ผู้เขียน หัวข้อ: พระคุณแม่ช่างเลิศล้ำ  (อ่าน 1403 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
พระคุณแม่ช่างเลิศล้ำ
« เมื่อ: ก.ย. 05, 2013, 08:48 PM »
+1

อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ...

ท่านอบู อัลลัยษ์ อัส-สะมัรฺกอนดีย์ ได้ถ่ายทอดเรื่องราว
จากท่านอะนัส อิบนิ มะลิก ว่า

มีชายผู้หนึ่งถูกเรียกขานกันว่า อัลเกาะมะห์ในสมัยท่านศาสนทูต
ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ชายหนุ่มผู้นี้ได้ล้มป่วย
และมีอาการหนักและจวนจะสิ้นใจ จึงมีผู้กล่าวแก่เขาว่า

ท่านจงกล่าว "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ"

ปรากฎว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่อาจกระดกลิ้นของตนเพื่อกล่าวประโยค
ดังกล่าวได้แม้แต่น้อย จึงมีผู้นำข่าวไปแจ้งแก่ท่านศาสนทูต
ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านจึงถามว่า

"ชายผู้นี้มีบิดามารดาหรือไม่?"

 จึงมีผู้กล่าวว่า

"บิดาของเขานั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่เขายังมีมารดาผู้แก่ชรา
อยู่กับเขา"

ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจึงได้ส่งคน
ไปตามนางมา

เมื่อนางมาถึง ท่านได้ถามนางถึงสถานภาพของชายหนุ่มผู้ล้มป่วย
ปางตาย นางก็กล่าวว่า

"โอ้ ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ เขาเป็นผู้ดำรงการละหมาด
และถือศีลอดทั้งฟัรฎูและสุนนะห์เสมอๆ และมักจะบริจาคทาน
เป็นทรัพย์สินมากมายจนเรามิอาจทราบได้ว่ามันมีจำนวน
มากน้อยเพียงใด ? "

ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงซักนางต่อว่า

"และสถานภาพของเธอกับเขาเล่าเป็นเช่นใด?"

นางก็ตอบว่า

"โอ้ ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ฉันมีเรื่องโกรธเคืองต่อเขา"

ท่านจึงกล่าวถามว่า

"ด้วยเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?"

นางก็ตอบว่า

"เขาเห็นภรรยาของเขาดีกว่าฉัน และยอมเชื่อฟังนางในทุกๆเรื่อง"

ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจึงกล่าวว่า

"ความโกรธเคืองของผู้เป็นแม่ของชายผู้นี้
ได้ปิดกั้นลิ้นของเขาจากการกล่าวปฏิญาณตนนั่นเอง"

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่่สามารถกล่าวคำว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺได้

ต่อมาท่านก็กล่าวขึ้นว่า

"โอ้ บิล้าลเอ๋ย! ท่านจงออกไปและจงไปเก็บรวบรวมไม้ฟืน
ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่ฉันจักได้จุดไฟเผาเขาผู้นั้นเสีย"

นางผู้เป็นมารดาจึงกล่าวขึ้นว่า

"โอ้ ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ! ลูกชายของฉันผู้เป็นดั่งดวงใจ
ท่านจะเผาเขาต่อหน้าฉันกระนั้นหรือ? แล้วหัวใจของฉัน
จะยอมรับได้เชียวหรือ?"

ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวขึ้นว่า

"ถ้าเช่นนั้น ย่อมเป็นการดีสำหรับเธอในการที่พระองค์อัลลอฮฺ
จะทรงอภัยให้แก่เขา ฉะนั้นเธอจงพึงพอใจและยกโทษ
ให้แก่เขาเถิด! ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์
ของพระองค์ การละหมาดและการบริจาคทานของเขา
ย่อมมิเกิดประโยชน์อันใด ตราบใดที่เธอยังคงโกรธเคืองต่อเขา"

เมื่อเร่ืองมาถึงขั้นนี้ นางจึงยกมือของนางขึ้นพร้อมกล่าวขึ้นว่า

"ฉันขอยืนยันต่อพระองค์อัลลอฮฺพระผู้ทรงอยู่ในชั้นฟ้าอันสูงสุด
ของพระองค์ และท่าน โอ้ ท่านศาสนทูต ตลอดจนผู้ที่อยู่
ณ ที่นี้ให้ทราบทั่วกันว่า บัดนี้ฉันพึงพอใจต่อเขาแล้ว"

ท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวขึ้นว่า

"โอ้ บิล้าลเอ๋ย! ท่านจงออกไปแล้วไปดูซิว่า อัลเกาะมาห์
สามารถกล่าว ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ ได้หรือไม่
ทั้งนี้เป็นไปได้ว่า แม่ของเขาอาจจะกล่าวเช่นนั้นด้วยสิ่งที่
ไม่ได้มีอยู่ในหัวใจของนาง อันเนื่องจากละอายต่อศาสนทูต
แห่งอัลลอฮฺ"

ท่านบิล้าลจึงได้ออกไป ครั้นเมื่อมาสุดที่ประตูบ้าน
ท่านก็ได้ยินอัลเกาะมะห์กล่าวว่า

"ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ" แล้วอัลเกาะมะห์ก็สิ้นใจในวันนั้น
เขาจึงถูกอาบน้ำศพให้และถูกห่อศพ
และท่านศาสนทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ได้ละหมาด
ให้แก่ศพของอัลเกาะมะห์

ครั้นต่อมา ท่านศาสทูต ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ยืนอยู่ที่ริมหลุมฝังศพท่านได้กล่าวขึ้นว่า

"โอ้ ปวงชนมุฮาญิรีนและอัลศอรฺ บุคคลใดเทิดทูนภรรยาของตน
เหนือมารดาของตน บุคคลนั้นย่อมได้รับการสาปแช่ง
จากพระองค์อัลลอฮฺ และพระองค์จะมิทรงรับการกลับเนื้อกลับตัว
หรือค่าไถ่ใดๆจากบุคคลผู้นั้น"

ท่านอัฏ-เฏาะบะรอนีย์ และอิหม่ามอะห์หมัด
ได้รายงานเรื่องราวจากหะดิษนี้ในอีกสำนวนหนึ่ง
(คัดจาก ตัรฺบียะตุ้ลเอาลาด 1/379-380)



ที่มา: จากหนังสือ คัดมาให้คิด โดย อาจารย์ อาลี เสือสมิง
หน้า 111-113 เรื่องพระคุณแม่ช่างเลิศล้ำ


วัสลาม

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: พระคุณแม่ช่างเลิศล้ำ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 05, 2013, 09:38 PM »
+1
นำเรื่องนี้มาโพสต์ไว้ในบอร์ดตักเตือน

เพราะเป็นเรื่องราวที่เตือนใจได้เป็นอย่างดี
โดยในยุคที่ปัจจุบัน ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทหรือถ้าจะพูดไม่ผิดมากนักก็คือ
ยุคที่ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทเหนือบุรุษ

แน่นอนว่า...บุรุษหลายท่านอาจจะส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าน้อยกล่าวมา
แต่จากหลายๆกรณีที่ข้าน้อยได้เจอมา...สำหรับสถาบันครอบครัว
ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทมาก จนบางครัวเรือนผู้หญิงถึงกับคุมบังเหียนกันเลยทีเดียว
คือไม่ว่า สามีจะไปไหน ทำอะไร ได้เงินมาเท่าไหร่ก็จะควบคุม
และสอดส่อง ชนิดที่ไม่ยอมให้เล็ดรอดไปได้เลย จนกลายเป็นว่า
ผู้เป็นภรรยาอยู่เหนือสามีไปโดยละม่อม...
จนพ่อข้าน้อยเคยพูดเปรยๆว่า ผู้ชายเดี๋ยวนี้เขายอมเป็นลูกมะมูม
โดยให้ภรรยาเป็นอิหม่ามประจำบ้านไปแล้ว...

แน่นอนว่า ครอบครัวใดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสตรีเพศ
ย่อมหาความสงบสุขได้ยากยิ่ง...

ข้าน้อยเป็นสตรีเพศ ย่อมรู้ว่า ทำไมสตรีถึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ
เพราะสาเหตุหลักๆเลยก็คือสตรีไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นผู้นำนั่นเอง...

อัลลอฮฺไม่ได้สร้างให้เธอเกิดมาเป็นผู้นำ...แม้จะให้สติปัญญาอันเฉียบคม
ให้ความรู้ให้ความสามารถแก่เธอมามากมายแค่ไหนก็แล้วแต่
แต่นั่นมิใช่คุณลักษณะที่จะทำให้เธอสามารถเป็นผู้นำได้...

อย่างไรเสีย เธอก็ถูกสร้างมาเพื่อถูกปกป้องจากเพศชายอยู่ดี...
ผู้ที่ถูกสร้างมาเพื่อถูกปกป้องนั้นจะเป็นผู้นำได้อย่างไร
ในเมื่อ ณ ที่แห่งนั้น ยังมีบุรุษมากความสามารถอยู่
และสามารถเป็นที่พึ่งแก่เธอได้อยู่่...

นอกเสียจากว่า เธอเหล่านั้น คิดว่า เธอไม่ได้รับการปกป้องจากบุรุษเลย
นอกเสียจากว่าโดนกดขี่ข่มเหงจากบุรุษนั่นเอง...

จึงไม่แปลกที่สังคมที่ไม่ได้ใช้กฎหมายอิสลามในการดำเนินชีวิต
ย่อมต้องประสบกับสภาพดังกล่าว พบกับสภาพที่สตรีเพศถูกข่มเหง
จากเพศที่แข็งแรงกว่า...


ข้าน้อยเคยได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นอยู่ช่วงระยะเวลาเกือบหกปี
แน่นอนว่า ประเทศญี่ปุ่นให้สิทธิเสรีภาพเรื่องเพศ
แต่ก็ยังหนีไม่พ้นการกดขี่ข่มเหงทางเพศอยู่ดี...
คำว่ากดข่ีข่มเหงทางเพศในที่นี้ก็คือ การทำร้ายร่างกาย
การมองผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องระบายอารมณ์
มองเป็นเพียงสิ่งบันเทิงเริงใจ...ผู้หญิงจากหลายๆประเทศมากมาย
ถูกส่งตัวไปบำเรอความสุขให้กับบุรุษเพศยังดินแดนนั้นกันเกลื่อน...
และยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่...หลายคนโดนหลอกไป บางคนก็เต็มใจให้เขากระทำ
เพื่อเงินประทังชีวิต...

ในขณะที่นานาประเทศมองว่า สตรีมุสลิมถูกกดข่ี ถูกกีดกันเสรีภาพ
แต่สำหรับมุมมองของข้าน้อยที่ได้ไปสัมผัสสังคมที่มิใช่สังคมมุสลิม
สตรีเหล่านั้น มิได้มีค่าอะไรในสายตาบุรุษมากไปกว่าความบันเทิงเริงใจ
และสิ่งระบายอารมณ์...ทั้งที่อิสลามได้มอบคุณค่าแก่สตรีมากกว่านั้น
หลายพันเท่า...แต่สตรีมุสลิมกลับถูกมองว่าโดนกดขี่ไปได้...

สิ่งใดเล่าบังตาคนเหล่านั้นให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว...
เห็นดอกบัวเป็นกงจักร...

หลายครั้งซึ่งตอนนั้นข้าน้อยไม่ได้คลุมฮิญาบแล้วเดินไปบนหน้าแผ่นดินญี่ปุ่น
ด้วยหน้าตาและรูปร่าง จึงทำให้เขามองข้าน้อยด้วยสายตาดูถูกดูแคลนอย่าโจ่งแจ้ง
ว่าเรานั้นคงมาหากินที่ญี่ปุ่นแบบผู้หญิงไทยโดยส่วนมากเขามาทำกัน...
เนื่องจากเขาเหมารวมว่าหญิงไทยทุกคนต้องทำมาหากินแบบนี้กัน...

แต่ลองเดี๋ยวนี้ที่ข้าน้อยคลุมฮิญาบมิดชิดอย่างสตรีมุสลิมซึ่งถูกบัญชาใช้
จากอัลลอฮฺให้กระทำ คนญี่ปุ่นที่มาอยู่เมืองไทยและได้พบปะกับข้าน้อยครั้งแรก
กลับมิได้มองข้าน้อยอย่างที่คนญี่ปุ่นเมื่อก่อนเคยมองมา...
แน่นอนว่าเขาย่อมปฏิบัติกับเราอย่างให้เกียรติอย่างมิต้องสงสัย
แม้จะพูดว่า...เรานั้นอยู่คร่ำครึคร่ำเคร่งก็ตาม...
แต่มันก็ย่อมดีกว่าเขามองเราไร้คุณค่าอย่างที่เคยมองอยู่มากทีเดียว...

ทำให้ข้าน้อยมองว่า...ฮิญาบเป็นเครืองประดับอันมีเกียรติ
ที่อัลลอฮฺประทานให้สตรีผู้มีศรัทธาต่อพระองค์...

เมื่อเราได้รับเกียรติจากบุรุษเพศอย่างที่ควรจะได้รับแล้ว
แล้วใยเราจะต้องไปเรียกร้องสิทธิสตรีให้ดังก้องโลกด้วย...

เมื่ออัลลอฮฺมอบหน้าที่อันมีเกียรติให้แก่เราในการดูแลสามีและลูกๆในบ้านแล้ว
แล้วใยเราจะต้องไปร้องเรียนการมีบทบาทเหนือบุรุษตามสภาให้ผู้คนสรรเสริญ
ยกย่องให้เป็นผู้นำมวลชนด้วย...เพราะทุกๆหน้าที่นั้นมาพร้อมกับภาระ

แล้วเราที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทำหน้าที่ผู้นำ จะแบกภาระอันหนักอึ้งนั้นไปได้สักแค่ไหน
มันไม่เหนื่อยเกินไปหรือกับการต้องเป็นหรือต้องทำอะไรที่ไม่ถนัด...
เรากระเสือกกระสนเช่นนั้นไปเพื่ออะไร เพื่อความสุขสบายก็คงไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอน...

อาจกลายเป็นว่า เราหาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปมากกว่า
ที่ควรจะเป็น หรือพยายามกระเสือกกระสนเพิ่มภาระหน้าที่
ให้กับตัวเองมากกว่าที่อัลลอฮฺมอบหมายให้มา...

นอกจากไม่สามารถลดสิทธิของบุรุษได้ดั่งใจหมายแล้ว
สตรีดังกล่าวอาจต้องเหน่ื่อยกับการตกเป็นทาสของบุรุษ
พร้อมกับช่วยลดภาระหน้าที่ให้กับบุรุษไปได้อีกด้วย...

อัลลอฮฺไม่ได้สร้างให้สตรีเป็นทาสบุรุษ
ไม่ได้สร้างบุรุษให้มาเป็นทาสสตรี...

มีแต่เราที่เลือกจะเป็นเอง...

เรานั้นเกิดมาเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ
หากเราเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ เชื่ออัลลอฮฺ
ทำตามอัลลอฮฺ เราก็จะไม่ตกเป็นทาสของอะไรเลย
นอกจากได้เป็นบ่าวของพระองค์เพียงเท่านั้น...


สุดท้ายที่อยากฝากบุรุษก็คือ...

หากคุณมีความสามารถ มีสติปัญญา
อย่าปล่อยให้สตรีเป็นผู้นำชุมชนหรือประเทศเป็นอันขาด
มิเช่นนั้น...เราจะได้พบกับความเสียหายอย่างมิต้องสงสัย...

แล้วอย่าปล่อยให้ภรรยาอยู่เหนือมารดา
แม้ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแม่ของลูกของท่าน
แต่ท่านต้องไม่ลืมว่า ผู้หญิงอีกคนนั้นเป็นผู้ให้กำเนิดท่านมา
ผู้ให้กำเนิดท่านกับผู้ให้กำเนิดลูกของท่านมา
ท่านว่า ผู้ใดมีพระคุณต่อท่านมากกว่ากัน...

แม่ของข้าน้อยบอกว่า...วันนึงเมื่อเราแต่งงาน
หากสามีเรารักและยกย่องให้เกียรติแม่ของเขามากกว่าเรา
ก็จงภูมิใจในตัวเขา...เพราะนั่นเขาได้ทำให้อัลลอฮฺพึงพอใจแล้ว...
อย่าไปน้อยอกน้อยใจ เขาเป็นแม่ลูกกัน ผูกพันธ์กันมา
ก่อนที่จะได้ผูกพันกับเราเสียอีก...หากเขาหลงเราจนลืมแม่
ก็จงเตือนเขา...

วัสลามค่ะ
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged