อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุฮฺ
เป็นคนนึงที่เมื่อก่อนไม่เคยได้คลุมฮิญาบ ตอนไปญี่ปุ่นก็ไม่คลุม และแม้จะไม่คลุมผ้าคลุม
แต่เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายก็เรียบร้อย อาจมีแต่งแบบแนวๆ แต่ก็ยึดคอนเซปว่าต้องยาวๆไว้ก่อน ไม่โป๊
และไม่ใช่ว่าพ่อกับแม่ไม่ห้ามปราม ท่านห้าม แต่เรานั้นดื้อ และรู้ตัวมาตลอดว่า การคลุมฮิญาบนั้นประเสริฐกว่าไม่คลุม
แต่เพราะความดื้อรั้นที่จะไม่คลุมทั้งที่รู้ดีว่าน่ันคือเครื่องประดับที่มีเกียรติ....
และตอนอยู่ญี่ปุน มีเพื่อนต่างศาสนิกที่เป็นคนไทยถามว่าทำไมไม่คลุมหัวเหมือนอีกคน(ตอนนั้นเพื่อนมุสลิมะฮฺ)ที่ไปด้วยกัน
เขาคลุมค่ะ...แต่ข้าน้อยไม่คลุม...แล้วเพื่อนยังถามว่า ไม่คลุมก็ได้หรือ (ซึ่งคนถาม ถามเพราะไม่แน่ใจจริงๆว่าคลุมก็ได้ไม่คลุมก็ได้ใช่หร่อไม่)
ข้าน้อยก็ตอบเขาไปตามความจริงว่า
"ไม่คลุมไม่ได้" เขาเลยตกใจแล้วอุทานว่า
"อ้าว...แล้วทำไมเธอถึงไม่คลุมล่ะ...อย่างนี้มันก็ไม่ถูกอ่ะสิ..."ข้าน้อยก็ตอบเพื่อนไปตามตรงเช่นกันค่ะว่า
"ถูกของเธอ...ฉันนั้นทำไม่ถูก...และฉันคือมุสลิมที่ยังมีบาป..." แน่นอนค่ะว่าตอนที่พูดตำหนิตัวเองออกไปเช่นนั้นมันทำให้รู้สึกขม
เพิ่งรู้ ณ ตอนนั้นเองว่า ความจริงเป็นสิ่งที่ขมเหลือเกิน...แต่มันก็มีประโยชน์ ทำให้เราได้ตระหนักถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
เพราะหากไม่พูดความจริงออกไป คนอื่นๆที่เขาไม่เข้าใจอิสลามก็จะเข้าใจแบบผิดๆไปอีก...
เลยไม่่ได้พูดแก้ตัวหรือพยามหาเหตุผลเพื่อลบล้างความผิดของตัวเอง...เพราะเมื่อเรารู้ว่าเราทำไม่ถูกตามหลักการ
และรู้ว่าหลักการที่แท้จริงเป็นอย่างไร แม้เราจะไม่กระทำตามหลักการนั้น แต่เราก็ต้องพูดในสิ่งที่เป็นความจริง
ผู้อื่นจะได้ไม่เข้าใจผิดๆ...แม้การพูดความจริง จะทำให้เราเป็นผู้กระทำผิดก็ตามที...
เราจึงต้องพูดความจริงออกไปอย่างตรงไปตรงมา...แม้ความจริงนั้นกำลังทำให้เรากลายเป็นผู้ถูกตำหนิในเวลาต่อมาก็ตาม...
ซ้ำเพื่อนๆคนญี่ปุ่นก็ยังถามคำถามแบบนั้นด้วยอีกค่ะ...
ซึ่งต่อมาก็ยังคงดื้อต่อไปอยู่พักใหญ่...จนอัลลอฮฺเมตตานำเราให้เข้าใจคุณค่าแห่งอาภรณ์ที่พระองค์ส่งมาให้
เป็นอาภรณ์ที่คอยห่มทั้งกายและใจของเรา ทำให้ชีวิตที่แสนจะวุ่นวายมาตลอดสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ...
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจคลุมฮิญาบแล้ว ก็ไม่มีสักวันที่อยากจะปลดมันออกไปเพื่อจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม...
แล้วเมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ชีวิตเราก็เปลี่ยนไป...และรู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ตามความพยายามที่จะทำให้อิสลามในตัวเราค่อยๆสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆนั่นเองค่ะ...
มันไม่ง่ายก็จริง แต่เราก็พยายามที่จะค่อยๆทำมัน...อินชาอัลลอฮฺ...มันจะต้องดีขึ้นๆค่ะ
ทุกวันนี้ ก็อดยอมรับไม่ได้ว่า เรานั้นยังปฏิบัติสิ่งต่างๆได้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยอมรับว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก...
และตั้งใจจะทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ...
ดังนั้น...ข้าน้อยจึงเป็นคนนึงที่ค่อนข้างจะเข้าใจผู้หญิงที่ยังคงไม่คลุมฮิญาบแต่ปฏิบัติศาสนกิจอย่างอื่นได้ดีอยู่
และค่อนข้างเคร่งครัดด้วย...และเข้าใจผู้ที่ยังคลุมฮิญาบได้ไม่มสบูรณ์แบบ แต่ก็มีการทำอาม้าลอิบาดะฮฺอื่นได้ดี...
และหากจะตัดสินอะไร...เราก็ต้องแยกแยะแต่บละข้อย่อยออกจากกัน...
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะค่ะ...ตราบใดที่เรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง การตัดสินอะไรลงไป ย่อมผิดพลาดได้ง่าย...
แต่การแสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ วิเคราะห์สิ่งที่พบเห็นมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล...
หากมันไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็คงไม่เป็นปัญหาแน่ๆค่ะ...
เพราะ...สิ่งหนึ่งที่สำคัญเลยก็คือ...บางคนเน้นไปที่ทางปฏิบัติ แต่ไม่ได้พยายามขัดเกลาจิตใจ
และก็มีอีกเช่นกันที่ เน้นการขัดเกลาจิตใจ แต่ไม่ได้มุ่งเน้นภาคปฏิบัติ...
ซึ่งการจะทำให้อิสลามในตัวคนๆนึงสมบูรณ์ได้นั้น...เราต้องเน้นทั้งด้านขัดเกลาจิตใจไปพร้อมๆกับภาคปฏิบัติ
ทุกอย่างจึงจะสอดคล้องต้องกันอย่างสวยงามและน่ามอง...
และแน่นอนว่า...มันไม่ได้ง่ายดาย...แล้วเราจำเป็นที่จะต้องพยายามฝึกมัน
เหมือนการพยายามขัดบ้านที่ต้องทำทุกๆวัน หากว่างเว้นไปสักวันนึง ฝุ่นก็จะเริ่มเกาะ
แล้วปกติ มนุษย์เราก็ไม่ได้จะทำการขัดบ้านกันทุกวัน เราไม่ค่อยขยันกันขนาดนั้น...
ซึ่งผู้ที่ขยันนั้นมี...แต่มันไม่ได้จะมีกันเกลื่อนกลาด...
ดังนั้น...เมื่อพบเจอพี่น้องเรากำลังบกพร่อง...ไม่อยากให้เรารังเกียจหรือแสดงท่าทีหรือคำพูด
ที่จะทำให้เขารู้สึกไม่ดี...ให้เราให้กำลังใจกันและกัน...เชื่อว่า...ตัวผู้บกพร่องย่อมต้องการกำลังใจมากกว่าสายตาตำหนิ...
เพราะไม่แน่ว่า หนึ่งคำพูดที่เราหวังจะตักเตือน มันอาจจะกลายเป็นการทำให้คนๆนึงที่กำลังตั้งใจจะทำสิ่งดีๆ
สิ้นหวังที่จะทำความดีนั้นขึ้นมาได้...เพราะเรามนุษย์ต้องพยายามฉุดผู้ที่กำลังสิ้นหวังให้มีกำลังใจ...
จะด้วยกลยุทธไหนก็ได้...หากมันจะทำให้คนๆนึงที่แทบไม่อยากจะทำสิ่งดีๆแล้วลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง
ด้วยจิตใจที่มีความหวัง...
และที่เราต้องตระหนักมากกว่าปกติเลยก็คือ...ระหว่างการตักเตือนกับการประจาน มันเป็นอะไรที่ห่างกันแค่ไม่กี่คืบเองค่ะ...
และแน่นอนว่า ขอบเขตของมันย่อมมี...หากเราทำเลยขอบเขต จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
จากความตั้งใจดีอาจถูกทำให้กลายเป็นอีกแบบได้ค่ะ...
ปล.หากที่พิมพ์ไปทั้งหมด มันไม่ดีตรงไหนอย่างไร ติติงได้เสมอค่ะ พร้อมน้อมรับและนำมาปรับปรุงค่ะ...

วัสลามค่ะ