ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 6 สูเราะฮฺ อัล-อันอาม  (อ่าน 7227 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 59 - 62


คำอ่าน
59. วะอินดะฮู มะฟาติหุลฆ็อยบิ ลายะอฺละมุฮา..อิลลาฮู วะยะอฺละมุมาฟิลบัรฺริ วัลบะหฺริ วะมาตัสกุฏุ มิว..วะเราะเกาะติน อิลลายะอฺละมุฮา วะลาหับบะติน..ฟิซซุลุมาติลอัรฺฎิ วะลาร็อฎบิว..วะลายาบิสิน อิลลาฟีกิตาบิม..มุบีน
60. วะฮุวัลละซี ยะตะวัฟฟากุม..บิลลัยลิ วะยะอฺละมุ มาญะเราะหฺตุม..บิน..นะฮาริ ษุม..มะยับอะษุกุมฟีฮิ ลิยุกฎอ อะญะลุม..มุสั..มา ษุม..มะอิลัยฮิมัรฺญิอุกุม ษุม..มะยุนับบิอุกุม..บิมากุน..ตุมตะอฺมะลูน
61. วะฮุวัลกอฮิรุ เฟาเกาะอิบาดิฮี วะยุรฺสิลุอะลัยกุม หะฟะเซาะตัน หัตตา..อิซาญา...อะ อะหะดะกุมุลเมาตุ ตะวัฟฟัตฮุ รุสุลุนา วะฮุมลายุฟัรฺริฏูน
62. ษุม..มะรุดดู..อิลัลลอฮิ เมาลากุมุลหักกิ อะลาละฮุลหุกมุ วะฮุวะอัสเราะอุลหาสิบีน

 
คำแปล R1.
59. And with Him are the keys of the Ghaib (all that is hidden), none knows them but He. and He knows whatever there is in (or on) the earth and in the sea; not a leaf falls, but He knows it. There is not a grain in the darkness of the earth nor anything fresh or dry, but is written in a clear record.
60. It is He, who takes your souls by night (when you are asleep), and has knowledge of all that you have done by day, then He raises (wakes) you up again that a term appointed (your life period) be fulfilled, then in the end unto Him will be your return. Then He will inform you what you used to do.
61. He is the irresistible, supreme over his slaves, and He sends guardians (angels guarding and writing all of one's good and bad deeds) over you , until when death approaches one of you, our Messengers (angel of death and his assistants) take his soul, and they never neglect their duty.
62. Then they are returned to Allah, their Maula [true Master (God), the just Lord (to reward them)]. Surely, his is the judgment and He is the swiftest in taking account.


คำแปล R2.
59. และ ณ พระองค์ มีบรรดากุญแจไขความเร้นลับ ซึ่งไม่(มีผู้ใด)รู้ในสิ่งเหล่านั้นนอกจากพระองค์เท่านั้น และพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่มีอยู่บนพื้นบกและท้องทะเล และไม่มีใบไม้ใด ๆ ที่ร่วงหล่น(จากต้นของมัน) นอกจากพระองค์ต้องทรงรู้ และไม่มีเมล็ดพันธุ์ไม้ใด ๆ (ที่จะหล่นจากลำต้น)ในความมืดแห่งแผ่นดินและไม่มีทั้งสดและไม่มีทั้งแห้ง (ที่ร่วงหล่นจากลำต้น)นอกจาก (ทั้งหมดนั้นมีปรากฏ)ในบันทึก(เลาฮุลมะฮฺฟูซ)อันชัดเจน
60. และพระองค์ทรงเป็นผู้ให้พวกเจ้าได้นอนหลับในยามกลางคืน และทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำในตอนกลางวัน หลังจากนั้นพระองค์ทรงให้พวกเจ้าตื่นขึ้นในเวลา(กลางวัน)นั้น เพื่อให้อายุขัยที่ถูกกำหนดไว้ถูกทำให้ครบบริบูรณ์(ตามกำหนดนั้นโดยแท้จริง) หลังจากนั้น ไปยังพระองค์เท่านั้นที่เป็นจุดหมายสุดท้ายของพวกเจ้า หลังจากนั้นพระองค์ก็จะทรงแถลงแก่พวกเจ้า ถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้เคยประพฤติ(มาก่อน)
61. และพระองค์เป็นผู้ทรงมหิทธานุภาพเหนือข้าทาสของพระองค์ และพระองค์ทรงส่งบรรดา(มลาอิกะฮฺ)ผู้พิทักษ์มายังพวกเจ้า (เพื่อสอดส่องและบันทึกความปะพฤติทั้งมวลของพวกเจ้า) จนเมื่อ(กำหนด)ความตายได้มาถึงคนใดคนหนึ่งของพวกเจ้า บรรดา(มลาอิกะฮฺผู้เป็น)ทูตของเราก็จะทำให้เขาสิ้นชีพโดยพวกเขาไม่ได้ละเลย(ในหน้าที่ปลิดชีวิตดังกล่าวนั้นแต่ประการใด ๆ)
62. หลังจากนั้น พวกเขา(ที่ถูกปลิดชีวิตนั้น)ก็จะถูกส่งกลับคืนสู่อัลเลาะฮฺผู้ทรงคุ้มครองพวกเขาอย่างแท้จริง พึงทราบเถิดการตัดสินย่อมเป็นเอกสิทธิ์ของพระองค์ และพระองค์ทรงรีบด่วนที่สุดจากบรรดาผู้สอบสวนทั้งหลาย


คำแปล R3.
59. และพระองค์เท่านั้นที่มีกุญแจแห่ง “สิ่งพ้นญาณวิสัย” ไม่มีใครล่วงรู้มันนอกจากพระองค์ พระองค์ทรงรอบรู้ที่อยู่ในแผ่นดิน และในทะเล และไม่มีแม้แต่ใบไม้สักใบเดียวที่ร่วงหล่น เว้นแต่พระองค์ทรงรู้ดี และไม่มีแม้แต่เมล็ดพืชในความมืดของแผ่นดินที่พระองค์ไม่ทรงรู้ ทุกสิ่งที่สดและเหี่ยวแห้งได้ถูกบันทึกไว้หมดแล้วในคัมภีร์อันชัดแจ้ง
60. และพระองค์ทรงเรียกพวกท่านกลับในตอนกลางคืนและทรงรอบรู้ที่พวกท่านทำในตอนกลางวัน แล้วพระองค์ทรงทำให้พวกท่านกลับคืนสู่ยามนั้นอีก เพื่อที่พวกท่านจะได้มีชีวิตครบวาระที่ได้ถูกกำหนดไว้ หลังจากนั้น ยังพระองค์ที่พวกท่านจะคืนกลับ แล้วพระองค์จะทรงแจ้งพวกท่านตามที่พวกท่านได้กระทำ
61. และพระองค์ทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือปวงบ่าวของพระองค์ และทรงแต่งตั้งบรรดาผู้เฝ้าจับตาพวกท่านอยู่ จนกระทั่งเวลาแห่งความตายของผู้ใดในหมู่พวกท่านได้มาถึง ทูตของเราก็จะเอาวิญญาณเขาไป และพวกเขาจะไม่บกพร่องในหน้าที่แม้แต่นิดเดียว
62. แล้วทั้งหมดจะถูกนำกลับมายังอัลลอฮฺ ผู้เป็นนายที่แท้จริงของพวกเขา บัดนี้จงระวังให้ดีว่าอำนาจในการพิพากษาเป็นของพระองค์เท่านั้น และพระองค์ทรงฉับพลันยิ่งในหมู่ผู้คิดชำระ”


คำแปล R4.
59. และที่พระองค์นั้นมีบรรดากุญแจแห่งความเร้นลับโดยที่ไม่มีใครรู้กุญแจเหล่านั้น นอกจากพระองค์เท่านั้น และพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และในทะเล และไม่มีใบไม้ใด ร่วงหล่นลงนอกจากพระองค์จะทรงรู้มัน และไม่มีเมล็ดพืชใด ซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดของแผ่นดิน และไม่มีสิ่งที่อ่อนนุ่มใด และสิ่งที่แห้งใด นอกจากจะอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง
60. และพระองค์คือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าตายในเวลากลางคืน และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำขึ้นในเวลากลางวัน แล้วก็ทรงให้พวกเจ้าฟื้นคืนชีพในเวลานั้น เพื่อว่าเวลาแห่งอายุที่ถูกกำหนดไว้นั้นจะได้ถูกใช้ให้หมดไป แล้วยังพระองค์นั้นคือการกลับไปของพวกเจ้า แล้วพระองค์จะทรงบอกแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
61. และพระองค์คือผู้ทรงชนะเหนือปวงบ่าวของพระองค์  และทรงส่งบรรดาผู้บันทึกความดีและความชั่ว  มายังพวกเจ้าด้วย จนกระทั่งเมื่อความตายได้มายังคนใดในพวกเจ้าแล้ว บรรดาทูตของเราก็จะรับชีวิตของพวกเขาไป โดยที่พวกเขาจะไม่ทำให้บกพร่อง
62. แล้วพวกเขาก็ถูกนำกลับไปยังอัลลอฮฺผู้เป็นนายอันแท้จริงของพวกเรา พึงรู้เถิดว่า การชี้ขาดนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น และพระองค์เป็นผู้รวดเร็วยิ่งในหมู่ผู้ชำระทั้งหลาย


คำแปล R5.
๕๙. และที่ถูกเตรียมอยู่ที่พระองค์นั้นมีคลังทั้งห้าแห่งความเร้นลับซึ่งไม่มีใครรู้มันได้นอกจากพระองค์กล่าวคือ ๑. ไม่มีผู้ใดรู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ ๒. ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งซึ่งแฝงอยู่ในส่วนมดลูก ๓. ไม่มีใครรู้ว่าเขาเองจะทำอะไรในวันรุ่งขึ้น ๔. ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตัวเองจะตาย ณ ที่ใด และ ๕. ไม่มีผู้ใดรู้ว่าฝนจะตกเมื่อใด ทั้งห้านี้ อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงรู้โดยถูกต้องที่สุด พระองค์ทรงรู้ถึงสิ่งที่มีอยู่ ณ แผ่นดินทุรกันดาร และแผ่นดินอุดมที่ตั้งอยู่ชายทะเล เพราะในที่ทั้งสองแห่งที่ว่านี้ย่อมมีสิ่งประหลาด ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างสรรค์แฝงอยู่ สิ่งแปลก ๆ ที่เกิดขึ้น ณ แหล่งต่าง ๆ ทั้งที่ทุรกันดารก็ดีและที่อุดมบริบูรณ์ก็ดีแสดงถึงพลานุภาพอันใหญ่หลวงของพระองค์ และแสดงถึงความรอบรู้อย่างกว้างขวางยิ่งนักของพระองค์ด้วย ใบไม้ร่วงหล่นมิได้ นอกจากพระองค์จะทรงรู้อยู่ด้วย พระองค์จะทรงให้มันร่วงตามความประสงค์ของพระองค์ ทรงรู้จำนวนมากน้อยแห่งใบไม้ที่ร่วงแล้วจากต้นของมันและทียังติดอยู่กับต้นของมัน แม้แต่เมล็ดพืชที่ก่อนจะงอกซึ่งจมมิดอยู่ในแผ่นดินและเมล็ดพืชที่อยู่ในหิน ซึ่งอยู่ใต้ชั้นเจ็ดของแผ่นดินและแม้เมล็ดสดและเมล็ดตายก็เอาเถอะ พระองค์ย่อมรู้ถึงภาวะแห่งความเป็นไปของมันได้ทุก ๆ อย่าง ที่กล่าวถึงนั้นมิได้ถูกจัดไว้ที่ไหนอื่น หากแต่มีบ่งไว้ในทะเบียนเดิมอันเป็นแผ่นศิลาถูกแขวนไว้ใต้ฟากฟ้าชั้นที่ ๙ อย่างแจ้งชัด
๖๐. พระองค์คือผู้ทรงปลิดประสาทรับรู้ของพวกเจ้าในยามค่ำคืนขณะนอน และทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติการในตอนกลางวัน ครั้นแล้วในตอนกลางวันนี้เอง พระองค์ก็ทรงให้พวกเจ้าตื่นขึ้นเพื่อวาระแห่งอายุที่กำหนดไว้จะได้สิ้นสุด แล้วในบั้นปลายของพวกเจ้าจะ ถูกเกิดใหม่ในวันปรโลก คืนกลับไปสู่การสอบสวนของพระองค์ จากนั้นไปอีกพระองค์ก็จะทรงรายงานให้พวกเจ้าทราบถึงผลกรรมที่พวกเจ้าเคยได้กระทำกันมา แล้วพระองค์จะทรงตอบสนองแก่พวกเจ้าตามผลกรรมนั้น
๖๑. แหละว่าพระองค์นั้นคือพระผู้ทรงมหิทธิพลอยู่เหนือเหล่าข้าพระองค์ ทรงดำเนินกิจการทั้งสิ้นของบรรดาข้าของพระองค์ ทั้งจะทรงกำหนดการแก่พวกข้าของพระองค์เป็นอย่างไรก็ได้ตามความมุ่งประสงค์ของพระองค์ อาทิ ทรงให้มี ให้สูญ ให้เป็น ให้ตาย ให้บุญกุศลและให้การลงโทษ เป็นต้น แต่พระองค์ก็ทรงแต่งตั้งมลาอิกะห์ผู้รักษาการณ์ประจำไว้ที่พวกเจ้าด้วย ให้มลาอิกะห์เหล่านี้คอยลงบันทึกกรรมดีและกรรมชั่วของพวกเจ้า จนกว่าเมื่อไรความตายได้มาถึงพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งนั่นแหละ มลาอิกะห์ผู้เป็นมรณทูตของเรา(อัลเลาะห์)จึงจะปลิดชีพผู้นั้นโดยไม่ละเลยต่อหน้าที่ที่ถูกบัญชาใช้
๖๒. ต่อแต่นั้นพวกมนุษย์เหล่านี้ถูกนำคืนไปยังการสอบสวนของอัลเลาะห์ องค์พระผู้พิทักษ์ที่แท้จริงของพวกเขา พระผู้ทรงธรรมยิ่งต่อบรรดาข้าของพระองค์ พระองค์จะทรงตอบสนองผลกรรมแก่พวกข้าของพระองค์เหล่านั้นด้วย ระวังนะ การพิพากษาที่ลุล่วงไปโดยเด็ดขาดนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น ด้วยว่าพระองค์นั้นทรงรวดเร็วยิ่งกว่าบรรดาผู้สอบสวนทั้งหลาย ทรงทำการสอบสวนเสร็จลงได้เพียงในครึ่งวันในภพปัจจุบันนี้(ดุนยา) เท่านั้น



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 63 - 67


คำอ่าน
63. กุล มัย..ยุนัจญีกุม..มิน..ซุลุมาติลบัรฺริ วัลบะหฺริ ตัดอูนะฮู วะฎ็อรฺรุเอา..วะคุฟยะตัล ละอิน อัน..ญานา มินฮาซิฮี ละนะกูนัน..นะ มินัชชากิรีน
64. กุลิลลาฮุ ยุนัจญ๊กุม..มินฮา วะมิน..กุลลิ กัรฺบิน..ษุม..มะอัน..ตุม..มุชริกูน
65. กุลฮุวัลกอดิรุ อะลา..อัย..ยับอะษะ อะลัยกุมอะซาบัม..มิน..เฟากิกุม เอามิน..ตะหฺติอัรฺญุลิกุม เอายัลบิสะกุม ชิยะเอา..วะยุซีเกาะบะอฺเฎาะกุม บะอ์สะบะอฺฎฺ อุน..ซุรฺกัยฟะ นุศ็อรฺริฟุลอายาติ ละอัลละฮุมยัฟเกาะฮูน
66. วะกัซซะบะบิฮี ก็อวมุกะ วะฮุวัลหักกุ กุลลัสตุอะลัยกุม..บิวะกีล
67. ลิกุลลินะบะอิม..มุสตะก็อรฺ วะเสาฟะ ตะอฺละมูน


คำแปล R1.
63. Say (O Muhammad): "Who rescues you from the darkness of the land and the sea (dangers like storms), when you call upon Him in humility andi secret (saying): if He (Allah) only saves us from this (danger), we shall truly be grateful."
64. Say (O Muhammad): "Allah rescues you from it and from all (other) distresses, and yet you worship others besides Allah."
65. Say: "He has power to send torment on you from above or from under your feet, or to cover you with confusion in party strife, and make you to taste the violence of one another." See how variously we explain the Ayat (proofs, evidences, lessons, signs, revelations, etc.), so that they may understand.
66. But your people (O Muhammad) have denied it (the Qur'an) though it is the truth. Say: "I am not responsible for your affairs."
67. For every news there is a fact, i.e. for everything there is an appointed term (and it is also said that for every deed there is a recompense) and you will come to know.


คำแปล R2.
63. จงประกาศเถิด ! “ใครเล่าที่ยังความปลอดภัยแก่พวกท่าน จากความมือมนแห่งพื้นบกและท้องทะเล พวกท่านวอนขอพระองค์โดยความนอบน้อมและเงียบสงัด ขอสาบาน! หากพระองค์ยังความปลอดภัยแก่พวกเราจากสิ่งเหล่านี้(ความมืดต่าง ๆ ดังกล่าว) แน่นอนพวกเราก็เป็นหนึ่งจากบรรดาผู้มีความกตัญญู (ต่อพระองค์)
64. จงประกาศเถิด ! อัลเลาะฮฺทรงประทานความปลอดภัยแก่พวกเจ้าจากมัน และจากความทุกข์ระทมทุกประการ แต่แล้วหลังจากนั้น)เมือ่ความทุกข์ได้รับการผ่อนคลายไปแล้ว)พวกเจ้าก็ตั้งภาคี(ต่อพระองค์อีกดังเดิม)
65. จงประกาศเถิด ! พระองค์ทรงมหิทธานุภาพที่จะทรงส่งการลงโทษจากเบื้องบนของพวกท่านให้ลงมาบนพวกท่าน(เช่นวาตภัยเป็นต้น) หรือจากใต้เท้าของพวกท่าน(เช่นแผ่นดินถล่ม) หรือทรงให้พวกท่านสับสนเป็นกลุ่ม ๆ (ที่รวมตัวกันไม่ติด)และทรงให้บางกลุ่มของพวกท่านลิ้มรสพิษสง(แห่งการทำร้าย)ของอีกบางกลุ่ม จงพิเคราะห์เถิด เราทำการแจกแจงบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ ไว้อย่างไร ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้เข้าใจ(ยิ่งขึ้น)
66. และกลุ่มชนของเจ้าเองได้กล่าวว่าสิ่งนั้น(อัลกุรอาน) เป็นความเท็จ ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นสัจธรรม เจ้าจงประกาศเถิด “ฉันหาใช่ผู้ที่ถูกมอบหมาย(ให้รับผิดชอบในเหตุการณ์ทุก ๆ อย่าง)สำหรับพวกท่านไม่(ฉันเป็นเพียงทูตผู้ประกาศเท่านั้น จึงไม่มีสิทธิอำนาจเกินไปกว่านั้นเลย)
67. ข่าวทุกข่าวนั้น ย่อมไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน (ไม่ว่าจะเป็นข่าวการลงโทษผู้ทำผิดหรือให้รางวัลแก่ผู้ทำดีก็ตาม) และพวกเจ้าจะได้รู้ (อย่างแน่นอน)

 
คำแปล R3.
63. โฮ้ มุฮัมมัด จงถามพวกเขาเถิดว่า “ผู้ใดช่วยพวกท่านให้พ้นจากความหายนะในความมืดของแผ่นดินและในทะเล? ใครที่ท่านวิงวอนอย่างถ่อมตนโดยเงียบ ๆ (ใครที่พวกท่านสัญญาว่า)ถ้าพระองค์ช่วยเราให้พ้นจากความวิบัตินี้ เราจะเป็นผู้กตัญญู”
64. จงกล่าวเถิด “อัลลอฮฺทรงช่วยพวกท่านให้พ้นจากนั้นและจากทุกภัยพิบัติ แต่ถึงกระนั้นพวกท่านก็ยังตั้งภาคีต่อพระองค์”
65. จงกล่าวเถิด “พระองค์ทรงอำนาจที่จะให้การลงโทษบังเกิดแก่พวกท่านจากเบื้องบนพวกท่านหรือจากใต้เท้าพวกท่าน หรือทำให้พวกท่านแตกเป็นก๊กเป็นเหล่าเพื่อให้หมู่หนึ่งของพวกท่านได้ลิ้มการรุกรานของอีกหมู่หนึ่ง” จงดูเถิดว่า เราได้แสดงสัญญาณทั้งหลายของเราในลักษณะต่าง ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร เพื่อพวกท่านจะได้เข้าใจ
66. และหมู่ชนของเจ้าปฏิเสธกุรอาน ทั้ง ๆ ที่กุรอานเป็นสัจธรรม จงกล่าวเถิด “ฉันไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบต่อพวกท่าน
67. สำหรับทุก ๆ เหตุการณ์ได้ถูกกำหนดเวลาให้ปรากฏแล้ว และสูเจ้าจะรู้ในไม่ช้า”


คำแปล R4.
63. จงกล่าวเถิด(มุอัมมัด)ว่า ใครเล่าจะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากบรรดาความมืดของทางบกและทางทะเล โดยที่พวกเจ้าวิงวอนขอต่อเขาด้วยความนอบน้อม และแผ่วเบาว่า ถ้าหากพระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากสิ่งนี้แล้ว แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็จะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้กตัญญูรู้คุณ
64. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮฺจะช่วยพวกท่านให้รอดพ้นจากมันและจากความทุกข์ยากทุกอย่างด้วย แต่แล้วพวกท่านก็ให้มีภาคีขึ้นอีก(แก่พระองค์)
65. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) พระองค์คือผู้ทรงสามารถที่จะส่งการลงโทษมายังพวกท่าน จากเบื้องบนของพวกท่านหรือจากใต้เท้าของพวกท่านหรือ ให้พวกท่านปนเปกันโดยมีหลายพวกและให้บางส่วนของพวกท่านลิ้มรส ซึ่งการรุกรานของอีกบางส่วน จงดูเถิด(มุฮัมมัด) ว่า เรากำลังแจกแจงโองการทั้งหลายอยู่อย่างไร? เพื่อว่าพวกเขาจะได้เข้าใจ
66. และกลุ่มชนของเจ้านั้นได้ปฏิเสธอัลกุรอาน ทั้ง ๆ ที่อัลกุรอานนั้นเป็นสัจธรรม จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันมิใช่ผู้พิทักษ์พวกท่านดอก
67. สำหรับแต่ละข่าวคราวนั้นย่อมมีเวลาที่เกิดขึ้น และพวกเจ้าจะได้รู้


คำแปล R5.
๖๓. โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงถามบรรดาชนชาวมักกะห์เป็นการตำหนิเถิดว่า ใครเล่าจะคอยคุ้มกันให้พวกเจ้าปลอดภัยพ้นจากอันตรายร้ายแรงทางบกทางทะเล ซึ่งจลาจลวุ่นวายขนาดทำให้ความรู้สึกทางร่างกายสูญเสียไปและทำให้สติปัญญางุนงงเมื่อพวกเจ้าจะเดินทาง ในเมื่อพวกเจ้าเองก็ได้นอบน้อมและเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาวิงวอนจ่อพระองค์อยู่แล้วว่า ขอปฏิญญาณตนโดยความสัจจริง หากว่าพระองค์ทรงให้พวกเราพ้นภัยแห่งความคับขันอันนี้ พวกเราก็จะเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ศรัทธา (มุอ์มิน) ที่รู้จักพระคุณ
๖๔. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงบอกกับพวกเหล่านั้นเถิดว่า อัลเลาะห์จะทรงคุ้มกันภัยให้พวกเจ้าปลอดพ้นจากภาวะแห่งความคับขันนั้นและปลอดภัยจากความโศกสลดเรื่องอื่นอีก แต่แล้วพวกเจ้าก็ตั้งเทวรูปขึ้นนับถือบูชาเป็นภาคีเทียบเคียงพระองค์
๖๕. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงบอกแก่พวกเหล่านั้นเถิดว่าพระองค์นั้นทรงพลังในอันที่จะให้เกิดความบรรลัยแก่พวกเจ้าจากเบื้องบน มีฝนหิน เสียงฟ้า และเสียงตวาดของยิบรออีลเป็นต้น หรือจากเบื้องล่างก็ได้ เช่นภัยทางธรณีสูบ หรือให้พวกเจ้าพรากคณะกัน มีกิเลสแปลก ๆ ไปจากกันซึ่งแต่ละคนก็มีหัวหน้าไว้สำหรับดำเนินแนวตาม หรือจะให้พวกเจ้าบางคนได้รู้รสชาติของความคับแค้นแห่งการประหัตประหารจากอีกบางคนเพราะการสงครามก็ได้ โอ้มุฮำมัด เจ้าจงแลดูซิว่า เรา(อัลเลาะห์)ได้แจกแจงบรรดาโองการแห่งพระคัมภีร์อัลกุรอานของเราที่ชี้ว่าเรามีพลังไว้เป็นอย่างไร ? เพื่อว่าพวกเหล่านั้นจะได้เข้าใจ และรู้ได้ว่าศาสนาของพวกนั้นที่กำลังนับถืออยู่นั้นไม่แท้จริงเลย
๖๖. ทั้งประชาชนของเจ้ายังได้หาว่าพระคัมภีร์อัล-กุรอานเป็นเท็จ ทั้งที่เป็นของจริง โอ้มุฮำมัด เจ้าจงบอกแก่พวกเหล่านั้นเถิดว่า “ฉันมิใช่ผู้รับผิดชอบ” ฉันจะตอบสนองอะไรแก่พวกท่านไม่ได้ ความจริงฉันเป็นเพียงผู้ตักเตือนให้เกิดความเกรงกลัวและเพียงแต่จะสั่งใช้ให้พวกท่านเคารพสักการะอัลเลาะห์เท่านั้น หน้าที่ของฉันเพียงสองอย่างนี้นั้น ได้รับก่อนจากมีโองการเรื่องสงครามลงมา
๖๗. ทุกเรื่องย่อมถูกกำหนดไว้ตายตัวแล้ว ทั้งภาคโลกนี้ (ดุนยา) และในปรภพ (อาคิเราะห์) ว่าจะมีปรากฏการณ์นั้นขึ้นเมื่อไร เช่นเรื่องของการลงโทษพวกเจ้า และในกาลภายหน้าพวกเจ้าจึงจะรู้




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 68 - 69


คำอ่าน
68. วะอิซาเราะอัยตัลละซีนะ ยะคูฎูนะฟี..อายาตินา ฟะอะอฺริฎอันฮุม หัตตายะคูฎูฟีหะดีษินฆ็อยริฮฺ วะอิม..มายุน..สิยัน..นะกัชชัยฏอนุ ฟะลาตักอุด บะอฺดัซซิกรอ มะอัลก็อวมิซซอลิมีน
69. วะมาอะลัลละซีนะ ยัตตะกูนะ มินหิสาบิฮิม..น..ชัยอิว..วะลากิน..ซิกรอ ละอัลละฮุมยัตตะกูน


คำแปล R1.
68. And when you (Muhammad) see those who engage in a false conversation about our Verses (of the Qur'an) by mocking at them, stay away from them till they turn to another topic. And if Shaitan (Satan) causes you to forget, then after the remembrance sit not you In the company of those people who are the Zalimun (polytheists and wrongญdoers, etc.).
69. Those who fear Allah, keep their duty to Him and avoid evil are not responsible for them (the disbelievers) in any case, but (their duty) is to remind them, that they may avoid that (mockery at the Qur'an). [The order of this verse was cancelled (abrogated) by the verse 4:140].


คำแปล R2.
68. และเมื่อเจ้ามองเห็นบรรดาผู้ที่ทำการวิพากษ์วิจารณ์(อย่างชั่วร้าย)ในบรรดาโองการต่าง ๆ ของเรา ดังนั้นเจ้าจงผินออกจากพวกเขาเถิด จนกว่าพวกเขาจะทำการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องอื่น ๆ จากนั้น และหากมารร้ายทำให้เจ้าหลงลืม(และเข้าไปนั่งร่วมในพวกที่วิพากษ์วิจารณ์นั้น) เจ้าก็จงอย่านั่งพร้อมกับพวกที่ฉ้อฉลเหล่านั้นอีกต่อไป (จงรีบลุกออกมาเสีย) หลังจากนึกได้(ว่าเจ้าถูกห้ามไว้)
69. และใช่จะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของบรรดาผู้ยำเกรงสักกรณีเดียวจากการสอบสวน (ความผิด) ของพวกนั้น (ชาวเนรคุณ) และแต่ทว่า (ผู้ยำเกรงมีหน้าที่เพียง) ตักเตือน (ให้พวกเนรคุณได้รู้ผิด) เพื่อพวกเขาจะได้มีความยำเกรง


คำแปล R3.
68. และเมื่อเจ้า (มุฮัมมัด)เห็นบรรดาผู้พูดไร้สาระเกี่ยวกับอายะฮฺทั้งหลายของเรา จงหันห่างจากพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะคุยกันในเรื่องอื่นจากนั้น และถ้ามารร้ายทำให้เจ้าหลงลืมในข้อนี้ ดังนั้นจงอย่านั่งร่วมกับพวกอธรรมหลังจากที่เจ้านึกขึ้นได้
69. ส่วนบรรดาผู้สำรวมตนจากความชั่วนั้นถึงแม้จะไม่ต้องรับผิดชอบจากพวกเขาแต่ประการใด แต่พวกเขาก็ต้องตักเตือนเพื่อพวกเขาจะได้ละเว้นจากความชั่ว


คำแปล R4.
68. และเมื่อเจ้าเห็นบรรดาผู้ซึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในบรรดาโองการของเราแล้ว ก็จงออกห่างจากพวกเขาเสีย จนกว่าพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องอื่นจากนั้น และถ้าชัยฏอนทำให้เจ้าลืมแล้ว ก็จงอย่างนั่งรวมกับพวกที่อธรรมเหล่านั้นต่อไป หลังจากที่มีการนึกขึ้นได้
69. และไม่เป็นภัยแก่บรรดาผู้ที่ยำเกรงแต่อย่างใดจากการชำระพวกเขา แต่ทว่าเป็นการตักเตือน (แก่พวกเขา) เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง


คำแปล R5.
๖๘. และโอ้มุฮำมัด ในเมื่อเจ้าได้แลเห็นบรรดาชนชาวมักกะห์ที่พูดเหยียดหยามโองการต่าง ๆ แห่งอัล-กุรอานของเราแล้ว ก็จงผินออกจากพวกนั้นเสีย จนกว่าพวกนั้นจะพูดกันถึงเรื่องอื่นที่มิใช่อัล-กุรอาน แต่ถ้าหากว่าไชตอนมันทำให้เจ้าลืมหลงในโอกาสที่เจ้ากำลังนั่งร่วมวงอยู่กับพวกนั้นแล้ว เจ้าก็จงอย่าได้นั่งร่วมกับกลุ่มชนผู้คดโกงเลย หลังจากที่นึกขึ้นได้แล้ว
๖๙. ฝ่ายบรรดาผู้ศรัทธา(มุอ์มิน)พูดขึ้นว่า ถ้าเราจำเป็นต้องผินออกห่างจากพวกเหล่านั้นเสียทุกครั้งที่พวกนั้นเอ่ยคำเหยียดหยามอัล-กุรอานแล้ว เราก็คงไม่มีโอกาสจะนั่งอยู่ในมัสยิดหรือทำการตอวาฟได้ จึงมีโองการแจ้งมาว่า ในเรื่องบังคับให้ผินออกห่างจากพวกนั้นมิได้เป็นบาปกรรมอะไรเลยสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงอัลเลาะห์ พวกมุอ์มินจะนั่งร่วมอยู่กับพวกนั้นก็ได้ เพียงแต่ให้พวกมุอ์มินคอยเตือนสติและขู่พวกนั้น เพื่อพวกนั้นจะได้ยำเกรงกลัวต่อการที่จะพูดเหยียดหยามอัล-กุรอานบ้างเท่านั้น



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 70 - 73


คำอ่าน
70. วะซะริลละซีนัตตะเคาะซูดีนะฮุม ละอิเบา..วะละฮฺเวา..วะฆ็อรฺร็อตตุมุลหะยาตุดดุนยา วะซักกิรฺบิฮีอัน..ตุบสะละนัฟสุม..บิมากะสะบัต ลัยสะละฮามิน..ดูนิลลาฮิ วะลียยู..วะลาชะฟีอฺ วะอิน..ตะอฺดิลกุลละอัดลิลลายุอ์เคาะซุมินฮา อุลา...อิกัลละซีนะอุบสิลูบิมากะสะบู ละฮุมชะรอบุม..มินหะมีมิว..วะอะซาบุนอะลีม บิมากานูยักฟุรูน
71. กุลอะนัดอูมิน..ดูนิลลาฮิ มาลายัน..ฟะอุนา วะลายะฎุรฺรุนา วะนุร็อดดุอะลา..อะอฺกอบินา บะอฺดะอิซฮะดานัลลอฮุ กัลป์ละซิสตะฮฺวัตฮุชชะยาฏีนุ ฟิลอัรฺฎิหัยรอน ละฮู..อัศหาบุย..ยัดอูนะฮู..อิลัลฮุดะอ์ตินา กุลอิน..นะฮุดัลลอฮิฮุวัลฮุดา วะอุมิรฺนา ลินุสลิมะ ลิร็อบบิลอาละมีน
72. วะอันอะกีมุศเศาะลาตะ วัตตะกูฮฺ วะฮุวัลละซี..อิลัยฮฺ ตุหฺชะรูน
73. วะฮุวัลละซีเคาะละก็อสสะมาวาติวัลอัรฺเฎาะบิลหักกฺ วะเยามะยะกูลุกุน..ฟะยะกูน ก็อวลุฮุลหักกฺ วะละฮุลมุลกุเยามะยุน..ฟะคุฟิศศูรฺ อาลิมุลฆ็อยบิวัชชะฮาดะฮฺ วะฮุวัลหะกีมุลเคาะบีรฺ


คำแปล R1.
70. And leave alone those who take their religion as play and amusement, and are deceived by the life of this world. But remind (them) with it (the Qur'an) lest a person be given up to destruction for that which he has earned, when he will find for himself no protector or intercessor besides Allah, and even if he offers every ransom, it will not be accepted from him. Such are they who are given up to destruction because of that which they have earned. For them will be a drink of boiling water and a painful torment because they used to disbelieve.
71. Say (O Muhammad): "Shall we invoke others besides Allah (false deities), that can do us neither good nor harm, and shall we turn on our heels after Allah has guided us (to true Monotheism)? - like one whom the Shayatin (devils) have made to go astray, confused (wandering) through the earth, his companions calling him to guidance (saying): 'Come to us.' " say: "Verily, Allah's guidance is the only guidance, and we have been commanded to submit (ourselves) to the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns and all that exists);
72. And to perform As-Salat (Iqamat-as-Salat)", and to be obedient to Allah and fear him, and it is He to whom you shall be gathered.
73. It is He who has created the heavens and the earth in truth, and on the Day (i.e. the Day of Resurrection) He will say: "Be!", - and it shall become. His word is the truth. His will be the dominion on the Day when the trumpet will be blown. All-Knower of the unseen and the seen. He is the All-Wise, Well-Aware (of all things).


คำแปล R2.
70. และเจ้าจงโดเดี่ยวบรรดาพวกที่ยึดถือศาสนาเป็นของเล่น และเป็นสิ่งเพลิดเพลิน และพวกเขาถูกชีวิตทางโลกนี้หลอกลวง และเจ้าจงนำอัลกุรอานมาเตือน(พวกเขา)เถิด เพื่อว่าชีวิตหนึ่งจะได้ไม่ถูกกักขัง(อยู่ในนรกหรือในความพินาศ) เพราะสิ่งที่เขาได้พากเพียรไว้ เขาไม่มีผู้คุ้มครองคนใดและไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดอีกแล้ว นอกจากอัลเลาะฮฺ และหากเขาหวังจะไถ่ตัวเขาเองอย่างที่สุดก็ตาม แต่เขาก็ไม่ถูกรับเอาจากการไถ่ตัวนั้นเลย พวกเหล่านั้นเป็นผู้ที่ถูกกักขัง(อยู่ในนรก)เพราะการพากเพียรของพวกเขา พวกเขามีเครื่องดื่มจากน้ำอันเดือดพล่าน และต้องรับการลงโทษอันแสนทรมาน เพราะการปฏิเสธของพวกเขาเอง
71. จงประกาศเถิด ! จะให้เราวอนขอต่อสิ่งที่ไม่ให้คุณและโทษแก่เราเลย นอกจากอัลเลาะฮฺกระนั้นหรือ? และจะให้เราถูกส่งตัวคืนกลับบนตาตุ่มของพวกเรา(ไปสู่สภาพเนรคุณอีกหรือ) ภายหลังจากอัลลอฮิได้ทรงชี้นำพวกเราแล้ว ประดุจเดียวกับบุคคลที่มารร้ายทำให้เขาพลัดหลงในพื้นดินด้วยความงงงัน ทั้ง ๆ ที่เขาเองมีเพื่อน(ที่เป็นห่วง)คอยเรียกร้องให้เขามาสู่ทางนำอันถูกต้อง(พวกนั้นกล่าวกับเขาว่า) “ท่านจงมาหาเราเถิด” เจ้าจงประกาศเถิด! ว่าแท้จริงทางนำอันถูกต้องของอัลเลาะฮฺย่อมเป็นทางนำอันแท้จริง และเราถูกบัญชาไว้เพื่อเราจะได้สวามิภักดิ์ต่อองค์อภิบาลแห่งสากลโลก
72. และ(ถูกบัญชาอีกว่า)พวกเจ้าจงดำรงการละหมาดเถิด และจงยำเกรงพระองค์และพระองค์ผู้ซึ่งพวกเจ้าทั้งหลายจะต้องถูกรวมตัวไปยังพระองค์
73. และพระองค์เป็นผู้ทรงบันดาลชั้นฟ้าและแผ่นดินโดยสัจธรรม และในวาระที่พระองค์ทรงตรัสว่า “จงเป็นเถิด” แล้วมันก็เป็นขึ้น(ตามประกาศิตนั้น) อันคำตรัสของพระองค์นั้นย่อมเป็นสัจจะเสมอ และพระองค์ทรงอำนาจปกครองในวันที่มีการเป่าสังข์(ครั้งสองเพื่อฟื้นชีพแก่ผู้ตายไปแล้ว) ทรงรอบรู้ความเร้นลับ และความประจักษ์ชัด และพระองค์ทรงปรีชาญาณยิ่ง อีกทั้งทรงตระหนักยิ่ง


คำแปล R3.
70. และจงปล่อยบรรดาผู้ถือศาสนาของพวกเขาเป็นการเล่นและการบันเทิงและถูกล่อลวงโดยชีวิตนี้ไว้ตามลำพัง อย่างไรก็ตามจงตักเตือนพวกเขาโดยการอ่านกุรอานแก่พวกเขา มิฉะนั้นชีวิตจะสูญเสียตาม(ความชั่ว)ที่มันได้ขวนขวาย ไม่มีผู้ใดอื่นจากอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงคุ้มครองและไถ่แทนชีวิตนั้น และถึงแม้จะมีการเสนอค่าไถ่แทน มันก็จะไม่เป็นที่ถูกรับจากเขา เหล่านี้คือบรรดาผู้สูญเสียเนื่องจากที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ พวกเขาจะได้รับน้ำดื่มที่เดือดและการลงโทษอันเจ็บปวดเนื่องจากพวกเขาปฏิเสธสัจธรรม
71. (มุฮัมมัดจงถามพวกเขาว่า “เราควรจะวิงวอนผู้ที่ไม่สามารถยังคุณให้โทษแก่เราแทนอัลลอฮฺกระนั้นหรือ? และควรที่เราจะหันส้นเท้าของเรากระนั้นหรือหลังจากที่อัลลอฮฺได้ทรงนำทางเรา? เราจะทำให้ตัวเราเป็นเหมือนกับผู้ที่มารได้ล่อลวงให้เดินไปตามกิเลสต่ำของมันในแผ่นดินอย่างมึนงงขณะที่พรรคพวกของเขาร้องเรียกเขาว่า “มาหาเราเถิด นี่คือทางอันเที่ยงตรง” กระนั้นหรือ?” จงกล่าวเถิด “แท้จริงทางนำของอัลลอฮฺนั้นคือทางนำที่แท้จริง และเราได้รับบัญชาให้ต้องนอบน้อมต่อพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
72. และต้องดำรงนมาซและสำรวมตนต่อพระองค์ และยังพระองค์คือผู้ที่สูเจ้าจะถูกรวบรวมกลับไป
73. และพระองค์คือผู้ทรงบันดาลชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินด้วยความจริง แล้วยามเมื่อพระองค์ตรัสว่า “เป็น” แล้วมันก็เป็น พระดำรัสของพระองค์คือความจริง และในวันที่แตรจะถูกเป่า อำนาจสูงสุดจะเป็นของพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัยและสิ่งเปิดเผย และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงตระหนัก


คำแปล R4.
70. และเจ้าจงปล่อยเสีย ซึ่งบรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนาของพวกเขาเป็นของเล่น และสิ่งให้ความเพลิดเพลิน และชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขา และเจ้าจงเตือนด้วยอัล-กุรอาน การที่ชีวิตหนึ่งชีวิตใด จะถูกสังกัดอยู่กับสิ่งที่ชีวิตได้ขวนขวายไว้ โดยที่อื่นจากอัลลอฮฺ แล้วจะไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใด และไม่มีผู้ทำการชะฟาอะฮฺคนใดสำหรับชีวิตนั้นและถ้าชีวิตนั้นจะไถ่ถอนด้วยสิ่งไถ่ถอนทุกอย่าง มันก็จะไม่ถูกรับจากชีวิตนั้น ชนเหล่านี่คือบรรดาผู้ที่ได้ถูกให้สังกัดอยู่กับสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้ ซึ่งพวกเขาจะได้รับเครื่องดื่มจากน้ำที่ร้อนจัด และจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบเนื่องจากที่พวกเขาปฏิเสธการศรัทธา
71. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า เราจะวิงวอนขอต่อสิ่งที่ไม่ให้คุณแก่เราได้ และไม่ให้โทษแก่เราได้อื่นจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ? และเราก็จะถูกให้หันส้นเท้าของเรากลับ หลังจากที่อัลลอฮฺได้ทรงแนะนำเราแล้ว ดั่งผู้ที่พวกชัยฏอนได้ทำให้เขาหลงไปในแผ่นดินในสภาพที่งงงวย ซึ่งเขามีเพื่อน ๆ เรียกร้องเขาให้ไปสู่คำแนะนำที่ถูกต้องว่า จงหาพวกเราเถิด จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่าแท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮฺเท่านั้นคือคำแนะนำ และพวกเราได้รับบัญชาให้เราสวามิภักดิ์แด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น
72. และ(พวกเราได้รับบัญชา) ว่าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และจงยำเกรงพระองค์เถิด และพระองค์คือผู้ที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไปชุมนุมยังพระองค์
73. และพระองค์คือ ผู้ที่ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินด้วยความจริง และวันที่พระองค์ตรัสว่า เจ้าจงเป็นขึ้น แล้วมันก็จะเป็นขึ้น พระดำรัสของพระองค์คือความจริง และอำนาจทั้งหลายนั้นเป็นของพระองค์ ในวันที่จะถูกเป่าเข้าไปในแตรพระผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับ และในสิ่งเปิดเผย และพระองค์คือผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน


คำแปล R5.
๗๐. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงเฉยเสียเถิดจากบรรดาคนกาฟิรชาวมักกะห์ที่ดำเนินศาสนาของพวกตนตามกิเลส ที่เอาศาสนาอิสลามของพวกตนซึ่งจะต้องรับนับถือเป็นเครื่องเล่นและสิ่งไร้ประโยชน์ทั้งในภาคโลกนี้และปรโลก เช่น เคารพบูชาเทวรูปเป็นต้น และความเป็นอยู่ในโลกปัจจุบันนี้เองที่มันหลอกล่อพวกนั้นให้เห็นเป็นการดีงาม ในอันที่จะอุปโลกน์สิ่งไรขึ้นมาแล้วให้ความเคาระบูชาสิ่งนั้น โอ้มุฮำมัด เจ้าอย่าได้สดับฟังถ้อยคำที่พวกนั้นพูด อย่าหันหน้าเข้าสมาคมกับพวกนั้น และอย่าไปรุกรานพวกนั้นก่อนจากมีโองการสั่งใช้เลย และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงใช้พระคัมภีร์อัล-กุรอานตักเตือนสติคนหนึ่งคนใดอย่าให้นำตัวไปสู่ความเสียหายที่ตนก่อขึ้นเอง สำหรับผู้นั้น นอกจากอัลเลาะห์แล้วย่อมไม่มีผู้สงเคราะห์ให้พวกเขาให้พ้นจากการลงโทษ และไม่มีผู้ขอพิทักษ์รักษาต่ออัลเลาะห์ให้พวกเขารอดพ้นจากการเข้าสู่และออกจากขุมนรกได้เลย แต่ถ้าผู้นั้นจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างขอไถ่โทษ สิ่งนั้นจะไม่ถูกรับรองเลย พวกที่นำตนไปสู่ความเสียหายเพราะได้ก่อขึ้นเอง พวกเหล่านั้นย่อมได้รับเครื่องดื่มที่ร้อนแสนร้อน และได้รับโทษทรมานอันเจ็บแสบในฐานะที่พวกตนมิได้ศรัทธากัน
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือในขณะที่อับดุลเราะห์มานบุตรของอะบูบักร์ได้ชักชวนบิดาของตนให้เคารพบูชาเทวรูปข่าวคราวเรื่องนี้ก็ยังรู้ถึงพระศาสดามุฮำมัดทันที จึงมีโองการมาว่า
๗๑. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวเถิดว่า ย่อมไม่เป็นการสมควรเลยในอันที่พวกเราจะเคารพบูชาผู้อื่นจากอัลเลาะห์ผู้มีคุณสมบัติแห่งความเป็นพระเจ้าบริบูรณ์ เช่นมีพลานุภาพในอันที่ยังคุณประโยชน์และก่อภัยพิบัติให้แก่บรรดาเทวรูปที่ไม่สามารถยังคุณประโยชน์และโทษแก่พวกเราขึ้นได้เลย เมื่อพวกเราเคารพบูชามันและเมื่อพวกเรามิได้เคารพบูชามัน และไม่เป็นการสมควรอีกเหมือนกันที่หลังจากอัลเลาะห์ได้ทรงชี้หนทางนำแก่พวกเราให้ไปสู่ศาสนาอิสลามแล้วเราจะย้อนหลังกลับไปคบหาสมาคมกับพวกกาฟิรมุชริกเหล่านั้นเหมือนกับผู้หนึ่งที่ถูกไชตอนผลักไสให้เป็นคนมึนงงอยู่ ณ หน้าแผ่นดิน โดยไม่รู้แห่งหนใด ทั้ง ๆ ที่ผู้นั้นก็มีเพื่อนคอยชักจูงเขาไปสู่หนทางที่เที่ยงธรรมว่า “มายังเราซิ” แต่ผู้นั้นก็ไม่ยอมไปหาตามการชักชวน และในที่สุดผู้นั้นจึงเป็นผู้หายนะ โอ้มุฮำมัด เจ้าจงบอกแก่ผู้ที่เคารพบูชาผู้ที่มิใช่อัลเลาะห์เถิดว่า หนทางนำของอัลเลาะห์คือศาสนาอิสลามนั้นเป็นหนทางเที่ยงธรรมที่ทรงชี้ให้ผู้นั้นพ้นจากความงมงาย ส่วนที่นอกจากศาสนาอิสลามแล้ว นับว่าเป็นหนทางหลงผิดทั้งนั้น ฝ่ายพวกเราถูกใช้ให้นอบน้อมต่ออัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
๗๒. และถูกใช้ให้ดำรงละหมาด ๕ เวลา ตลอดทั้งให้ยำเกรงพระองค์ ด้วยว่าพระองค์นั้นคือพระเจ้าผู้ซึ่งพวกเจ้าจะถูกให้ไปรวมกันยังการสอบสวนของพระองค์ในวันสิ้นโลก
๗๓. แหละพระองค์คือพระผู้สร้างสรรค์บรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและผืนแผ่นดินโดยสัจจริง และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวให้ปวงชนของเจ้าเกิดความหวั่นกลัวสภาวะในวันนั้นคือวันสิ้นโลก พระองค์จะทรงมุ่งให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมีขึ้น มันก็จะมีขึ้นฉับพลันเป็นต้น ทรงมุ่งจะให้บรรดาข้าของพระองค์คืนชีพขึ้นจากสุสาน พวกเหล่านั้นก็จะมีขึ้นทันทีทันใด ซึ่งปกาศิตของพระองค์นั้นแน่นอนนัก ทั้งพระองค์ยังทรงสิทธิทางการปกครองในวันที่ถูกอิสรออีลเป่าสังข์ครั้งสองเป็นการประจุชีพเข้าร่างอีกด้วย ซึ่งสิทธินี้ผู้อื่นจากพระองค์หามีได้ไม่ กล่าวคือในวันนั้นพระองค์ตรัสถามว่า การปกครองในวันนี้เป็นของใคร แล้วพระองค์ก็ทรงบอกขึ้นเองว่า เป็นสิทธิของข้า ทรงรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นและสิ่งที่ประจักษ์แจ้ง และพระองค์นั้นทรงประณีตยิ่งในการสร้างสรรค์ ทรงรู้เท่าทันยิ่ง ในทุกสิ่งทุกอย่างทั้งภายนอกและภายใน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 74 - 79


คำอ่าน
74. วะอิซกอละอิบรอฮีมุ ลิอะบีฮิ อาซะเราะ อะตัตตะคิซุอัศนามันอาลิฮะฮฺ อิน..นี..อะรอกะ วะก็อวมะกะฟีเฎาะลาลิม..มุบีน
75. วะกะซาลิกะ นุรี..อิบรอฮีมะ มะละกูตัสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ วะลิยะกูนะมินัลมูกินีน
76. ฟะลัม..มา ญัน..นะอะลัยฮิลลัยลุเราะอาเกากะบา กอละฮาซาร็อบบี ฟะลัม..มาอะฟะละ กอละลา..อุหิบบุลอาฟิลีน
77. ฟะลัม..มาเราะอัลเกาะมะเราะ บาซิฆ็อน..กอละ ฮาซาร็อบบี ฟะลัม..มา..อะฟะละ กอละ ละอิลลัมยะฮฺดินีร็อบบี ละอะกูนัน..นะ มินัลก็อวมิฎฎอ...ลลีน
78. ฟะลัม..มาเราะอัชชัมสะ บาซิเฆาะตัน..กอละฮาซาร็อบบี ฮาซา...อักบัรฺ ฟะลัม..มาอะฟะลัต กอละ ยาก็อวมิ อิน..นีบัรี...อุม..มิม..มาตุชริกูน
79. อิน..นี วัจญะฮฺตุ วัจญฮิยะ ลิลละซี ฟะเฎาะร็อสสะมาวาติวลอัรฺเฎาะ ฟะนีเฟา..วะมา..อะนะมินัลมุชริกีน


คำแปล R1.
74. And (remember) when Ibrahim (Abraham) said to his father Azar: "Do you take idols as ‘Aliha (gods)? Verily, I see you and your people in manifest error. "
75. Thus did we show Ibrahim (Abraham) the Kingdom of the heavens and the earth that he be one of those who have faith with certainty.
76. When the night covered him over with darkness he saw a star. He said: "This is My Lord." but when it set, he said: "I like not those that set."
77. When he saw the moon rising up, he said: "This is My Lord." but when it set, he said: "Unless my Lord guides me, I shall surely be among the erring people."
78. When he saw the sun rising up, he said: "This is my Lord. This is greater." but when it set, he said: "O my people! I am indeed free from all that you join as partners in worship with Allah.
79. Verily, I have turned my face towards Him who has created the heavens and the earth Hanifa (Islamic Monotheism, i.e. worshipping none but Allah alone) and I am not of Al-Mushrikun (See V.2:105)".


คำแปล R2.
74. และ(จงระลึกเถิด)เมื่อครั้งอิบรอฮีมได้กล่าวแก่บิดาของเขา(ผู้มีนามว่า) “อาซัร” ว่า “ท่านจะยึดเอาเทวรูปต่าง ๆ เป็นพระเจ้าหรือ? แน่แท้ฉันเห็นท่านและพวกพ้องของท่านตกอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง”
75. และเช่นนั้นเอง เราทำให้อิบรอฮีมมองเห็นอาณาจักรแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน และเพื่อเขาจะได้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้มีความเชื่อมั่นแท้จริง
76. ต่อเมื่อรัตติกาลได้ห่อหุ้มเขาไว้ เขาก็มองเห็นดาวดวงหนึ่ง(ซึ่งมีแสงจรัส)เขาจึงรำพึงว่า “นี้กระมังพระเจ้าของฉัน?” แต่ครั้นเมื่อดวงดาวนั้นดับ เขาก็รำพึงอีกว่า “ฉันไม่ชอบเลยบรรดาผู้ดับสูญ”
77. แล้วเมื่อเขามองเห็นดวงเดือนปรากฏชัดแจ้ง เขาก็รำพึงว่า “นี้กระมังพระเจ้าของฉัน?” แต่ครั้นเมื่อมันลับหายไป เขาก็รำพึงว่า “ขอสาบบาน! หากพระเจ้าของฉันไม่ชี้นำฉัน แน่นอนฉันต้องเป็นผู้หนึ่งจากกลุ่มชนที่หลงผิด”
78. ต่อมาเมื่อเขามองเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏชัดแจ้ง เขาก็รำพึงว่า “นี้กระมัง พระเจ้าของฉัน? นี้เป็นใหญ่กว่าเพื่อน” ต่อมาเมื่อมันลับหายไป เขาก็กล่าวว่า “โอ้พวกพ้องของฉัน! แท้จริงฉันขอปลีกตัว(ไม่เกี่ยวข้อง)จากสิ่งที่พวกท่านคั้งภาค”
79. แท้จริงตัวฉันนี้ได้ผินใบหน้า(และร่างกาย)ของฉันสู่องค์(พระผู้เป็นเจ้า)ผู้บันดาลชั้นฟ้าและแผ่นดิน โดยฉันมีความมั่นคงในเอกภาพของพระองค์ และฉันหาใช่ผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ตั้งภาคีไม่

 
คำแปล R3.
74. และจงรำลึกถึงครั้งที่อิบรอฮีมพูดกับอาซัรฺบิดาของเขาว่า “ท่านยึดถือเอารูปปั้นเป็นพระเจ้ากระนั้นหรือ? แท้จริงฉันเห็นท่านและหมู่ชนของท่านอยู่ในความหลงผิดชัด ๆ”
75. และด้วยเหตุนั้นเราได้ให้อิบรอฮีมเห็นอาณาจักรแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ทั้งนี้เพื่อเขาจะได้อยู่ในหมู่ผู้เชื่อมั่น
76. ดังนั้น เมื่อกลางคืนแผ่ปกคลุมเขา เขาได้เห็นดวงดาวและกล่าวว่า “นี่คือพระผู้อภิบาลของฉัน” และเมื่อมัตก เขาก็กล่าวว่า “ฉันไม่รักสิ่งที่ตก”
77. ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงเดือนแย้มขึ้นมา เขากล่าวว่า “นี่คือพระผู้อภิบาลของฉัน” และเมื่อมันตก เขาก็กล่าวว่า “ถ้าพระผู้อภิบาลของฉันมิได้ทรงนำทางฉัน แน่นอนฉันจะอยู่ในหมู่ผู้หลงผิด”
78. ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงตะวันโผล่ขึ้น เขากล่าวว่า “นี่คือพระผู้อภิบาลของฉัน นี่เป็นสิ่งยิ่งใหญ่” แต่เมื่อมันตก เขาก็กล่าวว่า “หมู่ชนของฉันเอ๋ย แท้จริงฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับที่พวกท่านตั้งภาคี
79. สำหรับฉันนั้น แท้จริงฉันได้ผินหน้าตรงต่อพระผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และฉันไม่ได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคีให้กับอัลลอฮฺ”


คำแปล R4.
74. และจงรำลึกขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวแก่บิดาของเขา คืออาซัรว่า ท่านจะยึดถือเอาบรรดาเจว็ดเป็นที่เคารพสักการะกระนั้นหรือ ? แท้จริงฉันเห็นว่าท่านและกลุ่มชนของท่านนั้นอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง
75. และในทำนองนั้นแหละ เราจะให้อิบรอฮีมเห็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ในบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินและเพื่อเขาจะได้เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้เชื่อมั่นทั้งหลาย
76. ครั้นเมื่อกลางคืนปกคลุมเขา เขาได้เห็นดาวดวงหนึ่ง เขากล่าวว่า นี้คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า ฉันไม่ชอบบรรดาสิ่งที่ลับไป
77. ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงจันทร์กำลังขึ้นเขาก็กล่าวว่านี้คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่านี้คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า ถ้าพระเจ้าของฉันมิได้ทรงแนะนำฉันแล้ว แน่นอนฉันก็จะกลายเป็นคนหนึ่งในกลุ่มชนที่หลงผิด
78. ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงอาทิตย์กำลังขึ้นเขาก็กล่าวว่า นี้แหละคือพระเจ้าของฉัน นี้แหละใหญ่กว่า แต่เมื่อมันได้ลับไป เขาก็กล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของฉัน! แท้จริงฉันขอปลีกตัวออก จากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้น(แก่อัลลอฮฺ)
79. แท้จริงข้าพระองค์ขอผินหน้าของข้าพระองค์แด่ผู้ที่สร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินในฐานะผู้ใฝ่หาความจริง ผู้สวามิภักดิ์และข้าพระองค์มิใช่คนหนึ่งในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น


คำแปล R5.
๗๔. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนเผ่ากุรอยช์เถิดว่า ในตอนที่อิบรอฮีมกล่าวแก่อาซัรผู้เป็นบิดาของเขาเพื่อจพตำหนิว่า “ท่านไม่น่าจะนับถือเหล่าเทวรูปไว้เคารพบูชาเป็นพระเจ้าเลย แท้จริงฉันได้แลเห็นแล้วว่า ทั้งท่านและประชาชนของท่านตกอยู่ในความงมงายอย่างแจ้งชัดทีเดียวที่หลงให้ความเคารพบูชาเทวรูปเหล่านั้น
๗๕. และในทำนองเดียวกับที่เราได้ให้อิบรอฮีมแลเห็นการหลงงมงายของผู้เป็นบิดานี้เอง เรา(อัลเลาะห์)จึงให้อิบรอฮีมได้แลเห็นอำนาจปกครองซึ่งบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและผืนแผ่นดินด้วย เพื่อเขา(อิบรอฮีม)จะได้ถือการปกครองนี้เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งชี้ว่าอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าองค์เดียวและเพื่อว่าเขา(อิบรอฮีม)จะได้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้มั่นใจแน่วแน่ในเรื่องของเอกภาพแห่งพระองค์
๗๖. ครั้นเมื่อเขา(อิบรอฮีม)ได้เข้าสู่ยามค่ำคืน เขาจึงแลเห็นดวงดาราที่มีชื่อว่า ซะห์เราะห์ อยู่ ณ ฟากฟ้าชั้น ๓ แล้วก็กล่าวขึ้นแก่พวกของตนที่ต่างก็เป็นนักดาราศาสตร์ทั้งนั้นว่า นี่แหละเป็นองค์พระผู้อภิบาลแห่งฉัน ตามความเข้าใจของพวกท่านพอดารานั้นมันได้ลับหายไป เขา(อิบรอฮีม)ก็กล่าวแก่พวกนั้นอีกว่า ฉันไม่ชอบพวกที่เคลื่อนคล้อยได้ โดยที่จะเอาสิ่งที่เคลื่อนคล้อยนั้นมาเป็นพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าย่อมต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่มีการเคลื่อนที่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่นั้นเป็นภาวะของสิ่งที่เพิ่งเกิดมี เหตุผลที่อิบรอฮีมอ้างขึ้นเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นการเพียงพอสำหรับพวกนั้นเลย
๗๗. เมือ่เขา(อิบรอฮีม)ได้แลเห็นดวงเดือนขึ้น เขากล่าวแก่พวกนั้นว่า นี้เป็นขององค์พระผู้อภิบาลแห่งฉันตามความเข้าใจของพวกท่าน พอมันคล้อยหายไปเขาจึงกล่าวแสดงสัจปฏิญาณว่า อันที่จริงถ้าองค์พระผู้อภิบาลของฉันไม่ทรงชี้แจงให้แก่ฉันมีความแน่นแฟ้นอยู่ในวิถีทางอันเที่ยงธรรมแล้วไซร้ ฉันต้องเป็นผู้หนึ่งจากกลุ่มชนที่หลงใหลแน่นอน แต่ทว่าฉันไม่เป็นอย่างนั้น จึงแสดงว่าพระองค์ทรงแนะหนทางเที่ยงธรรมให้แก่ฉันแล้ว เหตุผลเท่าที่อิบรอฮีมอ้างขึ้นอีกนี้ก็ยังไม่เป็นการเพียงพอสำหรับพวกเหล่านั้น
๗๘. เมื่อเขา(อิบรอฮีม)ได้แลเห็นดวงตะวันขึ้น เขากล่าวแก่พวกนั้นว่านี้ก็เป็นองค์พระผู้อภิบาลแห่งฉันเหมือนกันตามความเข้าใจของพวกท่าน ดวงนี้ใหญ่กว่าดวงดาวซะห์เราะห์แต่พอมันคล้อยหายไปซึ่งก็เป็นหลักฐานที่พอเพียงสำหรับพวกนั้นแล้ว แต่ผลปรากฏว่าพวกนั้นมิได้ยอมเลิกจากการกราบไหว้เหล่าเทวรูป เขาก็กล่าวว่า โอ้ประชาชนของฉัน ฉันขอปลีกตัวออกจากการกราบเคารพบูชาเทวรูปและดวงดาวทั้งหมด ซึ่งต้องการมีผู้สร้าง ซึ่งพวกเจ้าตั้งขึ้นเป็นภาคีเทียบเคียงพระองค์ พวกนั้นจึงถามอิบรอฮีมว่า แล้วท่านเคารพบูชาสิ่งใดเล่า?
๗๙. อิบรอฮีมตอบพวกเหล่านั้นว่า แท้จริงฉันบริสุทธิ์ใจมุ่งเคารพบูชาตรงไปยังอัลเลาะห์พระผู้สร้างสรรค์บรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและผืนแผ่นดินโดยแน่วแน่และโน้มเอียงเข่าสู่ศาสนาอันเที่ยงตรงและฉันมิใช่ผู้หนึ่งจากบรรดาที่ตั้งภาคีเอาอื่นใดมาเทียบเคียงพระองค์อัลเลาะห์เลย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 80 - 83


คำอ่าน
80. วะหา...จญะฮู ก็อวมุฮู กอละอะตุหา..จญู...นนีฟิลลาฮิ วะก็อดฮะดาน วะลา..อะคอฟุ มาตุชริกูนะบิฮี..อิลลา..อัย..ยะชา...อะร็อบบีชัยอา วะสิอะร็อบบี กุลละชัยอิน อิลมา อะฟะลาตะตะซักกะรูน
81. วะกัยฟะอะคอฟุ มา..อัชร็อกตุม วะลาตะคอฟูนะ อัน..นะกุม อัชร็อกตุม..บิลลาฮิ มาลัมยุนัซซิลบิฮี อะลัยกุมสุลฏอนา ฟะอัยยุลฟะรีก็อยนิ อะหักกุบิลอัมนิ อิน..กุน..ตุมตะอฺละมูน
82. อัลละซีนะอามะนู วะลัมยัลบิสู..อีมานะฮุมบิซุลมิน อุลา...อิกะละฮุมุลอัมนุ วะฮุม..มุฮฺตะดูน
83. วะติลกะหุจญะตุนา..อาตัยนา..อิบรอฮีมะ อะลาก็อวมิฮี นัรฺฟะอุดะเราะญาติม..มัน..นะชา...อ์ อิน..นะร็อบ บะกะหะกีมุน อะลีม

 
คำแปล R1.
80. His people disputed with him. He said: "Do you dispute with me concerning Allah while He has guided me, and I fear not those whom you associate with Allah in worship. (nothing can happen to me) except when my Lord (Allah) wills something. My Lord comprehends in his knowledge all things. Will you not then remember?
81. And how should I fear those whom you associate in worship with Allah (though they can neither benefit nor harm), while you fear not that you have joined in worship with Allah things for which He has not sent down to you any authority. (So) which of the two parties has more right to be in security? If you but know."
82. It is those who believe (in the Oneness of Allah and worship none but Him alone) and confuse not their belief with Zulm (wrong i.e. by worshipping others besides Allah), for them (only) there is security and they are the guided.
83. And that was our proof which we gave Ibrahim (Abraham) against his people. We rise whom we will in degrees. Certainly your Lord is All-Wise, All-Knowing.


คำแปล R2.
80. และพวกพ้องของเขา(อิบรอฮีม)ได้โต้เถียงเขา(ถึงเรื่องพระเจ้า) เขาจึงกล่าวว่า “พวกท่านจะมาโต้เถียงกับฉันในเรื่องเกี่ยวกับอัลเลาะฮฺหรือ? อันที่จริงพระองค์เป็นผู้ชี้นำแก่ฉัน และฉันไม่หวั่นกลัวสิ่งที่พวกท่านนำมาตั้งเป็นภาคีเลย นอกจาก(ฉันมีความศรัทธามั่นว่า) พระเจ้าของฉันมีความประสงค์ในกรณีใด ๆ (สิ่งนั้นก็จะเป็นไปตามประสงค์นั้น) พระเจ้าของฉันทรงมีความรอบรู้ครอบคลุมไปถึงทุก ๆ สิ่ง แล้วไฉนพวกท่านจึงไม่สำนึกเล่า
81. และ(ทั้ง ๆ ที่มันไม่อาจให้คุณให้โทษแก่ผู้ใดได้)ฉันจะหวั่นกลัวสิ่งที่พวกท่านตั้งขึ้นเป็นภาคีได้อย่างไร? ในขณะที่พวกท่านเองก็ไม่มีความหวั่นกลัวต่อการที่ได้ตั้ง(สิ่งอื่น ๆ )ขึ้นเป็นภาคีกับอัลเลาะฮฺ ซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ประทานหลักฐานลงมาให้ท่านทั้งหลายเกี่ยวกับมันเลย (ว่าจะถูกตั้งเป็นภาคีกับอัลเลาะฮฺได้) แล้วทั้งสองกลุ่มนั้น กลุ่มใดเล่าที่ทรงสิทธิยิ่งต่อความปลอดภัย(จากภยันตราย)หากท่านทั้งหลายรู้
82. บรรดาผู้ศรัทธาและไม่นำความฉ้อฉลเข้ามาผสานกับความศรัทธาของพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นได้ประสบกับความปลอดภัยอย่างแน่นอน และพวกเขาได้รับการชี้นำเป็นแน่แท้
83. และนั้นแหละคือหลักฐานโต้ตอบของเรา ซึ่งเราได้มอบสิ่งนั้นแก่อิบรอฮีม(เพื่อจะได้โต้ให้ชนะ)เหนือกลุ่มชนของเขา เรายกย่องบรรดาฐานันดรของบุคคลที่เราประสงค์ แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้านั้น ทรงปรีชาญาณยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่งนัก


คำแปล R3.
80. และเมื่อหมู่ชนของเขาได้เถียงเขา เขากล่าวว่า “พวกท่านโต้เถียงฉันเกี่ยวกับอัลลอฮฺกระนั้นหรือ ในขณะที่พระองค์ได้ทรงนำทางฉัน? และฉันไม่กลัสวิ่งที่พวกท่านตั้งภาคีต่อพระองค์ เว้นแต่พระผู้อภิบาลของฉันทรงประสงค์เป็นอย่างอื่น และพระผู้อภิบาลของฉันทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง แล้วสูเจ้ายังไม่สำนึกอีกหรือ?
81. และฉันกลัวสิ่งที่พวกท่านตั้งภาคีได้อย่างไรในเมื่อพวกท่านเองก็ไม่กลัวที่จะตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺโดยที่พระองค์ไม่ได้ทรงประทานอำนาจให้แก่พวกท่าน ดังนั้น (บอกฉันมาซิว่า) อันใดในทั้งสองฝ่ายนี้ที่จะปลอดภัยแน่นอนกว่า ถ้าพวกท่านรู้
82. แน่นอน บรรดาผู้ศรัทธาและไม่ทำให้ศรัทธาของเขาแปดเปื้อนด้วยการตั้งภาคีเท่านั้นที่จะปลอดภัยและเป็นผู้ได้รับทางนำที่ถูกต้อง”
83. และนี่คือข้อโต้แย้งของเราที่เราได้ประทานแก่อิบรอฮีมต่อประชาชนของเขา เรายกผู้ที่เราประสงค์ขึ้นยังตำแหน่งหลายขั้น แท้จริง พระผู้อภิบาลของเจ้า เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้


คำแปล R4.
80. และกลุ่มชนของเขาได้โต้เถียงเขา เขาได้กล่าวว่า พวกท่านจะโต้เถียงฉันในเรื่องอัลลอฮ์กระนั้นหรือ? และแท้จริงพระองค์ได้ทรงแนะนำฉันแล้ว และฉันจะไม่กลัวสิ่งที่พวกท่านให้สิ่งนั้นเป็นภาคีขึ้น นอกจากพระเจ้าของข้าพระองค์จะทรงประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใดเท่านั้น พระเจ้าของฉันนั้นมีความรู้กว้างขวางทั่วทุกสิ่ง แล้วพวกเจ้าไม่รำลึกหรือ ?
81. และอย่างไรเล่าที่ฉันจะกลัวสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคีขึ้น โดยที่พวกท่านไม่กลัวที่พวกท่านได้ให้มีภาคีแก่อัลลอฮฺซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงให้มีหลักฐานใด ๆ ลงมาแก่พวกเจ้าในสิ่งนั้นแล้วฝ่ายใดเล่าในสองฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายที่สมควรต่อความปลอดภัยยิ่งกว่าหากพวกท่านรู้
82. บรรดาผู้ที่ศรัทธา โดยที่มิได้ให้การศรัทธาของพวกเขาปะปนกับการอธรรมนั้น ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับความปลอดภัย และพวกเขาคือผู้ที่รับเอาคำแนะนำไว้
83. และนั่นคือ หลักฐานขอวงเราที่ได้ให้มันแก่อิบรอฮีม โดยมีฐานะเหนือกลุ่มชนของเขา เราจะยกขึ้นหลายขั้น ผู้ที่เราประสงค์ แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น เป็นผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้


คำแปล R5.
๘๐. แต่ประชาชนของเขา(อิบรอฮีม)กลับโต้เถียงเขาในเรื่องความนับถือของเขาและกลับพูดจ่าขู่อิบรอฮีมว่า ถ้าอิบรอฮีมไม่บูชาเทวรูปแล้ว เทวรูปนั่นแหละที่จะบันดาลให้อิบรอฮีมได้รับความเดือดร้อน เขา(อิบรอฮีม)จึงกล่าวแก่พวกเหล่านั้นว่า พวกท่านนะหรือ?ย่อมไม่เป็นการสมควรเลยที่จะมาถกเถียงกับฉันในเรื่องเกี่ยวกับการนับถือเอกภาพของอัลเลาะห์ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงแนะนำหนทางเที่ยงธรรมแก่ฉันไปสู่เอกภาพของพระองค์อยู่แล้ว ฉันไม่กลัวหรอก เทวรูปใด ๆ ที่พวกเจ้าจะเอามันมาตั้งเป็นภาคีเทียบเคียงอัลเลาะห์ในทางเคารพบูชาที่พวกท่านว่ามันสามารถบันดาลความชั่วร้ายให้เกิดแก่ฉันได้ ทั้งนี้เพราะว่ามันไม่มีอำนาจใด ๆ เลยนอกจากว่าองค์พระผู้อภิบาลของฉันจะทรงมุ่งประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งให้มาประสบแก่ฉัน สิ่งนั้นก็จะมีขึ้นองค์พระผู้อภิบาลแห่งฉันทรงความรู้แวดล้อมทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเจ้าจะไม่ตรึกตรองดูหรอกหรือพระเจ้าของพวกเหล่านั้นคือวัตถุธาตุที่ไม่สามารถก่อให้เกิดคุณและโทษแก่พวกนั้นเลย อีกทั้งยังมิได้ตรึกตรองดูว่า พระเจ้าของพวกตนนั้นหามีพลังอันใดไม่
๘๑. และฉันจะกลัวทำไมกับการที่พวกท่านจะเอาบรรดาเทวรูปมาตั้งเป็นภาคีเทียบเคียงพระองค์ในด้านเคารพบูชา เพราะเทวรูปเหล่านั้นไม่สามารถก่อให้เกิดคุณและโทษแก่ผู้ใดได้ ในเมื่อพวกท่านไม่กลัวการลงโทษจากอัลเลาะห์ในอันที่พวกท่านได้นำเอาเหล่าเทวรูปนั้นตั้งภาคีเทียบเคียงอัลเลาะห์ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็มิได้ประทานหลักฐานใด ๆในเรื่องการเคารพบูชาบรรดาเทวรูปไว้แก่พวกท่านเลย” แล้วพวกที่เคารพบูชาอัลเลาะห์ก็ดี พวกที่เคารพบูชาเทวรูปก็ดีในสองจำพวกนั้น พวกไหนมีสิทธิ์ได้รับความปลอดภัยจากการถูกลงโทษกว่ากัน หากว่าพวกท่านรู้พวกเรามีสิทธิ์ได้รับความปลอดภัยจากการถูกลงโทษละก็จงเจริญร่องรอยตามพวกเราเสียซิ
๘๒. อัลเลาะห์ตรัสว่า บรรดาชนผู้ศรัทธาที่มิได้เอาความหลงพลาดเคารพบูชาเทวรูปมาเจือเข้าไว้กับความศรัทธาของตนนั้นแหละย่อมได้รับความปลอดภัยจากการถูกอัลเลาะห์ลงโทษโดยที่พวกนี้ได้รับหนทางนำจากอัลเลาะห์อีกด้วย
๘๓. นี่คือข้อยืนยันของเรา(อัลเลาะห์)ซึ่งแสดงในความเป็นเอกองค์ตั้งแต่องค์การที่ ๗๖-๘๒ แห่งซูเราะห์นี้ ที่เราได้มอบให้อิบรอฮีมไว้สำหรับอ้างเอาชัยแก่ปวงประชากรของเขา(อิบรอฮีม)เราจะเชิดชูเกียรติคุณทั้งในทางวิชาการและวุฒิปัญญาแก่ผู้ที่เรามุ่งประสงค์เป็นหลาย ๆ ขั้น โอ้มุฮำมัดทั้งนี้เพราะว่าองค์พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นทรงประณีตยิ่งในกิจการทั้งปวงของพระองค์ทรงรู้ยิ่งในบรรดาที่ถูกสร้างโดยพระองค์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 84 - 90


คำอ่าน
84. วะวะฮับนาละฮู..อิสหาเกาะ วะยะอฺกูบ กุลลันฮะดัยนา วะนูหันฮะดัยนามิน..ก็อบลุ วะมิน..ซุรรียะติฮี ดาวูดะ วะสุลัยมานะ วะอัยยูบะ วะยูศุฟะ วะมูสา วะฮารูน วะกะซาลิกะนัจญซิลมุหฺสินีน
85. วะซะกะรียา วะยะหฺยา วะอีสา วะอิลยาส กุลลุม..มินัศศอลิหีน
86. วะอิสมาอีละ วัลยะสะอะ วะยูนุสะ วะลูฏอ วะกุลลัน..ฟัฎฎ็อลนา อะลัลอาละมีน
87. วะมินอาบา...อิฮิม วะซุรฺรียาติฮิม วะอิความนิฮิม วัจญตะบัยนาฮุม วะฮะดัยนาฮุม อิลาศิรอฏิม..มุสตะกีม
88. ซาลิกะฮุดัลลอฮิ ยะฮฺดีบิฮี มัย..ยะชา...อุ มินอิบาดิฮฺ วะเลาอัชเราะกู ละหะบิเฏาะอันฮุม..มากานูยะอฺมะลูน
89. อุลา...อิกัลละซีนะ อาตัยนาฮุมุลกิตาบะ วัลหุกมะ วัน..นุบูวะฮฺ ฟะอี..ยักฟุรฺบิฮา ฮา..อุลา...อิฟะก็อดวักกัลป์นาบิฮา ก็อวมัลลัยสูบิฮา บิกาฟิรีน
90. อุลา...อิกัลละซีนะฮะดัลลอฮุ ฟะบิฮุดาฮุมุกตะดิฮฺ กุลลา..อัสอะลุกุม อะลัยฮิอัจญรอ อินฮุวะอิลลาซิกรอลิลอาละมีน


คำแปล R1.
84. And We bestowed upon him Ishaque (Isaac) and Ya'qub (Jacob), each of them we guided, and before him, We guided Nuh (Noah), and among his progeny Dawud (David), Sulaiman (Solomon), Ayub (Job), Yusuf (Joseph), Musa (Moses), and Harun (Aaron). Thus do We reward the good-doers.
85. And Zakariya (Zachariya), and Yahya (John) and 'Iesa (Jesus) and Iliyas (Elias), each one of them was of the righteous.
86. And Isma'il (Ishmael) and Al-Yas'a (Elisha), and Yunus (Jonah) and Lout (Lot), and each one of them We preferred above the 'Alamin (mankind and jinns) (of their times).
87. And also some of their fathers and their progeny and their brethren, we chose them, and we guided them to a Straight Path.
88. This is the guidance of Allah with which He guides whomsoever He will of his slaves. But if they had joined in worship others with Allah, all that they used to do would have been of no benefit to them.
89. They are those whom we gave the Book, Al-Hukm (understanding of the religious laws), and Prophethood. But if these disbelieve therein (the Book, Al-Hukm and Prophethood), then, indeed we have entrusted it to a people (such as the companions of Prophet Muhammad) who are not disbelievers therein.
90. They are those whom Allah had guided. So follow their Guidance. Say: "No reward I ask of you for this (the Qur'an). It is only a reminder for the 'Alamin (mankind and jinns)."


คำแปล R2.
84. และเราได้ให้ (บุตร)แก่เขา คือ อิสหาก และ(หลานของเขาคือ)ยะอฺกู๊บ ทุกคนนั้นเราได้ชี้นำ(ให้อยู่ในแนวทางของเรา) และเราได้ชี้นำแก่นูห์มาก่อนหน้า(อิบรอฮีม) และ (เป็นส่วนหนึ่ง)จากเผ่าพันธุ์ของเขา(อิบรอฮีม) คือ ดาวุด, สุลัยมาน, ยูซุฟ, มูซาและฮารูน และเช่นนั้นแหละ ที่เราตอบแทนแก่บรรดาผู้ประพฤติธรรมทั้งมวล
85. และซากะรียา, ยะฮฺยา อีซาและอิลยาส ทุก ๆ คนนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ประพฤติดี
86. และอิสมาอีล, อัลยะซะอ์, ยูนุสและลูฏ ทุกคนเราได้ประทานความเลอเลิศให้เหนือกว่าชาวโลกทั้งมวล(ในสมัยของพวกเขา)
87. และ(เราได้ให้ความเลอเลิศแก่)บางคนจากบรรพบุรุษของพวกเขา, สายตระกูลของพวกเขาและเครือญาติของพวกเขา และเราได้เลือกสรรพวกเขา และชี้นำพวกเขาสู่แนวทางอันเที่ยงตรง
88. นั้นเป็นการชี้นำของอัลเลาะฮฺ พระองค์ทรงชี้นำด้วยสิ่งนั้นแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากข้าทาสของพระองค์ และหากพวกเขา(บรรดานบี)ตั้งภาคีขึ้น(เคียงคู่อัลเลาะฮฺ) แน่นอน (ความดี)ที่พวกเขาได้เคยปฏิบัติเอาไว้ก็ย่อมมลายไปจากพวกเขา
89. พวกเหล่านั้น เป็นจำพวกที่เราได้มอบคัมภีร์แก่พวกเขา มอบข้อตัดสิน และมอบตำแหน่งศาสดา(แก่พวกเขา) ดังนั้นหากพวก(กาฟิร)เหล่านี้คัดค้านสิ่งเหล่านั้น แน่นอนเราก็จักมอบหมายสิ่งดังกล่าวแก่กลุ่มอื่น ๆ ซึ่งมิใช่ผู้คัดค้านต่อสิ่งเหล่านั้น
90. พวกเหล่านั้นเป็นผู้ซึ่งอัลเลาะฮฺทรงชี้นำ ดังนั้นโดยทางนำของพวกเขาเจ้าจงเจริญรอยตามเถิด จงประกาศเถิด(โอ้ มุฮำมัด) ฉันไม่ขอค่าจ้างจากพวกท่าน(ในการเผยแพร่สารธรรมจากอัลเลาะฮฺ) อัลกุรอานนั้นหาใช่อื่นใดไม่ นอกจากเป็นคำเตือนแก่ชาวโลกทั้งมวล

 
คำแปล R3.
84. และเราได้ประทานลูกหลานแก่ (อิบรอฮีม)เช่น อิสหากและยะอฺกู๊บ และเราได้นำทางพวกเขาทุกคนเช่นเดียวกับที่เราได้นำทางนุฮฺมาก่อนหน้าพวกเขา และจากวงศ์วานของพวกเขาอันได้แก่ ดาวุด, สุลัยมาน, อัยยูบ, ยูซุฟ, มูซาและฮารูน เราก็ได้นำทางด้วยเช่นกัน และในทำนองนี้เอง เราได้ตอบแทนผู้ทำการดี
85. และ(จากบรรดาลูกหลานของเขา เราก็ได้ประทานทางนำแก่)ซะกะรียา, ยะฮฺยา, อีซาและอิลยาส ซึ่งทุกคนอยู่ในหมู่คนที่ซื่อตรง
86. และ(เราได้นำทาง)อิสมาอีล, ยะสะฮฺ, ยูนุสและลูฏ และแต่ละคนเราได้โปรดปรานเขาให้เหนือผู้คนทั้งหลาย
87. และยังมีบางคนในหมู่บิดาของพวกเขาและวงส์วานของพวกเขาและในหมู่พี่น้องของพวกเขาซึ่งเราได้เลือกพวกเขาและนำทางพวกเขายังทางเที่ยงตรง
88. นั่นคือทางนำของอัลลอฮฺซึ่งโดยทางนำนี้ พระองค์ทรงนำทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ แต่ถ้าคนหนึ่งคนใดในหมู่คนของพระองค์ทำการตั้งภาคี แน่นอนอันใดที่พวกเขาได้ประกอบไว้ทั้งหมดจะมลายไปจากพวกเขา
89. เหล่านี้คือบรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์และข้อตัดสินและการเป็นนบีแก่เขา ดังนั้น ถ้าผู้คนเหล่านี้ปฏิเสธมัน(ก็ไม่เป็นไร)แน่นอนเราได้ประทานความโปรดปรานอันนี้แก่ผู้อื่นซึ่งไม่เป็นผู้ปฏิเสธ
90. (โอ้ มุฮัมมัด)คนเหล่านี้คือผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงนำทาง ดังนั้น จงปฏิบัติตามทางนำของพวกเขา และจงกล่าวเถิดว่า “ฉันไม่ขอร้องการตอบแทนใด ๆ จากพวกท่านสำหรับการแสดงทางนำนี้ นี่มิใช่อื่นใดนอกจากข้อตักเตือนสำหรับผู้คนทั้งหมดในโลก”


คำแปล R4.
84. และเราได้ให้เขา ซึ่งอิสฮาก และยะอ์กูบ ทั้งหมดนั้นเราได้แนะนำแล้ว และนูฮฺเราก็ได้แนะนำแล้วแต่ก่อนโน้น และจากลูกหลานของเขานั้น คือดาวูด และสุลัยมาน และอัยยูบและยูซุฟและมูซา และฮารูน และในทำนองนั้นแหละ เราจะตอบแทนแก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย
85. และซะกะรียา และยะฮฺยา และอีซา และอิลยาส ทุกคนนั้นอยู่ในหมู่คนดี
86. และอิสรออีล และอัล-ยะสะอฺ และยูนุสและลูฏ แต่ละคนนั้นเราได้ให้ดีเด่นเหนือกว่าประชาชาติทั้งหลาย
87. และ (เราได้ให้ดีเด่นอีก) ซึ่งส่วนหนึ่งจากบรรดาบิดาของพวกเขา และเราได้เลือกพวกเขา และได้แนะนำพวกเขาไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
88. นั่นแหละคือ คำแนะนำของอัลลอฮฺ โดยที่พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์ ด้วยคำแนะนำนั้น และหากเขาได้ให้มีภาคีขึ้นแล้ว แน่นอนสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำกันมา ก็สูญสิ้นไปจากพวกเขา
89. ชนเหล่านี้คือ ผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขาและให้คำตัดสิน และให้การเป็นนะบีด้วย แต่ถ้าชนเหล่านี้ปฏิเสธศรัทธาต่อมัน แน่นอนเราได้มอบมันไว้แล้วแก่กลุ่มชนหนึ่งที่พวกเขามิใช่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อมัน
90. ชนเหล่านี้ คือผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงแนะนำของพวกเขา เจ้า จงเจริญรอยตามเถิด จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าฉันจะไม่ขอต่อพวกท่านซึ่งค่าจ้างใด ๆ ในการให้ศรัทธาต่ออัลกุรอาน อัลกุรอานนั้น มิใช่อะไรอื่นนอกจากคำตักเตือนสำหรับประชาชาติทั้งหลายเท่านั้น


คำแปล R5.
๘๔. และเรา(อัลเลาะห์)ให้เขา(อิบรอฮีม)ได้อิสหากและยะกู๊บผู้เป็นบุตรของอิสหากไว้ ทั้งสองนี้เราได้แนะนำหนทางเที่ยงธรรมไปเจริญรอยตามศาสนาอิบรอฮีมที่เราเคยประทานให้ไว้แล้ว และสำหรับนูห์กับลูกหลานบางคนของเขา(นูห์)อันได้แก่ดาวู๊ด สุไลมานบุตรของดาวู๊ด ไอยูบ ยูซุฟบุตรของยะกู๊บ มูซาและฮารูน เราก็ได้แนะนำหนทางเที่ยงธรรมไว้ก่อนจากอิบรอฮีมแล้ว ทำนองกับที่เราได้เชิดชูเกียรติที่ว่าให้ได้รับความดีเด่นด้วยการได้รับการยกย่องเกียรตินี้แหละ เราจึงให้การตอบแทนแก่บรรดาผู้ประกอบคุณความดี
๘๕. ส่วนซะกะรียา ยะห์ยาบุตรของซะกะรียา อีซาบุตรมัรยำ และอิลยาสบุตรของพี่มูซาและฮารูนนั้น ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งจากพวกที่ประพฤติชอบงดเว้นจากการประพฤติชั่ว
๘๖. สำหรับอิสมาอีลบุตรของอิบรอฮีม อัลยะสะอ์ ยูนุสและลูตบุตรของฮารอนผู้พี่ของอิบรอฮีมก็เช่นกัน ทุกคนเราได้เทิดเกียรติไว้เหนือปวงสหประชาชาติ โดยให้ได้รับตำแหน่งพระศาสดากันทั้งนั้น
๘๗. และบางคนจากบรรพบุรุษของพวกเขาทั้งสี่จากบรรดาบุตรหลานของพวกเขาทั้งสี่และจากบรรดาพี่น้องของพวกเขาทั้งสี่ ก็ได้รับเทิดเกียรติดังกล่าวเหมือนกัน และเรายังได้คัดเลือกพวกเหล่านั้นกับได้แนะนำหนทางเที่ยงธรรมแก่พวกเหล่านั้นไปสู่หนทางเที่ยงตรง คือศาสนาอิสลามอีกด้วย
๘๘. ศาสนาที่พวกเหล่านั้นได้รับการแนะนำนี้แหละเป็นหนทางนำจากอัลเลาะห์ที่ทรงแนะนำแก่ผู้เป็นข้าแห่งพระองค์ตามที่ทรงมุ่งประสงค์ แต่ถ้าพวกเหล่านั้นทุกคนที่กล่าวมาจนถึงโองการนี้ได้ตั้งเหล่าเทวรูป ขึ้นเคารพบูชาเป็นภาคีเทียบเคียงอัลเลาะห์ สิ่งที่เป็นคุณความดีที่พวกเหล่านั้นเคยกระทำมาก็จะสูญสลายไปจากพวกนั้นเป็นแน่ ไม่ได้รับบุญกุศลเป็นเครื่องตอบแทนเลย
๘๙. พวกพระศาสดาที่ถูกออกชื่อแล้วทั้ง ๑๘ ท่านเหล่านั้นแหละเป็นผู้ที่เรา(อัลเลาะห์)ได้มอบพระคัมภีร์ ความรู้และความเป็นพระศาสดาไว้ให้ ฉะนั้นถ้าชนเหล่านั้นที่เป็นชาวมักกะห์ไม่ศรัทธาต่อทั้งสามข้อที่ว่านั้นแล้ว แน่นอนเราก็จะมอบให้ชนพวกหนึ่งได้แก่พวกมุฮายิรีน(ที่อพยพจากมักกะห์)กับพวกอันซอร(ชาวมดีนะห์) ซึ่งทั้งสองพวกนี้มิใช่พวกปฏิเสธที่ว่านั้น คอยสอดส่องและคุ้มรักษาข้อทั้งหมดนี้ต่อไป
๙๐. พวกพระศาสดาที่ถูกออกชื่อแล้วทั้ง ๑๘ ท่านเหล่านั้นแหละที่อัลเลาะห์ได้แนะนำหนทางเที่ยงธรรมให้ โอ้มุฮำมัด เจ้าจงถือแบบอย่างตามหนทางนำที่พวกนั้นได้รับเถิด กล่าวคือให้ถือเอกภาพในอัลเลาะห์ มีความอดทน โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาวมักกะห์เถิดว่า ฉันไม่เรียกร้องเอาค่าตอบแทนใด ๆ จากพวกท่านในเรื่องพระคัมภีร์อัล-กุรอานนี้เลย หากแต่ว่าพระคัมภีร์นั้นเป็นเพียงข้อตักเตือนปวงสหประชาชาติทั้งฝ่ายมนุษย์และญินเท่านั้น



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 91 - 94


คำอ่าน
91. วะมาเกาะดะรุลลอฮุหักเกาะก็อดริฮี อิซกอลูมา..อัน..ซะลัลลอฮุ อะลาบะชะริม..มิน..ชัยอ์ กุลมันอัน..ซะลัลกิตาบัลละซี ญา...อะบิฮีมูสา นูร็อว..วะฮุดัลลิน..นาสิ ตัจญอะลูนะฮูเกาะรอฏีสะ ตุบดูนะฮา วะตุคฟูนะกะษีรอ วะอุลลิมตุม..มาลัมตะอฺละมูอัน..ตุม วะลา..อาบา...อุกุม กุลิลลาฮุ ษุม..มะซัรฮุม ฟีค็อวฎิฮิม ยัลอะบูน
92. ฮาซากิตาบุนอัน..ซัลนาฮุ มุบาเราะกุม..มุศ็อดดิกุลละซี บัยนะยะดัยฮิ วะลิตุน..ซิเราะ อุม..มัลกุรอ วะมันเหาละฮา วัลละซีนะ ยุอ์มินูนะบิลอาคิเราะติ ยุอ์มินูนะบิฮี วะฮุมอะลาเศาะลาติฮิม ยุหาฟิซูน
93. วะมันอัซละมุมิม..มะนิฟตะรอ อะลัลลอฮิกะซิบัน เอากอละอูหิยะอิลัยยะ วะลัมยูหะอิลัยฮิชัยอุ์ วะมัน..กอละ สะอุน..ซิลุ มิษละมา..อัน..ซะลัลลอฮฺ วะเลาตะรอ..อิซิซซอลิมูนะ ฟีเฆาะมะรอติลเมาติ วัลมะลา...อิกะตุ บาสิฏู..อัยดีฮิม อัคริญู...อัน..ฟุสะกุม อัลเยามะตุจญเซานะอะซาบัลฮูนิ บิมากุน..ตุมตะกูลูนะ อะลัลลอฮิห็อยร็อลหักกฺ วะกุน..ตุมอันอายาติฮี ตัสตักบิรูน
94. วะละก็อดญิอ์ตุมูนา ฟุรอดา กะมาเคาะลักนากุม เอาวะละมัรฺเราะติว..วะตะร็อกตุม..มาค็อววัลนากุม วะรอ...อะซุฮูริกุม วะมานะรอมะอะกุม ชุฟะอา..อะกุมุลละซีนะ ซะอัมตุม อัน..นะฮุมฟีกุมชุเราะกาอุ์ ละก็อด ตะก็อฏเฏาะอะ บัยนะกุม วะฏ็อลละอัน..กุม..มากุน..ตุมตัซอุมูน


คำแปล R1.
91. They (the Jews, Quraish pagans, idolaters, etc.) did not estimate Allah with an estimation due to Him when they said: "Nothing did Allah send down to any human being (by inspiration)." Say (O Muhammad): "Who then sent down the Book which Musa (Moses) brought, a light and a guidance to mankind which you (the Jews) have made into (separate) papersheets, disclosing (some of it) and concealing (much). And you (believers in Allah and his Messenger Muhammad), were taught (through the Qur'an) that which neither you nor your fathers knew." say: "Allah (sent it down)." Then leave them to play in their vain discussions. (Tafsir Al-Qurtubi,Vol.7, Page 37).
92. And this (the Qur'an) is a blessed Book which we have sent down, confirming (the revelations) which came before it, so that you may warn the mother of towns (i.e. Makkah) and all those around it. Those who believe in the Hereafter believe in (the Qur'an), and they are constant in guarding their Salat (prayers).
93. and who can be more unjust than he who invents a lie against Allah, or says: "I have received inspiration," whereas he is not inspired in anything; and who says, "I will reveal the like of what Allah has revealed." and if you could but see when the Zalimun (polytheists and wrongญdoers, etc.) are in the agonies of death, while the angels are stretching forth their hands (saying): "Deliver your souls! This Day you shall be recompensed with the torment of degradation because of what you used to utter against Allah other than the truth. And you used to reject his Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) with disrespect!"
94. And truly you have come unto us alone (without wealth, companions or anything else) as we created you the first time. You have left behind you all that which we had bestowed on you. We see not with you your intercessors whom you claimed to be partners with Allah. Now all relations between you and them have been cut off, and all that you used to claim has vanished from you.


คำแปล R2.
91. และพวกเขา (ชาวยิว) ไม่ได้ยกย่องอัลเลาะฮฺอย่างแท้จริงเลย เมื่อพวกเขาได้กล่าวว่า “อัลเลาะฮฺมิได้ประทานสิ่งหนึ่งแก่บุคคลใดทั้งสิ้น” เจ้าจงกล่าวตอบเถิดว่า “แล้วใครเล่าที่ประทานคัมภีร์(เตารอฮฺ)ซึ่งมูซาได้นำมา(ประกาศ)เป็นแสงสว่าง, และเป็นสิ่งชี้นำสำหรับมวลมนุษยชาติ พวกท่านนั่นแหละได้บันทึกมันไว้ในกระดาษ(เป็นแผ่น ๆ ไม่รวมเป็นเล่ม) พวกท่านนำมันมาเปิดเผย(เพียงเล็กน้อย) แต่พวกท่านปิดบังไว้เป็นส่วนมาก และพวกท่านถูกสอนในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้ ทั้งตัวพวกท่านเองและบรรพบุรุษของพวกท่าน จงประกาศเถิด ! ว่า “(ผู้ทรงประทานคือ) อัลเลาะฮฺ” หลังจากนั้น เจ้าก็จงปล่อยพวกเขาไว้ให้สนุกสนานในการพูดจาล้อเลียนไปเถิด
92. และนี้คือคัมภีร์ที่เราได้มอยให้(แก่นบีมุฮำมัด) เป็นคัมภีร์ที่มีความมงคล อีกทั้งเป็นคัมภีร์ที่รับรองแก่(คัมภีร์)ที่อยู่ก่อนหน้า(คือเตารอฮฺ, อินญีล) และเพื่อเจ้าได้ตักเตือน(ชาว)ตัวเมือง(มักกะห์)และผู้ที่อยู่โดยรอบเมืองนั้น และบรรดาผู้ศรัทธาในวันชาติหน้า ก็ย่อมศรัทธาในอัลกุรอานด้วย และพวกเขารักษาการละหมาดของพวกเขา(อย่างเคร่งครัด)
93. และมีใครอีกเล่าที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่เสกสรรความเท็จแก่อัลเลาะฮฺ หรือเขากล่าว(อวดอ้าง)ว่า “ฉันได้รับการดลโองการ” ทั้ง ๆ ที่เขาหาได้รับการดลโองการสักสิ่งเดียวไม่ และผู้ใดกล่าวว่า “ฉันจะให้ลงมาเหมือนสิ่งที่อัลเลาะฮฺได้ประทานให้ลงมา” และถ้าหากเจ้ามองเห็น เมื่อบรรดาผู้ฉ้อฉลเหล่านั้นกำลังอยู่ในความทุรนทุรายแห่งความตาย และมลาอิกะฮฺได้แบมือของพวกเขา(ทุบตีร่างกายของผู้นั้นให้เจ็บปวดรวดร้าวยิ่งขึ้น)พร้อมกับกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงปล่อยให้ชีวิตของพวกท่านออกมาเถิด วันนี้เป็นวันที่พวกท่านจะถูกตอบแทนด้วยการลงโทษอันอัปยศ เพราะสิ่งที่พวกท่านเคยพูดที่ไร้สัจจะแก่อัลเลาะฮฺ และที่พวกท่านเคยทระนงตน(ไม่เชื่อถือ)ต่อบรรดาโองการของพระองค์
94. ขอยืนยัน! แท้จริงพวกเจ้าต้องมาหาเรา(ในวันกิยามะฮฺ)โดยลำพัง (ไม่มีทรัพย์สินและบริวารติดตามมาด้วย) เหมือนเช่นที่เราได้บันดาลพวกเจ้ามาเมื่อครั้งแรกเริ่ม และพวกเจ้าต้องทอดทิ้งสิ่งที่เราเคยโปรดปรานแก่พวกเจ้าไว้เบื้องหลังของพวกเจ้า (ไม่สามารถนำติดวิญญาณมาด้วยได้) และเราไม่เห็นเลยว่า พร้อมกับพวกเจ้านั้น จะมีบรรดาผู้ให้การสงเคราะห์แก่พวกเจ้า ซึ่งพวกเจ้าเคยคาดคิดเอาไว้ว่า อันที่จริงพวกเขานั้นเป็นหุ้นส่วน(ของอัลเลาะฮฺที่มีอยู่)ในพวกเจ้า ขอยืนยัน! แท้จริงได้ขาดสะบั้นลงแล้ว(ความสัมพันธ์)ระหว่างพวกเจ้า และสิ่งที่พวกเจ้าเคยคิดไว้ (ว่าเป็นหุ้นส่วนของอัลเลาะฮฺนั้น) ได้ลับหายไปจากพวกเจ้าแล้ว


คำแปล R3.
91. และพวกเขาไม่ได้ยอมรับอัลลอฮฺอย่างจริง ๆ ตามที่ควรจะเป็น เมื่อพวกเขากล่าวว่า “อัลลอฮฺมิได้ประทานสิ่งใดแก่สามัญชน” จงกล่าวเถิด “แล้วใครเล่าที่ได้ส่งคัมภีร์ที่มูซาได้นำมาเป็นแสงสว่างและทางนำแก่ปวงมนุษย์ซึ่งพวกท่านทำมันแยกออกเป็นส่วน ๆ ส่วนหนึ่งพวกท่านนำมันออกมาแสดงแต่ส่วนใหญ่ก็ซ่อนมันจากพวกเขา ซึ่งโดยคัมภีร์นี้พวกท่านได้รับความรู้ซึ่งพวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านไม่มีมาก่อน?” จงกล่าวเถิดว่า “อัลลอฮฺ” แล้วจงปล่อยพวกเขาให้เล่นกับการพูดที่ไร้สาระของพวกเขา
92. และนี่คือคัมภีร์ซึ่งเราได้ประทานลงมาเป็นที่จำเริญและเป็นสิ่งยืนยันที่เราได้ส่งมาก่อนคัมภีร์นี้เพื่อเจ้าจะได้ตักเตือนผู้คนใจกลางเมือง (มักกะฮฺ)และที่อาศัยอยู่รอบ ๆ มัน บรรดาผู้ศรัทธาในปรโลกเชื่อคัมภีร์นี้และพวกเขารักษาการนมาซของพวกเขา
93. และผู้ใดเล่าที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺหรือกล่าวว่า “ได้มีวะฮีย์แก่ฉัน” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีวะฮีย์ใด ๆ แก่เขาเลย หรือผู้ที่กล่าวว่า “ฉันจะส่งวะฮีย์ลงมาเหมือนกับที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมา” และถ้าเจ้าได้เห็นคนชั่วเหล่านี้อยู่ในอาการจวนจะตายและมลาอิกะฮฺกำลังยื่นมือลงมาพลางกล่าวว่า “เอาชีวิตของพวกท่านออกมา วันนี้ พวกท่านจะถูกตอบแทนด้วยการลงโทษอันอัปยศเนื่องจากพวกท่านกล่าวร้ายอัลลอฮฺโดยไม่เป็นความจริง และพวกท่านหยิ่งยโสต่ออายะฮฺทั้งหลายของพระองค์”
94. และโดยแน่นอนยิ่ง(อัลลอฮฺจะกล่าวว่า) “สูเจ้าได้มายังเราอย่างโดดเดี่ยวเหมือนกับที่เราได้สร้างสูเจ้าเมื่อครั้งแรก ตอนนี้สูเจ้าได้ละทิ้งทุกสิ่งที่เราได้ประทานแก่สูเจ้าไว้ข้างหลังสูเจ้า และตอนนี้เราไม่เห็นผู้แก้ต่างของสูเจ้าที่สูเจ้าเชื่อว่าเป็นผู้กำหนดชะตากรรมอยู่กับสูเจ้า แท้จริงสายสัมพันธ์ระหว่างสูเจ้าได้ถูกตัดขาดแล้วและทั้งหมดที่สูเจ้าวางใจนั้นได้ทิ้งสูเจ้าไปหมด”


คำแปล R4.
91. และพวกเขามิได้ให้ความยิ่งใหญ่แก่อัลลอฮฺตามควรแก่ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ จงรำลึกขณะที่พวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺมิได้ทรงประทานสิ่งใดแก่ปุถุชนคนใด จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าผู้ใดเล่าที่ได้ทรงประทานลงมา ซึ่งคัมภีร์ที่มูซานำมาเป็นแสงสว่าง และคำแนะนำแก่มนุษย์ซึ่งพวกท่านได้บันทึกไว้ในกระดาษโดยที่จะได้เปิดเผยมันและก็ปกปิดมันไว้มากมายและพวกเจ้า ถูกสอนในสิ่งที่ทั้งพวกเจ้า และบรรพบุรุษของพวกเจ้ามิได้รู้มาก่อน จงกล่าวเถิดว่า (ผู้ทรงประทาน) คืออัลลอฮฺนั่นเอง แล้วจงปล่อยพวกเขาสนุกสนามกันในการวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาต่อไป
92. นี้คือ คัมภีร์ที่เราได้ให้ลงมาอันเป็นคัมภีร์ที่มีความจำเริญ ที่ยืนยันสิ่ง ซึ่งอยู่เบื้องหน้าคัมภีร์นี้และเพื่อที่เจ้าจะได้ตักเตือนแม่แห่งเมืองทั้งหลาย และผู้ที่อยู่รอบ ๆ แม่เมืองนั้น และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อปรโลกนั้น พวกเขาย่อมศรัทธาต่อคัมภีร์นี้ และขณะเดียวกันพวกเขาก็จะรักษาการละหมาดของพวกเขา
93. และใครเล่าคือ ผู้อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮฺ หรือกล่าวว่าได้ถูกประทานโองการแก่ฉัน ทั้ง ๆ ที่มิได้มีสิ่งใดถูกประทานให้เป็นโองการแก่เขา และผู้ที่กล่าวว่า ฉันจะให้ลงมาเช่นเดียวกับสิ่งที่อัลลอฮฺให้ลงมา และหากเจ้าจะได้เห็นขณะที่บรรดาผู้เอธรรมอยู่ในภาวะคับขันแห่งความตาย และมลาอิกะฮฺ กำลังแบมือของพวกเขา(โดยกล่าวว่า)จงให้ชีวิตของพวกท่านออกมา วันนี้พวกท่านจะได้รับการตอบแทน ซึ่งโทษแห่งการต่ำต้อย เนื่องจากที่พวกท่านกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮฺโดยปราศจากความจริง และเนื่องจากการที่พวกท่านแสดงยโสต่อบรรดาโองการของพระองค์
94. และแน่นอนพวกเจ้าได้มายังเราโดยลำพังเยี่ยงที่เราได้บังเกิดพวกเจ้ามาในครั้งแรก และพวกเจ้าได้ละทิ้งสิ่งที่เราไดให้แก่พวกเจ้าไว้เบื้องของหลังพวกเจ้า และเราไม่เห็นอยู่กับพวกเจ้าบรรดาผู้ที่จะช่วยเหลือพวกเจ้าได้อ้างไว้ว่า พวกเขาเป็นผู้มีหุ้นส่วนในพวกเจ้า แน่นอนได้ขาดเป็นเสี่ยง ๆ แล้วในระหว่างพวกเจ้า และได้หายจากพวกเจ้าสิ่งที่พวกเจ้าได้อ้างไว้


คำแปล R5.
๙๑. และพวกนั้นที่เป็นยะฮูดีหาได้เทิดเกียรติแก่อัลเลาะห์อย่างจริงใจไม่ ในคราวที่พวกเหล่านั้นได้กล่าวคำโต้เถียงเกี่ยวกับพระศาสดามุฮำมัดเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์อัลกุรอาน “อัลเลาะห์นั้นมิเคยได้ประทานสิ่งใดให้แก่มนุษยชาติเลย” โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาวยะฮูดีนั้นเถิดว่า “ก็ใครเล่าที่ได้ประทานพระคัมภีร์เตารอต ซึ่งมูซาได้นำมา สำหรับเป็นที่กระจ่างแจ้งแห่งความหมายของมันและเป็นหนทางนำแก่มวลมนุษย์? แต่พวกเจ้ากลับบันทึกมัน(พระคัมภีร์เตารอต)ลงในกระดาษเป็นแผ่น ๆ โดยไม่ได้รวมไว้เป็นเล่ม โดยทำการเปิดเผยความหมายของมันเฉพาะแต่แผ่นที่พวกเจ้าพอใจจะเปิดเผยและปกปิดเนื้อความจากแผ่นบันทึกนั้นไว้ก็มาก เป็นต้นว่า เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องคุณลักษณะของพระศาสดามุฮำมัด โอ้พวกยะฮูดี ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็ได้รับทราบเรื่องจากพระคัมภีร์อัลกุรอานที่พวกเจ้าและบรรดาบรรพบุรุษของพวกเจ้าไม่เคยทราบจากพระคัมภีร์เตารอตมาก่อน คือว่า พระคัมภีร์อัล-กุรอานจะขยายเนื้อความจากพระคัมภีร์เตารอตที่พวกเจ้าคลับคล้ายคลับคลาและขัดแย้งกัน โอ้มุฮำมัด ถ้าพวกยะฮูดีไม่มีปัญญาจะตอบคำถามของเจ้าได้ละก็เจ้าจงบอกแก่พวกนั้นเถิดว่า “อัลเลาะห์” เองแหละเป็นผู้ประทานพระคัมภีร์เตารอตลงมา โอ้มุฮำมัด เจ้าจงปล่อยให้พวกนั้นพูดจาล้อเล่นตำหนิติเตียนอัลกุรอานกันไปเถิด
๙๒. ก็พระคัมภีร์อัล-กุรอานนี่แหละเป็นคัมภีร์หนึ่งที่เรา(อัลเลาะห์)ได้ประทานมันลงมาให้แก่มุฮำมัด เป็นสิริมงคลและเป็นที่ยืนยันพระคัมภีร์ฉบับก่อน ๆ ว่าจริงแท้ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าใช้ตักเตือนชาวพระนครหลวง(มักกะห์)และผู้คนชานเมืองนั้นทั้งที่ใกล้และไกลออกไปโดยรอบสำหรับบรดาชนที่ศรัทธาต่อโลกปรภพและศรัทธาต่อพระคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นด้วย โดยพวกเหล่านี้ที่ศรัทธาต่อโลกปรภพและศรัทธาต่อพระคัมภีร์อัล-กุรอานต่างเคร่งครัดต่อการทำละหมาดทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะเหตุว่าพวกเขามีความยำเกรงการลงโทษในโลกปรภพฐานละทิ้งละหมาด
๙๓. ย่อมไม่มีผู้ใดคดโกงยิ่งกว่าผู้ที่ปั้นคำเท็จแอบอ้างอัลเลาะห์ด้วยการอ้างตนว่าเป็นพระศาสดาที่ตนเองมิได้ถูกแต่งตั้งให้รัตำแหน่งนั้น หรืออ้างว่าฉันได้รับการดลโองการ(อัลวะห์ยุ) ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ไม่เคยได้รับโองการใด ๆ เลย ชายผู้อ้างตนที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้คือ มุไซลิมะห์ และไม่มีผู้ใดคดโกงยิ่งกว่าผู้ที่เอ่ยว่าในไม่ช้านี้ฉันก็จะได้ถูกประทานพระคัมภีร์เหมือนดั่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานที่อัลเลาะห์ได้ประทานลงมาแล้วแก่มุฮำมัด พวกเหล่านี้คือพวกพูดจาเหยียดหยามพระคัมภีร์อัล-กุรอาน พวกนี้เอ่ยว่า ถ้าพวกเรามุ่งประสงค์แล้ว พวกเราก็สามารถแสดงถ้อยคำของพระคัมภีร์อัล-กุรอานได้ โอ้มุฮำมัด ถ้าหากว่าเจ้าแลเห็นได้ละก็ ในตอนนั้นพวกคดโกงทั้งหลายจะตกอยู่ในความคับขันถึงตายโดยพวกมลาอิกะห์ยื่นมือไปทำร้ายด้วยการตบตีบ้างและด้วยการทรมานบ้าง สั่งกำชับเด็ดขาดว่าพวกท่านจงคลายชีวิตออกจากร่างของพวกท่านมาให้แก่พวกเราเถิด เพื่อพวกเราจะได้เอาชีวิตของพวกท่านไป ในวันปรภพนั้น พวกท่านที่คดโกงจะถูกตอบแทนโทษทรมานชั้นเลวในฐานะที่ท่านเคยพูดแอบอ้างถึงอัลเลาะห์แต่เรื่องไม่จริง โดยอ้างเท็จว่าได้รับแต่งตั้งเป็นพระศาสดาบ้างเป็นพระศาสนทูตบ้าง หรืออ้างเท็จว่าตนได้รับการดลโองการ เช่นพระคัมภีร์อัล-กุรอานบ้าง ทั้งพวกท่านยังหยิ่งยโสต่อบรรดาโองการของพระองค์อีกด้วย โอ้มุฮำมัด หากว่าเจ้าได้แลเห็นพฤติการณ์อันน่าสยดสยองและน่าเกลียดอย่างที่สุด
๙๔. และในตอนที่เกิดขึ้นใหม่จากสุสานพวกคดโกงทั้งหลายจะถูกกล่าวว่าความเป็นจริงแล้วพวกเจ้าย่อมมาหาเรา(อัลเลาะห์)ตัวเปล่า ปราศจากครอบครัว ทรัพย์สิน และลูกเต้าเหมือนกับตอนที่เราได้ให้พวกเจ้าเกิดขึ้นในครั้งแรก พวกเจ้าจะต้องเดินเท้าเปล่าและเปลือยร่าง ทั้งอวัยวะองคชาติของพวกเจ้ายังมีหนังหุ้มอยู่เหมือนสภาพเมื่อแรกเกิดทีเดียว ทั้งพวกเจ้ายังได้ละทิ้งสิ่งของต่าง ๆ ที่เราได้เอื้อเฟื้อแก่พวกเจ้าไว้เบื้องหลังในภพนี้(ดุนยา)ด้วยความจำใจอีกด้วย และพวกคดโกงเหล่านั้นยังถูกตำหนิอีกว่าเราไม่เห็นเทพเจ้าทั้งหลายมีมากับพวกเจ้า ที่พวกเจ้าคิดเดาไปว่ามัน(เทพเจ้า)นั้นมีสิทธิในตัวพวกเจ้าในอันที่จะได้รับความเคารพบูชาคู่เคียงกับอัลเลาะห์ข้าจะให้สัตย์ปฏิญาณว่า อันที่จริงความสัมพันธ์กันระหว่างพวกเจ้ากับเทพเจ้านั้นถูกตัดขาดเรื่องความช่วยเหลือจากเหล่าเทพเจ้าดังกล่าวที่พวกเจ้านึกฝันไว้ในภพนี้(ดุนยา)ว่าจะต้องได้รับนั้นอันตรธานไปจากพวกเจ้าเสียแล้ว



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 95 - 99


คำอ่าน
95. อิน..นัลลอฮะ ฟาลิกุลหับบิ วัน..นะวา มินัลมัยยิติ วะมุคริญุลมัยยิติมินัลหัยยิ ซาลิกุมุลลอฮุ ฟะอัน..นาตุอ์ฟะกูน
96. ฟาลิกุลอิศบาหฺ วะญะอะลัลลัยละสะกะเนา..วัชชัมสะ วัลเกาะมะเราะหุสบานา ซาลิกะตักดีรุลอะซีซิลอะลีม
97. วะฮุวัลละซี ญะอะละละกุมุน..นุญูมะ ลิตะฮฺตะดูบิฮา ฟีซุลุมาติลบัรฺริ วัลบะหฺริ ก็อดฟัศศ็อลนัลอายาติ ลิก็อวมียะอฺละมูน
98. วะฮุวัลละซี..อัน..ชะอะกุม..มิน..นัฟสิว..วาหิดะติน..ฟะมุสตะก็อรฺรู..วะมุ.เตาดะอฺ ก็อดฟัศศ็อลนัลอายาติ ลิก็อวมียัฟเกาะฮูน
99. วะฮุวัลละซี..อัน..วะละ มินัสสะมา...อิมา...อา ฟะอัคร็จญนาบิฮีนะบาตะกุลลิชัยอิน..ฟะอัคร็อจญนามินฮุเคาะฎิร็อน..นุคริญุมินฮุหับบัม..มุตะรอกิบา วะมิน..นัคลิ มิน..ฏ็อลอิฮา กินวานุน..ดาดานิยะฮฺ วะญัน..นาติม..มินอะอฺนาบิว..วัซซัยตูนะ วัรฺรุม..มานะ มุชตะบิเฮา..วะฆ็อยเราะมุตะชาบิฮฺ อุน..ซุรู..อิลาษะมะริฮี..อิซา..อัษมะเราะ วะยันอิฮี อิน..นะฟีซาลิกุม ละอายาติลลิก็อวมี..ยุอ์มินูน


คำแปล R1.
95. Verily! It is Allah who causes the seed-grain and the fruit-stone (like date-stone, etc.) to split and sprout. He brings forth the living from the dead, and it is He who brings forth the dead from the living. Such is Allah, then how are you deluded away from the truth?
96. (He is the) Cleaver of the daybreak. He has appointed the night for resting, and the sun and the moon for reckoning. Such is the measuring of the All-Mighty, the All-Knowing.
97. It is He who has set the stars for you, so that you may guide your course with their help through the darkness of the land and the sea. We have (indeed) explained in detail our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) for people who know.
98. It is He who has created you from a single person (Adam), and has given you a place of residing (on the earth or in your mother's wombs) and a place of storage [in the earth (in your graves) or in your father's loins]. Indeed, we have explained in detail our revelations (this Qur'an) for people who understand.
99. It is He who sends down water (rain) from the sky, and with it we bring forth vegetation of all kinds, and out of it we bring forth green stalks, from which we bring forth thick clustered grain. And out of the date-palm and its spathe come forth clusters of dates hanging low and near, and gardens of grapes, olives and pomegranates, each similar (in kind) yet different (in variety and taste). Look at their fruits when they begin to bear, and the ripeness thereof. Verily! in these things there are signs for people who believe.


คำแปล R2.
95. แท้จริงอัลเลาะฮฺได้ทรงปริเมล็ดพันธุ์ (เช่นเมล็ดข้าว) และเมล็ดผล (เช่นเมล็ดอินทผลัม)(ให้มันงอกเงยออกมา) ทรงให้สิ่งที่มีชีวิตออกมากสิ่งไร้ชีวิต(เช่น มนุษย์มาจากอสุจิ) และทรงให้สิ่งไร้ชีวิตออกมาจากสิ่งมีชีวิต(เช่น อสุจิออกมาจากมนุษย์ ไข่จากแม่ของมัน)เหล่านั้น (เป็นการแสดงถึงมหิทธานุภาพของ)อัลเลาะฮฺ แล้วไฉนพวกเจ้าจึงถูกบิดผัน (ออกไปจากการนมัสการพระองค์)?
96. พระองค์ทรงเป็นผู้เบิกอรุณรุ่ง และทรงบันดาลเวลากลางคืนให้เป็นเวลาพักผ่อน และบรรดาลดวงตะวันและดวงเดือนเป็นหลักแห่งการคำนวณ (ตามหลักทางดาราศาสตร์) นั้นเป็นข้อกำหนดของ (อัลเลาะฮฺ) ผู้ทรงอำนาจอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
97. และพระองค์ทรงบันดาลดวงดาวสำหรับ(อำนวยประโยชน์)พวกเจ้าทั้งมวลเพื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้นำด้วยกับมัน(ขณะเดินทาง)ในความมืดของพื้ยบกและท้องทะเล(ให้เดินทางอย่างถูกต้อง ไม่หลงทาง)แท้จริงเราได้แจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายแก่กลุ่มชนที่รอบรู้
98. และพระองค์ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง(คืออาดัม)ครั้นต่อมา(พวกเจ้าก็)มีที่สถิตอันมั่นคง(คือกระดูกสันหลังของบิดาหรือบนพื้นพิภพ)และมีที่ฝากฝังไว้(ชั่วคราว คือมดลูกของมารดาหรือสุสาน) ที่จริงเราได้แจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายแก่กลุ่มชนที่มีความเข้าใจ
99. และพระองค์ทรงหลั่งน้ำฝนลงมาจากฟากฟ้า แล้วเราก็ให้ผลิออกมาเพราะมัน(น้ำฝนนั้น)แก่บรรดาพืชพันธุ์ชนิดต่าง ๆ ต่อมาเราก็ใหผลิออกจากมันซึ่งพืชสีเขียว(สด) ซึ่งเราได้ให้ออกมาจากมันเป็นเมล็ดเป็นพวง (เช่น เมล็ดข้าวสาลี) และจากต้นอินทผลัม ให้มีช่อที่อยู่ใกล้เคียงติด ๆ กันออกมาจากจั่นของมัน และเรือกสวนที่มีทั้งองุ่น, ไซตูน, และทับทิมซึ่งคล้ายคลึงกันและไม่คล้ายคลึงกัน พวกเจ้าจงพินิจดูผลของมันเถิด เมื่อมันให้ผล และ (จงพินิจดู) ความสุกงอมของมันด้วย แท้จริงในสิ่งนั้นย่อมเป็นสัญลักษณ์สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาทั้งมวล


คำแปล R3.
95. แท้จริงอัลลอฮฺคือผู้ทรงปริเมล็ดพืชและเมล็ดอินทผลัม พระองค์ทรงทำให้ชีวิตออกมาจากที่ตายและผู้ทรงทำให้ที่ตายออกมาจากที่มีชีวิต นั่นคืออัลลอฮฺผู้ทรงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แล้วสูเจ้ากำลังถูกชักจูงไปทางไหน?
96. พระองค์เป็นผู้ทรงเบิกรุ่งอรุณ และทรงทำกลางคืนเป็นยามพักผ่อน และทรงกำหนดการโคจรของดวงตะวันและดวงเดือน พระกำหนดของผู้ทรงอำนาจผู้ทรงรอบรู้
97. และพระองค์คือผู้ทรงสร้างดวงดาวไว้สำหรับสูเจ้าเพื่อสูเจ้าจะได้อาศัยมันชี้ทางในเวลามืดทึบในแผ่นดินและในทะเล แน่นอนเราได้ทำให้สัญญาณทั้งหลายของเราเป็นที่แจ้งชัดแล้วสำหรับประชาชนที่มีความรู้
98. และพระองค์คือผู้ทรงบังเกิดสูเจ้าจากชีวิตหนึ่ง และ(ได้จัดหาให้แก่เจ้า)ซึ่งที่พำนักและที่พักอันสงบ แน่นอนเราได้ทำให้สัญญาณทั้งหลายของเราเป็นที่แจ้งชัดแล้วสำหรับผู้ที่เข้าใจ
99. และพระองค์คือผู้ทรงให้น้ำหลั่งลงมาจากฟากฟ้า และโดยน้ำนั้นเราได้ทำให้พืชผักทุกชนิดงอกเงยขึ้นมา แล้วเราได้ทำให้มันเขียวขจี หลังจากนั้น เราได้ให้งอกออกจากมันซึ่งเมล็ดที่เรียงซ้อนเป็นรวง และจากต้นอินทผลัมซึ่งงวงของมันเป็นพวงย้อยต่ำลงมา และปวงสวนองุ่นและมะกอกและทับทิมที่ถึงแม้ผลของมันจะดูละม้ายกัน แต่กระนั้นก็ยังมีคุณสมบัติที่ต่างกัน จงพินิจผลของมันว่าออกมาได้อย่างไรและมันสุกได้อย่างไร แท้จริงในสิ่งเหล่านั้น แน่นอน มีสัญญาณต่าง ๆ สำหรับผู้ศรัทธา


คำแปล R4.
95. แท้จริงอัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงให้เมล็ดพืชและเมล็ดอินทผาลัมปริออก ทรงให้สิ่งที่มีชีวิตออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตและทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งที่มีชีวิต นั่นแหละคืออัลลอฮฺ แล้วอย่างไรเล่าที่พวกเจ้าถูกหันเหไปได้
96. ผู้ทรงเผยอรุโณทัยและทรงให้กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นการคำนวณ นั่นคือการกำหนดให้มีขึ้นของผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ
97. และพระองค์คือ ผู้ที่ทรงให้มีแก่พวกเจ้า ซึ่งดวงดาวทั้งหลาย เพื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้นำด้วยดวงดาวเหล่านั้น ทั้งในความมืดแห่งทางบกและทางทะเล แน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้งหลายไว้แล้ว สำหรับกลุ่มชนที่รู้
98. และพระองค์คือ ผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเกิดขึ้นจากชีวิตหนึ่ง โดยให้มีที่พัก และให้มีที่ฝาก แน่นอนเราได้แจกแจงโองการทั้งหลายไว้แล้วสำหรับกลุ่มชนที่เข้าใจ
99. และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้น้ำลงมาจากฟากฟ้าแล้วทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้น ซึ่งพันธุ์พืชของทุกสิ่งและเราได้ให้ออกจากพันธุ์พืชนั้นซึ่งสิ่งที่มีสีเขียว จากสิ่งที่มีสีเขียวนั้นเราได้ให้ออกมาซึ่งเมล็ดที่ซ้อนตัวกันอยู่ และจากต้นอินทผลัมนั้น จั่นของมันเป็นทลายต่ำ และทรงให้ออกมาด้วยน้ำนั้นอีก ซึ่งสวนองุ่นและซัยตูน และทับทิม โดยมีสภาพคล้ายกันและไม่คล้ายกัน “พวกเจ้าจงมองดู ผลของมัน” “เมื่อมันเริ่มออกผลและเมื่อมันแก่สุก แท้จริงในสิ่งเหล่านั้นแน่นอน มีสัญญาณมากมาย สำหรับหมู่ชนผู้ศรัทธา”


คำแปล R5.
๙๕. แท้จริงอัลเลาะห์คือผู้ทรงให้เมล็ดพืชล้มลุกผลิแตกงอกขึ้นเป็นใบสดเขียวและทรงเป็นผู้ให้เมล็ดแห้งแห่งอินทผลัมงอกเป็นลำต้นพุ่งขึ้นสู่อากาศได้ พระองค์จะทรงให้สิ่งมีชีวิตเกิดแต่สิ่งไร้ชีวิตก็ได้ เช่นมนุษย์เกิดแต่อสุจิ และนกเกิดแต่ไข่ ทำนองนั้นเป็นต้น และทรงเป็นผู้ให้สิ่งไร้ชีวิตเกิดแต่สิ่งมีชีวิตด้วย เช่นให้อสุจิเกิดมีขึ้นจากมนุษย์และไข่ก็แตกเป็นนกเป็นต้น พระผู้ทรงให้เมล็ดพืชต่าง ๆ ผลิแตกและให้สิ่งมีและไม่มีชีวิตกำเนิดขึ้นจากกันและกันนั่นแหละคืออัลเลาะห์ จึงไม่เป็นการสมควรเลยที่พวกเจ้าจะเมินเฉยจากความศรัทธาที่พร้อมด้วยมีหลักฐานยืนยัน
๙๖. ทรงเป็นผู้เบิกอรุณรุ่งให้มีลำแสงฉายยาวโผล่ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วพระองค์ได้ทรงให้กลางคืนเป็นเวลาที่พวกเหล่าข้าพระองค์พักผ่อนจากการประกอบธุรกิจ ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็ทรงให้มีกาลกำหนด บรรดาที่ถูกกล่าวมาทั้งหมดนั่นแหละคือข้อกำหนดของอัลเลาะห์ องค์ทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่งในทางการปกครองทรงรู้ยิ่งถึงสรรพสิ่งที่ถูกพระองค์สร้าง
๙๗. และพระองค์เป็นผู้ทรงให้เกิดมีดวงดาวต่าง ๆ สำหรับพวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้มันเป็นเครื่องนำทางในยามเดินทางทั้งทางบกและทางทะเลเมื่อมืดค่ำ แท้จริงเราได้แจกแจงสัญญาณหรือโองการต่าง ๆ แห่งอัลกุรอานที่แสดงว่าเรามีอานุภาพ ไว้สำหรับมวลชนผู้ตระหนักดี
๙๘. และพระองค์เป็นผู้ทรงบังเกิดพวกเจ้าจากชีวิตหนึ่งอันได้แก่พระศาสดาอาดำ มีทั้งส่วนแห่งกายตนของพวกเจ้าที่ถูกบรรจุเก็บไว้ในส่วนครรภ์ของมารดา และส่วนที่ถูกกักไว้ปล่อยออกจากปลายกระดูกสันหลังของบิดา แท้จริงเราได้แจกแจงโองการต่าง ๆ แห่งอัล-กุรอานไว้สำหรับมวลชนที่เข้าใจในสิ่งที่ถูกบอกให้พวกนั้นรู้
๙๙. และพระองค์เป็นผู้ทรงหลั่งน้ำฝนลงมาจากฟากฟ้าแล้วเรา(อัลเลาะห์)ได้ให้พืชพันธุ์ทุกชนิดงอกขึ้นด้วยน้ำนั้น และเราได้ให้พืชพันธุ์นั้นผลิใบเขียวสด ซึ่งจากพืชใบเขียวสดนั้นเราก็ให้มันงอกเมล็ดเป็นพวง เช่นรวงข้าวสาลี และจากต้นอินทผลัมนั้นที่จั่นของมันมีช่ออยู่ติด ๆ กันสำหรับเรือกสวนก็มีองุ่นบ้าง ผลไซตูนบ้าง และทับทิมบ้าง บางชนิดคล้ายคลึงกันในส่วนใบของมันก็มี แตกต่างกันในส่วนผลของมันก็มี เหล่านี้เราให้มันมีขึ้นเพราะน้ำฝน โอ้บรรดาผู้สดับฟังพวกเจ้าจงพิเคราะห์ดูถึงผลของมันในเมื่อมันได้ผลิผลแล้วเถิดว่ามันเป็นอย่างไร และจงพิเคราะห์ดูในตอนผลของมันสุกแล้วเถิดว่ามันมีสภาพการณ์อันมีคุณประโยชน์ได้อย่างไร แท้จริงในการต่าง ๆ ที่กล่าวมาเหล่านั้นแหละ เป็นสัญญาณสำหรับมวลชนผู้ศรัทธา แสดงให้เห็นพลสนุภาพของพระองค์ในการเกิดขึ้นใหม่จากสุสานและอื่น ๆ ได้



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 100 - 103


คำอ่าน
100. วะญะอะลูลิลลาฮิ ชุเราะกา...อัลญิน..นะ วะเคาะละเกาะฮุม วะเคาะเราะกูละฮูบะนีนะ วะบะนาติม..บิฆ็อยริอิลมฺ สุบหานะฮุวะตะอาลาอัม..มายะศิฟูน
101. บดีอุสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ อัน..นายะกูนุละฮู วะละดู..วะลัมตะกุลละฮู ศอหิบะฮฺ วะเคาละเกาะกุลละชัยอ์ วะฮุวะบุกุลลิชัยอินอะลีม
102. ซาลิกุมุลลอฮุร็อบบุกุม ลา..อิลาฮะอิลลาฮู คอลิกุกุลลิชัยอิน..ฟะอฺบุดูฮฺ วะฮุวะอะลากุลลิชัยอิว..วะกีล
103. ลาตุดริกุฮุลอับศอรุ วะฮุวะยุดริกุลอับศอรฺ วะฮุวัลละฏีฟุลเคาะบีรฺ


คำแปล R1.
100. Yet, they join the jinns as partners in worship with Allah, though He has created them (the jinns), and they attribute falsely without knowledge sons and daughters to Him. Be He glorified and exalted above (all) that they attribute to Him.
101. He is the originator of the heavens and the earth. How can He have children when He has no wife? He created all things and He is the All-Knower of everything .
102. Such is Allah, your Lord! La ilaha illa Huwa (none has the right to be worshipped but He), the creator of all things. So worship Him (Alone), and He is the Wakil (Trustee, Disposer of affairs, Guardian, etc.) over all things.
103. No vision can grasp him, but his grasp is over all vision. He is the most subtle and courteous, Well-Acquainted with all things
.

คำแปล R2.
100. และพวกเขาได้อุปโลกน์ญินขึ้นมาเป็นภาคีกับอัลเลาะฮฺ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงบันดาลพวกเหล่านั้นขึ้นมาเอง และพวกเขาได้กุความเท็จแก่พระองค์ว่ามีบุตรชายและบุตรหญิง โดยปราศจากความรู้ พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก และพระองค์ทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาได้บรรยายลักษณะไว้
101. พระองค์ทรงประดิษฐ์ฟากฟ้าและแผ่นดิน พระองค์จะมีบุตรได้อย่างไร? ทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่มีเพือนหญิง(มเหสี)และพระองค์ทรงบันดาลทุก ๆ สิ่ง และพระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งในทุก ๆ สิ่ง
102. (อันคุณลักษณะและเดชานุภาพ เช่น) นั้น(เป็นของ) อัลเลาะฮฺผู้ทรงอภิบาลพวกเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ทรงบันดาลทุก ๆ สิ่ง ดังนั้นพวกเจ้าจงนมัสการพระองค์เถิด และพระองค์ทรงเป็นผู้ถูกมอบหมายสำหรับทุก ๆ สิ่ง
103. บรรดาดวงตาทั้งหลาย ย่อมไม่สัมผัสพระองค์ได้ และพระองค์ทรงหยั่งถึงดวงตาทั้งมวล และพระองค์ทรงอาทรยิ่ง อีกทั้งทรงตระหนักยิ่ง


คำแปล R3.
100. แต่กระนั้นพวกเขายังตั้งญินเป็นภาคีเทียบเท่าอัลลอฮฺ ในขณะที่พระองค์เป็นผู้ทรงสร้างพวกมัน แล้วพกเขายังใส่ร้ายอีกด้วยว่าพระองค์มีโอรสและธิดาหลายองค์โดยไม่มีความรู้ ในขณะที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่งพ้นจากที่พวกเขากล่าวอ้าง
101. พระองค์คือผู้ทรงเริ่มต้นชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์จะทรงมีโอรสได้อย่างไรในเมื่อพระองค์ยังไม่ทรงมีมเหสี? พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งและพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
102. ดังนั้น นั่นคืออัลลอฮฺพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ดังนั้นจงเคารพภักดีพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงพิทักษ์ทุกสิ่ง
103. การมองเห็นทั้งหลายหยั่งไม่ถึงพระองค์ แต่พระองค์ทรงหยั่งถึงการมองเห็นทั้งหมด และพระองค์เป็นผู้ทรงละเอียด ผู้ทรงรอบรู้


คำแปล R4.
100. และพวกเขาได้ให้มีขึ้นแก่อัลลอฮ์ ซึ่งบรรดาภาคีแห่งญิน ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงบังเกิดพวกเขา แต่พวกเขาได้อุปโลกน์ให้แก่พระองค์ซึ่งบรรดาบุตรชาย และบรรดาบุตรหญิง โดยปราศจากความรู้ พระองค์ทรงบริสุทธิ์และทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาจะกล่าวให้ลักษณะกัน
101. พระผู้ทรงประดิษฐ์ บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน อย่างไรเล่าที่พระองค์จะทรงมีพระบุตรโดยที่พระองค์มิได้ทรงมีคู่ครอง? และพระองค์นั้นทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์ก็ทรงรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างด้วย
102. นั่นแหละคืออัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้า ไม่มีผู้ควรได้รับการเคารพสักการะ นอกจากพระองค์ ผู้ทรงบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นพวกเจ้าจงเคารพสักการะพระองค์เถิด และพระองค์ทรงเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาในทุกสิ่งทุกอย่าง
103. สายตาทั้งหลายย่อมไม่ถึงพระองค์แต่พระองค์ทรงถึงสายตาเหล่านั้นและพระองค์ก็คือผู้ทีรงปรานี ผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วน


คำแปล R5.
๑๐๐. และพวกเหล่านั้นที่เป็นชนชาวอาหรับซึ่งเคารพบูชาเทวรูปต่างถือเอาญินเป็นภาคีเทียบเท่าอัลเลาะห์ในการเคารพบูชา ทั้งนี้เพราะว่าพวกนั้นเจริญตามพวกญินในเรื่องเคารพบูชาเหล่าเทวรูปทั้ง ๆ ที่พระองค์ได้ทรงสร้างญินเหล่านั้นจึงไม่เป็นการอันสมควรเลยที่พวกญินทั้งหลายจะมาเป็นคู่ภาคีเทียบเคียงอัลเลาะฮฺทั้งพวกนั้นยังได้ป้ายร้ายพระองค์ว่ามีลูกชายและลูกสาวอย่างปราศจากความรู้อีกด้วยทั้งนี้เนื่องจากพวนั้นว่าพระศาสดาอุไซซ์เป็นบุตรชายของอัลเลาะห์และว่าพวกมลาอิกะห์เป็นบุตรสาวของพระองค์ ฉันขอแสดงออกซึ่งพระบริสุทธิคุณแห่งพระองค์ทั้งในส่วนแห่งองค์ ในส่วนแห่งคุณลักษณะแห่งพระองค์ ในส่วนแห่งพฤติการณ์ของพระองค์และทรงสูงเกินกว่าสิ่งใด ๆ จะเป็นเจ้าผู้ถูกตั้งขึ้นเป็นภาคีก็ดีและลูกชายและลูกสาวก็ดีที่พวกนั้นบอกคุณลักษณะกันไว้
๑๐๑. พระองค์คือพระผู้ทรงยิ่งในการเนรมิตบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินโดยไม่มีแผนตัวอย่างไว้ก่อนควรหรือที่พระองค์จะทรงมีบุตร? และมีพระเจ้าอื่นใดมาเข้าเป็นภาคีเคียงทั้งพระองค์ยังไม่ทรงมีภรรยาคู่เคียงอีกด้วย แต่ว่าพระองค์ทรงสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่พระองค์นั้นทรงรู้ยิ่งถึงทุกสิ่งทุกอย่าง
๑๐๒. ผู้ทรงเนรมิตและสร้างสรรค์บรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและผืนแผ่นดินก็ดี ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี และผู้จัดสร้างสิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็ดีนั่นแหละคืออัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเลยที่ควรแก่การเคารพบูชาเว้นไว้แต่พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้นพวกเจ้าจงแสดงความเป็นเอกภาพต่อพระองค์ ด้วยพระองค์คือพระผู้พิทักษ์ยิ่งในทุกสิ่งทุกอย่าง
๑๐๓. พลังแห่งการมองเห็นได้ของดวงตานั้นจะไม่อาจแลเห็นองค์แห่งพระองค์ได้ในพิภพนี้(ดุนยา)เลย นอกจากพลังดวงตาของพระศาสดามุฮำมัดเท่านั้นที่แลเห็นองค์แห่งอัลเลาะห์ได้ในค่ำมิอ์รอจ ส่วนในภพหน้าพวกมุอ์มินจะมีโอกาสแลเห็นพระองค์ได้ที่สนามสันนิบาตแห่งวันสิ้นโลกและในสรวงสวรรค์ ส่วนการแลเห็นทางจิตสำหรับในภพนี้ก็เป็นการเห็นของผู้ที่ฝันและของผู้ที่รำลึกถึงคุณลักษณะของพระองค์ผู้ยิ่งยง และของผู้มีแรงศรัทธาเป็นอิบาดะห์ประจำใจโดยสมำเสมอเท่านั้นแต่พระองค์ทรงเล็งเห็นทันพลังการมองเห็นของดวงตานั้น ๆ ได้ แหละว่าพระองค์นั้นทรงเป็นองค์ทรงยิ่งในความเวทนาต่อบรรดาที่ได้รับความโปรดปราณีหรือทรงเหนือพลังการมองเห็นของบรรดาที่เป็นค่าแห่งพระองค์ ทรงรู้เท่าทันยิ่งถึงพวกเหล่านั้น



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 104 - 107


คำอ่าน
104. ก็อดญา...อะกุม..บะศอ...อิรุ มิรฺร็อบบิกุม ฟะมันอับเศาะเราะ ฟะลินัฟสิฮฺ วะมันอะมิยะ ฟะอะลัยฮา วะมา..อะนะอะลัยกุม..บิหะฟีซ
105. วะกะซาลิกะ นุศ็อรฺริฟุลอายาติ วะลิยะกูลูดะร็อสตะ วะลิยุบัยยินะฮู ลิก็อวมี..ยะอฺละมูน
106. อิตตะบิอฺมา..อูหิยะอิลัยกะ มิรฺร็อบบิก ลา..อิลาฮะอิลลาฮู วะอะอฺริฎอะนิลมุชริกีน
107. วะเลาชา...อัลลอฮุมา..อัชเราะกู วะมาญะอัลนากะอะลัยฮิม หะฟีซอ วะมา..อัน..ตะอะลัยฮิม..บิวะกีล


คำแปล R1.
104. Verily, proofs have come to you from your Lord, so whosoever sees, will do so for (the good of) his ownself, and whosoever blinds himself, will do so to his own harm, and I (Muhammad) am not a watcher over you.
105. Thus we explain variously the verses so that they (the disbelievers) may say: "You have studied (the Books of the people of the Scripture and brought this Qur'an from that)" and that we may make the matter clear for the people who have knowledge.
106. Follow what has been inspired to you (O Muhammad) from your Lord, La ilaha illa Huwa (none has the right to be worshipped but He) and turn aside from Al-Mushrikun.
107. Had Allah willed, they would not have taken others besides Him in worship. And we have not made you a watcher over them nor are you set over them to dispose of their affairs.


คำแปล R2.
104. แท้จริงข้อสังเกตต่าง ๆ จากองค์อภิบาลของพวกท่านได้มาถึงพวกท่านแล้ว ดังนั้นผู้ใดพินิจพิเคราะห์(ถึงสัจธรรมและยอมรับเป็นอันดี) สิ่งนั้นก็เป็นคุณแก่ตัวเขาเอง และผู้ใดตาบอด (ไม่ยอมพินิจพิเคราะห์) สิ่งนั้นก็จักเป็นโทษแก่ตัวเขาเอง และฉัน(มุฮำมัด)หาใช่ผู้พิทักษ์(ดูแล)พวกท่านทั้งหลายไม่ (ฉันมีหน้าที่เพียงตักเตือนพวกท่านเท่านั้น)
105. และเช่นนั้นแหละ ที่เราได้จำแนกโองการต่าง ๆ และเพื่อพวกเขาจะได้พูดว่า “ท่านได้เล่าเรียน(อัลกุรอานนี้มาจากคัมภีร์เตารอฮฺ หาใช่โองการจากอัลลอฮฺไม่)” และเพื่อเราจะได้ชี้แจงอัลกุรอานแก่กลุ่มชนที่รอบรู้
106. เจ้าจงประพฤติตามสิ่ง(โองการ)ที่ถูกดลแก่เจ้าจากองค์อภิบาลของเจ้า (โดยเคร่งครัด) ไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากพระองค์เท่านั้น และเจ้าจงหันออกมาจากบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายเถิด
107. และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พวกเขาก็ย่อมไม่ตั้งภาคีอย่างแน่นอน และเรามิได้แต่งตั้งท่านให้เป็นผู้พิทักษ์แก่พวกเขาและเจ้าหาใช่ผู้รับมอบหมายสำหรับพวกเขาไม่ (เจ้ามีหน้าที่เพียงเป็นผู้ตักเตือนและเผยแพร่เท่านั้น)


คำแปล R3.
104. แสงสว่างแห่งการมองเห็นจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้าได้มายังสูเจ้าแล้ว ดังนั้น ผู้ใดเห็นก็เป็นการดีสำหรับตัวเขาเอง และผู้ใดทำตัวเหมือนตาบอดก็เป็นผลเสียต่อตัวเขาเอง และฉันไม่ใช่ผู้เฝ้าคอยดูแลสูเจ้า
105. และด้วยเหตุนั้น เราได้แจกแจงอายะฮฺทั้งหลายของเราครั้งแล้วครั้งเล่าในลักษณะต่าง ๆ เพื่อพวกเขาจะกล่าวว่า “ท่านได้เรียนรู้มาแล้ว” และเพื่อเราจะได้ทำมันให้แจ่มแจ้งสำหรับประชาชนที่รู้
106. (ดังนั้น มุฮัมมัด)จงปฏิบัติตามที่ได้ถูกวะฮีย์แก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ และจงหันห่างจากพวกบูชาเจว็ด
107. และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พวกเขาก็คงจะไม่ตั้งภาคี และเราไม่ได้แต่งตั้ง(มุฮัมมัด)เป็นผู้รักษาพวกเขา และเจ้าไม่ใช่ผู้พิทักษ์พวกเขา


คำแปล R4.
104. “แท้จริงบรรดาหลักฐานจากพระเจ้าของพวกเจ้านั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว ดังนั้น ผู้ใดมองเห็นก็ย่อมได้แก่ตัวของเขา และผู้ใดมองไม่เห็น ก็ย่อมเป็นภัยแก่ตัวของเขา และฉันมิใช่เป็นผู้พิทักษ์รักษาพวกเจ้า
105. และในทำนองเดียวกัน เราจะแจกแจงโองการทั้งหลายไว้ และเพื่อพวกเขาจะได้กล่าวว่า เจ้า(มุฮัมมัด) ได้ศึกษามา และเพื่อเราจะได้ให้แจ่มแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้
106. จงปฏิบัติสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้าเถิด ไม่มีผู้ใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น และเจ้าจงผินหลังให้แก่บรรดาผู้ให้มีภาคีเถิด
107. และหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้ว พวกเขาก็ย่อมมิให้มีภาคีขึ้น และเราก็มิได้ให้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์รักษาพวกเขา และเจ้าก็มิใช่เป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาพวกเขาด้วย”


คำแปล R5.
๑๐๔. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงบอกแก่พวกที่เคารพสักการะผู้ที่นอกจากอัลเลาะห์เถิดว่าแท้จริงได้มีข้อพิสูจน์ที่ไม่มีหนทางเถียงจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นหากผู้ใดมองเห็นซึ่งข้อพิสูจน์นั้นได้แล้ว เกิดความเชื่อมั่นแน่วแน่ก็ย่อมเป็นคุณแก่ผู้นั้น เพราะว่าบุญกุศลเนื่องจากการเห็นจริงในข้อพิสูจน์ดังกล่าว ขนาดถึงกระให้เกิดความเชื่อถือนั้นจะตกแก่เขาผู้นั้น แต่ถ้าหากผู้ใดบอดไม่สามารถและเห็นซึ่งความหายนะจากการหลงงมงายเสียแล้วก็เป็นกรรมของผู้นั้น ส่วนฉันนั้นหาใช่ผู้ควบคุมดูแลกิจการทั้งปวงของพวกเจ้าไม่ ฉันเป็นเพียงแต่ผู้ตักเตือนพวกเจ้าเท่านั้น
๑๐๕. และในทำนองเดียวกันกับที่เรา(อัลเลาะห์)ได้เคยแจกแจงโองการต่าง ๆ ไว้ในซูเราะห์อื่น เราจึงแจกแจงโองการต่าง ๆ ไว้ในซูเราะห์นี้ด้วย เพราะต้องการจะให้พวกกาฟิรฺเหล่านั้นพินิจพิเคราะห์โองการเหล่านั้นจนเป็นที่แจ่มแจ้งว่าพระคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นจริง และเพื่อพวกกาฟิรเหล่านั้นจะได้พูดบ่ายเบียงว่าท่านได้เล่าเรียนพระคัมภีร์อัล-กุรอานมาจากพระคัมภีร์เตารอต มิได้มีมาโดยตรงจากอัลเลาะห์แต่อย่างใด และเพื่อเราจะได้แจ้งโองการแห่งพระคัมภีร์อัลกุรอานนี้แก่ปวงชนที่รู้ว่าพระคัมภีร์อัล-กุรอานนี้มาจากอัลเลาะห์โดยตรง
๑๐๖. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงเจริญรอยตามพระคัมภีร์อัล-กุรอานที่ถูกดลจากองค์พระอภิบาลของเจ้ามายังเจ้าเถิด ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเลยที่ควรแก่การเคารพบูชาเว้นไว้แต่พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น และเจ้าจงผินเสียจากผู้ที่ถือเอาอื่นใดที่มิใช่อัลเลาะห์มาเคารพบูชาเป็นภาคีเคียงคู่พระองค์เถิด
๑๐๗. และถ้าอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์ในอันที่จะมิให้พวกถือภาคีทั้งหลายเหล่านั้นเคารพบูชาเทวรูป พวกนั้นก็จะไม่ยอมถือภาคี ด้วยการให้การเคารพบูชาเทวรูปนั้น แต่พระองค์มิได้ทรงมุ่งประสงค์อย่างนั้น จึงเป็นอันว่าพวกนั้นก็เคารพบูชาเทวรูปกันอยู่ ทั้งเรา(อัลเลาะห์)หาได้ตั้งเจ้าไว้เป็นผู้ควบคุมกิจการทั้งปวงของพวกเหล่านั้นไม่ เจ้าจึงไม่มีหน้าที่รับผิดชอบพวกเหล่านั้น เจ้าไม่ต้องบังคับกวดขันพวกนั้นให้เชื่อหรอก นี้คือเนื้อความที่ระบุขึ้นก่อนจะมีโองการสงครามลงมา



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 108 - 110


คำอ่าน
108. วะลาตะสุบบุลละซีนะ ยัดอูมินดูนิลลาฮิ ฟะยะสุบบุลลอฮิ อัดวัม..บิฆ็อยริอิลมฺ กะซาลิกะซัยยัน..นา ลิกุลลิอุม..มะติน อะมะละฮุม ษุม..มะอิลาร็อบบิฮิม..มัรฺญิอุฮุม ฟะยุนับบิอุฮุม..บิมากานูยะอฺมะลูน
109. วะอักสะมูบิลลาฮฺ ญะฮฺดะอัยมานิฮิม ละอิน..ญา...อัตฮุม อายะตุลละยุอ์มินุน..นะบิฮา กุลอิน..นะมัลอายาตุ อิน..ดัลลอฮฺ วะมายุชอิรุกุมอัน..นะฮา..อิซาญา..อัตลายุอ์มินูน
110. วะนุก็อลลิบุ อัฟอิดะตะฮุม วะอับศอเราะฮุม กะมาลัมยุอ์มินูบิฮี..เอาวะละมัรฺเราะติว..วะนะซะรุฮุม ฟีฏุฆยานิฮิม ยะอฺมะฮูน


คำแปล R1.
108. And insult not those whom they (disbelievers) worship besides Allah, lest they insult Allah wrongfully without knowledge. Thus we have made fair-seeming to each people its own doings; Then to their Lord is their return and He shall then inform them of all that they used to do.
109. And they swear their strongest oaths by Allah, that if there came to them a sign, they would surely believe therein. Say: "Signs are but with Allah and what will make you (Muslims) perceive that (even) if it (the sign) came, they will not believe?"
110. And we shall turn their hearts and their eyes away (from guidance), as they refused to believe therein for the first time, and we shall leave them in their trespass to wander blindly.


คำแปล R2.
108. และพวกเจ้าอย่าได้บริภาษ บรรดากลุ่มชนที่วอนนมัสการ(สิ่งอื่น ๐)นอกจากอัลเลาะฮฺ อันจะเป็นเหตุให้พวกเขาบริภาษอัลเลาะฮฺแบบก้าวร้าวโดยปราศจากความรู้ เช่นนั้นแหละที่เราได้ประดับไว้สำหรับทุก ๆ ประชาชาติซึ่งความประพฤติของพวกเขา(ให้เห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำนั้น ๆ) หลังจากนั้น ยังองค์อภิบาลของพวกเขาคือที่กลับคืนของพวกเขา แล้วพระองค์ก็จะทรงแจ้งแก่พวกเขาให้รู้ถึง(โทษจาก)สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้
109. และพวกเขาได้สาบานตนต่ออัลเลาะฮฺอย่างจริงจังว่า ขอสาบาน! หากได้มีสัญลักษณ์หนึ่งใดได้มาถึงพวกเขา พวกเขาก็จะศรัทธากับสัญลักษณืนั้นอย่างแน่นอน เจ้าจงประกาศเถิดว่า “อันที่จริงสัญลักษณ์ต่าง ๆ นั้นเป็นของอัลเลาะฮฺและไม่ทำให้พวกเจ้า(ผู้ศรัทธา)รู้สำนึกขึ้นมาเลยว่าแท้ที่จริงเมื่อมันมาแล้ว พวกเขา(พวกเนรคุณที่ขอให้มีสัญลักษณ์นั้น)ก็ไม่ศรัทธา(อยู่นั่นเอง)
110. และเราเปลี่ยนดวงจิตของพวกเขาและดวงตาของพวกเขา(จากการพินิจพิเคราะห์ในแนวทางที่ถูกต้อง)ให้เหมือนเช่นที่พวกเขาไม่เชื่อถือในสิ่งนั้น(บรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ)มาแต่เริ่มต้นและเราได้ปล่อยพวกเขาไว้ให้คงอยู่ในการละเมิดของพวกเขาโดยอาการอันงงงัน


คำแปล R3.
108. และ(โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา)จงอย่าด่าว่าสิ่งที่พวกเขาวิงวอนอื่นไปจากอัลลอฮิ มิฉะนั้น พวกเขาจะด่าว่าอัลลอฮฺอย่างเลยเถิดโดยไม่มีความรู้ ดังนั้น เราได้ทำให้การงานของผู้คนทุกหมู่เป็นที่ยุติธรรมแก่พวกเขา แล้วในที่สุดพวกเขาก็จะกลับไปยังพระผู้อภิบาลของพวกเขา แล้วเราจะแจ้งพวกเขาตามที่พวกเขาได้กระทำไว้
109. และพวกเขายังประกาศคำสาบานอันหนักแน่นด้วยพระนามของอัลลอฮิว่า ถ้าหากได้มีสัญญาณมายังพวกเขา พวกเขาก็จะศรัทธามัน (ความเป็นนบีของเจ้า)จงกล่วเถิดว่า “อัลลอฮฺเท่านั้นที่สามารถจะแสดงสัญญาณต่าง ๆ ได้” และสิ่งที่จะทำให้เจ้า(มุฮัมมัด)เห็นได้ก็คือ ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณมาพวกเขาก็ไม่ศรัทธา
110. และเราได้หันหัวใจของพวกเขาและสายตาของพวกเขาให้ห่างออกจากสัจธรรม เช่นเดียวกับที่พวกเขาไม่ได้ศรัทธามันมาตั้งแต่แรก ดังนั้นเราจะปล่อยให้พวกเขาระเหระหนอย่างมืดบอดในการดื้อดึงของพวกเขา


คำแปล R4.
108. และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่า บรรดาที่พวกเขาวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์ แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮ์เป็นการละเมิดโดยปราศจากความรู้ ในทำนองนั้นแหละ เราได้ให้สวยงามแก่ทุกชาติ ซึ่งการงานของพวกเขา และยังพระเจ้าของพวกเขานั้น คือการกลับไปของพวกเขา แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน”
109. และพวกเขาได้สาบานต่ออัลลอฮ์หนักแน่นอย่างยิ่งว่า ถ้าหากมีสัญญาหนึ่งมายังพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะศรัทธาเนื่องด้วยสัญญาณนั้น จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงสัญญาณทั้งหลายนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์เท่านั้นซึ่งการงานของพวกเขาและยังพระเจ้าของพวกเขานั้น คือการกลับไปของพวกเขา แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาจะทำกัน”
110. และเราจะพลิกหัวใจของพวกเขา และตาของพวกเขา เช่นเดียวกับที่พวกเขามิได้ศรัทธาต่อสิ่งนั้นในครั้งแรก และเราจะปล่อยพวกเขาให้ระเหเร่ร่อนอยู่ในความละเมิดของพวกเขาต่อไป”


คำแปล R5.
๑๐๘. และโอ้ปวงผู้ศรัทธา(มุอ์มิน)พวกเจ้าอย่าด่าบรรดาเหล่าเทวรูปที่พวกเหล่านั้นเคารพบูชาแทนอัลเลาะห์อยู่ จะได้ไม่เป็นเหตุให้พวกเหล่านั้นจะด่าอัลเลาะห์ต่างศัตรูโดยไม่เป็นธรรมและโดยความโง่เขลาในทำนอง เดียวกับที่เรา(อัลเลาะห์)ได้ให้พวกถือภาคีเห็นดีงามกับการเคารพบูชาเทวรูปนี้เอง เราจึงได้ให้ปวงประชากรทุกรุ่นเห็นกิจการทั้งที่ดีและชั่วเลวของพวกเขาเป็นของงดงาม พวกเหล่านั้นก็จะได้กระทำขึ้น ครั้นต่อไปในวันสิ้นโลกพวกเหล่านั้นก็กลับไปยังการสอบสวนขององค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกตน แล้วพระองค์จะทรงรายงานให้พวกนั้นทราบถึงพฤติกรรมที่พวกตนกระทำไว้ แล้วพระองค์จะทรงให้การตอบแทนผลกรรมของพวกนั้นด้วย
๑๐๙. แล้วพวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรชาวมักกะห์ได้สบถสาบานโดยพระนามแห่งอัลเลาะห์อย่างเอาจริงเอาจังว่าหากว่าได้มีสัญญาณหนึ่ง ๆ จากบรรดาสัญญาณทั้งหลาย เช่นภูเขาซ่อฟาที่พวกกาฟิรนี้ขอว่าให้กลายสภาพเป็นทองคำ และขอให้มีมลาอิกะห์ถูกส่งลงมาเป็นพยานเป็นต้น มาถึงพวกเหล่านั้นแล้ว พวกนั้นจะเชื่อมั่นสัญญาณอันนั้นแน่นอนทีเดียว โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นเถิด สัญญาณทั้งหลายนั้นมีมาจากการตัดสินฝ่ายอัลเลาะห์เท่านั้น ซึ่งพระองค์จะทรงให้มันมีลงมาตามพระประสงค์ของพระองค์ ส่วนตัวฉันมีหน้าที่เพียงแค่ตักเตือนให้รู้เท่านั้น แต่เมื่อได้มีมัน(สัญญาณ)ลงมาแล้วก็มิได้มีสิ่งใดทำให้พวกเจ้า(มุอ์มิน)รู้เลยว่าพวกนั้นไม่ศรัทธาเพราะในส่วนแห่งความรู้ของพระองค์นั้นย่อมรู้อยู่แล้วว่าพวกนั้นต้องไม่ศรัทธา
๑๑๐. ทั้งเรา(อัลเลาะห์)ยังจะพลิกกลับซึ่งจิตใจของพวกนั้นมิให้เข้าใจความสัจจริง พวกนั้นจึงเข้าใจความสัจจริงไม่ได้ และดวงตาของพวกนั้นมิให้แลเห็นของจริง พวกนั้นจึงแลเห็นความสัจจริงไม่ได้ พวกนั้นจึงไม่ยอมเชื่อ เหมือนกับพวกเหล่านั้นมิเคยได้เชื่อโองการต่าง ๆ ที่ถูกประทานมาแต่แรก แล้วเรา(อัลเลาะห์)ก็จะละทิ้งพวกเหล่านั้นให้งงงันอยู่ในความระเหระหนของพวกเขาเสียเลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 111 - 115


คำอ่าน
111. วะเลาอัน..นะนา นัซซัลนา..อิลัยฮิมุลมะลา...อิกะตะ วะกัลป์ละมะฮุมุลเมาตา วะหะชัรฺนาอะลัยฮิม กุลลุชัยอิน..กุบุลัม..มากานู ลิยุอ์มินู..อิลลา..อัย..ยะชา...อัลลอฮุ วะลากิน..นะอักษะเราะฮุม ยัจญฮะลูน
112. วะกะซาลิกะญะอัลนา ลิกุลลินะบียยิน อะดูวัน..ชะยาฏีนัลอิน..สิ วัลญิน..นิ ยูหี บะอฺฎุฮุม อิลาบะอฺฎิน ซุครุฟัลก็อวลิฆุรูรอ วะเลาชา...อะร็อบบุกะมาฟะอะลูฮุ ฟะซัรฺฮุม วะมายัฟตะรูน
113. วะลิตัศฆอ..อิลัยฮิ อัฟอดะตุลละซีนะลายุอ์มินูนะ บิลอาคิเราะติ วะลิยัรฺฎ็อวฮุ วะลิยักตะริฟู มาฮุม..มุกตะริฟูน
114. อะฟะฆ็อยร็อลลอฮิ อับตะฆี หะกะเมา..วะฮุวัลละซี..อัน..ซะละอิลัยกุมุลกิตาบะ มุฟัศเศาะลา วัลละซีนะอาตัยนาฮุมุลกิตาบะ ยะอฺละมูนะ อัน..นะฮู มุนัซซะลุม..มิรฺร็อบบิกะ บิลหักกฺ ฟะลาตะกูนัน..นะมิยัลมุมตะรีน
115. วะตัม..มัตกะลิมะตุ ร็อบบิกัศิดก็อว..วะอัดลา ลามุบัดดิละลิกะลิมาติฮี วะฮุวัสสะมีอุลอะลีม


คำแปล R1.
111. And even if we had sent down unto them angels, and the dead had spoken unto them, and we had gathered together all things before their very eyes, they would not have believed, unless Allah willed, but most of them behave ignorantly.
112. And so we have appointed for every Prophet enemies - Shayatin (devils) among mankind and jinns, inspiring one another with adorned speech as a delusion (or by way of deception). If your Lord had so willed, they would not have done it, so leave them alone with their fabrications. (Tafseer Qurtubi, Vol.7, Page 67)
113. (And this is in order) that the hearts of those who disbelieve in the Hereafter may incline to such (deceit), and that they may remain pleased with it, and that they may commit what they are committing (all kinds of sins and evil deeds, etc.).
114. [Say (O Muhammad)] "Shall I seek a judge other than Allah while it is He who has sent down unto you the Book (the Qur'an), explained in detail." those unto whom we gave the Scripture [the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel)] know that it is revealed from your Lord in truth. So be not you of those who doubt.
115. And the word of your Lord has been fulfilled in truth and in justice. None can change his words. And He is the All-Hearer, the All-Knower.


คำแปล R2.
111. และมาดแม้นว่าเราได้ส่งมลาอิกะฮฺให้ลงมายังพวกเขา และให้คนที่ตายไปแล้วได้ขึ้นมาเจรจากับพวกเขา และเราได้รวบนวมทุก ๆ สิ่งมาวางไว้ต่อหน้าพวกเขา(เพื่อเป็นสักขีพยานในความสัจจริงของนบีมุฮัมมัด) แน่นอนพวกเขาก็จะไม่ศรัทธานอกจากถ้าอัลเลาะฮฺทรงประสงค์ แต่ทว่าส่วนใหญ่พวกเขามีความโง่เขลา
112. และเช่นนั้น! เราได้ดลบันดาลให้นบีทุกคนมีศัตรูซึ่งเป็นมารร้ายแห่งมนุษย์และญิน ต่างฝ่ายต่างก็กระซิบกระซาบซึ่งกันและกัน ด้วยคำพูดอันเสแสร้งเพื่อหลอกลวงกันเอง และหากองค์อภิบาลของเจ้าทรงประสงค์ แน่นอนพวกเขาไม่ทำสิ่งนนั้นหรอก ดังนั้นจงปล่อยพวกเขาไว้ให้อยู่กับกรณีที่พวกเขาเสกสรรขึ้นเถิด
113. และเพื่อให้ความสนใจถ้อยคำนั้นโดยดวงจิตของบรรดาผู้ไม่ศรัทธากับโลกหน้าและเพื่อพวกเขามีความยินดีในถ้อยคำดังกล่าวและเพื่อพวกเขาได้ดำเนินการในสิ่ง(ความชั่วร้าย)ที่พวกเขาเคยดำเนินการมา
114. แล้วจะให้ฉันแสวงหาผู้ตัดสินอื่นใดนอกจากอัลเลาะฮฺกระนั้นหรือ? และพระองค์ทรงประทานลงมายังเจ้าซึ่งคัมภีร์(อัลกุรอาน)ที่ถูกแจกแจงไว้อย่างชัดเจน และบรรดาผู้ที่เราได้มอบคัมภีร์(อัลกุรอาน)แก่พวกเขา พวกเขารู้ดีว่าคัมภีร์นั้นถูกประทานลงมาจากองค์อภิบาลของเจ้าโดยสัจจะ ดังนั้นเจ้าจงอย่าเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้สงสัย
115. และได้สมบูรณ์แล้ว พระคำแห่งองค์อภิบาลของเจ้าโดยสัจจะและเที่ยงธรรม ไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นที่จะเปลี่ยนแปลงพระคำของพระองค์ และพระองค์ทรงได้ยินยิ่งอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง


คำแปล R3.
111. และแม้เราจะส่งมลาอิกะฮฺลงมายังพวกเขาและทำให้คนตายพูดกับพวกเขาและนำทุกสิ่งมารวมอยู่ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ศรัทธาเว้นแต่ว่าอัลลอฮฺประสงค์จะให้เขาเชื่อ แต่ว่าส่วนมากของพวกเขางมงาย
112. และในทำนองนั้น เราได้ทำให้นบีทุกคนมีศัตรูจากคนพาลในหมู่มนุษย์และญินผู้คอยกระซิบกระซาบถ้อยคำเย้ายวนแก่บางคนเพื่อเป็นการหลอกลวง และถ้าหากพระผู้อภิบาลของเจ้าประสงค์ พวกเขาจะไม่ทำมัน ดังนั้นจงปล่อยพวกเขาให้กล่าวคำมุสาต่อไป
113. (เราได้ปล่อยให้พวกเขาทำเช่นนั้น)เพื่อหัวใจของบรรดาผู้ไม่ศรัทธาในปรโลกจะได้คล้อยตามมัน และเพื่อพวกเขาจะได้พอใจมัน และเพื่อพวกเขาจะได้ทำตามที่พวกเขาอยากทำ
114. ดังนั้นฉันจึงควรแสวงหาผู้พิพากษาอื่นไปจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือในเมื่อพระองค์เป็นผู้ทรงประทานคัมภีร์อันแจ่มแจ้งมาถึงพวกท่าน? และบรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์(ก่อนหน้าเจ้า)รู้ดีว่าคัมภีร์นี้ถูกส่งมาจากพระผู้อภิบาลของเจ้าด้วยความจริง ดังนั้นเจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ผู้สงสัย
115. และวจนะของพระผู้อภิบาลของเจ้าครบถ้วนแล้วโดยสัตย์จริงและเที่ยงธรรม และไม่มีผู้ใดเปลี่ยนวจนะของพระองค์ได้ และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้


คำแปล R4.
111. และแม้ว่าเราได้ให้มลาอิกะฮ์ลงมายังพวกเขา และบรรดาคนตายได้พูดกับพวกเขา และเราได้รวบรวมทุกสิ่งไว้เบื้องหน้าพวกเขา ก็ใช่ว่าพวกเขาจะศรัทธากัน นอกจากอัลลอฮ์จะทรงประสงค์เท่านั้น แต่ทว่าส่วนมากในหมู่พวกเขานั้นไม่รู้
112. และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นะบีทุกคน คือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์ และญินโดยที่บางส่วนของพวกเขาจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วน ซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์แล้วพวกเขาก็มิกระทำมันขึ้นได้ เจ้าจงปล่อยพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นเถิด
113. และเพื่อที่หัวใจของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปรโลกจะได้โน้มเอียงไปสู่คำพูดที่ตกแต่งนั้นและเพื่อที่พวกเขาจะได้พึงพอใจในคำพูดนั้น และเพื่อที่พวกเขาจะได้กระทำในสิ่งที่พวกเขาเป็นผู้กระทำกันอยู่
114. อื่นจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือ ที่ฉันจะแสวงหาผู้ชี้ขาดทั้ง ๆ ที่พระองค์เป็นผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่พวกท่านในสภาพที่ถูกแจกแจงไว้อย่างละเอียด? และบรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขารู้ดีว่า แท้จริงอัลกุรฺอานนั้นถูกประทานลงมาจากพระเจ้าของเจ้าด้วยความเป็นจริง เจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด
115. และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของฉันนั้นครบถ้วนแล้ว ซึ่งความสัจจะและความยุติธรรมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงบรรดาถ้อยคำของพระองค์ได้และพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้


คำแปล R5.
๑๑๑. ความจริงแล้ว ถ้าหากว่าเรา(อัลเลาะห์) จะให้มีมลาอิกะห์ลงมายังพวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรชาวนครมักกะห์เพื่อยืนยันแก่พวกเหล่านั้นว่า เป็นความจริงในการที่มุฮำมัดอ้างตนว่าเป็นศาสนทูตของเราก็ดี ถ้าเรา(อัลเลาะห์) จะให้บรรดาที่ตายแล้วพวกจากับพวกเหล่านั้นโดยยืนยันว่าจริงในการอ้างตนของมุฮำมัดดังกล่าวก็ดี และถ้าเรา(อัลเลาะห์) จะไล่ต้อนทุกเหล่าพันธุ์สัตว์มีสิงโตและนกอินทรีย์เป็นต้นไปรวมกันต่อหน้าพวกเหล่านั้นเพื่อให้การยืนยันประการดังกล่าวก็ดี พวกเหล่านั้นย่อมจะไม่เชื่อคำยืนยันของเหล่ามลาอิกะห์ ของคนตายแล้ว ของสิงโตและนกอินทรีย์เป็นแน่ ทั้งนี้เพราะเรารู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกเหล่านั้นต้องไม่เชื่อ เว้นแต่ว่าอัลเลาะห์จะทรงมุ่งประสงค์ในอันที่จะให้พวกเหล่านั้นเชื่อเท่านั้น พวกเหล่านั้นจึงจะเชื่อ แต่ทว่าพวกเหล่านั้น(มุอ์มิน) ส่วนใหญ่มิได้รู้มาก่อนเลยว่าแท้จริงพวกกาฟิรเหล่านั้นไม่เชื่อ ด้วยความโลภของพวกมุอ์มินอยากจะให้พวกกาฟิรเชื่อนี่เอง มุอ์มินเหล่านั้นจึงนึกหวังจะให้พวกมลาอิกะห์ พวกที่ตายแล้ว ตลอดจนสิงโตและนกอินทรีย์มาเป็นผู้ให้คำยืนยันตามที่กล่าวแล้ว
๑๑๒. และโอ้มุฮำมัด ในทำนองเดียวกับที่เรา(อัลเลาะห์) ได้ให้พวกกาฟิรเหล่านี้เป็นศัตรูกับเจ้านี้เอง เราจึงให้ไชตอนมนุษย์กับยินที่ร้ายเป็นศัตรูกับศาสดาทุกคนในสมัยก่อน ซึ่งศัตรูเหล่านี้ไม่เชื่อฟังคำตักเตือนและคำขู่ ยิ่งกว่านั้นมันยังประพฤติแต่การชั่วร้าย พวกไชตอนมนุษย์และยินเหล่านั้นบางพวกได้พูดยุให้เสียหายกับไชตอนมนุษย์และยินอีกพวกหนึ่งเป็นการหลอกลวงซึ่งกันและกัน โอ้มุฮำมัด และถ้า อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าทรงมุ่งประสงค์ซึ่งการลวงล่อที่พวกไชตอนเหล่านั้นได้กระทำขึ้นสำเร็จ เจ้าจงเลิกเอาธุระพวกกาฟิรเหล่านั้น และความไม่ศรัทธาตลอดจนเรื่องอันเป็นส่วนหนึ่งจากที่พวกนั้นถูกให้เห็นว่างดงาม ที่พวกนั้นนำมาโกหกเสียเถิด โองการนี้ใช้ได้เมื่อยังไม่มีโองการสงครามลงมา
๑๑๓. และไชตอนเหล่านั้นบางพวกจะพูดจาเพื่อจะให้จิตใจของบรรดาชนที่มิได้ศรัทธาต่อภพอาคิเราะห์โน้มเอียงไปสู่เรื่องที่พูดหลอกล่อนั้นบ้าง เพื่อว่าพวกมิได้ศรัทธาเหล่านั้นจะได้นิยมยินดีเรื่องที่พูดหลอกล่อนั้นบ้าง และเพื่อที่พวกเหล่านั้นจะได้สะสมบาปที่กำลังกระทำกันอยู่ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนผลกรรมแห่งบาปนั้น
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ มีว่า ในคราวที่ชนชาตเผ่ากุรอยช์ที่เคารพบูชาเทวรูปได้ร้องขอให้มุฮำมัดแต่งตั้งใครสักคนหนึ่งจากพวกนักปราชญ์ฝ่ายยะฮูดีหรือจากพวกเคร่งศีลธรรมฝ่านัซรอนีเพื่อเป็นผู้พิพากษาความระหว่างพวกเขากับมุฮำมัดเอง ผู้พิพากษาที่ถูกแต่งตั้งขึ้นนี้จะได้บอกให้พวกเขาทราบว่าเรื่องราวของมุฮำมัดซึ่งมีระบุไว้ในคัมภีร์ของพวกเขานั้นเป็นอย่างไรบ้าง จึงมีโองการลงมาว่า
๑๑๔. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่พวกกุรอยช์เถิดว่า ฉันจะไม่เรียกหาผูตัดสินนอกจากอัลเลาะห์ให้มาตัดสินความระหว่างตัวฉันกับพวกท่าน ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็ได้ประทานพระคัมภีร์อัล-กุรอานลงมาแจกแจงแก่พวกท่านแล้ว เป็นการแผนกของจริงจากของเสียหาย และบรรดาชนชาวยะฮูดีเช่นอับดุลเลาะห์บุตรสลามกับพรรคพวกที่เรา(อัลเลาะห์) ได้มอบพระคัมภีร์เตารอตให้นั้นเล่า ต่างก็รู้อยู่ว่า แท้จริงพระคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นถูกประทานลงมาแต่องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าโดยสัจจริง ฉะนั้นเจ้าอย่าได้เป็นคนหนึ่งจากพวกที่เคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับพระคัมภีร์อัล-กุรอานเลย
๑๑๕. พระคำดำรัสซึ่งเกี่ยวกับบัญญัติใช้และห้ามตลอดทั้งบทสัญญาบุญและบาปจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้านั้นครบบริบูรณ์แล้ว อย่างเที่ยงแท้และเที่ยงธรรม ย่อมไม่มีผู้เปลี่ยนแปลงซึ่งพระดำรัสของพระองค์ดังที่ว่านั้นให้เสียและผิดเป้นอื่นไปได้เลย ด้วยว่าพระองค์คือองค์ทรงได้ยินยิ่งสิ่งที่ถูกพูดกัน ทรงรู้ยิ่ง สิ่งที่ถูกกระทำ




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 116 - 119


คำอ่าน
116. วะอิน..ตุฏิอฺ อักษะเราะ มัน..ฟิลอัรฺฎิ ยุฎิลลูกะ อัน..สะบีลิลลาฮิ อี..ยัตตะบิอูนะ อิลลัซซ็อน..นะ วะอินฮุม อิลลายัครุศูน
117. อิน..นะร็อบบะกะ ฮุวะอะอฺละมุ มัย..ยะฎิลลุ อัน..สะบีลิฮฺ วะฮุวะอะอฺละมุบิลมุฮฺตะดีน
118. ฟะกุลูมิม..มา ซุกิร็อสมุลลอฮิ อะลัยฮิ อิน..กุน..ตุม..บิอายาติฮี มุอ์มินีน
119. วะมาละกุมอัลลาตะอ์กุลูมิม..มา ซุกิร็อสมุลลอฮิ อะลัยฮิ วะก็อดฟัศเศาะละละกุม..มาหัรฺเราะมะอะลัยกุม อิลลา มัฎฏุริรฺตุมอิลัยฮิ วะอิน..นะกะษีร็อลละยุฎิลลูนะ บิอะฮฺวา..อิฮิม..บิฆ็อยริอิลมฺ อิน..นะร็อบบะกะฮุวะอะอฺละมุบิลมุฮฺตะดีน


คำแปล R1.
116. And if you obey most of those on earth, they will mislead you far away from Allah's Path. They follow nothing but conjectures, and they do nothing but lie.
117. Verily, your Lord! It is He who knows best who strays from his way, and He knows best the rightly guided ones.
118. So eat of that (meat) on which Allah's Name has been pronounced (while slaughtering the animal), if you are believers in his Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.).
119. And why should you not eat of that (meat) on which Allah's Name has been pronounced (at the time of slaughtering the animal), while He has explained to you in detail what is forbidden to you, except under compulsion of necessity? And surely many do lead (mankind) astray by their own desires through lack of knowledge. Certainly your Lord knows best the transgressors.


คำแปล R2.
116. และหากเจ้าภักดีต่อส่วนมากของบุคคลผู้อยู่ในแผ่นดิน แน่นอนคนพวกนั้นก็จะทำให้เจ้าหลงไปจากแนวทางของอัลเลาะฮฺพวกเขามิกได้คล้อยตามสิ่งใดทั้งสิ้น นอกจากตามความคาดคะเนของพวกเขาเอง และพวกเขาหาใช่อื่นใดไม่ นอกจากมีแต่ความมดเท็จ
117. แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้านั้น พระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งนักบุคคลที่หลงไปจากทางของพระองค์ และพระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งนักกับบรรดาผู้ได้รับการชี้นำ
118. ดังนั้น เจ้าทั้งหลายจงบริโภคจากสิ่งที่ถูกเอ่ยนามของอัลลอฮฺบนมัน(ขณะทำการเชือดมัน) ทั้งนี้หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาในบรรดาโองการต่าง ๆ ของพระองค์
119. และไม่มีสาเหตุอันใดสำหรับพวกเจ้าที่จะไม่บริโภคบางสิ่ง(สัตว์)ที่ถูกเอ่ยนามของอัลเลาะฮฺบนมัน(ขณะเชือด)และแท้จริงพระองค์ได้ทรงแยกแยะไว้ให้พวกเจ้า(ได้รู้แจ้งแล้ว)ถึงสิ่งที่ทรงบัญญัติห้ามแก่พวกเจ้า ยกเว้นสัตว์ที่พวกเจ้าได้รับความเดือดร้อนจนต้องบริโภคมัน และอันที่จริงคนส่วนมากนั้น มักจะนำอารมณ์ใคร่ของตนเองมาสร้างความหลงผิด(แก่ผู้อื่น) โดยปราศจากความรอบรู้ แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้านั้น พระองค์ทรงรู้ยิ่งนักกับบรรดาผู้ละเมิดทั้งหลาย


คำแปล R3.
116. และถ้าเจ้า(มุฮัมัด)เชื่อฟังปฏิบัติตามส่วนมากของบรรดาผู้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน พวกเขาจะทำให้เจ้าหลงไปจากทางของอัลลอฮฺ เพราะพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากการเดาและพวกเขาคาดคะเนเอาเท่านั้น
117. แท้จริง พระผู้อภิบาลของเจ้าทรงรู้ดียิ่งว่าผู้ใดหลงไปจากทางของพระองค์ และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้อยู่ในทางนำ
118. ดังนั้น จงบริโภคเนื้อของสัตว์ที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวเหนือมัน ถ้าสูเจ้าศรัทธาในอายะฮฺทั้งหลายของพระองค์
119. แล้วไฉนเล่าที่สูเจ้าไม่บริโภคสิ่งที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวเหนือมัน เมื่อพระองค์ให้สูเจ้ารู้อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า อันใดที่พระองค์ได้ทรงห้ามแก่สูเจ้า นอกเสียจากว่าเมื่อสูเจ้าอยู่ในสภาวะคับขันจริง ๆ ? แต่แท้จริงแล้วส่วนมากของผู้คนได้หลงตามอารมณ์ต่ำของพวกเขาโดยไม่มีความรู้ แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่ละเมิด


คำแปล R4.
116. และหากเจ้าเชื่อฟังส่วนมากของผู้คนในแผ่นดินแล้ว พวกเขาก็จะทำให้เจ้าหลงทางจากทางของอัลลอฮฺไป พวกเขาจะไม่ปฏิบัติตามนอกจากการนึกคิดเอาเอง และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใดนอกจากพวกเขาจะคาดคะเนเอาเท่านั้น
117. แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรู้ยิ่งต่อผู้ที่กำลังหลงไปจากทางของพระองค์ และเป็นผู้รู้ยิ่งต่อบรรดาผู้ที่รับเอาคำแนะนำ
118. “ดังนั้นพวกเจ้าจงบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวบนมันเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของพระองค์”
119. “และมีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? ที่พวกเจ้าไม่บริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮฺถูกกล่าวบนมัน ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสิ่งที่พระองค์ได้ทรงห้ามแก่พวกเจ้า นอกจากสิ่งที่พวกเจ้าได้รับความคับขันให้ต้องการมันเท่านั้น และแท้จริงมีผู้คนมากมายทำให้ผู้อื่นหลงผิดไปด้วยความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขาโดยปราศจากความรู้แท้จริง พระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ที่ทรงรอบรู้ยิ่งต่อผู้ละเมิดทั้งหลาย”


คำแปล R5.
๑๑๖. โอ้มุฮำมัด แล้วถ้าหากว่าเจ้าจะน้อมตามบุคคลส่วนใหญ่ที่หน้าแผ่นดินซึ่งเป็นชนพวกกาฟิร แน่นอนบุคคลผู้นั้นย่อมจะกระทำให้เจ้าหลงงมงายจากวิถีแห่งศาสนาของอัลเลาะห์ได้ ซึ่งพวกเหล่านั้นที่เป็นชนกาฟิรหาได้เจริญตามอันใดไม่นอกจากการคาดคะเนเดาที่ไร้หลักฐานสำหรับจะถกเถียงกับเจ้าเกี่ยวกับซากสัตว์อันตายเองบ้าง คือพวกกาฟิรมุชริกได้ขอให้พระศาสดามุฮำมัดอรรถาธิบายเรื่องแพะที่ตายเองว่าใครเป็นผู้สังหารมัน พระนบีมุฮำมัดตอบว่า สัตว์ที่ตายเองนั้นอัลเลาะห์เป็นผู้สังหารมัน ครั้นแล้วพวกเหล่านั้นก็กล่าวแก่พระนบีว่า ถ้าอย่างนั้นท่านก็เข้าใจผิดแน่น ๆ ที่ว่าสัตว์ใดที่ท่านและพวกสาวกของท่านย่อมเป็นที่อนุญาต(หะลาล) สัตว์ใดที่สุนัขหรือเหยี่ยวล่ามาก็เป็นที่อนุญาต แต่สัตว์ใดที่อัลเลาะห์ทรงเป็นผู้ฆ่าแล้วท่านว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะพวกเหล่านั้นอ้างว่าสัตว์ที่อัลเลาะห์เป็นผู้ฆ่านั้นพวกท่านควรจะบริโภคยิ่งกว่าที่พวกท่านฆ่ากันเอง และยังจะถกเถียงกับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อนั่นบ้าง คือพวกเหล่านั้นคิดเดาเอาว่าบรรพบุรุษของพวกตนนั้นนับถือศาสนาเที่ยงแท้ พวกเขาจึงเป็นผู้ได้รับหนทางเที่ยงแท้ตามรอยแห่งบรรพบุรุษนั้นด้วย และอีกพวกเหล่านี้มีแต่จะพูดจาโกหกกันเท่านั้นในเรื่องที่พวกนี้อ้างว่า “สัตว์ที่อัลเลาะห์เป็นผู้ฆ่านั้นควรจะบริโภคกว่าที่พวกท่านฆ่าเอง”
๑๑๗. แท้จริงอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้านั้น พระองค์ทรงรู้ถึงผู้ที่กระทำให้ผู้อื่นหลงพลาดวิถีทางแห่งศาสนาของพระองค์ โดยที่พระองค์ทรงรู้ถึงพวกที่ได้รับหนทางนำให้ไปสู่ศาสนาของพระองค์อีกด้วย เพื่อที่พระองค์จะทรงตอบสนองผลกรรมแก่แต่ละพวกนั้น
๑๑๘. ฉะนั้นพวกเจ้าจงบริโภคส่วนหนึ่งจากสัตว์ที่พระนามของอัลเลาะห์ถูกกล่าวไว้ด้วยในขณะเชือด ถ้าหากว่าพวกเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ศรัทธาต่อบรรดาโองการของพระองค์
๑๑๙. แล้วไฉนพวกเจ้าจึงไม่ยอมบริโภคส่วนหนึ่งจากสัตว์ที่พระนามของอัลเลาะห์ถูกกล่าวไว้ด้วยในขณะเชือด แต่พวกเจ้ากลับไปบริโภคสัตว์ในกรณีอื่น ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็ได้ทรงจำแนกรายละเอียดไว้แก่พวกเจ้าในซูเราะห์อัล-มาอิดะห์โองการที่ ๔ แล้วถึงสัตว์ที่พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้าบริโภค ยกเว้นสัตว์ตายซึ่งพวกเจ้าตกอยู่ในยามคับขัน จึงจะบริโภคได้ แต่ที่แท้แล้วส่วนมากจากพวกกาฟิรกระทำให้หลงงมงายตามอารมณ์ชอบอย่างปราศจากภูมิรู้เอาทีเดียวโดยอ้างเองว่าสัตว์ตายก็ดีและอื่นก็ดีที่ศาสนาว่าต้องห้ามนั้นเป็นของพึงอนุญาต แน่แท้อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้านั้น พระองค์ทรงรู้ถึงพวกที่ล่วงละเมิดโดยปฏิบัติการผ่านข้ามสิ่งอนุญาต(หะลาล)ไปสู่สิ่งอันเป็นที่ห้าม(หะรอม) เช่นอ้างว่าสัตว์ตายเองและอื่น ๆ ที่เป้นของต้องห้ามเป็นของพึงอนุญาต



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 120 - 123


คำอ่าน
120. วะซะรู ซอฮิร็อลอิษมิ วะบาฏินะฮู อิน..นัลละซีนะ ยักสิบูนัลอิษมะ สะยุจญเซานะ บิมากานู ยักตะริฟูน
121. วะลาตะอ์กุลูมิม..มา ลัมยุสกะริสมุลลอฮิ อะลัยฮิ วะอิน..นะฮูละฟิสกฺ วะอิน..นัชชะยาฏีนะ ละยูหูนะ อิลา..เอาลิยา...อิฮิม ลิยุญาดิลูกุม วะอินอะเฏาะอฺตุมูฮุม อิน..นะกุมละมุชริกูน
122. อะวะมัน..กานะมัยตัน..ฟะอะหฺยัยนาฮุ วะญะอัลนาละฮู นูร็อย..ยัมชีบิฮี ฟิน..นาสิ กะมัม..มะษะลุฮู ฟิซซูลุมาติ ลัยสะบิคอริญิม..มินฮา กะซาลิกะซุยยินะลิลกาฟิรีนะ มากานูยะอฺมะลูน
123. วะกะซาลิกะญะอัลนาฟีกุลลิก็อรฺยะติน อะกาบิเราะมุจญริมีฮา ลิยัมกุรูฟีฮา วะมายัมกุรูนะ อิลลาบิอัน..ฟุสิฮิม วะมายัชอุรูน


คำแปล R1.
120. Leave (O mankind, all kinds of) sin, open and secret. Verily, those who commit sin will get due recompense for that which they used to commit.
121. Eat not (O believers) of that (meat) on which Allah's Name has not been pronounced (at the time of the slaughtering of the animal), for sure it is Fisq (a sin and disobedience of Allah). And certainly, the Shayatin (devils) do inspire their friends (from mankind) to dispute with you, and if you obey them [by making Al-Maytah (a dead animal) legal by eating it], then you would indeed be Mushrikun (polytheists) [because they (devils and their friends) made lawful to you to eat that which Allah has made unlawful to eat and you obeyed them by considering it lawful to eat, and by doing so you worshipped them, and to worship others besides Allah is polytheism].
122. Is he who was dead (without faith by ignorance and disbelief) and We gave him life (by knowledge and faith) and set for him a light (of belief) whereby he can walk amongst men, like him who is in the darkness (of disbelief, polytheism and hypocrisy) from which he can never come out? Thus it is made fair-seeming to the disbelievers that which they used to do.
123. And thus we have set up in every town great ones of its wicked people to plot therein. But they plot not except against their ownselves, and they perceive (it) not.


คำแปล R2.
120. และเจ้าทั้งหลายจงเว้น(การทำ)บาปทั้งโดยเปิดเผยและโดยซ่อนเร้น แท้จริงบรรดาผู้ประกอบการบาปนั้นพวกเขาจะถูกตอบแทนไปตามที่พวกเขาดำเนินการ
121. และเจ้าทั้งหลายอย่าได้บริโภคสิ่งที่ไม่ได้เอ่ยนามของอัลเลาะฮฺบนมัน(ขณะทำการเชือด)และแท้จริงสิ่งนั้น(การบริโภคสัตว์ที่ไม่ได้เชือดโดยเอ่ยนามอัลเลาะฮฺ)ย่อมเป็นความผิดอย่างแน่นอน และแท้จริงบรรดามารร้ายย่อมกระซิบกระซาบแก่บรรดาแนวร่วมของพวกมัน เพื่อพวกมันจะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า และหากพวกเจ้าคล้อยตามพวกมัน แน่นอนพวกดจ้าต้องเป็นพวกตั้งภาคี
122. และจะมีหรือ? บุคคลที่(ไร้ศรัทธาอันเปรียบตัวเขา)ได้ตายไปแล้วแล้วเราก็ให้เขามีชีวิต(ให้มีศรัทธา) และเราได้ดลบันดาลแก่เขาให้มีแสงสว่าง(แห่งความศรัทธา)ซึ่งเขาเดินโดยอาศัยแสงนั้นอยู่ในกลุ่มมนุษย์ทั้งหลาย (คนอย่างนั้นจะเป็น) เช่นบุคคลซึ่งลักษณะของเขาคือ ตกอยู่ในความมืดมนโดยเขาไม่อาจจะออกมาจากนั้นได้อย่างไร เช่นนั้นเอง ที่ถูกประดับไว้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลาย ซึ่งสิ่งที่พวกเขาได้เคยประพฤติไว้
123. และเช่นนั้นที่เราได้ดลบันดาลไว้ในทุกเมืองใหญ่ ๆ ให้มีผู้ประพฤติชั่วแห่งเมืองนั้น เพื่อพวกเขาจะได้วางกลอุบาย(หลอกลวงผู้คนหลงผิด)ในเมืองนั้น แต่พวกเขาไม่ได้วางกลอุบาย(หลอกลวง)ผู้ใดเลย นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น แต่พวกเขาหาสำนึกไม่


คำแปล R3.
120. และจงละทิ้งบาปอันเปิดเผยและซ่อนเร้น แท้จริงบรรดาผู้ขวนขวายการบาปนั้น ในไม่ช้าจะถูกตอบแทนตามที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้
121. และจงอย่าบริโภคเนื้อของสัตว์ที่มิได้ถูกกล่าวนามของอัลลอฮฺเมื่อตอนเชือด แท้จริงนั่นเป็นการฝ่าฝืน พวกมารได้กระซิบกระซาบเสี้ยมสอนพวกพ้องของมันเพื่อให้โต้เถียงสูเจ้า และถ้าสูเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามพวกมัน สูเจ้าก็จะอยู่ในหมู่ผู้บูชาเจว็ดอย่างแน่นอน
122. ผู้ที่ตายไปแล้วและเราได้ให้ชีวิตแก่เขา แล้วเราได้ให้แสงสว่างแก่เขา ซึ่งทำให้เขาสามารถเดินได้บนทางที่เที่ยงตรงในหมู่คน นั้นจะเหมือนกับผู้ที่อยู่ในความมืด ซึ่งเขาไม่ออกมาจากมันกระนั้นหรือ? นั่นเป็นสิ่งที่ถูกทำให้ดูเป็นที่สวยหรูแก่พวกปฏิเสธ ในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ
123. และด้วยเหตุนั้นเราได้ทำให้ทุกแหล่งอาศัย มีพวกผู้นำของคนชั่วเพื่อแพร่กระจายกับดักแห่งแผนการอันชั่วร้ายของพวกเขาในที่นั้น แต่ความจริงแล้ว พวกเขาเองกลับติดกับดักแห่งแผนการอันชั่วร้ายของพวกเขาเอง แต่พวกเขาหาตระหนักไม่


คำแปล R4.
120. “และพวกเจ้าจงสละซึ่งบาปที่เปิดเผยและบาปที่ปกปิดแท้จริงบรรดาผู้ที่ขวนขวายกระทำสิ่งที่เป็นบาปกันอยู่นั้น พวกเขาจะได้รับการตอบแทน ตามที่พวกเขากระทำกัน”
121. และพวกเจ้าจงอย่าบริโภคจากสิ่งที่พระนามของอัลลอฮฺมิได้ถูกกล่าวบนมัน และแท้จริงมันเป็นการละเมิดแน่ ๆ และแท้จริงบรรดาชัยฏอนนั้นจะกระซิบกระซาบแก่บรรดาสหายของมัน เพื่อพวกเขาจะได้โต้เถียงกับพวกเจ้า และถ้าหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขา แน่นอนพวกเจ้าก็เป็นผู้ให้มีภาคีขึ้น
122. และผู้ที่ตายแล้ว แล้วเราได้ให้เขามีชีวิตขึ้น และเราได้ให้แสงสว่างแก่เขา ซึ่งเขาใช้แสงสว่างนั้นเดินไปในหมู่มนุษย์นั้น จะเหมือนกับผู้ที่อุปมาของเขาซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดโดยที่มิใช่เป็นผู้ที่จะออกมาจากบรรดาความมืดเหล่านั้นได้กระนั้นหรือ ? ในทำนองนั้นแหละได้ถูกประดับให้สวยงามแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งสิ่งที่พวกเขากระทำกันอยู่
123. และในทำนองนั้นแหละ เราได้ให้มีขึ้นในแต่ละเมือง ซึ่งบรรดาบุคคลสำคัญ ๆ เป็นผู้กระทำความผิดแห่งเมืองนั้นๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้วางอุบายหลอกลวงในเมืองนั้น และพวกเขาจะไม่วางอุบายหลอกลวง นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น แต่พวกเขาหารู้สึกไม่


คำแปล R5.
๑๒๐. และให้พวกเจ้าละทิ้งบาปทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย ความจริงบรรดาชนที่พยายามก่อบาปนั้นไม่ช้าหรอก(วันปรภพ) พวกเขาจะได้รับการตอบแทนผลกรรมนั้นที่พวกเขาสะสมกันไว้ในภพนี้ หากพวกเหล่านั้นไม่ขอสารภาพกลับใจเสียก่อนและหากว่าอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์ที่จะลงโทษพวกเหล่านั้น
๑๒๑. พวกเจ้าอย่าได้บริโภคกันเลยส่วนหนึ่งจากสัตว์ที่ตายเองและสัตว์ที่พระนามของอัลเลาะห์มิได้ถูกกล่าวไว้ด้วยในขณะเชือด แต่กลับเชือดโดยการออกนามที่มิใช่ของอัลเลาะฮฺ เช่นนามของเทวรูปหรืออื่น ๆ และพวกเจ้าจงบริโภคสัตว์ที่ถูกเชือดโดยผูเชือดเป็นมุสลิม ไม่ว่าจะโดยกล่าวพระนามของอลเลาะห์หรือโดยลืมหรือดดยเจตนาไม่ออกพระนามของอัลเลาะห์ในขณะเชือด เพราะแท้จริงการบริโภคสัตว์ที่ห้ามไว้แล้วนั้นเป็นบาปหนา และแท้จริงบรรดาไชตอนทั้งที่เป็นหัวหน้าและบริวารนั้นมันจะพูดยุพวกกาฟิรผู้เป็นสหายของพวกมันให้ลังเลเพื่อให้พวกสหายเหล่านั้นถกเถียงพวกเจ้าเป็นการกวนใจและให้เกิดความแค้นใจแก่พวกเจ้าว่า “บริโภคซากสัตว์ตายเองไม่บาปหรอก” แล้วถ้าหากพวกเจ้ายอมตามคำกล่าวอ้างผิด ๆ ของพวกไชตอนเหล่านั้นพวกเจ้าย่อมเป็นพวกที่ถือภาคีเทียบเคียงอัลเลาะห์โดยให้ความเคารพบูชาเทวรูป เพราะเหตุว่าผู้ใดอ้างว่าของที่ต้องห้าม(หะรอม)ย่อมเป็นที่อนุญาต(หะลาล)หรือกลับกัน เขาผู้นั้นเป็นคนมุชริก(ผู้ถือภาคี)

มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ ลงมาในเรื่องของฮำซะห์ บุตรอับดุลมุตตอลิบกับอบูยะฮัลบุตรหิชาม คือว่าอบูยะฮัลได้เอาอุจจาระของอูฐขว้างพระศาสดามุฮำมัด ครั้นแล้วมุฮำมัดก็ได้นำเรื่องนี้ไปบอกแก่ฮำซะห์ทราบด้วย หลังจากฮำซะห์กลับจากการล่าสัตว์โดยในมือยังถือคันธนูอยู่ ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นฮัมซะห์ก็ยังมิได้ศรัทธาในศาสนาอิสลามพอทราบเรื่องฮัมซะห์จึงโกรธและมุ่งตรงไปยังอบูยะฮัลแล้วใช้คันธนูนั้นฟาดลงที่อะยูยะฮัล แล้วอบูยะฮัลจึงนอบน้อมต่อฮัมซะห์ พลางกล่าวว่า โอ้ฮำซะห์ท่านมิได้แลเห็นสิ่งที่มุฮำมัดนำมาดอกหรือว่าเป็นเครื่องส่อว่าพวกเรานั้นไร้สติปัญญาและเป็นการด่าเทวรูปของพวกเรา ทั้งยังเป็นข้อขัดแย้งกับบรรพบุรุษของพวกเราอีกด้วย ฮำซะห์จึงตอบว่า ไม่มีใครหรอกที่จะโง่งมเกินพวกท่าน ก็พวกท่านนะกราบไหว้หิน มิได้กราบไหว้อัลเลาะห์ ฮำซะห์กล่าว ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกกราบสักการะเว้นไว้แต่อัลเลาะห์และปฏิญาณว่ามุฮำมัดเป็นพระศาสนทูตของพระองค์ ฮำซะห์จึงเป็นชนมุสลิมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จึงมีโองการลงมาว่า
๑๒๒. ผู้ที่เป็นกาฟิรมาก่อนเราก็กลับให้เขาได้เป็นมุอ์มิน แล้วต่อมาเราได้ให้ผู้นั้นได้แสงสว่างแห่งความศรัทธาที่เขาสามารถเดินฝ่าท่ามกลางมวลชนไปได้โดยมองเห็นความจริงแท้ผิดแผกไปจากความไม่จริง นั่นคือความศรัทธา ทำนองตรงกันข้ามยังมีอีกคนหนึ่งที่กำลังตกอยู่ในความมืดมิด ๓ ประการ คือความมืดมิดแห่งความไม่ศรัทธา ความมืดมิดแห่งความโง่งมและความมืดมิดแห่งความบอดใจที่เขาไม่สามารถออกพ้นจากความมืดมิดนั้นไปได้ ผู้ที่กล่าวถึงในโวหารข้างต้นได้แก่ฮำซะห์บุตรอับดุลมุตตอลิบ และที่กล่าวถึงในโวหารหลังได้แก่อบูยะฮัลบุตรหิชาม เช่นเดียวกัยที่เราได้ให้พวกมุอ์มินได้แลเห็นความศรัทธาเป็นสิ่งงดงามนี้เองพวกกาฟิรจึงถูกเรา(อัลเลาะห์) ให้แลเห็นความไม่ศรัทธาและความชั่วที่พวกเขาได้กระทำอยู่เป็นที่งดงาม
๑๒๓. และในทำนองเดียวกับที่เราได้ให้กาฟิรมักกะห์เป็นชนชั้นนำ มีอิทธิพลยิ่งในนครมักกะห์นี้เราจึงได้ให้พวกที่ประพฤติบาปใหญ่แต่ละตำบลเป็นหัวหน้าเพื่อให้พวกหัวหน้าเหล่านั้นคอยหาอุบายกีดกันมวลมนุษย์ให้หันเหจากการศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ณ ที่นั้น ๆ ทุกตำบลและเพื่อให้มีการนินทา การยุแหย่ ตลอดจนให้มีการสาบานเท็จขึ้นและพยายามให้ความเสื่อมเสียกลับเป็นที่นิยม พวกเหล่านั้นหาได้วางแผนลวงล่อใครได้ไม่นอกจากตัวของพวกเหล่านั้นเอง เนื่องจากว่าความหายนะแห่งอุบายลวงกลับสู่ตัวของพวกเหล่านั้นเอง แต่พวกนั้นหาได้รู้สึกตัวไม่ว่า ความเสียหายจากการล่อลวงนั้นกลับมาสู่ตัวเอง วิธีการของพวกเหล่านี้ก็คือไปยืนดักอยู่ตามเส้นทางเข้าสู่นครมักกะห์คอยสะกัดผู้คนที่สัญจรเข้ายังตัวเมืองมิให้ศรัทธาต่อมุหัมมัดโดยโฆษณาใส่ไคล้ว่ามุฮำมัดเป็นจอมกะล่อน เป็นนักวิทยากล ตามที่กล่าวมานี้ย่อมทราบได้ว่า ทุก ๆ สมัยและทุก ๆ ตำบล พวกที่ได้รับแนวธรรมแห่งอัลเลาะห์ให้เขาจำเริญรอยตามแห่งศาสนทูตนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกที่อ่อนแอ ส่วนพวกที่ทรยศต่อพระศาสนทูตเป็นพวกที่ยิ่งใหญ่



 

GoogleTagged