คำถามที่สิบสอง
ก. ศาสนามีข้อชี้ขาดอย่างไรกับการเดินขบวนของชาวซูฟี ตลอดจนการเต้นและการตีฉิ่ง ตีกลองประกอบ
ข. ธงประจำคณะ
ค. การแต่งกายประจำคณะ
ง. การสวมสายสะพาย
ฉ. การโพกผ้าสาระบั่นที่มีสีหลากสี
ตอบ
ก. กลอง ปี่ แตร ตลอดจนการเต้นและการโห่ร้องน้น เราได้อธิบายมาแล้วว่าเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม) โดยมติของปวงปราชญ์ เป็นการเล่นที่ผิด ศาสนาไม่อนุญาต (อีกทั้งมิใช่สิ่งที่มนุษย์ที่พรั่งพร้อมด้วยปัญญาพึงกระทำ)
ส่วนการเดินเป็นแถวเป็นขบวนนั้น เคยมีรูปแบบมาแล้ว ในวันที่อัลลอฮ์ได้ประกาศถึงความสมบูรณ์แห่งศาสนา โดยบรรดามุสลิมีนได้จัดขบวนเป็นสองแถวแถวหนึ่งมี ท่านอุมัร บิน อัล-ค๊อตต๊อบเป็นหัวหน้า และอีกแถวหนึ่งมี ท่านฮัมซะอ์ บินอับดุลมุตตอลิบเป็นหัวหน้าขบวนได้เดินไปยังถนนหนทางและหุบเขาต่าง ๆ ทั่วมักกะฮ์ โดยเปล่งเสียง “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮุ อัลลอฮุอักบัร ด้วย และก็มีขบวนจากชาวเมืองมะดีนะฮ์เดินกล่าวตักบีรในยามค่ำของวันอีด และมีขบวนของผู้บำเพ็ญฮัจย์ กล่าวตัลบียะฮ์นอกจากนั้น บรรดาผู้แทนที่ไปทำการเผยแผ่อัล-อิสลามก็กล่าวตักบีร และตะฮ์ลีลกันเป็นคระ ทั้งหมดนี้คือ ตัวอย่างหรือที่มาซึ่งการเดินขบวนของชาวซูฟี
ข. สำหรับธง การเดินทัพหรือการนำกองทัพสู่สมรภูมิ ในสมัยแรก ของอิสลามก็นำด้วยผู้ถือธง จนกระทั่งเมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่เก้าได้นำทัฟมาทำสงครามกับชาวคิมยาต อีหม่ามชาวซูฟีผู้ยิ่งใหญ่คือ ท่านเชค อะบุ้ล หะซัน อัซซาซิบีย์ จึงได้เรียกร้องให้ผู้คนเข้าสู่แนวรบเพื่อทำการผลักดันและต่อสู้กับกองทัพของพระเจ้าหลุยส์ ได้มีการตีกลองสงคราม จนบรรดาผู้นำศาสนาในสมัยนั้นได้เข้ามาร่วมทำศึกกับฝ่ายศัตรูในครั้งนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งมีซุลตอนุลอุละมาอ์ อิซซุดดีน บิน อับดุสศลาม, อีหม่ามผู้รายงานหะดีส ซะกียุดดีน อัล-มุนซิรีย์ (ผู้แต่งอัตตัรฆีบ วัตตัรฮีบ) และมะกีนนุดดีน, อิบนุดะกีกิ้ลอีด์ และบรรดาผู้คนจากชนบท, อิบนุซซอลาฮ์ อิหม่ามแห่งอุละมาอ์วิชาอุศูล และท่านอื่น ๆ รวมทั้งบรรดาประชาชนทุกหมู่เหล่าด้วย
สำหรับอะบุ้ลหะซัน ซึ่งตาบอดนั้น ท่านได้ออกสู้รบด้วยความทรหดโดยมีกองทัพนับพันออกไปร่วมผลักดันกองทัพฝรั่งเศส พวกเขาพลีชีวิตและทรัพย์สินเพื่อร่วมกันปกป้องอธิปไตยของพวกเขาโดยทุกหัวเมืองหรือทุกกลุ่มจะมีธงประจำหัวเมือง หรือประจำกลุ่มซึ่งนักรบทั้งหลายก็จะอยู่ภายใต้ธงประจำกลุ่มของตนและเมื่อได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนั้น โดยจับพระเจ้าหลุยส์และนักรบไว้ในฐานะเชลยศึก ได้คุมขังไว้ที่บ้านของอิบนุลุกมาน (เป็นชาวซูฟี) ที่เมืองมัมซูเราะฮ์ (ปัจจุบันยังคงมีอยู่แต่ได้ปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์)
และแต่ละกลุ่มก็ได้เก็บรักษาธงประจำกลุ่มไว้เพื่อเป็นบ่ารอกัต และเป็นการระลึกถึงประวัติศาตร์แห่งการต่อสู้ของพวกเขา แล้วชาวซูฟีบางท่านก็ได้ให้เป็นมรดกสืบต่อแก่ผู้ใกล้ชิด และบ้านเมืองของเขา จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งกลุ่ม ได้เปลี่ยนโฉมจากความเดิมไปเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้อารมณ์ของตัวเอง เป็นสำคัญสำหรับในตอนที่ระดับความเชื่อถือของผู้คนที่มีต่อแนวทางนั้ลดถอยลง
ค. สำหรับการแต่งกายที่ไม่เหมือนใครนั้น ก็ไม่เคยพบว่ามีวะลีย์ของอัลลอฮ์ท่านได้กระทำอย่างนั้นซึ่งเป็นการแต่งกายที่แปลกไปจากผู้อื่นซึ่งมีหะดีษกล่าวว่า
ความว่า “ใครแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่แปลกหรือเด่น อัลลอฮ์ก็ให้เขาแปลกหรือเด่นด้วยการแต่งกายนั้นๆ”
ชาวซูฟีที่บริสุทธิ์ เขาจะไม่สนใจ (ห่างไกล) กับสิ่งเล็กน้อยนี้ สำหรับท่าน อุมัร ร่อดิยั้ลฯ ที่สวมใส่ المرقعة นั้น ท่านได้สวมใส่เพื่อเพื่อโชว์เหมือนกับที่ผู้อื่นสวมใส่
ง. ส่วนการสวมใส่สายสะพายนั้น วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ถามคนซอและห์คนหนึ่งที่สวมสายสะพายซึ่งมีเขียนข้อความถึงต่อรีเกาะฮ์ที่เขาสังกัดอยู่ฉันถามเขาว่า ท่านครับ หากท่านใส่สายสะพายนี้เพื่อให้อัลลอฮ์ท่านรู้จักตัวอ่านดีกว่าท่านรู้จักตัวเองเสียอีกแต่หากท่านสวมใส่เพื่อให้มนุษย์รู้จักท่าน ท่านก็เป็นผู้ที่อวดซึ่งหมิ่นต่อการเป็นชิริกมาก เมื่อชายผู้นั้นได้ฟังก็จึงถอดสายสะพายนั้นออกแล้วกล่าวว่า
ความว่า “ท่านได้ช่วยให้ฉันหลุดพ้น ซึ่งอัลลอฮ์(ซ.บ.) จะช่วยให้ท่านหลุดพ้นจากความผิด”
ดังนั้น โอ้ พวกพ้องของฉันทั้งหลายที่รู้ เขาต่างรู้กันว่า มันเป็นเรื่องอันตราย มันเป็นการโอ้อวดที่มีความผิดอันมหันต์
สำหรับการโพกผาสาระบั่นที่มีสีหลากสีนั้นไม่ปรากฏหลักฐานว่าท่านร่อซู้ล ศ้อลฯ ได้โพกอื่นจากสีขาวนอกจากสีดำที่ท่านโพกอยู่สองวันคือวันอุฮุด และฮุเนน ในตอนที่มุสลิมพ่ายแพ้ แล้วบรรดาพวกซาตานก็ประกาศว่า ร่อซูล ศ้อลฯได้เสียชีวิตแล้ว ท่านร่อซูล ศ้อลฯ ได้โพกผ้าสีดำดังกล่าวเพื่อเป็นการลวงตาพวกเหล่านั้น และเพื่อเป็นการยืนยันในคำเท็จที่พวกมุชริกีนนำมาอ้าง จึงชี้ให้เห็นว่า ท่านโพกสีดำด้วยเหตุนั้น และในเวลานั้น ดังนั้นนักวิชาการต่างมีมัศนะที่สอดคล้องกัน
หลังจากนั้น ชาวชีอะฮ์ได้นำมาโพกเมื่อไว้ทุกข์การตายของท่านหุเซนและพวกอับบาซียูนก็ได้โพกเพื่อเหตุผลบางประการ
สำหรับคำอ้างที่ว่า สีเหลือง เป็นเครื่องหมายของมะลาอีกะฮ์ในสงครามบะดัรนั้น ไม่มีหลักฐานททางวิชาการระบุถึง
ส่วนใหญ่รายงานว่า ท่านร่อซูล ศ้อลฯ โพกด้วยสีขาวเหมือนเมฆหมอก ส่วนที่กล่าวถึงสีผ้าสาระบั่นสีสันอื่น ๆ นั้น ล้วนเป็นฮาดีสที่เชื่อไม่ได้ อ่อนมากหรือเป็นฮะดีสเมาดั๊วะ ซึ่งจะเอามาเป็นหลักฐนไม่ได้โดยเฉพาะชาวซูฟีนั้น พวกเขาถือว่า สิ่งใดที่ไม่มีหลักฐานแข็งแรงพอนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม)
และแม้จะมีรายงาน ซอฮาบะฮ์ผู้อาวุโส อย่างเช่น อะบาดุญานะ และแม้จะมีรายงาน ซอฮาบะฮ์ผู้อาวุโส อย่างเช่น อะบาดุญานะฮ์ ท่านมีผ้าสาระบั่นสีแดง ซึ่งท่านเรียกมันว่า สาระบันแห่งความตาย ท่านโพกมันในตอนที่ประจัญบานกับฝ่ายศัตรู และเมื่อถูกถาม ท่านตอบว่า เพื่อบรรดามุสลิมีนจะฮ์ ท่านมีผ้าสาระบั่นสีแดง ซึ่งท่านเรียกมันว่า สาระบันแห่งความตาย ท่านโพกมันในตอนที่ประจัญบานกับฝ่ายศัตรู และเมื่อถูกถาม ท่านตอบว่า เพื่อบรรดามุสลิมีนจะได้จำฉันได้ เมื่อฉันได้รับเกียรติให้สิ้นชีพในสมรภูมิรบ(มรณสัขขี) จะสังเกตเห็นว่าท่านมิได้โพกเพื่อโอ้อวด หรือโพกเพื่อเกียรติยศทั้ง ๆ ที่ จริง ๆแล้ว ท่านร่อซูล ศ้อลฯ มิทรงชอบผ้าสีแดงที่ไม่มีลายเป็นเส้น ๆ
สำหรับสาระบั่นสีเขียวนั้น ผู้ที่นำมาโพกเป็นคนแรก คือ ซุลต่าน ซะบาน บิน หุเซน อิบนุมูฮัมมัดบิน กอลาวูน ในสมัยหุกมุ้ลมะมาลิก โดยได้เจาะจงการโพกสีดังกล่าวเฉพาะผู้คนภายในครอบครัว ทั้งนี้ด้วยเหตุผลบางประการดังที่อัล-อะดาวีย์ได้กล่าวไว้ในมะซาริกุ้ลอันวาร และท่านซัลลันญี่ได้กล่าวไว้ใน นูรุ้ลอับซอร ซึ่งปรากฏว่าในเรื่องนี้ บรรดาอุละมาอ์มีทัศนะในเชิงคัดค้าน
ดังนั้น ใครก็ตามใช้ผ้าที่มีสีสันต่าง ๆ เป็นปกติวิสัย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่หากเป็นการใช้เพื่อสักการะ (ตะอับบุด) หรือเพื่อสังกัดอยู่ในแนวทางหนึ่งทางใด ก็ไม่มีกุรอานหรือฮาดีสตอนใดสนับสนุน เพราะการใช้ทำนองนั้น อาจเป็นความคลั่งไคล้ (ตะอัซซุบ) ซึ่งท่านนะบี ศ้อลฯ กล่าวว่า......
لَيْسَ مِنا من دَعَاإِلى عَصَبِيةٍ
ความว่า “ไม่ใช่พวกเรา ผู้ที่เรียกร้องให้เกิดความคลั่งไคล้” ก็เป็นการยกย่องตัวเอง และเป็นการโฆษณาถึงเกียรติยศ อัล-กุรอานกล่าวว่า....
ความว่า “และพวกท่านอย่าชมเชยตัวเอง”
และก็อาจจะมีเหตุผลเพื่อสักการะ ซึ่งการสักการะนั้น ให้กระทำตามที่ศาสนากำหนดไว้เท่านั้น
และก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นบ่าร่อกัต ซึ่งก็จะไม่มีบ่าร่อกัตในสิ่งใด ๆ นอกจากที่อัลลอฮ์(ซ.บ.)และร่อซูล ศ้อลฯเสนอไว้
ดังนั้น การใช้ผ้าสีดังกล่าวต้องใช้โดยปกติวิสัยที่ชอบสีนั้น เพื่อจะได้ไม่มีความผิด ทั้งนี้หากชอบสีนั้นแต่ก็ต้องไม่ได้เพื่อโอ้อวด หรืออื่นใดที่อัลลอฮ์(ซ.บ.) และร่อซูล ศ้อล ฯ ทรงกริ้ว