ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 6 สูเราะฮฺ อัล-อันอาม  (อ่าน 7251 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 124 - 126


คำแปล R1.
124. And when there comes to them a sign (from Allah) they say: "We shall not believe until we receive the like of that which the Messengers of Allah had received." Allah knows best with whom to place his Message. Humiliation and disgrace from Allah and a severe torment will overtake the criminals (polytheists, sinners, etc.) for that which they used to plot.
125. And whomsoever Allah wills to guide, He opens his breast to Islam, and whomsoever He wills to send astray, He makes his breast closed and constricted, as if he is climbing up to the sky. Thus Allah puts the wrath on those who believe not.
126. And this is the Path of your Lord (the Qur'an and Islam) leading straight. We have detailed Our revelations for a people who take heed.


คำแปล R2.
124. และเมื่อมีสัญลักษณ์หนึ่งได้มาถึงพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “เราจะไม่ศรัทธาจนกว่าเราจะถูกประทาน(โองการ)ให้เหมืองเช่นที่ถูกประทานแก่บรรดาศาสนทูตของอัลเลาะฮฺ” อัลเลาะฮฺทรงรู้ยิ่งว่าอย่างไร(และแก่ผู้ใด)ที่พระองค์จะทรงแต่งตั้งฐานะศาสนทูตจากพระองค์ ต่อไปบรรดาผู้ประพฤติชั่วจะต้องประสบความอัปยศ ณ อัลเลาะฮฺ และการลงโทษอันร้ายแรงเนื่องเพราะสิ่งที่เขาวางกลอุบายไว้
125. ดังนั้นผู้ใดที่อัลเลาะฮฺทรงปรารถนาที่จะชี้นำเขา แน่นอนพระองค์จะทรงเปิดจิตใจของเขาเพื่อรับอิสลาม และผู้ใดที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะยังความหลงผิดแก่เขา พระองค์ก็จะทรงดลบันดาลให้จิตใจของเขาคับแคบอีกทั้งตีบตันประดุจเขากำลังขึ้นไปในฟากฟ้า(เพราะอากาศหายใจ “ออกซิเจน” ค่อยน้อยลง) เช่นนั้นแหละที่อัลเลาะฮฺทรงดลบันดาลความโสมม(การลงโทษ)แก่บรรดาผู้ไม่ศรัทธา
126. และนี่คือแนวทางขององค์อภิบาลของเจ้าอันเที่ยงตรง แท้จริงเราได้จำแนกโองการต่าง ๆ แก่กลุ่มชนที่มีจิตสำนึก


คำแปล R3.
124. และเมื่อได้มีอายะฮฺใดมายังพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “เราจะไม่ศรัทธาจนกว่าเราจะได้รับเช่นเดียวกับที่ได้ถูกประทานแก่บรรดารอซูลของอัลลอฮฺ” อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งว่าผู้ใดที่พระองค์จะมอบสารของพระองค์ให้ ใกล้เวลาแล้วที่ความต่ำต้อยจากอัลลอฮฺและการลงโทษอันสาหัสจะประสบแก่บรรดาผู้กระทำผิดตามที่พวกเขาได้วางแผนไว้
125. ดังนั้นผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงปรารถนาจะนำทางเขาพระองค์ก็จะทรงเปิดหัวอกของเขาเพื่ออิสลาม และผู้ใดที่พระองค์ทรงปล่อยให้เขาหลงทางพระองค์ก็จะทำให้หัวอกของเขาแคบและบีบมันแน่นจนเขาเริ่มรู้สึกประหนึ่งว่าเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า ในทำนองนี้เองอัลลอฮฺทรงใส่ความโสมมแก่บรรดาผู้ไม่ศรัทธา (อันเนื่องมาจากเขาหันเหออกไปจากอิสลาม)
126. และนี่คือทางอันเที่ยงตรงของพระผู้อภิบาลของเจ้าและเราได้ทำให้สัญญาณของเราเป็นที่แจ้งชัดแล้วสำหรับผู้คนที่รับฟังคำแนะนำ


คำแปล R4.
124. และเมื่อได้มีโองการใดมายังพวกเขาพวกเขาก็กล่าวว่า เราจะไม่ศรัทธาเป็นอันขาด จนกว่าเราจะได้รับเยี่ยงสิ่งที่บรรดารอซูลของอัลลอฮฺได้รับมาแล้ว อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง ณ ที่ที่พระองค์จะทรงให้มีสาส์นของพระองค์ขึ้น บรรดาความต่ำต้อยและการลงโทษอันรุนแรงจากอัลลอฮฺนั้น จะประสบแก่บรรดาผู้ที่กระทำความผิด เนื่องจากการที่พวกเขาวางอุบายหลอกลวงกัน
125. ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงต้องการจะแนะนำเขาก็จะทรงให้หัวอกของเขาเบิกบานเพื่ออิสลาม และผู้ใดที่พระองค์ทรงต้องการจะปล่อยให้เขาหลงทาก็จะทรงให้ทรวงอกของพวกเขาแคบ อึดอัดประหนึ่งว่าเขากำลังขึ้นไปยังฟากฟ้าในทำนองนั้นแหละอัลลอฮฺจะทรงให้มีความโสมมแก่บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา
126. และนี่แหละคือทางแห่งพระเจ้าของเจ้าโดยมีสภาพอันเที่ยงตรง แท้จริงเราได้แจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายไว้แล้ว สำหรับกลุ่มชนที่รำลึก


คำแปล R5.
๑๒๔. เมื่อได้มีสัญญาณหนึ่งแสดงถึงความจริงในการอ้างของมุฮำมัดว่าตนเป็นพระศาสนทูตมาถึงพวกเหล่านั้นที่เป็นชาวมักกะห์ พวกเหล่านั้นก็กล่าวว่า พวกเราจะไม่ศรัทธาต่อพระศาสนทูตมุฮำมัดหรอกจนกว่าพวกเราจะได้รับตำแหน่งพระศาสนทูต และอีกตำแหน่งหนึ่ง อัลเลาะฮฺต้องมีโองการให้มลาอิกะห์มายังพวกเรา บอกพวกเราเองว่าเป็นความจริงที่มุฮำมัดเป็นศาสนทูต นี่แหละพวกเราจะเชื่อเหมือนอย่างที่บรรดาพระศาสนทูตของอัลเลาะห์ได้รับกันมาแล้ว ซึ่งตำแหน่งที่กล่าวถึงนั้นเพราะเราต่างเป็นผู้ร่ำรวยกันทั้งนั่น ทั้งอายุก็มากกว่ามุฮำมัด อัลเลาะฮฺจึงตรัสแก้คำพวกเหล่านั้น อัลเลาะฮฺทรงตระหนักดีถึงตำแหน่งพระศาสนทูตจากพระองค์ซึ่งเหมาะสำหรับจะวางให้แก่เขา(มุฮำมัด) พวกเหล่านั้นหาได้เหมาะสมจะรับตำแหน่งพระศาสนทูตนั้นไม่
   หมายเหตุ ในอัล-กุรอานจะมีคำว่าอัลเลาะห์ซ้อนสองคำติดกันเฉพาะในโองการที่ ๑๒๔ นี้เท่านั้น ฉะนั้นจึงมีนักอรรถาธิบาย(ตัฟซีร)อัล-กุรอานแถลงว่า ถ้าผู้ใดอ่านส่วนของโองการนี้ตั้งแต่ “กอลู.....จนถึงรุซุลุลเลาะห์” แล้วสงบนิ่งสักครู่หนึ่งเพื่อตั้งจิตปรารถนา(นียะห์)ขอต่อพระองค์ให้ได้สิ่งที่ตนตั้งใจไว้ เมื่อจบคำวอนขอแล้วอ่านต่อ “อัลเลาะห์” คำที่สองจนถึง “ริซาละตะห์” แน่นอนอัลเลาะห์จะทรงรับรองซึ่งคำวิงวอนของผู้นั้น
   ต่อไปความตกต่ำอันมีมาแต่ฝ่ายอัลเลาะห์ เช่น ต้องถูกฆ่า ถูกจับเป็นเชลยและโดนริบสมบัติจะประสบเข้ากับบรรดาที่ก่อบาปขึ้น ฐานที่พวกนั้นอ้างว่า “พวกเราจะไม่ศรัทธาหรอกจนกว่าพวกเราจะได้รับฯ(โองการที่๑๒๔) และต่อไปจะประสบโทษทรมานอันสาหัสในฐานะที่พวกนั้นได้ทำอุบายขึ้นอีกด้วยว่าพวกนั้นจะถูกฆ่า ถูกจับเป็นเชลยและถูกริบทรัพย์สิน
๑๒๕. ถ้าผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์ในอันที่จะแนะนำหนทางเที่ยงแท้ให้ผู้นั้นไปสู่ความศรัทธาต่อพระองค์และพระศาสดามุฮำมัด ตลอดจนศรัทธาต่อศาสนาซึ่งพระศาสดามุฮำมัดนำมาสู่โดยการชี้ขาดของอัลเลาะห์แล้วไซร้ แน่นอนพระองค์จะทรงให้ผู้นั้นมุ่งตรงไปยังความศรัทธาดังกล่าว จะทรงเปิดหัวใจของผู้นั้นให้เข้ารับความศรัทธาได้โดยง่าย ด้วยพระกรุณาและความยกย่องจากพระองค์ แต่ผู้ใดที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์ในอันที่จะให้ผู้นั้นหลงไหลระเหระหนจากความศรัทธาดังที่กล่าวมาเสียแล้วพระองค์ก็จะทรงให้หัวใจของผู้นั้นตีบแคบจนลำบากที่จะได้รับความศรัทธาไว้ได้เหมือนดังผู้นั้นจะถูกบังคับให้ขึ้นฟ้าทีเดียว เหตุที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้หัวใจของผู้นั้นตีบแคบดังกล่าวนี้เอง อัลเลาะห์จึงทรงบันดาลให้เกิดโทษหรือมีไชตอนคอยบังคับบัญชาอยู่เหนือบรรดาชนผู้มิได้ศรัทธาที่ว่านั้น
๑๒๖. และความศรัทธาต่ออิสลามก็ดี ต่อพระคัมภีร์อัล-กุรอานก้ดี ตลอดจนมุ่งตรงไปยังความศรัทธาก็ดีที่เจ้ากำลังยึดมั่นอยู่นี้แหละคือหนทางแห่งองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าซึ่งเที่ยงตรงหาที่คดเตี้ยวมิได้ นั่นคือศาสนาอิสลาม อันที่จริงเรา(อัลเลาะห์) ก็เคยได้แจกแจงบรรดาโองการไว้แล้วแก่มวลชนผู้รู้จักระลึกคือเกรงกลัวซึ่งคำตักเตือนและคำขู่

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:50 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 127 - 129


คำแปล R1.
127. For them will be the home of peace (Paradise) with their Lord. And he will be their Wali(Helper and Protector) because of what they used to do.
128. And on the Day when He will gather them (all) together (and say): "O you assembly of jinns! Many did you mislead of men," And their Auliya' (friends and helpers, etc.) amongst men will say: "Our Lord! We benefited one from the other, but now we have reached our appointed term which You did appoint for us." He will say: "The Fire be Your dwelling-place, you will dwell therein forever, except as Allah may will. Certainly your Lord is All-Wise, All-Knowing."
129. And thus we do make the Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.) Auliya'(supporters and helpers) one to another (in committing crimes etc.), because of that which they used to earn.


คำแปล R2.
127. สำหรับพวกเขาคือ (สวรรค์อันเป็น) นครแห่งสันติของพวกเขาเองและพระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองพวกเขา เนื่องเพราะสิ่ง(ความดี)ที่พวกเขาได้ประพฤติไว้
128. และ(จงระลึกถึง)วัน(ชาติหน้า)ซึ่งพระองค์ทรงรวมพวกเขาทั้งสิ้น(ในสถานที่ชุมนุมเดียวกันพร้อมกับ)ทรงตรัสว่า “โอ้ญิน(มารร้าย)ทั้งหลาย พวกเจ้าได้ล่อลวงมนุษย์ไปเป็นจำนวนมาก” และบรรดามนุษย์ผู้เป็นแนวร่วมของพวกมันก็กล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาลของเรา! พวกเรา(ทั้งมารร้ายและมนุษย์ที่เป็นแนวร่วม)ต่างก็แสวงประโยชน์จากกันและกัน(โดยต่างมีความสุขจากการฝ่าฝืนบทบัญญัติของพระเจ้าเหมือน ๆ กัน)และพวกเราได้บรรลุสู่การเวลาของพวกเรา ซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดเอาไว้(นั่นคือวันกิยามะฮฺ)” อัลเลาะฮฺทรงดำรัสว่า “นรกคือที่อยู่ของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องเข้าอยู่ในนั้นโดยนิรันดร์ นอกจากสิ่งที่อัลเลาะฮฺทรงประสงค์” แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้านั้นทรงปรีชาญาณยิ่ง อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
129. และเช่นนั้น ที่เราจัดการแก่บรรดาผู้ฉ้อฉลให้เป็นมิตรสนิทซึ่งกันและกัน เนื่องเพราะสิ่งที่พวกเขาได้เคยพากเพียรไว้(อันเป็นประโยชน์ร่วมกันและอุดมการณ์เดียวกัน)


คำแปล R3.
127. สำหรับพวกเขาคือที่พักพิงอันสันติกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา และพระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของพวกเขาเนื่องจากความดีที่พวกเขากระทำ
128. และในวันที่พระองค์จะทรงรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน(พระองค์จะทรงกล่าวกับพวกญินว่า) “ชุมชนแห่งญินเอ๋ยสูเจ้าได้เอามนุษย์ส่วนมากไปใช้ประโยชน์แล้ว” และเพื่อน ๆ ของพวกมันจากหมู่มนุษย์กล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา บางคนของพวกเราก็ได้เอาพวกเขามาใช้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน และตอนนี้เราได้มาถึงวาระกำหนดที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้สำหรับเราแล้ว” พระองค์ตรัสว่า “ไฟคือที่พำนักของสูเจ้าที่สูเจ้าจะพำนักอยู่ในนั้น” เว้นแต่ที่อัลลอฮิทรงประสงค์ แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้
129. และในทำนองนี้เอง เราได้ทำให้ผู้อธรรมบางคนเป็นเพื่อนกับอีกบางคน(ในโลกหน้า) เพราะสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้(ในโลกด้วยการร่วมมือซึ่งกันและกัน)


คำแปล R4.
127. สำหรับพวกเขานั้น คือนิวาสแห่งความปลอดภัย ในพระผู้เป็นเจ้าจองพวกเขา และขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงเป็นผู้คุ้มครองพวกเขาด้วยเนื่องจากสิ่งที่พวกเขากระทำ
128. และวันที่พระองค์จะทรงชุมชนพวกเขาไว้ทั้งหมด (โดยตรัสขึ้นว่า) หมู่ญิณทั้งหลาย ! แท้จริงพวกเจ้าได้กระทำแก่พวกมนุษย์มากมายและบรรดาสหายของพวกเขาจนหมู่มนุษย์ได้กล่าวว่าข้าแด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งพวกข้าพระองค์บางส่วนของพวกข้าพระองค์นั้นได้รับประโยชน์ด้วยอีกบางส่วน และพวกข้าพระองค์ก็ได้ถึงแล้วซึ่งกำหนดเวลาของพวกข้าพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แก่พวกข้าพระองค์ พระองค์ตรัสว่านรกนั้นคอที่อยู่ของพวกเจ้า โดยที่จะเป็นผู้อยู่ในนั้นตลอดกาลนอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงรอบรู้
129. ในทำนองนั้นแหละเราจะให้บางส่วนของผู้อธรรมทั้งหลายเป็นสหายกับอีกบางส่วนเนื่องจากสิ่งที่พวกเขาขวนขวายกัน


คำแปล R5.
๑๒๗. สำหรับพวกเหล่านั้น ที่รู้จักระลึกนึกเกรงกลัวคำตักเตือนย่อมได้รับสถานสันติภาพคือสรวงสวรรค์จากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขาที่ได้ทรงตระเตรียมไว้แล้ว พระองค์ทรงเป็นองค์อภิบาลของพวกเหล่านั้น ทั้งนี้ในฐานะที่พวกเหล่านั้นได้เคยปฏิบัติกรรมดีกันไว้
๑๒๘. และโอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่ปวงประชากรของเจ้า ณ วันหนึ่งคือวันสิ้นโลก เรา(อัลเลาะห์) จะไล่พวกเหล่านั้นทั้งที่เป็นมนุษย์และยิน ทั้งที่เป็นมุอ์มินและกาฟิรไปรวมพร้อมหน้ากัน แล้วพวกยินที่ชั่วเลวจะถูกกล่าวว่า โอ้ชุมนุมยิน พวกเจ้าก็ได้ล่อมวลมนุษย์มามากต่อมากแล้วฝ่ายมนุษย์บางคนผู้เป็นสหายที่ยอมปฏิบัติตามบัญชาใช้ของพวกยินเหล่านั้นก็ตอบว่าโอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งบรรดาข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็เคยได้รับประโยชน์จากกันและกัน คือว่ามนุษย์บางคนได้รับผลประโยชน์จากพวกยินที่มันพยายามให้พวกมนุษย์เห็นกิเลสเป็นการดีงาม ส่วนพวกยินนั้นเล่าก็ได้รับประโยชน์จากพวกมนุษย์ในด้านที่มนุษย์ยอมทำตามคำบัญชาใช้ของพวกยินนั้น แต่มนุษย์ยังเอ่ยแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจอีกว่า บรรดาข้าพระองค์นี้ได้เข้าสู่วาระแห่งวันกิยามะห์ที่พระองค์ได้ทรงกำหนดให้แก่บรรดาข้าพระองค์เสียแล้วพระองค์จึงได้ตรัสใช้มวล มลาอิกะห์ให้ประกาศว่า นรกคือที่พักอาศัยของพวกเจ้าที่ต้องสถิตอยู่ในนั้นอย่างถาวร เว้นไว้เพียงชั่วระยะเวลาเฉพาะที่อัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์จะให้พวกเจ้าได้มีโอกาสออกมาดื่มน้ำร้อนที่เตรียมไว้นอกขุมนรกเท่านั้น เมื่อดื่มเสร็จแล้วพวกเจ้าก็ต้องกลับคืนเข้าสู่นรกตามเดิม โอ้มุฮำมัด แท้จริงองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้านั้นทรงประณีตยิ่งในกิจทั้งปวงของพระองค์ ทรงรู้ยิ่งถึงบรรดาข้าของพระองค์
๑ ๒๙. และในทำนองเดียวกับที่เราได้ละเลยปล่อยให้พวกมนุษย์และยินที่ชั่ว ๆ ได้มีความภูมิใจซึ่งกันและกันโดยมนุษย์ภูมิใจด้วยการหลอกลวงของยินและพวกยินก็ภูมิใจที่มนุษย์ตามคำหลอกลวงของมันนี้เอง เราจึงได้ให้ผู้คดโกงทั้งมนุษย์และยินบางพวกมีอำนาจปกครองอีกพวกหนึ่งได้ ในฐานะที่พวกนั้นอุตส่าห์พยายามปฏิบัติชั่วช้ากันมา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:50 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 130 - 134


คำแปล R1.
130. O you assembly of jinns and mankind! "Did not there come to you Messengers from amongst you, reciting unto you my Verses and warning you of the Meeting of this Day of yours?" they will say: "We bear witness against ourselves." it was the life of this world that deceived them. And they will bear witness against themselves that they were disbelievers.
131. This is because your Lord would not destroy the (populations of) towns for their wrong-doing (i.e. associating others in worship along with Allah) while their people were unaware (so the Messengers were sent).
132. For all there will be degrees (or ranks) according to what they did. And your Lord is not unaware of what they do.
133. And your Lord is rich (Free of all wants), full of Mercy, if He will, He can destroy you, and in your place make whom He will as your successors, as He raised you from the seed of other people.
134. Surely, that which you are promised will verily come to pass, and you cannot escape (from the punishment of Allah).


คำแปล R2.
130. โอ้มวลญินและมนุษย์ทั้งหลาย! บรรดาศาสนทูตจาก(ชาติพันธุ์ของ)พวกเจ้ามิได้มาถึงพวกเจ้าดอกหรือ พวก(ศาสนทูตเหล่า)นั้นทำการสาธยายโองการของข้าแก่พวกเจ้าและพวกเชาทำการตักเตือนพวกเจ้าให้รู้ถึงการพบกับวันนี้ของพวกเจ้า(คือวันกิยามะฮฺ)” พวกเขาทูลตอบว่า “เราขอเป็นพยานยืนยันให้แก่ตัวของเราเอง(ในความผิดที่เราได้กระทำไว้แต่อดีต)” และชีวิตทางโลกนี้ได้ล่อลวงเขา(ให้เขาเห็นผิดเป็นชอบ)และพวกเขาได้เป็นพยานยืนยันในความผิดของตัวพวกเขาเอง ว่าอันที่จริงพวกเขาเป็นผู้เนรคุณโดยแท้จริง
131. (การมาปรากฏตัวของศาสนทูต)นั้น เพราะองค์อภิบาลของเจ้าไม่เคยทำลายล้างแก่ชาวเมืองต่าง ๆ โดยความอธรรม โดยที่ชาวเมืองดังกล่าวเป็นผู้ลืมเลือน(หลักการศาสนาเพราะขาดศาสดาที่มาเผยแพร่ หากพระองค์จะทำลายล้างชุมชนใด ก็ต้องหลังจากส่งศาสนทูตลงมาแล้วและพวกเขาไม่ศรัทธา)
132. สำหรับทุก ๆ คน(ยกเว้นเด็กและคนวิกลจริต)นั้น ย่อมได้รับขั้นตอบแทนตาม(ความดี ความชั่ว) ที่พวกเขาได้กระทำกันไว้และองค์พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นมิได้ทรงละเลยพฤติกรรมที่พวกเหล่านั้นปฏิบัติกันเลย
133. และองค์อภิบาลของเจ้าผู้ทรงร่ำรวยอีกทั้งทรงเมตตา หากพระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็ย่อม(ทรงสิทธิที่จะ)ขจัพวกเจ้า(ด้วยการทำลายล้าง)และทรงให้การสืบทอดภายหลังจากพวกเจ้า(ถูกทำลายล้างไปแล้ว)แก่(กลุ่มชน)ที่พระองค์ทรงประสงค์ ประดุจเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากเผ่าพันธุ์ของกลุ่มชนอื่น ๆ
134. แท้จริงสิ่งที่พวกเจ้าสัญญาไว้นั้นจะต้องปรากฏอย่างแน่นอน โดยพวกเจ้าไม่สามารถจะพิชิต(ปัดป้อง)มันได้


คำแปล R3.
130. (ในโอกาสนั้น อัลลอฮฺจะถามด้วยว่า) “ชาวญินและมนุษย์เอ๋ย บรรดารอซูลจากหมู่สูเจ้ามิได้มายังสูเจ้าและบอกเล่าแก่สูเจ้าซึ่งอายะฮฺทั้งหลายของฉันและเตือนสำทับสูเจ้าถึงการพบกันในวันนี้ของสูเจ้ากระนั้นหรือ?” พวกเขากล่าวว่า “ใช่ เราเป็นพยานต่อตัวเราเอง” และชีวิตของโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขา และพวกเขาก็เป็นพยานต่อตัวพวกเขาว่าพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธหลักธรรม
131. (การเอาคำยืนยันเช่นนี้ก็เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า) นั่นเป็นเพราะพระผู้อภิบาลของเจ้าจะไม่ทรงทำลายบ้านเมืองใดอย่างไม่เป็นธรรมตราบที่ชาวเมืองนั้นยังไม่รู้
132. ระดับของทุกคน(สำหรับการตอบแทน)นั้นถูกกำหนดโดยสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ และพระผู้อภิบาลของเจ้ามิใช่ผู้ทรงเมินเฉยต่อที่พวกเขากระทำ
133. และพระผู้อภิบาลของสูเจ้าคือผู้ทรงมีอย่างเหลือหลาย ทรงเป็นเจ้าแห่งความเมตตาเสมอ หากพระองค์ทรงประสงค์ พระองค์จะทรงขจัดสูเจ้าและให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เข้ามาแทนสูเจ้า เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดสูเจ้ามาจากวงศ์วานของชนอื่น
134. แท้จริง สิ่งที่ถูกสัญญาไว้แก่สูเจ้านั้น ต้องมาอย่างแน่นอน และสูเจ้าจะไม่เป็นผู้รอดไปได้


คำแปล R4.
130. หมู่ญินและมนุษย์ทั้งหลาย! บรรดารอซูลจากพวกเจ้ามิได้มายังพวกเจ้าดอกหรือ? โดยที่พวกเขาจะบอกเล่าแก่พวกเจ้า ซึ่งบรรดาโองการของข้า และเตือนพวกเจ้า ซึ่งบรรดาโองการของข้า และเพื่อนพวกเจ้า ซึ่งการพบกับวันของพวกเจ้านี้ พวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ขอยืนยันแก่ตัวของพวกเข้าพระองค์เอง และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ได้หลอกลวงพวกเขาและพวกเขาก็ได้ยืนยันแก่ตัวของพวกเขาเองว่าแท้จริงพวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา
131. นั่นก็เพราะว่า พระเจ้าของเจ้านั้นมิเคยเป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลายด้วยความอธรรม โดยที่ชาวเมืองเหล่านั้นไม่รู้อะไร
132. และสำหรับแต่ละคนนั้นมีหลายระดับชั้น เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้และพระเจ้าของเจ้านั้นมิใช่เผลอไผลในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
133. และพระเจ้าของเจ้านั้นคือผู้ทรงมั่งมีผู้ทรงเอ็นดูเมตตา หากพระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็จะทรงให้พวกเจ้าหมดสิ้นไปและจะทรงให้สืบแทนจากพวกเจ้า ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ดังที่ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากลูหลานของกลุ่มชนอื่น
134. แท้จริงสิ่งที่พวกเจ้าถูกสัญญาไว้นั้นจะมาแน่นอน และพวกเจ้านั้นไม่สามารถที่จะรอดพ้นไปได้


คำแปล R5.
๑๓๐. โอ้ชุมนุมยินและมนุษย์ได้มีพวกศาสนทูตในหมู่ของพวกเจ้าทั้งฝ่ายยินและฝ่ายมนุษย์ มาถึงพวกเจ้า นำโองการต่าง ๆ ของข้ามาอ่านให้พวกเจ้าฟังและตักเตือนพวกเจ้าให้กลัวการเผชิญวัน สิ้นโลก ของพวกเจ้านี้ พวกเหล่านั้นจึงตอบว่าพวกเราขอยืนยันแก่ตนเองว่าได้มีทูตเหล่านั้นต่อพวกเรามาถึงพวกเราแล้ว แต่อัลเลาะห์ได้ตรัสแก่พวกนั้นว่า ชีวิตความเป็นอยู่ปัจจุบันนั้นมันลวงล่อพวกเหล่านั้นไว้ให้มองเห็นกิเลสเป็นสิ่งดีงาม พวกเหล่านั้นจึงมิได้ศรัทธา แล้วพวกเหล่านั้นยังได้อ้างยืนยันให้แก่ตนเองอีกว่า แท้จริงพวกตนนั้นเคยเป็นผู้ปฏิเสธเรื่องการแต่งตั้งศาสนทูตกันมาแล้ว
๑๓๑. โอ้มุฮำมัด การส่งพวกศาสนทูตลงมา นี้แหละ ใช่ว่าองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้าจะทรงทำลายชาวไร่ชาวนาของ ตำบลต่าง ๆ โดยไร้ความเป็นธรรมก้หาไม่ โดยที่ชาวชนแห่งตำบลนั้น ๆ ก็ถูกทอดทิ้งไม่มีศาสนทูตถูกส่งไปสั่งสอนศาสนาให้
๑๓๒. สำหรับทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็นเหล่ามนุษย์หรือยินที่อยู่ในเขตแห่งข้อบังคับ(มุกัลลัฟ) ยกเว้นเด็ก ๆ และผู้ที่วิกลจริต นั้นย่อมได้รับขั้นตอบแทนตามความดีความชั่ว ที่พวกเขาได้กระทำกันไว้ ฝ่ายอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นมิได้ทรงละเลยพฤติกรรมที่พวกเหล่านั้นปฏิบัติกันเลย แล้วพระองค์จะตอบสนองให้ตามพฤติกรรมนั้น
๑๓๓. อันว่าองค์พระผู้อภิบาลของเจ้านั้น คือองค์บริบูรณ์ยิ่งที่มิต้องพึ่งหวังอันใดจากสิ่งทั้งหลายที่ถูกพระองค์สร้าง ไม่ต้องการเคารพบูชาจากพวกเหล่านั้นรวมทั้งตัวของพวกเหล่านั้นด้วย ทรงเป็นองค์กรุณา กล่าวคือการที่พระองค์ทรงส่งพระศาสนทูตไปยังพวกข้าของพระองค์และการที่ข้าของพระองค์เหล่านั้นอยู่กันด้วยความสงบสุข ไม่ถูกทำลายล้างชาติพันธุ์นั้นก็นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งความกรุณาของพระองค์ประการหนึ่ง โอ้ปวงชนชาวมักกะห์ หากว่าพระองค์ทรงมุ่งประสงค์ที่จะทำลายล้างชาติพันธุ์ของพวกท่าน แล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงทำลายล้างพวกเจ้าให้หมดสิ้นไปได้ และจะทรงให้มีข้าของพระองค์ ผู้ที่พระองคืทรงประสงค์เข้ามาแทนพวกเจ้า หลังจากที่ถูกทำลายล้างลงแล้ว เหมือนอย่างที่พระองค์ได้เคยให้พวกเจ้าอุบัติขึ้นมาจากเชื้อสายของชนพวกอื่นที่ไม่ใช่พวกพ้องของพวกเจ้าที่ถูกอัลเลาะห์ให้ล่วงลับไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเหล่านี้ก็มิได้ทรยศแข็งข้อเหมือนอย่างพวกเจ้า พวกนี้มีแต่ความภักดี ตามคำบัญชาใช้และห้ามของพระองค์เสมอมา พวกที่ว่านี้ได้แก่ชาวเรือของพระนบีนูห์ตลอดจนบรรดาลูกหลานของพระนบีนูห์อีกหลายชั่วชั้นชนที่มีอยู่ในหลายทศวรรษต่อมาจนถึงสมัยพวกเจ้าปัจจุบัน ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงล้างชาติเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าให้สูญไป ทั้งนี้เนื่องจากว่าพระองค์ทรงมีความกรุณาต่อพวกเจ้าอยู่
๑๓๔. แท้จริงเรื่องราวของวันสิ้นโลกก็ดี เรื่องการลงโทษก็ดี ที่พวกเจ้ารับสัญญาไว้น้นย่อมมีขึ้นแน่ โดยพวกเจ้าไม่สามารถจะรอดพ้นจากการลงโทษทรมานจากเรา(อัลเลาะห์) ไปได้เลย ซึ่งโทษนั้นต้องตามทันพวกเจ้า อย่างไม่พักต้องสงสัย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:50 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 135 - 137


คำแปล R1.
135. Say (O Muhammad): "O my people! Work according to your way, surely, I too am working (in my way), and you will come to know for which of us will be the (happy) end in the Hereafter. Certainly the Zalimn (polytheists and wrong-doers, etc.) will not be successful."
136. And they assign to Allah a share of the tilth and cattle which He has created, and they say: "This is for Allah according to their pretending, and this is for our (Allah's so-called) partners." but the share of their (Allah's so-called) "partners" reaches not Allah, while the share of Allah reaches their (Allah's so-called) "partners"! Evil is the way they judge!
137. And so to many of the Mushrikun (polytheists - see V.2:105) their (Allah's so-called) "partners" have made fair-seeming the killing of their children, in order to lead them to their own destruction and cause confusion in their religion. And if Allah had willed they would not have done so. So leave them alone with their fabrications.


คำแปล R2.
135. จงประกาศเถิด ! “โอ้กลุ่มชนของฉัน(ผู้ไม่ยอมศรัทธา)พวกท่านจงประพฤติตามจุดยืนของพวกท่านเถิด แท้จริงตัวฉันเองก็ปฏิบัติ(อย่างจริงจังเพื่อป้องกันอิสลาม) แล้วต่อไปท่านทั้งหลายก็จะรู้ว่า ผู้ใดบ้างที่มีจุดจบที่มีความสุขในโลกหน้า แท้จริงบรรดาผู้ฉ้อฉลย่อมไม่สมหวังอย่างแน่นอน
136. และพวกเขาได้จัดการบางอย่างที่ผลิตผลมาจากไร่นาและปศุสัตว์ให้เป็นส่วนได้ของอัลเลาะฮฺ แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นสิทธิของอัลเลาะฮฺ ตามความเข้าใจของพวกเขา และสิ่งนี้เป็นของบรรดาภาคี(เทวรูป)แห่งเรา” จากนั้นสิ่งที่เป็นของบรรดาภาคีแห่งพวกเขา สิ่งนั้นก็ไม่ถึงไปยังอัลเลาะฮฺ และสิ่งที่เป็นของอัลเลาะฮฺก็จะไปถึงยังภาคีแห่งพวกเขา อันสิ่งที่พวกเขาตัดสินนั้นช่างเลวร้ายเหลือเกิน
137. และเช่นนั้น! บรรดาหัวหน้าของพวกที่ตั้งภาคีได้ทำให้ส่วนมากของพวกนั้นเห็นดีเห็นงามไปกับการฆ่าลูก ๆ ของพวกเขาเองเพื่อพวกนั้นจะได้ยังความหายนะแก่พวกเขาและเพื่อพวกนั้นจะได้ทำความสับสนแก่พวกเขาในศาสนาของพวกเขาเอง และมาดแม้นอัลเลาะฮฺทรงประสงค์ พวกเขาก็ไม่ทำการดังกล่าวอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าจงปล่อยพวกเขาไว้ให้อยู่กับสิ่งที่พวกเขาเสกสรรขึ้นเองเถิด


คำแปล R3.
135. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “หมู่ชนของฉันเอ๋ย พวกท่านจงทำไปตามทางของพวกท่านและฉันก็จะทำของฉันแล้วในไม่ช้าพวกท่านจะรู้ว่าผู้ใดจะประสบผลสำเร็จในท้ายที่สุด แท้จริงผู้อธรรมจะไม่ประสบผลสำเร็จ”
136. และพวกเขาได้มอบให้อัลลอฮฺส่วนหนึ่งจากที่พระองค์ได้ทรงให้งอกเงยขึ้นจากไร่นาและปศุสัตว์และพวกเขากล่าวว่า “นี่สำหรับอัลลอฮฺ” และ “ส่วนนี้สำหรับหุ้รส่วนย่อย ๆ ของเรา” แต่ที่เป็นของหุ้นส่วนย่อย ๆ ของพวกเขานั้นไม่ถึงอัลลอฮฺ แต่ที่เป็นของอัลลอฮฺนั้นกลับถึงหุ้นส่วนย่อย ๆ ของพวกเขา ชั่วช้าแท้ ๆ ที่พวกเขาตัดสิน
137. และในทำนองนั้น บรรดาผู้ที่พวกบูชาเทวรูปเชื่อว่ามีส่วนในการเป็นพระเจ้าร่วมกับอัลลอฮฺ ได้ทำให้การฆ่าลูก ๆ ของพวกเขาเป็นเรื่องดีต่อพวกเขา เพื่อทำให้พวกเขาพินาศ และทำให้พวกเขาสับสนในศาสนาของพวกเขา และถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ พวกเขาจะไม่กระทำมัน ดังนั้น จงปล่อยพวกเขาและที่พวกเขากล่าวเท็จไว้ตามลำพังเถิด


คำแปล R4.
135. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ประชาชาติของฉันทั้งหลาย! จงปฏิบัติตามสภาพของพวกท่านเถิด แท้จริงฉันก็จะเป็นผู้ปฏิบัติด้วยและพวกท่านจะได้รู้ว่าใครกัน บั้นปลายแห่งปรโลกจะเป็นของเขา แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่ได้รับความสำเร็จ
136. และพวกเขาได้ให้มีส่วนหนึ่งสำหรับอัลลอฮฺ ซึ่งสิ่งที่พระองค์ได้บังเกิดขึ้นอันได้แก่พืชและปศุสัตว์ โดยที่พวกเขากล่าวว่า นี้สำหรับอัลลอฮฺตามการอ้างของพวกเขา และนี้สำหรับบรรดาภาคีของพวกเรา แล้วส่วนที่เป็นของบรรดาภาคีแห่งพวกเขานั้นก็จะไม่ถึงอัลลอฮฺ แต่ส่วนที่เป็นของอัลลอฮฺนั้นจะถึงบรรดาภาคีของพวกเขา ช่างชั่วช้าแท้ ๆ สิ่งที่พวกเขาตัดสินกัน
137. และในทำนองนั้นแหละ บรรดาภาคีของพวกเขานั้น ได้ทำให้สวยงามแก่จำนวนมากมายในหมู่มุชริกีน ซึ่งการฆ่าลูก ๆ ของพวกเขาเพื่อที่จะทำลายพวกเขา และเพื่อที่จะให้สับสนแก่พวกเขา ซึ่งศาสนาของพวกเขา และแม้ว่าอัลลอฮฺประสงค์แล้ว พวกเขาย่อมไม่กระทำมัน เจ้าจงปล่อยพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จกันเถิด

 
คำแปล R5.
๑๓๕. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดแก่ชนชาวมักกะห์ว่า โอ้ปวงชนของฉันพวกท่านจงปฏิบัติการเป็นศัตรูและความไม่ศรัทธาไปตามใจของพวกท่านเถิด ฝ่ายตัวฉันก็จะปฏิบัติการเรื่องอิสลามและความอดทนไปตามใจชอบของฉัน อีกไม่ช้าหรอกพวกท่านจะได้รู้ว่าในระหว่างพวกเรากับพวกท่านนั้น ใครจะเป็นผู้ได้รับสรวงสวรรค์ สถานบั้นปลายในภพหน้า ซึ่งอัลเลาะห์ได้ทรงจดสร้างไว้อย่างสวยงามเป็นวาระสุดท้าย อันที่จริงแล้วบรรดาที่คดโกงคือพวกกาฟิรนั้นย่อมไม่ประเสริฐเลย
๑๓๖. และพวกเหล่านั้นที่เป็นชนชาวนครมักกะห์ยังได้ถือว่าเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์เสียส่วนหนึ่งจากสิ่งต่าง ๆ มีพืชไร่บ้าง ผลไม้บ้าง และปศุสัตว์ต่าง ๆ อันได้แก่ อูฐ วัว แพะ แกะ เป็นต้น ตลอดจนทรัพย์สมบัติอื่น ๆ บ้างที่พระองค์ได้ทรงสร้างมันขึ้นซึ่งพวกเหล่านั้นจะจับจ่ายใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ส่วนนี้ไปในทางเลี้ยงดูกันบ้าง แจกจ่ายผู้ยากไร้บ้าง แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่พวกเหล่านั้นถือว่าเป็นสิทธิ์ของเทวรูป บรรดาที่ถูกตั้งเป็นภาคีเทียบเท่าอัลเลาะห์ ส่วนนี้ถูกพวกนั้นจับจ่ายไปในด้านดูแลรักษากิจการที่เกี่ยวกับเทวรูปนั้น แล้วพวกเหล่านั้นก็เอ่ยขึ้นโดยสำคัญผิดว่านี้เป็นสิทธิส่วนอัลเลาะห์และ พวกเหล่านั้นก็เอ่ยขึ้นโดยสำคัญผิดว่า ส่วนนี้เป็นสิทธิของเทวรูปผู้เป็นภาคีฝ่ายเรา แต่นั่นแหละเมื่อมีสิ่งใดจากส่วนของเทวรูปตกไปอยู่ในส่วนของอัลเลาะห์ พวกนั้นก็เก็บเอาสิ่งนั้นไปรวมกับสิทธิของเทวรูป อย่างเดิม ครั้นเมื่อมีสิ่งใดที่เป็นส่วนของอัลเลาะห์ตกไปอยู่ในส่วนของเทวรูปพวกเหล่านั้นก็ปล่อยทิ้งไว้พลางกล่าวว่า อัลเลาะห์ทรงบริบูรณ์อยู่แล้ว ไม่ทรงปรารถนากับสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้นหรอก เหมือนดังอัลเลาะห์ตรัสไว้ว่า อะไรที่เป็นของพวกเทวรูปภาคีแห่งพวกนั้นเมื่อตกหล่นก็ไม่เห็นพวกนั้นจะเก็บไปเข้าเป็นของอัลเลาะห์ แต่อะไรที่เป็นสิทธิของอัลเลาะห์ เมื่อมันตกหล่นพวกเหล่านั้นก็จะเก็บไปเข้าเป็นสิทธิของพวกเทวรูปภาคีแห่งพวกตนที่พวกเหล่านั้นตัดสินนี้นับว่าเลวร้ายนัก
๑๓๗. ในทำนองเดียวกับพวกที่ยินได้ให้พวกมุชริกชาวมักกะห์ได้แลเห็นว่าการหุ้นส่วนในการปันทรัพย์เป็นของอัลเลาะห์เสียส่วนหนึ่งและเป็นของเทวรูปเสียอีกส่วนหนึ่งเป็นสิ่งงดงามนี้เอง ยินพวกเป็นภาคีเหล่านั้นจึงได้ล่อใจให้ชนมุชริกส่วนมากเห็นว่าการฆ่าลูก ๆ ของพวกตนโดยการนำไปฝังทั้งเป็น เป็นการงดงาม เพื่อว่าพวกมัน(ยิน) จะทำลายล้างพวกมุชริกนั้น และเพื่อให้พวกมุชริกเหล่านั้นเกิดความเคลือบแคลงในศาสนาของพวกตนที่กำลังนับถืออยู่ซึ่งเดิมพวกเหล่านั้นนับถือศาสนาอิสมาอีลและศาสนาอิบรอฮีม พวกเหล่านั้นต้องเปลี่ยนใจผินจากศาสนานั้น ๆ เสีย เพราะถูกพวกไชตอนบรรจุความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับศาสนาเข้าสู่จิตใจของพวกนั้น และถ้าอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์ที่จะมิให้พวกมุชริกมักกะห์ส่วนมากเข่นฆ่าลูก ๆ ของตน และมิให้ถูกพวกไชตอนบรรจุความเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องของศาสนาเข้าสู่จิตใจแล้วไซร้ พวกเหล่านั้นก็จะไม่กระทำการดังกล่าวนั้น โอ้มุฮำมัด เจ้าจงเลิกเอาธุระกับพวกนั้นและถ้อยคำใด ๆ ที่พวกเหล่านั้นปั้นเท็จเสียเถิด


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:49 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 138 - 140


คำแปล R1.
138. And according to their pretending, they say that such and such cattle and crops are forbidden, and none should eat of them except those whom we allow. And (they say) there are cattle forbidden to be used for burden or any other work, and cattle on which (at slaughtering) the name of Allah is not pronounced; lying against Him (Allah). He will recompense them for what they used to fabricate.
139. And they say: "What is in the bellies of such and such cattle (milk or foetus) is for our males alone, and forbidden to our females (girls and women), but if it is born dead, then all have shares therein." He will punish them for their attribution (of such false orders to Allah). Verily, He is All-Wise, All-Knower. (Tafsir At-Tabari, Vol. 8, Page 49).
140. Indeed lost are they who have killed their children, from folly, without knowledge, and have forbidden that which Allah has provided for them, inventing a lie against Allah. They have indeed gone astray and were not guided.


คำแปล R2.
138. และพวกเขาได้กล่าวอีกว่า “เหล่านี้เป็นปศุสัตว์และเป็นพืชไร่ที่ถูกห้าม ซึ่งไม่บริโภคแก่มันเลย นอกจากบุคคลที่เราประสงค์เท่านั้น(ได้แก่พวกที่คอยรับใช้เทวรูป)” ตามความคิดของเขาและ(อีกประการหนึ่ง)บรรดาปศุสัตว์(บางชนิดที่ถูกนำมาปล่อยเพื่อบูชาเทวรูป)ถูกห้ามหลังของมัน(ที่จะนำมาขี่)และบรรดาปศุสัตว์(บางชนิด)พวกเขาจะไม่เอ่ยนามของอัลเลาะฮฺบนมัน(ขณะทำการเชือด แต่พวกเขาจะเอ่ยนามของเทวรูปต่าง ๆ แทน) (พืธีกรรมที่กล่าวมาแล้วนั้นพวกเขาได้ดำเนิการ)โดยเสกสรรขึ้นแก่อัลเลาะฮฺ(ว่าพระองค์ทรงกำหนดทั้ง ๆ ที่ม่เกี่ยวกันเลย) พวกเขาได้หลงทางไปแล้วโดยแท้จริง พระองค์จะ(ลงโทษเป็นการ)ตอบแทนพวกเขาตามที่พวกเขาได้เคยเสกสรรขึ้นอย่างแน่นอน
139. และพวกเขากล่าวว่า”อันสิ่งที่ปรากฏในท้องของปศุสัตว์เหล่านี้เป็นสิ่งจำเพาะ(ที่อนุมัติให้)แก่คนผู้ชายของเราและถูกห้ามแก่คนผู้หญิงของเรา แต่ถ้าสิ่งนั้น(สัตว์ซึ่งลูกในท้องเกิดมา)ตายพวกเขาก็มีสิทธิร่วมในสิ่งนั้น(ทั้งหญิงและชายอนุมัติให้รับประทานทั้งสองเพศ) พระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาตามที่พวกเขาได้กำหนด(กฎเกณฑ์ขึ้นอันเกี่ยวกับสิ่งที่อนุมัติและสิ่งต้องห้ามตามที่กล่าวมา)แท้จริงพระองค์ทรงปรีชายิ่งอีกทั้งรอบรู้ยิ่ง
140. แท้จริงเป็นความขาดทุนสำหรับบรรดาผู้ที่ฆ่าลูกของตนเองโดยความโง่เขลา อีกทั้งปราศจากความรู้ และ(เป็นความขาดทุนอีก ที่)พวกนั้นได้บัญญัติข้อห้ามนี้ขึ้นแก่สิ่งที่อัลเลาะฮฺได้ทรงประทานเป็นโชคผลแก่พวกเขา เป็นการกุเรื่องเท็จแก่อัลเลาะฮฺแท้จริงพวกเขาหลงทาง และพวกเขาไม่ได้รับการชี้นำเลย


คำแปล R3.
138. และพวกเขากล่าวว่าปศุสัตว์และพืชผลเหล่านี้เป็นที่ถูกสงวนไว้ ไม่มีใครบริโภคมันได้ เว้นแต่ผู้ที่เราเห็นด้วย (ความจริงแล้วนี่เป็นข้อจำกัดที่พวกเขากำหนดขึ้นเอง) และยังมีสัตว์บางชนิดที่ถูกห้ามขี่และบรรทุก และมีปศุสัตว์ที่พวกเขาไม่เอ่ยนามของอัลลอฮฺเวลาเชือด พวกเขากล่าวเท็จว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระองค์ ในไม่ช้าพระองค์จะทรงตอบแทนตามที่พวกเขาได้กล่าวร้าย
139. และพวกเขากล่าวว่า “ที่อยู่ในท้องของปศุสัตว์นี้ถูกสงวนไว้สำหรับผู้ชายของเราโดยเฉพาะและเป็นที่ต้องห้ามแก่ภรรยาของเรา แต่ถ้ามันตายทั้งสองฝ่ายก็มีส่วนในมัน” แน่นอน อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนพวกเขาสำหรับสิ่งที่พวกเขาแอบอ้าง แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณและผู้ทรงรอบรู้
140. แน่นอนพวกเขาเหล่านั้นขาดทุนที่ได้ฆ่าลูก ๆ ของพวกเขาอย่างโง่เขลาโดยไม่มีความรู้และห้ามในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้แก่พวกเขาเป็นเครื่องยังชีพ แล้วยังกล่าวเท็จอีกว่าการห้ามนี้มาจากอัลลอฮฺ แท้จริงแล้ว พวกเขาหลงทาง และพวกเขามิได้ถูกนำทาง


คำแปล R4.
138. และพวกเขากล่าว่า นี้คือปศุสัตว์และพืชผลที่หวงห้ามไว้ ซึ่งไม่มีใครจะบริโภคมันได้นอกจากผู้ที่เราประสงค์เท่านั้น ด้วยการอ้างของพวกเขา และปศุสัตว์ที่หลังของมันถูกห้ามและปศุสัตว์ ที่พวกเขาจะไม่กล่าวพระนามอัลลอฮฺบนมัน ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์ความเท็จแก่พระองค์ ซึ่งพระองค์จะทรงตอบแทนลงโทษพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ความเท็จขึ้น
139. และพวกเขากล่าวว่า สิ่งที่อยู่ในท้องของปศุสัตว์เหล่านั้น เฉพาะบรรดาผู้ชายของเราเท่านั้น และเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแก่บรรดาภรรยาของเรา และหากว่ามันตาย พวกเขาก็เป็นผู้มีหุ้นส่วนในมัน และพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา ในการที่เขาได้กำหนดลักษณะไว้แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้
140. แท้จริงได้ขาดทุนแล้ว บรรดาผู้ที่ฆ่าลูก ๆ ของพวกเขาเพราะความโง่เขลาโดยปราศจากความรู้ และให้เป็นที่ต้องห้ามในสิ่งที่อัลลอฮฺให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮฺ แท้จริงนั้นพวกเขาหลงผิดไปและพวกเขาไม่เคยได้รับคำแนะนำ


คำแปล R5.
๑๓๘. และพวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรชาวมักกะห์กล่าวขึ้นตามความเข้าใจผิดว่าเหล่านี้ซึ่งเป็นสมบัติส่วนหนึ่งของเทวรูปก็คือปศุสัตว์อันมีอูฐ วัว ควาย แพะ และ แกะ และพืชผลตลอดจนทรัพย์สินที่หวงห้ามผู้ใดจะบริโภคมันเข้าไปมิได้เว้นแต่ผู้ที่เป็นคนรับใช้พวกเทวรูป และบรรดาชายที่ปั้นเท็จได้เก่งอย่างไร้หลักฐานที่ฟังขึ้นตามที่พวกเราปรารถนาเท่านั้นและอีกแผนกหนึ่งได้แก่ปศุสัตว์อันมีอูฐบะฮีเราะห์ คือแม่อูฐที่นมของมันถูกหวงไว้สำหรับสังเวยเทวรูป อูฐซาอิบะห์ คืออูฐตัวเมียที่ถูกปล่อยไว้ถวายเทวรูป อูฐวซีละห์ คือแม่อูฐที่มีลูกเป็นตัวเมียสามตัวลำดับกัน แล้วแม่อูฐนั้นถูกถวายเทวรูป และอูฐฮามได้แก่อูฐมราทับตัวเมียแล้วถึงห้าครั้งแล้วถูกนำถวายเทวรูป ซึ่งอูฐทั้งสี่อย่างที่ถูกกล่าวถึงนี้ถูกห้ามมิให้ขี่หลังของมัน และปศุสัตว์ที่พวกเหล่านั้นไม่ยอมออกพระนามของอัลเลาะห์ในขณะเชือดมันเลย เพราะไม่สบอารมณ์ของพวกนั้น แต่พวกเหล่านั้นจะเอ่ยนามของเทวรูปเมื่อจะทำการเชือดสัตว์นั้น การแผนกปศุสัตว์ที่เป็นส่วนของเทวรูปเป็นสาม คือ เป็นของห้ามบริโภคหนึ่ง ห้ามขับขี่หนึ่ง และห้ามเอ่ยพระนามของอัลเลาะห์อีกหนึ่งนั้น ป็นการแอบอ้างเท็จไปยังพระองค์ ไม่ช้าหรอกพระองค์จะทรงตอบสนองแก่พวกเหล่านั้นในฐานะที่ได้พยายามแอบอ้างเท็จยังพระองค์


๑๓๙. และพวกเหล่านั้นยังกล่าวอีกว่า ลูกในท้องของปศุสัตว์เหล่านี้ที่เป็นอูฐบะฮีเราะห์ก็ดี ซึ่งถ้าคลอดมามีชีวิตบริสุทธิ์สำหรับผู้ชายของเราที่จะบริโภคมัน แต่ถูกห้ามบริโภคสำหรับผู้หญิงของเรา ถ้าลูกอูฐนั้นตลอดแล้วมันตาย พวกเหล่านั้นทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็มีสิทธิ์ร่วมกันในการบริโภคลูกสัตว์นั้น ต่อไปพระองค์จะทรงสนองผลการสาธยายคำตัดสินของพวกเหล่านั้นแก่พวกเหล่านั้นที่เกี่ยวกับพืชพันธุ์ ปศุสัตว์และลูกของมันว่าบริโภคแล้วบาปบ้าง ไม่บาปบ้าง แท้จริงพระองค์นั้นคือองค์ทรงประณีตยิ่งในกิจทั้งหลายทั้งปวงของพระองค์ ทรงรู้ยิ่งในเหล่าข้าทั้งหลายของพระองค์
๑๔๐. อันที่จริงบรรดาชนที่ฆ่าลูก ๆ ของตนเองโดยการฝังทั้งเป็นด้วยความโง่เง่าไม่รู้อะไรทั้งยังได้ถือว่าสิ่งทั้งปวงที่กล่าวแล้วในเรื่องพืชพันธุ์และปศุสัตว์ที่อัลเลาะห์ได้ประทานให้ไว้เป็นบาป อันเป็นการป้ายความเท็จถึงอัลเลาะห์นั้นย่อมได้รับความขาดทุน ย่อมหลงโง่งมห่างเหจากหนทางเที่ยงแท้แน่ทีเดียว ทั้งพวกเหล่านั้นย่อมไม่ได้รับหนทางเที่ยงธรรมให้เข้าไปสู่ความจริงอีกด้วย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:49 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 141 - 144


คำแปล R1.
141. And it is He who produces gardens trellised and untrellised, and date-palms, and crops of different shape and taste (its fruits and its seeds) and olives, and pomegranates, similar (in kind) and different (in taste). Eat of their fruit when they ripen, but pay the due thereof (its Zakat, according to Allah's orders 1/10th or 1/20th) on the day of its harvest, and waste not by extravagance . Verily, He likes not Al-Musrifun (those who waste by extravagance),
142. And of the cattle (are some) for burden (like camels etc.) and (some are) small (unable to carry burden like sheep, goats etc. for food, meat, milk, wool etc.). Eat of what Allah has provided for you, and follow not the footsteps of Shaitan (Satan). surely he is to you an open enemy.
143. Eight pairs; of the sheep two (male and female), and of the goats two (male and female). Say: "Has He forbidden the two males or the two females, or (the young) which the wombs of the two females enclose? Inform Me with knowledge if you are truthful."
144. And of the camels two (male and female), and of oxen two (male and female). Say: "Has He forbidden the two males or the two females or (the young) which the wombs of the two females enclose? Or were you present when Allah ordered you such a thing? Then who does more wrong than one who invents a lie against Allah, to lead mankind astray without knowledge. Certainly Allah guides not the people who are Zalimun (polytheists and wrongญdoers, etc.)."


คำแปล R2.
141. และพระองค์เป็นผู้ทรงบันดาลสวนต่าง ๆ (เพื่อพวกเจ้าทั้งหลาย)ซึ่งมีทั้งพันธุ์ไม้เลื้อย(เช่น แตงโม แตงกวา เป็นต้น) และมิใช่ไม้เลื้อย(แต่เป็นไม้ยืนต้น เช่น อินทผลัม องุ่น เป็นต้น)และ(ทรงบันดาล)ต้นอินทผลัมและพืชอื่นที่ผลของมันแตกต่างกัน รวมทั้งผลไซตูนและทับทิม มีทั้งที่ลักษณะคล้ายคลึงกัน(ได้แก่สีและใบ)และไม่คล้ายคลึงกัน(ได้แก่รสของมัน)เจ้าทั้งหลายจงบริโภคเถิดจากผลของมันเมื่อมันให้ผลผลิตและเจ้าทั้งหลายจงมอบสิทธิ์ของมัน(ตามศาสนากำหนดไว้ คือซากาต)ในวันเก็บเกี่ยวมันและเจ้าทั้งหลายอย่าฟุ่มเฟือย(ในการบริโภคและใช้จ่าย) แท้จริงพระองค์ไม่ทรงรักบรรดาผู้ฟุ่มเฟือย
142. และปศุสัตว์บางชนิดเป็นปศุสัตว์บรรทุก(เช่นอูฐ) และ(บางชนิด)เป็นสัตว์บริโภค(แต่บรรทุกไม่ได้ เช่นแพะ) พวกเจ้าจงบริโภคเถิดบางสิ่งที่อัลเลาะฮฺได้ทรงประทานแก่พวกเจ้า และเจ้าอย่าได้คล้อยตามก้าวเดินของมาร เพราะแท้จริงมันเป็นศัตรูอันเด่นชัดของพวกเจ้า
143. (ปศุสัตว์นั้นมี)สัตว์คูแปดตัว(ซึ่งพวกโง่เขลาเหล่านั้นกล่าวว่าอัลเลาะฮฺห้ามบางอย่าง) นั่นคือแกะสองตัว (ตัวผู้-ตัวเมีย), แพะสองตัว (ตัวผู้-ตัวเมีย) เจ้าจงถามพวกเขาเถิดว่า “พระองค์ทรงบัญญัติห้ามตัวผู้ทั้งสองหรือว่าตัวเมียทั้งสอง หรือว่าลูกสัตว์ที่ยังอุ้มท้องอยู่โดยมดลูกของสัตว์ตัวเมียทั้งสอง? พวกท่านจงแจ้งแก่ฉันโดยความรู้จริงซิ หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
144. และจากอูฐสองตัว จากวัวสองตัว(ที่เป็นคู่ตัวผู้-ตัวเมีย)เจ้าจงถามพวกเขาซิว่า “อัลเลาะฮฺได้บัญญัติห้ามตัวผู้ทั้งสองหรือตัวเมียทั้งสอง หรือลูกในท้องที่มดลูกของสัตว์ตัวเมีย้ะงสองอุ้มอยู่? หรือว่าพวกเจ้าเป็นสักขีพยานได้ขณะเมื่ออัลเลาะฮฺได้ทรงมีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้? “แล้วใครเล่าที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าบุคคลที่เสกสรรความเท็จแก่อัลเลาะฮฺ เพื่อเขาสร้างความหลงผิดแก่มนุษย์โดยปราศจากความรู้ แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่อธรรม


คำแปล R3.
141. และพระองค์เท่านั้นคือผู้ทรงให้งอกเงยขึ้น ซึ่งส่วนต่าง ๆ แห่งพันธุ์ไม้เลื้อยและไม้ยืนต้น รวมทั้งต้นอินทผลัมและไร่นาที่ออกผลชนิดต่าง ๆ และต้นมะกอก และต้นทับทิม และที่ละม้ายกันและที่ไม่ละม้สยกัน จงบริโภคผลของมันเมื่อมันออกผลและจงจ่ายส่วนของมันในวันเก็บเกี่ยว และจงอย่าสุรุ่ยสุร่าย แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงรักผู้สุรุ่ยสุร่าย
142. และในหมู่ปศุสัตว์นั้นมีที่ใช้สำหรับบรรทุกหรือขี่และสัตว์ที่ใช้สำหรับกินเนื้อและใช้หนังทำที่ปูนอน ดังนั้นจงบริโภคที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้แก่เจ้าเป็นเครื่องยังชีพและจงอย่าปฏิบัติตามรอยเท้าของมาร แท้จริงมันเป็นศัตรูที่เปิดเผยของสูเจ้า
143. นี่คือสัตว์แปดประเภททั้งตัวผู้และตัวเมียเป็นคู่กัน เอาแกะคู่หนึ่งและแพะคู่หนึ่งมาแล้วถามพวกเขาว่า “ตัวผู้ทั้งสองหรือตัวเมียทั้งสองหรือตัวอ่อนที่ยังอยู่ในมดลูกของตัวเมียทั้งสองที่พระองค์ทรงห้ามพวกท่าน? จงบอกแก่ฉันด้วยความรู้ถ้าพวกท่านสัตย์จริง”
144. และในทำนองเดียวกัน จงเอาอูฐคู่หนึ่งและวัวคู่หนึ่งมาและถามพวกเขาว่า “ตัวผู้ทั้งสองหรือตัวเมียทั้งสองหรือตัวอ่อนที่อยู่ในมดลูกของตัวเมียทั้งสองที่พระองค์ทรงห้ามพวกท่าน?” สูเจ้าอยู่ที่นั่นหรือเปล่าเมื่ออัลลอฮฺทรงบัญชาเรื่องนี้แก่สูเจ้า? (ถ้าไม่)ใครเล่าที่ชั่วยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺเพื่อทำให้มนุษย์หลงโดยไม่มีความรู้? แท้จริงอัลลอฮฺมิทรงนำทางหมู่ชนผู้อธรรม


คำแปล R4.
141. และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้มีขึ้น ซึ่งสวนทั้งหลายทั้งที่ถูกให้มีร้านขึ้นและไม่ถูกให้มีร้านขึ้น และต้นอินทผลัมและพืช โดยที่ผลของมันต่าง ๆ กัน และต้นซัยตูน และต้นทับทิม โดยที่มีความละม้ายคล้ายกัน และไม่ละม้ายคล้ายกัน จงบริโภคจากผลของมันเถิดเมื่อออกผล และจงจ่ายส่วนอันเป็นสิทธิในมันด้วย ในวันแห่งการเก็บเกี่ยวมัน และจงอย่าฟุ่มเฟือย แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบผู้ฟุ่มเฟือยทั้งหลาย
142. และหลังจากหมู่ปศุสัตว์นั้น (ได้ทรงให้มี)ที่ใช้บรรทุกและเชือด จงบริโภคจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้เาถิดและจงอย่าตามก้าวเดินของชัยฏอน แท้จริงมันคือศัตรูอันชัดแจ้งของพวกเจ้า
143. และ(ได้ทรงให้มี) สัตว์แปดตัวเป็นคู่ ๆ คือจากแกะสองตัว และจากแพะสองตัว จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า ตัวผู้สองตัวนั้นหรือที่พระองค์ทรงห้าม หรือว่าตัวเมียสองตัวนั้น หรือว่าที่มดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้ พวกท่านจงแจ้งให้ฉันทราบด้วยความรู้อันใดอันหนึ่ง หากพวกท่านพูดจริง
144. และจากอูฐสองตัว และจากวัวสองตัวจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า ตัวผู้สองตัวนั้นกระนั้นหรือที่พระองค์ทรงห้ามหรือว่าตัวเมียทั้งสองนั้นหรือที่มดลูกของตัวเมียทั้งสองนั้นได้คุ้มครองรักษาไว้ หรือว่าพวกท่านร่วมอยู่ ขณะที่อัลลอฮฺได้ทรงรับสั่งแก่พวกท่านด้วยสิ่งนี้ ก็ใครเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่ได้อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮฺเพื่อจะทำให้มนุษย์หลงผิด โดยไม่มีความรู้ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม


คำแปล R5.
๑๔๑. พระองค์คือพระผู้ทรงให้บังเกิดเรือกสวนไม้เลื้อยอันมีแตงโมและแตงกวาเป็นต้น และไม้ยืนต้น เช่น ต้นอินทผลัมและทรงให้บังเกิดต้นอินทผลัม ตลอดจนพืชพันธุ์ อันผลและเมล็ดของมันต่างชนิดกัน มีรูปสัณฐานและรสชาติต่างกันและยังทรงให้บังเกิดต้นไซตูนกับต้นทับทิมซึ่งส่วนที่คล้ายคลึงกันก็มี เช่น ใบของมัน และที่ไม่คล้ายคลึงกันก็มี เช่นรสชาติของมัน พวกเจ้าจงบริโภคผลของมันทุก ๆ ชนิดที่กล่าวก่อนจากผลนั้นจะสุกห่ามเถิดในเมื่อมันได้ผลิผลแล้ว ทั้งนี้เพราะหลังจากที่ได้สุกห่ามแล้ว ย่อมถือว่าเป็นข้อห้ามที่จะบริโภคมัน เพราะสภาพของผลไม้ในระยะนี้มีเรื่องซะกาตเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องแล้ว โปรดดูรายละเอียดเรื่องพืชผลในคัมภีร์ฟิกห์ที่กล่าวพิสดารกว่านี้  ทั้งพวกเจ้าจงจำหน่ายออกซึ่งส่วนหนึ่งของมันเป็นซะกาตในอัตราหนึ่งในสิบ หรือหนึ่งในยี่สิบของปริมาณพืชผลของมันทั้งสิ้นในวันเก็บผล แต่พวกเจ้าอย่าได้สุรุ่ยสุร่ายเอาพืชผลนั้นไปทำทานเสียจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือเผื่อไว้สำหรับครอบครัวเลย ด้วยว่าพระองค์นั้นจะไม่ทรงโปรดปราณีพวกที่สุรุ่ยสุร่าย เกินขอบเขตที่ทรงกำหนดไว้
๑๔๒. และส่วนหนึ่งจากเหล่าปศุสัตว์นั้นพระองค์ทรงจัดให้เป็นที่บรรทุกสัมภาระบ้าง เช่น อูฐตัวโต ๆ และที่ตัวยังเล็กอยู่ เช่น ลูกอูฐ แพะ และแกะเป็นต้น ซึ่งไม่เหมาะแก่การใช้เป็นสัตว์บรรทุกสัมภาระ พระองค์ก็ทรงจัดไว้เป็นสัตว์เลี้ยงไว้กินเนื้อบ้าง พวกเจ้าจงบริโภคสัตว์ที่อัลเลาะห์ได้ประทานเพื่อเป็นอาหารไว้แก่พวกเจ้าเถิด แต่จงอย่าเจริญรอยตามหนทางของไชตอนอันเป็นทางละเมิดตัดสินอนุญาตว่าเป็นของต้องห้ามและของต้องห้ามว่าเป็นของอนุญาตเหมือนอย่างพวกกาฟิรได้ตัดสินไว้ดังกล่าวแล้ว เพราะไชตอนนั้นมันคือศัตรูสำหรับพวกเจ้าอย่างชัดแจ้งทีเดียว
๑๔๓. คือสัตว์ที่ตัวโตและตัวเล็กที่ใช้ประดังที่ว่านั้นทั้งแปดจัดเป็นคู่ ๆ สี่คู่ แต่ละคู่มีตัวผู้กับตัวเมีย จากแพะคู่หนึ่งและแกะอีกคู่หนึ่ง โอ้มุฮำมัด เจ้าจงบอกกับผู้ที่แอบอ้างหาว่าบางครั้งอัลเลาะห์ทรงห้ามบริโภค แพะ แกะ ตัวผู้ และบางครั้งว่าทรงห้ามบริโภคแพะ แกะ ตัวเมียเถิดว่าพระองค์มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าบริโภคตัวผู้สองตัวจากแพะและแกะ หรือว่าตัวเมียสองตัวจากแพะและแกะหรือว่าลูกตัวผู้และตัวเมียในครรภ์ของแม่มันเลย แต่ความเป็นจริงนั้นอัลเลาะห์ทรงตัดสินไว้แล้วว่า สัตว์เหล่านั้นบริโภคได้ไม่เกิดบาปแต่อย่างไร พวกเจ้าจงบอกฉันตามที่รู้ซิว่า ข้อห้ามนั้นมีเหตุและที่มาเป็นอย่างไร หากว่าพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริงว่าการบริโภคสัตว์นั้นจะเกิดบาป และถ้าหากพวกท่านจะตอบฉันว่า ที่บาปนั้นเพราะมันเป็นสัตว์ตัวผู้ ฉะนั้นสัตว์ตัวผู้ทั้งหลายก็จะต้องบาปที่จะบริโภค แต่ถ้าพวกท่านตอบฉันว่าเพราะมันเป็นตัวเมีย ถ้าอย่างนั้นสัตว์ตัวเมียทั้งหลายก็ต้องบาปอยู่นั่นเองหากจะบริโภคมัน ถึงพวกท่านจะตอบว่าเพราะเหตุอยู่ในอุ้มครรภ์ของแม่มัน ฉะนั้นลูกสัตว์ตัวผู้ตัวเมียทั้งหมดก็เคยมีสภาพอย่างนั้นก็บริโภคไม่ได้เช่นเดียวกัน การที่พวกท่านจำกัดสัตว์ตัวผู้ตัวเมียหรือสัตว์ในครรภ์บริโภคบาปนั้นพวกท่านเอาเกณฑ์มาจากไหน
๑๔๔. สำหรับที่สามและที่สี่จากอูฐคู่หนึ่งกับวัวอีกคู่หนึ่ง โอ้มุฮำมัด เจ้าจงบอกแก่พวกนั้นเถิด พระองค์มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าบริโภคตัวผู้ทั้งสองจากอูฐและวัวหรือตัวเมียทั้งสองจากอูฐและวัวหรือตัวผู้ตัวเมียที่อยู่ในครรภ์ของแม่มัน ก็พวกท่านมิได้ปรากฏตัวกันอยู่ในตอนที่อัลเลาะห์ทรงตัดสินสั่งการเรื่องบริโภคสัตว์เหล่านี้ว่าเป็นบาปแก่พวกท่านเลย พวกท่านโกหกเรื่องนี้กันขึ้นเองต่างหาก จึงไม่มีผู้ใดคดโกงยิ่งกว่าผู้ที่อ้างเท็จถึงอัลเลาะห์ด้วยข้ออ้างอย่างไร้ภูมิรู้ว่าบาปที่จะบริโภคสัตว์เหล่านั้น เพื่อจะให้มวลมนุษย์หลงง่งม แท้จริงอัลเลาะห์จะไม่ทรงแนะหนทางเที่ยงธรรมไปสู่ความสัตย์จริงให้แก่เหล่าชนผู้คดโกงทั้งหลายเลย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:49 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 145 - 147


คำแปล R1.
145. Say (O Muhammad): "I find not in that which has been inspired to me anything forbidden to be eaten by one who wishes to eat it, unless it be Maytatah (a dead animal) or blood poured forth (by slaughtering or the like), or the flesh of swine (pork, etc.) for that surely is impure, or impious (unlawful) meat (of an animal) which is slaughtered as a sacrifice for others than Allah (or has been slaughtered for idols, etc., or on which Allah's Name has not been mentioned while slaughtering). But whosoever is forced by necessity without wilful disobedience, nor transgressing due limits, (for him) certainly, your Lord is Oft-Forgiving, Most Merciful."
146. And unto those who are Jews, we forbade every (animal) with undivided hoof, and we forbade them the fat of the ox and the sheep except what adheres to their backs or their entrails, or is mixed up with a bone. Thus we recompensed them for their rebellion [committing crimes like murdering the Prophets, eating of Riba (usury), etc.]. and verily, we are truthful.
147. If they (Jews) belie you (Muhammad) say you: "Your Lord is the owner of vast Mercy, and never will His wrath be turned back from the people who are Mujrimn (criminals, polytheists, sinners, etc.)."


คำแปล R2.
145. จงประกาศเถิด ! ฉันไม่พบเลยในบทบัญญัติที่ฉันได้รับการดล(จากอัลเลาะฮฺว่ามีสิ่งที่ถูกห้ามแก่ผู้ต้องการบริโภคจะพึงบริโภคสิ่งนั้น นอกจาก(ที่ห้ามบริโภคก็ต่อเมื่อ)มันเป็นสัตว์ที่ตายแล้วหรือเป็นโลหิตที่ไหลริน(มิใช่โลหิตที่แข็งตัวเป็นก้อนตามธรรมชาติอันได้แก่ตับและหัวใจ)หรือเนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม(ที่ต้องห้าม)หรือเป็นสิ่งฝ่าฝืน(ที่เชือดโดย)เปล่งนามอื่นจากอัลเลาะฮฺ แต่ผู้ใดอยู่ในภาวะคับขันโดยมิใช่ผู้ล่วงเกิน(ทำไปโดยพลการ)และมิใช่ผู้ละเมิด(บทบัญญัติของอัลเลาะฮฺ)แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้านั้นทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
146. และเราได้บัญญัติเป็นข้อห้ามแก่บรรดาผู้เป็นยะฮูดี(ยิว มิให้บริโภค)ทุกสัตว์ที่มีกีบเท้า เช่น อูฐ นกกระจอกเทศ ห่าน เป็ด เป็นต้น) วัวและแพะ เราได้บัญญัติห้ามแก่พวกเขา มันของสัตว์ทั้งสองยกเว้น(มัน)ที่ติดอยู่กับสันหลังของมันทั้งสอง หรือที่ติดอยู่ที่ลำไส้หรือที่ปนกับกระดูกนั้น เราได้ตอบแทนพวกเขาเพราะความดื้อรั้นของพวกเขา และแท้จริงเราเป็นผู้สัตย์จริง
147. ครั้นแล้ว พวกเขาก็กล่าวหาเจ้าเป็นผู้มุสา ดังนั้นจงประกาศเถิดว่า”องค์อภิบาลของเจ้านั้นทรงเมตตาและทรงไพศาลยิ่งนัก และการลงโทษของพระองค์ย่อมไม่ถูกผลักไสออกให้พ้นจากเหล่าทรชนได้เลย


คำแปล R3.
145. (มุฮัมมัด)ฉันไม่ได้พบสิ่งใดในวะฮีย์ที่มีแก่ฉันที่ห้ามผู้บริโภคมันยกเว้นแต่ที่ตายเองหรือเลือดที่ไหลออกมาหรือเนื้อของสุกร เพราะมันเป็นสิ่งโสมมหรือเนื้อของสัตว์ที่ถูกเชือดโดยกล่าวนามผู้อื่นนอกจากนามของอัลลอฮฺ แต่ผู้ใดตกอยู่ในสภาวะคับขัน (ที่จะต้องกินสิ่งเหล่านี้)โดยไม่มีเจนาขัดขืนและไม่ใช่ละเมิด ดังนั้น(เขาจะพบว่า)พระผู้อภิบาลของเขาเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
146. และสำหรับพวกยิวนั้น เราได้ห้ามทุกสัตว์ที่มีกรงเล็บ ไขมันของวัวและแพะ ยกเว้นแต่ที่อยู่บนหลังของมันหรือตามลำไส้หรือที่ชำแรกติดกระดูก นี่คือการลงโทษของเราต่อพวกเขาในฐานที่พวกเขาดื้อรั้น และแท้จริงเราเป็นผู้สัตย์จริง
147. ดังนั้น ถ้าพวกเขาว่าเจ้าโกหก ก็จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)”พระผู้อภิบาลของพวกท่านเป็นเจ้าแห่งความเมตตาอันไพศาล แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็จะไม่ละเว้นการลงโทษแก่หมู่ชนผู้ทำผิด”


คำแปล R4.
145. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันไม่พบว่าในสิ่งที่ถูให้เป็นโองการแก่ฉันนั้น มีสิ่งต้องห้ามแก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคมัน นอกจากสิ่งนั้นเป็นสัตว์ที่ตายเองหรือเลือดที่ไหลออกหรือเนื้อสุกร แท้จริงมันเป็นสิ่งโสมม หรือเป็นสิ่งละเมิดซึ่งถูกเปล่งนามอื่นจากอัลลอฮ์ที่มัน ถ้าผู้ใดได้รับความคับขัน โดยมิใช่เป็นผู้แสวงหาและมิใช่ผู้ละเมิดแล้วไซร้ แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษ เป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
146. และแก่บรรดาผู้เป็นยิวนั้น เราได้ห้ามสัตว์ทุกชนิดที่นิ้วตีนไม่แยกจากกันและจากวัวและแกะนั้น เราได้ห้ามแก่พวกเขา ซึ่งไขมันของมัน นอกจากไขมันที่หลังของมัน หรือลำไส้ได้อุ้มไว้ หรือที่ปะปนอยู่ที่กระดูกนั่นแหละ เราได้ลงโทษพวกเขา เนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา และแท้จริงเรานั้นเป็นผู้พูดจริง
147. หากพวกเขาปฏิเสธเจ้า ก็จงกล่าวเถิดว่าพระเจ้าของพวกเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตาอันกว้างขวาง และการลงโทษของพระองค์นั้นจะไม่ถูกโต้กลับให้พ้นจากกลุ่มชนที่กระทำความผิด


คำแปล R5.
๑๔๕. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่พวกกาฟิรฺเถิดฉันมิได้พบเจอในพระคัมภีร์อัล-กุรอานที่ฉันได้รับการดลมาเลยว่ามีสิ่งที่เป็นข้อห้ามไว้แก่ผู้บริโภคที่จะบริโภคสิ่งนั้นนอกจากจะเป็นซากสัตว์อันตายเองหรือเลือดเหลวแต่มิใช่เลือดแข็ง เช่น ตับและม้ามหรือเนื้อสุกรเท่านั้น ส่วนซึ่งยังมีห้ามไว้ในพระคัมภีร์อัล-หะดีษก็ได้แก่ สัตว์ที่มีเขี้ยวกับที่มีเล็บของมันเป็นอาวุธป้องกันตัวทั้งนี้เพราะเหตุว่าเนื้อสุกรนั้นมันเป็นสิ่งต้องห้าม ส่วนที่นอกจากเนื้อของมันก็เป็นที่ต้องห้ามเช่นเดียวกัน หรือมีห้ามอีกอย่างหนึ่งก็คือที่ขืนเชือดโดยการออกนามอื่นจากอัลเลาะห์ คือ ออกนามเทวรูป ฉะนั้นหากผู้ใดตกอยู่ในความคับขันถึงขนาดต้องบริโภคสิ่งของต้องห้ามนั้นโดยเขามิใช่ผู้คิดคดโกงในอันที่จะโจมตีมุสลิมและมิใช่ผู้ล่วงเกินอันใดต่อมุสลิมไม่ว่าจะโดยการช่วงชิงทรัพย์หรือทำลายทางสัญจรและผู้นั้นก็ได้บริโภคสิ่งต้องห้ามนั้นแล้วไซร้ แน่นอนอัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าก็ทรงยิ่งในการอภัยโทษฐานบริโภคสิ่งนั้น ทรงโปรดปราณียิ่งในอันที่จะไม่ลงอายาผู้นั้นอยู่แล้ว
๑๔๖. และสำหรับบรรดาผู้ที่เป็นยะฮูดีนั้น เรา(อัลเลาะห์) ได้ตราห้ามพวกเขามิให้บริโภคสัตว์ทุกชนิดที่มีครีบเท้าติดกัน มีอูฐ นกกระจอกเทศ ห่านและเป็ด เป็นต้นและส่วนหนึ่งของวัวและแพะ เรา(อัลเลาะห์) ก็ได้ตราห้ามพวกเหล่านั้นมิให้บริโภคมันติดกระเพาะอาหารของมันทั้งสองด้วยเช่นกัน ยกเว้นมันที่ติดสันหลังของมันทั้งสองหรือที่ติดกระเพาะอุจจาระหรือติดตะโพกของแกะเท่านั้น จึงจะไม่ห้ามยะฮูดีเหล่านั้นบริโภค ข้อห้ามดังที่กล่าวอันนี้แหละที่เรา(อัลเลาะห์) ได้ให้พวกยะฮูดีเหล่านั้นได้รับตอบแทนเนื่องจากมีความคดโกงกันฐานกระทำผิดข้อสัญญาและไม่เชื่อบรรดาโองการของอัลเลาะห์ดังที่ปรากฏอยู่แล้วในซูเราะห์อัล-นิซาอ์ตั้งแต่โองการที่ ๑๕๕ – ๑๖๐ ฝ่ายเรา(อัลเลาะห์) นั้นเป็นผู้มีสัจจริง ในข่าวสารต่าง ๆ และในเรื่องคำสัญญาการสนองกุศลและสัญญาลงโทษ
๑๔๗. โอ้มุฮำมัด ถ้าหากว่าพวกกาฟิรเหล่านั้นหาว่าเจ้าพูดจาเท็จในทุก ๆ เรื่องที่เจ้าได้นำมาจากพระคัมภีร์อัล-กุรอาน เป็นต้นว่าเรื่องอนุญาตและไม่อนุญาตบริโภคของดังกล่าวแล้วไซร้ เจ้าจงบอกแก่พวกเหล่านั้นเถิดว่า องค์พระผู้อภิบาลของพวกท่านนั้น เป็นองค์กรุณาอย่างกว้างขวางในอันที่จะไม่ด่วนลงโทษพวกเหล่านั้น แต่ว่าการลงทัณฑ์ของพระองค์จะไม่ถูกถอนคืนไปจากกลุ่มชนผู้มีบาปหนาเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:48 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 148 - 150


คำแปล R1.
148. Those who took partners (in worship) with Allah will say: "If Allah had willed, we would not have taken partners (in worship) with him, nor would our fathers, and we would not have forbidden anything (against his Will)." likewise belied those who were before them, (They argued falsely with Allah's Messengers), till they tasted of our wrath. Say: "Have you any knowledge (proof) that you can produce before us? Verily, you follow nothing but guess and you do nothing but lie."
149. Say: "With Allah is the perfect proof and argument, (i.e. the Oneness of Allah, the sending of his Messengers and his Holy Books, etc. to mankind), had He so willed, He would indeed have guided you all."
150. Say: "Bring forward your witnesses, who can testify that Allah has forbidden this. Then if they testify, testify not you (O Muhammad) with them. And you should not follow the vain desires of such as treat Our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) as falsehoods, and such as believe not in the Hereafter, and they hold others as equal (in worship) with their Lord."


คำแปล R2.
148. บรรดาพวกตั้งภาคีทั้งหลายจะพากันพูดว่า “มาดแม้นอัลเลาะฮฺทรงประสงค์แล้ว แน่นอนพวกเราไม่ตั้งภาคีและบรรพบุรุษของเราก็ไม่(ตั้งภาคีหรอก) และพวกเราไม่ลงกฎห้ามแก่กรณีใด ๆ อย่างแน่นอน เช่นนั้น บรรดาพวกที่อยู่ในยุคก่อนพวกเขาได้มุสาจนกระทั่งพวกเขาต้องลิ้มรสการลงโทษของเรา” เจ้าจงประกาศเถิด “พวกท่านทั้งหลายรู้สิ่งใดบ้าง? เพื่อพวกท่านจะได้นำแสดงสิ่งนั้นออกมาให้ประจักษ์แก่เรา) ที่จริงแล้วพวกท่านไม่รู้อะไรเลย) พวกท่านมิได้ตาม(สิ่งใดเลย)นอกจากความคาดคะเนเอาเองและพวกท่านหาใช่อื่นใดไม่ นอกจากปั้นแต่งความเท็จ(ใส่อัลเลาะฮฺว่าพระองค์ทรงตรัสบัญชาสิ่งนั้น)
149. จงประกาศเถิด ! “แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงมีหลักฐานอันล้ำลึกซึ่งหากพระองค์ทรงประสงค์แล้วไซร้ พระองค์ย่อมทรงชี้นำพวกท่านทั้งหลายอย่างแน่นอน
150. จงประกาศเถิด ! พวกท่านจงนำพยานของพวกท่านซึ่งยืนยันว่าอัลเลาะฮฺได้ทรงบัญญัติห้ามสิ่งนี้มาซิ! ดังนั้นหากพวกเขายืนยันแล้ว เจ้าก็จงอย่าเป็นพยาน(เห็นด้วย)ร่วมกับพวกเขาและเจ้าอย่าตามอารมณ์ของบรรดาพวกที่กล่าวว่าบรรดาโองการของเราเป็นความเท็จ และ(อย่าตามอารมณ์ของ)บรรดาผู้ไม่ศรัทธาในโลกหน้า ทั้งนี้เพราะพวกนั้นทำการสับเปลี่ยน(ความเคารพในสิ่งอื่น ๆ )กับองค์อภิบาลของพวกเขา


คำแปล R3.
148. (ในการตอบสิ่งเหล่านี้ของเจ้า)พวกบูชาเทวรูปจะกล่าวว่า “หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ ทั้งเราและบรรพบุรุษของเราจะไม่ตั้งภาคี และเราจะไม่ประกาศว่าสิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม” ในทำนองเดียวกัน ผู้คนก่อนหน้าพวกเขาก็ได้กล่าวเท็จต่อสัจธรรมมาแล้วจนกระทั่งพวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษของเรา จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า “พวกท่านมีความรู้อันใดที่สามารถนำมายืนยันต่อเรา? ความจริงแล้ว พวกท่านมิได้ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากการคาดคะเนและการเดาเอาเท่านั้น”
149. จงกล่าวเถิด “ข้อโต้แย้งของอัลลอฮฺนั้นลึกซึ้ง และหากพระองค์ทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงนำทางพวกท่านทั้งมวล”
150. จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า “จงหาพยานของสูเจ้าที่สามารถยืนยันได้ว่าอัลลอฮฺทรงห้ามสิ่งเหล่านี้” แต่ถึงแม้พวกเขายืนยัน เจ้าจงอย่าร่วมเป็นพยานกับพวกเขา และจงอย่าปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของบรรดาผู้กล่าวเท็จต่ออายะฮฺทั้งหลายของเราและผู้ไม่เชื่อในปรโลกและผู้ที่ตั้งสิ่งอื่นเท่าเทียมพระผู้อภิบาลของพวกเขา


คำแปล R4.
148. บรรดาผู้ที่ให้มีภาคีขึ้นนั้นจะกล่าวว่าหากว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้วไซร้ พวกเราก็ย่อมไม่ให้มีภาคีขึ้น และทั้งบรรพบุรุษของพวกเราอีกด้วย และพวกเราก็ย่อมไม่ให้สิ่งใดเป็นที่ต้องห้าม ในทำนองนั้นแหละบรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเขาก็ได้มุสาแล้วจนกระทั่งพวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษของเรา จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ที่พวกท่านนั้นมีความรู้อันใดกระนั้นหรือ ฉะนั้นพวกเจ้าจงจะต้องนำมันออกมาให้แก่เรา พวกท่านจะไม่ปฏิบัติตามสิ่งใด นอกจากการคาดคิดเอาเท่านั้น และพวกท่านไม่มีอื่นใด นอกจากจะกล่าวเท็จเท่านั้น
149. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์นั้นทรงมีหลักฐานอันทั่วถึง หากว่าพระองค์ทรงประสงค์แล้ว แน่นอนพระองค์ก็ย่อมแนะนำพวกท่านแล้วทั้งหมด
150. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงนำมาซึ่งบรรดาพยานของพวกท่านที่จะยืนว่า แท้จริงฮัลลอฮฺได้ทรงห้ามสิ่งนี้ แล้วถ้าพวกเขา(เป็นพยาน) ยืนยัน เจ้าก็อย่ายืนยันกับพวกเขาด้วยและอย่าตามความใคร่ใฝ่ต่ำของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา และบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อปกโลก และขณะเดียวกันพวกเขาก็ให้สิ่งอื่นเท่าเทียมกับพระเจ้าของพวกเขา


คำแปล R5.
๑๔๘. ครั้นเมื่อหลักฐานได้ยันพวกเหล่านั้นจนยอมจำนน และทำให้พวกเหล่านั้นเห็นผลเสียของการเป้นผู้ถือภาคี(ชิรก์)และผลเสียของการอ้างสิ่งที่ไม่พึงห้ามว่าเป็นสิ่งอันพึงห้ามอย่างมั่นใจแล้ว อัลเลาะห์ก็ทรงแจ้งเรื่องแก่พวกเหล่านั้นว่าในไม่ช้าบรรดาชนผู้ถือภาคีโดยเอาอื่นใดมากราบเคารพเสมอด้วยอัลเลาะห์จะพูดว่าถ้าหากอัลเลาะห์ทรงมุ่งประสงค์จะมิให้พวกเราและบรรพบุรุษของพวกเรากราบเคารพเหล่าเทวรูปและมิให้อ้างสิ่งที่ไม่พึงห้าม(หะลาล)ว่าเป็นสิ่งอันพึงห้าม(หะรอม) แล้วไซร้ พวกเราและเหล่าบรรพบุรุษของพวกเราก็จะไม่เป็นพวกถือภาคีเอาอื่นใดมาเคารพเทียบเท่าอัลเลาะห์แน่นอน และพวกเราตลอดจนบรรพบุรุษของพวกเราก็จะไม่ตราว่าสิ่งใดเป็นของต้องห้ามโดยมิได้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์อีกเลย แต่การถือภาคีของพวกเราและบรรพบุรุษของพวกเราตลอดจนการอ้างสิ่งไม่พึงห้ามว่าเป็นสิ่งพึงห้ามนั้นเป็นไปตามความมุ่งประสงค์ของพระองค์ นั่นแสดงว่าพระองค์ทรงยินดีต่อการกระทำเช่นนั้นของพวกเราและของบรรพบุรุษของพวกเราอยู่ อัลเลาะห์ตรัสอีกว่า ในทำนองเดียวกับที่พวกกาฟิรชาวมักกะห์หาว่าเจ้าพูดเท็จในเรื่องที่เจ้าว่าอัลเลาะห์ทรงห้ามถือภาคี และที่เจ้าว่าอัลเลาะห์มิได้ทรงห้ามสัตว์ที่พวกนั้นถือเป็นการห้ามดังว่าแล้วนี้ บรรดาชนกาฟิรที่ก่อน ๆ จากพวกกาฟิรมักกะห์เหล่านั้นก็ยังได้เคยหาว่าบรรดาพระศาสนทูตของพวกเขาพูดจาเท็จกันมาแล้ว ถึงกับพวกกาฟิรสมัยก่อนกาฟิรมักกะห์เหล่านั้นได้ลิ้มรสการลงทัณฑ์จากเราด้วยเหมือนกัน โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกกาฟิรมักกะห์เถิดว่าพวกท่านหาได้มีความรู้ไม่ว่า ความจริงอัลเลาะห์ทรงยินดีการกระทำของพวกท่านและของบรรพบุรุษของพวกท่าน พวกท่านจึงแสดงออกซึ่งความรู้นั้นแก่เรา(มุฮำมัด) มิได้ พวกท่านหาได้เจริญตามอันไม่ นอกจากความคาดคะเนผิดที่ปราศจากความรู้ ทั้งพวกท่านกับพวกบรรพบุรุษของพวกท่านนั้นหามีอื่นใดไม่หากแต่กำลังกล่าวเท็จกันในเรื่องการกระทำของพวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านเท่านั้น
๑๔๙. ถ้าแม้นว่าพวกท่านไม่มีหลักฐานแล้ว โอ้ มุฮำมัดจงกล่าวเถิด “ที่อัลเลาะห์มีหลักฐานอันลึกล้ำ สมบูรณ์” ฉะนั้นหากว่าพระองค์ทรงมุ่งประสงค์ที่จะแนะนำให้พวกท่านทั้งหลายเข้าถึงหลักฐานที่ลึกล้ำสมบูร์แล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงแนะนำให้แก่พวกท่านทั้งปวงเข้าถึงหลักฐานที่ว่านั้นได้ แต่พระองค์มิได้มุ่งประสงค์อย่างนั้น จึงเป็นว่าพวกท่านทั้งหลายมิได้รับการแนะนำจากพระองค์
๑๕๐. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นเถิดว่า พวกท่านจงนำพยานของพวกท่านมาเถิดซึ่งพยานเหล่านี้จะมาแสดงยืนยันว่าแท้จริงอัลเลาะห์ได้ทรงตราห้ามเรื่องสัตว์นี้ที่พวกท่านเองตราว่าเป็นของต้องห้าม(หะรอม) อันได่สัตว์ประเภทใดนั้นโปรดดูในโองการที่ ๑๔๓ ซูเราะห์เดียวกัน หากว่าพวกนั้นจะมาเป็นพยานแสดงคำยืนยันแล้ว โอ้มุฮำมัดเจ้าอย่าได้เห็นด้วยกับพวกเหล่านั้นเลย ในข้ออ้างของพวกนั้นที่ว่าอัลเลาะห์ทรงตราห้ามสัตว์ดังกล่าว แต่เจ้าจงแฉความเสียหายในข้ออ้างนั้น และเจ้าอย่าได้เจริญตามอารมณ์แห่งกิเลสของบรรดาที่หาว่าบรรดาโองการต่าง ๆ ของเรา(อัลเลาะห์) เท็จ และอย่าได้เจริญตามอารมณ์แห่งกิเลสของบรรดาชนที่มิได้ศรัทธาต่อวันปรภพเลย ด้วยว่าพวกเหล่านั้นนับถืออื่นเทียบเท่าอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของพวกตนในด้านการให้ความเคารพสักการะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:48 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 151 - 154


คำแปล R1.
151. Say (O Muhammad ): "Come, I will recite what your Lord has prohibited you from: join not anything in worship with him; be good and dutiful to your parents; kill not your children because of poverty - we provide sustenance for you and for them; come not near to Al-Fawahish (shameful sins, illegal sexual intercourse, etc.) whether committed openly or secretly, and kill not anyone whom Allah has forbidden, except for a just cause (according to Islamic law). This He has commanded you that you may understand.
152. "And come not near to the orphan's property, except to improve it, until he (or she) attains the age of full strength; and give full measure and full weight with justice. We burden not any person, but that which he can bear. And whenever you give your word (i.e. judge between men or give evidence, etc.), say the truth even if a near relative is concerned, and fulfill the covenant of Allah, this He commands you, that you may remember.
153. "And verily, this (i.e. Allah's commandments mentioned in the above two Verses 151 and 152) is my straight Path, so follow it, and follow not (other) paths, for they will separate you away from His Path. This He has ordained for you that you may become Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2)."
154. Then, we gave Musa (Moses) the Book [the Taurat (Torah)], to complete (Our Favour) upon those who would do right, and explaining all things in detail and a guidance and a mercy that they might believe in the meeting with their Lord.


คำแปล R2.
151. จงประกาศเถิด ! ท่านทั้งหลายจงมาเถิด! ฉันจะแถลงแก่พวกท่านในสิ่งที่องค์อภิบาลของพวกท่านได้บัญญัติห้ามไว้ มิให้ท่านทั้งหลายตั้งสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับพระองค์ และให้ทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง ท่านทั้งหลายอย่าฆ่าลูก ๆ ของท่านเพราะกลัวจน ความจริงเราให้การยังชีพพวกเจ้าและพวกเขาเอง และท่านทั้งหลายอย่าเข้าใกล้บรรดาสิ่งอนาจารทั้งปวง ทั้งที่เปิดเผยและผิดบัง และท่านทั้งหลายอย่าฆ่าชีวิตหนึ่งใดที่อัลเลาะฮฺทรงบัญญัติห้ามไว้ยกเว้นโดยสิทธิอันชอบธรรมตามบทบัญญัติ(เช่น การประหารชีวิตฆาตกร เป็นต้น)” นั่นเป็นสิ่งที่พระองค์ได้มีคำสั่งแก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้ใช้ปัญญาตริตรอง
152. และท่านทั้งหลายอย่ากล้ำกลายใกล้ทรัพย์สินของลูกกำพร้ายกเว้นด้วย(การจัดการในสิ่ง)ที่ดี (เป็นประโยชน์แก่ลูกกำพร้ามากที่สุด)จนกว่าเขาบรรลุสู่วัยฉกรรจ์ของเขา(คือบรรลุศาสนภาวะ)และท่านทั้งหลายจงตวงและชั่งให้ครบ(ตามพิกัด)โดยความเที่ยงธรรม เรามิได้บังคับแก่ชีวิตใด ๆ นอกจาก(เพียง)เท่าสมรรถภาพของเขา(อำนวยให้)และเมื่อพวกท่านพูด(ในการพิพากษาหรืออื่น ๆ)พวกท่านก็จงยุติธรรมและมาดแม้นว่าเขา(ผู้ได้รับผลตามคำพูดนั้น)จะเป็นญาติสนิทก็ตาม และท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตามสัญญาของอัลเลาะฮฺให้ครบถ้วน สิ่งเหล่านั้นพระองค์ได้ทรงมีคำสั่งแก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้สำนึก
153. และแท้จริงนี้เป็นแนวทางที่เที่ยงตรงของข้า(ที่มอบแก่พวกเจ้า)ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงตามทางนี้เถิด และเจ้าทั้งหลายอย่าตามทางอื่นอันมากหลาย แล้วพวกเจ้าก็จะเกิดความแตกแยกไปจากแนวทางของพระองค์ สิ่งนั้น! พระองค์ได้ทรงมีคำสั่งแก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้ยำเกรง
154. หลังจากนั้นเราได้มอบคัมภีร์(เตารอฮฺ)แก่มูซา เพื่อเป็นความสมบูรณ์(ในความโปรดปรานและกุศล)แก่ผู้ที่ประกอบคุณธรรมและเพื่อแจกแจง(รายละเอียด)แก่ทุก ๆ สิ่งและเพื่อเป็นสิ่งชี้นำแนวทางและเพื่อเป็นเมตตาธรรม ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้ศรัทธามั่นในการได้พบกับองค์อภิบาลของพวกเขา(ภายหลังจากตายและฟื้นขึ้นจากสุสานแล้ว


คำแปล R3.
151. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)”มาเถิด ฉันจะสาธยายสิ่งที่พระผู้อภิบาลของพวกท่านได้ทรงห้ามแก่พวกท่านนั่นคือ (1) จงอย่าตั้งภาคีใด ๆ ต่อพระองค์ (2) จงปฏิบัติการดีต่อพ่อแม่ (3) จงอย่าฆ่าลูก ๆ ของพวกท่านเพราะกลัวความยากจน เพราะเรารได้ประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกท่านและแก่พวกเขาโดยเฉพาะด้วย (4) จงอย่าเข้าใกล้การชั่วร้ายทั้งที่เปิดเผยและที่ซ่อนเร้น และ(5) จงอย่าฆ่าชีวิตใดซึ่งอัลลอฮฺได้ทรงห้ามเว้นไว้แต่เพื่อความยุติธรรม นั่นเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสั่งพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้ใช้ปัญญา
152. และ(6) จงอย่าเข้าใกล้สมบัติของเด็กกำพร้าเว้นแต่โดยวิธีการที่ดีที่สุด จนกว่าเขาจะบรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ และ (7) จงทำให้การตวงและการชั่งเป็นที่ครบถ้วนเที่ยงตรง เราไม่ให้ภาระหนักแก่ชีวิตใดเว้นแต่ตามสมรรถภาพของมัน และ(8) เมื่อท่านพูดจงเที่ยงตรงแม้เขาเป็นญาติสนิทก็ตาม และ (9) จงปฏิบัติให้ครบตามพันธสัญญาของอัลลอฮฺ อัลลอฮฺทรงสั่งสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะได้ปฏิบัติตามคำตักเตือน
153. และอัลลอฮฺได้สั่งอีกว่า (10) นี่เป็นแนวทางของฉันอันเป็นแนวทางที่เที่ยงตรง ดังนั้นจงปฏิบัติตามทางนี้ และจงอย่าปฏิบัติตามทางอื่น ๆ มิฉะนั้นมันจะแยกพวกท่านออกจากทางของพระองค์ นั่นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งพวกท่าน ทั้งนี้เพื่อพวกท่านจะได้สำรวมตนจากความชั่ว”
154. แล้ว(จงจำไว้ด้วยว่า)เราได้ประทานแก่มูซาซึ่งคัมภีร์ที่จะทำให้ความโปรดปรานของเราครบครันแก่บรรดาผู้ทำการดีและเป็นที่อธิบานรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นทุกอย่างและเป็นทางนำและความเมตตาเพื่อพวกเขาจะได้มีความศรัทธาในการพบกับพระผู้อภิบาลของพวกเขา

คำแปล R4.
151. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่าท่านทั้งหลายจงมากันเถิด ฉันจะอ่านให้ฟังสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ห้ามไว้แก่พวกท่านคือ พวกเจ้าอย่าให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองจริง ๆ และอย่าฆ่าลูกของพวกเจ้า เนื่องจากความจนเราเป็นผู้ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า และแก่พวกเขา และจงอย่าเข้าใกล้บรรดาสิ่งชั่วช้าทั้งที่เปิดเผยและที่ปกปิด และอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮ์ทรงห้ามไว้ นอกจากด้วยสิทธิอันชอบธรรมเท่านั้นนั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะใช้ปัญญา
152. และจงอย่าเข้าใกล้ทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้า นอกจากด้วยวิถีทางที่ดียิ่ง จนกว่าเขาจะบรรลุวัยฉกรรจ์ และจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งด้วยความเที่ยงตรง เราจะไม่บังคับชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้นและเมื่อพวกเจ้าพูด ก็จงยุติธรรม และแม้ว่าเขาจะเป็นญาติที่ใกล้ชิดก็ตาม และต่อสัญญาของอัลลอฮฺนั้นก็จงปฏิบัติตามให้ครบถ้วย นั่นแหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รำลึก
153. และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง
154. แล้วเราได้ให้คัมภีร์แก่มูซาทั้งนี้เป็นการครบถ้วนแก่ผู้ที่กระทำดี และเป็นการแจกแจงในทุกสิ่งทุกอย่างและเพื่อเป็นการแนะนำ และเป็นการเอ็นดูเมตตา เพื่อว่าพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อการพบกับพระเจ้าของพวกเขา

คำแปล R5.
๑๕๑. ในเมื่ออัลเลาะห์ได้ทรงชี้แจงเรื่องถ้อยคำอันเสื่อมเสียของพวกกาฟิรที่สำคัญผิดว่าแท้จริงอัลเลาะห์ได้ทรงใช้ให้พวกตนตัดสินว่าเป็นการห้ามซึ่งสัตว์ที่พวกนั้นเคยว่าเป็นของห้ามสำหรับพวกตนมาแล้ว ประดุจดังพวกเหล่านั้นร้องถามว่ามีสิ่งไรบ้างที่อัลเลาะห์ได้ทรงตราห้ามไว้ โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่กาฟิรเหล่านั้นเถิดว่าเชิญเถิดพวกท่าน เชิญเข้ามายังฉันนี้ ฉันจะอ่านเรื่องที่ อัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลของพวกท่านได้ทรงตราห้ามพวกท่านไว้ว่า มิให้พวกท่านถือเอาสิ่งใดมาเป็นภาคีให้การเคารพบูชาเสมอด้วยพระองค์และต่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิดทั้งสองก็ให้ปฏิบัติดีด้วยทั้งพวกท่านอย่าได้ฆ่าลูก ๆ ของพวกท่านเองโดยการฝังทั้งเป็น ๆ เพราะกลัวความอับจน เรา(อัลเลาะห์) เองต่างหากที่อำนวยลาภให้แก่พวกท่านและแก่พวกลูก ๆ เหล่านั้นของพวกท่าน พวกท่านอย่าได้ย่างใกล้ความชั่วอุกฤษ เช่นการร่วมประเวณีนอกอนุญาต (ซินา) ทั้งในที่เปิดเผยและที่ลับ พวกท่านอย่าได้ฆ่าชีวิตหนึ่งซึ่งอัลเลาะห์ได้ทรงตราห้ามไว้ว่าเป็นการบาปนอกจากเพื่อความเป็นธรรมเท่านั้น เช่น การฆ่าให้ตายตกตามกัน โทษอาญาเพราะการสิ้นสภาพความเป็นมุสลิม และการขว้างชายหญิงที่เคยผ่านการสมรสมาแล้วซึ่งได้ทำประเวณีนอกอนุญาตกันเป็นต้น ทั้งห้าประการที่กล่าวมาแล้วคือ มิให้เป็นผู้ถือภาคีเทียบเทียมอัลเลาะห์หนึ่ง ให้ปฏิบัติดีต่อบิดามารดาหนึ่ง มิให้ฆ่าลูกของตนหนึ่ง มิให้ย่างใกล้ความชั่วขั้นอุกฤษหนึ่ง และมิให้ฆ่าชีวิตอีกหนึ่ง นี่แหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งไว้แก่พวกท่านเพื่อว่าพวกท่านจักได้ใช้วิจารณญาณ อันจะทำให้พวกท่านเข้าใจตัวเองดี และช่วยยับยั้งพวกท่านมิให้พัวพันในสิ่งอุลามกดังกล่าว
๑๕๒.และพวกท่านอย่าย่างใกล้ทรัพย์สินของเด็กกำพร้านอกจากในประการ อันดีงาม เป็นคุณประโยชน์ยิ่งต่อทรัพย์สินเด็กกำพร้าเหล่านั้นเท่านั้น จนกว่าเขา(กำพร้า)มีอายุบรรลุภาวะแห่งความเป็นผู้ใหญ่แล้ว อาจจะโดยนับอายุถึง ๑๕ ปีบ้าง หรือโดยมีน้ำอสุจิหลั่งออกมาแล้วบ้งหรือถ้าเป็นหญิงก็โดยมีเลือดระดูประจำเดือนบ้าง ทั้งให้พวกท่านตวงและชั่งโดยความยุติธรรมครบถ้วน มิให้ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด เราจะไม่กวดขันผู้เป็นข้าของข้าคนใดเว้นไว้แต่เพียงสมรรถภาพของผู้นั้น ในอันที่จะกระทำการตวงและการชั่งอย่างเป็นธรรมและครบถ้วนเท่านั้น ถ้าแม้นว่าเขาผู้นั้นพลั้งพลาดไปบ้างเกี่ยวกับเครื่องตวงก็ดีหรือเครื่องชั่งก็ดี อัลเลาะห์ก้ทรงรู้ถึงเจตนาจริงของผู้นั้น จึงไม่มีบาปแต่ประการใด แต่ก็จำเป็นที่ผู้นั้นต้องชดใช้เท่าที่ผิดพลาดตกหล่นไปด้วย ครั้นเมื่อพวกท่านจะเอ่ยคำพิพากษาก็ดี ก็ให้พวกท่านทรงความยุติธรรมไว้ตามความจริงในด้านถ้อยคำ ถึงว่าผู้นั้นที่ถูกพวกท่านเอ่ยถ้อยคำพิพากษาหรือพูดอย่างอื่นให้ได้รับประโยชน์หรือเป็นภัยจะเป็นวงศ์ญาติของพวกท่านก็เอาเถอะ อีกทั้งข้อสัญญาที่พวกท่านผูกพันไว้กับอัลเลาะห์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสาบานหรือบนบานหรืออื่นใดก็ให้พวกท่านปฏิบัติจนครบบริบูรณ์ ทั้งสี่ประการที่กล่าวแล้ว คือมิให้ย่างใกล้ทรัพย์สินของเด็กกำพร้าหนึ่ง ให้ตวงและชั่งอย่างยุติธรรมหนึ่ง เมื่อจะเอ่ยคำตัดสินความหรืออื่น ๆ ก็ให้ทรงความเป็นธรรมไว้หนึ่ง และให้ปฏิบัติตามข้อสัญญาที่กระทำไว้กับอัลเลาะห์โดยครบบริบูรณ์อีกหนึ่ง นี่แหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งใช้ไว้แก่พวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะได้สำนึกได้ และเชื่อฟังคำตักเตือนที่กล่าวถึงนี้
๑๕๓. แท้จริงสิ่งที่ข้าได้บัญชาใช้พวกเจ้านี้คือแนวศาสนา ที่เที่ยงแท้ของข้า ฉะนั้นพวกเจ้าจงเจริญตามแนวทางแห่งศาสนาที่เที่ยงแท้นั้นเถิด แต่อย่าได้เจริญรอยตามแนวทางทั้งหลายที่ขัดต่อศาสนาของข้ามันจะได้ไม่เป็นเหตุให้พวกเจ้าเขวห่างจากแนวทางของพระองค์ การเจริญรอยตามแนวทางแห่งศาสนาของอัลเลาะห์ และการเว้นนับถือศาสนาอื่นจากของพระองค์นี้แหละที่พระองค์ได้ทรงสั่งไว้แก่พวกเจ้าเพื่อว่าพวกเจ้าจักได้ยำเกรงพระองค์ ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามที่ทรงใช้และทรงห้าม
๑๕๔. หลังจากที่พระองค์ได้ทรงแจ้งข่าวต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วนั้น พระองค์ก็ทรงแจ้งแก่พวกเจ้าอีกว่า เรา(อัลเลาะห์) ยังได้เคยมอบให้มูซาได้รับพระคัมภีร์เตารอตก่อนจากที่ได้ประทานพระคัมภีร์อัลกุรอานมายังมุฮำมัด เพื่อให้พระกรุณาธิคุณของเราเป็นที่ครบบริบูรณ์แก่ผู้ที่กระทำถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องธำรงไว้ซึ่งคัมภีร์เตารอตให้คงทนถาวรเพื่อแจงรายละเอียดของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่สอดคล้องกับศาสนาเพื่อเป็นหนทางนำให้ตรงเข้าสู่ความจริงและเพื่อเป็นความโปรดปราณีแก่บรรดาผู้เป็นข้าของเราอีกด้วย เพื่อว่าพวกเหล่านั้นที่เป็นวงศ์วานอิสรออีลจักได้ศรัทธาต่อการไปเผชิญหน้าอยู่ ณ เบื้ององค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกตนโดยการเกิดใหม่ในวันปรภพ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:47 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 155 - 158


คำแปล R1.
155. And this is a blessed Book (the Qur'an) which we have sent down, so follow it and fear Allah (i.e. do not disobey his orders), that you may receive mercy (i.e. saved from the torment of Hell).
156. Lest you (pagan Arabs) should say: "The Book was only sent down to two sects before us (the Jews and the Christians), and for our part, we were in fact unaware of what they studied."
157. Or lest you (pagan Arabs) should say: "If only the Book had been sent down to us, we would surely have been better guided than they (Jews and Christians)." so now has come unto you a clear proof (the Qur'an) from your Lord, and guidance and a mercy. Who then does more wrong than one who rejects the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of Allah and turns away therefrom? we shall requite those who turn away from our Ayat with an evil torment, because of their turning away (from them). [Tafsir At-Tabari, Vol. 8, Page 95]
158. Do they then wait for anything other than that the angels should come to them, or that your Lord should come, or that some of the signs of your Lord should come (i.e. portents of the hour e.g., arising of the sun from the west)! the Day that some of the signs of your Lord do come, no good will it do to a person to believe then, if he believed not before, nor earned good (by performing deeds of righteousness) through his faith. Say: "Wait You! We (too) are waiting."


คำแปล R2.
155. และนี้คือคัมภีร์(อัลกุรอาน)ซึ่งเราได้ส่งลงมา(ยังเจ้า)เป็น(คัมภีร์)ที่มีมงคลยิ่ง ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงตามคัมภีร์นี้ และจงยำเกรงเถิดเพื่อพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา(จากอัลเลาะฮฺ)
156. (ที่ให้คัมภีร์อัลกุรอานลงมาก็เพื่อป้องกันมิให้)พวกเจ้าพูด(แก้ตัวในวันกิยามะฮฺ)ว่า “อันที่จริงคัมภีร์ได้ถูกประทานให้ลงมาเพียงแก่คนสองกลุ่มเมื่อก่อนหน้าเราเท่านั้น (คือกลุ่มนบีมูซาและอีซา)และแท้จริงพวกเราลืมเลือนต่อบทเรียนของพวกเขา (ที่บันทึกไว้นั้น เพราะคัมภีร์ดังกล่าวเป็นภาษาต่างชาติ ซึ่งเราไม่รูเรื่องเลย)
157. หรือ(เพื่อ)พวกเจ้า(มิต้อง)พูด(แก้ตัว)ว่า “หากแม้นคัมภีร์ได้ถูกประทานรลงมาให้แก่พวกเรา พวกเราก็คงได้รับการชี้นำสูงกว่าพวกเขา(ชาวคริสต์และยิว)อย่างแน่นอน อันที่จริงแล้ว(หลักฐาน)ที่ชัดแจ้งและสิ่งชี้นำทางและความเมตตา จากองค์อภิบาลของพวกเจ้าได้มาถึงพวกเจ้าแล้ว แล้วใครเล่าที่จะฉ้อฉลยิ่งไปกว่าบุคคลที่กล่าวหาโองการต่าง ๆ ของอัลเลาะฮฺเป็นความเท็จ และเขาได้ผินออกไปนจากโองการเหล่านั้น แน่นอนเราจะตอบแทนบรรดาผู้ที่ผินออกไปจากโองการต่าง ๆ ของเราโวยการลงโทษอันเลวร้าย เนื่องเพราะการผินออกของพวกเขาเอง
158. พวกเราหาได้รอคอยสิ่งใดไม่ นอกจาก(รอคอย)มลาอิกะฮฺซึ่งจะมาหาพวกเขา(เพื่อปลิดชีวิตของพวกเขา)หรือ(รอคอยการลงโทษแห่ง)องค์อภิบาลของเจ้าจะมาหา(พวกเขา)หรือ(รอ)บางสัญลักษณ์ขององค์อภิบาลของเจ้าจะมา(ถึงพวกเขา อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงวันสิ้นโลก)ในวันซึ่งบางสัญลักษณ์ของเจ้าจะมานั้น ศรัทธาของชีวิตหนึ่ง(ที่อุบัติขึ้นในวันนั้น)จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ตัวเขาเลย เพราะเขามิได้ศรัทธามาก่อนหน้านั้นหรือเขา(มิ)ได้พากเพียรความดีงามในความมีศรัทธาของเขา จงประกาศเถิด ! “พวกเจ้าจงรอ(สัญลักษณ์ดังกล่าว)ไปเถิดเพราะแท้จริงเรา(อัลเลาะฮฺ)ก็รอ(ที่จะลงโทษพวกเจ้าอยู่เหมือนกัน)”


คำแปล R3.
155. และคัมภีร์นี้ (อัลกุรอาน) เราได้ประทานมาเป็นที่จำเริญ ดังนั้นจงปฏิบัติตามคัมภีร์นี้และจงเกรงกลัวพระเจ้าเพื่อสูเจ้าจะได้รับความเมตตา
156. มิฉะนั้นสูเจ้าจะกล่าวว่า “คัมภีร์นั้นได้ถูกประทานลงมาแก่คนสองพวกก่อนหน้าเรา และแท้จริงเราไม่รู้ในสิ่งที่พวกเขาศึกษาและสอน”
157. มิฉะนั้นสูเจ้าจะกล่าวแก้ตัวว่า “หากคัมภีร์นั้นได้ถูกประทานลงมาแก่เรา เราก็จะถูกนำทางดีกว่าพวกเขา” ดังนั้น หลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้าได้ถูกส่งมาเป็นทางนำและความเมตตาแก่สูเจ้าแล้ว ฉะนั้นผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้ที่กล่าวว่าอายะฮฺทั้งหลายของอัลลอฮฺเป็นเท็จและหันห่างไปจากมัน ?” ในไม่ช้า เราจะตอบแทนบรรดาผู้หันห่างจากอายะฮฺทั้งหลายของเราด้วยการลงโทษที่ร้ายแรงเพราะพวกเขาหันห่าง
158. พวกเขาคอยที่จะให้มลาอิกะฮฺลงมาปรากฏต่อหน้าพวกเขาหรือจะให้พระผู้อภิบาลของเจ้าลงมา หรือจะใหสัญญาณบางอย่างของพระผู้อภิบาลของเจ้ามาปรากฏ? แต่เมื่อวันที่สัญญาณอันชัดแจ้งบางอย่างของพระผู้อภิบาลของเจ้ามาปรากฏนั้น การศรัทธาของพวกเขาจะไม่ยังประโยชน์อันใดแก่ชีวิตที่ไม่ได้ศรัทธามาก่อนหรือแก่ผู้ที่ศรัทธามันแต่มิได้กระทำความดีไว้ (มุฮัมมัด)จงกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงคอยเถิด เราก็จะคอย”


คำแปล R4.
155. และนี้แหละคือคัมภีร์ที่มีความจำเริญซึ่งเราได้ให้คัมภีร์ลงมายังเจ้าจงปฏิบัติตามคัมภีร์นั้นเถิด และจงยำเกรง เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความกรุณาเมตตา
156. (มิเช่นนั้น) พวกเจ้าจะกล่าวว่า(แท้จริงคัมภีร์ได้ถูกประทานลงมาให้แก่สองพวกเท่านั้น ก่อนหน้าพวกข้าพระองค์และแท้จริงพวกข้าพระองค์ไม่รู้เรื่องในการอ่านของพวกเขา
157. หรือไม่ก็พวกเจ้าจะกล่าวว่า แท้จริงพวกข้าพระองค์นั้น หากได้มีคัมภีร์ถูกประทานลงมาแก่พวกข้าพระองค์แล้วไซร้ แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็เป็นผู้ที่อยู่ในคำแนะนำดียิ่งกว่าพวกเขา แท้จริงนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้วจากพระเจ้าของพวกเจ้า ซึ่งหลักฐานอันชัดแจ้ง และคำแนะนำและการเอ็นดูเมตตา ดังนั้นใครเล่าคือผู้อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ปฏิบัติบรรดาโองการของอัลลอฮ์และผินหลังให้แก่โองการเหล่านั้น เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่ผินหลังให้แก่โองการทั้งหลายของเรา ซึ่งการลงโทษอันชั่วช้า เนื่องจากการที่พวกเขาผินหลังให้
158. พวกเขามิได้รอคอยอะไร นอกจากการที่มะลาอิกะฮฺจะมายังพวกเขา หรือการที่พระเจ้าของเจ้าจะมา หรือการที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้าจะมา วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใด ซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงรอกันเถิด แท้จริงพวกเราก็เป็นผู้รอคอย


คำแปล R5.
๑๕๕.นี่คือพระคัมภีร์อัล-กุรอานอันเรา(อัลเลาะห์) ได้มอบลงมายังเขา(พระศาสดามุฮำมัด)ซึ่งพระคัมภีร์อัลกุรอานนี้เป็นที่พอกพูนผลประโยชน์ให้มากมายทั้งภาคภพนี้และภพหน้า โอ้ปวงชนชาวมักกะห์ ฉะนั้นพวกเจ้าจงเจริญรอยตามพระคัมภีร์นั้นเถิดโดยปฏิบัติตามสิ่งที่มีบ่งกล่าวไว้ในพระคัมภีร์อัลกุรอานและจงยำเกรงในประการที่จะขัดแย้งกับพระคัมภีร์นี้ เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้รับความโปรกปราณีจากเรา
๑๕๖. ที่เราได้มอบพระคัมภีร์อัล-กุรอานลงมายังพระศาสดามุฮำมัดนี้เพื่อมิให้พวกเจ้าพูดในวันกิยามะห์ว่าพระคัมภีร์เตารอตและอินยีลนั้นถูกประทานลงมาแก่ชนสองเหล่าจากที่ก่อนจากพวกเราเท่านั้นกล่าวคือพระคัมภีร์เตารอตกับพระคัมภีรือินยีลนั้นถูกประทานลงมายังชนชาวยะฮูดีและนัซรอนี ส่วนพระคุมภีร์ซะบูรถูกประทานลงมายังปวงประชากรของพระศาสดาดาวู๊ด และเพื่อมิให้พวกเจ้า(ชนชาวมักกะห์)พูดแก้ว่า ความจริงแล้วพวกเราที่เป็นชนชาวมักกะห์นี้มิได้เข้าใจบทบันทึกจากพระคัมภีร์ของพวกเหล่านั้นเลย ทั้งนี้เนื่องจากพระคัมภีร์ดังกล่าวมิได้ใช้ภาษาของพวกเรา
๑๕๗. หรือที่เราได้มอบพระคัมภีร์อัลกุรอานลงมายังพระศาสดามุฮำมัดนี้เพื่อมิให้พวกเจ้าผู้เป็นชาวมักกะห์พูดในวันกิยามะห์ว่าถ้าหากพวกเราถูก อัลเลาะห์ประทานพระคัมภีร์อัล-กุรอานลงมาให้พวกเราย่อมได้รับหนทางนำสู่ความจริงอันเป็นวัตถุประสงค์ขั้นสุดยอดอย่างหนึ่ง หรือไปสู่บทบัญญัติต่าง ฟ อีกอย่างหนึ่ง มากยิ่งกว่าพวกเหล่านั้นที่เป็นยะฮูดี ที่เป็นนัซรอนี และที่เป็นประชากรของพระศาสดาดาวู๊ด แน่นอนทีเดียวเพราะเหตุว่าภูมิปัญญาของพวกเราเฉียบแหลมกว่าพวกนั้น อันที่จริงบทชี้แจงจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าและหนทางนำตลอดจนความโปรดปราณีอันมีต่อผู้ที่เจริญรอยตามพระคัมภีร์อัลกุรอานนั้นได้มาถึงพวกเจ้าอยู่แล้ว ฉะนั้นข้ออ้างและข้อแม้ของพวกเจ้าดังกล่าวที่จะอ้างขึ้นในภาคภพหน้าจึงเป็นฟังไม่ขึ้น ทั้งนี้เพราะอัลกุรอานก็ถูกประทานลงมาแล้วเป็นภาษาอาหรับ ย่อมไม่มีผู้ใดคดโกงยิ่งกว่าชนชาวมักกะห์ผู้ที่หาว่าบรรดาโองการของอัลเลาะห์เป็นคำเท็จ ทั้งผู้นั้นยังหันหลังให้ ไม่ใส่ใจในบรรดาโองการของพระองค์อีกด้วย อีกไม่ช้าเรา(อัลเลาะห์) จะตอบแทนโทษอันเลวร้ายแก่บรรดาผู้ที่หันหลังให้โองการต่าง ๆ ของเราในฐานะที่พวกเหล่านั้นต่างให้หลังซึ่งโองการต่าง ๆ ของเราดังกล่าว
๑๕๘. พวกเหล่านั้นที่หาว่าบรรดาโองการของเราเป็นถ้อยคำเท็จหาได้รอคอยอันใดไม่นอกจากจะมีเหล่ามลาอิกะห์มายังพวกเหล่านั้นเพื่อปลิดชีพไปหรือจะมีการลงทัณฑ์จากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า( มุฮำมัด) มาถึง หรือจะมีสัญญาณบางอย่างจาก ๑๐ สัญญาณแสดงลางแหงวันสิ้นโลกจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า (มุฮำมัด) มาถึงพวกเหล่านั้นในวันกิยามะห์เท่านั้น กล่าวคือ ๑. ดัจยาล ๒. สัตว์ชื่อสะฮ๊าบ(เมฆ) ออกจากทางสอาย์ มีรูปประหลาดมหัศจรรย์มาก ๓. ธรณีสูบทางทิศตะวันออก ๔. ธรณีสูบทางทิศตะวันตก ๕. ธรณีสูบที่เกาะอาหรับ ๖. มีหมอกควัน ๗. ดวงอาทิศขึ้นทางทิศตะวันตก ๘. ยะอ์ยูจ ๙. มะอ์ยูจ ๑๐. พระนบีอีซาลงมาสู่พิภพและมีเพลิงพุ่งจากนครอะดัน(เอเด็น)เพื่อขับไล่ปวงชนไปรวมกันที่ทุ่งมะห์ชัร(สันนิบาตมหาชน)
   ความจริงเรื่องของสัญญาณแสดงลางแห่งวันกิยามะห์นี้ มีอัล-หะดีษ เสนอโดยอัลบุคอรีย์บรรยายไว้บทหนึ่งว่า วารกาลแห่งวันกิยามะห์ยังปรากฏขึ้นมิได้จนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก อัลหะดีษบทนี้มีท่านไบหะกีย์นักรายงานอัล-หะดีษผู้หนึ่งได้สน้บสนุนไว้ในคัมภีร์หนึ่งว่าด้วยเรื่อง “การเกิดใหม่และความชุลมุน” ซึ่งท่านผู้นี้ได้รับรายงานมาจากท่านฮากิมพ่ออับดุลเลาะห์อีกทอดหนึ่ง มีใจความว่า “แท้จริงสัญญาณประการแรกของสัญญาณต่าง ๆ นั้นคือ จะปรากฏมีดัจยาล ถัดมาพระนบีอีซาลงสู่พิภพ แล้วยะอ์ยูจกับมะอ์ยูจอุบัติขึ้น ต่อมามีสัตว์อุบัติขึ้นและดวงอาทิตย์จะขึ้นทารงทิศตะวันตก ซึ่งนับว่าสัญญาณสุดนี้เป็นสัญญาณหนึ่งที่สำคัญยิ่งที่ปวงกาฟิรทั้งหลายจะยอมเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามในตอนที่พระนบีอีซาลงมาปรากฏตัวยังพื้นพิภพ ถึงแม้ว่าความศรัทธาของพวกเขาเหล่านั้นในขณะนั้นจะไม่ยังประโยชน์อันใดแก่พวกเขาเลยก็ตาม ครั้นเมื่อศาสนากลับมีเพียงศาสนาเดียวคืออิสลาม และเมื่อพระนบีอีซากับคณะชนที่เป็นมุสลิมยึดครองอำนาจแล้ว พวกกาฟิรส่วนใหญ่จะกลับใจไปนับถือศาสนาเดิมของตน ในขณะนี้เองดวงอาทิตย์จะโคจรมาขึ้นทางทิศตะวันตก มวลมนุษย์บนพิภพแลเห็นเช่นนั้นเข้า ก็รีบศรัทธา อัลเลาะห์จรึงตรัสว่า ในวันที่มีสัญญาณบางอย่างจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า(มุฮำมัด) คือดวงอาทิตย์จะขึ้นสู่ท้องฟ้าทางทิศตะวันตก ปรากฏขึ้นนั้น ความศรัทธา(อีมาน) ของคนใด ไม่ว่าจะเป็นของคนกาฟิรหรือมุอ์มินผู้ทรยศซึ่งแต่เดิมมิเคยได้ศรัทธามาก่อน จากดวงอาทิศขึ้นทางตะวันตกหรือที่ผู้นั้นอุตส่าห์สั่งสมความดีงามอยู่ในความศรัทธาชั่วแล่นนี้ย่อมไม่ยังประโยชน์แก่ผู้นั้นเลย นั่นแสดงว่าอัลเลาะห์จะไม่ทรงรับรองการขอรับสารภาพกลับใจของผู้นั้นเสียแล้ว โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนมุชริกและพวกที่หาว่าเจ้าพูดเท็จเกี่ยวกับเวลากาลแห่งวันกิยามะห์เถิดว่า พวกเจ้าจงคอยดูสัญญาณข้อหนึ่งข้อใดดังกล่าวซึ่งอัลเลาะห์ได้ทรงสัญญาไว้แก่พวกเจ้าซิ ส่วนเรา(อัลเลาะห์) นั้นกำลังรออยู่แล้วที่จะลงโทษพวกเจ้าในภพหน้าหรือในภพนี้ตามที่เราได้สัญญาไว้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:47 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 159 - 160


คำแปล R1.
159. Verily, those who divide their religion and break up into sects (all kinds of religious sects), you (O Muhammad) have no concern in them in the least. Their affair is only with Allah, who then will tell them what they used to do.
160. Whoever brings a good deed (Islamic Monotheism and deeds of obedience to Allah and his Messenger) shall have ten times the like thereof to his credit, and whoever brings an evil deed (polytheism, disbelief, hypocrisy, and deeds of disobedience to Allah and his Messenger ) shall have only the Recompense of the like thereof, and they will not be wronged.


คำแปล R2.
159. แท้จริงบรรดาผู้แตกแยกศาสนาของพวกเขา(พวกยะฮูดีและนัซรอนี)และพวกเขาตั้งกันเป็นพรคพวก ที่จริงตัวของเจ้าหาได้เป็นผู้หนึ่งจากพวกนั้นไม่(ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน)สักในกรณีใดก็ตาม แท้ที่จริงกิจการของพวกเขาย่อมกลับคืนสู่อัลเลาะฮฺ หลังจากนั้นพระองค์ก็จะทรงแจ้งให้พวกเขาทราบถึงสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้
160. ผู้ใดนำมาซึ่งความดีงามหนึ่ง แน่นอนเขาได้รับผลตอบแทนสิบเท่าของมัน และผู้ใดนำมาซึ่งความชั่วหนึ่งแน่นอนเขามิถูกตอบแทน(ให้เกินไปกว่านั้นเลย)นอกจากเพียงเท่าตัวของมันเท่านั้น และพวกเขาจะไม่ถูกฉ้อฉลเลย


คำแปล R3.
159. แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขาและแตกเป็นนิกายนั้นเจ้า(มุฮัมมัด)ไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้กับพวกเขาแต่อย่างใด แท้จริง เรื่องของพวกเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ แล้วพระองค์จะทรงแจ้งพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้
160. ผู้ใดนำมาซึ่งการดี ดังนั้นสำหรับเขาจะได้รับการตอบแทนเป็นสิบเท่าสำหรับความดีนั้น และผู้ใดนำมาซึ่งการชั่ว เขาก็จะถูกตอบแทนเพียงเยี่ยงนั้น และพวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรม


คำแปล R4.
159. แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และพวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ นั้นเจ้า (มุฮัมมัด) หาใช่อยู่ในพวกเขาแต่อย่างใดไม่แท้จริงเรื่องราวของพวกเขานั้น ย่อมไปสู่อัลลอฮฺแล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
160. ผู้ใดที่นำความดีมา เขาก็จะได้รับสิบเท่าของความดีนั้น และผู้ใดนำความชั่วมาเขาจะไม่ถูกตอบแทน นอกจากเท่าความชั่วนั้นเท่านั้น และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม


คำแปล R5.
๑๕๙. แท้จริงบรรดาปวงชนยะฮูดีและนัซรอนีที่ถือศาสนาแตกต่างกันเนื่องจากความขัดแย้งกันในเรื่องศาสนาที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายนับถือ คือพวกยะฮูดี เลื่อมใสพระนบีมูซา แต่มิได้เลื่อมใสพระนบีอื่น ๆ ส่วนพวกนัซรอนีก็เลื่อมใสพระนบีอีซาไม่ยอมเลื่อมใสพระนบีอื่น ทั้งพวกเขาเหล่านั้นยังได้ปลีกกันเป็นลัทธิยอมดำเนินแนวตามเจ้าแห่งลัทธินั้น โอ้ มุฮำมัด ตัวเจ้าหาได้เกี่ยวข้องกับการถูกใช้ให้สู้รบกับพวกเหล่านั้นแต่ประการใดไม่ ความในส่วนแห่งโองการที่ว่า “เจ้าหาได้เกี่ยวข้องฯ ถูกยกเลิกแล้ว กิจการทั้งปวงของพวกเหล่านั้นจะกลับไปยังการสอบสวนของอัลเลาะห์โดยเฉพาะ พระองค์ทรงควบคุมพวกเหล่านั้นเอง ต่อแต่นั้น(ในภพหน้า) พระองค์ก็จะทรงแจ้งแก่พวกเหล่านั้นให้รู้ผลแห่งการที่พวกนั้นได้กระทำกันไว้ แล้วจะทรงตอบสนองให้พวกเหล่านั้นได้รับผลกรรมที่ตนกระทำกัน
๑๖๐. ผู้ใดที่มีคุณธรรมซึ่งกระทำไว้แต่หนหลังในภพดุนยาติดตัวไปด้วยในวันกิยามะห์ ผู้นั้นย่อมได้รับส่วนแห่งการตอบแทนความดีงามนั้นสิบเท่าตัวเป็นอย่างต่ำ แต่อาจได้รับผลตอบแทนตามสัญญาเป็นเจ็ดสิบเท่าก็ได้ เป็นเจ็ดร้อยเท่าหรือจนสุดประมาณก็ได้ และถ้าผู้ใดที่มีความเลวร้ายที่กระทำไว้แต่หนหลังในภพดุนยาติดตัวไปด้วยในวันกิยามะห์ ผู้นั้นย่อมได้รับตอบแทนเพียงเท่าตัวแห่งความเลวร้ายเท่านั้น โดยที่พวกนั้นทั้งที่ทำคุณความดีและความเลวร้ายจะไม่ถูกอยุติธรรมเลย กล่าวคือ ข้าจะไม่เพิ่มและไม่ลดการตอบแทนโทษให้แก่พวกนั้นเลยแม้แต่น้อย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:47 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 161 - 163


คำแปล R1.
161. Say (O Muhammad): "Truly, my Lord has guided me to a straight path, a right religion, the religion of Ibrahim (Abraham), Hanifa [i.e. the true Islamic Monotheism - to believe in one God (Allah i.e. to worship none but Allah, alone)] and he was not of Al-Mushrikun (See V.2:105)."
162. Say (O Muhammad): "Verily, my Salat (prayer), my sacrifice, my living, and my dying are for Allah, the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns and all that exists).
163. "He has no partner. And of this I have been commanded, and I am the first of the Muslims."


คำแปล R2.
161. จงประกาศเถิด !”แท้จริงฉันนี้องค์อภิบาลของฉันได้ชี้นำฉันสู่ทางอันเที่ยงตรง เป็นศาสนาอันมั่งคง นั่นคือศาสนาอิบรอฮีม ผู้ทรงคุณธรรมและเขาหาใช่เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ตั้งภาคีไม่
162. จงประกาศเถิด ! แท้จริงการละหมาดของฉัน ศาสนพิธีของฉัน การมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันล้วนเป็นสิทธิของอัลเลาะฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งโลกทั้งมวล
163. พระองค์ไม่มีภาคีใด ๆ ทั้งสิ้น และโดยสิ่งนั้น(ที่ให้ยึดมั่นในเอกภาพของอัลเลาะฮฺ)ฉันได้รับบัญชามา และฉันเป็นผู้แรกสุดจากปวงผู้สวามิภักดิ์(ในพระองค์)


คำแปล R3.
161. (มุฮัมมัด)จงกล่าวเถิด “สำหรับฉันนี้พระผู้อภิบาลของฉันได้ทรงนำฉันสู่ทางเที่ยงตรง เป็นศาสนาอันมั่นคงเป็นแนวทางของอิบรอฮีมผู้เที่ยงธรรมและเขาไม่ได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี”
162. จงกล่าวเถิดแท้จริงการนมาซของฉัน พิธีกรรมเคารพภักดีของฉัน และชีวิตของฉันและการตายของฉันล้วนเพื่ออัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
163. ไม่มีภาคีใด ๆ เทียบเทียมพระองค์และนี่เป็นสิ่งที่ฉันได้ถูกบัญชาและฉันเป็นคนแรกของบรรดาผู้นอบน้อมยอมจำนนต่อพระองค์


คำแปล R4.
161. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงฉันนั้น พระเจ้าของฉันได้แนะนำฉันไปสู่ทางอันเที่ยงตรง คือศาสนที่เที่ยงแท้อันเป็นแนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริง และเขา(อิบรอฮีม) ไม่เป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ให้มีภาคีขึ้น
162. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮฺของฉัน และการมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น
163. ไม่มีภาคีใด ๆ แก่พระองค์ และด้วยสิ่งนั้นแหละข้าพระองค์ถูกใช้ และข้าพระองค์คือคนแรกในหมู่ผู้สวามิภักดิ์ทั้งหลาย


คำแปล R5.
๑๖๑. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาวมักกะห์ว่า สำหรับฉันนั้น องค์พระผู้อภิบาลได้ทรงแนะนำหนทางไปสู่วิถีทางอันเที่ยงตรง เป็นศาสนาที่มั่นคงให้อยู่แล้ว ได้แก่ศาสนาอิบรอฮีมผู้แน่วแน่ และแปรผันออกจากทุก ๆ ศาสนาที่ไม่เที่ยงแท้ โดยที่เขา(อิบรอฮีม) นั้นหาได้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้เคารพบูชาอื่นจากอัลเลาะห์เป็นการถือภาคีไม่
๑๖๒. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาวมักกะห์เถิดว่าแท้จริงการละหมาดของฉันก็ดี พิธีกรรมทางฮัจย์และพิธีการอื่น ๆ ของฉันก็ดี ความมีชีวิตอยู่และความตายของฉันก็ดี ย่อมเป็นสิทธิของอัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
๑๖๓. ไม่มีภาคีเทียบเทียมพระองค์เลย ไม่ว่าในยามดำรงละหมาด ในยามประกอบพิธีฮัจย์ตลอดทั้งในยามเป็น ยามตาย โดยนัยแห่งเอกภาพของพระองค์นี้เอง ฉันจึงถูกบัญชาใช้ให้เคารพสักการบูชาในพระองค์ ทั้งฉันก็เป็นผู้ศรัทธา(มุอ์มิน) คนแรกจากปวงประชากรผู้ศรัทธาของฉัน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:46 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
อัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลอันอาม อายะฮฺที่ 164 - 165


คำแปล R1.
164. Say: "Shall I seek a Lord other than Allah, while He is the Lord of all things? No person earns any (sin) except against himself (only), and no bearer of burdens shall bear the burden of another. Then unto your Lord is your return, so He will tell you that wherein you have been differing."
165. And it is He who has made you generations coming after generations, replacing each other on the earth. And He has raised you in ranks, some above others that He may try you in that which He has bestowed on you. Surely your Lord is swift in retribution, and certainly He is Oft-Forgiving, Most Merciful.


คำแปล R2.
164. จงประกาศเถิด ! จะให้ฉันแสวงหาพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์กระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงเป็นผู้อภิบาลทุก ๆ สิ่งและจะไม่ขวนขวายโดยชีวิตทุกชีวิตนอกจากต้องเป็นภาระของเขาที่รับผิดชอบ(ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย) และผู้ทำบาปหนึ่งย่อมไม่รับผิดชอบบาปของผู้อื่น หลังจากนั้นสู่องค์อภิบาลของพวกเจ้าคือเป้าหมายสุดท้ายของพวกเจ้า แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเจ้าทราบยังสิ่งที่พวกเจ้าเคยพิพาทกันมาก่อน
165. และพระองค์เป็นผู้ทรงบันดาลพวกเจ้าให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจแผ่นดินและทรงยกย่องพวกเจ้าบางส่วนให้เหนือกว่าอีกบางส่วนเป็นหลายฐานันดร ทั้งนี้เพื่อพระองค์ทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานแก่พวกเจ้า แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้าทรงลงโทษอย่างรวดเร็ว และแท้จริงพระองค์ทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
164. จงกล่าวเถิด “จะให้ฉันแสวงหาพระผู้อภิบาลอื่นจากอัลลอฮฺกระนั้นหรือในเมื่อพระองค์ทรงเป็นผู้อภิบาลของทุกสิ่ง? และทุกชีวิตล้วนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองขวนขวายไว้เพราะไม่มีผู้แบกภาระคนใดแบกภาระของผู้อื่นได้ แล้วในที่สุดพวกท่านก็จะต้องกลับไปหาพระผู้อภิบาลของพวกท่าน แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านในสิ่งที่พวกท่านได้ขัดแย้ง
165. และพระองค์คือผู้ทรงทำให้พวกท่านเป็นตัวแทนบนหน้าแผ่นดินและทรงยกฐานะของพวกท่านบางคนให้เหนือกว่าอีกบางคนเพื่อที่พระองค์จะทรงทดลองพวกท่านในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แก่พวกท่าน แท้จริงพระผู้อภิบาลของพวกท่านเป็นผู้ทรงฉับพลันในการลงโทษ และแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงให้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
164. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า อื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ที่ฉันจะแสวงหาพระเจ้า? ทั้ง ๆ ที่พระองค์นั้นเป็นพระเจ้าของทุกสิ่ง และแต่ละชีวิตนั้นจะไม่แสวงหาสิ่งใด นอกจากจะเป็นภาระแก่ชีวิตนั้นเองเท่านั้น และไม่มีผู้แบกภาระคนใดจะแบกภาระของผู้อื่นได้แล้วยังพระเจ้าของพวกเจ้านั้น คือการกลับไปของพวกเจ้า แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน
165. และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเป็นผู้สืบแทนในแผ่นดิน และได้ทรงเทิดบางคนของพวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคนหลายขั้นเพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเจ้า แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น เป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา

 
คำแปล R5.
๑๖๔. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาวมักกะห์เถิดว่า ฉันไม่เสาะแสวงผู้อื่นจากอัลเลาะห์มาเป็นพระผู้อภิบาลหรอก พระองค์ อัลเลาะห์ทรงเป็นพระผู้อภิบาลปกครองทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว จึงไม่สมควรเลยที่ทุกสิ่งที่ถูกพระองค์ปกครองจะเข้ามาเป็นภาคีกับผู้ปกครอง พวกกาฟิรชาวมักกะห์บอกแก่พวกมุสลิมว่า พวกท่านจงเจริญรอยตามวิถีทางของพวกเราซิ และในวันกิยามะห์พวกเราก็จะช่วยแบกภาระแหงบาปของพวกท่าน พระดำรัสจากอัลเลาะห์จึงมีลงมาว่า ทุก ๆ ชีวิตจะได้รับบาปกรรมเฉพาะที่ตนอุตสาหะกระทำเองเท่านั้น มิใช่ต้องรับบาปที่ผู้อื่นกระทำ ย่อมไม่มีผู้ใดเลยที่กระทำความดีและความชั่วต้องรับภาระบาปของผู้อื่น เว้นแต่บาปของเจ้าทรัพย์หรือเจ้าหนี้ที่ถูกคนทั้งสอง(ผู้ทำความดีและผู้ทำความชั่ว)ฉ้อโกงอย่างหนึ่ง บาปของผู้ใดที่ถูกคนทั้งสองนั้นใช้หรือชักชวนให้กระทำบาปนั้น ๆ อย่างหนึ่งและบาปของผู้ใดที่เจริญรอยตามคนทั้งสองนั้นอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น ครั้นแล้วในบั้นปลายของพวกเจ้าก็จะกลับคืนไปยังการสอบสวนขององค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเจ้า แล้วพระองค์จะทรงแจ้งให้พวกเจ้าทราบถึงเรื่องของศาสนาที่พวกเจ้าได้เคยขัดแย้งกันมา
๑๖๕. และพระองค์ทรงเป็นผู้ให้พวกเจ้าเป็นผู้มาแทนพวกที่ถูกทำลายชาติพันธุ์ไปแล้ว ณ หน้าแผ่นดิน ทั้งพระองค์ยังได้ทรงยกระดับพวกเจ้าไว้เหนือกว่าอีกพวกหนึ่งเป็นหลายขั้นในทางรูปสมบัติบ้าง ในทางทรัพย์สินบ้าง ในด้านศักดิ์ตระกูลบ้าง ในด้านคุณวุฒิและพลานามัยดีบ้าง ทั้งนี้เพื่อที่พระองค์จะทรงแสดงความรอบรู้อันมีอยู่แล้วแต่อดีตต่อพระองค์ให้ปรากฏแก่พวกเจ้า เหมือนดังจะทรงลองใจพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องรูปสมบัติ ทรัพย์สิน ศักดิ์ตระกูล เกียรติยศ คุณวุฒิและพลานามัย ที่พระองค์ได้ทรงให้เกิดมีขึ้นแก่พวกเจ้า ว่าในหมู่ของพวกเจ้านั้นจะมีใครที่ปฏิบัติตามห้ามและไม่ขอบพระคุณ และพระองค์ได้ทรงให้ส่วนหนึ่งจากพวกเจ้าตกต่ำลงโดยมีรูปอัปลักษณ์ ยากจนข้นแค้น ตระกูลต่ำ มีความโง่งมอัปปัญญาและอ่อนแอ เพื่อที่พระองค์จะทรงแสดงความรอบรู้อันมีอยู่แล้วแต่อดีตของพระองค์ให้ปรากฏแก่พวกเจ้าว่า ในหมู่พวกเจ้านั้นจะมีคนใดบ้างที่อดทนและไม่ยอมอดทน แท้จริงองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้า(มุฮำมัด) นั้นทรงเป็นองค์ลงอาญาผู้ทรยศโดยฉับพลันยิ่งนัก เมื่อถึงเวลา แหละว่าพระองค์นั้นทรงยิ่งในการอภัยโทษแก่มวลชนมุอ์มิน ทรงโปรดปราณียิ่งต่อพวกนั้น



ดำรัสของอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่เป็นจริงเสมอ (صدق الله العظيم)
จบสูเราะฮฺที่ 6 อัล-อันอาม
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 27, 2013, 01:46 PM โดย Bangmud »

 

GoogleTagged