ผู้เขียน หัวข้อ: Logical Fallacy  (อ่าน 7679 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-islah

  • คนพิเศษ
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • *****
  • กระทู้: 187
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: ก.ค. 28, 2011, 11:50 PM »
0
taqwacore  ใช่คนที่คุยกับชีอะในคลิปป่าวครับ
ลาอีลาฮาอิลลัลลอฮฺ  มูฮัมมาดุรรอซูลุลลอฮฺ
   อีหม่าน  ยาเก่น  อาม้าลซุนนะห์นาบี

ออฟไลน์ Taqwacore

  • ...และจงกล่าวเถิด “เมื่อความจริง” ปรากฏขึ้นและความเท็จย่อมมลายไป แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ” [กุรอาน ซูเราะห์ อัลอิสรออฺ อายะฮฺที่ 81]
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 65
  • เพศ: ชาย
  • Assalamu'alaikum warahmatullahi wabarakatuh
  • Respect: -16
    • ดูรายละเอียด
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: ก.ค. 29, 2011, 04:34 PM »
0
taqwacore  ใช่คนที่คุยกับชีอะในคลิปป่าวครับ

ไม่ใช่ ครับ

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: ก.ค. 29, 2011, 04:38 PM »
0
นำเสนออีกครับ น่าสนๆ
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ webmaster

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • *****
  • กระทู้: 151
  • Respect: +7
    • ดูรายละเอียด
    • นักศึกษาซุนนะฮ์
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ก.ค. 29, 2011, 04:57 PM »
0
taqwacore  ใช่คนที่คุยกับชีอะในคลิปป่าวครับ

ไม่ใช่ ครับ

ตกลงว่า อามีน ลอนา ไม่ได้เข้ามาชี้แจงทีเหรอ

มาร่วมมือร่วมใจกันลดภาระของผู้ดูแลง่ายๆ ด้วยวิธี
  • ค้นหากระทู้ ก่อนตั้งคำถามใหม่
  • โพสให้ถูกที่ถูกทางถูกกระทู้ถูกหมวดหมู่
  • ใช้อีเมลที่ถูกต้องและมีอยู่จริง -- ผู้ดูแลไม่ไหวจะเชคเมลที่มาจากระบบเตือนว่าเมลนั้นไม่มีถูกต้อง


ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ก.ค. 29, 2011, 05:03 PM »
0
taqwacore  ใช่คนที่คุยกับชีอะในคลิปป่าวครับ

ไม่ใช่ ครับ

ตกลงว่า อามีน ลอนา ไม่ได้เข้ามาชี้แจงทีเหรอ

            รอให้อามีน ลาดกระบัง เปิดไฟเขียวอยู่มั้ง อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 30, 2011, 04:53 PM โดย Al Fatoni »
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: ก.ค. 29, 2011, 05:26 PM »
0

ทำอะไรของท่านนะ

ออฟไลน์ Taqwacore

  • ...และจงกล่าวเถิด “เมื่อความจริง” ปรากฏขึ้นและความเท็จย่อมมลายไป แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ” [กุรอาน ซูเราะห์ อัลอิสรออฺ อายะฮฺที่ 81]
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 65
  • เพศ: ชาย
  • Assalamu'alaikum warahmatullahi wabarakatuh
  • Respect: -16
    • ดูรายละเอียด
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: ก.ค. 29, 2011, 05:39 PM »
0
อย่าหลงกับคำอธิบายแบบขอไปที


 อย่าหลงกับคำอธิบายแบบขอไปที แก้ตัว หาทางออก เพราะถ้าเรายังไม่สามารถแยกออกระหว่าง 1. คำอธิบายที่มีเหตุผลถูกต้องตามกระบวนการใช้เหตุผลจริงๆ โดยมีหลักฐานที่ตรงๆกับเรื่องนั้นๆมายืนยันเพื่อเป็นการอธิบายให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น  กับ 2.  การอธิบายแบบขอไปทีหาทางออกให้กับตนเอง เป็นการสร้างคำอธิบายขึ้นมาเอง ทึกทักคำอธิบายขึ้นมาเอง โดยปราศจากหลักฐาน  เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น ความเชื่อหรือจุดยืนของตนเองจะถูกทำลาย ถูกหักล้างในที่สุด

 เพราะฉะนั้นเราจะต้องแยกให้ออก เพราะถ้าเรายังแยกไม่ออก จะไม่มีความหมายเลยในการแสวงหาสัจธรรมความจริง แม้แต่ในบริทบของต่างศาสนิกก็เช่นกัน  เขาก็จะอ้าง หรือสร้างคำอธิบายขึ้นมาเพื่อหาทางออกให้กับจุดยืนหรือความเชื่อของตนเอง สุดท้ายเราก็จะไม่สามารถแยกแยะหรือรู้ได้เลยว่า อะไรคือสัจธรรมความจริงกันแน่ และอะไรคือความเท็จ  เพราะยังไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างคำอธิบายทั้งสองประเภทที่ได้กล่าวไป 

เหตุการณ์ที่ค้านกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จะต้องถูกอธิบาย ชี้แจง โดยใช้หลักฐานอธิบายไม่ใช่ใช้การทึกทักเอาเองเพื่อหาทางออก เช่น การที่ท่านอาลีได้ตั้งชื่อลูกๆตนเองด้วยชื่อของบรรดาผู้ที่ชาวชีอะฮฺเกลียดชัง เช่น อบูบักร อุมัร อุสมาน อาอิชะฮฺ  ชีอะฮฺต้องตอบด้วยหลักฐานให้ได้ว่า ถ้าท่านอาลีเกลียดชังคนเหล่านี้จริง แล้วทำไมท่านจึงได้ตั้งชื่อลูกๆของท่านด้วยชื่อของท่านเหล่านี้ด้วย แต่ถ้าไม่สามารถอธิบายได้อย่างถูกต้องโดยไม่ทึกทักเอาเอง นั่นก็หมายความว่า คำกล่าวอ้างของชีอะฮฺเป็นสิ่งที่ผิดพลาด

 แม้แต่การสาบานของชีอะฮฺก็สามารถถือเป็นการตะกียะฮฺได้  เพราะฉะนั้นเราต้องถามชีอะฮฺก่อนว่า มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ในฝ่ายคุณไหมว่า ถ้าใครสาบานเท็จแล้วจะเห็นผลทันตา ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องสาบาน เพราะมันไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ว่าคุณพูดจริงหรือเท็จ เพราะคุณสามารถทำการตะกียะฮฺได้ แต่ถ้าคุณอ้างว่า ถ้าใครสาบานเท็จ ก็จะเห็นผลทันตา ถ้าเช่นนั้น ผมขอพิสูจน์ โดยขอสาบานว่า อบูบักร อุมัร อุสมาน และท่านหญิงอาอิชะฮฺเป็นชาวสวรรค์ อย่างแน่นอน ขอถามชีอะฮฺว่าผมพูดจริงหรือเท็จ  ถ้าผมพูดเท็จเช่นนั้น คุณจะเห็นผลที่จะเกิดขึ้นกับผมทันตา แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นแสดงว่า ผมพูดจริง และพิสูจน์ไปโดยปริยายว่าชีอะฮฺพูดเท็จ

1. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว (เช่นเหตุการณ์ เอ ) และ มีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกันที่จะสามารถนำมาใช้อธิบายอีกเหตุการณ์ เอ ได้  เพื่อให้เกิดความกระจ่างหรือขจัดความสงสัย หรือสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน
2. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว (เช่นเหตุการณ์ เอ )  และ มีสิ่งที่ถูกทึกทักขึ้นมาเอง  หรือ สร้างคำอธิบายขึ้นมาเอง โดยปราศจากหลักฐานใดๆที่จะเกี่ยวข้องกัน ที่สามารถที่จะถูกนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ เอ ได้ 
3. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว  (เช่นเหตุการณ์ เอ )  และก็มีความจริงอีกอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้น แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันที่จะสามารถถูกนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ เอ ได้  แต่ถูกสร้างภาพหรือวางเงื่อนไขเอาเอง หรือโยงเอาเอง ว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน และสามารถสนับสนุนกันได้ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย 

          ถ้าใครก็ตามที่ทำในสิ่งที่ข้อ 2 และ 3 กล่าว ก็จะถือว่าไร้ซึ่งความเป็นวิชาการ และเชื่อถือไม่ได้ ตามหลักการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง  แต่เราจะเห็นได้ในหลายๆกรณีว่า พี่น้องชาวชีอะฮฺมักจะทำในสิ่งที่ได้กล่าวเอาไว้ในข้อที่ 2 และ 3 เพื่อเป็นการหาทางออกให้กับความเชื่อของตนเองที่ได้รับพิสูจน์ว่าผิดพลาดหรือขัดแย้งกันเอง ซึ่งถ้าเรามีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาแล้ว เราจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

เราจะต้องแยกให้ออกในสิ่งต่อไปนี้:

1. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว (เช่นเหตุการณ์ เอ ) และ มีความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกันที่จะสามารถนำมาใช้อธิบายอีกเหตุการณ์ เอ ได้  เพื่อให้เกิดความกระจ่างและขจัดความสงสัย 
2. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว (เช่นเหตุการณ์ เอ )  และ มีสิ่งที่ถูกทึกทักขึ้นมาเอง  หรือ สร้างคำอธิบายขึ้นมาเอง โดยปราศจากหลักฐานใดๆที่จะเกี่ยวข้องกัน ที่สามารถที่จะถูกนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ เอ ได้ 
3. มีความจริงอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว  (เช่นเหตุการณ์ เอ )  และก็มีความจริงอีกอย่างหนึ่งได้เกิดขึ้น แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันที่จะสามารถถูกนำมาใช้อธิบายเหตุการณ์ เอ ได้  แต่ถูกสร้างภาพหรือวางเงื่อนไขเอาเองว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งๆที่เปล่าเลย 

            ถ้าใครก็ตามที่ทำในสิ่งที่ข้อ 2 และ 3 กล่าว ก็จะถือว่าไร้ซึ่งความเป็นวิชาการ และเชื่อถือไม่ได้ ตามหลักการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง   

และเราจะต้องแยกให้ออกระหว่าง:

1. ถ้าเรื่องหนึ่งๆไม่ได้รับการอธิบายแล้ว ก็จะไม่มีอะไรเสียหาย และไม่มีผลแต่อย่างใด เช่น ศาสนิกถามว่าทำไมพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีนิ้วมือ และนิ้วเท้า อย่างละ 10 นิ้ว  หรือ ทำไม พระเจ้าต้องสร้างมนุษย์มาให้มีรูปร่างอย่างที่เป็นอยู่
 2. ถ้าเรื่องหนึ่งๆไม่ได้รับการอธิบายแล้ว ก็อาจจะไม่มีผลอะไรมาก โดยจำไม่ทำให้จุดยืนของคนๆหนึ่งต้องถูกหักล้างหรือถูกทำลายไป แต่อาจจะทำให้เกิดความไม่ชัดเจน หรือข้อสงสัยคาใจอะไรบางอย่าง เช่น ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้ผู้ที ภรรยาได้ถึง 4 คน ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้เกิดความชั่วมากมายเต็มไปหมดในโลก ทำไมพระเจ้าไม่ห้าม และคำถามอื่นๆ ในประเภทนี้ ซึ่งถ้าไม่ตอบหรือตอบไม่ได้ ก็จะไม่มีผลทำให้หลักฐานที่ยืนยันว่าพระเจ้ามีอยู่จริงเป็นโมฆะ เพราะมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน
 
3. ถ้าเรื่องหนึ่งๆไม่ได้รับการอธิบายอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการแล้ว ก็จะมีผลต้องทำให้จุดยืนหรือความเชื่อของคนๆหนึ่งต้องถูกทำลาย หรือ ถูกหักล้างไป และจะทำให้จุดยืนหรือความเชื่อนั้นๆเป็นโมฆะในที่สุด ทั้งนี้เพราะเกิดความขัดแย้งกัน และสิ่งใดก็ขัดแย้งกันเองสิ่งนั้นไม่สามารถเป็นจริงได้ เช่น  ข้อความที่หลังจากได้อธิบายไปแล้วด้วยหลักฐานในเรื่องเดียวกันที่เกี่ยวข้อง ก็จะเกิดความชัดเจนและขจัดสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งกันไปได้ เช่น ข้อความที่ว่า “ พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงเมตตาเสมอ และทรงเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง แต่กระนั้นก็ตาม กลับมีความชั่วร้าย เกิดขึ้นมากมายเต็มไปหมด มีคนจำนวนมากต้องทุกข์ทรมานอันเนื่องมารจากสาเหตุต่างๆ ต่างศาสนิกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าอาจจะถามว่า แล้วพระเจ้าภาษาอะไร ถึงได้เป็นอย่างนี้ ”  ซึ่งสามารถอธิบายด้วยหลักฐานได้ดังนี้:


“ เราจะต้องให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นเจ้าเป็นผู้ตอบคำถามเองว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และเรามาดูกันว่าคำตอบที่ได้มาจะขจัดสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเองได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์คนหนึ่งมีลูกศิษย์ 50 คน และเมื่อถึงวันสอบ ทุกคนก็ต้องทำข้อสอบ ถามว่าอาจารย์ต้องการให้นักเรียนทุกคนสอบผ่านหรือไม่ แน่นอนต้องการ และถามว่า อาจารย์รู้หรือไม่ว่าการสอบตกทำให้เกิดความทุกข์กับนักเรียน แน่นอนรู้  ในขณะที่อาจารย์คนนั้นกำลังคุมห้องสอบอยู่ เห็นโดยตลอดว่า นักเรียนคนไหน กากบาทข้อที่ผิด คำถามก็คือ ถ้าอาจารย์ต้องการให้นักเรียนทุกคนสอบผ่านจริง แล้วทำไมไม่ช่วยนักเรียนโดยบอกว่าอย่ากาข้อนั้น เพราะมันผิด... ถ้าอาจารย์ทำเช่นนั้น การสอบ ก็จะไม่ใช่การสอบอีกต่อไป และที่เรียกว่าเป็นการทดสอบก็จะไม่มีความหมายไปโดยปริยาย เช่นกัน พระเจ้าได้สร้างมนุษย์มาก็เพื่อการทดสอบ ตายเมื่อไหร่ก็หมดเวลาสอบ และหนึ่งในข้อสอบก็คือ สิ่งต่างๆที่จะมาประสบกับมนุษย์แต่ละคนโดยสิ่งนั้นทำให้มนุษย์ได้รับความทุกข์ใจ  หรือ ทุกข์ทรมาน แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้คำว่าพระเจ้ามีความเมตตาต่อทุกสิ่งต้องเป็นโมฆะไป เพราะพระเจ้าก็เมตตามนุษย์ในเรื่องต่างๆมากมาย”  เมื่อได้รับการอธิบายเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้สิ่งที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันได้ถูกขจัดไป

หรือ เรื่องๆหนึ่งที่เกิดขึ้น หรือ ข้อความหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ไม่สามารถขจัดข้อขัดแย้งออกไปได้ ถึงแม้ว่าจะอธิบายด้วยหลักฐานก็ตาม ทั้งนี้เพราะหลักฐานที่ได้นำมาอธิบายนั้น มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกันโดยตรง อันจะเป็นผลทำให้ความขัดแย้งกันนั้นได้ถูกขจัดออกไป  เช่น  ข้อความที่ว่า “พระเจ้าเป็นอยู่ชั่วนิรันดร พระเจ้าทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าไม่ทรงเหนื่อย หรือหลับนอน” และ ข้อความหรือเหตุการณ์ที่กลับชี้ชัดว่า   “ พระเจ้ามีการเกิด ไม่รอบรู้ทุกสิ่ง เหนื่อย และ มีการหลับนอน”   ตรงนี้ขัดแย้งกันอย่างแน่นอน  หรือถ้าเป็นในบริบทของชีอะฮฺ ก็คือ เหตุการณ์ที่ท่านอาลีนั้นให้การยอมรับการเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอบูบักร แถมยังชื่นชมท่าน       อบูบักรหลายครั้งด้วยกัน  ซึ่งชีอะฮฺไม่สามารถนำหลักฐานที่เกี่ยวข้องกันในเรื่องนี้มาอธิบายได้ เพื่อที่จะขจัดความขัดแย้งให้หมดไปได้ ขัดแย้งในที่นี้ก็คือ สิ่งที่ท่านอาลีได้กระทำออกมาหรือพูดออกมานั้น ขัดกับความเชื่อสำคัญของชีอะฮฺ ที่ว่าท่าน  อบูบักรนั้น มาแย่งชิงตำแหน่งการเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอาลี และถือว่าเป็นการเฟร  ซี่งเป็นเป็นเช่นนี้แล้ว จึงทำให้ความจริงปรากฎออกมาว่า ความเชื่อของชีอะฮฺนั้นผิดพลาด และถ้าชีอะฮฺจะกล่าวออกมาในทำนองว่า “ ที่เราเชื่อว่าอบูบักรนั้น มาแย่งชิงตำแหน่งการเป็นคอลีฟะฮฺของท่านอาลี และถือว่าเป็นการเฟร นั้น เราก็เชื่อด้วยหลักฐาน” นั้นก็ชัดเจนว่า หลักฐานของชีอะฮฺขัดแย้งกันเอง และสิ่งใดก็ตามที่เป็นสัจธรรมความจริง สิ่งนั้นจะต้องไม่มีความขัดแย้งกันเอง และชีอะฮฺไม่มีสิทธิที่จะนำเอาความเชื่อตัวเองมาอธิบายเหตุการณ์ที่ขัดแย้งกันเองนี้ได้ โดยการสร้างคำอธิบายแบบขอไปทีขึ้นมาเพื่อหาทางออกให้กับตนเอง  เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดพลาดในกระบวนการวิเคราะห์  แต่ชีอะฮฺจะต้องนำหลักฐานที่ตรงๆเรื่องมาให้ได้ว่าเพื่อที่จะอธิบายว่าทำไมท่านอาลีถึงได้ยอมรับ และชื่นชมท่านอบูบักร  โดยจะต้องไม่นำเอาหลักฐานเชื่อมโยงเอาเองมา ที่ไม่ตรงเรื่อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 29, 2011, 05:41 PM โดย Taqwacore »

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: ก.ค. 31, 2011, 04:06 PM »
0
ไม่ทราบ มีเป็นเล่ม หรือบทความให้โหลดแบบทีเดียวไม๊
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ Taqwacore

  • ...และจงกล่าวเถิด “เมื่อความจริง” ปรากฏขึ้นและความเท็จย่อมมลายไป แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ” [กุรอาน ซูเราะห์ อัลอิสรออฺ อายะฮฺที่ 81]
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 65
  • เพศ: ชาย
  • Assalamu'alaikum warahmatullahi wabarakatuh
  • Respect: -16
    • ดูรายละเอียด
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: ก.ค. 31, 2011, 06:25 PM »
0
ยังครับ

ออฟไลน์ Fikrah

  • ผู้เริ่มต้น....
  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 16
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: Logical Fallacy
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: ต.ค. 31, 2011, 09:57 AM »
0
:salam:

การสร้างเหตุผลอำพราง  ด้วยการบอกว่าเห็นเดือนเสี้ยวตอนตี 3 นั้น...มันอยู่ในเหตุผลประเภทใดที่คุณศึกษามาหรือ?...
:salam:

การสร้างเหตุผลอำพราง  ด้วยการบอกว่าเห็นเดือนเสี้ยวตอนตี 3 นั้น...มันอยู่ในเหตุผลประเภทใดที่คุณศึกษามาหรือ?...

Fallacy: Red Herring 

        เปลี่ยนประเด็นถกไปเรื่อยๆจนกว่าจะชนะ ซึ่งจุดมุ่งหมายของการถกเถียงคือการเอาชนะไม่ใช่การเอาความเข้าใจ ดังนั้นถึงแม้ถกเถียงไปก็ไม่เกิดความเข้าใจในประเด็นของฝ่ายตรงข้าม ก็เลยไม่สามารถศึกษาต่อเพื่อเอามาต่อยอดถกเถียงด้วยเหตุผล ท้ายสุดก็จบด้วยการผลักภาระการพิสูจน์ออกจากตน

 

GoogleTagged