ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 49 สูเราะฮฺ อัลหุญุรอต  (อ่าน 4477 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺอัลหุญุรอต – (الحجرات) – บรรดาห้อง (R3.)

เป็นบัญญัติมะดะนียะฮฺ มี 18 อายะฮฺ ถูกประทานหลังจากซูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ

ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺอัลหุญุรอต
   ซูเราะฮฺอัลหุญุรอตถูกประทานลงมาหลังจากซูเราะฮฺ อัลมุญาดะละฮฺ เป็นซูเราะฮฺ มะดะนียะฮฺ มีอายะฮฺทั้งหมด 18 อายะฮฺ ถึงแม้ว่าซูเราะฮฺนี้จะมีอายะฮฺน้อยแต่มีความสำคัญทางด้านจริยธรรมมาก เพราะประมวลไว้ด้วยข้อเท็จจริงในการอบรมที่เป็นอมตะไว้มากมาย เป็นการปูพื้นฐานที่มั่นคงไว้สำหรับสังคมที่มีเกียรติ เป็นซูเราะฮฺที่ทรงคุณค่าทางด้านศีลธรรม จนกระทั่งนักตัฟซีรบางท่านถึงกับให้ชื่อซูเราะฮฺนี้ว่า “ซูเราะฮฺ อัลอัคล๊าก” หรือ “ซูเราะฮฺจริยธรรม”
   ซูเราะฮฺเริ่มด้วยการกล่าวถึงมารยาทอันสูงส่งที่อัลลอฮฺตะอาลาทรงชี้แนะและอบรมสั่งสอนบรรดามุอฺมินให้แสดงออกต่อบทบัญญัติของพระองค์ ต่อคำสั่งของรอซูลของพระองค์
   ซูเราะฮฺได้กล่าวถึงมารยาทที่ดีงามอีกอย่างหนึ่งคือ การลดเสียงในการสนทนาหรือกล่าวถามสิ่งใดกับท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพื่อเป็นการยกย่องและให้เกียรติอันสูงศักดิ์ของท่าน เพราะท่านมีฐานะและตำแหน่งไม่เหมือนปุถุชนธรรมดา จึงเป็นหน้าที่ของมุสลิม มุอฺมินจะต้องแสดงออกซึ่งการมีสัมมาคารวะต่อท่าน จะสนทนาไต่ถามก็ต้องกระทำด้วยการยกย่องและให้เกียนติ
   จากมารยาทเฉพาะตัวหรือมารยาทประจำตัว อายะฮฺต่อมาได้กล่าวถึงมารยาททั่วไปที่มีผลกระทบต่อผู้อื่น เพื่อเป็นการปูพื้นฐานที่มั่นคงแห่งสังคมที่ดีงาม เป็นอายะฮฺที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ปรามมุสลิม มุอฺมิน มิให้ฟังหรือเชื่อข่าวลือต่าง ๆ เพราะกี่มากน้อยแล้วที่คำพูดเพียงไม่กี่คำที่คนชั่ว คนเลวกล่าวออกมา ต้องกลายเป็นสาเหตุทำให้เกิดโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ และกี่มากน้อยแล้วที่ข่าวคราวที่ได้รับฟังมาโดยไม่มีการสืบสวนสอบสวนให้แน่ชัดเสียก่อน ทำให้เกิดความพินาศล่มจม หรือทำให้เกิดการแตกแยกกันจนมองหน้ากันไม่สนิท
   อายะฮฺต่อมาได้เรียกร้องให้หาทางปรองดองคืนดีกันในระหว่างคู่กรณีและให้หาทางเกลี้ยกล่อมฝ่ายที่ละเมิดไม่ยอมปรองดอง และให้กำราบฝ่ายที่ยังดื้อรั้นฝ่าฝื่นข้อบัญญัติของอัลลอฮฺ
   ในอายะฮฺที่ 11 อัลลอฮฺ ตะอาลาทรงเตือนบรรดามุอฺมินให้ปลีกตนให้ห่างไกลจากการกระทำที่แสดงถึงการขาดความเป็นผู้ดีมีศีลสัตย์ นั่นคืออย่าได้เยาะเย้ยดูหมื่นดูแคลนใส่ร้ายป้ายสีและประณามผู้อื่น ห้ามมิให้นินทาลับหลัง สงสัยแคลงใจสอดส่ายหาความลับของผู้อื่น หรือมองพี่น้องมุอฺมินไปในแง่ร้าย พร้อมทั้งได้เรียกร้องมุสลิมมาสู่จริยธรรมและคุณธรรมอันประเสริฐ ในการเตือนมิให้นินทาลับหลังกันนั้น อัลกุรอานได้กล่าวปรามไว้ด้วยสำนวนที่น่าระทึกใจ สามารถปลุกความรู้สึกให้เกิดความหวั่นไหวได้อย่างมหัศจรรย์ นั่นคือภาพของชายผู้หนึ่งนั่งอยู่เคียงศพของพี่น้องของเขาแล้วถูกบังคับให้กินเนื้อศพที่เน่าเปื่อยแล้วด้วยความฝืนใจและสะอิดสะเอียน
   ซูเราะฮฺนี้ได้จบลงด้วยเรื่องราวของอาหรับชนบทที่เข้าใจเอาเองว่า การมีอีมานศรัทธานั้น เป็นเพียงวาจาคำพูดที่เปล่งออกมาเป็นการเพียงพอ และพวกเขาได้มาหาท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพื่อลำเลิกบุญคุณที่พวกเขาได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม อัลลอฮฺตะอาลา ได้ทรงชี้แจงข้อเท็จจริงของการศรัทธาและการเป็นอิสลาม อีกทั้งได้ทรงบอกกล่าวเงื่อนไขออกการเป็นมุอฺมินที่สมบูรณ์ให้ทราบด้วยว่า มุอฺมินที่แท้จริงนั้นจะต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยการศรัทธา มีความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ ตะอาลาองค์เดียว มีการญิฮาด เสียสละในทางของอัลลอฮฺ มีการปฏิบัติการงานที่ดี
   ชื่อของซูเราะฮฺ
   การที่ซูเราะฮฺนี้มีชื่อว่า “อัลหุญุร๊อต” ก็เพราะว่าในบริเวณใกล้มัสญิดอันนะบะวีย์ ในขณะนั้นเป็นห้องหับที่บรรดาอุมมุลมุอฺมินีน ภรรยาของท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ใช้เป็นที่พำนักอาศัย
   เชค อะหฺมัด มุศฏอฟา อัลมะรอฆีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ตัฟซีรอัลมะรอฆีย์” ของท่านว่า
   “ห้องหับต่าง ๆ ดังกล่าวนี้มีทั้งหมด 9 ห้อง หลังคามุงด้วยทางอินทผลัม มุงไว้เตี้ย ๆ ไม่สูงนัก สามารถที่จะเอื้อมมือจับได้ ต่อมาห้องหับเหล่านี้ อัลวะลีด อิบนุอับดุลมิก ใช้ให้ผนวกเข้าไว้ในบริเวณมัสญิดของท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งประชาชนต่างพากันร่ำไห้ด้วยความเสียดายและอาลัย”
   สะอี๊ด อิบนุลมุซัยยับ กล่าวขึ้นในวันนั้นว่า “ฉันปรารถนาที่จะให้พวกเขาปล่อยมันไว้ตามสภาพเดิมเพื่อผู้คนชาวเมืองอัลมะดีนะฮฺ เมื่อได้เติบโตขึ้นมาตลอดจนผู้คนที่เดินทางมาจากต่างแดนจะได้พบเห็นว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ใช้อชีวิตอยู่อย่างไร? จะทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นมีการสมถะ มักน้อย ไม่โอ้อวดกัน และไม่ประกวดประขันกันในการชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย”
   ซูเราะฮฺนี้ถูกประทานลงมาในช่วงเวลาระหว่างปีที่มีการทำสนธิสัญญาอัลหุไดบียะฮฺกับการทำสงครามตะบู๊ก


----------------------------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮ์ อัลหุญุรอต อายะฮฺที่ 1 - 2



คำอ่าน
1. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตุก็อดดิมู บัยนะยะดะยิลลาฮิ วะเราะศุลิฮี วัตตะกุลลอฮฺ อิน..นัลลอฮะสะมีอุนอะลีม
2. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตัรฟะอู..อัศวาตะกุม เฟาเกาะศ็อวติน..นะบียิ วะตาตัจญฮะรูละฮู บิลก็อวลิละญะฮฺริบะอฺฎิกุมลิบะอฺฎิน อัน..ตะหฺบะเฏาะ อะอฺมาลุกุม วะอัน..ตุมลาตัชอุรูน


คำแปล R1.
1. O you who believe! Do not put (yourselves) forward before Allah and his Messenger and fear Allah. Verily! Allah is All-Hearing, All-Knowing.
2. O you who believe! Raise not your voices above the voice of the Prophet, nor speak aloud to him in talk as you speak aloud to one another, lest your deeds may be rendered fruitless while you perceive not.


คำแปล R2.
1. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าอย่ากระทำการใด ๆ ล่วงหน้าก่อน (ที่จะได้รับคำบัญชาจาก) อัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺเถิด เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงได้ยินยิ่งอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
2. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าอย่าขึ้นเสียงให้เหนือกว่าเสียงของศาสดา และพวกเจ้าอย่าใช้ถ้อยคำด้วยเสียงดังต่อเขา เสมือนที่พวกเจ้าใช้เสียงดังในระหว่างกันและกัน (การกระทำดังกล่าว) จะทำให้ผลงาน (อันดีงาม) ของพวกเจ้าต้องมลายสิ้น โดยพวกเจ้าไม่รู้สึกตัว


คำแปล R3.
1.   โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าล้ำหน้าอัลลอฮิและรอซูลของพระองค์ และจงเกรงกลัวอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้
2.   โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่ายกเสียงของสูเจ้าเหนือเสียงของนบี และจงอย่าพูดกับเขาด้วยเสียงดังเหมือนกับที่สูเจ้าพูดกันเอง ด้วยเกรงว่าการงานทั้งหลายของสูเจ้าจะสูญเสียไปโดยที่สูเจ้าไม่รู้


คำแปล R4.
1. โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย ! พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้า (ในการกระทำใด ๆ) เมื่ออยู่ต่อหน้าอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
2. โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย! พวกเจ้าอย่าได้ยกเสียงของพวกเจ้าเหนือเสียงของอัลนะบี และอย่าพูดเสียงดังกับเขา (มุฮัมมัด) เยี่ยงการพูดเสียงดังของบางคนของพวกเจ้ากับอีกบางคน เพราะ (เกรงว่า) การงานต่าง ๆ ของพวกเจ้าจะสูญเสียไป โดยที่พวกเจ้าไม่รู้สึกตัว


คำแปล R5.
๑.โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าล้ำหน้าอัลเลาะห์และทูตของพระองค์ด้วยการกระทำหรือพูดอะไรโดยพละการไม่คำนึงถึงคำสอนของศาสนทูตและคำตรัสของอัลเลาะห์ และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงได้ยิน ทรงรอบรู้ยิ่ง โองการข้างต้นนี้ มูลเหตุนั้นลงมาเกี่ยวกับท่านอะบูบะกัร และท่านอุมัรโต้เถียงกันต่อหน้าท่านรอซูล ในกรณีที่พวกอาหรับบะนีตะมีม ได้เดินขบวนมาขอให้ท่านนบีแต่งตั้งผู้ปกครองแก่พวกเขา ซึ่งท่านทั้งสองก็เสนอความคิดเห็นในตัวบุคคลที่จะรับการแต่งตั้งนั้นโดยเห็นกันไปคนละอย่าง ท่านอะบูบะกัรเห็นว่าควรเป็น “เกาะอ์ก๊ออ์ บิน มะอ์บิด” ส่วนท่านอุมัรเห็นว่าควรจะเป็น “อักเราะอ์ บิน ฮาบิส”
๒. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าขึ้นเสียงของพวกเจ้าให้เหนือกว่าเสียงของนบี และอย่าพูดเสียงดังกับเขา เหมือนเช่นพวกเจ้าพูดเสียงดังซึ่งกันและกัน ในระหว่างพวกเจ้ากันเอง แต่พวกเจ้าจงพูดเสียงค่อย ๆ เพื่อให้เกียรติแก่ศาสนทูตเพราะผลงานของพวกเจ้าที่ได้กระทำดีไปนั้นจะสูญสิ้นไปโดยพวกเจ้าไม่รู้สึกตัวจากการพูดเสียงดังเช่นนั้น




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลหุญุรอต อายะฮฺที่ 3 - 5


คำอ่าน
3. อิน..นัลละซีนะ ยะฆุฎฎูนะ อัศวาตะฮุม อิน..ดะเราะสูลิลลาฮิ อุลา...อิกัลละซี นัมตะหะนัลลอฮุ กุลูบะฮุมลิตตักวา ละฮุม..มัฆฟิเราะตู..วะอัจญรุนอะซีม
4. อิน..นัลละซีนะยุนาดูนะกะ มิว..วะรอ...อิลหุญุรอติ อักษะรุฮุม ลายะอฺกิลูน
5. วะเลาอัน..นะฮุม เศาะบะรู หัตตา ตัครุญะอิลัยฮิม ละกานะค็อยร็อลละฮุม วัลลอฮุเฆาะฟูรุรฺเราะหีม


คำแปล R1.
3. Verily! Those who lower their voices In the presence of Allah's , they are the ones whose hearts Allah has tested for piety. For them is Forgiveness and a great reward.
4. Verily! Those who call you from behind the dwellings, most of them have no sense.
5. And if they had patience till you could come out to them, it would have been better for them. And Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful.


คำแปล R2.
3. แท้จริงบรรดาจำพวกที่ลดเสียง ต่อหน้าศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮฺ พวกเหล่านั้นเป็นพวกที่อัลเลาะฮฺได้ทรงชำระหัวใจให้สะอาดเพื่อความยำเกรง แน่นอนพวกเขาย่อมได้รับการนิรโทษและได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่
4. แท้จริงบรรดาผู้ที่เรียกเจ้ามาจากเบื้องหลังของห้อง ส่วนมากพวกนั้นไม่เข้าใจ (ในด้านมารยาท)
5. และหากพวกเขามีความอดทนรอจนกระทั่งเจ้าออกมาพบพวกเขา (โดยพวกเขาไม่ต้องเรียก) ก็จะเป็นการดีสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน และอัลเลาะฮฺทรงให้อภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง


คำแปล R3.
3.   บรรดาผู้ลดเสียงของตัวเองต่ำลงเมื่ออยู่กับรอซูลของอัลลอฮฺนั้นความจริงแล้วคือคนที่อัลลอฮฺได้ทรงทำให้หัวใจของพวกเขาเกิดความยำเกรง สำหรับพวกเขาเหล่านี้คือการให้อภัยและรางวัลอันยิ่งใหญ่
4.   (โอ้ นบี) บรรดาผู้ส่งเสียงเรียกเจ้าจากภายนอกห้องพักนั้น ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่ใช้สติปัญญา
5.   ถ้าหากพวกเขาเพียงแต่อดทนไว้จนกว่าเจ้าจะออกมาหาพวกเขามันก็จะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขา และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
3. แท้จริงบรรดาผู้ที่ลดเสียงของพวกเขา ณ ที่รอซูลุลลอฮฺนั้น ชนเหล่านั้น คือบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงทดสอบจิตใจของพวกเขาเพื่อความยำเกรง สำหรับพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง
4. แท้จริงบรรดาผู้ส่งเสียงเรียกเจ้าทางเบื้องหลังห้องหับเหล่านั้น ส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่ใช้สติปัญญา
5. และหากว่าพวกเขาอดทนไว้จนกว่าเจ้าจะออกมาหาพวกเขาแล้ว แน่นอนมันย่อมเป็นการดีสำหรับพวกเขา และอัลลอฮ.เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R5.
๓. แท้จริงบรรดาผู้ที่ลดเสียงของพวกเขาต่อหน้าศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์โดยพูดค่อย ๆ พวกเหล่านั้นเป็นผู้ที่อัลเลาะห์ได้ทดสอบหัวใจของพวกเขาเพื่อบรรจุความยำเกรงในพระองค์ พวกเขาย่อมได้รับการอภัยและผลบุญอันยิ่งใหญ่จากพระองค์
๔. แท้จริงบรรดาผู้ที่ตะโกนเรียกเจ้าจากเบื้องหลังของม่านโดยไม่รอให้เจ้าออกมาปรากฏตัวเสียก่อนนั้น ส่วนมากของพวกเขาไม่ใช้ปัญญา ตริตรองถึงตำแหน่งอันสูงส่งของเจ้า ซึ่งการตะโกนเรียกเช่นนั้นหาได้เหมาะสมไม่
๕. และหากพวกเขาอดทน รอจนกระทั่งเจ้าออกมาหาพวกเขา ก็จะเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาและอัลเลาะห์ทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหุญุรอต อายะฮฺที่ 6 - 8


คำอ่าน
6. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู อิน..ญา...อะกุม ฟาสิกุม..บินะบะอิน..ฟะตะบัยยะนู..อัน..ตุศีบูก็อวมัม..บิญะฮาละติน..ฟะตุศบิหูอะลามาฟะอัลตุมนาดิมีน
7. วะอฺละมู..อัน..นะฟีกุม เราะสูลัลลอฮฺ เลายุกีอุกุม ฟีกะษีริม..มินัลอัมริ ละอะนิตตุม วะลากิน..นัลลอฮะ หับบะบะอิลัยกุมุลอีมานะ วะซัยยะนะฮูฟีกุลูบิกุม วะกัรฺเราะฮะอิลัยกุมุลกุฟเราะ วัลฟุสูเกาะ วัลอิศยาน อุลา...อิกะฮุมุรฺรอชิดูน
8. ฟัฎลัม..มินัลลอฮิวะนิอฺมะฮฺ วัลลอฮุอะลีมุนหะกีม


คำแปล R1.
6. O you who believe! If a rebellious evil person comes to you with  news, verify it, lest you harm people in ignorance, and afterward you become regretful to what you have done.
7. And know that, among you there is the Messenger of Allah. If he were to obey you (i.e. follow your opinions and desires) in much of the matter, you would surely be in trouble, but Allah has endeared the faith to you and has beautified it in your hearts, and has made disbelief, wickedness and disobedience (to Allah and his Messenger) hateful to you. These! They are the rightly guided ones,
8. (This is) a Grace from Allah and his Favour. And Allah is All-Knowing, All-Wise.


คำแปล R2.
6. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย! หากมีคนพาลได้นำข่าวหนึ่งมาบอกพวกเจ้า พวกเจ้าก็สืบให้ชัดแจ้งเสียก่อน พวกเจ้าอาจจะทำโทษคนกลุ่มหนึ่งโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้ และเป็นให้พวกเจ้าต้องกลับกลายมาเป็นผู้เศร้าเสียใจในการกระทำของพวกเจ้าเอง (ในภายหลัง)
7. และพวกเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงในหมู่พวกเจ้านั้น มีศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮฺ หากเขาคอยทำตามความต้องการของพวกเจ้าในกิจการส่วนใหญ่ แน่นอนพวกเจ้าก็ต้องประสบความหายนะเป็นแน่! แต่ทว่าอัลเลาะฮฺได้ดลบันดาลให้พวกเจ้ามีความรักในศรัทธาและทรงประทับมันไว้ในหัวใจของพวกเจ้า และพระองค์ทรงดลบันดาลให้พวกเจ้าเกลียดชังความเนรคุณ, ความพาล, และความทรยศ พวกเหล่านั้น (ที่มีคุณลักษณะตามที่กล่าวมา) ย่อมเป็นผู้มีความถูกต้อง
8. เป็นความโปรดปรานและความกรุณาจากอัลเลาะฮฺ และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงปรีชาญาณยิ่ง

 
คำแปล R3.
6.   โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ถ้าหากคนชั่วนำข่าวอะไรมาบอกแก่สูเจ้า สูเจ้าจงสอบสวนให้ชัดเจนเพราะเกรงว่าสูเจ้าจะสร้างความเสียหายให้แก่คนอื่นโดยไม่รู้ตัว และหลังจากนั้นจะเสียใจในสิ่งที่สูเจ้าได้ทำไป
7.   จงรู้ไว้ด้วยว่ารอซูลของอัลลอฮฺนั้นอยู่ท่ามกลางสูเจ้า ถ้าหากเขาจะเชื่อฟังสูเจ้าแทบทุกเรื่องแล้ว สูเจ้าก็จะได้รับความยุ่งยากลำบากอย่างแน่นอน แต่อัลลอฮิได้ทรงทำให้ความศรัทธาเป็นที่รักของสูเจ้า และได้ทำให้มันดูเป็นสิ่งดีงามในหัวใจของสูเจ้า และได้ทำให้การปฏิเสธศรัทธา การทำผิดและการฝ่าฝืนเป็นที่น่ารังเกียจแก่สูเจ้า คนเหล่านั้นคือผู้ที่ได้รับทางนำที่ถูกต้อง
8.   เป็นความโปรดปรานจากอัลลอฮฺและอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R4.
6. โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย! หากคนชั่วนำข่าวใดๆ มาแจ้งแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จงสอบสวนให้แน่ชัด หาไม่แล้วพวกเจ้าก็จะก่อเคราะห์กรรมแก่พวกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วพวกเจ้าจะกลายเป็นผู้เสียใจในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไป
7. และพวกเจ้าพึงรู้เถิดว่า ในหมู่พวกเจ้านั้นมีรอซูลของอัลลอฮฺอยู่ หากเข(มุฮัมมัด) เชื่อฟังพวกเจ้าในส่วนใหญ่ของกิจการแล้ว แน่นอนพวกเจ้าก็จะลำบากกัน แต่อัลลอฮฺทรงให้การศรัทธาเป็นที่รักแก่พวกเจ้า และทรงให้การปฏิเสธศรัทธา และความชั่วช้าและการฝ่าฝืนเป็นที่น่าเกลียดชังแก่พวกเจ้า ชนเหล่านั้นคือพวกที่ดำเนินอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง
8. มันเป็นคุณธรรมและความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R5.
๖. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากมีคนชั่วนำข่าวใด ๆ มาแจ้งแก่พวกเจ้า เจ้าทั้งหลายต้องสืบให้ชัดเจนเสียก่อน อย่าเพิ่งเชื่อถือในข่าวนั้นง่ายนัก เพราะเจ้าอาจลงโทษคนกลุ่มหนึ่งโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เนื่องจากเชื่อถือข่าวที่ถูกนำมาแจ้งโดยไม่มีการสืบให้รู้ชัด แล้วพวกเจ้าก็ต้องกลายมาเป็นผู้เศร้าตรม เนื่องเพราะกรณีที่พวกเจ้าได้กระทำลงไป มูลเหตุแห่งโองการนี้ส์บเนื่องมาจากท่าน นบี ซ.ล. ได้แต่งตั้ง “วะลีด บิน อุกบะฮ์ บินอะบีมุอีฏ” ให้ไปเก็ฐซะกาตจากอาหรับตระกูล “บะนีมุศตอลิก” แต่เมื่อวะลีดไปถึงเกิดความกลัวไม่กล้าเข้าไปเก็บ เพราะตนเคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อนตั้งแต่สมัยยาฮิลียะห์ เขาจึงกลับมาหาท่านนบี และเพ็ดทูลกับท่านว่า พวกบะนีมุศตอลิก ไม่ยอมมอบซากาตให้และคิดฆ่าเขาอีกด้วย ดังนั้นท่านนบีจึงมอบให้ “คอลิด บิน วะลีด” ไปสืบเอาความจริง เขาจึงแอบเดินทางไปยังหมู่บ้านของบะนีมุศตอลิก ถึงเวลามัฆริบก็ได้ยินเสียงอะซานจากพวกนั้นตามแบบของมุสลิมอย่างเคร่งครัด จึงทราบทันทีว่าอาหรับตระกูลนี้ยังภักดีไม่เสื่อมคลาย เขาจึงเข้าไปรับซากาตจากพวกนั้นนำกลับมดีนะห์ อัลกุรอานจึงเตือนนบีตามปรากฏในโองการข้างต้น
๗. และพวกเจ้าทั้งหลายจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงในหมู่พวกเจ้านั้นมีศาสนทูตของอัลเลาะห์ทำหน้าที่ปกครองและบริหาร หากเขาเชื่อฟังพวกเจ้าในส่วนมากจากงานการที่พวกเจ้าเสนอขึ้นไป แล้วเกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจและการดำเนินงาน แน่นอนพวกเจ้านั่นแหละต้องรับโทษเอง หาใช่ศาสนทูตจะเป็นผู้ต้องรับโทษนั้น ๆ ไม่ และแด่ทว่าอัลเลาะห์ได้ทรงดลให้จิตใจของพวกเจ้ารักที่จะศรัทธาและทรงประดับศรัทธานั้นในหัวใจของพวกเจ้า และทรงทำให้พวกเจ้ารังเกียจความเนรคุณ การฝ่าฝืน และการทรยศต่ออัลเลาะห์ พวกเหล่านั้นเป็นปัญญาชนที่ตั้งมั่นอยู่บนศาสนาอันเที่ยงแท้
๘. เป็นความโปรดปรานและความกรุณาจากอัลเลาะห์ และอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงปรีชาญาณยิ่ง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 17, 2012, 06:09 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลหุญุรอต อายะฮฺที่ 9 - 10


คำอ่าน
9. วะอิน..ฏอ..อิฟะตานิมินัลมุอ์มินีนักตะตะลู ฟะอัศลิหูบัยนะฮุมา ฟะอิม..บะฆ็อด เอียะหฺดาฮุมาอะลัลอุครอ ฟะกอติลุลละตี ตับฆีหัตตาตะฟี...อะ อิลา..อัมริลลาฮฺ ฟะอิน..ฟา..อัต ฟะอัศลิหูบัยนะฮุมาบิลอัดลิ วะอักสิฏู อิน..นัลลอฮะยุหิบบุลมุกสิฏีน
10. อิน..นะมัลมุอ์มินูนะอิควะตุน..ฟะอัศลิหูบัยนะอะเคาะวัยกุม วัตตะกุลลอฮะละอัลละกุมตุรฺหะมูน


คำแปล R1.
9. And if two parties or groups among the believers fall to fighting, then make peace between them both, but if one of them rebels against the other, then fight you (all) against the one that which rebels till it complies with the command of Allah; Then if it complies, then make reconciliation between them justly, and be equitable. Verily! Allah loves those who are equitable.
10. The believers are nothing else than brothers (in Islamic religion). So make reconciliation between your brothers, and fear Allah, that you may receive Mercy.


คำแปล R2.
9. และถ้ามีศรัทธาชนสองกลุ่มทำการรบกัน พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามีฝ่ายฉ้อฉลแก่อีกฝ่ายหนึ่งพวกเจ้าก็จงรบกับฝ่ายที่ฉ้อฉล จนพวกเขาถอนตัวกลับเข้าสู่คำบัญชาของอัลเลาะฮฺ ดังนั้นถ้าพวกเขาถอนตัว พวกเจ้าต้องไกล่คนทั้งสองฝ่ายโดยความเป็นธรรมและพวกเจ้าจงยุติธรรมเถิด เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรักบรรดาผู้มีความยุติธรรม
10. อันที่จริงมวลผู้ศรัทธาย่อมเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นพวกเจ้าจงใกล่เกลี่ยในระหว่างพี่น้องสองฝ่ายของพวกเจ้า (ที่มีความขัดแย้งกัน) และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺเพื่อพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา(จากพระองค์)


คำแปล R3.
9.   และถ้าผู้ศรัทธาสองฝ่ายต้องเข้าไปต่อสู้กันเอง สูเจ้าก็จงหาทางปรองดองระหว่างคนทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ถ้าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จงต่อสู้ฝ่ายที่ละเมิดนั้น จนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับไปสู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ ดังนั้น ถ้าหากฝ่ายนั้นกลับมาแล้ว สูเจ้าก็จงสร้างความสงบขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม และสูเจ้าจงยุติธรรม เพราะอัลลอฮฺทรงรักผู้มีความยุติธรรม
10.   แท้จริงผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นจงสร้างความสัมพันธ์ขึ้นในระหว่างพี่น้องของสูเจ้า และจงเกรงกลัวอัลลอฮฺ เพื่อที่สูเจ้าจะได้รับความเมตตา


คำแปล R4.
9. และหากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกัน พวกเจ้าก็จงไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งในสองฝ่ายนั้นละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเจ้าก็จงปรามฝ่ายที่ละเมิดจนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้นหากฝ่ายนั้นกลับ (สู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ) แล้ว พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม และพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรม (แก่ทั้งสองฝ่าย) เถิด แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักใคร่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม
10. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันระหว่างพี่น้องทั้งสองฝ่ายของพวก เจ้า และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา


คำแปล R5.
๙. และถ้าคนสองกลุ่มจากพวกที่มีศรัทธาได้ทำการรบกันหรือพิพาทกัน พวกเจ้าต้องปรองดองในระหว่างทั้งสองกลุ่มนั้นเถิด ดังนั้น ถ้ากลุ่มใดจากทั้งสองเป็นผู้ล่วงละเมิดแก่อีกกลุ่มหนึ่ง พวกเจ้าก็จงช่วยเหลือฝ่ายถูกละเมิดรบกับฝ่ายที่ล่วงละเมิดนั้น จนกระทั่งฝ่ายนั้นกลับคืนสู่คำบัญชาแห่งอัลเลาะห์โดยดุษฎี ครั้นเมื่อฝ่ายนั้นกลับคืนสู่คำบัญชาแห่งอัลเลาะห์แล้ว พวกเจ้าก็จงประนีประนอมในระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรมและพวกเจ้าจงยุติธรรมเถิด เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ทรงรักบรรดาผู้ยุติธรรม อัลกุรอานโองการที่ผ่านมานี้มีสาเหตุแห่งการลงคือ วันหนึ่งท่านนบี ซ.ล. ได้ขี่ลาพร้อมกับอุซามะห์ บืน ซัยด์ เพื่อไปเยี่ยมสะอัด บิน อุบบาดะห์ ก่อนการสงครามที่บะดัร ท่านไปที่ชุมนุมชนหนึ่งซึ่งมีทั้งฝ่ายมุสลิม ฝ่ายยะฮูดีและมุชริกีน ในนั้นมีอับดุลเลาะห์ บิน อุบัย บิน สะลูล ซึ่งยังไม่เข้าอิสลาม มีอับดุลเลาะห์ บิน รอวาฮะห์ อับดุลเลาะห์นั้นเป็นคนในตระกูลคอซรอจ ส่วนอิบนิรอวาฮะห์เป็นคนในตระกูลเอ๊าวส์ เมื่อท่านนบีเดินทางมาถึง เจ้าลาที่ท่านขี่มาบังเอิญปัสสาวะ ซึ่งอับดุลเลาะห์ก็เอาชายผ้าปิดจมูกไว้ พร้อมกัยสั่งแก่ท่านนบีว่า จงหลีกไปให้ห่างหน่อย พวกเราเหม็นกลิ่นเยี่ยวของเจ้าลาตัวนี้เหลือเกิน ฝ่ายอิบนิรอวาฮะห์ได้ยินก็หมั่นไส้จึงกล่าวว่า กลิ่นเยี่ยวของลาท่านศาสดานั้นหอมยิ่งกว่ากลิ่นน้ำหอมชมดเชียงของเจ้าเสียอีก จากนั้นคนทั้งสองกลุ่มก็วิวาทกันจนถึงขั้นทุบตีกัน ท่านนบี ซ.ล. จึงลงไปห้ามคนทั้งสองกลุ่มจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินทางต่อไป เมื่อถึงสะอัด บินอุบาดะห์ ซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าคอซรอจ ท่านนบีก็เล่าเหตุการณ์นั้นให้เขาฟัง เขาจึงกล่าวว่า อับดุลเลาะห์ บิน อุบัย อิจฉาท่าน เพราะชาวคอซรอจทุกคนลงมติจะแต่งตั้งเขาเป็นเจ้าเมือง แต่ท่านก็มายุติเสียก่อน
๑๐. อันที่จริงบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายย่อมเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงประนีประนอมในระหว่างพี่น้องสองคนของพวกเจ้าที่ทะเลาะวิวาทกันเถิด และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์เพื่อพวกเจ้าจะได้รับความเมตตาจากพระองค์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 17, 2012, 06:08 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮ์ อัลหุญุรอต อายะฮฺที่ 11 - 12


คำอ่าน
11. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลายัสค็อร ก็อวมุม..มิน..ก็อวมิน อะสา...อัย..ยะกูนูค็อยร็อม..มินฮุม วะลานิสา...อุม..มิน..นิสา...อิน อะสา..อัย..ยะกุน..นะ ค็อยร็อม..มินฮุนนฺ วะลาตัลมิซู..อัน..ฟุสะกุม วะลาตะนาบะซู บิลอัลกอบ บิอ์สะลิสมุลฟุสูกุ บะอฺดัลอีมาน วะมัลลัมยะตุบ ฟะอุลา..กิอัฮุมุซซอลิมูน
12. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนุจญตะนิบูกะษีร็อม..มินัซซ็อน อิน..นะบะอฺฎ็อซซ็อน..นิอิสมู..วะลาตะญัสสะสู วะลายัฆตับบะอฺฎุกุม..บะอฺฎอ อะยุหิบบุอะหะดุกุม อัย..ยะอ์กุละ ละหฺมะอะคีฮิ มัยตัน..ฟะกะริฮฺตุมูฮฺ วัตตะกุลลอฮฺ อิน..นัลลอฮะเตาวาบุรฺเราะหีม


คำแปล R1.
11. O you who believe! Let not a group scoff at another group, it may be that the latter are better than the former; nor let (some) women scoff at other women, it may be that the latter are better than the former, nor defame one another, nor insult one another by nicknames. How bad is it, to insult one's brother after having faith [i.e. to call your Muslim brother (a faithful believer) as: "O sinner", or "O wicked", etc.]. And whosoever does not repent, then such are indeed Zalimun (wrong-doers, etc.).
12. O you who believe! Avoid much suspicion, indeed some suspicions are sins. And spy not, neither backbite one another. Would one of you like to eat the flesh of his dead brother? You would hate it (so hate backbiting). And fear Allah. Verily, Allah is the one who accepts repentance, Most Merciful.


คำแปล R2.
11. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย! คนกลุ่มหนึ่งจงอย่าได้ดูแคลนคนอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะคนกลุ่มที่ดูแคลนอาจจะดีกว่าคนกลุ่มที่ดูแคลนได้ และสตรีทั้งหลายก็อย่าดูแคลนกลุ่มสตรีด้วยกันเอง เพราะสตรีที่ถูกดูแคลนอาจจะดีกว่าสตรีที่ดูแคลนได้ และพวกเจ้าจงอย่าได้ประจานซึ่งกันและกัน และอย่าเรียกขานกันด้วยสมญา (ที่น่าเกลียด) นับเป็นความเลวอย่างยิ่ง (การที่เรียกขานบุคคลด้วย) ชื่อที่น่าเกลียดภายหลังจาก (เขามี) ศรัทธา และผู้ใดไม่สารภาพผิด (ต่ออัลเลาะฮฺ) แน่นอนพวกเขาเหล่านั้นเป็นพวกที่ฉ้อฉลโดยแท้จริง
12. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าจงห่างออกจากการคาดคิดอันมากมาย เพราะบางอย่างของการคาดคิดนั้นเป็นบาป พวกเจ้าอย่ามุ่งจับผิดผู้อื่น และอย่านินทาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งจากพวกเจ้าชอบหรือที่จะกินเนื้อของพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้ว? แน่นอนพวกเจ้าย่อมรังเกียจมัน และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺ เพราะแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรับคำสารภาพยิ่ง อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง

 
คำแปล R3.
11.   โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกผู้ชายจงอย่าเยาะเย้ยพวกผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะบางทีคนกลุ่มนั้นอาจจะดีกว่าพวกเขา และพวกผู้หญิงก็จงอย่าเยาะเย้ยพวกผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งเพราะบางทีผู้หญิงกลุ่มนั้นอาจจะดีกว่าพวกนางก็ได้ จงอย่าเหน็บแนมกันในหมู่สูเจ้าด้วยกันเอง และจงอย่าเรียกกันด้วยฉายานาม มันเป็นสิ่งเลวทรามที่ถูกเรียกด้วยชื่อที่เลวทรามหลังจากที่ได้มีความศรัทธาแล้ว และใครที่ยังไม่สำนึกผิด ดังนั้นพวกเขาก็เป็นผู้ทำผิด
12.   โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงหลีกห่างจากความระแวงสงสัย ส่วนใหญ่เพราะความระแวงสงสัยบางอย่างนั้นเป็นบาป จงอย่าสอดแนม และจงอย่านินทาว่าร้ายซึ่งกันและกัน มีใครบ้างในหมู่สูเจ้าที่ชอบกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้ว? ไม่เลย สูเจ้าเองก็ยังรังเกียจ ดังนั้น จงเกรงกลัวอัลลอฮฺ เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงยอมรับการขออภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R4.
11. โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย! ชนกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ยชนอีกกลุ่มหนึ่ง บางทีชนกลุ่มที่ถูกเยาะเย้ยนั้นจะดีกว่าชนกลุ่มที่เยาะเย้ย และสตรีกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ยจะดีกว่ากลุ่มที่เยาะเย้ย และพวกเจ้าอย่าได้ตำหนิตัวของพวกเจ้าเอง และอย่าได้เรียกกันด้วยฉายาที่ไม่ชอบ ช่างเลวทรามจริง ๆ ที่บรรดาผู้ศรัทธาจะเรียกกันว่าเป็นผู้ฝ่าฝืน ภายหลังจากที่ได้มีการศรัทธากันแล้ว และผู้ใดไม่สำนึกผิด ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้อธรรม
12. โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย! พวกเจ้าจงปลีกตัวให้พ้นจากส่วนใหญ่ของการสงสัย แท้จริงการสงสัยบางอย่างนั้นเป็นบาป และพวกเจ้าอย่าสอดแนม และบางคนในหมู่พวกเจ้าอย่านินทาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งในหมู่พวกเจ้านั้นชอบที่จะกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้วกระนั้นหรือ? พวกเจ้าย่อมเกลียดมัน และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ


คำแปล R5.
๑๑. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย คนกลุ่มหนึ่งจงอย่าเยาะเย้ยคนอีกกลุ่มหนึ่งเพราะบางทีพวกที่ถูกเยาะเย้ยอาจจะประเสริฐกว่าพวกเยาะเย้ยก็ได้ และกลุ่มสตรีก็อย่าเยาะเย้ยสตรีอีกกลุ่มหนึ่งเพราะบางทีกลุ่มสตรีที่ถูกเยาะเย้ยอาจประเสริฐกว่ากลุ่มที่เยาะเย้ยก็ได้ พวกเจ้าทั้งหลายอย่าประจานตัวเองด้วยการประจานพวกพ้องของตนเอง พวกเจ้าจงอย่าเรียกขานกันด้วยนามแฝงที่ไม่เป็นมงคล มันเป็นชื่อที่ชั่วร้ายหลังจากความศรัทธา และผู้ใดไม่สารภาพผิดจากการกระทำดังกล่าว แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นผู้ฉ้อฉลโดยแท้จริง
๑๒. โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงห่างไกลต่อความคาดการอันมากมายที่มีกลับบุคคลอื่น ๆ เพราะความคาดการบางอย่างนั้นเป็นบาป พวกเจ้าอย่าจับผิดผู้อื่น และอย่านินทาซึ่งกันและกัน คนหนึ่งของพวกเจ้าชอบหรือที่เขาจะกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้วแน่นอนพวกเจ้ารังเกียจมัน และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรับการสารภาพยิ่ง อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลหุญุรอต อายะฮฺที่ 13


คำอ่าน
13. ยา..อัยยุฮัน..นาสุ อิน..นาเคาะลักนากุม..มิน..ซะกะริว..วะอุน..ษา วะญะอัลนากุมชุอูเบา..วะเกาะบาอิละลิตะอาเราะฟู อิน..นะอักเราะมะกุม อิน..ดัลลอฮิอัตกอกุม อิน..นัลลอฮะอะลีมุนเคาะบีรฺ

คำแปล R1.
13. O mankind! We have created you from a male and a female, and made you into nations and tribes, that you may know one another. Verily, the most honourable of you with Allah is that (believer) who has At-Taqwa [i.e. one of the Muttaqun (pious - see V.2:2). Verily, Allah is All-Knowing, All-Aware.

คำแปล R2.
13. โอ้มวลมนุษย์! แท้จริงเราเราได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชายหนึ่งและหญิงหนึ่ง และบันดาลพวกเจ้าให้แตกออกเป็นเผ่าพันธุ์และเป็นกลุ่มต่าง ๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้ทำความู้จักซึ่งกันและกัน แท้จริงผู้มรเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้า ณ อัลเลาะฮฺคือผู้มีความยำเกรงอัลเลาะฮฺที่สุดในหมู่พวกเจ้า แท้จริง อัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงตระหนักยิ่ง

คำแปล R3.
13.   โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างสูเจ้ามาจากผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงคนหนึ่ง และหลังจากนั้นเราได้แบ่งสูเจ้าออกเป็นชาติและเป็นเผ่า เพื่อที่สูเจ้าทั้งหลายจะได้รู้จักกันและกัน ความจริงแล้วผู้ที่มีเกียรติที่สุดในทัศนะของอัลลอฮฺคือผู้ที่ยำเกรงที่สุดในหมู่สูเจ้า แน่นอนอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วน

คำแปล R4.
13. โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ.นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ.นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

คำแปล R5.
๑๓. โอ้มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ยแท้จริงเราได้บันดาลพวกเจ้ามาจากชายหนึ่งหญิงหนึ่ง และเราได้บันดาลพวกเจ้าให้เป็นกลุ่มและเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จักซึ่งกันและกัน แท้จริงผู้ทรงเกียรติที่สุด ณ อัลเลาะห์ในหมู่พวกเจ้าได้แก่ผู้มีความยำเกรงมากที่สุดของพวกเจ้า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่ง ทรงตระหนักยิ่ง
 


สูเราะฮ์ อัลหุญุรอต อายะฮฺที่ 14 - 15


คำอ่าน

14. กอละติลอะอฺรอบุอามัน..นา กุลลัมตุอ์มินู วะลากิน..กูลู..อัสลัมนา วะลัม..มายัดคุลิลอีมานุฟีกุลูบิกุม วะอิน..ตุฏีอุลลอฮะ วะเราะสูละฮู ลายะลิตกุม..มินอะอฺมาลิกุมชัยอา อิน..นัลลอฮะเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
15. อิน..นะมัลมุอ์มินูนัลละซีนะ อามินูบิลลาฮิวะเราะสูลิฮี ษุม..มะลัมยัรตาบู วะญาฮะดูบิอัมวาลิฮิม วะอัน..ฟุสิฮิม ฟีสะบีลิลลาฮฺ อุลา...อิกะฮุมุศศอดิกูน


คำแปล R1.
14. The bedouins say: "We believe." Say: "You believe not but you Only say, 'We have surrendered (in Islam),' for faith has not yet entered your hearts. But if you obey Allah and his Messenger, He will not decrease anything in reward for your deeds. Verily, Allah is Oft-Forgiving, Most Merciful."
15. Only those are the believers who have believed in Allah and his Messenger, and afterward doubt not but strive with their wealth and their lives for the Cause of Allah. Those! They are the truthful.

คำแปล R2.
14. ชาวอาหรับชนบทได้กล่าวว่า “เรามีศรัทธาแล้ว!” จงประกาศ (แก่พวกนั้น) เถิด “พวกท่านยังไม่ได้ศรัทธาหรอก!” แต่พวกท่านจงพูดว่า “เรายอมสวามิภักดิ์” ในขณะที่ศรัทธานั้นยังไม่แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของพวกท่านเลย และหากพวกท่านภักดีต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ แน่นอนพระองค์ย่อมไม่ลดพร่องสักกรณีเดียวจากบรรดาการงานของพวกท่าน แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง
15. อันที่จริงมวลศรัทธาชนที่แท้นั้น ได้แก่บรรดาที่ศรัทธาต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ หลังจากนั้นพวกเขาก็มิได้รวนเรเลย และพวกเขาใช้ทรัพย์สินและตัวของพวกเขามาต่อสู้ในทางของอัลเลาะฮฺ (อย่างเสียสละและกล้าหาญ) พวกเหล่านั้น เป็นพวกที่มีสัตย์จริงอย่างแน่นอน


คำแปล R3.
14.   พวกอาหรับทะเลทรายกล่าวว่า “เราศรัทธาแล้ว” จงบอกพวกเขาเถิดว่า “พวกท่านยังไม่ได้ศรัทธา แต่จงกล่าวว่า - เรายอมจำนน - เพราะความศรัทธายังไม่ได้เข้าไปในหัวใจของพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทำให้การตอบแทนใด ๆ จากการงานของพวกท่านน้อยลงแต่ประการใด” แน่นอน อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
15.   ความจริงแล้วผู้ศรัทธาที่แท้จริงก็คือบรรดาผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ หลังจากนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่มีความสงสับใด ๆ และพวกเขาดิ้นรนต่อสู้อย่างถึงที่สุดในหนทางของอัลลอฮฺด้วยทรัพย์สินของพวกเขาและชีวิตของพวกเขา พวกเขาเหล่านี้แหละคือผู้ที่สัตย์จริง


คำแปล R4.
14. อาหรับชาวชนบทกล่าวว่า เราศรัทธาแล้ว จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า พวกท่านยังมิได้ศรัทธา แต่จงกล่าวเถิดว่า เราเข้ารับอิสลามแล้ว เพราะการศรัทธายังมิได้เข้าสู่หัวใจของพวกท่าน และถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ทำให้การงานของพวกท่านด้อยลงแต่ประการใด แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
15. แท้จริงศรัทธาชนที่แท้จริงนั้น คือ บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ. และรอซูลของพระองค์ แล้วพวกเขาไม่สงสัยเคลือบแคลงใจ แต่พวกเขาได้เสียสละต่อสู้ดิ้นรนด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา และชีวิตของพวกเขาไปในหนทางของอัลลอฮ.  ชนเหล่านั้นแหละคือบรรดาผู้สัตย์จริง


คำแปล R5.
๑๔. พวกอาหรับชนบทตระกูลบะนีอะซัดกล่าวว่า เราศรัทธา โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวเถิดว่าพวกเจ้ามิได้ศรัทธาหรอกแต่ทว่าพวกเจ้าจงพูดว่าเรายอมสวามิภักดิ์ต่อบทบัญญัติแห่งอิสลาม และที่จริงศรัทธายังมิได้เข้าไปในหัวใจของพวกเจ้าเลย และหากพวกเจ้าภักดีต่ออัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์แน่นอนพระองค์ก็จะไม่ทรงลดผลบุญแห่งการงานทั้งหลายของพวกเจ้าให้น้อยลงเลยแม้สักสิ่งเดียวก็ตาม แท้จริงอัลเลาะห์ทรงให้อภัย ทรงเมตตายิ่ง
๑๕. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริงนั้น ได้แก่บรรดาผู้ศรัทธาในอัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ลังเล และพวกเขาได้เสียสละทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขาในทางของอัลเลาะห์ พวกเหล่านั้นเป็นสัตย์จริงโดยแท้




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 สูเราะฮฺ อัลหุญุรอต อายะฮฺที่ 16 - 18


คำอ่าน
16. กุลอะตุอัลลิมูนัลลอฮะบิดีนิกุม วัลลอฮุยะอ.ละมุ มาฟิสสะมาวาติวะมาฟิลอัรฺฎิ วัลลอฮุบิกุลลุชัยอินอะลีม
17. ยะมุน..นูนะอะลัยกะ อันอัสละมู กุลลาตะมุน..นูอะลัยยะ อิสลามมะกุม บะลิลลาฮุ ยะมุน..นุอะลัยกุม อันฮะดากุม ลิลอีมานิ อิน..กุนตุมศอดิกีน
18. อิน..นัลลอฮะยะอฺละมุ ฆ็อยบัสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ วัลลอฮุบะศีรุม..บิมาตะอฺมะลูน


คำแปล R1.
16. Say: "Will you inform Allah about your religion? While Allah knows all that is in the heavens and all that is in the earth, and Allah is All-Aware of everything.
17. They regard as favour upon you (O Muhammad) that they have embraced Islam. Say: "Count not your Islam as a favour upon me. Nay, but Allah has conferred a favour upon you, that he has guided you to the faith, if you indeed are true.
18. Verily, Allah knows the unseen of the heavens and the earth. And Allah is the All-Seer of what you do.


คำแปล R2.
16. จงประกาศเถิด (แก่อาหรับชนบทเหล่านั้น)! “พวกท่านจะสอนศาสนาของพวกท่านแก่อัลเลาะฮฺ (ด้วยการพูดว่า “เราศรัทธา!” ตามที่กล่าวแล้ว) กระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่อัลเลาะฮฺทรงรอบรู้สรรพสิ่งในฟากฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดิน! และอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในทุก ๆ สิ่ง
17. พวกเขาลำเลิกบุญคุณแก่เจ้า ในการที่พวกเขาได้ยอมสวามิภักดิ์ (ไม่ต่อต้านฝ่ายมุสลิม) จงประกาศเถิด! “พวกท่านอย่าลำเลิกบุญคุณแก่ฉัน ในการสวามิภักดิ์ของพวกท่านเลย ทว่า! อัลเลาะฮฺจะทรงตอบแทนการลำเลิกของพวกท่าน ในการที่พระองค์ทรงชี้นำพวกท่านให้มีศรัทธา (ตามที่ท่านอ้างนั้น) หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
18. “แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงรอบรู้ความลี้ลับแห่งฟากฟ้าและแผ่นดิน และอัลเลาะฮฺทรงมองเห็นสิ่งที่พวกเจ้าประพฤติไว้”


คำแปล R3.
16.   (โอ้ นบี) จงกล่าวแก่พวกเขา (ผู้อ้างตัวว่าศรัทธา) ว่า “พวกท่านกำลังจะบอกให้อัลลอฮฺรู้ถึงเรื่องศาสนาของพวกท่านกระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่อัลลอฮฺทรงรู้ทุกสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ทุกสิ่ง
17.   พวกเขาถือว่าเป็นบุญคุณแก่เจ้าที่พวกเขาได้เข้ารับอิสลาม จงบอกพวกเขาเถิดว่า “อย่าได้คิดเอาอิสลามของพวกท่านมาเป็นบุญคุณแก่ฉันเลย อัลลอฮฺต่างหากผู้ทรงโปรดปรานพวกท่าน โดยนำพวกท่านมาสู่การศรัทธา ถ้าหากพวกท่านพูดจริง (ในการกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ศรัทธา)
18.   แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ถึงสิ่งเร้นลับทุกอย่างทั้งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และพระองค์ทรงเห็นทุกสิ่งที่สูเจ้ากระทำ


คำแปล R4.
16. จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า พวกท่านจะบอกอัลลอฮฺเกี่ยวกับศาสนาของพวกท่านกระนั้นหรือ? อัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
17. พวกเขาถือเป็นบุญคุณแก่เจ้าว่าพวกเขาได้รับอิสลามแล้ว จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่าพวกท่านอย่าถือเอาการเป็นอิสลามของพวกท่านมาเป็นบุญ คุณแก่ฉันเลย แต่ทว่าอัลลอฮ.ทรงประทานบุญคุณแก่พวกท่านต่างหาก โดยชี้นำพวกท่านสู่การศรัทธา หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
18. แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และอัลลอฮฺทรงเห็นสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ


คำแปล R5.
๑๖. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงประกาศเถิด พวกเจ้าจะสอนอัลเลาะห์ให้รู้เกี่ยวกับสถานภาพทางศาสนาของพวกเจ้ากระนั้นหรือโดยพวกเจ้าพูดว่า เราศรัทธา และอัลเลาะห์ทรงรู้สรรพสิ่งในชั้นฟ้าและสรรพสิ่งในแผ่นดิน และอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ในทุก ๆ สิ่ง
๑๗. พวกเขาลำเลิกบุญคุญกับเจ้าต่อการที่พวกเขาเข้าอิสลามโดยไม่ต้องทำการรบซึ่งผิดกับการเข้าอิสลามของอาหรับเผ่าอื่น ๆ ที่ต้องทำสงครามกัน โอ้มุฮำมัดเจ้าจงประก่ศเถิดว่า พวกเจ้าอย่าลำเลิกกับข้าในการเข้าอิสลามของพวกเจ้า แต่ทว่าอัลเลาะห์จะทรงลำเลิกเอากับพวกเจ้าในการที่ทรงชี้นำพวกเจ้าสู่ศรัทธา อันเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นซึ่งควรแก่การลำเลิกในทุกกรณีหากพวกเจ้าเป็นผู้สัตย์จริง
๑๘. แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรอบรู้ในความลี้ลับแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน และอัลเลาะห์ทรงมองเห็นสิ่งที่พวกเจ้าปฏิบัติทุกประการทั้งดีและชั่ว




ดำรัสของอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่เป็นจริงเสมอ (صدق الله العظيم)
จบสูเราะฮฺที่ 49 อัลหุญุรอต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 17, 2011, 05:26 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ hiddenmin

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2453
  • เพศ: ชาย
  • 404 not found
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
    • Ikhlas Studio

ฝากแชมัดตรวจทานแก้ไขเลขอายะฮ์ใน R3 บางโพสด้วยครับ

 

GoogleTagged