ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ  (อ่าน 9635 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ (الأعراف  - ที่สูง) R3.

เป็นสูเราะฮฺ มักกียะฮฺ มี 206 อายะฮฺ

บทนำ
ชื่อ : ซูเราะฮฺนี้ได้ชื่อมาจากอายะฮฺที่ 46 และ 48 ซึ่งมีคำว่า อัล-อะอฺรอฟ ปรากฏอยู่
   ระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺ : การศึกษาเนื้อหาของซูเราะฮฺนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าระยะเวลาของการประทานซูเราะฮฺนี้เกือบเป็นเวลาเดียวกับการประทานซูเราะฮฺ อัล-อันอาม นั่นคือปีสุดท้ายของชีวิตท่านรอซูลุลลอฮฺที่นครมักกะฮฺ แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้แน่นอนว่าซูเราะฮฺไหนถูกประทานลงมาก่อน อย่างไรก็ตามลักษณะของคำตักเตือนที่ปรากฏอยู่ก็ชี้ให้เห็นว่าซูเราะฮฺนี้อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน เนื่องจากทั้งสองซูเราะฮฺนี้มีภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ที่เหมือนกัน ดังนั้นขอให้ผู้อ่านได้ศึกษาภูมิหลังของซูเราะฮฺนี้จากภูมิหลังของซูเราะฮฺ อัล-อันอาม
   เนื้อหาของเรื่อง : ประเด็นสำคัญของซูเราะฮฺนี้ก็คือ “การเชิญชวนสู่ทางนำของพระเจ้าที่ถูกส่งมายังท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)” ซึ่งแสดงออกมาในรูปของการเตือน ทั้งนี้เนื่องจากถึงแม้ท่านจะใช้เวลาตักเตือนคนในนครมักกะฮฺมานาแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีผลต่อคนเหล่านั้น พวกเขาทำเป็นหูหนวกต่อสารของท่านและดื้อด้านจนกระทั่งนบีฯเกือบจะถูกบัญชาให้ปล่อยคนพวกนี้ไป แล้วหันไปหาคนอื่นแทน นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมคนพวกนี้จึงได้ถูกเตือนให้ยอมรับสารของอัลลอฮฺ แต่ในขณะเดียวกัน คนพวกนี้ก็ได้ถูกเตือนอย่างรุนแรงให้เห็นถึงผลที่ติดตามมาจากทัศนะที่ผิด ๆ ของคนก่อนหน้านี้ที่มีต่อรอซูลของพวกเขา ในตอนท้ายของซูเราะฮฺ เนื้อหาของกุรอานได้มุ่งไปยังชาวคัมภีร์ที่ท่านจะต้องติดต่อด้วย นั่นหมายความว่าเวลาแห่งการอพยพกำลังใกล้เข้ามาแล้วและ “การเชิญชวน” ก็กำลังจะขยายไปสู่มนุษยชาติโดยทั่วไป มิได้จำกัดแต่เฉพาะคนของท่านเหมือนเมื่อก่อน
   ในระหว่างการพูดที่มีต่อพวกยิวนั้น ได้มีการชี้ให้เห็นถึงผลของการทำตัวตลบตะแลงของพวกเขาต่อท่านนบีไว้อย่างชัดเจน เพราะคนพวกนี้ประกาศตนว่าศรัทธาในนบีมูซา แต่ปฏิบัติตรงกันข้ามกับคำสอนของท่าน ไม่ยอมเชื่อฟังท่านและยังบูชาความเท็จ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องประสบกับความอัปยศและหมดศักดิ์ศรี
   ในตอนท้ายของซูเราะฮฺได้มีการประทานคำสั่งบางอย่างมาให้แก่ท่านนบีฯและบรรดาสาวกของท่านเพื่อปฏิบัติงานเผยแผ่อิสลามด้วยวิทยปัญญา คำสั่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาจะต้องอดทนและไม่ตอบโต้การยั่วยุของฝ่ายศัตรู เหนืออื่นใด พวกเขาได้ถูกแนะนำว่า ภายใต้การถูกกดดัน พวกเขาจะต้องไม่ทำอะไรผิดที่จะส่งผลเสียหายต่อแนวทางของพวกเขา

สรุป
หัวข้อเรื่องและการเกี่ยวเนื่องกัน
   อายะฮฺที่ 1 - 10 : ในหัวข้อตอนนี้กุรอานได้เชิญชวนผู้คนให้ปฏิบัติตามทางนำของอัลลอฮฺ ที่ถูกส่งมายังพวกเขาโดยผ่านทางท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)และได้เตือนให้พวกเขารู้ถึงผลที่จะติดตามมาจากการปฏิเสธทางนำดังกล่าว
   อายะฮฺที่  11 - 25 : เรื่องราวของอาดัมได้ถูกนำมาเล่าเพื่อเป็นการเตือนลูกหลานของท่านให้ระวังแผนการของชัยฏอนที่คอยจะหลอกลวงพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ดังที่มันได้เคยทำมาแล้วกับอาดัมและฮาวา
   อายะฮฺที่ 26 - 53 : ข้อความตอนนี้เป็นคำสั่งบางอย่างของอัลลอฮฺและเปรียบเทียบคำสั่งที่ตรงกันข้ามของมารร้าย พร้อมกันนั้นก็ฉายให้เห็นภาพคร่าว ๆ ของผลที่จะติดตามมาจากคำสั่งของทั้งสองฝ่าย
   อายะฮฺที่ 54 - 58 : เนื่องจากทางนำได้ถูกประทานมาโดยอัลลอฮฺ (ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและสรรพสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองนี้) ดังนั้น มนุษย์จึงควรปฏิบัติตามทางนำดังกล่าวเพราะมันเปรียบเหมือนกับฝนที่พระองค์ได้ส่งลงมาเพื่อให้ชีวิตแก่ผืนดินที่ตาย
   อายะฮฺที่ 59 - 171 : เรื่องราวชีวิตของนบีที่มีชื่อเสียงบางคน เช่น นุฮฺ ฮูด ซอลิฮฺ ลูฏ ชุอัยบ์ และมูซา (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน)ได้ถูกนำมาเล่าเพื่อแสดงให้เห็นถึงผลของการปฏิเสธสารของอัลลอฮฺและผู้ฟังสารของท่านนบีมุฮัมมัด (ขอความสันติจงมีแด่ท่าน) ได้ถูกเตือนให้ยอมรับและปฏิบัติตามสารดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความหายนะ
   อายะฮฺที่ 172 - 174 : เนื่องจากพันธสัญญากับพวกอิสรออีลได้ถูกกล่าวไว้ในตอนท้ายของข้อความแห่งอายะฮฺก่อนหน้านี้ มนุษยชาติจึงได้ถูกเตือนให้นึกถึงพันธสัญญาที่ได้ทำไว้ในตอนที่อาดัมถูกแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของอัลลอฮฺ ทั้งนี้เพื่อที่ลูกหลานของท่านจะได้จดจำและปฏิบัติตามสารที่ท่านรอซูลุลลอฮฺได้นำมา
   อายะฮฺที่ 175 - 179 : ตัวอย่างของคนที่มีความรู้เกี่ยวกับทางนำของอัลลอฮฺแต่กลับทิ้งขว้างมัน ได้ถูกหยิบยหมากล่าวเพื่อเป็นการเตือนบรรดาผู้ที่ถือว่าทางนำของอัลลอฮฺเป็นเท็จ คนพวกนี้ได้ถูกเตือนให้ใช้ความสามารถของพวกเขายอมรับสารแห่งทางนำนี้ มิเช่นนั้นแล้ว นรกจะเป็นที่พำนักของพวกเขา
   อายะฮฺที่ 180 - 198 : ในตอนสรุปของซูเราะฮฺ ได้มีการพูดถึงการหลงทางของคนที่ไม่ได้ใช้สติปัญญาของตัวเองทำความเข้าใจทางนำของอัลลอฮฺและพวกเขาได้ถูกเตือนถึงผลอันรุนแรงที่จะติดตามมาจากความคิดที่เป็นศัตรูของพวกเขาต่อสารของท่านรอซูลุลลอฮฺ
   อายะฮฺที่ 199 - 206 : สรุป อัลลอฮฺได้ทรงประทานคำสั่งให้แก่ท่านรอซูลุลลอฮฺและสาวกของท่านเกี่ยวกับทัศนคติที่พวกเขาควรจะมีต่อบรรดาผู้ปฏิเสธสารแห่งทางนำและหลงออกไปจากมัน


----------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)

--------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 03, 2011, 10:26 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 1 - 5




คำอ่าน
1. อะลิฟ ลาม...มีม...ศอ...ด
2. กิตาบุน อุน..ซิละอิลัยกะ ฟะลายะกุน..ฟีส็อดริกะ หะเราะญุม..มินฮุ ลิตุน..ซิเราะบิฮี วะซิรอลิลมุอ์มินีน
3. อิตตะบิอูมา..อุน..ซิละ อิลัยกุม..มิรฺร็อบบิกุม วะลาตัตะบิอูมิน..ดูนิฮี..เอาลิยา...อ์ เกาะลีลัม..มาตะซักกะรูน
4. วะกัม..มิน..ก็อรฺยะติน อะฮฺลักนาฮา ฟะญา...อะฮา บะอ์สุนา บะยาตัน เอาฮุมกอ...อิลูน
5. ฟะมากานะดะอฺวาฮุม อิซญา...อะฮุม..บะอ์สุนา..อิลลา..อัน..กอลู..อิน..นากุน..นาซอลิมีน


คำแปล R1.
1. Alif-Lam-Mim-Sad. [These letters are one of the miracles of the Qur'an and none but Allah (alone) knows their meanings].
2. (This is the) Book (the Qur'an) sent down unto you (O Muhammad), so let not your breast be narrow there from, that you warn thereby, and a reminder unto the believers.
3. [Say (O Muhammad) to these idolaters (pagan Arabs) of your folk:] follow what has been sent down unto you from your Lord (the Qur'an and Prophet Muhammad's Sunnah), and follow not any Auliya' (protectors and helpers, etc. who order you to associate partners in worship with Allah), besides Him (Allah). little do you remember!
4. And a great number of towns (their population) we destroyed (for their crimes). Our torment came upon them (suddenly) by night or while they were sleeping for their afternoon rest.
5. No cry did they utter when our torment came upon them but this: "Verily, we were Zalimun (polytheists and wrongญdoers, etc.)".


คำแปล R2.
1. อลิฟ, ลาม, มีม. ซอด
2. (อัลกุรฺอานนี้) เป็นคัมภีร์ซึ่งถูกลงมายังเจ้า ดังนั้นจงอย่าให้มีความคับแค้นขึ้นในจิตใจของเจ้าเนื่องมาจาก(การเผยแพร่)คัมภีร์นั้น เพื่อเจ้าจะได้นำมาเตือน(พวกเนรคุณ)และเป็นข้อเตือนใจแก่บรรดาผู้ศรัทธา
3. เจ้าทั้งหลายจงตาม(คัมภีร์)ที่ถูกประทานลงมายังพวกเจ้าจากองค์อภิบาลแห่งพวกเจ้าเถิด และพวกเจ้าอย่าปฏิบัติตามบรรดาผู้กครองอื่นใดอันนอกเหนือไปจากอัลเลาะฮฺ เพียงน้อยนิดเหลือเกินที่พวกเจ้ารับคำเตือน
4. และมีเมืองตั้งมากมายเท่าไรแล้วที่เราได้ทำลายล้างมันโดยการลงโทษของเราได้มาสู่มันในยามกลางคืน หรือขณะที่พวกเขากำลังนอนพักกลางวัน
5. ที่จริงไม่มีข้อเรียกร้องของพวกเขาในยามที่การลงโทษของเราได้มาถึงยังพวกเขาเลย นอกจากพวกเขาได้แต่พูดว่า “แท้จริงเราเป็นผู้ฉ้อฉล”(เราจึงต้องรับโทษเช่นนี้)


คำแปล R3.
1. อะลีฟ ลาม มีม ศ็อด
2. นี่เป็นคัมภีร์ที่ได้ถูกประทานมายังเจ้า ดังนั้น (โอ้ มุฮัมมัด) จงอย่าได้มีการลังเลในหัวอกของเจ้าเกี่ยวกับคัมภีร์เลย คัมภีร์นี้ได้ถูกส่งมายังเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้ใช้มันเตือน (บรรดาผู้ปฏิเสธ) และตักเตือนบรรดาผู้ศรัทธา
3. (โอ้ ผู้คนทั้งหลาย) จงปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่สูเจ้าจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้าและจงอย่าปฏิบัติตามผู้คุ้มครองอื่นใดนอกไปจากพระองค์ แต่น้อยนักที่สูเจ้าจะสำเหนียก
4. และมีกี่เมืองแล้วที่เราได้ทำลายมัน การลงโทษของเราได้มายังเมืองเหล่านี้อย่างฉับพลันในตอนกลางคืนหรือตอนกลางวันเมื่อพวกเขางีบพักผ่อน
5. เมื่อการลงโทษของเรามายังพวกเขา พวกเขาก็ร้องออกมาเพียงอย่างเดียวว่า “แท้จริงเราเป็นผู้ละเมิด”


คำแปล R4.
1. อะลิฟ ลาม มีม ศอด
2. มีคัมภีร์ฉบับหนึ่งซึ่งถูกประทานลงมาแก่เจ้า ดังนั้นจงอย่าให้ความอึดอัดเนื่องจากคัมภีร์นั้นมีอยู่ในหัวอกของเจ้า ทั้งนี้เพื่อเจ้าจะได้ใช้คัมภีร์นั้นตักเตือน(ผู้คน) และเพื่อเป็นข้อเตือนใจ แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
3. พวกเจ้าจงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้าจากพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด และอย่าปฏิบัติตามบรรดาผู้คุ้มครองใด ๆ อื่นจากพระองค์ ส่วนน้อยจากพวกเจ้าเท่านั้นแหละที่จะรำลึก
4. และกี่เมืองแล้วที่เราได้ทำลายมันโดยที่การลงโทษของเราได้มายังเมืองนั้น ในยามค่ำคืนหรือในขณะที่พวกเขานอนพักผ่อนในเวลาบ่าย
5. มิปรากฏว่า พวกเขาวิงวอนขออื่นใดขณะที่การลงโทษของเราได้มายังพวกเขา นอกจากการที่พวกเขากล่าว(สารภาพ)ว่า แท้จริงพวกข้าพระองค์เป็นผู้อธรรม


คำแปล R5.
๑.อลิฟ-ลาม-มีม-ซอด อัลเลาะห์เท่านั้นที่ทรงรู้ความหมายของคำนี้
๒. โอ้มุฮำมัด นี้เป็นพระคัมภีร์อัลกุรอานที่ถูกประทานมายังเจ้า อย่าให้เป็นภาระหนักใจแก่เจ้าเลยในอันที่เจ้าจะเผยแพร่พระคัมภีร์นี้ให้ทั่วถึง ด้วยเจ้าเกรงจะถูกหาวาเท็จ ทั้งนี้เพื่อว่าเจ้าจะได้ใช้พระคัมภีร์นี้เป็นที่ตักเตือนพวกกาฟิร ทั้งพระคัมภีร์อัล-กุรอ่านนี้ ยังเป็นที่ระลึกสำหรับเหล่าผู้ศรัทธาอีกด้วย
๓. โอ้มุฮำมัด จงกล่าวแก่พวกที่บรรลุศาสนภาวะแล้วทั้งฝ่ายมุอ์มินและกาฟิรว่า พวกเจ้าจงเจริญรอยตามพระคัมภีร์อัล-กุรอานที่ถูกประทานจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าลงมายังพวกเจ้า และว่าพวกเจ้านั้นอย่าได้เอาผู้ที่นอกจากพระองค์อัลเลาะห์ เช่นพวกไซตอน มนุษย์และยิน เป็นต้น มาเป็นมิตรในอันที่พวกเจ้ายอมน้อมภักดีต่อพวกเหล่านั้น เพื่อแสดงการทรยศต่อพระองค์ น้อยนักที่พวกเจ้าจะยอมเชื่อฟังคำตักเตือน
๔.และมากกว่ามากแล้วที่เรา (อัลเลาะห์) หมายจะทำลายล้าง เราก็ได้ทำลายล้างประชาชนชาวตำบลต่าง ๆ การลงโทษจากเราเกิดมีขึ้นแก่ชาวตำบลนั้นในยามค่ำคืนก็มี เช่นโทษที่เกิดแก่ประชากรของพระศาสดาดาวู๊ด หรือในตอนที่พวกเหล่านั้นที่เป็นประชากรของศาสดาชุไอบ์กำลังหลับนอนพักผ่อนกลางวันกันอยู่ก็มี
๕. ในเมื่อการลงโทษจากเรา(อัลเลาะห์) ได้เกิดมีขึ้น พวกเหล่านั้นทักท้วงอะไรไม่ได้อีกแล้ว นอกจากจะพูดกันว่า พวกเรานี้ช่างเป็นพวกคดโกงแท้ ๆ 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 03, 2011, 10:26 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 6 - 10


คำอ่าน
6. ฟะละนัสอะลัน..นัลละซีนะ อุรฺสิละอิลัยฮิม วะละนัสอะลัน..นัลมุรฺสะลีน
7. ฟะละนะกุศศ็อน..นะอะลัยฮิม..บิอิลมิว..วะมากุน..นาฆอ...อิบีน
8. วัลวัซนุ เยามะอิซินิลหักกฺ ฟะมัน..ษะกุลัตมะวาซีนุฮู ฟะอุลา...อิกะฮุมุลมุฟลิหูน
9. วะมันค็อฟฟัตมะวาซีนุฮู ฟะอุลา...อิกัลป์ละซีนะ เคาะสิรู..อัน..ฟุสะฮุม..บิมากานู บิอายาตินายัซลิมูน
10. วะละก็อด มักกัน..นากุม ฟิลอัรฺฎิ วะญะอัลนาละกุม ฟีฮามะอายิช เกาะลีลัม..มาตัชกุรูน


คำแปล R1.
6. Then surely, we shall question those (people) to whom it (the Book) was sent and verily, we shall question the Messengers.
7. Then surely, we shall narrate unto them (their whole story) with knowledge, and indeed we were not absent.
8. And the weighing on that Day (Day of Resurrection) will be the true (weighing). So as for those whose scale (of good deeds) will be heavy, they will be the successful (by entering Paradise).
9. And as for those whose scale will be light, they are those who will lose their own selves (by entering Hell) because they denied and rejected our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.).
10. And surely, we gave you authority on the earth and appointed for you therein provisions (for your life). Little thanks do you give.


คำแปล R2.
6. แท้จริงเรา(อัลเลาะฮฺ)จะสักถามบรรดา(ประชาชาติ)ที่ถูกส่ง(ศษสนทูต)มายังพวกเขา และแท้จริงเราจะซักถามบรรดาศาสนทูตที่ถูกส่งตัวมาด้วย
7. ต่อมาเราจักแถลงแก่พวกเขาโดย(พื้นฐานแห่ง)ความรู้จริง(อันเกี่ยวกับเรื่องของศาสนทูตต่าง ๆ ) และแท้จริงเรานี้หาใช่ผู้ลับหายไม่(ยังคงมองเห็น ได้ยินและรอบรู้ในสภาพการต่าง ๆ โดยพร้อมมูล)
8. และการชั่ง(ผลกรรม)ในวันนั้นเป็นความจริง ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่ตราชูของเขาหนัก(ด้วยความดี) แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นผู้ประสบความสมหวัง
9. และผู้ใดที่ตราชูของเขาเบา(เพราะความดีน้อยกว่าความชั่ว) แน่นอนพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ขาดทุนแก่ตัวเอง เนื่องเพราะที่พวกเขาเคยฉ้อฉลต่อบรรดาโองการของเรา(ด้วยการบิดเบือนและเปลี่ยนแปลงตามแต่ใจเขาปรารถนา เช่น ข้อความเกี่ยวกับนบีมุฮำมัดในคัมภีร์เตารอฮฺ เป็นต้น)
10. ขอยืนยัน ! แท้จริงเราได้พำนักพวกเจ้าอย่างคงมั่นในแผ่นดิน และเราได้บันดาลแก่พวกเจ้าในแผ่นดินนั้น ซึ่งการครองชีพ(วิธีการ)ต่าง ๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าขอบคุณ


คำแปล R3.
6. ดังนั้น (ในวันแห่งการตัดสิน) เราจะชำระสะสางบรรดาผู้คนที่เราได้ส่งรอซูลมายังพวกเขา และเราจะถามบรรดารอซูลด้วย (ว่าพวกเขาได้นำสารไปถึงไหนและผู้คนตอบรับสารนั้นอย่างไร)
7. แล้วแน่นอน เราจะบอกพวกเขา (ถึงสิ่งที่พวกเขาทำ) ด้วยความรู้ เพราะเราไม่เคยหายไปจากสิ่งเหล่านั้น
8. ในวันนั้น น้ำหนักที่จะชั่งก็คือสัจธรรม ดังนั้น ผู้ที่ตาชั่งของเขาหนักเท่านั้นก็คือผู้ประสบความสำเร็จ
9. และผู้ที่ตาชั่งของเขาเบา คือ ผู้ที่ทำให้ตัวเองได้รับการขาดทุน เพราะพวกเขาอธรรมต่ออายะฮฺทั้งหลายของเรา
10. และเราได้ให้สูเจ้าพำนักอยู่ ณ แผ่นดิน และได้จัดเตรียมสิ่งยังชีพในแผ่นดินนั้นไว้ให้สูเจ้า แต่น้อยนักที่สูเจ้าจะขอบคุณ


คำแปล R4.
6. แน่นอนเราจะถามบรรดาผู้ที่ถูกรอซูลไปยังพวกเขา และแน่นอนเราจะถามบรรดารอซูลทั้งหลายด้วย
7. แน่นอนเราจะนำความรู้มาเล่าให้พวกเขาฟัง และเราไม่เคยหายไปไหน
8. และการชั่งเป็นความจริงผู้ใดที่ตราชูของเขาหนักชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับความสำเร็จ
9. และผู้ใดที่ตราชูของเขาเบาชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ก่อความขาดทุนให้แก่ตัวของพวกเขาเอง เนื่องจากการที่พวกเขามิได้ให้ความเป็นธรรมแก่บรรดาโองการของเรา
10. และแท้จริงนั้น เราได้ให้พวกเจ้ามีที่พำนักอยู่ในแผ่นดิน และเราได้ให้มีขึ้นแก่พวกเจ้า ซึ่งบรรดาเครื่องยังชีพในผืนแผ่นดินนั้น ส่วนน้อยของพวกเจ้าเท่านั้นที่ขอบคุณ


คำแปล R5.
๖. ขอให้สัตย์ปฏิญาณว่า อันที่จริงในวันกิยามะห์นั้นเราใคร่จะถามเพื่อตำหนิในความเลวและการไม่เอาใจใส่ของบรรดาประชากรที่เคยมีพระศาสนทูตมาถึงว่าพวกประชากรเหล่านั้นได้ตอบรับพระศาสนทูตที่มาถึงและว่าได้ประพฤติปฏิบัติศาสนกิจที่มีมาถึงพวกเหล่านั้นหรือเปล่า และเราใคร่จะถามพวกศาสนทูตเป็นการยกย่องและเพื่อหักล้างคำของพวกกาฟิรที่ว่า “ไม่เคยมีพระศาสนทูตส่งมาเลย” อีกด้วย ว่าได้นำศาสนาไปเผยแพร่ยังประชากรของตนหรือเปล่า เมื่อทั้งพวกประชากรและพวกพระศาสนทูตไม่ตอบว่ากระไร พระองค์ก็ทรงตรัส
๗. ขอให้ปฏิญาณว่า ความจริงเรา (อัลเลาะห์) จะเล่าเรื่องราวโดยความรู้จากเราให้พวกเหล่านั้นทั้งที่เป็นพระศาสดาและที่เป็นประชากรตั้งแต่สมันอาดำเรื่อยมาจนถึงประชากรของพระศาสดามุฮำมัด ได้สดับถึงพฤติการณ์ของพวกพระศาสดาว่าได้นำพระศาสนาไปเผยแพร่จริง และพฤติการณ์ของประชากรว่ามิได้ตอบรับพวกพระศาสนทูต และยังมิได้ปฏิบัติตามพระศาสนทูต โดยเรานั้นจะละเสียเลย ซึ่งพฤติการณ์ของพวกศาสนทูตและของประชากรก็หามิได้
๘. การชั่งอันเที่ยงธรรม ที่ชั่งความดีและความชั่วด้วยตาชั่งย่อมมีขึ้นในวันนั้น(กิยามะห์) ซึ่งพวกพระศาสนทูตและปวงประชากรจะถูกสอบสวน ฉะนั้นหากมุอ์มินที่ทำแต่ความดีและที่ทำความดีและชั่ว ผู้ใดที่อัตราบุญของเขาหนักไปข้างดีเขาเหล่านั้นเป็นผู้มีชัย ได้เข้าสู่สรวงสวรรค์
๙. และถ้าพวกกาฟิรและพวกมุอ์มินที่ทำทั้งความดีและความชั่วผู้ใดที่อัตราชั่วของเขาหนักไปข้างชั่ว เขาเหล่านั้นย่อมจะพบว่าตัวเองขาดทุนเสียแล้ว กระทำตนให้ต้องเข้าสู่นรกชั่วกาลนาน แต่ถ้าเป็นกาฟิร และจะสู่นรกชั่วคราว แต่ขั้นสุดท้ายได้เข้าสู่สวรรค์ถ้าผู้นั้นเป็นมุอ์มิน ในฐานะที่พวกเหล่านั้นเคยปฏิเสธโองการต่าง ๆ ของเรา นอกนั้นก็ได้แก่พวกที่กระทำความดีกับความชั่วเสมอกัน พวกนี้ต้องอยู่ที่กำแพงสวรรค์และในที่สุดก็ได้เข้าสู่สวรรค์ และสำหรับมุอ์มินผู้ฉ้อโกง แม้ที่สุดเขาจะมีความดีมากสักปานใด คุณความดีก็จะถูกโอนไปให้แก่ผู้ถูกฉ้อโกง แต่ถ้าผู้นั้นไม่มีคุณความดีอะไรเลย เขาต้องรับเอาความชั่วของผู้ถูกฉ้อโกงไว้ ในอาการทั้งสองที่ว่านี้ เขาก็จะถูกลงโทษชั่วคราว แต่ผลที่สุด เขาก็จะได้เข้าสู่สรวงสวรรค์
๑๐. โอ้ปวงอนุชนของอาดำ ขอให้สัตย์ปฏิญาณว่า แท้จริงเรา(อัลเลาะห์)ได้ให้พวกเจ้าพำนัก ณ แผ่นดิน และเรายังได้ให้พวกเจ้าดำรงชีพอยู่ ณ ที่ผืนแผ่นดินนั้นด้วย ซึ่งน้อยนักที่พวกเจ้าจะรู้จักขอบคุณ ในบุญคุณของเราที่ได้ให้พวกเจ้าพำนัก และมีการดำรงชีพ ณ หน้าแผ่นดิน


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 11 - 18


คำอ่าน
11. วะละก็อดเคาะลักนากุม ษุม..มะศ็อววัรฺนากุม ษุม..มะกุลนาลิลมะลา...อิกะติสญุดูลิอาดะมะ ฟะสะญะดู..อิลลาอิบลีสะ ลัมยะกุม..มินัสสาญิดีน
12. กอละมามะนะอะกะ อัลลาตัสญุดะ อิซอะมัรฺตุกะ กอละ อะนะค็อยรุม..มินฮุ เคาะลักตะนีมิน..นาริว..วะเคาะลักตะฮูมิน..ฏีน
13. กอละ ฟะฮฺบิฏมินฮา ฟะมายะกูนุละกะ อัน..ตะตะกับบะเราะ ฟีฮา ฟัครุจญ อิน..นะกะมินัศศอฆิรีน
14. กอละอัน..ซิรฺนี..อิลาเยามิยุบอะษูน
15. กอละ อิน..นะกะ มินัลมุน..เซาะรีน
16. กอละฟะบิมา..อัฆวัยตะนี ละอักอุดัน..นะละฮุม ศิรอเฏาะกัลมุสตะกีม
17. ษุม..มะ ละอาติยัน..นะฮุม..มิม..บัยนิอัยดีฮิม วะมินค็อลฟิฮิม วะอันอัยมานิฮิม วะอัน..ชะมา..อิลิฮิม วะลาตะญิดุ อักษะเราะฮุม ชากิรีน
18. กอลัครุจญมินฮา มัซมูมัม..มัดหูรอ ละมัน..ตะบิอะกะมินฮุม ละอัมละอัน..นะ ญะฮัน..นะมะมินกุมอัจญมะอีน


คำแปล R1.
11. And surely, we created you (your father Adam) and then gave you shape (the noble shape of a human being), then we told the angels, "Prostrate to Adam", and they prostrated, except Iblis (Satan), he refused to be of those who prostrate.
12. (Allah) said: "What prevented you (O Iblis) that you did not prostrate, when I commanded you?" Iblis said: "I am better than mim (Adam), You created me from fire, and him You created from clay."
13. (Allah) said: "(O Iblis) get down from this (Paradise), it is not for you to be arrogant here. Get out, for you are of those humiliated and disgraced."
14. (Iblis) said: "Allow me respite till the Day they are raised up (i.e. the Day of Resurrection)."
15. (Allah) said: "You are of those allowed respite."
16. (Iblis) said: "Because You have sent me astray, surely I will sit in wait against them (human beings) on your straight Path.
17. Then I will come to them from before them and behind them, from their right and from their left, and You will not find most of them as thankful ones (i.e. they will not be dutiful to You)."
18. (Allah) said (to Iblis) "Get out from this (Paradise) disgraced and expelled. Whoever of them (mankind) will follow you, then surely I will fill Hell with you all."


คำแปล R2.
11. ขอยืนยัน แท้จริง เราได้บันดาลพวกเจ้ามา หลังจากนั้นเราได้ทำรูปร่างแก่พวกเจ้า หลังจากนั้นเราก็กล่าวแก่มลาอิกะฮฺว่า “พวกเจ้าจง(กราบ)คารวะต่ออาดัมเถิด” ซึ่งพวกนั้นก็กราบ(คารวะเป็นอันดี) ยกเว้นอิบลีสเท่านั้น ซึ่งมันมิยอมเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาที่ทำการกราบ
12. พระองค์ทรงตรัสว่า “อะไรหรือที่ยับยั้งเจ้าไว้มิให้กราบ ในเมื่อข้าได้ใช้เจ้า” มันทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าประเสริฐกว่าเขา(อาดัม)เพราะพระองค์ทรงบันดาลข้าพเจ้ามาจากไฟและบันดาลเขามาจากดิน
13. พระองค์?รงตรัสว่า “ดังนั้นเจ้าจงลงไปจากมัน(สวรรค์)เถิด ที่จริงไม่มี(ความเหมาะสม)สำหรับเจ้าที่จะมาทำหยิ่งในนั้น ดังนั้นเจ้าจงออกไปเถิด แท้จริงเจ้านั้นเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ต่ำต้อยทั้งหลาย
14. (อิบลีส)มันกล่าวว่า “ได้โปรดประวิงเวลาไว้แก่ข้าพเจ้าจนถึงวัน(ชาติหน้า)ที่พวกเขาถูกฟื้นขึ้น(มาจากสุสาน)เถิด”
15. พระองค์ทรงตรัสว่า “แท้จริงเจ้านั้น(ได้รับอนุญาตให้)เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ได้รับการประวิงเวลาให้”
16. (อิบลีส)มันกล่าวอีกว่า “เป็นเพราะพระองค์ทำให้ข้าพเจ้าหลงทาง ดังนั้นขอสาบานว่า ข้าพเจ้าจะ(ล่อลวง)พวกเขาให้เพิกเฉยต่อแนวทางอันเที่ยงตรงของพระองค์”
17. หลังจากนั้น ขอสาบาน ข้าพเจ้าจะมาหาพวกเขาทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง ด้านขวาและด้านซ้ายของพวกเขา (เพื่อคอยยุยงให้พวกเขาเลิกละการทำความดี) และพระองค์จะไม่พบคนส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้กตัญญู(ต่อพระองค์)เลย
18. พระองค์ทรงตรัสว่า “เจ้าจงออกไปจากมันย(สวรรค์)เถิดอย่างอัปยศ อีกทั้งถูกอัปเปหิ ขอยืนยัน แท้จริงผู้ใดก็ตามจากพวกเขาที่ประพฤติตามเจ้า ข้าก็จะบรรจุให้เต็มนรกจากพวกเจ้าทั้งมวล

 
คำแปล R3.
11. และแท้จริงเราได้สร้างสูเจ้าแล้วได้ทำให้สูเจ้าเป็นรูปร่างแล้วเราได้บอกแก่มลาอิกะฮฺว่า “จงนบนอบต่ออาดัม” ดังนั้นมลาอิกะฮฺทั้งหลายจึงต่างนบนอบ ยกเว้นอิบลีสซึ่งไม่ยอมอยู่ในหมู่ผู้นบนอบ
12. พระองค์จึงตัรว่า “อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้นบนอบเมื่อฉันได้สั่งเจ้า?” มันตอบว่า “ฉันดีกว่าเขา พระองค์ทรงสร้างฉันจากไฟและพระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน”
13. พระองค์ทรงตรัสว่า “ดังนั้นจงลงไปจากที่นี่เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเจ้าที่จะมาทำโอหัง จงออกไปเสีย แท้จริงเจ้าเป็นผู้อยู่ในหมู่อัปยศ”
14. มันจึงกล่าวว่า “ทรงโปรดประวิงเวลาให้แก่ฉันจนถึงวันที่พวกเขาฟื้นคืนชีพขึ้นด้วยเถิด”
15. พระองค์ตรัสว่า “เจ้าเป็นผู้ที่ได้รับการประวิง”
16. มันกล่าวว่า “เนื่องจากพระองค์ได้ทำให้ฉันหลงทางไปแล้ว ทีนี้ฉันจะซุ่มคอยพวกเขาตามทางที่เที่ยงตรงของพระองค์
17. แล้วฉันจะจู่โจมใส่พวกเขาจากทุกด้าน จากด้านหน้าพวกเขา และด้านหลังพวกเขา จากด้านขวาพวกเขาและด้านซ้ายพวกเขา และพระองค์จะไม่ทรงพบว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นผู้กตัญญู”
18. พระองค์ตรัสว่า “จงออกไปจากที่นี่อย่างอัปยศและถูกตะเพิด จงรู้ไว้ด้วยว่า ฉันจะทำนรกให้เต็มไปด้วยเจ้าและทุกคนที่ปฏิบัติตามเจ้า”


คำแปล R4.
11. และแท้จริงเราได้บังเกิดพวกเจ้า แล้วเราได้ให้พวกเจ้าเป็นรูปร่างแล้วเราได้กล่าวแก่มลาอิกะฮฺว่า จงสุยูดแก่อาดัมเถิด แล้วพวกเขาก็สุยูดกัน นอกจากอิบลิสเท่านั้น มิปรากฏว่ามันอยู่ในหมู่ผู้สุยูด
12. พระองค์ตรัสว่า อะไรที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุยูด ขณะที่ข้าได้ใช้เจ้า มันกล่าวว่า ข้าพระองค์ดีกว่าเขา โดยที่พระองค์ทรงบังเกิดข้าพระองค์จากไฟ และได้บังเกิดเขาจากดิน
13. พระองค์ตรัสว่า จงลงจากสวนนั้นไปเสีย ไม่สมควรแก่เจ้าที่จะทำโอหังในนั้น จงออกไปให้พ้นแท้จริงเจ้านั้นอยู่ในหมู่ผู้ต่ำต้อย
14. มันกล่าวว่า โปรดผ่อนผันข้าพระองค์จนถึงวันที่พวกเขาถูกให้ฟื้นคืนชีพด้วยเถิด
15. พระองค์ตรัสว่า แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ที่ได้รับการผ่อนผัน
16. มันกล่าวว่า ด้วยเหตุที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ตกอยู่ในความหลงผิดแน่นอนข้าพระองค์จะนั่งขวางกั้นพวกเขาซึ่งทางอันเที่ยงตรงของพระองค์
17. แล้วข้าพระองค์จะมายังพวกเขา จากเบื้องหน้าของพวกเขา และจากเบื้องหลังของพวกเขาและจากเบื้องขวาของพวกเขา และจากเบื้องซ้ายของพวกเขา และพระองค์จะไม่พบว่าส่วนมากของพวกเขานั้น เป็นผู้ขอบคุณ
18. พระองค์ตรัสว่า จงออกจากสวนนั้นไปในฐานะผู้ถูกติเตียน และถูกขับไล่ ข้าสาบานว่า ผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ปฏิบัติตามเจ้า ข้าจะบรรจุให้เต็มญะฮันนัมทั้งจากพวกเจ้าด้วยทั้งหมด


คำแปล R5.
๑๑. และขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าแท้จริงเรา(อัลเลาะห์) ได้สร้างพระนบีอาดำผู้เป็นบิดาของพวกเจ้าแล้วเราก็ได้ให้ผู้เป็นบิดาของพวกเจ้าเป็นรูปร่างขึ้นโดยที่พวกเจ้าทั้งหลายอยู่ในกระดูกสันหลังของอาดำ ต่อจากนั้นเราจึงได้สั่งแก่มวลมลาอิกะห์ว่า “พวกเจ้าจงเคารพอาดำ” โดยการโน้มศีรษะ พวกมลาอิกะห์เหล่านั้นจึงแสดงความเคารพอาดำตามพระบัญชาเว้นแต่อิบลีส ผู้เป็นบิดาของเหล่ายินเท่านั้นที่มันมิได้เข้าเป็นผู้มีส่วนของผู้ให้ความเคารพ
๑๒. พระองค์ตรัสว่าอะไรหรือที่ห้ามเจ้ามิให้แสดงความเคารพอาดำในเมื่อข้าบัญชาใช้เจ้า มันตอบว่าข้านี้ประเสริฐเลิศกว่าเขา(อาดำ) ที่พระองค์สร้างตัวข้าขึ้นจากไฟ แต่พระองค์สร้างเขาขึ้นจากดิน
๑๓. พระองค์ตรัสว่า เจ้าจงไปเสียจากสวรรค์แห่งนี้ ไม่น่าที่เจ้าจะแสดงหยิ่งยโส ณ ที่แห่งนี้เลย เจ้าจงออกไปเสียให้พ้นจากสวรรค์นี้ เพราะเจ้านั้นเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ต่ำทราม
๑๔. ไซตอนมันจึงกล่าวขึ้นว่า ขอพระองค์จงผัดผ่อนให้ข้าอีกหน่อยเถิด จนกว่าจะถึงวันเป่าสังข์ครั้งสองที่พวกมนุษย์ทั้งหลายจะถูกบังเกิดกันขึ้นใหม่
๑๕. พระองค์ตรัสว่า เจ้าย่อมเป็นผู้หนึ่งจากพวกที่ได้รับการประวิงเวลาจนถึงวันเป่าสังข์ครั้งสองแน่นอนทีเดียว
๑๖. มันกล่าวว่าก็เพราะพระองค์นั่นแหละที่ทำให้ข้าไขว้เขว ข้าขอปฏิญาณว่าข้าจะพยายามให้พวกเหล่านั้นที่เป็นลูกหลานของอาดำตกอยู่ในความไขว้เขวห่างจากวิถีทางแห่งศาสนาอิสลามอันเที่ยงตรงของพระองค์ จนพวกลูกหลานของอาดำเกิดความหายนะเพราะข้า ดังที่ข้าได้เคยรับความหายนะ เพราะอาดำผู้เป็นบรรพบุรุษของพวกนั้นเป็นต้นเหตุ
๑๗. จากนั้นข้าก็จะเข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกลูกหลานเหล่านั้นของอาดำทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องขวาและเบื้องซ้าย และข้าจะคอยห้ามพวกนั้นมิให้ดำเนินรอยตามศาสนาโดยพระองค์จะไม่ได้พบเห็นส่วนมากจากพวกเหล่านั้นเป็นพวกที่ศรัทธาเลย
๑๘. พระองค์ตรัสว่า จงออกไปเสียให้พ้นจากสวรรค์แห่งนี้อย่างอดสูและถูกขับไล่ออกห่างจากความโปรดปราณี พระองค์ทรงให้สัตย์ปฏิญาณว่า หากผู้ใดจากพวกเหล่านั้นที่เป็นลูกหลานของอาดำเจริญรอยตามเจ้า ข้าจะรวบรวมพวกเจ้าทั้งสิ้น ทั้งตัวเจ้า(อิบลีส)เอง ลูกหลานของเจ้าและมวลมนุษย์ที่เจริญรอยตามเจ้าเข้าบรรจุให้เต็มนรกยะฮันนำ



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 19 - 25


คำอ่าน
19. วะยา..อาดะมุสกุนอัน..ตะวะเซาญุกัลญัน..นะตะ ฟะกุลามินหัยษุ ชิอ์ตุมา วะลาตักเราะบาฮาซิฮิชชะญะเราะตะ ฟะตะกูนามินัซซอลิมีน
20. ฟะวัสวะสะละฮุมัชชัยฏอนุ ลิยุบดิยะละฮุมา มาวูริยะอันฮุมา มิน..เสาอาติฮิมา วะกอละมานะฮากุมา ร็อบบุกุมา อันฮาซิฮิชชะญะเราะติ อิลลา..อัน..ตะกูนา มะละกัยนิ เอาตะกูนามินัลคอลิดีน
21. วะกอสะมะฮุมา..อิน..นีละกุมา ละมินัน..นาศิหีน
22. ฟะดัลละฮุมาบิฆุรูริน..ฟะลัม..มาซาก็อชชะญะเราะตะ บัดัตละฮุมา เสาอาตุฮุมา วะเฏาะฟิกอ ยัคศิฟานิ อะลัยฮามิว..วะเราะกิลญัน..นะฮฺ วะนาดาฮุมา ร็อบบุฮุมา..อะลัมอันฮะกุมา อันติลกุมัชชะญะเราะติ วะอะกุลละกุมา..อิน..นัชชัยฏอนะ ละกุมาอะดูวุม..มุบีน
23. กอลา ร็อบบะนา เซาะลัมนาอัน..ฟุสะนา วะอิลลัมตัฆฟิรฺละนา วะตัรหัมนา ละนะกูนัน..นะมินัลคอสิรีน
24. กอละฮฺบิฏู บะอฺฎุกุม ลิบะอฺฎินอะดูวฺ วะละกุมฟิลอัรฺฎิมุสตะก็อรฺรู..วะมะตาอุน อิลาหีน
25. กอละฟีฮาตะหฺเยานะ วะฟีฮาตะมูตูนะ วะมินฮาตุคเราะญูน


คำแปล R1.
19. "And O Adam! Dwell you and your wife in Paradise, and eat thereof as you both wish, but approach not this tree otherwise you both will be of the Zalimun (unjust and wrong-doers)."
20. Then Shaitan (Satan) whispered suggestions to them both in order to uncover that which was hidden from them of their private parts (before); He said: "Your Lord did not forbid you this tree save you should become angels or become of the immortals."
21. And he [Shaitan (Satan)] swore by Allah to them both (saying): "Verily, I am one of the sincere well-wishers for you both."
22. So he misled them with deception. Then when they tasted of the tree, that which was hidden from them of their shame (private parts) became manifest to them and they began to stick together the leaves of Paradise over themselves (in order to cover their shame). And their Lord called out to them (saying): "Did I not forbid you that tree and tell you: Verily, Shaitan (Satan) is an open enemy unto you?"
23. They said: "Our Lord! We have wronged ourselves. If You forgive us not, and bestow not upon us Your Mercy, we shall certainly be of the losers."
24. (Allah) said: "Get down, one of you an enemy to the other [i.e. Adam, Hawwa (Eve), and Shaitan (Satan), etc.]. on earth will be a dwelling-place for you and an enjoyment, - for a time."
25. He said: "Therein you shall live, and therein you shall die, and from it you shall be brought out (i.e.resurrected)."


คำแปล R2.
19. และโอ้อาดัม เจ้าและคู่ครองของเจ้าจงพำนักอยู่ในสวรรค์เถิด แล้วเจ้าทั้งสองจงบริโภคเถิดตามแต่เจ้าทั้งสองปรารถนา แต่เจ้าทั้งสองจงอย่าเข้ากล้ำกรายใกล้ต้นไม้ต้นนี้เป็นอันขาด แล้วเจ้าทั้งสองก็จะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้อธรรมทั้งหลาย
20. ครั้นแล้ว มารร้ายก็ได้เข้ามาทำให้ทั้งสองฟุ้งซ่าน เพื่อมันจะได้เผยแก่ทั้งสองซึ่งสิ่งที่ถูกปกปิดแก่เขาทั้งสอง(มาแต่เก่าก่อน)และมันกล่าว(กับอาดัมและฮาวา)ว่า “พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าทั้งสองมิได้ห้ามท่านเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้(เพื่ออื่นใดเลย)นอกจาก(หากท่านรับประทานผลไม้ของมันแล้ว)ท่านทั้งสองก็จะกลับกลายเป็น(เทพ)มลาอิกะฮฺ หรือมิฉะนั้น ท่านทั้งสองจะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้คงยั่งยืน(ไม่มีวันตาย)”
21. และมันได้สาบานต่อเขาทั้งสองว่า “แท้จริงตัวฉันนี้ เป็นผู้หวังดีโดยแท้ต่อท่านทั้งสอง”
22. ดังนั้นมันจึงทำความตกอับแก่คนทั้งสอง(จนเขาทั้งสองต้องออกจากสวรรค์) ดังนั้นเมื่อเขาทั้งสองได้ชิมรสของ(ผลไม้แห่ง)ต้นไม้นั้น ส่วนอนาจารของคนทั้งสองก็เผยแก่ทั้งสอง(อย่างชัดเจน) และทั้งสองก็(รีบ)จัดการปกปิดบน(ร่างกาย(ของ)ทั้งสองจากใบไม้สวรรค์ และองค์อภิบาลของทั้งสองได้เรียกคนทั้งสองว่า “ก็ข้ามิได้ห้ามเจ้าทั้งสอง(มิให้เข้าใกล้)ต้นไม้ต้นนั้นแล้วมิใช่หรือ และข้า(มิ)ได้บอกกับเจ้าทั้งสองแล้วดอกหรือว่า แท้จริงมารร้ายนั้นเป็นศัตรูอันชัดแจ้งสำหรับเจ้าทั้งสอง”
23. เขาทั้งสอง(เริ่มสำนึกผิดและ)กล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาลของเรา เราได้อธรรมแก่ตัวเราเองแล้ว และมาดแม้นพระองค์ไม่ทรงให้อภัยแก่เรา และพระองค์(ไม่)เมตตาเรา แน่นอนเราทั้งสองก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งจากลรรดาผู้ขาดทุน
24. พระองค์ทรงตรัสว่า “พวกเจ้าจงลงไป(จากสวรรค์)เถิด โดยต่างคนต่างก็เป็นศัตรูแก่กันและกัน และพวกเจ้าจะมีที่อยู่อาศัยและความสุขในแผ่นดินเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น(จนกว่าจะตาย)
25. พระองค์ทรงตรัสว่า “พวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ใน(แผ่นดินนั้น) พวกเจ้าจะตายในนั้น และพวกเจ้าจะ(ฟื้น)ออกไปจากนั้น


คำแปล R3.
19. และสำหรับเจ้า อาดัมเอ๋ย เจ้าและคู่ครองของเจ้าจงพำนักอยู่ในสวนสวรรค์นี้ และจงกินตามแต่ที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าทั้งสองจงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ มิฉะนั้นเจ้าทั้งสองจะอยู่ในหมู่ผู้ละเมิด
20. แล้วมารก็ได้กระซิบล่อลวงคนทั้งสองเพื่อที่ว่ามันจะได้เปิดเผยส่วนที่พึงละอายของคนทั้งสองที่ถูกปิดบังไว้จากกันและกัน มันได้กล่าวแก่เขาทั้งสองว่า “พระผู้อภิบาลของท่านได้ห้ามพวกท่านมิให้เข้าใกล้ต้นไม้นี้ก็เพราะทรงเกรงว่าท่านทั้งสองจะกลายเป็นมลาอิกะฮฺหรือท่านทั้งสองจะกลายเป็นผู้ไม่ตาย
21. และมันได้สามบานแก่เขาทั้งสองว่า “ฉันเป็นผู้ให้การปรึกษาที่ดีแก่ท่านทั้งสองจริง ๆ”
22. ดังนั้นมันจึงได้ทำให้คนทั้งสองเพลี่ยงพล้ำและตกอยู่ใต้แผนการล่อลวงของมัน ครั้นเมื่อเขาทั้งสองได้ลิ้มรส(ผล)ของต้นไม้นี้ สิ่งพึงอายของเขาทั้งสองก็ได้เปิดเผยซึ่งกันและกัน และเขาทั้งสองก็ได้เริ่มปกปิดสิ่งพึงสงวนของตัวเองด้วยใบไม้แห่งสวนสวรรค์ แล้วพระองค์ก็ได้ทรงเรียกเขาทั้งสองและกล่าวว่า “ฉันมิได้ห้ามเจ้าทั้งสองเข้าใกล้ต้นไม้นี้และเตือนเจ้าทั้งสองว่ามารเป็นศัตรูที่ชัดเจนของเจ้ากระนั้นหรือ”
23. เขาทั้งสองกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา เราได้ทำผิดแก่ตัวของเรา ถ้าพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษให้แก่เราและทรงเมตตาเรา แน่นอนเราจะต้องเป็นผู้ได้รับความหายนะ”
24. พระองค์จึงได้ทรงบัญชาว่า “จงลงไป สูเจ้าจะเป็นศัตรูต่อกันและกัน แผ่นดินจะเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับสูเจ้าชั่วระยะเวลาหนึ่งและที่นั่นสูเจ้าจะได้รับปัจจัยยังชีพ”
25. พระองค์ตรัสว่า “ณ ที่นั้น สูเจ้าจะมีชีวิต และ ณ ที่นั้นสูเจ้าจะตาย และจากที่นั้นสูเจ้าจะถูกนำออกมา”


คำแปล R4.
19. และพระองค์ตรัสว่า อาดัมเอ๋ย ! ทั้งเจ้าและคู่ครองเจ้าจงอยู่ในสวนสวรรค์นั้นเถิด แล้วจงบริโภค ณ ที่ใดก็ได้ที่เจ้าทั้งสองประสงค์และเจ้าทั้งสองอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้(มิเช่นนั้นแล้ว) เจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ที่อธรรม
20. แล้วชัยฏอนก็ได้กระซิบกระซาบแก่ทั้งสองนั้นเพื่อที่จะเผย แก่เขาทั้งสองซึ่งสิ่งที่ถูกปิดบังแก่เขาทั้งสองไว้อันได้แก่สิ่งอันพึงละอายของเขาทั้งสอง และมันได้กล่าวว่า พระเจ้าของท่านทั้งสองมิได้ทรงหวงห้ามท่านทั้งสอง ซึ่งต้นไม้ต้นนี้(เพราะอื่นใด) นอกจากการที่ท่านทั้งสองจะกลายเป็นมะลาอิกะฮฺ หรือไม่ก็กลายเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ที่ยั่งยืนอยู่ตลอดกาลเท่านั้น
21. และมันได้สาบานแก่ทั้งสองนั้นว่าแท้จริงฉันอยู่ในพวกที่แนะนำท่านทั้งสอง
22. แล้วเราก็ทำให้ทั้งสองนั้นตกอยู่ในสิ่งที่มันต้องการ อันเนื่องจากการหลอกลวง ครั้นเมื่อทั้งสองได้ลิ้มรสต้นไม้ต้นนั้นแล้ว สิ่งอันพึงละอายของเขาทั้งสอง ก็เผยให้ประจักษ์แก่เขาทั้งสอง และเขาทั้งสองก็เริ่มปกปิดบน(ส่วนที่น่าละอาย)ของเขาทั้งสองจากใบไม้แห่งสวนสวรรค์นั้น และพระเจ้าของเขาทั้งสองจึงได้เรียกเขาทั้งสอง (โดยกล่าวว่า)ข้ามิได้ห้ามเจ้าทั้งสองเกี่ยวกับต้นไม้นั้นดอกหรือ? และข้ามิได้กล่าวแก่เจ้าทั้งสองดอกหรือว่า แท้จริงชัยฏอนนั้นคือศัตรูที่ชัดแจ้งแก่เจ้าทั้งสอง
23. เขาทั้งสองได้กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของพวกเข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์ได้อธรรมแก่ตัวของพวกข้าพระองค์เอง และถ้าพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษแก่พวกข้าพระองค์และเอ็นดูเมตตาแก่ข้าพระองค์แล้ว แน่นอนพวกข้าพระองค์ก็ต้องกลายเป็นพวกที่ขาดทุน
24. พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าจงลงกันไปโดยที่บางส่วนของพวกเจ้าคือ ศัตรูกับอีกบางส่วนและในแผ่นดินนั้นมีที่พำนัก และสิ่งอำนวยประโยชน์สำหรับพวกเจ้าจนถึงระยะเวลาหนึ่ง
25. พระองค์ตรัสว่า ในแผ่นดินนั้นแหละพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และในแผ่นดินนั้นแหละพวกเจ้าจะตาย และจากแผ่นดินนั้นและพวกเจ้าจะถูกออกมาอีก


คำแปล R5.
๑๙. แล้วพระองค์ตรัสว่า โอ้อาดำ ทั้งตัวเจ้าและภรรยาของเจ้าจงพำนักอยู่ ณ สรวงสวรรค์เถิด เจ้าทั้งสองจงบริโภคสิ่งใดก็ได้ตามที่จะต้องการ แต่เจ้าทั้งสองอย่าได้ย่างใกล้ไม้ต้นนี้ ชื่อว่าต้นข้าวสาลี เพื่อว่าเจ้าทั้งสองจะได้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งจากบรรดาที่คดโกง
๒๐. แต่แล้วไชตอนก็ได้กระทำให้ทั้งสองเกิดลังเลใจเพื่อมันจะได้เผยสิ่งน่าบัดสีที่ถูกปกปิดไว้สำหรับทั้งสองนั้นให้ปรากฏ วัตถุประสงค์ของมันที่พยายามทำให้ทั้งสองมีใจลังเลนี้ก็คือ ต้องการจะให้ทั้งสองถลำเข้ากระทำการชั่วช้าอันเป็นเหตุให้ทั้งสองถูกขับไล่ออกจากสวรรค์เหมือนกับที่มันเองเคยถูกขับไล่ออกพ้นไปจากสวรรค์นั้นแล้ว และมันก็เอ่ยขึ้นเพื่อให้อาดำกับภรรยาลังเลใจว่าที่องค์พระผู้อภิบาลของท่านทั้งสองได้ทรงห้ามท่านทั้งสองห่างจากไม้ต้นนี้ก็เพราะกลัวว่าท่านทั้งสองจะเป็นมลาอิกะห์ หรือไม่ก็เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้อยู่ยั่งยืน ประจำ ณ สวรรค์นี้เท่านั้น
๒๑. มันได้สบถสาบานด้วยพระนามของอัลเลาะห์แก่ทั้งสองนั้นว่า แท้จริงข้าเป็นผู้หนึ่งที่หวังดีแก่ท่านทั้งสองในเรื่องที่ข้าได้บอกไว้นั้น
๒๒. และมันยังได้กระทำให้เขาทั้งสองนั้นตกต่ำโดยการลวงล่อของมัน ครั้นเมื่อทั้งสองได้ลิ้มรสแห่งผลไม้นั้น สิ่งน่าบัดสีของทั้งสองจึงปรากฏขึ้น ทั้งสองเด็ดใบไม้สวรรค์มาปิดคลุมไว้ แล้วพระผู้อภิบาลของทั้งสองก็ได้ทรงร้องบอกเขาทั้งสองว่า “ข้าเคยได้ห้ามเจ้าทั้งสองให้ออกห่างไม้ต้นนี้ และข้าก็เคยได้บอกกับเจ้าทั้งสองแล้วว่า แท้จริงไซตอนนั้นมันคือศัตรูสำหรับเจ้าทั้งสองอย่างแจ้งชัดทีเดียว”
๒๓. ทั้งสองตอบว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้คิดคดแก่ตนเองเสียแล้ว ด้วยการฝ่าฝืนคำบัญชาใช้และห้ามของพระองค์ (ก่อนได้รับตำแหน่งเป็นศาสนทูต) กลับไปเชื่อฟังคำสั่งของศัตรูของข้าพระองค์ที่ให้ข้าพระองค์กินผลข้าวสาลี ซึ่งพระองค์ได้ทรงห้ามไว้แล้ว หากว่าพระองค์ไม่โปรดอภัยโทษแก่ข้าพระองค์และสิ้นความโปรดปราณีต่อข้าพระองค์แล้วไซร้ ข้าพระองค์นี้จักเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ขาดทุนแน่นอนทีเดียว
๒๔. พระองค์ตรัสว่าโอ้อาดำและเฮาวาอ์ เจ้าทั้งสองจงลงไปยังหน้าแผ่นดินพร้อมกับมีเชื้อพันธุ์ในตัวเจ้าทั้งสองลงไปด้วยเถิดโดยที่บางส่วนจากลูกหลานของเจ้าทั้งสองเป็นศัตรูต่อกัน และสำหรับพวกเจ้า ณ หน้าแผ่นดินนั้นก็ให้มีที่พักอาศัยในยามมีชีวิตอยู่ และเป็นที่ฝังร่างเมื่อถึงคราวตาย และมีประโยชน์สุขชั่วขณะจนกว่าจะตายเท่านั้น
๒๕. พระองค์ตรัสว่า ณ ที่แผ่นดินนั้นพวกเจ้าทั้งสองจะมีชีวิตอยู่ ณ ที่นั้นพวกเจ้าทั้งสองจะตายลง และจากที่นั้น พวกเจ้าทั้งสองจะถูกบังเกิดขึ้นในวันปรภพ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 26 - 28


คำอ่าน
26. ยาบะนี..อาดะมะ ก็อดอัน..ซัลนา อะลัยกุมลิบาสัย..ยุวารีเสาอาติกุมวะรีชา วะลิบาสุตตักวา ซาลิกะค็อยรฺ ซาลิกะมินอายาติลลาฮิ ละอัลละฮุมยัซซักกะรูน
27. ยาบะนี..อาดะมะ ลายัฟตินัน..นะกุมุชชัยฏอนุ กะมา..อัคเราะญะอะบะวัยกุม..มินัลญัน..นะติ ยัน..ซิฆุอันฮุมา บาสะฮุมา ลิยุริยะฮุมา เสาอาติฮิมา อิน..นะฮุ ยะรอกุม ฮุวะวะเกาะบีลุฮู มินหัยษุเตะร็อวฺนะฮุม อิน..นาญะอัลนัชชะยาฏีนะ เอาลิยา...อะลิลละซีนะลายุอ์มินูน
28. วะอิซาฟะอะลูฟาหิชะตัน..กอลู วะญัดนาอะลัยฮา..อาบา..อะนา วัลลอฮุ อะมะเราะนาบิฮา กุลอิน..นัลลอฮะลายะอ์มุรุ บิลฟะหฺชา...อิ อะตะกูลูนะอะลัลลอฮิมาลาตะอฺละมูน


คำแปล R1.
26. O children of Adam! We have bestowed raiment upon you to cover yourselves (screen your private parts, etc.) and as an adornment, and the raiment of righteousness, that is better. Such are among the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) of Allah, that they may remember (i.e. leave falsehood and follow Truth).
27. O children of Adam! Let not Shaitan (Satan) deceive you, as he got your parents [Adam and Hawwa (Eve)] out of Paradise, stripping them of their raiment, to show them their private parts. Verily, he and Qabiluhu (his soldiers from the jinns or his tribe) see you from where you cannot see them. Verily, we made the Shayatin (devils) Auliya' (protectors and helpers) for those who believe not.
28. And when they commit a Fahisha (evil deed, going round the Ka'bah in naked state, every kind of unlawful sexual intercourse, etc.), they say: "We found our fathers doing it, and Allah has commanded us of it." say: "Nay, Allah never commands of Fahisha. Do you say of Allah what you know not?


คำแปล R2.
26. โอ้เผ่าพันธุ์ของอาดัม แท้จริงเราได้ส่งลงมาให้แก่เจ้า ซึ่งเครื่องนุ่งห่มที่ใช้ปกปิดส่วนอนาจารของพวกเจ้า และเป็นเครื่องประดับ(เพื่อความสวยงาม) และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง นั่นแหละเป็นสิ่งประเสริฐสุด นั้นเป็นหนึ่งจากบรรดาสัญลักษณ์แห่งอัลเลาะฮฺ เพื่อพวกเขาจะได้สำนึก(ในคำบัญชาของพระองค์)
27. โอ้เผ่าพันธุ์ของอาดัมทั้งหลาย จงอย่าให้มารร้ายทำกลอุบายล่อลวงพวกเจ้า ประดุจดังมันเคยทำให้บิดามารดาของเจ้าออกจากสวรรค์(เมื่ออดีต) มันถอดถอนออกจากทั้งสองซึ่งเครื่องนุ่งห่มของทั้งสอง เพื่อมันจะทำให้คนทั้งสองมองเห็นส่วนอนาจารของกันและกัน แท้จริงมันและพรรคพวกของมันเห็นพวกเจ้าโดยพวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน แท้จริงเราได้จัดการกับพวกมารร้ายให้เป็นมิตรสนิทกับบรรดาผู้ไม่ศรัทธาทั้งหลาย
28. และเมื่อพวกเขา(ผู้ไม่ศรัทธา)ได้กระทำการอันลามกอย่างหนึ่ง(เช่นเปลือยกายเวียนกะบะฮฺ)พวกเขากล่าวว่า “เราเคยพบเห็นบรรพบุรุษของเรากระทำสิ่งนั้นมาก่อน และอัลเลาะฮฺได้มีบัญชาแก่เราให้ทำด้วย” จงประกาศเถิด “แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงบัญชา(ให้กระทำ)บรรดาความลามกต่าง ๆ หรอก! พวกท่านทั้งหลายจะเสกสรรความเท็จแก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้หรือ?


คำแปล R3.
26. ลูก ๆ ของอาดัมเอ๋ย เราได้ประทานเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้แก่สูเจ้าเพื่อปกปิดส่วนที่พึงละอายของสูเจ้าและเพื่อเป็นสิ่งคุ้มครองและเครื่องประดับ แต่อาภรณ์แห่งการสำรวมตนนั้นเป็นอาภรณ์ที่ดีที่สุด นี่เป็นหนึ่งในสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮฺ เพื่อที่พวกเขาจะได้รำลึก
27. ลูก ๆ ของอาดัมเอ๋ย จงอย่าให้มารล่อลวงสูเจ้าดั่งที่มันได้ทำให้พ่อแม่คนแรกของสูเจ้าถูกขับออกจากสวนสวรรค์และทำให้เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาทั้งสองต้องหลุดลุ่ยออกจากร่าง ทั้งนี้เพื่อที่มันจะได้เปิดเผยสิ่งพึงละอายของเขาทั้งสองต่อกันและกัน มันและพวกของมันมองเห็นสูเจ้าจากที่สูเจ้าไม่สามารถมองเห็นพวกมัน แท้จริง เราได้ทำให้มารเป็นสหายของบรรดาผู้ไม่ศรัทธา
28. เมื่อใดก็ตามที่คนเหล่านี้กระทำสิ่งลามก พวกเขาจะกล่าวว่า “เราได้พบว่าบรรพบุรุษของเราได้ทำสิ่งนี้ และอัลลอฮฺก็ได้ทรงสั่งให้เราทำเช่นนี้” จงบอกพวกเขาว่า “อัลลอฮฺไม่ทรงสั่งในเรื่องลามก พวกท่านกล่าวอ้างถึงอัลลอฮฺและพูดถึงสิ่งที่พวกท่านไม่รู้ความจริงกระนั้นหรือ?”


คำแปล R4.
26. ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่มที่ปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่งห่มที่ให้ความสวยงาม และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรงนั่นคือสิ่งที่ดียิ่งนั่นแหละคือส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮฺ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก
27. ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย! จงอย่าให้ชัยฏอนหลอกลวงพวกเจ้า เช่นเดียวกับที่มันได้ให้พ่อแม่ของพวกเจ้าออกจากสวนสวรรค์มาแล้ว โดยที่มันได้ถอดเครื่องนุ่งห่มของเขาทั้งสองออกเพื่อที่จะให้เขาทั้งสองเห็นสิ่งที่น่าละอายของเขาทั้งสอง แท้จริงทั้งมัน และเผ่าพันธุ์ของมันมองเห็นพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน แท้จริงเราได้ให้บรรดาชัยฏอนเป็นเพื่อนกับบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา
28. และเมื่อพวกเขากระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ พวกเขาก็กล่าวว่า พวกเราได้พบเห็นบรรดาบรรพบุรุษของพวกเราเคยกระทำมา และอัลลอฮฺก็ทรงใช้พวกเราให้กระทำมันด้วย จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าแท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงใช้ให้กระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจดอก พวกท่านจะกล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้กระนั้นหรือ?


คำแปล R5.
๒๖. โอ้บุตรหลานของอาดำความจริงเรา(อัลเลาะห์) ได้ให้พวกเจ้ามีเครื่องแต่งกาย มีผ้านุ่ง ผ้าห่ม เป็นต้น ให้เป็นทั้งที่ปกคลุมส่วนที่อับอายของพวกเจ้าและเพื่อเป็นเครื่องประดับกายให้สวยงาม แต่ความยำเกรงด้วยการปฏิบัติดีและมีจรรยามารยาทดีนั่นซิเป็นเครื่องปกคลุมที่ดียิ่งกว่าเครื่องแต่งกาย ทั้งนี้เพราะเหตุว่าความประพฤติปฏิบัติดีตลอดทั้งการมีจรรยามารยาทดีนั้นย่อมสามารถป้องกันการลงโทษได้ การที่ได้ทรงให้พวกเจ้ามีเครื่องแต่งกายไว้ปกคลุมและประดับกายข้างต้นนี้แหละ นับเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาณที่ชี้ให้เห็นพลานุภาพแห่งอัลเลาะห์ เพื่อว่าพวกเขาจักได้เชื่อฟังคำตักเตือนแล้วจะได้เกิดความศรัทธา
๒๗. โอ้บุตรหลานของอาดำอย่าปล่อยให้ไชตอนก่อความหายนะแก่พวกเจ้าเหมือนดั่งที่มันได้เคยให้อาดำกับเฮาวาอ์ผู้เป็นบิดามารดาของพวกเจ้าต้องออกพ้นจากสวรรค์ โดยเครื่องแต่งกายก็ถูกมันเปลื้องออกเพื่อให้ทั้งสองแลเห็นส่วนที่น่าอับอายของตน แท้จริงมันกับสมุนของมันจะแลเห็นพวกเจ้าได้จากด้านที่พวกเจ้ามองไม่เห็นพวกมัน ในเมื่อพวกมันอยู่ในรูปเดิมของมันเพราะรูปร่างนี้ละเอียดอ่อนมาก ทั้งไม่มีสีที่รูปร่างของมันเหล่านั้น ถ้าเมื่อไรพวกมันจำแลงร่างเป็นรูปกายอย่างอื่น พวกเราก็สามารถแลเห็นพวกมันได้ แท้จริงเรา(อัลเลาะห์) ได้ให้ไชตอนเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นสหายของพวกที่มิได้ศรัทธา(กาฟิร)
๒๘. และในเมื่อพวกกาฟิรเหล่านั้นได้กระทำความชั่วช้า อาทิ เช่น เคารพบูชาผู้อื่นที่นอกจากอัลเลาะห์ และพวกที่เปลือยกายเวียนรอบไบตุลเลาะห์โดยเอ่ยว่า พวกเราจะไม่เวียนรอบไบตุลเลาะห์ในเครื่องแต่งกายชุดที่พวกเราใช้นุ่งไปทำการทรยศต่ออัลเลาะห์ พวกกาฟิรนั้นจึงถูกห้ามมิให้ใช้เครื่องแต่งกายที่ว่านี้ แล้วก็กล่าวว่าพวกเราเคยพบเห็นบรรพบุรุษของเรากระทำความชั่วเป็นอย่างนั้น พวกเราจึงต้องเจริญรอยตามบรรพบุรุษของพวกเรา และยังเอ่ยว่า อัลเลาะห์ทรงบัญชาใช้พวกเราอย่างนั้นด้วย โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวหักล้างกาฟิรเหล่านั้นเถิดว่า แท้ที่จริงอัลเลาะห์มิได้ทรงบัญชาใช้ให้กระทำความชั่วหรอก ไม่น่าที่พวกท่านจะพูดใส่ความเท็จถึงอัลเลาะห์ในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้เลย ที่หาว่าพระองค์ทรงใช้พวกท่านให้ประกอบการชั่วนั้น ๆ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 29 - 32


คำอ่าน
29. กุลอะมะเราะร็อบบีบิลกิสฏฺ วะอะกีมูวุญูฮะกุม อิน..ดะกุลลิมัสญิดิว..วัดอูฮุ มุคลิศีนะละฮุดดีน
30. ฟะรีก็อน ฮะดา วะฟะรีก็อน หักเกาะอะลัยฮิมุฎเฎาะลาละฮฺ อิน..นะฮุมุตตะเคาะซุชชะยาฏีนะ เอาลิยา...อะมิน..ดูนิลลาฮิ วะยะหฺสะบูนะอัน..นะฮุม..มุฮฺตะดูน
31. ยาบะนี..อาดะมะ คุซูซีนะตะกุม อิน..ดะกุลลิมัสญิดิว..วะกุลูวัชเราะบู วะลาตุสริฟู อิน..นะฮูลายุหิบบุลมุสริฟีน
32. กุลมันหัรฺเราะมะซีนะตัลลอฮิลละตี..อัคเราะญะลิอิบาดิฮี วัฏฏ็อยยิบาติมินัรฺริซกิ กุลฮิยะลิลละซีนะอามะนู ฟิลหะยาติดดุนยา คอลิเศาะตัย..เยามัลกิยามะฮฺ กะซาลิกะนุฟัศศิลุลอายาติ ลิก็อวมียะอฺละมูน


คำแปล R1.
29. Say (O Muhammad ): My Lord has commanded justice and (said) that you should face Him only (i.e. worship none but Allah and face the Qiblah, i.e. the Ka'bah at Makkah during prayers) in each and every place of worship, in prayers (and not to face other false deities and idols), and invoke Him only making your Religion sincere to Him by not joining in worship any partner to Him and with the intention that you are doing your deeds for Allah's sake only. As He brought you (into being) in the beginning, so shall you be brought into being (on the Day of Resurrection) [in two groups, one as a blessed one (believers), and the other as a wretched one (disbelievers)].
30. A group He has guided, and a group deserved to be in error; (because) surely they took the Shayatin (devils) as Auliya' (protectors and helpers) instead of Allah, and consider that they are guided.
31. O children of Adam! Take your adornment (by wearing your clean clothes), while praying and going round (the Tawaf of) the Ka'bah, and eat and drink but waste not by extravagance, certainly He (Allah) likes not Al-Musrifun (those who waste by extravagance).
32. Say (O Muhammad): "Who has forbidden the adoration with clothes given by Allah, which He has produced for his slaves, and At-Taiyibat [all kinds of Halal (lawful) things] of food?" say: "They are, in the life of this world, for those who believe, (and) exclusively for them (believers) on the Day of Resurrection (the disbelievers will not share them)." Thus we explain the Ayat (Islamic laws) in detail for people who have knowledge.


คำแปล R2.
29. จงประกาศเถิด ! “องค์อภิบาลของฉันได้มีบัญชาแก่ฉันให้มีความยุติธรรมและพวกท่านจงยืนใบหน้าของพวกท่าน(ให้ตรงโดยตั้งใจแน่วแน่ในพิธีละหมาด) ณ ทุกมัสยิดและพวกท่านจงวอนนมัสการต่อพระองค์โดยความบริสุทธิ์ใจในการนมัสการต่อพระองค์เหมือนเช่นที่พระองค์ได้บันดาลพวกเจ้ามาแต่แรกเริ่ม พวกเจ้าก็จะถูกหวนคืนกลับ(สู่สภาพเดิมอีก)
30. (มนุษย์)บางกลุ่ม(อัลเลาะฮฺ)ได้ให้การชี้นำ(แก่พวกเขา)และอีกบางกลุ่มความหลงผิดได้ปรากฏจริงแก่พวกเขา แท้จริงพวกเขาได้ยึดเอามารร้ายทั้งหลายมาเป็นผู้ปกครอง(ที่เขาภักดี)นอกเหนือจากอัลเลาะฮฺ และพวกเขาคิดว่า พวกเขานั้นได้รับการชี้นำแล้ว(ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นผู้หลงทางอย่างยิ่ง)
31. โฮ้เผ่าพันธุ์ของอาดัม พวกเจ้าจงสวมใส่เครื่องนุ่งห่มของพวกเจ้า ณ ทุก(ครั้งที่จะทำการภักดีต่ออัลเลาะฮฺ)มัสยิด และพวกเจ้าจงกิน จงดื่ม แต่พวกเจ้าอย่าสุรุ่ยสุร่าย เพราะอัลเลาะฮฺไม่ทรงรักบรรดาผู้สุรุ่ยสุร่าย
32. จงประกาศเถิด ! บุคคลใดเล่าที่(จะกล้า)วางกฎห้ามเครื่องประดับของอัลเลาะฮฺ ซึ่งพระองค์ได้ทรงนำออกมาให้แก่ข้าทาสของพระองค์ และ(เช่นเดียวกัน)บรรดาสิ่งที่ดีจากเครื่องยังชีพ จงประกาศเถิด ! แท้จริง(สิ่งนั้น) มันเป็น(ประโยชน์)ของบรรดาผู้ศรัทธาในชีวิจทางโลกนี้ อีกทั้งเป็นสิ่ง(ถูกจัดไว้เป็น)พิเศษเฉพาะ(สำหรับผู้ศรัทธา(ในวันชาติหน้า เช่นนั้น! เราแจกแจงบรรดาโองการ(ต่าง ๆ ของเรา) สำหรับกลุ่มชนที่รู้ดี


คำแปล R3.
29. (มฮัมมัด) จงกล่าวแก่พวกเขาว่า “พระผู้อภิบาลของฉันได้ทรงสั่งฉันในเรื่องของความยุติธรรมและคุณธรรม (พระองค์ยังได้สั่งอีกว่า) จงกำหนดทิศทางของสูเจ้าให้แน่วแน่ในทุก ๆ นมาซ และจงวิงวอนต่อพระองค์เท่านั้นโดยเป็นผู้สุจริตมั่นในการศรัทธาต่อพระองค์ สูเจ้าจะถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งดังที่พระองค์ได้สร้างสูเจ้าขึ้นมาขณะนี้
30. พระองค์ได้ทรงนำทางบางคนและได้ปล่อยให้บางคนหลงผิด นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาได้เอามารเป็นผู้คุ้มครองแทนอัลลอฮฺและยังคิดว่าพวกเขาอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง”
31. ลูก ๆ ของอาดัมเอ๋ย จงแต่งกายของสูเจ้าให้เรียบร้อยทุกครั้งที่ปฏิบัติศาสนกิจ และจงกิน จงดื่ม แต่จงอย่าสุรุ่ยสุร่าย เพราะอัลลอฮฺไม่ทรงรักผู้สุรุ่ยสุร่าย
32. (มุฮัมมัด) จงถามพวกเขา ใครเล่าที่ห้ามความประณีตเรียบร้อยที่อัลลอฮฺได้ทรงนำมันออกมาเพื่อบ่าวของพระองค์และ (ใครเล่าที่ห้าม) สิ่งที่ดีและบริสุทธิ์แห่งชีวิตที่อัลลออฺทรงประทานให้?” จงกล่าวเถิด “สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาในโลกนี้และเฉพาะสำหรับพวกเขาในวันแห่งการฟื้นคืนชีพอีกด้วย” ดังนั้นเราได้ทำให้อายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นที่ง่ายดายแก่ผู้ที่มีความรู้


คำแปล R4.
29. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า พระเจ้าของฉันได้ทรงสั่งให้มีความยุติธรรม และพวกเจ้าจงผินให้ตรงซึ่งใบหน้าของพวกเจ้า ณ ทุก ๆมัสยิด และจงวิงวอนต่อพระองค์ในฐานะผู้มอบอิบาดะฮฺทั้งหลายแด่พระองค์โดยบริสุทธิ์ใจ เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้าแต่แรกนั้น พวกเจ้าก็จะกลับไป
30. พวกหนึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้ และอีกพวกหนึ่งสมควรแก่พวกเขาแล้วซึ่งการหลงผิด แท้จริงพวกเขาได้ยึดเอาบรรดาชัยฏอนเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮฺ และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับคำแนะนำ
31. ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย ! จงเอาเครื่องประดับกายของพวกเจ้า ณ ทุกมัสยิดและจงกินและจงดื่ม และจงอย่าฟุ่มเฟือย แท้จริงพระองค์ไม่ชอบบรรดาผู้ที่ฟุ่มเฟือย
32. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าผู้ใดเล่าที่ให้เป็นที่ต้องห้าม ซึ่งเครื่องประดับร่างกายจากอัลลอฮ์ ที่พระองค์ได้ทรงให้ออกมาสำหรับปวงบ่าวของพระองค์ และบรรดาสิ่งดี ๆ จากปัจจัยยังชีพ จงกล่าวเถิด(มุฮัมัด) ว่าสิ่งเหล่านั้นสำหรับบรรดาผู้ที่ศรัทธาในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ (และสำหรับพวกเขา) โดยเฉพาะในวันกิยามะฮฺ ในทำนองนั้นแหละเราจะแจกแจงโองการทั้งหลายแก่ผู้ที่รู้


คำแปล R5.
๒๙. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแจ้งสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงใช้พวกกาฟิรองค์พระผู้อภิบาลของฉันได้ทรงบัญชาใช้ให้ดำรงธรรมไว้ ไม่ว่าจะโดยถ้อยคำและความประพฤติปฏิบัติ พวกท่านจงรับตามที่ทรงสั่งไว้นี้เถิด และว่าให้พวกท่านดำรงละหมาดโดยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ และจงน้อมสักการะต่อพระองค์โดยหัวใจบริสุทธิ์สะอาดในศาสนาเพื่อพระองค์ โดยที่พวกท่านจะถูกพระองค์ให้กลับคืนมามีชีวิตใหม่อีกในวันกิยามะห์ แล้วจะทรงตอบสนองต่อผลกรรมของพวกท่านเหมือนกับที่พระองค์ได้เริ่มสร้างพวกท่านให้มีชีวิตขึ้นในภพดุนยา โดยพระองค์ได้ทรงกำหนดวัน ชีวิต อายุ การกระทำและอื่น ๆ ให้ด้วย ซึ่งแต่เดิมก่อนจากเริ่มสร้างและก่อนจากทรงให้กลับคืนมาอีกนั้น พวกท่านก็ยังไม่มีเลย
๓๐. โดยในหมู่พวกท่านนั้นมีอยู่พวกหนึ่งที่พระองค์ได้ทรงชี้หนทางนำให้และยังมีอีกพวกหนึ่งที่ต้องได้รับความงมงายแน่ ๆ เพราะพวกเขานี้ถือเอาพวกไชตอนเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นสหายสนิทแทนที่จะยึดถืออัลเลาะห์ โดยสำคัญผิดว่า แท้จริงพวกตนจักได้รับหนทางนำ ความมีใจมั่นคงและเด็ดขาดเท่านั้นที่จัดว่าเป็นเรื้อหาทางศาสนา
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือ ได้มีชนชาวอาหรับฝ่ายหนึ่งมีแต่ความโง่งม อาหรับพวกนี้ได้ทำการเวียน(ตอว๊าฟ)รอบไบตุลเลาะห์โดยเปลือยกายในตอนกลางวันสำหรับชาย และในตอนค่ำคืนสำหรับหญิง แล้วพวกนั้นยังกล่าวว่า พวกเราจะไม่เวียนรอบไบตุลเลาะห์ในชุดแต่งกายที่พวกเราใช้ประกอบการทรยศต่ออัลเลาะห์ในชุดแต่งกายนั้น จึงมีโองการลงมาว่า
๓๑. โอ้บุตรหลานของอาดำ พวกเจ้าจงสวมใส่เครื่องนุ่งห่มของพวกเจ้าในเขตที่กำหนดไว้ระหว่างสะดือจดเข่าสำหรับชายกับทาสหญิง และให้ปกคลุมทั้งร่างยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือสำหรับหญิงเสรีชน กล่าวคือการคลุมนี้ให้กระทำในทุกครั้งที่ดำรงละหมาด และเวลาทำการเวียนรอบอัลกะอ์บะห์
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือ มีอาหรับเผ่าหนึ่งเป็นเผ่าอามิร พวกนี้จะไม่บริโภคเนื้อและมัน ในเวลาประกอบพิธีฮัจย์เลย จึงมีโองการลงมาว่า พวกเจ้าจงบริโภค อาหารหนักเนื้อและมันและจงดื่มเครื่องดื่มที่ไม่ต้องห้ามตามที่เจ้าปรารถนาเถิด แต่พวกเจ้าอย่าล่วงเลยขอบเขตโดยการห้ามสิ่งที่พึงอนุญาตหรือโดยการกินดื่มจนเกินไป เพราะแท้จริงพระองค์จะไม่ทรงโปรดปราณีผู้ที่ล่วงเลยดังที่ว่านั้น
๓๒. โฮ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่ชนชาวอาหรับผู้โง่เขลาที่ทำการเวียนรอบอัล-กะอ์บะห์โดยเปลือยกายและแก่พวกอาหรับที่ไม่บริโภคเนื้อและมันในเวลาประกอบพิธีฮัจย์เถิดว่า ไม่มีใครหรอกที่เขาหาว่า เครื่องแต่งกายที่อัลเลาะห์ได้ทรงผลิตให้แก่ผู้เป็นข้าของพระองค์และเครื่องบริโภคซึ่งมีรสโอชะนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นเถิดว่า เครื่องแต่งกายที่พระองค์ได้ทรงผลิตจากต้นไม้ อาทิ ผ้าเปลือกไม้ก็ดี ที่ได้ทรงให้เกิดขึ้นจากสัตว์ อาทิ ผ้าไหม และผ้าขนสัตว์ ตลอดจนที่ทรงผลิตขึ้นจากแร่ อาทิ ผ้าที่ใช้เป็นเสื้อเกราะก็ดี และเครื่องบริโภคซึ่งมีรสโอชะก็ดี เหล่านั้นมีไว้สำหรับบรรดาชนทั้งผู้ศรัทธาและที่มิได้ศรัทธาในชีวิตแห่งภพนี้ โดยเฉพาะในวันกิยามะห์ สำหรับปวงชนผู้ศรัทธาเท่านั้น เช่นเดียวกับที่เราได้บรรยายแจกแจงเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องเครื่องแต่งกายและเครื่องบริโภคนี้เราจึงได้แจกแจงโองการต่าง ๆ ของเราไว้สำหรับมวลชนผู้ตระหนักดี ว่าแท้จริงอัลเลาะห์หาได้มีผู้เป็นภาคีเทียบเคียงพระองค์ไม่ ฉะนั้นชนพวกนั้นจงถือว่าสิ่งที่ทรงอนุญาตเป็นสิ่งอนุญาตและสิ่งที่ทรงห้ามว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามเถิด แล้วพวกนั้นก็จะได้รับคุณประโยชน์ด้วยโองการต่าง ๆ ที่ทรงแจกแจงไว้



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 33 - 34


คำอ่าน
33. กุลอิน..นะมาหัรฺเราะมะ ร็อบบิยัลฟะวาหิชะ มาเซาะฮะเราะมินฮาวะมาบะเฏาะนะ วัลอิษมะ วัลบัฆยะ บิฆ็อยริลหักกิ วะอัน..ตุชริกูบิลลาฮิ มาลัมยุนัซซิลบิฮีสุลฎอนา วะอัน..ตะกูลูอะลัลลอฮิมาลาตะอฺละมูน
34. วะลิกุลลิอุม..มะติน อะญะลุน ฟะอิซาญา...อะ อะญะลุฮุม ลสยัสตะอ์คิรูนะสาอะเตา..วะลายัสตักดิมูน


คำแปล R1.
33. Say (O Muhammad ): "(But) the things that my Lord has indeed forbidden are Al-Fawahish (great evil sins, every kind of unlawful sexual intercourse, etc.) whether committed openly or secretly, sins (of all kinds), unrighteous oppression, joining partners (in worship) with Allah for which He has given no authority, and saying things about Allah of which you have no knowledge."
34. And every nation has its appointed term; when their term is reached, neither can they delay it nor can they advance it an hour (or a moment).


คำแปล R2.
33. จงประกาศเถิด ! “อันที่จริง องค์อภิบาลของฉันได้บัญญัติห้ามบรรดาสิ่งลามกทั้งหลาย ทั้งสิ่งที่(กระทำ)เปิดเผยและที่(กระทำโดย)ปิดเร้นจากมัน และ(ทรงบัญญัติห้าม)การบาป การล่วงละเมิด(สิทธิของผู้อื่น)โดยไร้ความชอบธรรม และ(บัญญัติห้าม)การที่พวกท่านจะตั้งภาคีกับอัลเลาะห์ ตราบเท่าที่ยังไม่ถูกประทานหลักฐาน(คืออัลกุรอาน)ลงมา(ยืนยันให้กระทำ) และ(ทรงบัญญัติห้าม)ในการที่พวกท่านพูดในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้(เพื่อแอบอ้าง)ถึงอัลเลาะฮฺ
34. และแต่ละประชาชาติ ย่อมมีกำหนดอายุไข(ของแต่ละคน) ดังนั้นเมื่ออายุไขของเขาได้มาถึงแล้ว พวกเขาก็จะไม่ขอประวิงไว้สักเพียงยามเดียว หรือจะไม่ขอให้ล่วงหน้ามาก่อน(สักยามดียว)


คำแปล R3.
33. (มุฮัมมัด)จงกล่าวกับพวกเขาเถิดว่า “สิ่งต่าง ๆ ที่พระผู้อภิบาลของฉันได้ทรงห้ามก็คือการลามกทั้งหลายทั้งในที่เปิดเผยและในที่ลับ สิ่งที่เป็นบาปและการฝ่าฝืนสัจธรรมตลอดจนการที่พวกท่านตั้งหุ้นส่วนอื่นเทียบเคียงอัลลอฮฺโดยที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด ๆ ในเรื่องนี้ลงมา และการที่พวกท่านกล่าวอ้างถึงอัลลอฮฺในสิ่งที่พวกท่านไม่รู้
34. และทุก ๆ ประชาชาตินั้นมีวาระที่ถูกกำหนดไว้ เมื่อวาระนั้นสิ้นสุดลง พวกเขาก็ไม่อาจที่จะหน่วงมันไว้หรือจะเร่งมันสักชั่วโมงหนึ่งก็ไม่ได้


คำแปล R4.
33. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า แท้จริงสิ่งที่พระเจ้าของฉันทรงห้ามนั้น คือบรรดาสิ่งที่ชั่วช้าน่ารังเกียจทั้งเป็นสิ่งที่เปิดเผยจากมันและสิ่งที่ไม่เปิดเผย และสิ่งที่เป็นบาปและการข่มเหงรังแกโดยไม่เป็นธรรม และการที่พวกเจ้าให้เป็นภาคแก่อัลลอฮฺซึ่งสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงประทานหลักฐานใด ๆ ลงมาแก่สิ่งนั้นและการที่พวกเจ้ากล่าวให้ร้ายแก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้
34. และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้นมีกำหนดเวลาหนึ่งครั้นเมื่อกำหนดเวลาของพวกเขามาแล้ว พวกเขาจะขอให้ล่าช้าไปสักชั่วโมงหนึ่งก็ไม่ได้ และจะขอให้เร็วไป (สักชั่วโมงหนึ่ง) ก็ไม่ได้

 
คำแปล R5.
๓๓. โอ้มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวแก่พวกเหล่านั้นอีกเถิดว่าองค์พระผู้อภิบาลของฉันทรงตราห้ามแต่บาปหนักเพียง ๔๖๗ อย่าง มีการซินาเป็นต้น ไม่ว่าโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผยอย่างหนึ่ง บาปธรรมดาอย่างหนึ่ง การล่วงละเมิดสิทธิของมนุษย์อย่างไม่เป็นธรรม กับการที่พวกท่านจะถือสิ่งอื่นเป็นภาคีเสมออัลเลาะห์ โดยมิได้มีหลักฐานจากอัล-กุรอานถูกประทานลงมาให้กระทำเช่นนั้นอย่างหนึ่ง และการที่พวกท่านจะพูดจาปั้นเท็จแอบอ้างถึงอัลเลาะห์ในเรื่องที่พวกท่านมิได้รู้อีกอย่างหนึ่งเท่านั้น เช่นสิ่งที่พึงอนุญาต(หะลาล)ว่าเป็นสิ่งต้องห้าม อาทิเช่นการเปลือยกายในเวลาประกอบพิธีตอว๊าฟและเวลาละหมาดซึ่งเป็นการต้องห้ามก็หาว่าเป็นการพึงอนุญาต และสิ่งที่ห้าม (หะรอม) ว่าเป็นสิ่งอนุญาต อาทิเช่นการบริโภคเนื้อและมันในเวลาประกอบพิธีฮัจย์ว่าเป็นการต้องห้ามและอื่น ๆ
๓๔. และแต่ละปวงประชากรนั้นย่อมมีอายุกาล นับแต่เริ่มมีชีวิตจนตาย ฉะนั้นเมื่ออายุสุดท้ายของพวกประชากรเหล่านั้นได้มาถึง พวกนั้นจะขอประวิงให้ยาวนานต่อไปอีกสักนิดหนึ่ง หรือจะขอล่วงหน้าไปก่อนอีกสักนิดหนึ่งย่อมไม่ได้ คือว่า เมื่อจวนจะสิ้นวาระกาลแห่งอายุขัยของผู้ใดแล้ว

(หมายเหตุ ในต้นฉบับข้อความมีเพียงเท่านี้)

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 35 - 37


คำอ่าน
35. ยาบะนี..อาดะมะ อิม..มา ยะอ์ติยัน..นะกุม รุสุลุม..มิน..กุม ยะกุศศูนะอะลัยกุม อายาตี ฟะมะนิตตะกอ วะอัศละหะ ฟะลาค็อวฟุนอะลัยฮิม วะลาฮุมยะหฺซะนูน
36. วัลละซีนะกัซซะบู บิอายาตินา วัสตักบะรูอันฮา..อุลา...อิกะอัศหาบุน..นาริ ฮุมฟีฮาคอลิดูน
37. ฟะมันอัซละมุ มิม..มะนิฟตะรอ อะลัลลอฮิกะซิบัน เอากัซซะบะบิอายาติฮฺ อุลา...อิกะ ยะนาลุฮุม นะศีบุฮุม..มินัลกิตาบิ หัตตา..อิซาญา...อัตฮุม รุสุลุนายะตะวัฟเฟานะฮุม กอลู..อัยนะมากุน..ตุม ตัดอูนะ มิน..ดูนิลลาฮิ กอลู ฎ็อลลูอัน..นา วะชะฮิดูอะลา..อัน..ฟุสิฮิม อัน..นะฮุมกานูกาฟิรีน


คำแปล R1.
35. O children of Adam! If there come to you Messengers from amongst you, reciting to you, My verses, then whosoever becomes pious and righteous, on them shall be no fear, nor shall they grieve.
36. But those who reject Our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) and treat them with arrogance, they are the dwellers of the (Hell) Fire, they will abide therein forever.
37. Who is more unjust than one who invents a lie against Allah or rejects his Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.)? for such their appointed portion (good things of this worldly life and their period of stay therein) will reach them from the Book (of Decrees) until, when our Messengers (the angel of death and his assistants) come to them to take their souls, they (the angels) will say: "Where are those whom you used to invoke and worship besides Allah," they will reply, "They have vanished and deserted us." and they will bear witness against themselves, that they were disbelievers.


คำแปล R2.
35. โอ้เผ่าพันธุ์ของอาดัม มาดแม้นจะมีบรรดาศาสนทูตจาก(เชื้อชาติของพวกเจ้า)มายังพวกเจ้าเพื่อทำการสาธยายแก่พวกเจ้าซึ่งโองการต่าง ๆ ของข้า ซึ่งผู้ใดก็ตามที่ยำเกรงและปรับปรุงตัวเองให้ดี แน่นอนพวกเขาจะไม่พบกับความหวั่นกลัวใด ๆ และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก(แต่ประการใด ๆ)
36. และบรรดาผู้กล่าวว่าบรรดาโองการของเราเป็นความเท็จ และพวกเขาทระนงตนต่อโองการเหล่านั้น แน่นอนพวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะเข้าอยู่ในนั้นเป็นนิรันดรกาล
37. ดังนั้น แล้วจะมีใครอีกเล่าที่ฉ้อฉลยิ่งไปกว่าบุคคลที่กุความเท็จให้แก่อัลเลาะฮฺหรือเขาว่าโองการต่าง ๆ ของพระองค์เป็นความเท็จ แน่นอนพวกเหล่านั้นจะได้รับส่วนได้ของพวกเขาจากที่ถูกบันทึก(ไว้แก่เขา)จนกระทั่งเมื่อบรรดาศาสนทูต(มลาอิกะฮฺผู้เอาชีวิต)ของเราได้มาสู่พวกเขาแล้ว ศาสนทูตเหล่านั้นก็ทำให้พวกเขาสิ้นสุดชีวิต(กันเพียงนั้น)พวกเหล่านั้น(มลาอิกะฮฺ)กล่าว(ถาม)ว่า “สิ่งที่พวกเจ้าเคยวอนนมัสการนอกจากอัลเลาะฮฺอยู่ที่ไหนเล่า?” พวกเขาทูลตอบว่า “พวกนั้นได้ลับหายไปจากเราแล้ว” และพวกเขาเป็นพยานยืนยันแก่ตัวพวกเขาเองว่า พวกเขาเป็นผู้เนรคุณโดยแท้จริง


คำแปล R3.
35. (อัลลอฮฺได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตมนุษย์ไว้แล้วว่า) “ลูก ๆ ของอาดัมเอ๋ย ถ้าหากบรรดารอซูลจากหมู่สูเจ้าได้มายังสูเจ้าและบอกเล่าอายะฮฺทั้งหลายของท่านแก่สูเจ้าแล้ว ใครก็ตามที่ละเว้นจากความชั่วและปรับปรุงตนเอง เขาผู้นั้นก็จะไม่มีสาเหตุที่จะต้องกลัวหรือเศร้าโศก
36. ส่วนบรรดาผู้ถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จและทำโอหังหับมัน พวกเขาจะเป็นผู้ที่อยู่ในนรกและอยู่ในนั้นตลอดไป”
37. แล้วผู้ใดที่จะชั่วช้าเลวทรามยิ่งไปกว่าผู้ที่ประดิษฐ์ความเท็จเกี่ยวกับอัลลอฮิแล้วอ้างว่าความเท็จนี้มาจากพระองค์หรือใครเล่าที่จะเลวไปกว่าผู้ที่กล่าวว่าอายะฮฺทั้งหลายของพระองค์เป็นเท็จ? คนพวกนี้จะยังคงได้รับส่วนของเขาที่ได้ถูกกำหนดไว้ให้จนกระทั่งเวลานั้นได้มาถึง เมื่อทูตของเราได้มายังพวกเขาเพื่อเอาชีวิตของพวกเขา แล้วทูตเหล่านั้นจะถามพวกเขาว่า “สิ่งที่สูเจ้าเคารพภักดีแทนอัลลอฮฺนั้นอยู่ที่ไหนเล่าในตอนนี้?” พวกเขาจะกล่าวว่า “พวกมันได้ทิ้งเราไปแล้ว” และพวกเขาจะให้หลักฐานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวของพวกเขาเองว่าพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธสัจธรรม

 
คำแปล R4.
35. ลูกหลานอาดัมเอ๋ย ! ถ้ามีบรรดารอซูลในหมู่พวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยบอกเล่าโองการของข้าแก่พวกเจ้าแล้วผู้ใดที่ยำเกรงและปรับปรุงแก้ไขแล้วก็ไม่มีความหวาดกลัวใดๆแก่พวกเขาและทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ
36. และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราและแสดงโอหังเหล่านั้นชนเหล่านี้แหละคือชาวนรกโดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล
37. แล้วผู้ใดเล่าคือผู้ที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮฺ หรือปฏิเสธบรรดาโองการของพระองค์ชนเหล่านี้แหละส่วนของพวกเขาที่ถูกกำหนดไว้นั้นก็จะได้แก่พวกเขา จนกว่าบรรดาทูตของเราที่จะเอาชีวิตของพวกเขาได้มายังพวกเขาโดยกล่าวว่า ไหนเล่าสิ่งที่พวกท่านวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮฺ ? พวกเขาก็กล่าวว่า เขาเหล่านั้นได้หายหน้าไปจากเราเสียแล้ว และพวกเขาได้ยืนยันแก่ตัวพวกเขาเองว่า พวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา


คำแปล R5.
๓๕. โอ้บุตรหลานของอาดำ หากมีเหล่าพระศาสนทูตในหมู่พวกเจ้าบอกโองการต่าง ๆ ของข้าให้พวกเจ้าฟังแล้ว ผู้ใดยำเกรงการถือภาคีเทียบเคียงอัลเลาะห์ เช่น ตั้งผู้มีชีวิตได้แก่อีซาเป็นต้นหรือวัตถุไร้ชีวิต เช่น เทวรูปเป็นต้น เป็นภาคี และปรับตัวเองให้ดีแล้วไซร้ ในวันอาคิเราะห์ ย่อมจะไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ สำหรับพวกนั้น ในขณะที่พวกกาฟิรกลัวการลงโทษในนรก และไม่มีความโศกสลดใจเลยในเมื่อพวกที่ประมาทต้องเศร้าสลด ที่ปล่อยชีวิตให้หมดสิ้นไป โดยมิได้สร้างบุญกุศลไว้เลยในภพดุนยา
๓๖. บรรดากาฟิรผู้ที่กล่าวหาว่าโองการต่าง ๆ ของเรา(อัลเลาะห์) เป็นเท็จ ทั้งยังได้แสดงหยิ่งยโสไม่ยอมเชื่อถือต่อโองการเหล่านั้น นั้นแหละคือชาวนรกที่พวกเขาต้องพำนักอยู่ในนั้นตลอดไป อย่างไม่มีวันได้ออกและไม่ตาย
๓๗. ย่อมไม่มีผู้ใดคดโกงยิ่งกว่าผู้ที่ปั้นเท็จแอบอ้างอัลเลาะห์ โดยอ้างว่าพระองค์มีเจ้าอื่นเป็นคู่ภาคีและว่าทรงมีบุตรหรือยิ่งกว่าผู้ที่หาว่าโองการต่าง ๆ แห่งอัล-กุรอานของพระองค์เท็จ พวกเหล่านั้นแหละที่จะได้รับส่วนของตนในภพนี้ มีโชคลาภ อายุขัย การปฏิบัติดีชั่วและอื่น ๆ ซึ่งมีบันทึกไว้แก่พวกเหล่านั้นอยู่ในทะเบียนเดิม(เลาหุลมะห์ฟูต) จนกว่าจะมีมวลมลาอิกะห์ฝ่ายมรณทูตของเรามายังพวกเหล่านั้นแล้วปลิดชีพพวกเหล่านั้นไป แล้วก็เอ่ยถามพวกเหล่านั้นเป็นการตำหนิและขู่ว่า ไหนเล่าพวกเทวรูปผู้ที่พวกเจ้ากราบเคารพแทนที่จะเป็นอัลเลาะห์? พวกเหล่านั้นตอบว่า พวกมันได้หนีหายไปจากพวกเราเสียแล้ว พวกเราจึงหาดูไม่เห็น แต่แล้วเมื่อใกล้จะตาย พวกเหล่านั้นก็ยืนยันใส่ความตนเองว่า พวกตนนั้นเป็นพวกที่ไร้ศรัทธา(กาฟิร) แน่นอนทีเดียว


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 38 - 41


คำอ่าน
38. กอลัดคุลู ฟี..อุมะมิน..ก็อดเคาะลัด มิน..ก็อบลิกุม..มินัลญิน..นิ วัลอิน..สิฟิน..นาริ กุลละมาดะเคาะลัต อุม..มะตุลละอะนัต อุคตะฮา หัตตา..อิซัดดาเราะกูฟีฮา ญะมีอัน..กอลัตอุครอฮุม ลิอูลาฮุม ร็อบบะนา ฮา..อุลา..อิ อะฎ็อลลูนา ฟะอาติฮิม อะซาบัน..ฎิอฺฟัม..มินัน..นารฺ กอละลิกุลลิ ฎิอฺฟู..วะลากิลลาตะอฺละมูน
39. วะกอลัต อูลาฮุม ลิอุครอฮุม ฟะมากานะละกุม อะลัยนามิน..ฟัฎลิ ฟะซูกุลอะซาบะ บิมากุน..ตุมตักสิบูน
40. อิน..นัลละซีนะกัซซะบู บิอายาตินา วัสตักบะรูอันฮา ลาตุฟัตตะหุละฮุม อับวาบุสสะมา...อิ วะลายัดคุลูนัลญัน..นะตะ หัตตาญะลิญัลญะมะลุ ฟัสัม..มิลคิยาฏ วะกะซาลิกะนัจญซิลมุจญริมีน
41. ละฮุม..มิน..ญะฮัน..นะมะมิฮาด วะมิน..เฟากิฮิมดฆาะวาช วะกะซาลิกะนัจญซิซซอลิมีน


คำแปล R1.
38. (Allah) will say: "Enter you in the company of nations who passed away before you, of men and jinns, into the Fire." Every time a new nation enters, it curses its sister nation (that went before), until they will be gathered all together in the Fire. The last of them will say to the first of them: "Our Lord! these misled us, so give them a double torment of the Fire." He will say: "For each one there is double (torment), but you know not."
39. The first of them will say to the last of them: "You were not better than us, so taste the torment for what you used to earn."
40. Verily, those who belie our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) and treat them with arrogance, for them the gates of heaven will not be opened, and they will not enter Paradise until the camel goes through the eye of the needle (which is impossible). Thus do We recompense the Mujrimun (criminals, polytheists, sinners, etc.).
41. Theirs will be a bed of Hell (Fire), and over them coverings (of Hell-fire). Thus do We recompense the Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.).


คำแปล R2.
38. พระองค์ทรงตรัสว่า “พวกเจ้าจงเข้ารวมอยู่ในกลุ่มประชาชาติต่าง ๆ ที่ล่วงพ้นไปก่อนหน้าพวกเจ้าแล้ว ทั้งที่เป็นญินและมนุษย์ในนรกเถิด” ทุกครั้งที่มีประชาชาติหนึ่งเข้า(นรก)พวกเขาก็สาปแช่งพี่น้องของพวกเขาจนเมื่อพวกเขาได้รวมตัวอยู่ในนั้นโดยพร้อมเพรียงกันแล้ว กลุ่มสุดท้ายของพวกเขาก็กล่าวใส่ร้ายแก่กลุ่มแรกของพวกเขาว่า ฎโอ้องค์อภิบาลของเรา พวกเหล่านั้นแหละที่ทำให้เราหลงผิด ดังนั้น ขอพระองค์ได้โปรดประทานการลงโทษอันทวีคูณจากนรกแก่พวกเขาเถิด” พระองค์ทรงตรัสว่า “ทุกกลุ่ม(นั่นแหละ)ต้องถูกทวีคูณ(ในการลงโทษ แต่ทว่าพวกเจ้าไม่รู้
39. และกลุ่มแรกของพวกเขาได้กล่าวแก่กลุ่มสุดท้ายของพวกเขาว่า “อันที่จริงพวกท่านก็หาได้มีอันใดวิเศษไปกว่าพวกเราเลย” (อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า) “ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงลิ้มรสการลงโทษเถิด เพราะสิ่งที่พวกเจ้าได้เคยพากเพียรไว้”
40. แท้จริงบรรดาผู้กล่าวหาบรรดาโองการของเราว่าเป็นความเท็จและพวกเขาทระนงตนต่อโองการเหล่านั้น ประตูฟ้าย่อมไม่ถูกเปิดให้พวกเขา (เพื่อรับการขอดุอาและรับการภักดีต่าง ๆ ของเขา) และพวกเขาจะไม่เข้าสวรรค์จนกว่าอูฐจะลอดเข้าไปในรูเข็มและเช่นนั้น ! เราทำการตอบแทนแก่บรรดาทุรชนทั้งหลาย
41. พวกเขาจะมีที่อยู่จากนรก และเบื้องบนของพวกเขา(มีไฟนรก)ครอบคลุมอยู่(ทุกสารทิศ) และเช่นนั้น! เราตอบแทนแก่บรรดาผู้ฉ้อฉลทั้งมวล


คำแปล R3.
38. พระองค์จะทรงกล่าวว่า “จงเข้าไปในนรกที่พวกพ้องของญินและมนุษย์ได้เข้าไปล่วงหน้าก่อนสูเจ้าแล้ว” เมื่อหมู่ชนแต่ละรุ่นจะเข้านรก พวกเขาจะสาปแช่งชนรุ่นก่อนจนกระทั่งเมื่อทุกหมู่ชนได้ถูกนำมารวมกันที่นั้นทั้งหมดแล้ว หมู่ชนที่ติดตามมาก็จะกล่าวถึงหมู่ชนก่อนหน้านั้นว่า “พระผู้อภิบาลของเรา คนเหล่านี้คือผู้ที่ทำให้พวกเราหลงทาง ดังนั้น ขอพระองค์ได้ทรงโปรดลงโทษพวกเขาด้วยไฟเป็นสองเท่าด้วยเถิด” อัลลอฮฺจะทรงตอบว่า “มีการลงโทษสองเท่าสำหรับทุกหมู่อยู่แล้ว แต่สูเจ้าไม่รู้”
39. และหมู่ชนก่อนจะกล่าวถึงหมู่ชนที่ตามมาทีหลังว่า “(ถ้าหากว่าพวกเราจะถูกตำหนิ) พวกเจ้าก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าเรา ทีนี้จงลิ้มรสการลงโทษสำหรับสิ่งที่พวกเจ้าได้ประกอบไว้”
40. แท้จริงบรรดาผู้ที่ถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จและยโสโอหังกับมันนั้นประตูแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายจะไม่ถูกเปิดไว้สำหรับพวกเขา การเข้าสวรรค์ของพวกเขามิอาจเป็นไปได้เหมือนดังอูฐลอดรูเข็ม และนี่แหละที่เราลงโทษผู้กระทำผิด
41. นรกจะเป็นที่นอนของพวกเขาและนรกจะเป็นที่ปกคลุมของพวกเขา นี่คือการลงโทษที่เราตอบแทนผู้อธรรม


คำแปล R4.
38. และไม่มีสัตว์ใด ๆ ในแผ่นดิน และไม่มีสัตว์ปีกใด ๆ ที่ยินด้วยสองปีกของมัน นอกจากประหนึ่งเป็นประชาชาติ เยี่ยงพวกเจ้านั้นเอง เรามิได้ให้บกพร่องแต่อย่างใดในคัมภีร์ แล้วยังพระเจ้าของพวกเขานั้น พวกเขาจะถูกนำไปชุมนุม
39. และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรานั้น คือผู้ที่หูหนวก และเป็นใบ้ ซึ่งอยู่ในบรรดาความมืด ผู้ใดที่อัลลอฮฺ ทรงประสงค์ พระองค์ก็จะทรงให้เขาหลงทางไป และผู้ใดที่พระองค์ประสงค์ ก็จะทรงให้เขาอยู่บนทางอันเที่ยงตรง
40. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ท่านได้เห็นพวกท่านแล้วมิใช่หรือ? หากการลงโทษของอัลลอฮฺมายังพวกท่าน หรือวันกิยามะฮฺ ได้มายังพวกท่านอื่นจากอัลลอฮฺ กระนั้นหรือ ที่พวกท่านจะวิงวอนหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง
41. มิได้ เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะวิงวอนขอ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดเปลื้องสิ่งที่พวกท่านวิงวอนให้ช่วยเหลือ หากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกเจ้าก็จะลืมสิ่งที่พวกเจ้าให้มีภาคีขึ้น


คำแปล R5.
๓๘. ในวันกิยามะห์พระองค์ตรัสแก่พวกนั้นที่หาว่าพระองค์เป็นผู้เท็จและแก่ผู้ที่ถือเอาเทวรูปมาเคารพบูชาเทียบเทียมพระองค์ว่าพวกเจ้าจงเข้านรกไปรวมพร้อมอยู่ในหมู่ของยินและมนุษย์ที่ล่วงลับแล้วก่อนจากพวกเจ้าเถิด คราใดที่ชนพวกหนึ่งไม่ว่าจะเป็นพวกมุชริก พวกยะฮูดีกับพวกนัซรอนี พวกซอบิอะห์ หรือพวกมยูซีย์ ซึ่งพวกเหล่านี้เป็นพวกที่เจริญรอยตามคณะรุ่นพี่ของตนได้เข้าสู่นรกไปแล้วพวกนี้แต่ละพวกต่างก็สาปแช่งรุ่นพี่ของตนให้ห่างไกลเสียจากความเมตตาปราณีของพระองค์ เนื่องจากว่าพวกรุ่นพี่ของตนเป็นเหตุให้พวกตนหลงงมงายในด้านนับถือศาสนาจนกระทั่งเมื่อพวกเหล่านั้นทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องผู้เจริญตามได้ทยอยเข้าสู่นรกกันหมดสิ้น พวกรุ่นน้องผู้เจริญตามก็กล่าวแก่พวกรุ่นพี่ว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งบรรดาข้าพระองค์ พวกรุ่นพี่เหล่านั้นแหละที่กระทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายหลงงมงาย ฉะนั้นขอพระองค์ได้โปรดลงโทษพวกรุ่นพี่เหล่านั้นในนรกถึงสองเท่าเถิด พระองค์ตรัสแก่ทุกฝ่ายว่า พวกเจ้าทุกฝ่ายทั้งที่เป็นรุ่นพี่และผู้เจริญรอยตามนั่นแหละจะได้รับโทษสองเท่าทั้งนั้น ทั้งนี้เนื่องจากว่าฝ่ายรุ่นพี่นั้นนอกจากจะไม่ศรัทธาแล้วยังกระทำให้ผู้เจริญตามหลงงมงายด้วย และฝ่ายที่เป็นผู้เจริญตามก็เหมือนกัน นอกจากจะมิได้ศรัทธาแล้วยังหลงตามพวกรุ่นพี่อีกด้วย แต่พวกเหล่านั้นหาได้รู้ไม่ ว่าแต่ละฝ่ายย่อมได้รับโทษเสมอกัน
๓๙. แล้วพวกรุ่นพี่ก็กล่าวแก่พวกรุ่นน้องซึ่งเจริญตามพวกตนว่า พวกท่านจะดีเกินหน้าพวกเรามิได้เพราะพวกท่านนั้นใช่ว่าจะไร้ศรัทธาเพราะว่าพวกเราชักนำก็หาไม่ พวกท่านเองต่างหากที่สมัครใจไม่ยอมศรัทธา ดังนั้นพวกเราและพวกท่านจึงมีฐานะเสมอกัน อัลเลาะห์ตรัสแก่ทั้งสองฝ่ายว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสแห่งโทษทรมานกันเถิด ด้วยเหตุแห่งความงมงายที่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายได้อุตส่าห์กระทำกันมา
๔๐. แท้จริงบรรดาชนที่กล่าวหาว่า บรรดาโองการแห่งอัลกุรอานของเราเป็นเท็จและได้แสดงหยิ่งยโสต่อโองการเหล่านั้น ทั้งยังไม่ศรัทธาต่อโองการดังกล่าวนี้อีกด้วย ประตูฟ้าจะไม่ถูกเปิดรับพวกเหล่านั้น ในเมื่อชีวิตของพวกเหล่านั้นถูกนำขึ้นไปสู่ประตูฟ้า แต่จะถูกนำกลับไปยังที่ที่ต่ำสุดของแผ่นดินชั้นที่เจ็ด อันเป็นแหล่งของไชตอนกับพรรคพวกของมัน ต่างกับบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งเมื่อตายลงแล้ว ประตูฟ้าจะเปิดรับพวกเขา ชีวิตของเขาจะถูกนำขึ้นสู่ฟ้าชั้นที่เจ็ด และพวกนั้นจะไม่ได้เข้าสู่สวรรค์เลย จนกว่าอูฐจะสามารถลอดผ่านรูเข็มได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทำนองเดียวกับที่พวกกาฟิรจะได้เข้าสู่สวรรค์นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ และทำนองเดียวกับที่เราได้ตอบแทนผู้ที่หาว่าโองการต่าง ๆ ของเราเท็จ และที่แสดงยโสต่อโองการดังกล่าวโดยการไม่เปิดประตูฟ้าต้อนรับชีวิตของพวกเหล่านั้นให้เข้าสู่สวรรค์นี้เอง เรา (อัลเลาะห์) จึงตอบสนองพวกกาฟิรด้วยเหตุที่มิได้ศรัทธา
๔๑. สำหรับพวกเหล่านั้นที่หาว่าโองการแห่งอัล-กุรอานของเราเป็นเท็จและที่แสดงหยิ่งยโสต่อโองการดังกล่าวของเรามีนรกยะฮันนำเป็นที่พักพิงทั้งเบื้องบน และเบื้องล่างก็มีเพลิงร้ายรุมอยู่จนรอบตัว และด้วยเหตุที่เราได้ตอบแทนพวกมุชริกด้วยการลงโทษให้มีเพลิงร้ายรุมล้อมอยู่รอบด้านนี้เอง เราจึงตอบสนองบรรดาผู้คดโกงทั้งหลายด้วยเหตุที่ทรยศต่ออัลเลาะห์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 42 - 44


คำอ่าน
42. วัลละซีนะอามะนู วะอะมิลุศศอลิหาติ ลานุกัลป์ลิฟุนัหสัน อิลลาวุสอะฮา..อุลา..อิกะอัศหาบุลญัน..นะฮฺ ฮุมฟีฮาคอลิดูน
43. วะนะซะอฺนาฟีศุดูริฮิม..มินฆิลลิน..ตัจญรีมิน..ตะหฺติฮิมุลอันฮารฺ วะกอลุลหัมดุลิลลาฮิลละซีฮะดานาลิฮาซา วะมากุน..นาลินะฮฺดะติยะ เลาลา..อันฮะดานัลลอฮฺ ละก็อดญา..อัตรุสุลุร็อบบินาบิลหักกฺ วะนูดู..อัน..ติลกุมุลญัน..นะตุ อูริษตุมูฮา บิมากุนตุมตะอฺมะลูน
44. วะนาดา..อัศหาบุลญัน..นะติ อัศหาบัน..นาริ อัน..ก็อดวะญัดนา มาวะอะดะนา ร็อบบุนาหักก็อน..วะฮัลวะญัตตุม..มาวะอะดะร็อบบุกุมหักกอ กอลูนะอัม ฟะอัซซะนะมุอัซซินุม..บัยนะฮุม อัลละอฺนะตุลลอฮิ อะลัซซอลิมีน


คำแปล R1.
42. But those who believed (in the Oneness of Allah - Islamic Monotheism), and worked righteousness - we tax not any person beyond his scope, such are the dwellers of Paradise. They will abide therein.
43. And we shall remove from their breasts any (mutual) hatred or sense of injury (which they had, if at all, in the life of this world); rivers flowing under them, and they will say: "All the praises and thanks be to Allah, who has guided us to this, never could we have found guidance, were it not that Allah had guided us! Indeed, the Messengers of our Lord did come with the truth." And it will be cried out to them: "This is the Paradise which you have inherited for what you used to do."
44. And the dwellers of Paradise will call out to the dwellers of the Fire (saying): "We have indeed found true what our Lord had promised us; have you also found true, what your Lord promised (warnings, etc.)?" they shall say: "Yes." Then a crier will proclaim between them: "The curse of Allah is on the Zalimun (polytheists and wrong-doers, etc.),"


คำแปล R2.
42. และบรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติความดีงาม เราจะไม่บังคับแก่ชีวิตหนึ่งนอกจากเท่าสมรรถภาพของเขา(พึงอำนวยได้)พวกเหล่านั้นเป็นชาวสวรรค์ ซึ่งพวกเขาจะเข้าอยู่ในนั้นเป็นนิรันดร์
43. และเราได้ถอดถอนสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขา อันได้แก่ความริษยา(ออกจนหมดสิ้น ขรธพวกเขาอยู่ในสวรรค์) ซึ่งมีธารน้ำไหลผ่าน ณ เบื้องใต้ของพวกเขา และพวกเขากล่าวว่า “การสรรเสริญเป็นของอัลเลาะฮฺ ซึ่งพระองค์ทรงชี้นำพวกเราเพื่อสิ่งนี้(สวรรค์) และพวกเราจะไม่ได้รับการชี้นำอย่างแน่นอน หากแม้นอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำพวกเรา อันที่จริงบรรดาศาสนทูตแห่งองค์อภิบาลของเราได้นำมาซึ่งสัจธรรมโดยแท้จริง และพวกเขาถูกป่าวประกาศว่า “นั่นแหละคือสวรรค์ซึ่งพวกเจ้าได้รับสืบทอดมันมาเป็นมรดก เพราะสิ่งที่พวกเจ้าได้เคยประพฤติไว้(แต่กาลอดีต)
44. และชาวสวรรค์ได้เรียกชาวนรกว่า “แท้จริงสิ่งที่องค์อภิบาลของเราได้ให้สัญญาไว้นั้น เราได้พบแล้วว่าเป็นความจริง แล้วพวกท่านทั้งหลายล่ะ ได้พบสิ่งที่องค์อภิบาลของพวกท่านสัญญาไว้ว่าเป็นความจริงหรือ?” พวกเขากล่าวตอบว่า “ถูกแล้ว!” ดังนั้นจึงมีผู้ประกาศว่า “แท้จริงการสาปแช่งของอัลเลาะฮฺได้ประสบแก่บรรดาผู้ฉ้อฉลทั้งหลาย”


คำแปล R3.
42. ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีนั้น-เราไม่วางภาระให้แก่ใครคนใดเกินกว่าความสามารถของเขา-พวกเขาคือชาวสวรรค์ซึ่งพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดไป
43. และเราจะขจัดความรู้สึกไม่ดีใด ๆ ที่มีอยู่ในหัวอกของพวกเขา เบื้องล่างพวกเขาจะมีลำน้ำหลายสายไหลผ่านและพวกเขาจะกล่าวว่า “บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ ผู้ทรงนำเรามายังหนทางนี้ โดยตัวเราเองแล้วเราไม่อาจจะพบหนทางนี้ถ้าหากว่าอัลลอฮฺไม่ทรงนำทางเรา โดยแน่นอนยิ่ง บรรดารอซูลของพระผู้อภิบาลของเราได้ถูกส่งมาพร้อมกับสัจธรรม” ในเวลานั้นจะมีเสียงป่าวร้องแก่พวกเขาว่า “นี่คือสวรรค์ซึ่งสูเจ้าได้ถูกทำให้เป็นทายาทของมันและเป็นสิ่งที่ได้ถูกมอบให้การงานที่ดีที่สูเจ้าได้ประกอบไว้”
44. และสหายแห่งสวนสวรรค์จะร้องเรียกสหายแห่งนรกว่า “เราได้พบว่าสัญญาทุกอย่างที่พระผู้อภิบาลของเราได้ทรงทำไว้กับเรานั้นเป็นความจริง แล้วพวกท่านได้พบว่าสัญญาที่พระผู้อภิบาลของพวกท่านทำกับพวกท่านนั้นเป็นจริงหรือไม่?” พวกเขากล่าวว่า “ใช่” แล้วผู้ป่าวประกาศในหมู่พวกเขาจะตะโกนว่า “ขออัลลอฮฺทรงสาปแช่งผู้อธรรมเหล่านี้ด้วยเถิด”


คำแปล R4.
42. และบรรดาผู้ที่ศรัทธาแ ละประกอบสิ่งที่ดีทั้งหลายนั้นเราไม่บังคับชีวิตใด นอกจากที่ชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้นชนเกล่านี้แหละคือชาวสวรรค์ โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวรรค์นั้นชั่วนิรันดร์
43. และเราได้ถอนออกซึ่งการผูกใจเจ็บที่อยู่ในหัวอกของพวกเขา (คือชาวสวรรค์) โดยมีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่ภายใต้ของพวกเขา และพวกเขาได้กล่าวว่า การสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺผู้ทรงแนะนำพวกเราให้ได้รับสิ่งนี้ และใช่ว่าพวกเราจะได้รับคำแนะนำก็หาไม่ หากว่าอัลลอฮฺไม่ทรงแนะนำแก่พวกเรา แน่นอนบรรดารอซูลแห่งพระเจ้าของเรานั้นได้นำความจริงมาและพวกเราได้ถูกป่าวร้องว่า นั้นแหละคือสวนสวรรค์โดยที่พวกท่านได้รับมันไว้เป็นมรดก เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเจ้าเคยกระทำกันไว้
44. และชาวสวรรค์ได้ร้องเรียกชาวนรกว่า แท้จริงพวกเราได้พบแล้วว่าสิ่งที่พระเจ้าของเราได้สัญญาแก่เราไว้นั้นเป็นความจริง และพวกท่านได้พบสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงสัญญาไว้เป็นความจริงไหม? พวกเขากล่าวว่า เป็นความจริงแล้วมีผู้ประกาศคนหนึ่งได้ประกาศขึ้นในระหว่างพวกเขาว่า ขอละอฺนัตของอัลลอฮฺจงมีแต่ผู้อธรรมทั้งหลายเถิด


คำแปล R5.
๔๒. ในเมื่ออัลเลาะห์ได้ทรงบรรยายเนื้อความเกี่ยวกับสัญญาลงโทษบรรดากาฟิรและส่วนที่ถูกสำรองไว้สำหรับกาฟิรเหล่านี้ในวันอาคิเราะห์แล้ว พระองค์ก็ทรงต่อเนื้อความเรื่องสัญญาบุญของบรรดามุอ์มินและส่วนที่สำรองไว้สำหรับมุอ์มินเหล่านี้ในวันอาคิเราะห์ว่า แต่บรรดาชนที่ศรัทธา(มุอ์มิน) และประพฤติการชอบนั้นเราจะไม่กวดขันคนใดจากมุอ์มินเลย เว้นแต่เพียงสมรรถภาพของผู้นั้นเท่านั้น พวกเหล่านั้นแหละคือชาวสวรรค์ ซึ่ง ณ ที่นั้นพวกเขาจะได้พำนักอยู่ตลอดไป โดยไม่ถูกขับออกและไม่ตาย
๔๓. และเรา(อัลเลาะห์) จะได้เปลื้องความหวงแหนในจิตใจของพวกนั้นที่เป็นมุอ์มินและประพฤติชอบซึ่งความหวงแหนนี้เคยมีขึ้นท่ามกลางพวกนั้นในภพดุนยาให้สูญสิ้นไป ณ เบื้องล่างปราสาทของพวกเหล่านั้น มีลำน้ำหลายสายไหลผ่านอยู่ด้วย แล้วพวกเหล่านั้นจะเอ่ยขึ้นในตอนที่พวกเขาเข้าประจำสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วว่า “อันการสรรเสริญคือการแสดงกิตติคุณอันดีงามทั้งหลายนั้นย่อมเป็นสิทธิของอัลเลาะห์พระผู้ทรงชักนำข้าพระองค์ทั้งหลายให้อยู่ในความประพฤติดีอันจะมีผลตอบแทนเป็นอย่างนี้ (โดยมีธารน้ำไหลผ่านใต้ปราสาทและได้เข้าสู่สวรรค์) โดยที่พวกข้าพระองค์จะไม่ได้รับการชักนำมาอย่างนี้เลยถ้าอัลเลาะห์ไม่ทรงชักนำพวกข้าพระองค์ เราชาวสวรรค์จะให้สัตย์ปฏิญาณว่า อันที่จริงบรรดาพระศาสนทูตขององค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ทั้งหลายก็ได้มีมายังพวกข้าพระองค์พร้อมด้วยความสัจจริง แล้วในภาคภพดุนยานี้ กล่าวคือบุญกุศลที่พระศาสนทูตเหล่านั้นได้นำมาบอกแก่พวกข้าพระองค์ในพิภพนี้นั้นเป็นความจริงและเชื่อถือได้และบัดนี้บุญกุศลดังกล่าวนั้นได้แก่พวกข้าพระองค์แล้ว โดยประจักษ์แก่สายตาและพวกข้าพระองค์เหล่านั้นถูกอัลเลาะห์ บางปราชญ์ว่ามลาอิกะห์ ป่าวประกาศว่า “นั้นแหละคือสวรรค์ที่พระศาสนทูตทั้งหลายของพวกเจ้าได้สัญญาไว้แก่พวกเจ้าในภพดุนยาว่า พวกเจ้าจะได้รับเพราะผลกรรมดีที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติกันไว้
๔๔. ฝ่ายชาวสวรรค์ได้ร้องบอกแก่ชาวนรกหลังจากที่พวกตนได้เข้าประจำสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ชาวนรกยอมสารภาพและยอมจำนนต่อความจริงว่า การที่พวกเราได้รับส่วนแห่งบุญกุศลที่องค์พระผู้อภิบาลของพวกเราได้ให้สัญญาไว้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นเป็นความจริงแน่แล้ว การที่พวกท่านได้รับส่วนแห่งการลงโทษที่องค์พระผู้อภิบาลของพวกท่านได้ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอานนั้นเล่าจริงหรือ? พวกเหล่านั้นที่เป็นชาวนรกยอมสารภาพแล้วตอบว่า “จริง” ครั้นแล้วอิสรอฟีลผู้ทำหน้าที่เป่าสังข์(บางปราชญ์ว่ามลาอิกะห์ฝ่ายอื่น)เป็นโฆษกก็ประกาศขึ้นท่ามกลางพวกเหล่านั้นทั้งชาวสวรรค์และนรกให้ได้ยินว่า แท้จริงการหักเมตตาจิตมิให้เข้าใกล้ความโปรดปราณีจากอัลเลาะห์นั้นย่อมตกแก่พวกที่คดโกงทั้งหลาย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 45 - 47


คำอ่าน
45. อัลละซีนะ ยะศุดดูนะ อัน..สะบีลิลลาฮิ วะยับฆูนะฮา อิวะเญา..วะฮุม..บิลอาคิเราะติ กาฟิรูน
46. วะบัยนะฮุมาหิญาบ วะอะลัละอฺรอฟิ ริญาลุย..ยะอฺริฟูนะ กุลลัม..บิสีมาฮุม วะนาเดาอัศหาบัลญัน..นะติ อัน..สะลามุนอะลัยกุม ลัมยัดคุลูฮา วะฮุมยัฏมะอูน
47. วะอิซาศุริฟัต อับศอรุฮุม ติลกอ...อะ อัศหาบิน..นาริ กอลูร็อบบะนา ลาตัจญอัลนา มะอัลก็อวมิซซอลิมีน

 
คำแปล R1.
45. Those who hindered (men) from the Path of Allah, and would seek to make it crooked, and they were disbelievers in the Hereafter.
46. And between them will be a barrier screen and on Al-A'raf (a wall with elevated places) will be men (whose good and evil deeds would be equal In scale), who would recognize all (of the Paradise and Hell people), by their marks (the dwellers of Paradise by their white faces and the dwellers of Hell by their black faces), they will call out to the dwellers of Paradise, "Salamun 'Alaikum" (peace be on you), and at that time they (men on Al-A'raf) will not yet have entered it (Paradise), but they will hope to enter (it) with certainty.
47. And when their eyes will be turned towards the dwellers of the Fire, they will say: "Our Lord! Place us not with the people who are Zalimun (polytheists and wrong-doers)."


คำแปล R2.
45. (พวกฉ้อฉลดังกล่าวได้แก่)บรรดาผู้คอยกีดขวาง(ผู้อื่น)จากแนวทางของอัลเลาะฮฺและคอยแสวงหาวิธีให้แนวทางนั้นบิดเบือนและพวกเขาเป็นผู้คัดค้านในเรื่องโลกหน้า
46. และระหว่างทั้งสอง(สวรรค์-นรก)นั้นมีกำแพงขวางกั้นและบนเนินสูง(บนกำแพงนั้น)มีบุรุษเพศจำนวนหนึ่ง(ที่เคยประกอบแต่คุณงามความดี)ซึ่งพวกเขารู้จักทุก ๆ คน(ทั้งชาวสวรรค์และชาวนรก)ด้วยเครื่องหมายของพวกนั้น(เป็นราย ๆ ไป) และเขาได้ร้องเรียกบรรดาชาวสวรรค์ว่า “อันที่จริงสันติภาพขอได้ประสบแก่ท่านทั้งหลายเถิด” (ขณะนั้น)พวกเขายังไม่ได้เข้าไปในนั้น และพวกเขามีความมุ่งหวัง(ว่าจะได้เข้าอย่างแน่นอน
47. และเมื่อสายตาของพวกเขาถูกผินมาตรงกับชาวนรก พวกเขาก็กล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาลของเรา ขออย่าได้บันดาลพวกเราให้อยู่ร่วมกับบรรดาผู้ฉ้อฉล”


คำแปล R3.
45. ผู้ที่ขัดขวางคนอื่นจากหนทางของอัลลอฮฺและหวังที่จะทำให้มันบิดเบือนและพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธในเรื่องโลกหน้า”
46. ระหว่างคนสองกลุ่มนี้จะมีสิ่งขวางกั้นอยู่บนที่สูงจะมีใครบางคนที่จำพวกเขาได้ จากสีหน้าของพวกเขา และพวกเขาจะร้องเรียกสหายจากสวนสวรรค์ว่า “สันติจงมีแด่ท่าน” คนพวกนี้ยังไม่ได้เข้าสวรรค์ถึงแม้พวกเขาหวังไว้ว่าจะได้เข้าไปในนั้น
47. และเมื่อสายตาของพวกเขาถูกหันไปยังพวกสหายของนรก พวกเขาจะกล่าวว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดอย่าทรงรวมพวกเราไว้กับเหล่าชนผู้อธรรม”


คำแปล R4.
45. คือบรรดาผู้ที่ขัดขวางทางของอัลลอฮฺ และปรารถนาให้ทางนั้นคดเคี้ยว และต่อวันปรโลกนั้นพวกเขาปฏิเสธศรัทธา
46. และระหว่างพวกเขานั้นมีกำแพงกั้น และบนส่วนสูงของกำแหงนั้นมีบรรดาชายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขารู้จัก (พวกนั้น)ทั้งหมด ด้วยเครื่องหมายของพวกเขา (ชาวสวรรค์) และพวกเขาได้เรียกชาวสวรรค์ (โดยกล่าวว่า) ขอความปลอดภัยจงมีแด่พวกท่านเถิดโดยที่พวกเขายังมิได้เข้าสวนสวรรค์ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็ปรารถนาอย่างแรงกล้า
47. และเมื่อบรรดาสายตาของพวกเขาถูกหันไปทางชาวนรก พวกเขาก็กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ โปรดอย่าได้ทรงให้พวกข้าพระองค์ร่วมอยู่กับกลุ่มผู้อธรรมเหล่านั้นเลย


คำแปล R5.
๔๕. พวกที่คดโกงนั้นคือบรรดาชนผู้กีดกันปวงชนมิให้นอบน้อมตนเข้าสู่วิถีทางแห่งศาสนาของอัลเลาะห์ ทั้งยังได้หมายที่จะให้ศาสนาของอัลเลาะห์นั้นบ่ายเบนเป็นอื่นโดยกระทำให้ใจไขว้เขวและมีความเข้าใจผิดจากความจริงบ้าง โดยพยายามเปลี่ยนแปรศาสนาของอัลเลาะห์และแนวทางดำเนินที่พระองค์ได้ทรงตราเป็นกฎขึ้นสำหรับผู้เป็นข้าพระองค์บ้าง และพยายามสับเปลี่ยนกฎนั้น ๆ บ้าง บางนัยบอกว่าพวกเหล่านั้นกระทำละหมาดถวายผู้ที่มิใช่อัลเลาะห์ก็มี และถวายเกียรติคุณสิ่งที่อัลเลาะห์มิได้ทรงให้เกียรติยกย่องสิ่งนั้นก็มี และพวกเหล่านั้นมิได้ศรัทธาต่อวันปรภพเลย
๔๖. ระหว่างพวกทั้งสองที่เป็นชาวสวรรค์และนรกนั้นมีกำแพงกั้นไว้ แต่บนกำแพงที่กั้นไว้ระหว่างสวรรค์และนรกนั้นมีชายพวกหนึ่งที่มีผลกรรมดีและผลกรรมชั่วเสมอกันซึ่งพวกเขาจะต้องพำนักอาศัยอยู่บนนั้นชั่วระยะหนึ่งจนกว่าอัลเลาะห์จะทรงอนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่สรวงสวรรค์ซึ่งพวกที่อยู่บนกำแพงต่างก็รู้จักพวกทั้งสองที่เป็นชาวสวรรค์และชาวนรกได้ด้วยสัญลักษณ์ ที่ปรากฏอยู่ที่ทั้งสองพวกนั้น กล่าวคือพวกมุอ์มินจะมีใบหน้าขาวผ่องอันเนื่องมาจากริ้วรอยของการอาบน้ำละหมาดส่วนพวกกาฟิรมีใบหน้าดำคล้ำ
   คำว่า อัล-อะอ์ร๊อฟ ที่แปลว่ากำแพงนี้ นักปราชญ์เป็นอันมากได้แสดงถ้อยคำอธิบายไว้แปลกไปจากกันหลายแบบคือท่านมุยาฮิด จำกัดความว่า อัล-อะอ์ร๊อฟ คือกำแพงที่กั้นอยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก
   ทัศนะหนึ่งของบุตรอับบ๊าสบอกว่า อัล-อะอ์ร๊อฟ คือภูเขาลูกหนึ่ง ตั้งอยู่ระหว่างสวรรค์กับนรก ณ ที่นั้นจะมีผู้ต้องโทษถูกกักขังรอการไปสู่สวรรค์หรือนรก
   ปราชญ์บางท่านแถลงว่า อัล-อะอ์ร๊อฟคือภูเขาอุฮุดนั่นเอง
    สำหรับบุคคลที่มีผลกรรมดีและผลกรรมชั่วเสมอกันจะถูกให้พำนักอาศัยอยู่บนกำแพงดังกล่าว เรียกชนพวกนี้ว่า “ชาวชนแห่งกำแพง” (อะห์ลุลอะอ์ร๊อฟ) เกี่ยวกับชนพวกนี้นักปราชญ์มีทัศนะขัดแย้งกันอยู่ แต่มีอยู่กระแสหนึ่งที่รายงานมาจากหุไซฟะห์ว่า ได้มีผู้ซักถามพระนบีมุฮำมัดถึงชนพวกนี้ พระนบีมุฮำมัดตอบว่า เป็นชนจำพวกหนึ่งที่ประกอบกรรมดีกรรมชั่วไว้ในภพดุนยาเท่า ๆ กัน กรรมดีกับกรรมชั่วของพวกเขาจึงยึดยื้อพวกเขาไว้มิให้เข้าสู่สวรรค์และนรก พวกเขาต้องพักอาศัยอยู่บนกำแพงจนกว่าอัลเลาะห์จะทรงตัดสินเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง บ้างก็แถลงว่าชนพวกนี้ถูกกำหนดให้อยู่บนกำแพงนั้น ทั้งนี้เพราะศักดิ์ศรีของพวกเขาอยู่ในชั้นปานกลางระหว่างสวรรค์และนรก จะว่าพวกนี้เป็นชาวสวรรค์ก็ไม่ได้ และจะว่าเป็นชาวนรกก็ไม่ได้ แต่ถ้าอัลเลาะห์จะทรงเอื้อเฟื้อและโปรดปราณีแล้ว พระองค์ก็จะทรงให้พวกเขาเข้าสู่สวรรค์ เพราะในภพอาคิเราะห์นั้นนอกจากสวรรค์กับนรกแล้วย่อมไม่มีเคหสถานอื่นใดเป็นที่อยู่อาศัยเลย
   ยังมีถ้อยคำของบุตรมัซอู๊ดแถลงว่าในวันกิยามะห์มนุษย์จะถูกสอบสวนผลกรรมหากว่าผู้ใดที่ผลกรรมดีเกินกว่าผลกรรมชั่ว แม้ที่สุดเพียงนิดเดียว ผู้นั้นได้เข้าสู่สวรรค์ แต่ถ้าผู้ใดผลกรรมชั่วเกินกว่าผลกรรมดีเพียงนิดเดียว ผู้นั้นได้เข้านรก ทั้งนี้เพราะตราชูที่ใช้เป็นมาตรการการชั่งนั้นไวมาก ผลแห่งความศรัทธาแม้สักเท่าเมล็ดก็สามารถถ่วงให้หนักเกินกว่ากันได้
    สำหรับผู้ที่มีผลกรรมดีและชั่วเท่ากันผู้นั้นเป็นผู้หนึ่งจากชาวชนแห่งกำแพง และพวกเขาจะต้องพักอาศัยอยู่บนกำแพงนั้น และเมื่อพวกเขาแลมองมาที่ชาวสวรรค์ พวกเขาก็ร้องบอกชาวสวรรค์ว่า “ความสันติสุขพึงมีแก่พวกท่าน” ขอพวกท่านจงคลาดแคล้วจากความหายนะ และจงประสบแต่ความปลอดภัยและความสงบสุขเถิด อัลเลาะห์ตรัสว่า พวกเขา(ชนชาวแห่งกำแพง) นั้นมิได้เข้าสู่สวรรค์ทั้ง ๆ ที่ก็กระหายอยากจะเข้าเหลือเกิน ท่านหะซันกล่าวว่า จะไม่มีอะไรที่ทำให้พวกชนชาวกำแพงนึกอยากจะเข้าสวรรค์หรอกนอกจากความโปรดปราณีที่อัลเลาะห์ทรงมุ่งหมายแก่พวกนั้น และท่านฮากิมยังแถลงไว้อีก ในระหว่างเวลาที่พวกนั้นกำลังนึกจะเข้าสู่สวรรค์อยู่ ในทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงแลเห็นพวกเหล่านั้น พระองค์ตรัสขึ้นว่า พวกเจ้าจงดำเนินไปสู่สวรรค์เถิด ข้าได้อภัยโทษให้พวกเจ้าแล้ว
๔๗. แต่เมื่อดวงตาของพวกเหล่านั้นถูกให้เหลือบแลไปเจอะกับชาวนรกเข้า พวกเหล่านั้นก็เอ่ยขึ้นว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์ได้โปรดเถิด อย่าให้พวกข้าพระองค์ไปอยู่ในขุมนรกร่วมกับมวลชนผู้คดโกงเลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 48 - 50


คำอ่าน
48. วะนาดา..อัศหาบุลอะอฺรอฟิ ริญาลัย..ยะอฺริฟูนะฮุม..บิสีมาฮุม กอลูมา..อัฆนาอัน..กุมญัมอุกุม วะมากุน..ตุมตัสตักบิรูน
49. อะฮา..อุลา...อิลละซีนะ อักสัมตุม ลายะนาลุฮุมุลลอฮุ บิเราะหฺมะฮฺ อุดคุลุลญัน..นะตะ ลาค็อวฟุนอะลัยกุม วะลา...อันตุมตะหฺซะนูน
50. วะนาดา..อัศหาบุน..นาริ อัศหาบัลญัน..นะติ อันอะฟีฎูอะลัยนามินัลมา...อิ เอามิม..มาเราะซะเกาะกุมุลลอฮุ กอลู..อิน..นัลลอฮะ หัรฺเราะมะฮุมา อะลัลกาฟิรีน


คำแปล R1.
48. And the men on Al-A'raf (the wall) will call unto the men whom they would recognize by their marks, saying: "Of what benefit to you were your great numbers (and hoards of wealth), and your arrogance against Faith?"
49. Are they those, of whom you swore that Allah would never show them Mercy. (Behold! it has been said to them): "Enter Paradise, no fear shall be on you, nor shall you grieve."
50. And the dwellers of the Fire will call to the dwellers of Paradise: "Pour on us some water or anything that Allah has provided you with." they will say: "Both (water and provision) Allah has forbidden to the disbelievers."


คำแปล R2.
48. และชาวเนินสูงได้เรียกบุรุษกลุ่มหนึ่ง(เป็นหัวหน้าของพวกกาฟิร)ซึ่งพวกเขารู้จักพวกนั้นด้วยเครื่องหมาย(เฉพาะตัว)ของพวกนั้น พวกเขากล่าว(กับพวกนั้น)ว่า “การชุมนุมชน(อันมากมายหรือการรวบรวมทรัพย์สินเงินทองอย่างมากมาย)ของพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านเคยทระนงตน(เมื่อครั้งอดีต)ไม่สามาถป้องกันพวกท่านได้เลย”
49. (ชาวเนินสูงได้กล่าวกับพวกกาฟิรชาวนรกโดยชี้มายังผู้ศรัทธาที่จะได้เข้าสวรรค์ว่า)ก็พวกเหล่านี้มิใช่หรือ? เป็นพวกที่ท่านทั้งหลายได้สาบาน(ยืนยัน)ว่า อัลเลาะฮฺจะไม่แผ่ความเมตตาแก่พวกเขา(แต่พวกนี้ได้รับการต้อนรับว่า)ท่านทั้งหลายจงเข้าสวรรค์เถิด โดยท่านทั้งหลายจะไม่ประสบความหวั่นกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น และท่านทั้งหลายจะไม่เศร้าโศก
50. และชาวนรกได้เรียก(ขอร้องจาก)ชาวสวรรค์ว่า “พวกท่านจงเทน้ำลงมาให้เราบ้างเถิด หรือบางส่วนแห่งเครื่องยังชีพที่อัลเลาะฮฺได้ประทานแก่พวกท่าน(ในสวรรค์) พวกเขาก็กล่าว(ตอบ)ว่า “แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงห้ามมันทั้งสอง(น้ำและอาหาร)แก่บรรดาผู้เนรคุณ

 
คำแปล R3.
48. แล้วบรรดาผู้ที่อยู่บนที่สูงจะร้องเรียกชาวนรกที่พวกเขารู้จักได้จากสีหน้าว่า “พวกท่านได้เห็นแล้วว่า การสะสมเงินทองของพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านยโสโอหังนั้นไม่ได้อำนวยผลอันใดแก่พวกท่านเลย
49. และมิใช่สหายแห่งสวรรค์เหล่านี้ดอกหรือที่พวกท่านสาบานว่าอัลลอฮฺจะไม่ทรงประทานความเมตตาแก่พวกเขา? (วันนี้คนเหล่านี้ได้รับการต้อนรับด้วยคำว่า) “จงเข้าไปในสวรรค์เถิด ในที่นั้นพวกท่านจะไม่มีความหวาดกลัวและความระทม”
50. และสหายของนรกจะร้องเรียกสหายของสวรรค์ว่า “ได้โปรดเทน้ำมาบนพวกเราสักนิดหรือโยนบางสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้แก่พวกท่านหน่อยเถิด” พวกเขาตอบว่า “อัลลอฮฺได้ทรงห้ามทั้งสองสิ่งนี้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธ


คำแปล R4.
48. และบรรดาผู้ที่อยู่บนส่วนสูงของกำแพงนั้นได้ร้องเรียกชายกลุ่มหนึ่งซึ่งพวกเขารู้จักพวกนั้นได้ด้วยเครื่องหมายของพวกเขา (ชาวนรก) โดยกล่าวว่ามันย่อมไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกท่านเลยซึ่งการสะสม (ทรัพย์) ของพวกท่านและการที่พวกท่านหยิ่งยโส
49. ชนเหล่านี้ใช่ไหมคือผู้ที่พวกเจ้าได้สาบานไว้ว่า อัลลอฮฺจะไม่ทรงให้ได้แก่พวกเขาซึ่งความเอ็นดูเมตตาใด ๆ พวกเจ้าจงเข้าสวรรค์กันเถิดโดยปราศจากความกลัวใด ๆ แก่พวกเจ้า และทั้งพวกเจ้าก็จะไม่เสียใจ
50. และชาวนรกได้ร้องเรียกชาวสวรรค์ว่า จงเทน้ำมาให้แก่พวกเราด้วยเถิด หรือไม่ก็สิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกท่านด้วย เขาเหล่านั้นกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงให้สิ่งทั้งสองนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย


คำแปล R5.
๔๘. ชาวชนแห่งกำแพงได้ร้องเรียกไปยังชายพวกหนึ่งที่เป็นชาวนรก ซึ่งพวกเขาจำเค้าของพวกนี้ได้ด้วยเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นชนชาวมักกะห์ พวกนี้เมื่อยังอยู่พิภพ(ดุนยา)เป็นชนชั้นผู้นำ ฉะนั้นพอมาอยู่นรกพวกเขาจึงร้องเรียกชื่อของพวกนี้ได้ถูกต้อง แล้วเอ่ยว่า โอ้วะลีด บุตรมุฆีเราะห์ โอ้อบูยะฮัลบุตรฮิชาม และใครต่อใครอีกหลายคน พวกท่านเคยเป็นศัตรูกับมุฮำมัดและพวกมุอ์มินในภพดุนยา บัดนี้ความมากมีของพวกท่านที่เคยมีอยู่ในภพดุนยา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพย์สิน ในเรื่องเพื่อนฝูง ตลอดจนที่พวกท่านเคยหยิ่งยโสต่อความศรัทธาครั้งยังอยู่ในภพดุนยานั้นมิได้ให้ประโยชน์อันใดที่จะคุ้มกันไฟนรกให้แก่พวกท่านเลย
๔๙. แล้วชาวชนแห่งกำแพงยังได้เอ่ยถามเป็นเชิงดูถูกชาวนรก พลางชี้นิ้วไปที่พวกมุอ์มินผู้อ่อนกำลังกว่า ซึ่งเคยถูกพวกมุชริกข่มเหงและเหยียดหยามในขณะที่อยู่ภพดุนยาว่า พวกท่านน่ะหรือที่พวกท่านอ้างสาบานไว้ว่า อัลเลาะห์จะไม่ทรงให้พวกท่านได้รับส่วนแห่งความโปรดปราณี? พวกที่กล่าวถึงนี้ได้แก่ สุไฮบ์ บิลาล ซัลมาน ค่อบ๊าบ และคนอื่น ๆ ในชุดเดียวกัน แต่ที่แท้คนพวกนี้ได้รับคำเชื้อเชิญว่า พวกท่านจงเข้าสู่สวรรค์เถิด ฉะนั้นคำสาบานของพวกท่านในภพดุนยาที่ว่า “พวกเราจะไม่ได้เข้าสวรรค์” นั้นก็ปรากฏเห็นว่าเป็นความเท็จขึ้นแล้วในวันอาคิเราะฮฺนี้ โดยที่พวกเจ้าจะไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ ในขณะที่พวกกาฟิรกลัวการลงโทษในนรก และไม่มีความโศกสลดใจเลยในเมื่อพวกที่ประมาทได้รับความโศกสลดใจที่ปล่อยให้ชีวิตหมดสิ้นไปโดยมิได้สร้างบุญกุศลไว้เลยในภพดุนยา
๕๐. ชาวนรกก็ได้เอ่ยคำวิงวอนต่ออัลเลาะห์ว่าโอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งบรรดาข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์มีเครือญาติที่เป็นชาวสวรรค์อยู่ด้วยกันหลายคน ขอพระองค์ได้โปรดอนุญาตให้พวกข้าพระองค์ได้แลเห็นและได้พูดจากับเครือญาตเหล่านั้นเถิด พระองค์ก็ประทานอนุญาต ชาวนรกจึงแลเห็นเครือญาติของตนที่อยู่ในสวรรค์กำลังได้รับความผาสุกรื่นรมญ์ พอเห็นก็จำได้ ส่วนชาวสวรรค์เองก็สามารถแลเห็นเครือญาติของตนที่เป็นชาวนรได้เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากเครือญาติเหล่านั้นมีใบหน้าหมดราศีจึงจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร แล้วชาวนรกก็ได้ร้องเรียกชื่อของชาวสวรรค์ กล่าวคือได้มีชายคนหนึ่งเป็นชาวนรกเรียกบิดากับพี่น้องของตน ร้องบอกว่า “ฉันถูกไฟเผา” และสั่งว่าขอให้พวกท่านจงหลั่งน้ำรดมาที่พวกเรา หรือจงให้เครื่องกิน เครื่องดื่ม ส่วนที่อัลเลาะห์ได้ประทานแก่พวกท่านมายังพวกเราด้วยเถิด พวกเหล่านั้นที่เป็นชาวสวรรค์ก็ตอบแก่ชาวนรกว่า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงห้ามสิ่งบริโภคทั้งสองนั้นสำหรับพวกกาฟิร



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 51 - 53


คำอ่าน
51. อัลละซีนัตตะเคาะซูดีนะฮุม ละฮฺเวา..วะละอิเบา..วะฆ็อตฮุมุลหะยาตุดดุนยา ฟัลเยามะนัน..สาฮุม กะมานะสูลิกอ...อะเยามิฮิมฮาซา วะมากานูบิอายาตินายัจญหะดูน
52. วะละก็อดญิอ์นาฮุม..บิกิตาบิน..ฟัศศ็อลนาฮุ อะลาอิลมิน ฮุเดา..วะเราะหฺมะตัลลิก็อวมียุอ์มินูน
53. ฮัลยัน..ซุรูนะ อิลลาตะอ์วีละฮฺ เยามะยะอ์ตี ตะอ์วีลุฮู ยะกูลุลละซีนะ นะสูฮุ มิน..ก็อบลุ ก็อดญา...อัตรุสุลุร็อบบินาบิลหักกิ ฟะฮัลละนา มิน..ชุฟะอา..อะ ฟะยัชฟะอูละนา..เอานุร็อดดุ ฟะนะอฺมะละ ฆ็อยร็อลละซีกุน..นานะอฺมัล ก็อดเคาะสิรู..อัน..ฟุสะฮุม วะฎ็อลละ อันฮุม..มากานูยัฟตะรูน


คำแปล R1.
51. "Who took their Religion as an amusement and play, and the life of the world deceived them." So this day we shall forget them as they forgot their meeting of this day, and as they used to reject our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.).
52. Certainly, we have brought to them a Book (the Qur'an) which we have explained in detail with knowledge, - a guidance and a mercy to a people who believe.
53. Await them just for the final fulfillment of the event? On the day the event is finally fulfilled (i.e. the Day of Resurrection), those who neglected it before will say: "Verily, the Messengers of our Lord did come with the truth, now are there any intercessors for us that they might intercede on Our behalf? Or could we be sent back (to the first life of the world) so that we might do (good) deeds other than those (evil) deeds which we used to do?" Verily, they have lost their own selves (i.e. destroyed themselves) and that which they used to fabricate (invoking and worshipping others besides Allah) has gone away from them.


คำแปล R2.
51. บรรดาผู้ถือเอาศาสนาของตนเองมาเป็นสิ่งเพลิดเพลินและสนุกสนานและปล่อยให้ชีวิตทางโลกนี้ล่อลวงพวกเขา แท้จริงในวันนี้(กิยามะฮฺ) เราลืม(ไม่สนใจ)พวกเขา เหมือนเช่นที่พวกเขาได้ลืมการพบกับวันนี้ของเรา และที่พวกเขาเคยปฏิเสธบรรดาโองการของเรา
52. ขอยืนยัน แท้จริง เราได้นำมาแก่พวกเขาซึ่งคัมภีร์(อัลกุรอาน) ซึ่งเราทำการจำแนกมันบน(พื้นฐานแห่ง)ความรู้จริง เพื่อเป็นสิ่งชี้นำ และเป็นเมตตาธรรมแก่กลุ่มชนที่มีศรัทธาทั้งมวล
53. พวกเขามิได้รอคอย(สิ่งใดทั้งสิ้น)นอกจากผลสุดท้าย(ตามที่มีปรากฏในสัญญาของคัมภีร์อัลกุรฺอานนั้น) ในวันที่ผลสุดท้ายของคัมภีร์จะมาถึง(คือวันกิยามะฮฺ) บรรดาผู้ที่ลืมคัมภีร์ตั้งแต่กาลก่อนจะกล่าวว่า “แท้จริงบรรดาศาสนทูตขององค์อภิบาลแห่งเราได้นำมาแล้วซึ่งสัจธรรม แล้วพวกเราจะมีผู้ใดจากบรรดานักสงเคราะห์ที่จะให้การสงเคราะห์แก่เราบ้างไหมหนอ? หรือมิฉะนั้นก็ให้เราได้รับการส่งตัวกลับคืน(สู่สากลโลกอีกครั้งหนึ่ง) เพื่อที่เราจะได้ปฏิบัติ(แต่คุณความดี)นอกจาก(ความชั่วร้าย)ที่เราได้เคยปฏิบัติ(มาก่อน) แท้จริงพวกเขาทำความขาดทุนแก่ตัวของพวกเขาเอง และสิ่ง(พวกเทวรูป)ที่พวกเขาได้เคยกุขึ้นนั้น ได้ลับหายไปจากพวกเขาแล้ว


คำแปล R3.
51. บรรดาผู้ถือเอาศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งบันเทิงและการละเล่น และผู้ที่ถูกชีวิตแห่งโลกนี้ล่อลวง (อัลลอฮฺทรงตรัสว่า) “วันนี้เราจะลืมพวกเขาเหมือนกับที่พวกเขาได้ลืมการพบกันของวันนี้และการที่พวกเขาปฏิเสธอายะฮฺทั้งหลายของเรา”
52. เราได้นำมาให้คนเหล่านี้แล้วซึ่งคัมภีร์ที่ให้รายละเอียดบนพื้นฐานแห่งความรู้ เป็นทางนำและความเมตตาสำหรับประชาชนผู้ศรัทธา
53. คนเหล่านี้กำลังคอยสิ่งใดนอกไปจากผล(ของสิ่ง)ที่ได้ถูกเตือนไว้ในคัมภีร์นี้หรือ? เมื่อผลของมันจะมาปรากฏต่อหน้าพวกเขา บรรดาผู้ที่ไม่ใส่ใจต่อมันก่อนหน้านี้จะกล่าวว่า “บรรดารอซูลของพระผู้อภิบาลของเราได้มาพร้อมกับสัจธรรมแล้วจริง ๆ แล้วเรายังจะมีผู้ไถ่โทษใด ๆ ที่จะมาไถ่โทษแทนเรากระนั้นหรือ? หรือเราจะถูกส่งกลับเพื่อที่เราจะได้ทำสิ่งที่แตกต่างไปจากสิ่งที่พวกเราได้กระทำมาก่อน? แน่นอน คนพวกนี้เป็นผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาขาดทุน และสิ่งจอมปลอมทั้งหลายที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นได้ทิ้งพวกเขาไปหมด


คำแปล R4.
51. คือบรรดาผู้ที่ยึดเอาศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งให้ความเพลิดเพลิน และเป็นของเล่น และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ก็ได้หลอกลวงพวกเขาด้วย ดังนั้นวันนี้เราจะลืมพวกเขาบ้าง ดังที่พวกเขาได้ลืมการพบกับวันของพวกเขานี้และการที่พวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการของเรา
52. และแท้จริงนั้นเราได้นำคัมภีร์ฉบับหนึ่งมาให้แก่พวกเขาแล้ว ซึ่งเราได้แจกแจงคัมภีร์นั้นด้วยความรอบรู้ ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อแนะนำ และเป็นการเอ็นดูเมตตาแก่กลุ่มชนที่ศรัทธา
53. เขาเหล่านั้นมิได้คอยอะไร นอกจากผลสุดท้ายแห่งคัมภีร์นั้นเท่านั้น วันที่ผลสุดท้ายแห่งคัมภีร์จะมานั้น บรรดาผู้ที่ได้ลืมคัมภีร์มาก่อนจะกล่าวว่า แท้จริงบรรดารอซูลแห่งพระเจ้าของเราได้นำความจริงมาแล้ว มีบรรดาผู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้แก่พวกเราบ้างไหม ซึ่งพวกเขาจะได้ขอความช่วยเหลือให้แก่พวกเรา หรือไม่ก็ให้พวกเราถูกนำกลับไปใหม่ แล้วพวกเราก็จะได้ปฏิบัติอื่นจากที่พวกเราเคยปฏิบัติมา แน่นอนพวกเขาได้ยังความขาดทุนให้แก่ตัวของพวกเขาเอง และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นนั้นได้หายหน้าจากพวกเขาไป


คำแปล R5.
๕๑. ซึ่งกาฟิรเหล่านั้นเป็นพวกที่เอาศาสนาของตนเป็นความบันเทิง หาสารประโยชน์มิได้ และเป็นของสนุก ไม่จริงจัง คือไม่ถือว่าเป็นการสำคัญ และปล่อยให้ชีวิตความเป็นอยู่ภพปัจจุบันลวงล่อพวกตน ก่อให้เกิดความกังวลใจอยากจะมีชีวิตยืนนาน มีความเป็นอยู่หรูหราและมีทุกอย่างที่พึงปรารถนา ในวันนี้เรา(อัลเลาะห์) จะปล่อยพวกเขาทิ้งไว้ในขุมนรก ในฐานะที่พวกเขาได้เคยละเลยประกอบกรรมดี เพราะยุ่งกับเรื่องของพวกตนในวันแห่งภพปัจจุบันนี้ และในฐานะที่พวกเขาเคยปฏิเสธบรรดาโองการของเรา
๕๒. ขอให้สัตย์ปฏิญาณว่า ความจริงเรา(อัลเลาะห์) ก็ได้มอบพระคัมภีร์อัลกุรอานให้แก่พวกเหล่านั้นที่เป็นชาวมักกะห์โดยที่เราได้แจกแจงพระคัมภีร์นั้นในทางแจ้งข่าวคราวบ้างในทางบุญกุศลบ้างและเกี่ยวกับสัญญาลงโทษบ้าง เป็นฐานความรู้จากเรา พระคัมภีร์อัลกุรอานนี้เป็นหนทางนำและเป็นความโปรดปราณีสำหรับมวลชนผู้ศรัทธาต่อพระคัมภีร์
๕๓. พวกเหล่านั้นที่เป็นชาวนครมักกะห์หาได้รอคอยอื่นใดไม่ นอกจากรอคอยปรากฏการณ์ขั้นสุดท้าย อันได้แก่ การเกิดใหม่ การไปรวมกัน การสอบสวน การลงโทษ และการตอบแทนกรรมดีและกรรมชั่วเป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่พวกเจ้าถูกสัญญาไว้ในพระคัมภีร์อัล-กุรอานแล้วว่าจะต้องอุบัติขึ้นในวันกิยามะห์ที่จะมีปรากฏการณ์ขั้นสุดท้ายเกิดขึ้นนั้นบรรดาชนกาฟิรมักกะห์ที่ได้ละเลยไม่ศรัทธาต่อปรากฏการณ์สุดท้ายดังกล่าว พวกนี้กล่าวว่า แท้จริงได้มีเหล่าพระศาสนทูตขององค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเรามาถึงพวกเราในภพดุนยาแล้วพร้อมด้วยความสัจจริงอันได้แก่ปรากฏการณ์สุดท้ายมาบอกพวกเราในภพดุนยา แล้วพวกกาฟิรนั้นก็ยอมรับความจริงนั้น ทั้งนี้เพราะพวกนั้นได้แลเห็นการลงโทษที่พวกพระศาสนทูตบอกไว้เป็นประจักษ์แก่สายตา พวกเราจะมีผู้อนุเคราะห์หรือเปล่าหนอ? เพื่อจะได้ช่วยอนุเคราะห์พวกเรา หรือว่าพวกเราจะถูกส่งกลับไปยังภพดุนยาอีกสักหนหนึ่งก่อนเพื่อว่าพวกเราจะได้ประพฤติตนเฉพาะแก่การถือเอกภาพในอัลเลาะห์และจะงดเว้นข้อสงสัยในองค์อัลเลาะห์ว่ามีหรือหาไม่ ต่างไปจากที่พวกเราได้เคยประพฤติกันมาแล้ว? โดยการเคารพบูชาเหล่าเทวรูปเป็นภาคีเทียบเทียมอัลเลาะห์ และเคยสงสัยในพระองค์มาแล้ว แต่พวกเหล่านั้นได้รับตอบว่า “ไม่มีผู้อนุเคราะห์และจะไม่ถูกส่งคืนหรอก” อัลเลาะห์ได้ตรัสว่า ความจริงพวกเหล่านั้นตนเองได้ขาดทุนกลับกลายเป็นผู้หายนะเสียแล้ว ทั้งข้ออ้างว่าพวกเทวรูปสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลได้ตามที่พวกเหล่านั้นได้เคยอ้างไว้ในภพดุนยา ก็สาบสูญไปจากพวกเหล่านั้นอีกด้วย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 54 - 58


คำอ่าน
54. อิน..นะร็อบบะกุมุลลอฮุลละซี เคาะละก็อสสะมาวาติวัลอัรฺเฎาะ ฟีสิตตะติอัยยามิน..ษุม..มัสตะวาอะลัลอัรฺ๙ ยุฆ๙ลลัยลัน..นะฮาเราะ ยัฏลุบุฮูหะษีเษา..วัชชัมสะ วัลเกาะมะเราะ วัน..นุญูมะ มุสัคเคาะรอติม..บิอัมริฮฺ อะลาละฮุลค็อลกุ วัลอัมรุ ตะบาเราะกัลลอฮุร็อบบุลอาละมีน
55. อุดอูร็อบบะกุม ตะฎ็อรฺรุเอา..วะคุฟยะฮฺ อิน..นะฮูลายุหิบบุลมุอฺตะดีน
56. วะลาตุฟสิดูฟิลอัรฺฎิ บะอฺดะอิศลาหิฮา วัดอูฮุค็อวเฟา..วะเฏาะมะอา อิน..นะเราะหฺมะตัลลอฮิเกาะรีบุม..มินัลมุหฺสินีน
57. วะฮุวัลละซียุรฺสิลุรฺริยาหะบุชร็อม..บัยนะยะดันเราะหฺมะติฮฺ หัตตา..อิซา..อะก็อลลัต สะหาบัน..ษิกอลัน..สุกนาฮุ ลิบะละดิม..มัยยิติน..ฟะอัน..ซัลนาบิฮิลมา...อะ ฟะอัคร็อจญณาบิฮี มิน..กุลลิษษะมะรอต กะซาลิกะนุคริญุลเมาตา ละอัลละกุมตะซักกะรูน
58. วัลบะละดุฏฏ็อยยิบุ ยัครุญุนะบาตุฮู บิอิซนิร็อบบิฮฺ วัลละซีเคาะบุษะ ลายัครุญุอิลลานะกิดา กะซาลิกะ นุศ็อรฺ ริฟุลอายาติ ลิก็อวมียัชกุรูน


คำแปล R1.
54. Indeed your Lord is Allah, who created the heavens and the earth in six days, and then He Istawa (rose over) the Throne (really in a manner that suits his Majesty). He brings the night as a cover over the day, seeking it rapidly, and (He created) the sun, the moon, the stars subjected to His command. Surely, His is the creation and commandment. Blessed be Allah, the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns and all that exists)!
55. Invoke your Lord with humility and in secret. He likes not the aggressors.
56. And do not do mischief on the earth, after it has been set in order, and invoke Him with fear and hope; surely, Allah's Mercy is (ever) near unto the good-doers.
57. And it is He who sends the winds as heralds of glad tidings, going before his mercy (rain). Till when they have carried a heavy-laden cloud, We drive it to a land that is dead, then We cause water (rain) to descend thereon. Then We produce every kind of fruit therewith. Similarly, We shall raise up the dead, so that you may remember or take heed.
58. The vegetation of a good land comes forth (easily) by the permission of its Lord, and that which is bad, brings forth nothing but a little with difficulty. Thus do We explain variously the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) for a people who give thanks.


คำแปล R2.
54. แท้จริงองค์อภิบาลของพวกท่านคือองค์อัลเลาะฮฺ ซึ่งทรงบันดาลชั้นฟ้าและแผ่นดินในหกวัน จากนั้นพระองค์ทรงใช้อำนาจการปกครอง(สรรพสิ่ง)เหนือบัลลังก์พระองค์ทรงให้กลางคืนครอบคลุมกลางวัน ซึ่งมัน(กลางคืนกับกลางวัน)ตามคิดกันมาอย่างรวดเร็วและ(ทรงสร้าง)ดวงตะวัน ดวงเดือนและดวงดาว ซึ่งยอมอยู่ใต้บงการของพระองค์(ให้ทุกสิ่งอำนวยประโยชน์ทั้งสิ้นแก่มนุษย์โดยให้เปล่า) ด้วยคำบัญชาของพระองค์ พึงสังวร! พระองค์ทรงสิทธิ์บันดาลและบัญชา(บริหาร) อัลเลาะฮฺทรงจำเริญยิ่ง ทรงเป็นองค์อภิบาลโลกทั้งหลาย
55. เจ้าทั้งหลายจงวอนขอองค์อภิบาลของพวกเจ้า โดยอาการอันนอบน้อมและแผ่วเบาเถิด แท้จริงพระองค์ไม่ทรงรักบรรดาผู้ละเมิด
56. และพวกเจ้าอย่าบ่อนทำลายในแผ่นดินหลังจากปรับปรุงมันแล้ว และพวกเจ้าจงวอนขอพระองค์โดยความหวั่นกลัวและความมุ่งหวัง แท้จริงความเมตตาของอัลเลาะฮฺนั้นอยู่ใกล้ชิดบรรดาผู้ทำดีทั้งหลาย
57. และพระองค์เป็นผู้ส่งลมมาเป็นข่าวดีก่อนหน้า(ที่จะมีฝนซึ่งมาจาก)ความเมตตาของพระองค์ จนกระทั่งเมื่อมันได้รำเพยพัดเมฆอันหนักอึ้ง(ไปด้วยน้ำฝน)เราก็ให้มันหลั่งลงมาแก่เมืองที่ตาย(แห้งแล้ง) แล้วจากนั้นเราได้ให้น้ำฝนลงมาเพราะมัน(เมฆ) แล้วเราก็ให้มีผลไม้ต่าง ๆ ผลิออกมาเพราะมัน(น้ำฝน) เช่นนั้นแหละ! ที่เราได้ทำให้ผู้ที่ตายไปแล้ว(ฟื้น)ออกมาอีก เพื่อว่าพวกเจ้าทั้งหลายจะได้สำนึก
58. และเมืองที่(มีดิน)ดี พืชพันธุ์ของมันก็จะออกมา โดยอนุญาตแห่งองค์อภิบาลของมัน และเมืองที่(ดิน)เลว จะไม่มีอะไรผลิออกมา นอกจากความแคระแกรน เช่นนั้นแหละ! ที่เราได้ผันแปรบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ สำหรับกลุ่มชนที่มีความกตัญญู


คำแปล R3.
54. แท้จริงแล้วพระผู้อภิบาลของสูเจ้าคืออัลลออฺ ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินในหกวัน แล้วพระองค์ได้ทรงประทับมั่นอยู่บนบัลลังก์แห่งอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำให้กลางคืนปกคลุมกลางวันแล้วกลางวันก็ติดตามกลางคืนอย่างรวดเร็ว พระองค์ได้ทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ใต้คำบัญชาของพระองค์ จงรู้ไว้เถิดว่า ของพระองค์คือการสร้างและอำนาจแห่งการบัญชา ผู้ทรงจำเริญยิ่งคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
55. จงวิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของสูเจ้าโดยถ่อมตนและโดยลับ ๆ แท้จริงพระองค์ไม่ทรงรักผู้ละเมิด
56. และจงอย่าแพร่ความเสียหายบนหน้าแผ่นดินหลังจากที่มันได้ถูกจัดให้เป็นระเบียบแล้ว และจงวิงวอนต่อพระองค์ด้วยความยำเกรง แน่นอนความเมตตาของอัลลอฮฺนั้นอยู่ใกล้กับผู้ทำความดี
57. และพระองค์คือผู้ทรงส่งลมมาเป็นเสมือนผู้แจ้งข่าวดีถึงพระเมตตาของพระองค์ เมื่อมันรวมกันเป็นเมฆหนา เราได้ทำให้มันเคลื่อนที่ไปสู่แผ่นดินที่แห้งแล้งและทำให้ฝนตกลงมาบนแผ่นดินนั้น แล้วเราได้ทำให้ผลไม้หลากชนิดออกมาจากมัน ในทำนองนี้แหละที่เราได้ทำให้คนตายออกมาจากสภาพแห่งความตาย ทั้งนี้เพื่อที่สูเจ้าจะได้รับบทเรียนจากมัน
58. และดินที่อุดมสมบูรณ์นั้นย่อมให้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์โดยอนุมัติของอัลลอฮฺ และดินที่เลวนั้นไม่ก่อให้เกิดผลผลิตอย่างใดนอกไปจากผลผลิตที่เลว ในทำนองนี้เองที่เราได้แจกแจงสัญญาณทั้งหลายของเราแก่บรรดาผู้ที่ขอบคุณ


คำแปล R4.
54. แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น คือ อัลลอฮฺผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดินภายในหกวัน แล้วสถิตอยู่บนลังลังก์ พระองค์ทรงให้กลางคืนครอบคลุมกลางวันในสภาพที่กลางคืนไล่ตามกลางวันโดยรวดเร็ว และทรงสร้างดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ และบรรดาดวงดาวขึ้นโดยถูกกำหนดให้ทำหน้าที่บริการ (ตามพระบัญชาของพระองค์ พึงรู้เถิดว่า การสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้นมหาบริสุทธิ์อัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก
55. พวกเจ้าจงวิงวอนต่อพระเจ้าของพวกเจ้าในสภาพถ่อมตนและปกปิด แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ละเมิด
56. และพวกเจ้าอย่าก่อความเสียหายไว้ในแผ่นดิน หลังจากได้มีการปรับปรุงแกไขมันแล้ว และจงวิงวอนขอต่อพระองค์ด้วยความยำเกรง และความปรารถนาอันแรงกล้า แท้จริงความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮฺนั้นใกล้แก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย
57. และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงส่งลมมาเป็นข่าวดีเบื้องหน้าความเอ็นดูเมตตาของพระองค์จนกระทั่งเมื่อมันได้แบกเมฆอันหนักอึ้งไว้ เราก็นำมันไปสู่เมืองที่แห้งแล้ง แล้วเราก็ให้น้ำหลั่งลงที่เมืองนั้น แล้วเราได้ให้ผลไม้ทุกชนิดออกมาด้วยน้ำนั้น ในทำนองนั้นแหละเราจะให้บรรดาผู้ที่ตายแล้วออกมาหวังว่าพวกเจ้าจะได้รำลึก
58. และเมืองที่ดีนั้นพืชของมันจะงอกออกมา ด้วยอนุมัติแห่งพระเจ้าของมัน และเมืองที่ไม่ดีนั้นพืชของมันจะไม่ออกนอกจากในสภาพแกร็น ในทำนองนั้นแหละ เราจะแจกแจงบรรดาโองการทั้งหลายแก่กลุ่มชนที่ขอบคุณ


คำแปล R5.
๕๔. แท้จริงพระผู้อภิบาลของพวกเจ้านั้นคืออัลเลาะห์พระผู้สร้างบรรดาชั้นฟ้าทั้งเจ็ดและแผ่นดินให้สำเร็จลงภายในหกวันแห่งวันในพิภพนี้เท่านั้น หากพระองค์ทรงมุ่งประสงค์ที่จะสร้างสิ่งทั้งสองนั้นในเสร็จลงในชั่วพริบตาก็ได้ แต่ที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์จะสร้างโดยใช้เวลาถึงหกวันก็เพื่อต้องการจะสอนให้พวกเจ้ารู้จักความประณีตบรรจงในการกระทำการงาน เรื่องนี้ในซูเราะห์ฟุซซิลัตมีคำอธิบายไว้ว่า พระองค์ได้ทรงประเดิมสร้างในวันอาทิตย์ คือทรงสร้างแผ่นดินในเวลาสองวันได้แก่วันอาทิตย์และวันจันทร์ สำหรับชั้นฟ้าพระองค์ทรงสร้างภายในเวลาสองวันได้แก่วันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ ส่วนภูเขาสัตว์ป่า ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุกตลอดจนสิงสาราสัตว์ทั้งหลายนั้นทรงสร้างภายในวันอังคารและวันพุธ ต่อแต่นั้นพระองค์ได้ทรงอำนาจปกครองอยู่เหนืออัลอัรช์คือฟ้าชั้นที่เก้า ณ ฟ้าชั้นที่เก้านี้พระองค์ได้ทรงดำเนินการบริหารเป็นไปตามที่ทรงมุ่งประสงค์ พระองค์จะทรงให้กลางคืนเกิดสลับทยอยกันไปกับกลางวันอย่างกระชั้นชิด ไม่มีอะไรแทรกคั่ยนระหว่างเวลาของทั้งสองนั้น ทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่าง ๆ ให้น้อมอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระองค์ซึ่งจะมันเหล่านั้นขึ้นหรือตกหรือโคจรตามวิถีหรือย้อนวิถีก็ได้ โองการส่วนต่อไปนี้พระองค์ได้ตรัสหักล้างถ้อยคำของผู้กล่าวหาว่า แท้จริงดวงอาทิตย์ก็ดี ดวงจันทร์ก็ดีและบรรดาดวงดาวก็ดี จะยังประโยชน์ให้ได้ทุกอย่างในภาคภพนี้ว่า ดูเถิดบรรดาที่ถูกสร้างทั้งมวล ก็ดีและความเป็นไปของสรรพสิ่งบรรดามีอยู่ก็ดีย่อมเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น ไม่ใช่สิทธิของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่าง ๆ ที่กล่าวเลย อัลเลาะห์องค์อภิบาลแห่งสากลโลกนั้น ทรงเยี่ยมยิ่งในความดีเลิศทั้งมวล
๕๕. พวกเจ้าจงวอนขอต่อองค์อภิบาลของพวกเจ้าด้วยความนอบน้อมถ่อมตนและออกเสียงเพียงแผ่วเบาเถิด หากว่าพวกเจ้าไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นกล่าวเสริมคำ “ได้โปรดรับ” (อามีน) แท้จริงพระองค์นั้นมิได้ทรงโปรดปราณีต่อพวกที่กระทำเกินการในคำวิงวอนที่ฟุ้งเฟ้อไม่ซึ้งใจบ้าง และที่ขึ้นเสียงเกินไปบ้าง
   ว่าถึงเรื่องคำวิงวอน(ดุอาอุ์)พึงทราบอธิบายนี้ คำวิงวอนจัดว่าเป็นอิบาดะห์(สภาพความเคารพบูชา)ประเภทหนึ่งจากหลายประเภท ผู้ที่ขอวิงวอนจะวอนขอให้สำเร็จประโยชน์อันใดนั้น เขาเองต้องรู้อยู่ว่าเขาประสงค์สิ่งใด รู้อยู่ว่าตนนั้นไร้ความสามารถที่จะให้ประโยชน์สำเร็จเพื่อตนได้ ทั้งยังรู้อีกว่าองค์พระผู้อภิบาลแห่งเขาทรงได้ยินซึ่งคำวิงวอนและทรงทราบถึงจุดมุ่งหมายของตน โดยพระองค์เท่านั้นทรงมีพลานุภาพที่จะหยิบยื่นซึ่งวัตถุประสงค์นั้นแก่ตนได้
   ได้มีนักธรรมวินัยทางศาสนาบางคนตั้งกระทู้ขึ้นว่า อิบาดะห์ที่กระทำให้ประจักษ์แก่สาธารณะจะดีเลิศหรือหาไม่ นักธรรมวินัยฯ บางคนให้ทัศนะว่า สำหรับเนื้อความตามโองการส่วนนี้ก็แสดงว่าอิบาดะห์และการภักดีที่กระทำโดยมิชิดย่อมดีเลิศกว่าอย่างเปิดเผย ทั้งนี้เห็นจะเนื่องจากเป็นการห่างไกลการทำอวดเขา แต่บางท่านก็แสดงทัศนะเป็นนัยกลับกันเพราะอิบาดะห์ที่กระทำโดยเปิดเผยจะชักนำคนอื่น ให้กระทำตามอย่างนั้น สำหรับท่านไชค์มุฮำมัดบุตรอลี อัล-หะกีม อัลตุรมิซีย์แถลงเป็นกลาง ๆ ว่า หากผู้นั้นเกรงว่าตนจะอดใจในการอวดอ้างไว้มิได้แล้ว การกระทำอย่างมิดชิดย่อมดีเลิศกว่า เป็นการเลี่ยงมิให้กิจอย่างนั้นของเขาต้องสูญเปล่า แต่ถ้าผู้นั้นถึงพร้อมซึ่งจิตที่ผ่องใสมีใจมั่นคงไม่คลอนแคลนแล้ว การกระทำอย่างเปิดเผยย่อมดีเลิศกว่าสำหรับผู้นั้น เพราะจะยังประโยชน์ในทางเป็นตัวอย่างอันดีงามแก่คนอื่น ๆ ได้
   ยังมีอีกบางท่านจากหมู่นักธรรมวินัยฯแสดงทัศนะไว้มีอธิบายตามนี้ อิบาดะห์ภาคบังคับนั้นกระทำโดยเปิดเผยย่อมดีเลิศกว่า จะเห็นว่าการกระทำละหมาดภาคจำเป็นในมัสยิด(ที่สาธารณะ)ดีเลิศกว่าการกระทำนี้ที่บ้าน(ที่มิดชิด) ส่วนกระทำละหมาดภาคซุนนะห์ที่บ้านย่อมดีเลิศกว่าการกระทำนี้ที่มัสยิด ส่วนเรื่องซะกาตก็เหมือนกัน ให้ถือนัยเป็นอย่างเรื่องละหมาด ถึงอิบาดะห์ประเภทอื่น ก็พึงถือเป็นอย่างนั้นด้วย
๕๖. พวกเจ้าอย่าได้ก่อความเสื่อมเสีย ณ ภาคภพนี้ โดยการถือภาคีและการประพฤติแต่สิ่งชั่วเลวหลังจากได้มีการปรับปรุงแผ่นพิภพนั้นแล้ว ด้วยให้มีพวกพระศาสนทูต เช่น พระศาสดามุฮำมัดถูกแต่งตั้งขึ้นไว้ และพวกเจ้าจงวอนข่อต่อพระองค์เพราะหวาดกลัวการลงโทษจากพระองค์บ้าง และความกระหายอยากได้ ซึ่งความโปรดปราณีจากพระองค์บ้าง เพราะแท้จริงความโปรดปราณีของอัลเลาะห์นั้นใกล้กับบรรดาผู้ประพฤติดีงามตามที่ทรงใช้และห่างจากที่ห้ามอยู่แล้ว
๕๗. แล้วพระองค์เป็นผู้ทรงส่งกระแสลมให้มาพัดกระจายอยู่เบื้องหน้าความปราณี(ฝน) แห่งพระองค์ จนกระทั่งเมื่อกระแสลมนั้นมันอุ้มเอาเมฆอันหนักด้วยน้ำฝนไว้แล้ว เราจึงได้หลั่งมันลงมาจากก้อนเมฆ เพื่อให้ความชุ่มฉ่ำสู่ประเทศที่แห้งแล้งปราศจากพืชพันธุ์ แล้วเรา(อัลเลาะห์) ยังได้หลั่งน้ำฝนลงมาที่ประเทศนั้น และได้ผลิตพืชผลจากส่วนหนึ่งแห่งผลไม้ต่าง ๆ ด้วยน้ำนั้น ในทำนองเดียวกับที่เราได้ผลิตพืชพันธุ์ออกจากส่วนหนึ่งของผลไม้ต่าง ๆ นี้เอง เราจึงให้บรรดาผู้ตายแล้วฟื้นคืนชีวิตใหม่จากหลุมสุสานได้ การที่ทรงให้เกิดมีความชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนนั้นเปรียบได้กับอสุจิที่เจริญเติบโตเป็นเรือนร่างของมนุษย์ ในเมื่อพระองค์ทรงมีพลังในอันที่จะผลิตผลไม้สดจากต้นไม้ที่ขึ้นในแผ่นดินทุรกัรดารได้ พระองค์ก็ทรงมีพลังที่จะให้บรรดาผู้ตายแล้วกลับฟื้นคืนชีพจากสุสานได้ เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้ตรึกตรอง แล้วพวกเจ้าจพได้เกิดความศรัทธา
๕๘. แหละว่าประเทศที่อุดมนั้นไม้พันธุ์ต่าง ๆ ของประเทศนั้นจะงอกเงยขึ้นได้อย่างสวยสดงดงาม โดยความมุ่งประสงค์ขององค์พระผู้อภิบาลของมัน อุทาหรณ์นี้เปรียบได้กับคนผู้ศรัทธา(มุอ์มิน)ที่รับฟังคำตักเตือนด้วยความนบน้อม เขาจึงได้รับประโยชน์เพราะคำเตือนนั้น และในที่นี้คนผู้ศรัทธาเปรียบเสมือนประเทศที่มีดินอุดม ส่วนการประทานพระคัมภีร์อัล-กุรอาน เปรียบเหมือนการหลั่งน้ำลงมาจากฟากฟ้า เขาได้รับผลประโยชน์จากอัลกุรอานนั้น เช่นความดีต่าง ๆ มีความเคารพบูชาต่อพระองค์ ตลอดจนมีจรรยามารยาทดีงามควรแก่การสรรเสริญ ส่วนประเทศที่มีดินเลว เป็นดินเค็ม พันธุ์ไม้ต่าง ๆ ของประเทศนั้นจะงอกงามขึ้นได้ก็ทั้งยาก อุทาหรณ์นี้เปรียบได้กับคนกาฟิรและพฤติการณ์ของคนพวกนี้ เขาเปรียบเหมือนดินเลว ย่อมไม่ได้รับประโยชน์เพราะแผ่นดินนั้นเลย แม้จะมีฝนตกลงมาก็ตาม คนกาฟิรก็เช่นเดียวกัน เมื่อพระคัมภีร์อัลกุรอานถูกประทานลงมา เขาก็ไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากคัมภีร์นี้ พฤติการณ์ชั่วและการไม่ศรัทธาของเขากลับจะทวีมากขึ้น ถึงว่าเขาจะกระทำดีความดีย่อมจะเกิดขึ้นอย่างลำบาก เขาจึงไม่ได้รับประโยชน์อันใดเพราะความดีนั้นในภพหน้า ในทำนองเดียวกับที่เราได้ให้พันธุ์ไม้ต่าง ๆ งอกเงยขึ้นในแผ่นดินที่อุดมและไม่งอกขึ้นในแผ่นดินที่เลว ๆ นี้เอง เรา(อัลเลาะห์) จึงได้ชี้แจงโองการต่าง ๆ ของเราไว้สำหรับมวลชนผู้รู้จักบุญคุณของอัลเลาะห์แล้วพวกเหล่านั้นจะได้เกิดศรัทธา


 

GoogleTagged