื่นมาเป็นภาคีเทียบเคียงกับพระองค์ในทางเคารพบูชา สำหรับฉันไม่มีสิทธิ์ลงโทษอันใดให้ตามที่พวกท่านอยากได้เร็ว ๆ หรอก หากแต่การพิพากษาให้การลงโทษเป็นสิทธิแด่อัลเลาะห์องค์เดียวเท่านั้นซึ่งพระองค์จะทรงแถลง คำตัดสินความจริงด้วยว่าพระองค์เป็นผู้ทรงเลิศยิ่งกว่าผู้พิพากษาที้งหลาย
๕๘. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกดังกล่าวนี้อีกว่า ถ้าหากฉันมีสิทธิแห่งการลงโทษใด ๆ ให้ตามที่พวกท่านอยากได้เร็วด้วยแล้ว เรื่องก็จะเสร็จได้แค่ตัวฉันกับพวกท่านเท่านั้น โดยฉันจะให้พวกท่านได้รับโทษเสียเลยเร็ว ๆ แล้วฉันจะได้สบายอกสบายใจ แต่ทว่าการนี้เป็นการที่มีเตรียมอยู่ที่อัลเลาะห์ อัลเลาะห์ทรงรู้ดีถึงพวกที่คดโกงทั้งหลายว่า เมื่อไรพวกนี้จะถูกลงโทษทรมาน แล้วเมื่อถึงเวลานั้น พระองค์ก็จะทรงลงโทษทรมานพวกนั้นเสียเลย



 

GoogleTagged