ข้อมูลจาก การสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของประชาชนไทยอายุ ๑๕ ปีขึ้นไป ตั้งแต่ปี ๒๕๓๔-๒๕๕๐ พบว่า ในช่วง ๑๕ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้สูบบุหรี่ปัจจุบันและประจำลดลงตามลำดับ จากปี ๒๕๓๔ ที่มีผู้สูบบุหรี่ปัจจุบัน ๑๒.๒๖ ล้านคนเป็น ๑๐.๘๕ ล้านคนในปี ๒๕๕๐ และผู้สูบประจำลดลงจาก ๑๑.๖๗ ล้านคน เป็น ๙.๔๘ ล้านคน เมื่อพิจารณาอัตรา การสูบบุหรี่ประจำ พบว่า มีผู้สูบบุหรี่ลดลงจากร้อยละ ๓๐.๔ เป็น ๑๘.๕๔ คน โดยอัตราการสูบบุหรี่ของผู้ชายลดลงจากร้อยละ ๕๕.๖๓ เป็น ๓๖.๕๕ คน ขณะที่ผู้หญิงลดลงจากร้อยละ ๔.๖ เป็น ๑.๙ คน
ภาคใต้มีสิงห์อมควันเพิ่มขึ้น
ในอดีตภาคที่มีอัตราการสูบบุหรี่มากที่สุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ปัจจุบันพบว่า ภาคใต้ เป็นภาคที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุด โดยจังหวัดที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดคือ ปัตตานี
จังหวัดพังงาและระนองมีปริมาณการสูบบุหรี่มากที่สุดคือประมาณ ๑๔ มวนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขเฉลี่ยของประเทศสาเหตุว่า เหตุใดภาคใต้จึงมีอัตราการสูบบุหรี่มากที่สุดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นได้จาก ๒สาเหตุคือ เป็นผลจากความเครียดกรณีปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการลักลอบนำบุหรี่เถื่อนที่มีราคาถูกเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก
ผู้หญิงสูบบุหรี่จัดขึ้น การสำรวจครั้งล่าสุดนี้พบว่า ผู้หญิงสูบบุหรี่เพิ่มจากประมาณวันละ ๗ มวน เป็น ๘ มวน และอายุที่เริ่มสูบก็ลดน้อยลงจาก ๒๒ ปี เป็น ๒๐ ปี ในปี๒๕๔๙ ขณะที่ผู้ชายยังคงเริ่มต้นสูบที่อายุ ๑๘ ปี เช่นเดิม
วัยรุ่นที่ “สูบ” เป็นประจำเพิ่มจำนวน นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าเป็นห่วงอีกประเด็นหนึ่งคือ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี ๒๕๔๙ และ ปี๒๕๕๐ ยังพบว่าเยาวชนอายุตั้งแต่ ๑๕-๒๔ ปี มีแนวโน้มสูบบุหรี่เป็นประจำเพิ่มขึ้น
http://info.thaihealth.or.th/hilight/12331
