วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2554 ราว ๆ บ่ายสามโมงครึ่งตามเวลาท้องถิ่นของกรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความมั่นคงและปลอดภัยมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปอย่างนอร์เวย์ เสียงระเบิดแผดก้องขึ้นในย่านดาวน์ทาวน์อันเป็นที่ตั้งของอาคารที่ทำการรัฐบาลและสำนักงานหลายแห่ง นั่นนับว่าน่าตื่นตระหนกมากแล้ว สำหรับประเทศที่ไม่เคยมีเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมใดใดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่2 ทว่าไม่มากไปกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในราวชั่วโมงต่อมาบนเกาะอูโทย่า ห่างจากชายฝั่งของกรุงออสโลไปราว 35 กิโลเมตร
ที่นั่นเยาวชนหลายร้อยคนกำลังเข้าค่ายภายใต้การสนับสนุนของพรรคแรงงานอันเป็นพรรคผู้นำรัฐบาลนอร์เวย์ปัจจุบัน ไม่มีใครรู้ว่าชายในชุดเครื่องแบบตำรวจที่นั่งเรือขึ้นเกาะมาเพียงลำพังนั้นจะเป็นคนเดียวกับผู้ก่อเหตุระเบิดกลางกรุงออสโลที่พวกเขาเพิ่งจะรับฟังข่าวด้วยความตระหนก กระทั่งปืนที่ถูกเหน็บไว้ที่เอวถูกยกขึ้นและกราดยิงผู้คนรายรอบอย่างตั้งอกตั้งใจนั่นแหละ ทุกคนจึงได้รู้ว่าหายนะได้มาเยือน หากก็ต้องใช้เวลานานยาวนับชั่วโมง กว่ามหกรรมการฆ่านั้นจะจบลงด้วยการมาถึงของเจ้าหน้าที่ตำรวจตัวจริงและจับกุมผู้ก่อการร้ายไว้ได้โดยปราศจากการขัดขืน มีผู้เสียชีวิตจากทั้งสองเหตุการณ์รวม 76 คน ในจำนวนนี้อย่างน้อย 2 คน เป็นเยาวชนมุสลิม
ชั่วโมงต่อมา สื่อมวลชนกระแสหลักหลายสำนักขึ้นหัวข่าวออนไลน์ทันทีว่า มีความเป็นไปได้มากว่าผู้ก่อการร้ายครั้งนี้เป็นมุสลิม เดอะซัน - เจ้ากรมข่าวลือแห่งเกาะอังกฤษพาดหัวหนังสือพิมพ์ฉบับที่กำลังจะออกจากแท่นพิมพ์ว่า “อัลกออิดะฮฺอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายที่ออสโล” มีข่าวแพร่สะพัดในอินเตอร์เน็ตว่ากลุ่มมุญาฮิดีนในอัฟกานิสถานกำลังเตรียมออกแถลงการณ์ประกาศว่าเป็นผู้ลงมือ ลือกันกระทั่งว่าการส่งทหารนอร์วิเจียนเข้าไปช่วยสหรัฐฯทำสงครามในอัฟกานิสถานเป็นสาเหตุสำคัญของวินาศกรรมครั้งนี้ ก่อนที่ข้อมูลใหม่จะมาถึงว่า ผู้ก่อเหตุทั้งในย่านดาวน์ทาวน์กรุงออสโลและบนเกาะอูโทย่านั้นเป็นคนๆเดียวกันที่ ‘ผิวขาว ผมบลอนด์ ตาสีฟ้า และไร้หนวดเครา’ ซึ่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับลักษณะผู้ก่อการร้ายที่ถูกสร้างขึ้นในหัวของผู้คนทั่วโลก ต่อมาข้อเท็จจริงจึงประจักษ์ว่าชายผู้ก่อเหตุนั้นเป็นชาวนอร์วิเจียนขนานแท้ดั้งเดิม ชื่ออันเดอร์ส เบห์ริง - คริสเตียนผู้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอิสลามนอกจากว่าเขาเป็นพวกขวาตกขอบที่เกลียดชังมุสลิมสุดขั้วหัวใจ
ไม่มีใครคาดหวังว่าจะได้รับคำขอโทษจากสื่อไร้จรรยาบรรณทั้งหลาย และถึงแม้พวกเขาจะลอยหน้าลอยตารายงานเรื่องราวต่อไปราวกับผู้ป่วยหนักทางจิตสำนึก แต่การกระทำของพวกเขาก็ได้ประจานตัวเองอย่างแจ่มแจ้ง
ซะนูม ฆอฟูร นักศึกษามุสลิมะฮฺวัย 19 ปีในลอนดอน ได้ใช้ทวิตเตอร์ของเธอเป็นสื่อกลางเสียดเย้ยการกระทำตลกร้ายของสื่อมวลชนตะวันตกที่เกิดขึ้นครั้งนี้ด้วยท่วงทำนองที่กระแทกใจใครหลายคน จนกลายเป็นทวิตเตอร์ที่มีคนติดตามเป็นจำนวนมาก โดยซะนูมจะโพสข้อความว่าด้วยสารพัดความคับข้องใจที่เกิดขึ้นในโลกแล้วลงท้ายว่า
‘ต้องโทษมุสลิม’ อาทิเช่น “ฉันไม่มีงานทำ...ต้องโทษมุสลิม” “รถติดชะมัด...ต้องโทษมุสลิม” “อินเตอร์เน็ตเต่ามาก...ต้องโทษมุสลิม” ฯลฯ ปรากฏว่ามีคนมาร่วมด้วยช่วยกันโพสข้อความทำนองนี้กับเธอเยอะแยะ จนสื่อหลายสำนักแม้กระทั่งนิวยอร์คไทมส์อันโด่งดังยังต้องทำรายงานข่าวเกี่ยวกับทวิตเตอร์ของเธอ
ลึกลงไปกว่าเรื่องอคติที่มีต่อมุสลิมอันฝังอยู่ในหัวจิตหัวใจของสื่อตะวันตกแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในนอร์เวย์ยังมีนัยยะและบทเรียนน่าขบคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะหลังจากที่รายละเอียดเกี่ยวกับอันเดอร์ส เบห์ริง ถูกปล่อยออกมาสู่ธารณชนมากขึ้น และชี้ชัดว่าแท้จริงแล้วเขามุ่งหวังจะกำจัดมุสลิมในฐานะ ‘กลุ่มที่กำลังจะยึดครองยุโรป’ เพียงแต่เขาเลือกที่จะกำจัดผ่านทางผู้ที่เขาคิดว่าเป็น ‘ต้นตอ’ของการนำมุสลิมเข้ามา นั่นคือรัฐบาลฝ่ายซ้ายของพรรคแรงงานที่มีนโยบายเปิดรับผู้อพยพ ทั้งยังสนับสนุนการสร้างสังคมหลากวัฒนธรรมที่ยอมรับกันและกันอันเป็นสิ่งที่ผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมขวาจัดอย่างเบห์ริงไม่อาจทนเห็นได้ การระเบิดตึกที่ทำการรัฐบาล ตามมาด้วยการสังหารหมู่เยาวชนผู้สนับสนุนพรรคแรงงานล้วนมีเหตุผลชัดเจนหากมองในมุมของเบห์ริง หนึ่งคือผู้กำลังดำเนินนโยบายที่ทำให้มุสลิมมีที่ทางมากขึ้นในสังคม อีกหนึ่งคือผู้เป็นอนาคตที่จะขึ้นมาสานต่อนโยบายดังกล่าว
ข้อมูลข้างต้นนั้นเป็นเรื่องน่ากังวล พี่น้องมุสลิมในตะวันตกเริ่มพูดถึงการรักษาความปลอดภัยในการรวมตัวของมุสลิมตามมัสญิดหรือสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ ถึงแม้สื่อตะวันตกจะเน้นย้ำนักหนาว่าเบห์ริงได้ก่อการครั้งนี้โดยลำพัง ไม่มีใครช่วยเหลือสมคบคิด แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฎก็คือ เบห์ริงได้ใช้เวลาก่อนหน้านี้สิงอยู่ตามเว็บบอร์ดของกลุ่มที่มีแนวคิดขวาจัด และถ้าใครตามข่าวคราวพี่น้องมุสลิมในยุโรปอยู่เรื่อยๆ ก็จะต้องนึกภาพออกทันทีว่า กลุ่มที่มีแนวคิดต่อต้านการเติบโตของมุสลิมในยุโรปนั้นไม่ได้มีแค่เบห์ริงอย่างแน่นอน
ในอังกฤษ มีกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ‘สหพันธ์ผู้พิทักษ์อังกฤษ’ (English Defend League : EDL) ประกาศนโยบายตัวเองชัดเจนว่าจัดตั้งขึ้นเพื่อหยุดยั้งการแพร่ขยายของอิสลามในอังกฤษ มีการจัดการเดินขบวนตามท้องถนนหลายต่อหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องผู้คนให้ระแวดระวังภัยจากมุสลิม มีคนเข้าร่วมการเดินขวนแต่ละครั้งร่วมพันคน ในประเทศใหญ่ๆ ของยุโรป อย่างเยอรมนีและฝรั่งเศสก็มีกลุ่มทำนองนี้เกิดขึ้นแล้ว สื่อบางสำนักได้นำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าในบรรดาเว็บไซต์ที่อันเดอร์ส เบห์ริงเคยเข้าไปแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนข้อมูลนั้น มีบางเว็บไซต์ที่เขาได้แสดงความเห็นชื่นชมการทำงานของกลุ่ม EDL ในอังกฤษอย่างชัดเจน
เราสามารถมองเรื่องนี้ได้หลายมุม อย่างแรกสุดมันเป็นปรากฏการณ์สามัญนักในการต่อสู้เพื่ออิสลามที่จะต้องมีผู้ที่หัวใจรังเกียจสัจธรรมออกมาคัดค้านและตั้งตัวเป็นปรปักษ์ หากมองให้ลึกลงไปในมุมนี้ การที่มีกลุ่มคริสเตียนขวาจัด (สัญลักษณ์ของกลุ่ม EDL เป็นรูปไม้กางเขนคล้ายคลึงกับนักรบโรมันในสมัยสงครามครูเสด) ลุกขึ้นมาแสดงอาการ‘อยู่ไม่ถูก’นั้น ย่อมแสดงให้เห็นความหวั่นกลัวอิสลามในหัวอกของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ถ้าอ่านรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบด้าน เชื่อว่าจะมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในหัวใจของเรานอกเหนือไปจากความรู้เช่นเห็นชาติคนพวกนี้ นั่นคือ
เกิดความรู้สึกเป็นห่วงและสงสารพี่น้องมุสลิมในตะวันตกขึ้นมาจับใจที่นอร์เวย์อันเป็นประเทศต้นเรื่องของบทความนี้ ประมาณกันว่ามีมุสลิมอยู่ราวหนึ่งแสนคน ส่วนมากคือผู้อพยพเข้ามาจากประเทศที่มีปัญหาสงครามหรือความขาดแคลนทั้งในแถบแอฟริกาและตะวันออกกลาง มีรายงานชิ้นหนึ่งที่นำเสนอบทสัมภาษณ์มุสลิมผู้อพยพเข้ามาอยู่ในนอร์เวย์ พวกเขาเล่าว่าแม้ก่อนเกิดเหตุการณ์วินาศกรรมครั้งร้ายแรงนี้ พวกเขาก็ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเท่าไหร่นักจากชาวนอร์วิเจียนโดยทั่วไป ภาพลักษณ์ของผู้อพยพในสายตาเจ้าของบ้านคือภาพของผู้ก่อปัญหา มีการลงข่าวอาชญากรรมที่มีผู้อพยพเหล่านี้เป็นผู้ต้องสงสัยอยู่เนืองๆตามหน้าหนังสือพิมพ์
ชะตากรรมลักษณะนี้เกิดขึ้นกับชุมชนผู้อพยพมุสลิมในหลายประเทศตะวันตก แม้แต่พี่น้องที่มีความเป็นอยู่ดีหน่อย เช่น เป็นคนเชื้อสายตะวันตกเจ้าถิ่นที่มาเข้ารับอิสลาม หรือเป็นนักธุรกิจมุสลิมในยุโรป หากเป็นคนที่กล่าวง่ายๆได้ว่าอยู่สายเคร่งครัดแล้วล่ะก็ ส่วนหนึ่งของพวกเขามีความปรารถนาจะฮิจเราะฮฺออกจากดินแดนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพราะเผชิญการต่อต้านหนักหน่วง ไม่ใช่เพราะมีอันตราย แต่เพราะมันยากมากที่พวกเขาจะอยู่อย่างมีเกียรติ และรักษาความบริสุทธิ์แห่งอิสลามให้แก่ตัวเองและครอบครัวได้ มันเจ็บปวดน้อยหรือที่เราจะต้องเสียภาษีให้แก่รัฐบาลที่ส่งทหารไปฆ่าพี่น้องมุสลิมอยู่ทุกวัน
เมื่ออ่านเรื่องราวของพี่น้องในตะวันตก ก็เป็นเช่นเดียวกับเมื่อได้รับรู้เรื่องราวของพี่น้องในดินแดนที่ถูกอธรรมทั้งหลาย นั้นคือ
คิดถึงและโหยหาคิลาฟะฮฺขึ้นมาจับใจ ประชาชาติอิสลามของเราทุกวันนี้เหมือนเด็กกำพร้าไร้ผู้ปกครองดูแลจริงๆนะ พี่น้องที่รู้สึกว่ามุญาฮิดีนทั้งหลายใช้ความรุนแรงและทำให้มุสลิมถูกมองไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ โปรดไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบเถิด อันเดอร์ส เบห์ริงไม่ได้กล่าวถึงการก่อวินาศกรรมใดใดของมุสลิมที่ทำให้เขาเกลียดชังอิสลาม แต่เพียงเพราะการเติบโตอย่างเรียบร้อยทว่าทรงพลังของมุสลิมในยุโรปเท่านั้นเองที่ทำให้เขารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งมัน
ใครที่คิดว่าการก่อร่างรัฐอิสลามไม่ใช่งานเร่งด่วน และไม่มีความจำเป็นตราบที่เราทำงานดะอฺวะฮฺอย่างสงบเสงี่ยมได้ในบ้านเรือนของเรา โปรดติดตามข่าวสารความเป็นไปเชิงลึกของพี่น้องมุสลิมในตะวันตกด้วย ไม่ใช่เพียงตัวเลขจำนวนมุสลิมที่เพิ่มขึ้นจะหมายถึงเราสำเร็จแล้ว ไม่ต้องญิฮาดแล้ว โปรดมองให้เห็นสภาพจิตใจของพวกเขา ความโดดเดี่ยวเจ็บปวดของพวกเขา รวมไปถึงพี่น้องมุสลิมในดินแดนที่กำลังถูกรุกรานและยึดครอง นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์จากการที่เราไม่มีรัฐ ไม่มีผู้ปกครองหรือ?
ใช่แหละที่ทั้งพวกเขาและพวกเราต่างก็ต้องทำงานดะอฺวะฮฺที่อยู่ตรงหน้าไปตามความสามารถ และอดทนรอคอยกำหนดของอัลลอฮฺอย่างใจจดใจจ่อ แต่ถ้ามีอะไรที่เราจะทำเพื่อการกลับมาของระบอบการปกครองอิสลามได้ โปรดอย่ารอช้า และอย่างน้อยถ้ายังมองไม่เห็นอะไรที่จะทำได้ ก็อย่าได้ก่นด่าคนที่เขามองเห็นและกำลังทำอยู่เลย [คอลัมน์ "พบโลกที่ปลายปากกา" / ทีมงานสารมุสลิมะฮฺ, วารสารใต้ร่มเงาอิสลาม ฉบับเดือนกันยายน ๒๕๕๔]
..รายละเอียดเพิ่มเติม