อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ...
ท่านอบู อัลลัยษ์ อัส-สะมัรฺกอนดีย์ ได้ถ่ายทอดเรื่องราว
จากท่านอะนัส อิบนิ มะลิก ว่า
มีชายผู้หนึ่งถูกเรียกขานกันว่า อัลเกาะมะห์ในสมัยท่านศาสนทูต
ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ชายหนุ่มผู้นี้ได้ล้มป่วย
และมีอาการหนักและจวนจะสิ้นใจ จึงมีผู้กล่าวแก่เขาว่า
ท่านจงกล่าว "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ"
ปรากฎว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่อาจกระดกลิ้นของตนเพื่อกล่าวประโยค
ดังกล่าวได้แม้แต่น้อย จึงมีผู้นำข่าวไปแจ้งแก่ท่านศาสนทูต
ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านจึงถามว่า
"ชายผู้นี้มีบิดามารดาหรือไม่?"
จึงมีผู้กล่าวว่า
"บิดาของเขานั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่เขายังมีมารดาผู้แก่ชรา
อยู่กับเขา"
ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจึงได้ส่งคน
ไปตามนางมา
เมื่อนางมาถึง ท่านได้ถามนางถึงสถานภาพของชายหนุ่มผู้ล้มป่วย
ปางตาย นางก็กล่าวว่า
"โอ้ ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ เขาเป็นผู้ดำรงการละหมาด
และถือศีลอดทั้งฟัรฎูและสุนนะห์เสมอๆ และมักจะบริจาคทาน
เป็นทรัพย์สินมากมายจนเรามิอาจทราบได้ว่ามันมีจำนวน
มากน้อยเพียงใด ? "
ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงซักนางต่อว่า
"และสถานภาพของเธอกับเขาเล่าเป็นเช่นใด?"
นางก็ตอบว่า
"โอ้ ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ฉันมีเรื่องโกรธเคืองต่อเขา"
ท่านจึงกล่าวถามว่า
"ด้วยเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?"
นางก็ตอบว่า
"เขาเห็นภรรยาของเขาดีกว่าฉัน และยอมเชื่อฟังนางในทุกๆเรื่อง"
ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจึงกล่าวว่า
"ความโกรธเคืองของผู้เป็นแม่ของชายผู้นี้
ได้ปิดกั้นลิ้นของเขาจากการกล่าวปฏิญาณตนนั่นเอง"
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่่สามารถกล่าวคำว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺได้
ต่อมาท่านก็กล่าวขึ้นว่า
"โอ้ บิล้าลเอ๋ย! ท่านจงออกไปและจงไปเก็บรวบรวมไม้ฟืน
ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ฉันจักได้จุดไฟเผาเขาผู้นั้นเสีย"
นางผู้เป็นมารดาจึงกล่าวขึ้นว่า
"โอ้ ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ! ลูกชายของฉันผู้เป็นดั่งดวงใจ
ท่านจะเผาเขาต่อหน้าฉันกระนั้นหรือ? แล้วหัวใจของฉัน
จะยอมรับได้เชียวหรือ?"
ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวขึ้นว่า
"ถ้าเช่นนั้น ย่อมเป็นการดีสำหรับเธอในการที่พระองค์อัลลอฮฺ
จะทรงอภัยให้แก่เขา ฉะนั้นเธอจงพึงพอใจและยกโทษ
ให้แก่เขาเถิด! ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์
ของพระองค์ การละหมาดและการบริจาคทานของเขา
ย่อมมิเกิดประโยชน์อันใด ตราบใดที่เธอยังคงโกรธเคืองต่อเขา"
เมื่อเร่ืองมาถึงขั้นนี้ นางจึงยกมือของนางขึ้นพร้อมกล่าวขึ้นว่า
"ฉันขอยืนยันต่อพระองค์อัลลอฮฺพระผู้ทรงอยู่ในชั้นฟ้าอันสูงสุด
ของพระองค์ และท่าน โอ้ ท่านศาสนทูต ตลอดจนผู้ที่อยู่
ณ ที่นี้ให้ทราบทั่วกันว่า บัดนี้ฉันพึงพอใจต่อเขาแล้ว"
ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวขึ้นว่า
"โอ้ บิล้าลเอ๋ย! ท่านจงออกไปแล้วไปดูซิว่า อัลเกาะมาห์
สามารถกล่าว ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ ได้หรือไม่
ทั้งนี้เป็นไปได้ว่า แม่ของเขาอาจจะกล่าวเช่นนั้นด้วยสิ่งที่
ไม่ได้มีอยู่ในหัวใจของนาง อันเนื่องจากละอายต่อศาสนทูต
แห่งอัลลอฮฺ"
ท่านบิล้าลจึงได้ออกไป ครั้นเมื่อมาสุดที่ประตูบ้าน
ท่านก็ได้ยินอัลเกาะมะห์กล่าวว่า
"ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ" แล้วอัลเกาะมะห์ก็สิ้นใจในวันนั้น
เขาจึงถูกอาบน้ำศพให้และถูกห่อศพ
และท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ได้ละหมาด
ให้แก่ศพของอัลเกาะมะห์
ครั้นต่อมา ท่านศาสทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ยืนอยู่ที่ริมหลุมฝังศพท่านได้กล่าวขึ้นว่า
"โอ้ ปวงชนมุฮาญิรีนและอัลศอรฺ บุคคลใดเทิดทูนภรรยาของตน
เหนือมารดาของตน บุคคลนั้นย่อมได้รับการสาปแช่ง
จากพระองค์อัลลอฮฺ และพระองค์จะมิทรงรับการกลับเนื้อกลับตัว
หรือค่าไถ่ใดๆจากบุคคลผู้นั้น"
ท่านอัฏ-เฏาะบะรอนีย์ และอิหม่ามอะห์หมัด
ได้รายงานเรื่องราวจากหะดิษนี้ในอีกสำนวนหนึ่ง
(คัดจาก ตัรฺบียะตุ้ลเอาลาด 1/379-380)
ที่มา: จากหนังสือ คัดมาให้คิด โดย อาจารย์ อาลี เสือสมิง
หน้า 111-113 เรื่องพระคุณแม่ช่างเลิศล้ำ
วัสลาม