ผู้เขียน หัวข้อ: หะดีษ “อัษ-ษิเกาะลัยนฺ” (คัมภีร์ของอัลลอฮ์ และเชื้อสายแห่งอะห์ลุลบัยต์ของฉัน)  (อ่าน 1431 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/

الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛

หะดีษที่เรียกกันว่า หะดีษ “อัษ-ษิเกาะลัยนฺ” หรือ หะดีษ “อัล-อิตเราะฮฺ” อิหม่าม อัต-ติรมิซียฺบันทึกไว้ในสุนันของท่าน 2 สายรายงานคือ


1) นัศรฺ อิบนุ อับดิรเราะหฺมาน อัล-กูฟียฺ และ ซัยดฺ อิบนุ อัล-หะสัน คือ อัล-อันมาฎียฺ จากญะอฺฟัร อิบนุ มุฮัมหมัด จากบิดาของเขา จากญาบิร อิบนิ อับดิลลาฮฺ ว่า :

“ฉันเห็นท่านรสุล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ในการประกอบพิธีหัจญ์ของท่านในวันอะรอฟะฮฺ ขณะที่ท่านอยู่บนหลัง อัล-กอศวาอฺ อูฐของท่านโดยกำลังกล่าวคุฎบะฮฺ ฉันได้ยินท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า :

"ياأيهاالناس ، قدتركتُ فيكم ماإن أَخْذْتُمْ به لَنْ تَضِلُّوْا ، كتابَ اللهِ وعِتْرَتِيْ أَهْلَ بَيْتِيْ"

โอ้ประชาชาติทั้งหลาย แท้จริงฉันได้ละทิ้งไว้ในหมู่พวกเจ้า ซึ่งสิ่งที่ถ้าหากพวกท่านยึดถือมันไว้ พวกท่านก็จะไม่หลงผิด นั่นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ และเชื้อสายแห่งอะห์ลุลบัยต์ของฉัน



2) อะลี อิบนุ อัล-มุนซิร อัล-กูฟียฺ เล่าจากมุฮัมหมัด อิบนุ ฟุฎอยลฺ ว่า อัล-อะอฺมัช เล่าจาก อะฏียะฮฺ จาก อะบี สะอีด และ อัล-อะฮฺมัช เล่าจาก หะบีบ อิบนุ ษาบิต จาก ซัยดฺ อิบนุ อัรก็อม ทั้งสองกล่าวว่า : ท่าน รสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า :

"إني تارك فيكم ماإِنْ تَمَسَّكْتُمْ به لن تَضِلُّوابعدي ، أحدُهماأعظَمُ مِنَ الآخَرِ كتابُ الله حَبْلٌ مَمْدُوْدٌ مِنَ السَّمَاءِ إلى الأرضِ وعِتْرَتِي أهلُ بَيْتي ، ولَنْ يتفرقاحتى يردا على الحَوْضِ ، فانظُرواكيف تَخلُفُوْ ني فيهما"

“แท้จริงฉันได้ละทิ้งไว้ในหมู่พวกท่าน ซึ่งหากว่าพวกท่านได้ยึดมั่นมันไว้แล้ว พวกท่านย่อมไม่หลงทางภายหลังฉัน หนึ่งในสองสิ่งนั้นใหญ่กว่าอีกอันหนึ่ง คือ กิตาบุลลอฮฺสายเชือกที่ถูกยื่นมาจากฟากฟ้าสู่แผ่นดินโลก และเชื้อสายวงศ์วานของฉัน ทั้งสองจะไม่พรากจากกันจนกว่าทั้งสองจะเข้ามาถึงยังสระน้ำ ฉะนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่าพวกท่านจะคล้อยหลังฉันในสิ่งทั้งสองนั้นอย่างไร?


อิหม่าม อัต-ติรมิซียฺ ระบุว่าทั้งสองสายรายงานนี้ เป็นหะดีษหะสัน เฆาะรีบ

ในสายรายงานที่ 1 นั้น มี ซัยดฺ อิบนุ อัล-หะสัน อัล-อัมาฏียฺ อัล-กูฟียฺ ซึ่ง อบูหาติมกล่าวถึงบุคคลผู้นี้ว่า : เป็นชาวกูฟะฮฺ มายังแบกแดดรายงานหะดีษมุงกัรฺ และอิบนุ ฮิบบาน ระบุเขาไว้ใน อัษ-ษิกอตฺ, มุฮัมหมัด นาศิรุดดีน อัล-อัลบานียฺ กล่าวว่า สายรายงานของหะดีษนี้อ่อน (เฎาะอีฟ) (มิชกาตุลมะศอบีหฺ 3/1735)



และคุฏบะฮฺของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) ในหัจญ์อำลานั้น อิหม่ามมุสลิมรายงานเอาไว้ในเศาะฮีหฺของท่านจากอิหม่าม อัศ-ศอดิก จากบิดาของท่านจากญาบิร แต่ไม่มีประโยคที่ว่า : “และเชื้อสายวงศ์วานของฉัน” (وعترتي أهل بيتي) และคุฏบะฮฺนี้ก็ถูกรายงานจากญาบิร (ร.ฎ.) ด้วยสายรายงานจำนวนมากในตำราอัส-สุนนะฮฺก็ไม่มีการเพิ่มเติมตรงนี้ปรากฏอยู่เลย (อะกีดะฮฺ อัล-อิมามะฮฺฯ ; ดร.อะลี อะหฺหมัด อัส-สาลูส หน้า 132)



ในสายรายงานที่ 2 นั้น อิหม่ามอัต-ติรมิซียฺ รายงานจาก อะลี อิบนุ อัล-มุนซิร อัล-กูฟียฺ จากมุฮัมหมัด อิบนุ ฟุฎอยล์ แล้วสายรายงานก็แบ่งออกเป็น 2 สาย สายที่หนึ่งสุดที่ อะฏียะฮฺ จาก อบี สะอีด สายที่ 2 สุดที่ ซัยดฺ อิบนุ อัรกอม (ร.ฎ.) ซึ่งไม่ปรากฏชัดเจนว่าสายใดเป็นต้นตอที่มา


เมื่อพิจารณาสายรายงาน 4 สาย ที่อิหม่าม อะหฺหมัด บันทึกไว้ในอัล-มุสนัด จากอบี สะอีด อัล-คุดรียฺ (ร.ฎ.) ซึ่งทั้งหมดรายงานโดย อะฏียะฮฺ จากอบี สะอีด โดยมีถ้อยคำเกือบจะสอดคล้องกันในตัวบทของสายรายงานทั้ง 4 กับรายงานที่ 2 ของอิหม่ามอัต-ติรมิซียฺ ก็ให้น้ำหนักได้ว่า สายที่สุดยังอะฏียะฮฺเป็นต้นตอที่มาของเรื่อง


ซึ่งอะฎียะฮฺ อิบนุ สะอฺด์ อิบนิ ญุนาดะฮฺ อัล-เอาวฺฟียฺ ผู้นี้ อิหม่ามอะหฺหมัด ระบุว่า รายงานหะดีษอ่อน และอัษ-เษารียฺ และ ฮะชิม ทั้งสองก็ถือว่าหะดีษที่อะฏียะฮฺรายงานเป็นหะดีษอ่อน อัน-นาสาอียฺ และอบูหาติมก็ถือว่าอะฏียะฮฺรายงานหะดีษอ่อนเช่นกัน แต่อิบนุ สะอฺด์ ถือว่าอะฏียะฮฺเชื่อถือได้ (ษิเกาะฮฺ) และยะหฺยา อิบนุ มะอีน ได้ถูกถามถึงหะดีษของอะฏียะฮฺว่าเป็นอย่างไร? เขาตอบว่า : ดี (ศอลิหฺ)




สรุปได้ว่า ทั้ง 2 สายรายงานของหะดีษ “อัษ-ษิเกาะลัยนฺ” ที่หมายถึง กิบตาบุลลอฮฺและอะฮฺลุลบัยตฺ ตามที่อิหม่าม อัต-ติรมิซียฺ บันทึกเอาไว้ในสุนันของท่านมีคำวิจารณ์ในสายรายงานและสถานภาพของผู้รายงานทั้ง 2 สายรายงาน ทำให้หะดีษนี้อ่อนหลักฐาน



แต่ถ้าหากหะดีษนี้เป็นหลักฐานในเรื่องความประเสริฐของบุคคลก็สามารถนำมาอ้างได้โดยพิจารณาตัวบทที่ระบุคู่กันระหว่างกิตาบุลลอฮฺและอะฮฺลุลบัยตฺ กล่าวคือ เมื่อหะดีษ อัษ-ษิเกาะลัยน์ ตามที่ระบุว่าหมายถึง “กิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ” (อย่างที่ชาวสุนนะฮฺมักจะนำมาอ้างอิงอยู่บ่อยครั้ง) ซึ่งถูกต้องทั้งสายรายงานและตัวบท ก็ตัองยึดในกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺเป็นหลัก เมื่ออะฮฺลุลบัยตฺยึดในกิตาบุลลอฮฺและสุนนะฮฺ อะฮฺลุลบัยตฺก็มีความประเสริฐทั้งทางการสืบเชื้อสายและการยึดมั่นกับ 2 สิ่งนั้น และพวกเขาก็คือผู้นำทางที่ยึดถือและปฏิบัติตามได้



อัล-มินาวียฺ อธิบายความของหะดีษนี้ว่า : “หากพวกท่านปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของกิตาบุลลอฮฺ และยุติด้วยคำสั่งห้ามของกิตาบุลลอฮฺ และพวกท่านก็เจริญรอยตามทางนำของลูกหลานของฉัน และเอาอย่างวิถีการครองตนของพวกเขา พวกท่านย่อมได้รับทางนำ แล้วพวกท่านจะไม่หลงทาง” (ฟัยฎุลเกาะดีร 3/14)



อัล-กุรฏุบีย์ กล่าวว่า : “คำสั่งเสียนี้ และการเน้นย้ำที่สำคัญนี้ ย่อมชี้ขาดว่าจำเป็นที่จะต้องให้เกียรติอะฮฺลุลบัยตฺ รับรองสถานภาพและยกย่องพวกเขา ตลอดจนมีความรักต่อพวกเขาเป็นความจำเป็นที่เน้นหนักซึ่งไม่มีข้ออ้างสำหรับผู้ใดในการที่ละเลยจากคำสั่งเสียนี้” และวงศ์วานของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้น พวกท่านมีธาตุที่ดี (คือสายเลือด) เมื่อธาตุดี ก็ย่อมเกื้อหนุนต่อการเข้าใจศาสนา การมีธาตุที่ดีย่อมนำไปสู่การมีจริยธรรมที่งดงามและจริยธรรมที่งดงามย่อมนำไปสู่หัวใจที่ผ่องใสมีความบริสุทธิ์หมดจด



ดังนั้นอะฮิลุลบัยตฺที่หมายถึงในอัล-หะดีษไม่ได้เจาะจงว่าเป็นผู้หนึ่งผู้ใดและไม่ได้กำหนดว่าต้องมีจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ตลอดจนอะฮฺลุลบัยตฺที่สมควรได้รับสถานภาพอันสูงส่งนั้นก็คือ ผู้รู้และผู้ปฏิบัติที่ไม่พรากจากอัล-กุรอานและสุนนะฮฺของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) นี่คือความต่างระหว่างอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺกับกลุ่มที่อ้างว่าตามแนวทางของอะลุลบัยตฺหรือลูกหลานของท่านอิหม่ามอะลี (ร.ฎ.) เพราะพวกเขาเลือกถือเอาเฉพาะบุคคลที่พวกเขาจะเอา และบุคคลที่ไม่เชื่อตามแนวทางของพวกเขาก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปฏิเสธทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านั้นเป็นลูกหลานของท่านอะลี (ร.ฎ.) เช่นกัน



والله اعلم بالصواب
وصلى الله على سيدنا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين


ที่มา : http://www.alisuasaming.com/index.php/webbord/32--/2025

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 30, 2011, 08:25 AM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



 

GoogleTagged