กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
สารบัญถามตอบปัญหาศาสนา
ฟอรั่ม
หน้าแรก
ค้นหา
ปฏิทิน
Contact
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
GoogleTagged
กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
»
เสวนาเชิงวิชาการ
»
อัลกุรอาน
(ผู้ดูแล:
นูรุ้ลอิสลาม
,
Bangmud
) »
อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า:
1
2
[
3
]
4
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ (อ่าน 10064 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #30 เมื่อ:
ม.ค. 03, 2012, 05:48 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 141 - 143
คำอ่าน
141. วะอิซอัน..ยัยนากุม..มินอาลิฟิรฺเอานะ ยะสูมูนะกุม สู..อัลอะซาบิ ยุก็อตติลูนะอับนา...อะกุม วะยัสตะหฺยูนะนิสา...อะกุม วะฟีซาลิกุม..บะลา..อุม..มิรฺร็อบบิกุมอะซีม
142. วะวาอัดนามูสา ษะลาษีนะลัยละเตา..วะอัตมีมนาฮา บิอัชริน ฟะตัม..มะมีกอตุร็อบบิฮี อัรฺบะอีนะลัยละฮฺ วะอละมูสาลิอะคีฮิ ฮารูนัคลุฟนี ฟีก็อวมี วะอัศลิหฺ วะลาตัตตะบิอฺสะบีลัลมุฟสิดีน
143. วะลัม..มาญา...อะมูสา ลิมีกอตินา วะกัลป์ละมะฮูร็อบบุฮู กอละร็อบบิอะรินี..อัน..ซุรฺอิลัยกะ กอละลัน..ตะรอนี วะลากินิน..ซุร อิลัลญะบะลิ ฟะอินิสตะก็อรฺเราะ มะกานะฮู ฟะเสาฟะตะรอนี ฟะลัม..มาตะญัลลา ร็อบบุฮู ลิลญะบะลิ ญะอธละฮูดักกา วะค็อรฺเราะมูสา เศาะอิกอ ฟะลัม..มา..อะฟาเกาะ กอละสุบหานะกะ ตุบตุอิลัยกะ วะอะนะเอาวะลุลมุอ์มินีน
คำแปล R1.
141. And (remember) when We rescued you from Fir'aun's (Pharaoh) people, who were afflicting you with the worst torment, killing your sons and letting your women live. And in that was a great trial from your Lord.
142. And We appointed for Musa (Moses) thirty nights and added (to the period) ten (more), and he completed the term, appointed by his Lord, of forty nights. And Musa (Moses) said to his brother Harun (Aaron): "Replace me among my people, act in the right way (by ordering the people to obey Allah and to worship Him alone) and follow not the way of the
Mufsidun
(mischief-makers)."
143. And when Musa (Moses) came at the time and place appointed by us, and his Lord spoke to him, he said: "O my Lord! Show me (Yourself), that I may look upon You." Allah said: "You cannot see Me, but look upon the mountain if it stands still in its place then you shall see me." So when his Lord appeared to the mountain, He made it collapse to dust, and Musa (Moses) fell down unconscious. Then when he recovered his senses he said: "Glory be to you, I turn to you in repentance and I am the first of the believers."
คำแปล R2.
141. และ(จงระลึกเถิด) เมื่อเราได้ดลความปลอดภัยแก่พวกท่านทั้งหลาย(ให้พ้น)จากวงศ์วานของฟิรเอาน์ ซึ่งพวกเขาทำการทรมานพวกเจ้าอย่างต่ำช้ายิ่ง พวกเขาจัดการฆ่าลูก ๆ ผู้ชายของพวกเจ้าและไว้ชีวิตลูกผู้หญิงของพวกเจ้า และในนั้นย่อมเป็นข้อทดสอบอันใหญ่หลวงจากองค์อภิบาลของพวกเจ้า
142. และเราได้ให้สัญญาแก่มูวา (ว่าจะมอบคัมภีร์เตารอฮฺให้) ในชั่วสามสิบคืนและเราทำให้ครบถ้วนแก่มันอีกสิบคืน ดังนั้นกำหนดเวลาขององค์อภิบาลของเขาจึงครบสมบูรณ์สี่สิบคืน และมูซาได้กล่าวกับพี่ชายของเขา คือ ฮารูน (ตลอดเวลาที่ตัวเขาขึ้นไปรับโองการของอัลเลาะฮฺบนเขาฏูรซีนา)ว่า “ท่านจงแทนตัวฉันใน(การควบคุม)กลุ่มชนของฉัน และท่านจงปรับปรุง(ดูแลสภาพการของพวกเขาด้วย) และท่านอย่าตามแนวทางของบรรดาผู้บ่อนทำลาย”
143. และเมื่อมูซาได้มาตามกำหนดเวลาของเรา และองค์อภิบาลของเขาได้ตรัสแก่เขา เขากล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาล! โปรดให้ข้าพเจ้าเห็นพระองค์เถิด ข้าพเจ้าจะได้มองดูพระองค์” พระองค์ทรงตรัสว่า “เจ้าจะไม่เห็นข้าได้หรอก แต่ทว่าเจ้าจงมองไปที่ภูเขาเถิด หากว่ามันมันยังสถิตอยู่กับที่ของมัน เจ้าก็จะได้เห็นข้า” ครั้นต่อมาองค์อภิบาลของเขาได้ทรงเปล่งรัศมีลงมาที่ภูเขา พระองค์ก็ดลบันดาลให้มันทลายราบลงและมูซาก็ล้มลงสลบ(ไม่สมประดี) ต่อมาเมื่อเขาฟื้นแล้ว เขาก็กล่าวว่า “พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก ข้าพเจ้าขอสารภาพผิดต่อพระองค์ และข้าพเจ้าเป็นคนแรกจากบรรดาผ้ศรัทธาทั้งมวล”
คำแปล R3.
141. และ
(อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า)
“จงนึกถึงในตอนที่เราได้ช่วยสูเจ้าให้พ้นจากบริวารของฟิรเอาน์ ผู้บังคับสูเจ้าด้วยการทรมานอย่างหนัก พวกเขาฆ่าลูกชายของสูเจ้าและไว้ชีวิตผู้หญิงของสูเจ้า และในนั้นมีการทดสอบอันยิ่งใหญ่สำหรับสูเจ้าจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้า”
142. และเราได้เรียกมูซามายังภูเขาซีนายเป็นเวลาสามสิบคืน และเราได้เพิ่มอีก สิบคืน ดังนั้นระยะเวลาที่พระผู้อภิบาลของเขาได้กำหนดวันจึงครบสี่สิบคืนและวันเต็ม
(ก่อนที่จะไป)
มูซาได้กล่าวแก่ฮารูน-พี่ชายของเขา-ว่า “หลังจากฉันแล้วจงเข้ามาทำหน้าที่แทนฉันในหมู่พวกพ้องของฉัน และจงทำการดี และจงอย่าปฏิบัติตามผู้ก่อการเสียหาย”
143. และเมื่อมูซาได้มาถึงที่นั่นตามเวลาที่กำหนด และพระผู้อภิบาลของเขาได้ตรัสแก่เขา เขาได้ขอว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ได้โปรดประทานอำนาจแห่งการมองเห็นให้แก่ฉันด้วยเถิด เพื่อที่ฉันจะด็เห็นพระองค์” พระองค์จึงทรงตอบว่า “เจ้าไม่อาจมองเห็นฉันได้ ทีนี้เจ้าจงมองไปยังภูเขานั่น ถ้าหากว่ามันยังคงตั้งมั่นอยู่ ณ ที่ของมัน ไม่ช้าเจ้าก็จะเห็นเราได้” ดังนั้นเมื่อพระผู้อภิบาลของเขาทรงแสดงพระเกียรติของพระองค์บนภูเขานั้น มันก็ทำให้ภูเขานั้นแตกกระจายเป็นเสี่ยงและมูซาต้องล้มลงสลบ และเมื่อเขาฟื้นขึ้นเขาก็กล่าวว่า “มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ ฉันขอลุแก่โทษต่อพระองค์ และฉันเป็นคนแรกในหมู่ผู้ศรัทธา
คำแปล R4.
141. และจะรำลึกขณะที่เราได้ช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากพวกพ้องของฟิรเอาน์โดยที่พวกเขาบังคับขู่เข็ญพวกเจ้า ซึ่งการทรมานอันร้ายแรง พวกเขาฆ่าบรรดาลูกผู้ชายของพวกเจ้า และไว้ชีวิตบรรดาลูกผู้หญิงของพวกเจ้า และในเรื่องนั้นคือการทดสอบอันสำคัญจากพระเจ้าของพวกเจ้า
142. และเราได้สัญญาแก่มูซาสามสิบคืนและเราได้ให้มันครบอีกสิบ ดังนั้นกำหนดเวลาแห่งพระเจ้าของเราจึงครบสี่สิบคืน และมูซาได้กล่าวแก่ฮารูนพี่ชายของเขาว่า จงทำหน้าที่แทนฉันในหมู่ชนของฉันและจงปรับปรุงแก้ไข และจงอย่าปฏิบัติตามทางของผู้ก่อความเสียหาย
143. และเมื่อมูซาได้มาตามกำหนดเวลาของเรา และพระเจ้าของเขาได้ตรัสแก่เขา เขาได้กล่าวขึ้นว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดให้ข้าพระองค์เห็นด้วยเถิด โดยที่ข้าพระองค์จะได้มองดูพระองค์ พระองค์ตรัสว่า เจ้าจะเห็นข้าไม่ได้เป็นอันขาด แต่ทว่าเจ้าจงมองดูภูเขานั้นเถิด ถ้าหากมันมั่นอยู่ ณ ที่ของมัน เจ้าก็จะเห็นข้า ครั้นเมื่อพระเจ้าของเขาได้ประจักษ์ที่ภูเขานั้น ก็ทำให้มันทลายตัวลงอย่างราบเรียบ และมูซาก็ล้มลงในสภาพหมดสติ ครั้นเมื่อเขาฟื้นขึ้น เขาก็กล่าวว่ามหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน ข้าพระองค์ขอลุแก่โทษต่อพระองค์และข้าพระองค์นั้นคือคนแรกในหมู่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
คำแปล R5.
๑๔๑.
และ
โอ้ปวงชนบนีอิสรออีลสมัยมุฮำมัด พวกเจ้าจงรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของข้าที่มีต่อบรรพบุรุษของพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้ประพฤติปฏิบัติตามใช้ตามห้ามของข้า
คราที่เรา
(อัลเลาะห์)
ได้ให้
บรรพบุรุษของ
พวกเจ้าปลอดภัยจาก
ฟิรเอาน์และ
พลพรรคของฟิรเอาน์ที่
ได้ขู่เข็ญบรรพบุรุษของพวกเจ้า และที่พวกฟิรเอาน์
ให้
บรรพบุรุษของ
พวกเจ้าลิ้มรสแห่งโทษร้ายแรง
นั่นก็คือ
พวกนั้นได้ฆ่าเด็ก ๆ
ทารก
ผู้ชายของ
บรรพบุรุษของ
พวกเจ้า
ในระยะเวลาที่มูซาถือกำเนิดตลอดถึงสมัยเมื่อมูซาเป็นพระศาสนทูตแล้ว
และได้ไว้ชีวิตเด็ก
ทารก
หญิงของ
บรรพบุรุษของ
พวกเจ้า
ทั้งนี้โดยพวกโหรประจำราชสำนักของฟิรเอาน์บางคนได้ทำนายว่าเด็กผู้ชายที่เกิดในวงศ์ของอิสรออีลนั้นจะมาเป็นผู้ทำลายบัลลังก์ของฟิรเอาน์ ในการลงโทษทรมานจากฟิรเอาน์โดยการให้บรรพบุรุษของเจ้าลิ้มรสแห่งโทษร้ายแรงด้วยการฆ่าบุตรหลานของบรรพบุรุษนั้นก็ดี การให้ความปลอดภัยพ้นจากฟิรเอาน์ จากการลิ้มรสโทษร้ายแรงดังกล่าวก็ดี
อันนั้นเองนับว่าเป็นภัยอันใหญ่หลวง
ที่ได้ลิ้มรสโทษร้ายแรงและเป็นความโปรดปรานอย่างใหญ่หลวงที่ได้รับความปลอดภัย
จากองค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้า
สมัยมุฮำมัด แล้วบรรพบุรุษของพวกเจ้าน่าจะได้คติจากคำเตือนให้กลัวของมูซามิให้กราบสักการะเทวรูปและน่าจะยับยั้งการขอร้องเอาเทวรูปจากมูซาเสีย
๑๔๒.
ทั้งเรา
(อัลเลาะห์)
ได้ให้สัญญากับมูซาไว้
ว่า เมื่อครบ
สามสิบคืน
แล้ว เราจะกล่าวเจรจาแก่เจ้า มูซาได้ถือศีลอดสามสิบคืนแห่งเดือนซุลก็อิดะห์ ครั้นเมื่อมูซาได้ถือศีลอดตามข้อกำหนดของพระองค์เขาก็รังเกียจกลิ่นปากจากปากของตัวเองที่มีขึ้นจากการถือศีลอด เขาจึงแปรงฟัน กลิ่นปากอันเหม็นก็หายไป อัลเลาะห์ทรงมีบัญชาใช้ให้มูซาถือศีลอดต่ออีกสิบคืน เพื่อที่พระองค์จะได้ตรัสเจรจาแก่มูซาในขณะที่เขายังมีกลิ่นปากอยู่ ดังเนื้อความว่า
และเรา
(อัลเลาะห์)
ได้ให้การ
เอาสัญญา
นั้นครบถ้วนด้วยอีกสิบคืน
แห่งเดือนซุลฮิจยะห์
แล้วกาลเวลา
สัญญา
แห่งพระผู้อภิบาลของเขา
(มูซา)ที่จะตรัสแก่เขา(มูซา)
ก็ครบเป็นสี่สิบคืน มูซายังบอกฮารูนพี่ชายของเขา
ขณะที่เดินทางไปยังภูเขาแห่งตูริซีนาอ์ เพื่อการเข้าเฝ้าอัลเลาะห์ว่า
ท่านจงรับหน้าที่ดูแลประชาชนของฉันแทนฉันด้วย ทั้งให้ปฏิบัติภารกิจ
แก่พวกนั้น
จงดี แต่อย่าเจริญตามแนวทางของพวกที่ก่อกวนหายนะ
โดยเข้าร่วมมือกันทำความชั่ว
เลย
๑๔๓.
ครั้นเมื่อมูซาถึงกาลเวลา
แห่งสัญญา
ของเรา
(อัลเลาะห์) คือในวันพฤหัสบดีซึ่งตรงกับวันอะเราะฟะห์(วันที่ ๙ ของเดือนซุลฮิจยะห์) วันรุ่งขึ้นเป็นวันศุกร์ก็คือวันอีดอัลอัฎฮา พระองค์ก็ประทานพระคัมภีร์เตารอตที่ได้สัญญากับมูซาว่าจะกล่าวเจรจา
แล้ว
อัลเลาะห์
องค์พระผู้อภิบาลก็ได้ตรัสแก่เขา
(มูซา)โดยตรงไร้สื่อสัมพันธ์ มูซาได้ยินพระคำที่พระองค์ตรัสจากทุกทิศทุกทาง
เขา
(มูซา)
กล่าวว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ได้โปรดให้ข้าพระองค์แลเห็น
องค์แห่ง
พระองค์
ข้าพระองค์จะมองยังพระองค์
พระองค์ตรัส
แก่มูซา
ว่า เจ้าจะไม่
มีพลังพอ
แลเห็นข้าได้หรอก แต่เจ้าจงมองไปยังภูเขา
ซุไบร์
นั่นซิ
ซึ่งมันมีพลังแกร่งกว่าเจ้ามากนัก
ถ้ามันยังมั่นอยู่กับที่
ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
แล้วนั่นแหละ เจ้าก็จะได้แลเห็น
องค์แห่ง
ข้า
มิฉะนั้นเจ้าก็จะไม่มีพลังพอที่จะแลเห็นข้าได้เลย
ครั้นเมื่อ
รังสีแห่ง
องค์อภิบาลของเขา
(มูซา)
ทรงสำแดงเดชลงมายังภูเขา
เพียงครึ่งขององคุลีนิ้วก้อย
พระองค์ก็ทรงให้มันป่นปี้ลงราบคาบ
เสมอผิวพื้นดิน
แล้วเขา
(มูซา)
จึงสลบลงด้วยความโกลาหล
ที่เขาได้เห็นประจักษ์แก่สายตา
ต่อเมื่อเขา
(มูซา)
ฟื้นจากสลบแล้ว เขาเอ่ยกล่าวว่า มหาบริสุทธิคุณแห่งพระองค์
ผู้ปราศจากไร้สิ่งอันไม่ควรคู่ ทั้งในองค์ ในคุณลักษณะในพระนาม ในการสร้างสรรค์ตลอดทั้งในการตัดสินของพระองค์
ข้าพระองค์กลับสำนึกผิด
ต่อการวิงวอนขอแลเห็นพระองค์
บัดนี้แล้ว
ซึ่งข้าพระองค์นี้มิได้ถูกใช้ให้วิงวอนเช่นนั้นเลย
โดยข้าพระองค์ก็เป็นผู้แรกของพวกศรัทธา
ในยุคของข้าพระองค์
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #31 เมื่อ:
ม.ค. 04, 2012, 06:44 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 144 - 147
คำอ่าน
144. กอละยามูสา อิน..นิศเฏาะฟัยตุกะ อะลัน..นาสิ บิริสาลาตี วะบิกะลามี ฟะคุซมา..อาตัยตุกะ วะกุม..มินัชชากิรีน
145. วะกะตับนาละฮูฟิลอัลวาหิ มิน..กุลลิชัยอิว..วะเมาอิเซาะเตา..วะตับศีลัลลิกุลลิ ชัยอิน..ฟะคุซฮา บิกูวะติว..วะอ์มุรฺ ก็อวมะกะ ยะอ์คุซู บิอะหฺสะนิฮา สะอุรีกุม ดาร็อลฟาสิกีน
146. สะอัศริฟุ อันอายาติยัลละซีนะ ยะตะกับบะรูนะ ฟิลอัรฺฎิ บิฆ็อยริลหักกิ วะอี..ยะร็อว กุลละอายะติลลายุอ์มินูบิฮา วะอี..ยะร็อว สะบีลัรฺรุชดิ ลายัตตะคิซูฮุ สะบีเลา..วะอี..ยะร็อวสะบีลัลฆ็อยยิ ยัตตะคิซูฮุสะบีลา ซาลิกะบิอัน..นะฮุม กัซซะบูบิอายาตินา วะกานูอันฮาฆอฟิลีน
147. วัลละซีนะกัซซะบูบิอายาตินา วะลิกอ..อิลอาคิเราะติ หะบิฏ็อตอะอฺมาลุฮุม ฮัลยุจญเซานะ อิลลามากานูยะอฺมะลูน
คำแปล R1.
144. (Allah) said: "O Musa (Moses) I have chosen you above men by my messages, and by my speaking (to you). So hold that which I have given you and be of the grateful."
145. And We wrote for him on the tablets the lesson to be drawn from all things and the explanation of all things (and said): Hold unto these with firmness, and enjoin your people to take the better therein. I shall show you the home of
Al-Fasiqun
(the rebellious, disobedient to Allah).
146. I shall turn away from my
Ayat
(verses of the Qur'an) those who behave arrogantly on the earth, without a right, and (even) if they see all the
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), they will not believe in them. and if they see the way of righteousness (monotheism, piety, and good deeds), they will not adopt it as the way, but if they see the way of error (polytheism, crimes and evil deeds), they will adopt that way, that is because they have rejected our
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) and were heedless (to learn a lesson) from them.
147. Those who deny our
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) and the meeting in the Hereafter (Day of Resurrection,), vain are their deeds. do they expect to be rewarded with anything except what they used to do?
คำแปล R2.
144. พระองค์ทรงตรัสว่า “โอ้มูซา! ข้าได้คัดเลือกตัวเจ้าให้เหนือมนุษย์(ในสมัยของเจ้า)ด้วยการนำสารธรรมของข้าคือคัมภีร์เตารอฮฺและถ้อยคำของข้า(ที่ตรัสกับเจ้าไปทำการเผยแพร่) ดังนั้นเจ้าจงยึดถือเถิด สิ่งที่ข้าได้มอบแก่เจ้า และเจ้าจงเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้กตัญญู
145. และเราได้บันทึกไว้ให้เขาในแผ่นจารึก(คัมภีร์เตารอฮฺ)เกี่ยวข้องกับทุก ๐ สิ่งซึ่งเป็นคำเตือน และเป็นคำชี้แจงสำหรับทุก ๆ สิ่งดังนั้นเจ้าจงยึดมั่นไว้ด้วยความมั่นคง และจงใช้ให้พวกพ้องของเจ้ายึดในสิ่งดีงามของมัน ข้าจะให้เจ้าได้เห็นที่อยู่ของบรรดาผู้ประพฤติผิดทั้งมวล
146. (ต่อไปในภายภาคหน้า)ข้าจะหันบรรดาผู้ทรนงตนในแผ่นดินโดยปราศจากความชอบธรรมให้ห่างไกลจากบรรดาสัญลักษณ์ของข้า และแม้พวกเขาจะเห็นสัญลักษณ์ทุกอย่าง พวกเขาก็จะไม่ศรัทธาต่อสัญลักษณ์นั้น และแม้พวกเขาจะเห็นทางชี้นำ(ไปสู่ความถูกต้อง) พวกเขาก็จะไม่ยึดมันมาเป็นแนวทาง(ของพวกเขา) แต่ถ้าพวกเขาเห็นทางแห่งความละเมิด พวกเขาก็จะยึดมั่นมาเป็นแนวทาง(ของพวกเขา)นั้น! เป็นเพราะเหตุพวกเขาได้กล่าวว่า บรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของเราเป็นความเท็จ และพวกเขาได้ละเลยต่อสิ่งเหล่านั้น
147. และบรรดาผู้กล่าวว่า บรรดาสัญลักษณ์ของเราและการเผชิญโลกหน้าเป็นความเท็จนั้น ผลงานต่าง ๆ ของพวกเขามลายสิ้น พวกเขามิได้รับการตอบสนองเลย นอกจากเท่าที่พวกเขาได้ประพฤติไว้เท่านั้น(ตามควรแก่กรณี)
คำแปล R3.
144. พระองค์ตรัสว่า “มูซาเอ๋ย แท้จริงฉันได้เลือกเจ้าจากมนุษยฺทั้งหมดเพื่อนำสารของฉันและเพื่อสนทนากับฉัน ดังนั้นจงยึดเอาสิ่งที่ฉันได้ประทานให้แก่เจ้าและจงอยู่ในหมู่ผู้กตัญญู”
145.
(หลังจากนี้แล้ว)
เราก้ได้จารึกคำตักเตือนเกี่ยวกับทุกด้านของชีวิตและคำสั่งที่ชัดเจนเกี่ยวกับมันบนแผ่นจารึก
(แล้วได้มอบให้มูซาและกล่าวว่า)
“จงยึดมันไว้ให้มั่นคงแน่วแน่และจงสั่งหมู่ชนของเจ้าให้ปฏิบัติตามมันด้วยความสำนึกที่ดีที่สุดของพวกเขา ในไม่ช้าเราจะให้เจ้าได้เห็นที่พำนักของผู้ฝ่าฝืน
146. ฉันจะหันสายตาของบรรดาผู้โอหังในแผ่นดิน โดยไม่ชอบธรรมให้ห่างออกไปจากสัญญาณทั้งหลายของฉันและแม้พวกเขาจะเห็นสัญญาณทุกชนิดของฉัน พวกเขาก็จะไม่ศรัทธาในมัน ถ้าหากพวกเขาเห็นแนวทางที่ถูกต้องต่อหน้าพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ปฏิบัติตาม แต่ถ้าหากพวกเขาเห็นหนทางที่หลงผิด พวกเขาจะปฏิบัติตามมัน นั่นเป็นเพราะว่า พวกเขาถือว่าสัญญาณทั้งหลายของเราเป็นเท็จและเฉยเมยต่อมัน
147. ใครก็ตามที่ถือว่าสัญญาณทั้งหลายของเราเป็นเท็จและปฏิเสธการพบกันในปรโลก การงานของพวกเขาก็ไร้ผล พวกเขาจะได้รับการตอบแทนใด ๆ นอกไปจากที่พวกเขาได้กระทำไว้กระนั้นหรือ?”
คำแปล R4.
144. พระองค์ตรัสว่า โอ้มูซา แท้จริงข้าได้เลือกเจ้าให้เหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย เนื่องด้วยบรรดาสารของข้า และด้วยถ้อยคำของเขาดังนั้นจงยึดถือสิ่งที่ข้าได้ให้แก่เจ้า และจงอยู่ในหมู่ผู้ขอบคุณ
145. และเราได้บันทึกคำตักเตือนจากทุกสิ่งและการแจกแจงในทุกอย่างไว้ให้แก่เขาในบรรดาแผ่นจารึกดังนั้นเจ้าจงยึดถือมันไว้ด้วยความเข้มแข็ง และจงใช้พวกพ้องของเจ้าเถิด พวกเขาก็จะยึดถือสิ่งที่ดีที่สุดของมันข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นที่อยู่ของผู้ละเมิดทั้งหลาย
146. ข้าจะหันเหออกจากบรรดาโองการของข้า ซึ่งบรรดาผู้ที่ยโสในแผ่นดินโดยไม่บังควรและแม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นสัญญาณทุกอย่างพวกเขาก็จะไม่ศรัทธาต่อสัญญาณนั้น และหากพวกเขาเห็นทางแห่งความถูกต้อง พวกเขาก็จะไม่ถือมันเป็นทาง และหากพวกเขาเห็นทางแห่งความผิด พวกเขาก็ยึดถือมันเป็นทาง นั่นก็เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธบรรดาโองการของเราและพวกเขาจึงได้เป็นผู้ละเลยโองการเหล่านั้น
147. และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา และการพบกับปรโลกนั้น บรรดาการงานของพวกเขาย่อมไร้ผล พวกเขาจะไม่ถูกตอบแทนนอกจากสิ่งที่พวกเขากระทำเท่านั้น
คำแปล R5.
๑๔๔. พระองค์อัลเลาะห์ตรัสแก่มูซาว่า
โอ้มูซา แน่แท้ข้าได้เลือกสรรเจ้าไว้เหนือมนุษย์
ในยุคของเจ้าแล้ว
โดยมีตำแหน่งเป็นพระศาสนทูตของข้าและได้รับพระคำ
ดำรัส
จากข้า
ที่จะเจรจากับเจ้า
ดังนั้นเจ้าจงรับ
เอาความดีเลศ
ไว้เถิดตามที่ข้าได้มอบให้แก่เจ้า แล้วเจ้าจงเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้รู้คุณ
๑๔๕.
แล้วเรา
(อัลเลาะห์)
ได้บันทึกไว้แล้วสำหรับเขา ทุก ๆ สิ่งที่
เกี่ยวข้องกับเขาในเรื่องของศาสนา
มีทั้งคำตักเตือนและคำชี้แจงทุกอย่าง ลงในแผ่นกระดาน
พระคัมภีร์เตารอตซึ่งทำด้วยไม้พุทราจากสรวงสวรรค์(หรือทำจากมรกตหรือหยก)กำหนดโดยยาว ๑๒ ศอก
เจ้าจงรับเอามันไว้เถิดด้วยเต็มใจ
และเอาจริงเอาจัง
ทั้งจงใช้พรรคพวกของเจ้าด้วย พวกเขาจะได้ถือตาม
พระคัมภีร์เตารอต
นั้นโดยดียิ่ง
ในเวลาต่อมา
ข้าจักให้พวกเจ้าได้แลเห็นเคหะของพวกผู้ผิดคลองธรรม
คือฟิรเฮาน์กับพรรคพวกในแผ่นดินอียิปต์ที่พังพินาศไปแล้วเพื่อเป็นคติเตือนใจพวกเจ้ามิให้ประพฤติเอาเยี่ยงอย่างฟิรเอาน์และพรรคพวก
๑๔๖.
และ
ต่อไปข้าจะให้ผู้ที่อวดโตในหน้าแผ่นดินโดย
ประพฤติปฏิบัติศาสนาที่
ขาดความเที่ยงแท้ หันเหจากหลักฐาน
แสดงถึงเดชานุภาพ
ของข้า
โดยที่ข้าจะไม่ช่วยเหลือพวกเหล่านั้น พวกเหล่านั้นก็เลยไม่ตรึกตรองในบรรดาหลักฐานดังกล่าวนั้น
ถึงแม้ว่าพวกเหล่านั้นจะได้แลเห็นซึ่งทุก ๆ หลักฐาน
ที่ชี้ถึงเดชานุภาพของข้า อันได้แก่ฟากฟ้า แผ่นดิน และสิ่งต่าง ๆ ระหว่างทั้งสองนั้น
พวกนั้นก็ไม่ศรัทธา ถ้าพวกนั้นได้แลเห็นซึ่งครรลองธรรมแห่งทางนำ
ที่มาแต่องค์อัลเลาะห์
พวกนั้นก็ไม่ถือเอาเป็นแนวทางดำเนิน แต่ถ้าพวกนั้นได้แลเห็นซึ่งทางผิดครรลองธรรม พวกนั้นก็ถือเอาเป็นแนวทางดำเนิน
การผันแปรออกจากหลักฐานที่แสดงถึงเดชานุภาพของเรา
ทั้งนี้ เพราะพวกเหล่านั้นหาว่าหลักฐานต่าง ๆ ของเราเท็จ แล้วพวกเขาก็ลืมเลือน
มิได้ตรึกตรองถึงบรรดาหลักฐาน
กันเลย
๑๔๗.
และบรรดาผู้ซึ่งหาว่าโองการต่าง ๆ ของเรา
(อัลเลาะห์)
และ
ที่หา
ว่าการเผชิญกับวันอาคิเราะฮฺ
เช่นการเกิดใหม่และเรื่องอื่น ๆ
เป็นเท็จนั้น บรรดากรรมดีของพวกเขา
ที่ได้อุตส่าห์ประพฤติปฏิบัติไว้ในภพนี้ เช่น การเชื่อมไมตรีกันในหมู่ญาติ การให้ทานบริจาค
ย่อมสูญสลาย
หาได้รับบุญกุศลไม่ ทั้งนี้เพราะขาดหลักเกณฑ์ในการที่จะรับบุญกุศล
พวกเขานั้นมิได้รับผลสนองอันใดนอกจากผลตอบแทน
ฐานที่หาว่าเท็จและกรรมชั่ว
ที่พวกเขาได้กระทำกันมา ในภาคภพนี้เท่านั้น
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #32 เมื่อ:
ม.ค. 05, 2012, 08:59 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 148 - 154
คำอ่าน
148. วัตตะเคาะซะก็อวมุมูสา มิม..บะอฺดิฮี มินหุลียิฮิม อิจญลัน..ญะสะดัล ละฮูคุวารุน อะลัมยะร็อว อัน..นะฮู ลายุกัลป์ลิมุฮุม วะลายะฮฺดิฮิม สะบีลา อิตตะเคาะซูฮุ วะกานูซอลิมีน
149. วะลัม..มาสุกิเฏาะฟี..อัยดีฮิม วะเราะเอาอัน..นะฮุม ก็อดฎ็อลลู กอลูละอิลลัม ยัรฺหัมนา ร็อบบุนา วะยัฆฟิรฺละนา ละนะกูนัน..นะมินัลคอสิรีน
150. วะลัม..มาเราะญะอะมูสา..อิลาก็อวมิฮี ฆ็อฎบานะอะสิฟัน..กอละบิอ์สะมา เคาะลัฟตุมูนี มิม..บะอฺดี อะอะญิลตุม อัมเราะร็อบบิกุม วะอัลก็อลอัลวาหะ วะอะเคาะซะบิเราะอ์สิ อะคีฮิ ยะญุรฺรุฮู..อิลัยฮิ กอลับนะ อุม..มะ อิน..นัลก็อวมัสตัฎอะฟูน วะกาดูยักตุลูนะนี ฟะลาตุชมิต บิยัลอะอฺดา...อะ วะลาตัจญอัลนีมินัลก็อวมิซซอลิมีน
151. วะละ ร็อบบิฆฟิรฺลี วะลิอะคี วะอัดคิลนา ฟีเราะมะติก วะอัน..ตะอัรฺหะมุรฺรอหิมีน
152. อิน..นัลละซีนัตตะเคาะซุลอิจญละ สะนะนาลุฮุม เฆาะเฎาะบุม..มิรฺร็อบบิฮิม วะซิลละตุน..ฟิลหะยาติดดุนยา วะกะซาลิกะนัจญซิลมุฟตะรีน
153. วัลละซีนะอะมิลุสสัยยิอาติ ษุม..มะตาบูมิม..บะอฺดิฮา วะอามะนู..อิน..นะร็อบบะกะ มิม..บะอฺดิฮา ละเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
154. วะลัม..มาสะกะตะ อัม..มูสัลเฆาะเฎาะบุ อะเคาะซัลอัลวาหะ วะฟีนุสเคาะติฮา ฮุเดา..วะเราะหฺมะตุลลิลละซีนะฮุม ลิร็อบบิฮิม ยัรฺฮะบูน
คำแปล R1.
148. And the people of Musa (Moses) made in his absence, out of their ornaments, the image of a calf (for worship). It had a sound (as if it was mooing). Did they not see that it could neither speak to them nor guide them to the way? They took it for worship and they were
Zalimun
(wrong-doers).
149. And when they regretted and saw that they had gone astray, they (repented and) said: "If our Lord have not mercy upon us and forgive us, we shall certainly be of the losers."
150. And when Musa (Moses) returned to his people, angry and grieved, he said: "What an evil thing is that which you have done (i.e. worshipping the calf) during my absence. Did you hasten and go ahead as regards the matter of your Lord (you left his worship)?" And he threw down the tablets and seized his brother by (the hair of) his head and dragged him towards him. Harun (Aaron) said: "O son of my mother! Indeed the people judged me weak and were about to kill me, so make not the enemies rejoice over me, nor put me amongst the people who are
Zalimun
(wrong-doers)."
151. Musa (Moses) said: "O my Lord! Forgive me and my brother, and make us enter into your mercy, for you are the most merciful of those who show mercy."
152. Certainly, those who took the calf (for worship), Wrath from their Lord and humiliation will come upon them In the life of this world. Thus do we recompense those who invent lies?
153. But those who committed evil deeds and then repented afterwards and believed, verily, your Lord after (all) that is indeed Oft-Forgiving, Most Merciful.
154. And when the anger of Musa (Moses) was appeased, he took up the tablets, and in their inscription was guidance and mercy for those who fear their Lord.
คำแปล R2.
148. และพวกพ้องของมูซา ภายหลังจากเขา(ได้ขึ้นไปยังภูเขาฏูรซีนาแล้ว)ก็จัดการหลอมจากเครื่องประดับ(ทอง)ของพวกเขาเป็นรูปลูกโคที่มีเรือนร่าง อีกทั้งมีเสียงร้องด้วย(เพื่อทำการกราบไหว้บูชา) พวกเขามิได้สังเกตดอกหรือว่ามัน(รูปลูกวัวนั้น)หาพูดกับพวกเขาไม่ และมันไม่(สามารถ)ชี้นำทางใด ๆ แก่พวกเขา พวกเขาได้หลอมมันขึ้นมานั้นโดยพวกเขาเป็นพวกฉ้อฉลอย่างแท้จริง
149. และเมื่อถูกร่วงลงสู่มือของพวกเขา(หมายถึงพวกเขามีความเศร้าโศกเป็นที่สุดและสำนึกในความผิดที่ได้กระทำ) และพวกเขาได้เห็นชัดว่า พวกเขาเองได้หลงผิดไปแล้ว พวกเขาก็กล่าวว่า “ขอสาบาน! หากแม้นองค์อภิบาลของเราไม่เมตตาและไม่อภัยแก่เราแล้วไซร้ แน่นอนพวกเราก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ขาดทุนเป็นแน่”
150. และเมื่อมูซาได้กลับ(จากภูเขา)มายังพวกพ้องของเขาในอาการโกรธจัดอีกทั้งเศร้าตรม เขาก็กล่าวว่า “ช่างชั่วช้าจริง ๆ ! ที่ท่านทั้งหลายกระทำในช่วงที่อยู่เบื้องหลังของฉัน หลังจากฉัน(ได้จากพวกท่านไปสี่สิบวัน) พวกท่านเร่งการงาน(การลงโทษ)ขององค์อภิบาลของพวกท่านกระนั้นหรือ? (จึงได้กระทำการอันฝืนคำบัญชาของพระองค์เช่นนั้น) และเขาได้ขว้างแผ่นจารึก(คัมภีร์เตารอฮฺซึ่งมีจำนวน 7 แผ่นลงไปกับพื้น) และเขาจับศีรษะของพี่ชายของเขา(ฮารูน)ลากเข้ามายังเขา เขา(ฮารูน)กล่าวว่า “โอ้ผู้เป็นบุตรแห่งมารดาของฉัน! แท้จริงกลุ่มชน(เผ่าพันธุ์อิสรออีล)ถือว่าฉันอ่อนแอ(และข่มขู่ฉัน) และพวกเขาเกือบจะฆ่าฉันอยู่แล้ว ดังนั้นท่านจงอย่าทำให้เหล่าศัตรูสมน้ำหน้าฉัน(โดยที่ท่านทำกับฉันรุนแรงเช่นนั้น) และท่านอย่าทำให้ฉันต้องอยู่ร่วมกับกลุ่มชนที่ฉ้อฉล(ที่ทำการกราบไหว้บูชารูปโคทองคำ)
151. เขากล่าววอนขอต่ออัลเลาะฮฺว่า “โอ้องค์อภิบาล! โปรดให้อภัยแก่ข้าพเจ้าและพี่ชายของข้าพเจ้า และโปรดให้ข้าพเจ้าอยู่ในพระเมตตาธิคุณของพระองค์เถิด และพระองค์นั้นทรงเมตตาที่สุดยิ่งกว่าบรรดาผู้เมตตาทั้งหลาย
152. แท้จริงบรรดาผู้หลอมรูปลูกโคนั้นพวกเขาจะประสบความพิโรธจากองค์อภิบาลของพวกเขา และความอัปยศในชีวิตทางโลกนี้ และเช่นนั้น เราตอบสนองบรรดาผู้กุความเท็จทั้งหลาย
153. และบรรดาผู้ประพฤติความเลวร้ายต่าง ๆ หลังจากนั้นเขาสารภาพผิด ภายหลังจาก(กระทำ)มันและพวกเขามีความศรัทธามั่น(ในอัลเลาะฮฺ) แน่แท้องค์อภิบาลของเจ้าทรงให้อภัย ภายหลังจากนั้น(การสารภาพผิด) อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
154. และเมื่อความโมโหของมูซาได้สงบลง เขาก็หยิบแผ่นจารึกทั้งหมดมาถือไว้ และในต้นฉบับของมันนั้นมีคำชี้นำ และความเมตตาแก่บรรดาผู้ซึ่งมีความครั่นคร้ามในองค์อภิบาลของพวกเขา
คำแปล R3.
148. เมื่อเขาไม่อยู่ พวกพ้องของมูซาได้นำเอาเครื่องประดับของพวกเขามาทำเป็นรูปปั้นรูปวัวที่ทำให้เสียงเบาลง พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า มันทั้งพูดไม่ได้และก็ไม่อาจนำทางพวกเขาไม่ว่าจะในเรื่องใด? แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยึดเอามันเป็นพระเจ้า ทั้งนี้เพราะพวกเขาเป็นผู้กระทำผิด
149. แต่เมื่อภาพหลอกลวงตัวเองได้ถูกทำลายลงและพวกเขารู้ว่าความจริงแล้วพวกเขาหลงผิด พวกเขาก็กล่าวว่า “ถ้าหากพระผู้อภิบาลมิทรงมีเมตตาแก่เรา และมิทรงให้อภัยเรา แน่นอนเราต้องเป็นผู้ที่ขาดทุน”
150. และเมื่อมูซาได้กลับมายังพวกพ้องของเขาด้วยความโกรธและความเสียใจ เขาได้กล่าวว่า “ชั่วช้าอะไรเช่นนี้ที่พวกท่านกระทำหลังจากที่ฉันไม่อยู่ พวกท่านทนรอพระบัญชาของพระผู้อภิบาลของพวกท่านไม่ได้กระนั้นหรือ? และเขาก็โยนแผ่นจารึกลง และกระชากผมของพี่ชายของเขา และลากเขามา ฮารูนได้กล่าวว่า “ลูกของแม่ของฉันเอ๋ย คนพวกนี้ถือว่าฉันอ่อนแอและกำลังจะฆ่าฉัน ดังนั้นอย่าได้ทำให้พวกศัตรูได้ใจว่าพวกเขาเหนือกว่าฉันเลยและจงอย่าได้เอาฉันไปรวมไว้กับบรรดาผู้ที่หลงผิด
151. ดังนั้นมูซาจึงได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ขอได้โปรดอภัยให้ฉันและแก่พี่ของฉัน และได้โปรดรับเราไว้ในความเมตตาของพระองค์ แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้เมตตาที่สุดในบรรดาผู้เมตตาทั้งหลาย”
152. (ในการตอบรับคำวิงวอนนี้ อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า) “บรรดาผู้ที่เอารูปวัวเป็นที่เคารพสักการะนั้นจะต้องได้รับความกริ้วจากพระผู้อภิบาลของพวกเขาอย่างแน่นอนและพวกเขาจะได้รับความตกต่ำในโลกนี้นั่นคือวิธีการที่เราลงโทษบรรดาผู้กุสิ่งเท็จ
153. แต่บรรดาผู้กระทำชั่วและกลับตัวหลังจากนั้นและหันมาศรัทธา แน่นอน หลังจากที่กลับตัวแล้วพวกเขาจะพบว่าพระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ”
154. และเมื่อความโกรธของมูซาคลายลง เขาก็หยิบแผ่นจารึกที่มีทางนำและความเมตตาสำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของเขาอยู่ในนั้นขึ้นมา
คำแปล R4.
148. และพวกพ้องของมูซาได้ยึดถือลูกวัวที่เป็นรูปร่างซึ่งทำมาจากเครื่องประดับของพวกเขา หลังจากเขาซึ่งลูกวัวนั้นมีเสียงร้องพวกเขามิได้เห็นดอกหรือว่าแท้จริงมันพูดกับพวกเขาไม่ได้ และมันก็แนะนำทางใดทางหนึ่งให้แก่พวกเขาไม่ได้ด้วย? พวกเขาได้ยึดถือลูกวัวนั้น และพวกเขาจึงได้กลายเป็นผู้อธรรม
149. และเมื่อได้ถูกตกลงในเมืองของพวกเขาและพวกเขาได้เห็นว่าพวกเขาได้หลงผิดไปแล้ว พวกเขาจึงกล่าวว่า แน่นอนถ้าหากพระเจ้าของเรามิได้เอ็นดูเมตตาแก่เรา และมิได้อภัยโทษให้แก่เราแล้ว แน่นอนพวกเราก็จะต้องอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน
150. และเมื่อมูซาได้กลับมายังพวกพ้องของเขาด้วยความโกรธ และเสียใจเขาได้กล่าวว่า ช่างเลวร้ายจริง ๆ ที่พวกท่านทำหน้าที่แทนฉัน หลังจากฉัน พวกท่านด่วนกระทำก่อนคำสั่งของพระเจ้าของพวกท่าน กระนั้นหรือ?และเขาได้โยนบรรดาแผ่นจารึกลง และจับศรีษะพี่ชายของเขาโดยดึงมันมายังเขา เขากล่าวว่า โอ้ลูกแม่ แท้จริงพวกพ้องเหล่านั้นเห็นว่าฉันเป็นผู้อ่อนแอ และพวกเขาเกือบจะฆ่าฉันแล้ว ดังนั้นจงอย่าให้ศัตรูทั้งหลายดีใจต่อสิ่งที่ประสบกับฉันเลยและจงอย่าให้ฉันร่วมอยู่ในกลุ่มชนที่อธรรมเหล่านั้นเลย
151. เขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าแห่งข้าพระองค์โปรดอภัยโทษแก่ข้าพระองค์ และแก่พี่ชายของข้าพระองค์ด้วย และโปรดได้ทรงให้พวกข้าพระองค์เข้าอยู่ในความเอ็นดูเมตตาของพระองค์เถิดและพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงเอ็นดูเมตตายิ่งกว่าผู้เอ็นดูเมตตาทั้งหลาย
152. แท้จริงบรรดาผู้ที่ยึดลูกวัวนั้นจะได้แก่พวกเขา ซึ่งความกริ้วโกรธจากระเจ้าของพวกเขา และความต่ำช้าในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ และในทำนองเดียวกัน เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้อุปโลกน์ความเท็จขึ้น
153. และบรรดาผู้ที่กระทำสิ่งที่ชั่ว แล้วสำนึกผิดกลับตัวหลังจากนั้น และศรัทธาแล้วไซร้แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น หลังจากนั้นแล้ว แน่นอนย่อมเป็นผู้ทรงอภัยโทษทรงเอ็นดูเมตตา
154. และเมื่อความกริ้วโกรธได้สงบลงจากมูซา เขาก็เอาบรรดาแผ่นจารึกนั้นไปและในสิ่งที่ถูกจารึกไว้ในมันนั้นมีคำแนะนำและความเอ็นดูเมตตาแก่บรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขา
คำแปล R5.
๑๔๘.
แล้วภายหลังจาก
ที่มูซาไปเข้าเฝ้าพระองค์อัลเลาะห์ยังภูเขาตูริซีนาอ์
นั้นพรรคพวกของมูซาก็ได้ถือเอารูปโคเป็นเรือนร่างมีเลือดเนื้อมีเสียงร้องได้ซึ่งถูกหลอมขึ้นจากเครื่องทองรูปพรรณ
ที่พรรคพวกของมูวษได้ยืมมาจากพวกฟิรเอาน์ เพื่อมาใช้แต่งกายพวกของมูซาในงานสมรส ครั้นเมื่อพวกฟิรเอาน์จมน้ำทะเลตายลงสิ้นแล้ว ทองรูปพรรณดังกล่าวที่ขอยืมมานี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์อยู่ที่พรรคพวกของมูซา ได้มีช่างทองผู้หนึ่งชื่อซามิรีย์นำเอาทองรูปพรรณเหล่านั้นมาหลอมหล่อเป็นรูปโคดังกล่าวให้พวกของมูซาถือเอา
เป็นพระเจ้า
โดยที่ได้นำเอาดินรอยเท้าม้าของยิบรออีลบรรจุเข้าไปในปากรูปโคทองนั้นเพื่อให้มีเสียงร้องได้ ครั้นเมื่อมูซากลับมาแล้วแลเห็นเข้าก็ฆ่าโคทองนั้นเสียแล้วเอาไฟเผาจนไหม้เป็นเถ้าธุลีลอยฟุ้งไปตามกระแสลม
พวก
ที่เคารพบูชาโคทอง
เหล่านั้นก็เห็นอยู่แล้วว่า
โคทองนั้น
มันมิได้พูดจาด้วยพวกเขาและมิได้ชี้ทางอันเที่ยงธรรมแก่เขาเลย แล้วพวกเขายังนับถือมัน
เป็นพระเจ้ากัน
อยู่อีก
ไม่เป็นการสมควรเลยที่พวกเขาเหล่านั้นจะนับถือเช่นนั้น
พวกเขาแหละเป็นพวกคดโกง
๑๔๙.
ครั้นเมื่อพวกนั้นต้องเศร้าใจ
หลังจากที่มูซากลับจากเข้าเฝ้าอัลเลาะห์ เพราะพวกตนได้เคารพบูชารูปโคทอง
และรู้ว่าพวกตนนั้นได้หลงงมงายไปแล้วจริง ๆ
ด้วยการกระทำดังกล่าวนั้น
พวกเขา
บางคน
ก็กล่าว
แก่อีกบางคนเป็นการแสดงสัตย์ปฏิญาณ
ว่า ถ้าแม้นองค์พระผู้อภิบาลของเราไม่โปรดปราณีต่อพวกเราและไม่ประทานอภัยให้พวกเราแล้วไซร้ พวกเราย่อมเป็นส่วนหนึ่งจากพวกผู้ขาดทุน
ในทางศาสนา
อย่างแน่ทีเดียว
๑๕๐.
และ
เมื่อมูซาไปเข้าเฝ้าอัลเลาะห์พวกนั้นก็ประกอบการเคารพสักการะรูปโคทองกัน อัลเลาะห์ทรงบอกให้มูซารู้บัดนั้นเลย
ฉะนั้นเมื่อมูซากลับมายังประชาชนของเขาทั้งโกรธและเสียใจ เขากล่าว
แก่พรรคพวกของเขา
ว่า ที่พวกท่านรับหน้าที่ปกครองดูแลอยู่ข้างแทนตัวฉัน
ในระหว่างที่ฉันไปเข้าเฝ้าอัลเลาะห์
นี้เลวนัก
ที่ไปเคารพบูชารูปโคทองเป็นภาคีเทียบเทียมอัลเลาะห์
ไม่น่าเลยที่พวกท่านจะเร่งร้อนซึ่งข้อสัญญาแห่งองค์อภิบาลของพวกท่าน
ที่ทรงใช้ให้อดใจรอถึง ๔๐ วัน และพยายามรักษาข้อสัญญาของมูซาและเอกภาพตลอดทั้งความบริสุทธ์ใจต่อการสักการะในพระองค์ซึ่งมูซาได้สั่งกำชับไว้ จนกว่ามูซาจะนำพระคัมภีร์เตารอตกลับมาให้พวกนั้น ไม่น่าพวกท่านจะนึกเดาเอาว่าฉันนี้ตายแล้ว และไม่น่าที่ท่านจะเปลี่ยนแปลงศาสนาเหมือนอย่างปวงประชากรยุคก่อนจากพวกท่านได้เปลี่ยนแปลงศาสนา หลังจากพระศาสนทูตของพวกเขาตายลงแล้ว
แล้วเขา
(มูซา)
ก็ปาแผ่นกระดาน
คัมภีร์เตารอต ๗ แผ่น
ลงไป
ด้วยความกริ้วจัดเพื่อถวายความเคารพยังอัลเลาะห์ กระดานนั้นแตกหมด ๖ แผ่น แต่มีสภาพที่ยังใช้ได้คืนมา ๒ แผ่น คงเหลือแผ่นเตารอตเพียง ๓ แผ่น
และ
มูซาได้เอามือขวา
จิกกบาล
ฮารูน
ผู้พี่ชาย
ส่วนมือซ้ายจับเคราฮารูน
ไว้ แล้วลาก
ฮารูน
เข้ามาหาตน
ด้วยกิริยาโกรธแค้น
เขา
(ฮารูน)
อ้อนวอนว่า โอ้
มูซา
ผู้เป็นลูกของแม่ฉัน
ฉันเหลือทนกับคนพวกนั้นแท้ ๆ ฉันพยายามแล้วที่จะห้ามปรามมิให้พวกนั้นเคารพบูชารูปโคทอง
ชนพวกนั้นมันข่มขี่ฉัน
จนไม่มีทางสู้ได้ และพวกนั้น
เกือบจะฆ่าฉันอยู่แล้ว ขอท่านอย่าให้พวกศัตรูสมน้ำหน้าฉัน
เพราะเหตุที่ท่านทำความขายหน้าแก่ฉัน
และขอว่าอย่าได้เอาผิดตัวฉันรวมไปกับพวกที่คดโกง
ด้วยการกราบสักการะรูปโคทอง
เลย
๑๕๑.
เขา
(มูซา)
กล่าว
คำวิงวอนต่ออัลเลาะห์ว่า
โอ้พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ขอพระองค์ได้โปรดอภัยโทษแก่ข้าพระองค์ที่
ได้กระทำร้ายให้เขาได้รับความอับอายขายหน้า
และแก่
ฮารูน
ผู้เป็นพี่ของข้าพระองค์
ที่เขาพยายามจนที่สุดแล้วที่จะห้ามปรามพวกประชาชนของข้าพระองค์มิให้เคารพสักการะรูปโคทอง
ทั้งขอได้โปรดให้ข้าพระองค์ทั้งสองอยู่ในความโปรดปราณีของพระองค์ด้วยเถิด แหละว่าพระองค์นั้น เป็นองค์ทรงปราณียิ่งกว่าบรรดาผู้ปราณีทั้งหลาย
๑๕๒. อัลเลาะห์ตรัสว่า
แท้จริงบรรดาผู้นับถือรูปโคทอง
เป็นพระเจ้าไว้เคารพบูชา
นั้นจะมีโทษจากองค์อภิบาลขึ้นประสบกับพวกเขา
โดยจะถูกใช้ให้พวกเขาสังหารตัวเองแทนการสำนึกในบาป(เตาบะห์)และโดยให้เฉือนเนื้อส่วนที่ถูกสิ่งโสโครกสกปรกออกแทนการชำระให้สะอาดด้วยน้ำ และ
จะมีความอัปยศตกต่ำเกิดขึ้นแก่พวกเขาในชีวิตภพนี้
โดยต้องถูกจับไปเป็นเชลย และเสียค่ารัชชูปการเป็นรายปีทุกปีไปตราบเท่าถึงวันกิยามะห์
อีกด้วย และในทำนอง
เดียวกับที่เราได้ให้ผลตอบแทนบรรดาชนผู้เคารพบูชารูปโคทองที่กล่าวแล้ว
นี้เอง เรา
(อัลเลาะห์)
จึงตอบสนองแก่บรรดาผู้แอบอ้างเท็จ
ถึงอัลเลาะห์ โดยเอาสิ่งอื่นมาเป็นภาคีเทียบเทียมพระองค์ มีการเคารพบูชารูปโคทอง และกรณีอื่น ๆ เช่นถือว่าบริโภคสัตว์อันตายเองไม่บาป เป็นต้น
๑๕๓.
และบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความชั่วช้า
เช่น การเคารพบูชารูปโคทอง
และกลับสำนึกผิด
หันเหจากความชั่ว
ต่อภายหลังแล้วต่างได้ศรัทธา
ต่ออัลเลาะห์ โอ้มุฮำมัด
แน่นอนหลังจาก
ที่พวกเขาได้เตาบะห์แล้ว
นั้น พระองค์ย่อมทรงอภัยยิ่ง ทรงโปรดปราณียิ่ง
ต่อพวกเขา
๑๕๔.
และเมื่อความกริ้วจางหายไปจากมูซาแล้ว เขา
(มูซา)
จึงหยิบเอาแผ่นกระดาน
คัมภีร์เตารอต ๓ แผ่น เป็นแผ่นที่ปาไปแล้วยังใช้ได้ ๒ แผ่น กับอีก ๑ แผ่นที่ไม่ได้ปาลงไปขึ้นมา
ใน
ต้นฉบับ
นั้นมีจำหลัก
จารึก
ว่าเป็นหนทางนำ
ให้รอดพ้นจากความหลงใหล
และความโปรดปราณีสำหรับบรรดาผู้กลัวเกรงองค์อภิบาลของพวกเขา
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #33 เมื่อ:
ม.ค. 06, 2012, 05:57 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 155 - 156
คำอ่าน
155. วัคตาเราะมูสา ก็อวมะฮูสับอีนะ เราะญุลัลลิมีกอตินา ฟะลัม..มา..อะเคาะซัตฮุมุรฺร็อจญฟะตุ กอละร็อบบิ เลาชิอ์ตะ อะฮฺลักตะฮุม..มิน..ก็อบลุวะอียาย อะตุฮฺลิกุนา บิมาฟะอะลัตสุฟะฮา...อุมิน..นา อินฮิยะอิลลาฟิตนะตุกะ ตุฎิลลุบิฮา มัน..ตะชา...อุ วะตะฮฺดี มัน..ตะชา...อ์ อัน..ตะวะลียุนา ฟัฆฟิรฺละนา วัรฺหัมนา วะอัน..ตะค็อยรุลฆอฟิรีน
156. วักตุบละนาฟีฮาซิฮิดดุนยา หะสะนะเตา..วะฟิลอาคิเราะติ อิน..นาฮุดนาอิลัยกฺ กอละอาซาบี..อุศีบุบิฮี มันอะชา...อุ วะเราะหฺมะตี วะสิอัตกุลละชัยอ์ ฟะสะอักตุบุฮา ลิลละซีนะยัตตะกูนะ วะยุอ์ตูนัซซะกาตะ วัลละซีนะฮุม..บิอายาตินายุอ์มินูน
คำแปล R1.
155. And Musa (Moses) chose out of his people seventy (of the best) men for our appointed time and place of meeting, and when they were seized with a violent earthquake, he said: "O my Lord, if it had been your will, you could have destroyed them and me before; would you destroy us for the deeds of the foolish ones among us? It is only your trial by which you lead astray whom you will, and keep guided whom you will. You are our
Wakli
(Protector), so forgive us and have mercy on us, for You are the best of those who forgive.
156. And ordain for us good in this world, and in the Hereafter. Certainly we have turned unto you." He said: (as to) My punishment I afflict therewith whom I will and my Mercy embraces all things. That (Mercy) I shall ordain for those who are the
Muttaqun
(pious - see V.2:2), and give
Zakat
; and those who believe in our
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs and revelations, etc.);
คำแปล R2.
155. และมูซาได้คัดเลือกพวกพ้องของเขาที่เป็นชายเจ็ดสิบคน เพื่อ(ไปเฝ้ารอคอย)กำหนดเวลาของเรา(ที่มูซาขอไว้เพื่อทำการสารภาพผิดในการกระทำของพวกนั้น) เขากล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาล! หากพระองค์?รงประสงค์พระองค์ก็ทรงทำลายล้างพวกเขาก่อนรวมทั้งตัวข้าพระองค์ด้วย พระองค์ทรงทำลายล้างพวกเราเพียงเพราะการกระทำของบรรดาคนโง่เขลา จากพวกเรากระนั้นหรือ? สิ่งนั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากเป็นการทดสอบของพระองค์! พระองค์ทรงยังความหลงผิดเพราะมันแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ชี้นำแก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์ อันพระองค์นั้นทรงเป็นผู้คุ้มครองพวกเรา ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดให้อภัยแก่พวกเราและประทานความเมตตาแก่พวกเราและพระองค์ทรงเป็นผู้ประเสริฐที่สุด จากบรรดาผู้ให้อภัยทั้งหลาย
156. และขอพระองค์ได้โปรดลิขิตความดีงามแก่พวกเรา ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าเถิด แท้จริงพวกเราถูกชี้นำสู่พระองค์ อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า การลงโทษของข้านั้นข้าจะให้ประสบแก่บุคคลที่ข้าประสงค์เท่านั้น แต่ความเมตตาของข้าครอบคลุมทั่วทุกสิ่ง ดังนั้นข้าจะลิขิตมันให้แก่บรรดาผู้มีความยำเกรงที่ทำการบริจาคซะกาตและบรรดาผู้ที่มีความศรัทธามั่นในบรรดาโองการของเรา
คำแปล R3.
155. และมูซาได้เลือกชาย 70 คนในหมู่พวกพ้องของเขา
(เพื่อติดตามเขา)
ไปยังที่ที่ได้ถูกกำหนดไว้โดยเรา เมื่อแผ่นดินไหวร้ายแรงได้คร่าชีวิตพวกเขา มูซาได้วิงวอนว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน หากว่าพระองค์ทรงปรารถนา พระองค์คงได้ทรงทำลายพวกเขาและฉันก่อนหน้านี้แล้ว พระองค์จะทรงทำลายพวกเราทั้งหมดเพราะพวกโง่ ๆ บางคนในหมู่พวกเราทำผิดกระนั้นหรือ? นี่มิใช่อื่นใดนอกไปจากการทดสอบของพระองค์ซึ่งโดยการนี้พระองค์ทรงทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงทาง และพระองค์ทรงนำทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์เท่านั้นที่ทรงเป็นผู้คุ้มครองเรา ดังนั้นได้ทรงโปรดอภัยเราเพราะพระองค์ทรงเป็นเลิศที่สุดแห่งผู้อภัยทั้งหลาย
156. และได้ทรงโปรดกำหนดให้แก่เราซึ่งสิ่งที่ดีในโลกนี้และในปรโลกด้วย แท้จริงเราได้หันกลับไปยังพระองค์แล้ว” พระองค์ทรงตอบว่า “สำหรับการลงโทษนั้นฉันจะให้มันแก่ผู้ที่ฉันประสงค์ แต่ความเมตตาของฉันแผ่ล้อมทุกสิ่ง ดังนั้น ฉันจะกำหนดมันแก่บรรดาผู้สำรวมตนจากความชั่ว และจ่ายซะกาตและศรัทธาในอายะฮฺทั้งหลายของฉัน”
คำแปล R4.
155. และมูซาได้เลือกจากพวกพ้องของเขาซึ่งชายเจ็ดสิบคน สำหรับกำหนดเวลาของเราครั้นเมื่อความไหวอันรุนแรงได้คร่าพวกเขา เขากล่าวว่า โอ้พระเจ้าแห่งข้าพระองค์ หากพระองค์ทรงประสงค์แล้ว พระองค์ก็ทรงทำลายพวกเขาไปก่อนแล้ว และข้าพระองค์ด้วย พระองค์จะทรงทำลายพวกข้าพระองค์ เนื่องด้วยสิ่งที่บรรดาผู้โฉดเขลาในหมู่ผู้ข้าพระองค์ได้กระทำขึ้นกระนั้นหรือ? มันมิใช่อื่นใดดอก นอกจากการทดสอบของพระองค์เท่านั้นพระองค์จะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงผิดไปเนื่องด้วยการทดสอบนั้นและจะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์นั้นคือผู้ทรงคุ้มครองพวกข้าพระองค์ ดังนั้นโปรดได้ทรงอภัยให้แก่พวกข้าพระองค์ และเอ็นดูเมตตาพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด และพระองค์นั้นคือผู้ทรงเยี่ยมกว่าในหมู่ผู้ให้อภัยทั้งหลาย
156. และโปรดได้ทรงกำหนดความดีให้แก่พวกข้าพระองค์ในโลกนี้ และในปรโลกด้วยแท้จริงพวกข้าพระองค์สำนึกผิดและกลับมายังพระองค์แล้ว พระองค์ตรัสว่า การลงโทษของข้านั้น ข้าจะให้มันประสบแก่ผู้ที่ข้าประสงค์ และการเอ็นดูเมตตาของข้านั้น กว้างขวางทั่วทุกสิ่งซึ่งข้าจะกำหนดมันให้แก่บรรดาผู้ที่ยำเกรงและชำระซะกาต และแก่บรรดาผู้ที่พวกเขาศรัทธาต่อบรรดาโองการของเรา
คำแปล R5.
๑๕๕. และเพื่อตามพระบัญชาของอัลเลาะห์ พระศาสดา
มูซาจึงได้เลือกเอาบรรดาพวกของตนเพียงเจ็ดสิบคน
จากคน ๑๒ คณะ คณะละ ๖ คน รวมได้ ๗๒ คน จำนวนนี้ กาลิบ และยูชะอ์รวมอยู่ด้วย แต่ทั้งสองขอถอนตัวออก คงเหลือ ๗๐ คน ชายทั้ง ๗๐ ที่กล่าวนี้ได้รับการคัดเลือกจากประชาชน ๑๒,๐๐๐ คนที่มิได้เคารพบูชารูปโคทอง เพื่อให้พวกเหล่านี้ทั้ง ๗๐ คน ร่วมทาง
ไปเข้าเฝ้าตามหมายกำหนดของเรา
(อัลเลาะห์)ที่สัญญากับมูซาไว้ ทั้งนี้เพื่อขอประทานอภัยโทษแก่พวกที่แสดงความเคารพบูชารูปโทอง มีจำนวนถึง ๖๒๐,๐๐๐ คน
จะย้อนกล่าวข้อความไปถึงเมื่อครั้งที่มูซาได้นำพรรคพวก ๗๐ คนไปเข้าเฝ้าอัลเลาะห์ยังภูเขาซินาย เพื่อรับพระคำปกาศิตว่า ตอนที่พระศาสดามุ่งตรงไปที่ภูเขานั้นแล้ว ได้มีกลุ่มเมฆย้อยลงมาปกคลุม มูซาเดินเข้าสู่หมอกเมฆนั้นและเอ่ยกล่าวแก่พรรคพวกของตนว่า เข้ามานี่ พวกนั้นก็เข้าไปใกล้จนล้ำเข้าสู่ความมืดมนแห่งเมฆนั้น พวกเหล่านั้นก็กราบลงสุยูด ครั้นแล้วก็ได้ยินสุรเสียงปกาศิตของอัลเลาะห์ที่ตรัสแก่มูซา ทรงบัญชาทั้งใช้และห้ามแก่มูซาว่า พีงปฏิบัติอย่างนั้น ๆ และอย่าปฏิบัติอย่างนั้น ๆ เมฆสร่างเซาแล้ว พวกนั้นจึงตรงไปยังมูซาแล้วบอกว่า พวกเราจะยังไม่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์เพราะท่านหรอก จนกว่าพวกเราจะได้เห็นองค์แห่งอัลเลาะห์ให้เป็นประจักษ์แก่สายตาเสียก่อน บัดเดี๋ยวนั้นเองจึงเกิดแผ่นดินไหวทำลายล้างพวกเหล่านั้น
ครั้นเมื่อได้เกิดแผ่นดินไหว
อย่างรุนแรง
ทำลายล้างพวกเหล่านั้น
ทั้ง ๗๐ คนแล้ว พวกเหล่านั้นก็ตายไป ๒๔ ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อเป็นการลงทัณฑ์ตอบสนองแก่พวกเขาที่ไม่ยอมปลีกตัวออกจากพวกที่เคารพบูชารูปโคทอง
เขา
(มูซา)กล่าวคำวิงวอน
ว่า โอ้องค์พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ หากพระองค์ทรงมุ่งประสงค์
จะลงทัณฑ์พวก ๗๐ คนที่กล่าว เป็นการตอบแทน
พระองค์ก็จะทรงทำลายล้างพวกเหล่านั้น
ทั้ง ๗๐ คน
เสียก่อนแล้วรวมทั้งฉันด้วย
ก่อนจากที่ฉันจะเดินทางร่วมมากับพวกนั้นเพื่อให้บนีอิสรออีลได้เห็นความตายของพวกนั้นอย่างประจักษ์ และเพื่อไม่ให้พวกบนีอิสรออีลเคลือบแคลงสงสัยว่า ฉันเป็นผู้นำพวกนั้นไปตาย ๒๔ ชั่วโมง และพระองค์จะทรงทำลายข้าพระองค์ ในตอนที่ข้าพระองค์ได้ฆ่าชายผู้หนึ่งจากพวกฟิรเอาน์
ขอพระองค์อย่าได้ทำลายล้างบรรดาข้าพระองค์
๗๐ คน
เพราะ
เหตุจากบาป
กรรมที่พวกโง่เขลา
จำนวน ๖,๘๐๐ คน
ซึ่งเป็นฝ่ายของข้าพระองค์ได้กระทำขึ้นเลย
จากคำวิงวอนของมูซาดังกล่าวมาแล้วพวกทั้ง ๗๐ คนจึงกลับคืนชีพขึ้นมา หลังจากตายไปแล้ว ๒๔ ชั่วโมง การที่พระองค์ได้ทรงให้พวกบนีอิสรออีลจำนวน ๖๒๐,๐๐๐ คน ได้ยินเสียงของรูปโคทอง
นั้นมิใช่อื่น หากแต่เป็นการทดลองจากพระองค์
แก่มวลมนุษย์โดยที่พระองค์ทรงรู้อยู่แต่ดั้งเดิมแล้วว่าพวกนั้นทั้ง ๖๒๐,๐๐๐ คนไม่มีความอดกลั้นที่จะยับยั้งการเคารพบูชารูปโคทอง
ซึ่งพระองค์ทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์
ทั้งหมด
หลงงมงาย
เพราะการได้ยินเสียงรูปโคทองนั้น ทั้งก็ทรงรู้อยู่แต่ดั้งเดิมแล้วว่าปวงชนจำนวน ๑๒,๐๐๐ คนนั้นเป็นผู้อดทนสามารถยับยั้งการเคารพบูชารูปโคทองได้
พระองค์จึงได้ทรงให้ผู้ที่พระองค์ประสงค์
จำนวน ๑๒,๐๐๐ คน
ได้รับหนทางนำ
เพราะการได้ยินเสียงของรูปโคทองนั้น
ด้วย พระองค์นั้นทรงเป็นองค์อภิรักษ์
ยิ่งแห่งร่างกาย และกิจกรรมทั้งปวง
ของบรรดาข้าพระองค์ ฉะนั้นขอพระองค์ได้โปรดอภัย
ซึ่งบาปกรรม
แก่บรรดาข้าพระองค์ และได้โปรดปราณีแก่บรรดาข้าพระองค์ อันว่าพระองค์นั้นทรงเป็นองค์เลิศยิ่งกว่าบรรดาผู้ให้อภัยทั้งหลาย
๑๕๖.
และขอพระองค์ได้โปรดให้เกิดมีมีซึ่งคุณความดี
ไม่ว่าจะโดยให้เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตามใช้และห้าม ตลอดทั้งความผาสุก
แก่บรรดาข้าพระองค์ทั้งในภพนี้และได้รับ
การตอบแทนด้วยสวรรค์
ในปรภพโดยที่บรรดาข้าพระองค์
ณ บัดนี้
ก็ได้ยอมสารภาพผิดยังพระองค์
มิได้เคารพบูชารูปโคทอง
แล้ว พระองค์ตรัสว่าโทษทัณฑ์แห่งข้านั้น ข้าก็ให้ประสบแก่ผู้ที่ข้ามุ่งหมาย ส่วนความโปรดปราณีของข้าเล่าย่อมปกแผ่ไปทั่วถึงกันหมด
ในภพนี้กล่าวคือในจำพวกที่เป็นมุอ์มินก็ดีเป็นกาฟิรก็ดีและบรรดาที่ประพฤติชอบตามใช้และห้าม ตลอดทั้งพวกผู้ทรยศก็ดี ย่อมอยู่ภายใต้ความโปรดปราณีจากข้าทั้งสิ้นในภพนี้ แต่ในภพหน้าจะได้แก่ผู้เป็นมุอ์มิน ผู้ปฏิบัติตามห้ามและตามใช้เท่านั้น
ทั้งข้าจะให้เกิดมีซึ่งสิ่ง
อันเป็นความโปรดปราณี
นั้น
ในวันปรภพ
แก่บรรดาผู้ยำเกรง
ต่ออัลเลาะห์
บรรดาผู้บริจาคซะกาต และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อโองการต่าง ๆ ของเรา
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #34 เมื่อ:
ม.ค. 07, 2012, 08:27 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 157
คำอ่าน
157. อัลละซีนะยัตตะบิอูนัรฺเราะสูลัน..นะบียัลอุม..มียัลละซี ยะญิดูนะฮูมักตูบัน อิน..ดะฮุม ฟิตเตารอติ วัลอิน..ญีลิ ยะอ์มุรุฮุม..บิลมะอฺรูฟิ วะยันฮาฮุม อะนิลมุน..กะริ วะยุหิลละละฮุมุฏฏ้ฮยยิบาติ วะยุหัรฺริมุ อะลัยฮิมุลเคาะบา...อิษะ วะยะเฎาะอุอันฮุม อิศเราะฮุม วัลอัฆลาลัลละตี กานัตอะลัยฮิม ฟัลละซีนะอามะนูบิฮี วะอัซซะรูฮุ วะนะเศาะรูฮุ วัตตะบะอุน..นูร็อลละซี...อุน..ซิละมะอะฮู อุลา...อิกะฮุมุลมุฟลิหูน
คำแปล R1.
157. Those who follow the Messenger, the Prophet who can neither read nor write (i.e.Muhammad ) whom they find written with them in the Taurat (Torah) (Deut, xviii, 15) and the Injeel (Gospel) (John xiv, 16) , - He commands them for
Al-Ma'ruf
(i.e. Islamic Monotheism and all that Islam has ordained); and forbids them from
Al-Munkar
(i.e. disbelief, polytheism of all kinds, and all that Islam has forbidden); He allows them as lawful
At-Taiyibat
[(i.e. all good and lawful) as regards things, deeds, beliefs, persons, foods, etc.], and prohibits them as unlawful
Al-Khaba'ith
(i.e. all evil and unlawful as regards things, deeds, beliefs, persons, foods, etc.), he releases them from their heavy burdens (of Allah's Covenant), and from the fetters (bindings) that were upon them. So those who believe in him (Muhammad), honour him, help him, and follow the light (the Qur'an) which has been sent down with him, it is they who will be successful.
คำแปล R2.
157. บรรดาผู้เจริญรอยตามศาสนทูต(มุฮำมัด)ซึ่งเป็นศาสดาที่อ่านเขียนไม่เป็นซึ่งพวกเขาพบ(เรื่องราวของ)เขาถูกบันทึกอยู่ ณ พวกเขาใน(คัมภีร์)เตารอฮฺและอินญีล เขา(มุฮำมัด)ใช้พวกเขาให้ประกอบคุณธรรม ห้ามพวกเขาจากสิ่งต้องห้าม และเขาอนุมัติแก่พวกเขาบรรดาสิ่งที่ดี(มีประโยชน์)และเขาออกกฎห้ามพวกเขา บรรดาสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ และเขายกเลิกจากพวกเขา ภาระและโซ่ตรวน (บัญญัติที่เข้มงวดเกินกำลัง)ที่เคยปรากฏแก่พวกเขา ดังนั้นบรรดาผู้ศรัทธาในตัวเขา(มุฮำมัด)ยกย่องเขาและช่วยเหลือเขา และพวกนั้นตามรัศมี(อัลกุรอาน)ที่ถูกประทานลงมาพร้อมกับเขา พวกเหล่านั้นย่อมเป็นพวกสมหวังโดยแท้จริง
คำแปล R3.
157.
(ดังนั้น ในตอนนี้ ความเมตตาจึงได้ถูกประทานให้แก่บรรดา)
ผู้ปฏิบีติตามรอซูลนี้ นบีผู้อ่านเขียนไม่เป็น
(นบีอุมมี)
ซึ่งพวกเขาจะได้พบการจารึกไว้ในเตารอตและในอินญีลที่อยู่กับพวกเขา เขากำชับคนเหล่านั้นให้ปฏิบัติตามคุณธรรมและห้ามปรามพวกเขาจากสิ่งที่ชั่ว เขาทำให้สิ่งที่ดีทั้งหลายเป็นที่อนุมัติสำหรับคนเหล่านั้นและทำให้สิ่งที่เลวเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพวกเขา เขาทำให้คนเหล่านั้นหลุดพ้นจากภาระหนักและปลดปล่อยพวกเขาจากโซ่ตรวนที่พันธนาการคนเหล่านั้นอยู่ ด้วยเหตุผลนี้แหละ บรรดาผู้ที่ศรัทธาในเขาให้กำลังใจแก่เขา ช่วยเหลือเขาและปฏิบัติตามแสงสว่างที่ได้ถูกส่งมากับเขาเท่านั้นจะได้รับความสำเร็จ
คำแปล R4.
157. คือบรรดาผู้ปฏิบัติตามร่อซูลผู้เป็นนบีที่เขียนอ่านไม่เป็นที่พวกเขาพบเขาถูกจารึกไว้ ณ ที่พวกเขา ทั้งในอัต-เตารอต และในอัล-อินญีลโดยที่เขาจะใช้พวกเขาให้กระทำในสิ่งที่ชอบและห้ามพวกเขามิให้กระทำในสิ่งที่ไม่ชอบและจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดี ๆ ทั้งหลาย และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา ซึ่งสิ่งที่เลวทั้งหลาย และจะปลดเปลื้องออกจากพวกเขา ซึ่งภาระหนักของพวกเขาและห่วงคอที่ปรากฏอยู่บนพวกเขา ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเขา และให้ความสำคัญแก่เขาและช่วยเหลือเขา และปฏิบัติตามแสงสว่างที่ถูกประทานลงมาแก่เขาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่สำเร็จ
คำแปล R5.
๑๕๗.
อันได้แก่บรรดาชน
ในวงศ์อิสรออีลสมัยมุฮำมัดที่ได้เจริญตามมุฮำมัด และคนในวงศ์อิสรออีล เช่น อับดุลเลาะห์บุตรสลามและพรรคพวกของเขา
ที่เจริญตามพระศาสนทูตพระศาสดา
มุฮำมัด
ผู้ไม่เป็นหนังสือ ผู้ซึ่งพวกเหล่านั้นได้พบเห็นเขา
(มุฮำมัด)
ด้วยตนเองว่า
ทั้งชื่อและคุณสมบัติของมุฮำมัด
ถูกกล่าว
ไว้เฉพาะแก่พวกนั้น
อยู่ในเตารอตและอินยีล
ว่าถึงชื่อของพระศาสดามุฮำมัดแล้วท่านค่อมีซีย์ได้อธิบายความไว้ในหนังสือพงเศาวดารของท่านเล่มหนึ่งว่าด้วยชีวประวัติของพระศาสดามุฮำมัดว่า คำว่ามุฮำมัดนี้เคยมีบ่งอยู่ในพระคัมภีร์เตารอตโดยใช้ภาษาซุรยานีว่า อัล-มุนหะมินนา ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า มุฮำมัด คือ “เกียรตินิยมจากปวงชน” แต่ในพระคัมภีร์อินยีลบ่งชื่อนี้เป็นภาษาอาหรับว่า อะห์มัด
ยังมีถ้อยคำของอัล-หะซัน บุตรมุฮำมัด อัล-ดามิฆีย์ที่ได้รับกระแสความมาจาก ก๊ะบุลอะห์บ๊าร ยืนยันว่าชื่อของพระศาสดามุฮำมัดนั้นมีนัยเป็นอันมาก คือในนามของชาวสวรรค์เรียกว่า อับดุลกะรีม ชาวนรกว่าอับดุลยับบ๊าร ชาวอัรช์ว่า อับดุลมะยีด ในหมู่มลาอิกะห์เรียก อับดุลหะมีด ในบรรดาพระศาสดาทั้งปวงเรียกว่า อับดุลวะห์ฮาบ ในพวกไชตอนว่า อับดุลกอฮิรฺ ในหมู่ยินว่า อับดุลรอฮีม สำหรับภูเขาเรียกว่า อับดุลคอลิก ภาคแผ่นดินเรียกว่า อับดุลกอดิร ภาคน้ำเรียกว่า อับดุลมุไฮมิน ในหมู่สัตว์ต่าง ๆ เรียกว่า อัลดุลฆอยย๊าซ และในหมู่สัตว์ป่าเรียกว่า อับดุลร๊อซซ๊าก
ในพระคัมภีร์เตารอตมีบ่งชื่อนี้ว่า มูซมูซ ในพระคัมภีร์อินยีลบ่งว่า ฎ๊อบฎ๊อบ ในพระคัมภีร์อื่น ๆ บ่งชื่อเป็นอากิบ และในพระคัมภีร์ซะบูรว่าฟารุกก็มี แต่สำหรับอัลเลาะห์บ่งชื่อเป็นฏอฮาและมุฮำมัด
อันว่าพวกมุอ์มินผู้เป็นประชากร(อุมมะห์)ของพระศาสดามุฮำมัดก็ดี และที่เป็นประชากรของบรรดาพระศาสนทูตองค์ก่อน ๆ จากมุฮำมัดซึ่งพวกเหล่านั้นได้ล่วงลับไปแล้วก็ดี จะต้องได้รับความโปรดปราณีจากข้าทั้งสิ้นในภพนี้ ส่วนพวกอิบลีซและสมัครพรรคพวกของมันมิได้รับความโปรดปราณีจากข้าเลยในภพนี้ เนื่องจากพวกเหล่านี้ไม่มีความยำเกรงอัลเลาะห์ยะฮูดีบางจำพวกที่ได้รับความโปรดปราณีจากอัลเลาะห์ในภพหน้าก็มี ทั้งนี้เพราะพวกนั้นมิได้เจริญตามพระศาสดามุฮำมัด สำหรับพวกกาฟิรไม่ว่าจะอยู่ในสมัยใดจะไม่ได้รับความโปรดปราณีกันเลยในภพหน้าเหตุที่พวกกาฟิรเหล่านี้ไม่เกรงกลัวอัลเลาะห์
คุณลักษณะของพระศาสดามุฮำมัดที่มีบ่งแจ้งอยู่ในพระคัมภีร์เตารอตและพระคัมภีร์อินยีลก็คือว่า
เขา
(มุฮำมัด)
จะใช้พวก
ยะฮูดี
เหล่านั้นให้มีสัมมาปฏิบัติ
ในทางศาสนาและในด้านใช้สติปัญญา เขา(มุฮำมัด)
จะห้ามพวกเหล่านั้นให้ละกิจอันมิชอบ ทั้งอนุญาตให้พวกเหล่านั้นบริโภคสิ่งดี
เช่น เนื้ออูฐ มันแกะ และโค ซึ่งแต่เดิมสิ่งเหล่านี้เคยถูกห้ามมาแล้วในบัญญัติเก่า
และห้ามพวกเหล่านั้นให้
ละการบริโภค
ของโสมม
เช่น เลือด ซากสัตว์ตายเองและอื่น ๆ จากนั้น มีเนื้อสุกรและสุนัขเป็นต้น
และเขา
(มุฮำมัด)
ยังได้ยกเลิกซึ่งภาระหนักและความเข้มงวดให้พ้นจากพวกนั้น
เช่นข้อสัญญาและข้อผูกพันต่าง ๆ ตลอดทั้งวิธีเตาบะห์ด้วยการฆ่าตนเอง และการชำระบาปด้วยอวัยวะส่วนที่ทำบาปนั้นและการชำระความสะอาดเสื้อผ้าและผิวกายที่เปรอะเปื้อนด้วยการตัดเสื้อผ้าและผิวกายส่วนนั้นออกเสีย
ซึ่งเคยเป็นภาระตกหนักแพวกเหล่านั้นมาแล้ว
ในบทบัญญัติของพระคัมภีร์เตารอต
ส่วนบรรดาชน
ยะฮูดี
ที่ศรัทธาต่อเขา
(มุฮำมัด)
ที่ยกย่องเขา ที่ช่วยปกป้องเขา
ให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรู และช่วยให้เขา(มุฮำมัด)มีชัยแก่พวกศัตรู
และที่เจริญตามพระคัมภีร์
อัล-กุรอานที่ให้
ความสว่างไสว ซึ่งถูกประทานลงมาพร้อมกับ
ให้เจริญตามโอวาทที่ใช้และที่ห้ามของ
เขา
(มุฮำมัด)
พวกเหล่านี้แหละเป็นพวกที่มีชัย
ด้วยการได้เข้าสู่สวรรค์
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #35 เมื่อ:
ม.ค. 08, 2012, 06:20 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 158 - 160
คำอ่าน
158. กุลยา..อัยยุฮัน..นาสุ อิน..นีเราะสูลุลลอฮิอิลัยกุม ญะมีอะนิลละซี ละฮูมุลกุสสะมาวาติวัลอัรฺฎฺ ลาอิลาฮะอิลลาฮุวะยุหฺยีวะยุมีต ฟะอามินูบิลลาฮิ วะเราะสูลิฮิน..นะบียิลอุม..มียิลละซี ยุอ์มินุบิลลาฮิ วะกะลิมาติฮี วัตตะบิอูฮุ ละอัลละกุมตะฮฺตะดูน
159. วะมิน..ก็อวมิมูสา อุม..มะตุย..ยะฮฺดูนะบิลหักกิ วะบิฮียะอฺดิลูน
160. วะเกาะเฏาะอฺนาฮุมุษนะตัย อัชเราะตะ อัสบาฏ็อน อุมะมา วะเอาหัยนา..อิลามูสา อิซิสตัสกอฮุ..ก็อวมุฮู..อะนิฎริบบิอะศอกัลป์หะญัรฺ ฟัม..บะญะสัต มินฮุสนะตาอัชเราะตะอัยนา ก็อดอะลิมะ กุลลุอุนาสิม..มัชเราะบะฮุม วะซ็อลลัลนาอะลัยฮิมุลเฆาะมามะ วะอัน..ซัลนาอะลัยฮิมุลมัน..นะ วัสสัลวา กุลูมิน..ฏ็อยยิบาติมาเราะซักนากุม วะมาเซาะละมูนา วะลากิน..กานู..อัน..ฟุสะฮุมยัซลิมูน
คำแปล R1.
158. Say (O Muhammad ): "O mankind! Verily, I am sent to you all as the Messenger of Allah - to whom belongs the dominion of the heavens and the earth. La ilaha illa Huwa (none has the right to be worshipped but He); it is He who gives life and causes death. So believe in Allah and his Messenger (Muhammad), the Prophet who can neither read nor write (i.e. Muhammad) who believes in Allah and his Words [(this Qur'an), the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel) and also Allah's Word: "Be!" - And he was, i.e. 'Iesa (Jesus) son of Maryam (Mary),], and follow Him so that you may be guided. "
159. And of the people of Musa (Moses) there is a community who lead (the men) with truth and establish justice therewith (i.e. judge men with truth and justice).
160. And we divided them into twelve tribes (as distinct) nations. We directed Musa (Moses) by inspiration, when his people asked him for water, (saying): "Strike the stone with your stick", and there gushed forth out of it twelve springs: each group knew its own place for water. We shaded them with the clouds and sent down upon them
Al-Manna
and the quails (saying): "Eat of the good things with which We have provided you." they harmed us not but they used to harm themselves.
คำแปล R2.
158. จงประกาศเถิด (มุฮำมัด)! โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงฉันเป็นทูตแห่งอัลเลาะฮฺมาสู่พวกท่านทั้งมวล ซึ่งพระองค์ทรงอำนาจปกครองชั้นฟ้าและแผ่นดิน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากพระองค์ ทรงทำให้มีชีวิตและทรงทำให้ตาย ดังนั้นท่านทั้งหลายจงศรัทธาต่ออัลเลาะฮฺและทูตของพระองค์เถิด ผู้เป็นศาสดาที่อ่านเขียนไม่เป็นซึ่งเขามีศรัทธาในอัลลอฮฺและพระคำ(คัมภีร์ของพระองค์ และท่านทั้งหลายจงตามเขา เพื่อพวกท่านจะได้รับการชี้นำ
159. และระหว่างกลุ่มชนของมูซานั้นมีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งทำการชี้นำ(ผู้อื่น)ด้วยสัจธรรม และพวกเขามีความยุติธรรมโดยสัจธรรมนั้น
160. และเราได้แบ่งพวกเขาออกเป็นสิบสองกลุ่มชน และเราได้ดลจิตแก่มูซาเมื่อพวกพ้องของเขาได้ขอน้ำจากเขาว่า “เจ้าจงใช้ไม้เท้าของเจ้าฟาดลงไปที่หินเถิด!” จากนั้นก็มีตาน้ำแตกอออกมาจากมัน(หิน)สิบสองตา ซึ่งคนทุกคน(ในพวกเขา)ต่างก็รู้ที่ดื่มของตนเอง และเราได้ส่งเมฆมากำบังเหนือพวกเขา และเราได้ส่ง “มันน์” และ “ซัลวา” ลงมาให้พวกเขา(แล้วเราก็มีบัญชาว่า) “พวกเจ้าจงบริโภคจากที่ดี ๆ ของสิ่งที่เราได้ให้เครื่องยังชีพแก่พวกเจ้า และพวกเขาไม่ฉ้อฉลเราได้หรอก หากทว่าพวกเขา(ต่างหาก)ที่ฉ้อฉลแก่ตัวของพวกเขาเอง
คำแปล R3.
158. (โอ้มุฮัมมัด) เจ้าจงกล่าวเถิด “มนุษย์เอ๋ยฉันเป็นรอซูลคนหนึ่งของอัลลอฮฺยังพวกท่านทั้งมวล อัลลอฮฺผู้ซึ่งเป็นเจ้าของอาณาจักรแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระองค์ทรงให้ชีวิตและทรงกำหนดความตาย ดังนั้นจงศรัทธาในอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ นบีผู้อ่านเขียนไม่เป็น ผู้ศรัทธาในอัลลอฮิและพระบัญชาของพระองค์ จงปฏิบัติตามเขาเพื่อที่สูเจ้าจะได้รับทางนำ”
159. และในหมู่ชนของมูซา มีบางคนที่นำทางผู้อื่นด้วยสัจธรรม และตัดสินกิจกรรมทั้งหลายด้วยสัจธรรมนั้น
160. และเราได้แบ่งพวกเขาออกเป็น 12 ก๊ก และทำให้พวกเขาแยกออกเป็นเผ่าต่าง ๆ เมื่อคนของเขาขอน้ำจากเขา เราได้ดลใจมูซาให้ฟาดก้อนหินด้วยไม้เท้าของเขาซึ่งทำให้มีน้ำพุ 12 ตาพุ่งออกมาจากหินนั้น และทุกเผ่าต่างก็ได้รู้ถึงแหล่งน้ำดื่มของพวกตน และเราได้ทำให้เมฆมาบังแดดให้พวกเขา และเราได้ส่งมันนะและซัลวามาเป็นอาหารของพวกเขาและกล่าวว่า “จงกินจากสิ่งที่ดีที่เราได้ประทานเป็นปัจจัยยังชีพแก่สูเจ้า” (อย่างไรก็ตาม จากการกระทำของพวกเขาหลังจากนั้น) พวกเขามิได้อธรรมต่อเรา พวกเขาอธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง
คำแปล R4.
158. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงฉันคือรอซูลของอัลลอฮฺมายังพวกท่านทั้งมวล ซึ่งพระองค์นั้นอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นของพระองค์ ไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย ดังนั้นพวกท่านจงศรัทธาต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ผู้เป็นนะบีที่เขียนอ่านไม่เป็น ซึ่งเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และดำรัสทั้งหลายของพระองค์ และพวกเจ้าจงปฏิบัติตามเขา เถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับคำแนะนำ
159. และจากพวกพ้องของมูซานั้นมีกลุ่มหนึ่งที่แนะนำชี้แจงด้วยความจริง และด้วยความจริงนั้นพวกเขาให้ความเที่ยงธรรม”
160. “และเราได้แบ่งพวกเขาออกเป็นสิบสองเหล่า คือสิบสองกลุ่ม และเราได้มีโองการแก่มูซาขณะที่พวกพ้องของเขาได้ขอน้ำจากเขาว่า จงตีหินก้อนนั้นด้วยไม้เท้าของเจ้า แล้วตาน้ำสิบสองตาก็พวยพุ่งขึ้นจากก้อนหินนั้น แท้จริงกลุ่มชนแต่ละเหล่าย่อมรู้แหล่งน้ำดื่มของตน และเราได้ให้เมฆบดบังพวกเขา และเราได้ให้ลงมาแก่พวกเขาซึ่งของหวานและนกคุ่ม พวกเจ้าจงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าจากสิ่งที่ดี ๆ เถิดและพวกเขาหาได้อธรรมแก่เราไม่ แต่ทว่าพวกเขาอธรรมแก่ตัวของพวกเขาเองต่างหาก”
คำแปล R5.
๑๕๘. โอ้มุฮำมัด
เจ้าจงกล่าวเถิดว่า โอ้มวลมนุษย์ แท้จริงฉันคือพระศาสนทูตของอัลเลาะห์
ผู้นำข้อบัญญัติใช้และข้อบัญญัติห้ามของพระองค์
มายังพวกท่านทั้งหลาย พระผู้ซึ่งเป็นองค์ปกครองบรรดาชั้นฟ้า
ทั้งเจ็ด
และผืนแผ่นดิน ไม่มีพระเจ้าใด ๆ
ที่ควรแก่การเคารพบูชาในภพนี้
เว้นแต่พระองค์ ผู้ทรงให้เกิดชีวิตและทรงให้สิ้นชีวิต ฉะนั้นพวกท่านจงศรัทธาต่ออัลเลาะห์และศาสนทูตของพระองค์ พระศาสดาผู้ไม่รู้หนังสือ ผู้มีศรัทธาต่ออัลเลาะห์และต่อพระโองการแห่ง
อัล-กุรอาน
ของพระองค์ แล้วพวกท่านจงเจริญตาม
ที่ใช้และที่ห้ามของ
เขา
(มุฮำมัด)
เสียด้วย เพื่อพวกท่านจะได้มีไหวพริบ
ปราศจากความหลงงมงาย ทั้งจะได้ประสบพบความถูกต้องโดยปราศจากความผิดพลาด
๑๕๙.
และส่วนหนึ่งจากประชากรของมูซานั้นมีคณะหนึ่งได้แนะนำ
ปวงชน
โดยความสัจจริงและได้ถือความเที่ยงธรรม
ในการตัดสินข้อพิพาท
ตาม
ความสัจจริง
นั้น
ชนคณะนี้มีอับดุลเลาะห์บุตรสลามและพรรคพวกเป็นต้น
๑๖๐.
เรา
(อัลเลาะห์)
ได้ปันพวกเหล่านั้น
ที่เป็นพวกบนีอิสรออีล
ออกเป็นสิบสองกลุ่มชน แล้วเราก็ได้ดลกระแสโองการไปยังมูซา เมื่อครั้งที่ประชาชนของเขา
(มูซา)
ได้วอนขอน้ำจากเขา
ณ แผ่นดินอัลไตฮ์ ด้วยเหตุที่พวกนั้นกระหายน้ำว่า โอ้มูซา
เจ้าจงเอาไม้เท้าของเจ้าฟาดลงยังหิน
(โปรดดูในซูเราะห์ อัล-บะก็เราะห์ โองการที่ ๖๐) มูซาก็เอาไม้เท้าของเขาฟาดลงไปที่หินตามพระบัญชา
จึงมีน้ำพุพุ่งทะลักออกจาก
หิน
นั้นสิบสองแห่ง
เท่าจำนวนกลุ่มชนที่ถูกปันไว้
แต่ละกลุ่มชนก็รู้แหล่งน้ำดื่มเฉพาะของตน
โดยสัญชาติญาณที่อัลเลาะห์ได้ทรงให้เกิดมีขึ้น เป็นวิสัยของมนุษย์
และเรา
(อัลเลาะห์)
ได้ให้เมฆบดบังพวกนั้นไว้
มืดครึ้มปราศจากความร้อนจากดวงอาทิตย์ ณ บริเวณแผ่นดินอัลไตฮ์ โดยที่เมื่อใดพวกนั้นเคลื่อนย้ายไปยังที่หนึ่งร่มเงาก็จะปกคลุมตามไปที่นั้นด้วย เมื่อพวกนั้นหยุดอยู่กับที่ ร่มเงาก็จะคงที่อยู่ตรงนั้น ครั้นเมื่อตกค่ำจะมีลำแสงรัศมีฉายเป็นลำลงมาจากเบื้องฟ้ายังความสว่างไสวแก่พวกนั้น
ทั้งเรา
(อัลเลาะห์)
ยังให้พวกนั้นได้รับประทานซึ่งน้ำตาลฟ้า
มีรูปลักษณะเหมือนหิมะใกล้รุ่ง มีรสหวาน พวกนี้แต่ละคนจะได้รับกันคนละหนึ่งซออ์ (หนึ่งซออ์เท่ากับ ๔ ลิตรอาหรับ)
และนกคุ่ม
ที่กระแสลมฝ่ายใต้พัดพานกนี้มารวมแต่ละคนจะได้รับมากน้อยตามต้องการ แล้วเรา(อัลเลาะห์)ก็บอกแก่พวกนั้นว่า
พวกเจ้าจงบริโภค
น้ำตาลฟ้าและนกคุ่มอันเป็น
อาหารดีซึ่งเราได้ให้พวกเจ้ารับบริโภคเถิด พวกนั้นมิได้คดโกงเรา
โดยการเนรคุณในความกรุณาใหญ่ของเราดังกล่าว
หรอก หากแต่พวกนั้นคดโกงตัวเองนั้นแหละ
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #36 เมื่อ:
ม.ค. 09, 2012, 06:24 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 161 - 163
คำอ่าน
161. วะอิซกีละ ละกุมุสกุนูฮาซิฮิลก็อรฺยะตะ วะกุลูมินฮาหัยสุชิอ์ตุม สุจญะดัน..นัฆฟิรฺละกุม เคาะฏี..อาติกุม สะนะซีดุลมุหฺสินีน
162. ฟะบัดดะลัลละซีนะเซาะละมู มินฮุมก็อวลันฆ็อยร็อลละซี กีละละฮุม ฟะอัรฺสัลนา อะลันฮิมริจญซัม..มินัสสะมา..อิบิมากานูยัซลิมูน
163. วัสอัลฮุม อะนิลก็อรฺยะติลละตี กานัต หาฎิเราะตัลบะหฺริ อิซยะอฺดูนะ ฟิสสับติ อิซตะอ์ตีฮิม หีตานุฮุม เยามะลายัสบิตูนะ ลาตะอ์ตีฮิม กะซาลิกะนับลูฮุม..บิมากานูยัฟสุกูน
คำแปล R1.
161. And (remember) when it was said to them: "Dwell in this town (Jerusalem) and eat therefrom wherever you wish, and say, '(O Allah) forgive our sins'; and enter the gate prostrate (bowing with humility). We shall forgive you your wrong-doings. We shall increase (the reward) for the good-doers."
162. But those among them who did wrong changed the word that had been told to them. So we sent on them a torment from heaven in return for their wrong-doings.
163. And ask them (O Muhammad) about the town that was by the sea, when they transgressed in the matter of the
Sabbath
(i.e. Saturday): when their fish came to them openly on the Sabbath day, and did not come to them on the day they had no Sabbath. Thus we made a trial of them for they used to rebel (See the Qur'an: V.4:154).
คำแปล R2.
161. และเมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า “พวกท่านจงอยู่ในเมืองนี้เถิด และท่านทั้งหลายจงบริโภคจากมัน(เมืองนั้น)ตามที่พวกท่านปรารถนา และพวกท่านจงกล่าวว่า “ขอให้ร่วงหลุดเถิด(บาปของเรา)” และท่านทั้งหลายจงเข้าประตู(เมือง)นั้น โดยความนอบน้อมเถิด แน่นอนเราจักให้อภัยแก่พวกเจ้า บรรดาความผิดของพวกเจ้า เราจะเพิ่มพูนบรรดาผู้ทำดีทั้งมวล
162. ครั้นแล้วบรรดาผู้ฉ้อฉลจากพวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงถ้อยคำซึ่งไม่เป็นไปตามที่พวกเขาถูกสั่งมา ดังนั้น เราจึงส่งโทษทัณฑ์ให้ลงมาจากฟากฟ้าประสบแก่พวกเขา เพราะเหตุที่พวกเขาเคยฉ้อฉล
163. และจงถามพวกเขาเกี่ยวกับ(ชาว)เมืองที่อยู่ใกล้ทะเล(คือเมืองอัยละฮฺ หรือฏิบรียะฮฺ หรือมัดยัน หรือก็ลียา หรือเมืองหนึ่งในชามใกล้ทพเล) เมื่อพวกเขาล่วงละเมิด(บทบัญญัติห้ามการจับปลา)ในวันเสาร์(วันประกอบพิธี) เมื่อฝูงปลาได้มาสู่พวกเขาในวันเสาร์ โดยปรากฏตัวชัดบนผิวน้ำ และในวันที่พวกเขาไม่ทำพิธีวันเสาร์ ฝูงปลาดังกล่าวก็ไม่มายังพวกเขา เช่นนั้น! เราทดสอบพวกเขาเพราะเหตุที่พวกเขาเคยฝ่าฝืน
คำแปล R3.
161. และจงนึกถึงเมื่อตอนที่ได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงพำนักอยู่ในเมืองนี้และจงบริโภคผลผลิตจากมันตามที่สูเจ้าประสงค์และจงกล่าว “ฮิตเฏาะตุน” และจงเข้าประตูของเมืองด้วยความนอบน้อมถ่อมตน เราจะให้อภัยบาปของสูเจ้าและเราจะเพิ่มพูนรางวัลแก่ผู้ประกอบการดี”
162. แต่บรรดาผู้อธรรมในหมู่พวกเขาได้เปลี่ยนคำพูดที่ได้ถูกบอกแก่พวกเขา ดังนั้น เราจึงได้ส่งการลงโทษมายังพวกเขา จากชั้นฟ้า ทั้งนี้เพราะความผิดที่พวกเขาได้กระทำ
163. และจงถามพวกเขาเกี่ยวกับเมืองที่ตั้อยู่บนฝั่งทะเล(จงเตือนให้พวกเขานึกถึง)เมื่อพวกเขาละเมิดกฎในวันสับบะโต ซึ่งในวันนั้นฝูงปลาได้ลอยมาปรากฏบนผืนน้ำต่อหน้าพวกเขา แต่วันอื่นที่ไม่ใช่วันสับบะโต ฝูงปลากลับไม่มาปรากฏ นี่เป็นเพราะเรากำลังทอสอบพวกเขาอันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนที่พวกเขาได้กระทำ
คำแปล R4.
161. และเมื่อถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า จงอยู่ในเมืองนี้เถิด และจงบริโภคจากเมืองนั้น ณ ที่ใดก็ได้ที่พวกเจ้าประสงค์ และจงกล่าวว่า ฮิฏเฏาะฮฺและจงเข้าประตูนั้นไปในสภาพผู้โน้มศีรษะลงด้วยความนอบน้อม เราก็จะอภัยโทษให้แก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาความผิดของพวกเจ้า และเราจะเพิ่มพูนแก่บรรดาผู้กระทำความดี
162. แล้วบรรดาผู้อธรรมเหล่านั้นได้เปลี่ยนเอาคำพูดหนึ่งซึ่งมิใช่คำพูดที่ถูกกล่าวแก่พวกเขาดังนั้นเราจึงได้ส่งการลงโทษจากฟากฟ้ามายังพวกเขาเนื่องจากที่พวกเขาละเมิด
163. และเจ้าจงถามพวกเขาถึงเมืองที่เคยอยู่ใกล้ทะเลขณะที่พวกเขาละเมิดในวันสับบะโต ทั้งนี้ขณะที่บรรดาปลาของพวกเขามายังพวกเขาในวันสับบะโตของพวกเขาในสภาพลอยตัวให้เห็นบนผิวน้ำและวันที่พวกเขาไม่ถือว่าเป็นวันสับบะโตนั้น ปลาเหล่านั้นหาได้มายังพวกเขาไม่ในทำนองนั้นแหละเราจะทดสอบพวกเขา เนื่องด้วยการที่พวกเขาละเมิด
คำแปล R5.
๑๖๑.
และ
โอ้มุฮำมัด
จงระลึกเมื่อคราว
บรรพบุรุษของ
พวกเหล่านั้นถูก
พระนบีมูซาหรือยูชะอ์
สั่งว่า พวกท่านจงพักอาศัย ณ ตำบล
ไปตุลมักดิซ
นี้
หลังจากที่ได้อพยพย้ายจากแผ่นดินอัลไตฮ์แล้ว
และพวกเจ้าจงบริโภค
อาหารและผลไม้
เถิดจากส่วน
ที่ อยู่ ณ บริเวณตำบล
นั้นตามที่พวกเจ้าต้องการ
โดยไม่มีผู้ใดยุ่งเกี่ยวได้
ทั้งพวกเจ้าจงกล่าวว่า
ขอได้โปรด
“อภัยด้วยเทอญ”
ตามคำขอของพวกเรา
และพวกเจ้าจงเข้าไปทางประตูแห่ง
ตำบล
นั้น โดยการน้อมศีรษะเถิด เรา
(อัลเลาะห์)
จะให้อภัยซึ่งบาปกรรมแก่พวกเจ้า เรายังจะเพิ่มพูน
บุญกุศล
แก่ผู้ประพฤติดีทั้งหลาย
ด้วยการปฏิบัติตามใช้และตามห้าม
อีกด้วย
๑๖๒.
ส่วนหนึ่งจากพวกเหล่านั้น บรรดาที่คดโกงได้เปลี่ยน
ทั้งการกระทำและ
ถ้อยคำให้เป็นอื่นจากที่พวกเขาได้สั่งไว้
ว่า ให้พวกเจ้ากล่าวคำขออภัยและเข้าไปสู่ประตูแห่งตำบลไบตุลมักดิซ โดยการน้อมศีรษะเคารพ แต่พวกนั้นกลับเปลี่ยนคำว่า ฮิฎเฎาะห์ (ขออภัยด้วยเทอญ) เป็นคำว่า ซะฮ์เราะห์ (ขนในที่ลับ) และเปลี่ยนกิริยาเข้าสู่ประตูนั้นโดยการน้อมศีรษะเป็นการกระเถิบก้นเข้าไป
ดังนั้นเรา
(อัลเลาะห์)
จึงให้เกิดโรคระบาดจากฟากฟ้าลงมาทำลายพวกนั้น
ตายเสียเจ็ดหมื่นคนในเวลาเดียวกัน
ฐานที่พวกนั้น
คดโกงโดยการ
ละเมิด
ซึ่งคำสั่ง
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้
พวกยะฮูดีกล่าวอ้างว่า การไม่เชื่อก็ดี การขัดแย้งอัลเลาะห์ก็ดี ไม่มีในหมู่ยะฮูดี พวกยะฮูดีเหล่านี้ทราบข้อเท็จจริงที่ปรากฏแก่ชาวตำบลนี้ดี แต่พวกนี้พยายามปกปิดกันไว้ โดยคิดว่าไม่มีใครจะรู้สิ่งนั้นได้ ดังนั้นอัลเลาะห์จึงทรงบัญชาใช้ให้พระนบีมุฮำมัดถามพวกยะฮูดีนั้นถึงความเป็นไปของชาวตำบลนั้น และถามถึงสิ่งที่ปรากฏแก่ชาวตำบลนั้นด้วย เพื่อจะตำหนิและข่มขู่ให้พวกยะฮูดีนั้นรับว่าพวกตนรู้ถึงสภาพความเป็นไปของชาวตำบลนั้นได้อย่างไร ครั้นแล้วพระนบีมุฮำมัดก็เล่าประวัติของชนชาวตำบลดังกล่าวให้พวกนั้น พวกนั้นจึงทึ่งและต่างก็งงไปตาม ๆ กัน ข้ออ้างอันเป็นเท็จของพวกนั้นก็ประจักษ์ขึ้น ณ บัดนั้นเอง อันที่จริงแล้วประวัติความเป็นไปของชาวตำบลนั้นมีมาช้านานแล้ว ในยุคของพระศาสดาดาวูดโน้น กล่าวดังนี้
๑๖๓.
และ
โอ้มุฮำมัด
เจ้าจงถามพวกพวก
ยะฮูดี
เหล่านั้นถึง
สถานการณ์อันปรากฏแก่ชน
ชาวตำบล
ไอละห์
ซึ่งตั้งอยู่ชายทะเล
ก็อลซูม (ชื่อนี้ปัจจุบันเรียกว่าทะเลแดง)
ในคราเมื่อพวกนั้นได้ละเมิดขอบเขตในวันเสาร์
โดยการออกจับปลา ซึ่งพวกเขาถูกห้ามว่าให้ละเว้น
เมื่อหมู่ปลาขึ้นน้ำปรากฏแก่พวกนั้นในวันเสาร์ แต่ในวันอื่นซึ่งมิใช่วันเสาร์
ปลาเหล่านั้น
มันจะไม่ปรากฏแก่พวกเขาเลย
นี้เหมือนกับว่าเป็นการทดลองจากฝ่ายอัลเลาะห์เพื่ออยากจะรู้ ทั้งที่พระองค์นั้นทรงรู้อยู่แต่ดั้งเดิมว่า พวกนั้นอดใจไม่ได้ที่จะออกทำการจับปลา
การ
เหมือนดั่งวิธีทดลองให้มีปลาขึ้นน้ำชุกชุมในวันเสาร์ และมิให้ปรากฏมีปลาขึ้นในวันอื่น
เช่นนี้แหละ เรา
(อัลเลาะห์)
ถึงได้ลงทัณฑ์พวกนั้น ฐานที่พวกนั้นฝ่าฝืน
ไม่ละเว้นกระทำบาป
ชาวตำบลไอละห์นั้นจำแนกกันเป็นสามจำพวก พวกหนึ่งเอาแต่จะทำการประมงในวันเสาร์ถ่ายเดียว พวกสองไม่กระทำแต่ไม่ยอมปลีกตัวจากพวกแรก ส่วนอีกพวกหนึ่งงดเว้นทำการประมงในวันเสาร์เด็ดขาด แล้วยังปลีกตัวหนีพ้นจากพวกที่กระทำการประมง
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #37 เมื่อ:
ม.ค. 10, 2012, 06:42 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 164 - 166
คำอ่าน
164. วะอิซกอลัต อุม..มะตุม..มินฮุม ลิมะตะอิซูนะ ก็อวมะนิลลาฮุ มุฮฺลิกุฮุม เอามุอัซซิบุฮุม อะซาบัน..ชะดีดา กอลูมะอฺซิเราะตัน อิลาร็อบบิกุม วะละอัลละฮุม ยัตตะกูน
165. ฟะลัม..มานะสู มาซุกกิรูบิฮี..อัน..ญัยนัลละซีนะ ยันเฮานะอะสสู...อิ วะอะค็อซนัลละซีนะเซาะละมู บิอะซาบิม..บะอีสิม..บิมากานูยัฟสุกูน
166. ฟะลัม..มาอะเตา อัม..มานุฮูอันฮุ กุลนาละฮุมกูนู กิเราะดะตันคอสิอีน
คำแปล R1.
164. And when a community among them said: "Why do you preach to a people whom Allah is about to destroy or to punish with a severe torment?" (The preachers) said: "In order to be free from guilt before your Lord (Allah), and perhaps they may fear Allah."
165. So when they forgot the reminding that had been given to them, we rescued those who forbade evil, but we seized those who did wrong with a severe torment because they used to rebel (disobey All h).
166. So when they exceeded the limits of what they were prohibited, we said to them: "Be you monkeys, despised and rejected." (It is a severe warning to the mankind that they should not disobey what Allah commands them to do, and be far away from what He prohibits them).
คำแปล R2.
164. และเมื่อมีประชาชาติกลุ่มหนึ่งจากพวกเขากล่าวว่า “เพราะอะไรท่านทั้งหลายจึงอบรมคนกลุ่มหนึ่งซึ่งอัลเลาะฮฺจะทำลายล้างพวกเขา หรือจะทำการลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรง พวกเขา(ผู้อบรม)กล่าวว่า (ที่เราทำเช่นนั้น) ก็เพื่อเป็นการขออโหสิต่อองค์อภิบาลของพวกท่าน และเพื่อพวกเขาจะได้ยำเกรง
165. ต่อมาเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่ถูกนำมาเตือนพวกเขา(สัญญาการลงโทษ) เราได้ยังความปลอดภัยแก่บรรดาผู้ที่ห้ามจากความชั่วร้ายและเราได้ลงโทษแก่บรรดาผู้ฉ้อฉลด้วยการลงโทษอันร้ายแรง เพราะเหตุที่พวกเขาฝ่าฝืน
166. ครั้นเมื่อพวกเขาล่วงละเมิดจากสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามไว้ เราก็กล่าว(สาป)แก่พวกเขาว่า “พวกเจ้าจงเป็นลิงอันต่ำต้อยเถิด”
คำแปล R3.
164.
(จงเตือนให้พวกเขานึกถึงอีกด้วยว่า)
เมื่อพวกเขาบางคนถามว่า “ทำไมพวกท่านถึงได้ตักเตือนผู้คนที่อัลลอฮฺจะทรงทำลายพวกเขาหรือจะทรงลงโทษอย่างหนัก?” พวกเขาตอบว่า “เราปฏิบัติตามหน้าที่ของเราที่มีต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่านและเพื่อพวกเขาจะได้สำรวมตนต่อความชั่ว”
165. อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้ลืมคำสอนที่พวกเขาได้ถูกเตือนให้รำลึก เราได้ช่วยบรรดาผู้ที่เคยห้ามปรามการชั่วให้ได้รับความปลอดภัย และเราได้ลงโทษผู้อธรรมอย่างรุนแรง ทั้งนี้เพราะความฝ่าฝืนที่พวกเขาได้กระทำ
166. ดังนั้น เมื่อพวกเขายังดึงดันในสิ่งที่พวกเขาได้ถูกห้าม เราจึงได้กล่าวแก่พวกเขาว่า “จงกลายเป็นลิงที่อัปลักษณ์”
คำแปล R4.
164. และจงรำลึกขณะที่กลุ่มหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า เพราะเหตุใดเล่าพวกท่านจึงตักเตือนกลุ่มชนที่อัลลอฮฺจะทรงเป็นผู้ทำลายพวกเขาหรือเป็นผู้ลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรง? พวกเขากล่าวว่า (การที่เราตักเตือนนั้น) เพื่อเป็นข้ออ้างต่อพระเจ้าของพวกเจ้า และเพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรง
165. ครั้นเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนในสิ่งนั้น เราก็ช่วยเหลือบรรดาผู้ที่ห้ามปรามการทำชั่วให้รอดพ้นและได้จัดการแก่บรรดาผู้ที่อธรรมเหล่านั้น ด้วยการลงโทษอันรุนแรงเนื่องด้วยการที่พวกเขาละเมิด
166. ครั้นเมื่อพวกเขาละเมิดสิ่งที่พวกเขาถูกห้ามในสิ่งนั้นแล้ว เราก็ประกาศิตแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจงเป็นสิ่งที่ถูกขับไล่ให้ห่างไกล
คำแปล R5.
๑๖๔.
และ
โอ้มุฮำมัด เจ้าจงระลึกถึง
ในคราเมื่อชนคณะหนึ่งจากพวก
ในตำบล
นั้น
ที่มิได้ทำการประมงและที่มิได้ห้ามทำการประมง
ได้กล่าว
แก่พวกที่ห้ามทำการประมง
ว่า ทำไมพวกท่านจึงขู่ชนอีกพวกหนึ่งว่าอัลเลาะห์ทรงทำลายล้างพวกนั้น
ในภพนี้
หรือจะทรงทรมานพวกนั้นสถานหนัก
ในภพหน้า
เล่า พวกเหล่านั้น
ที่ห้ามทำการประมง
ตอบว่า
คำขู่ของพวกนั้นไม่น่าเป็นที่ตำหนิอะไรสำหรับพวกท่าน ที่ขู่นั้น
เพียงเป็นข้อแก้ตัวต่อองค์ผู้อภิบาลแห่งพวกท่าน
เพื่อให้พวกเราพ้นตำหนิจากพระองค์
เท่านั้น
ทั้งนี้เพื่อว่าพวกเราจะได้ไม่ถูกข้อหาจากอัลเลาะห์ว่ามีความสะเพร่า ที่ไม่ห้ามกระทำการประมง
และเพื่อที่พวกนั้นจักได้หวั่นเกรง
ในอันที่จะออกทำการจับปลา
๑๖๕.
ครั้นเมื่อพวกเหล่านั้น
ที่ประกอบการประมง
เมินเฉยจาก
ถ้อยคำ
ที่พวกเขาถูกขู่เสียแล้ว
แถมยังดื้อ ไม่ยอมละเว้นจากการประมง
เรา
(อัลเลาะห์)
ก็ให้ความปลอดภัยแก่บรรดาผู้ที่ห้ามปรามการชั่ว
แห่งการทำประมง
นั้น แต่เราจะเอาโทษที่แสนเลวแก่บรรดาผู้ตดโกงที่ดื้อ
ทำการประมงกัน
ในฐานะที่พวกนั้นฝ่าฝืน
กระทำการประมงในวันเสาร์
๑๖๖.
ครั้นเมื่อพวกเหล่านั้น
ที่ประกอบการประมง
อวดดี มิฟังข้อ
บัญญัติห้ามทำการประมง
ที่พวกเขาถูกห้ามไว้แล้ว เรา
(อัลเลาะห์)
ก็กล่าว
สาป
แก่พวกนั้นว่า เจ้าจงเป็นลิงที่ตำทรามเถิด
พวกนั้นจึงกลายสภาพเป็นลิงทันที ถัดจากนั้นก็ตายไปถึงสามวัน ส่วนพวกซึ่งไม่ออกปากห้ามผู้ที่ทำการประมงนั้น ยังมีทัศนะจากปวงปราชญ์เห็นขัดแย้งกันอยู่ ว่าอาจพ้นโทษหรือถูกลงโทษด้วยการสาปให้เป็นลิง
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #38 เมื่อ:
ม.ค. 11, 2012, 06:26 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 167 - 170
คำอ่าน
167. วะอิซตะอัซซะนะร็อบบุกะ ละยับอะษัน..นะอะลัยฮิม อิลาเยามิลกิยามะติ มัย..ยะสูมุฮุม สู...อัลอะซาบ อิน..นะร็อบบะกะละสะรีอุลอิกอบ วะอิน..นะฮู ละเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
168. วะก็อฏเฏาะอฺนาฮุม ฟิลอัรฺฎิ อุมะมา มินฮุมุศศอลิหูนะ วะมินฮุมดูนะซาลิก วะบะเลานาฮุม..บิลหะสะนาติ วัสสัยยิอาติละอัลละฮุม ยัรฺญิอูน
169. ฟะเคาะละฟะมิม..บะอฺดิฮิม ค็อลฟู..วะริษุลกิตาบะ ยะอ์คุซูนะ อะเราะฌาะ ฮาซัลอัดนา วะยะกูลูนะ สะยุฆฟะรูละนา วะอี..ยะอ์ติฮิม อะเราะฎุม..มิษลุฮู ยะอ์คุซูฮฺ อะลัมยุอ์ค็อซอะลัยฮิม..มีษากุลกิตาบิ อัลลายะกูลู อะลัลลอฮิ อิลัลหักเกาะ วะดะเราะสูมาฟีฮฺ วัดดารุลอาคิเราะตุ ลิลละซีนะยัตตะกูน อะฟะลาตะอฺกิลูน
170. วัลละซีนะ ยุมัสสิกูนะ บิลกิตาบิ วะอะกอมุศเศาะลาตะ อิน..นาลานุฎีอุ อัจญร็อลมุศลิหีน
คำแปล R1.
167. And (remember) when your Lord declared that He would certainly keep on sending against them (i.e. the Jews), till the Day of Resurrection, those who would afflict them with a humiliating torment. Verily, your Lord is quick in retribution (for the disobedient, wicked) and certainly He is Oft-Forgiving, Most Merciful (for the obedient and those who beg Allah's Forgiveness).
168. And We have broken them (i.e. the Jews) up into various separate groups on the earth, some of them are righteous and some are away from that. And We tried them with good (blessings) and evil (calamities) In order that they might turn (to Allโh's Obedience).
169. Then after them succeeded an (evil) generation, which inherited the Book, but they chose (for themselves) the goods of this low life (evil pleasures of this world) saying (as an excuse): "(Everything) will be forgiven to us." and if (again) the offer of the like (evil pleasures of this world) came their way, they would (again) seize them (would commit those sins). Was not the covenant of the Book taken from them that they would not Say about Allah anything but the truth? And they have studied what is in it (the Book). And the home of the Hereafter is better for those who are
Al-Muttaqun
(the pious - see V.2:2). Do not you then understand?
170. And as to those who hold fast to the Book (i.e. act on its teachings) and perform As-Salat (Iqamat-as-Salat), Certainly, we shall never waste the reward of those who do righteous deeds.
คำแปล R2.
167. และเมื่อองค์อภิบาลของเจ้าได้ประกาศว่า “ขอยืนยัน! แท้จริงจะได้รับการส่งตัวมายังพวกเขาตราบถึงวันชาติหน้า บุคคลที่ลิ้มรสแก่พวกเขาซึ่งการลงโทษอันเลวร้าย แท้จริงองค์อภิบาลของเจ้าทรงลงโทษอย่างรวดเร็ว และแท้จริงพระองค์ทรงให้อภัยอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
168. และเราได้แบ่งพวกเขาเป็นหลายประชาชาติในแผ่นดิน บางส่วนของพวกเขาเป็นคนดี และบางส่วนของพวกเขาก็อื่นจากนั้น และเราได้ทดสอบพวกเขา ทั้งด้วยสิ่งดีงามและสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย เพื่อพวกเขาจะได้คืนกลับ(สู่อัลเลาะฮฺ)
169. ครั้นต่อมาก็มีผู้สืบทอดภายหลังจากพวกเขาได้สืบทอดคัมภีร์(เตารอฮฺ)มาเป็นมรดก พวกเขายึดเอาผลประโยชน์ของโลกอันต่ำต้อยนี้ และพวกเขาพูดว่า “ต่อไปพวกเราก็จะได้รับการให้อภัย(ในบาปต่าง ๆ ของเรา)” และหากแม้นว่ามีผลประโยชน์(อันต่ำต้อย)เท่ากับมันมาสู่พวกเขา พวกเขาก็จะเอามันไว้ ก็ถูกเอาสัญญาแก่พวกเขาในคัมภีร์(เตารอฮฺ)มิใช่หรือ?ว่า “มิให้พวกเขากล่าวแก่อัลเลาะฮฺนอกจากความจริงเท่านั้น” และพวกเขาเองก็ได้ศึกษาสิ่งที่ปรากฏใน(คัมภีร์)นั้น และโลกหน้าย่อมประเสริฐสุดสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย แล้วไฉนพวกเจ้าจึงมิไตร่ตรอง
170. และบรรดาผู้ยึดมั่นในคัมภีร์และดำรงการละหมาดไว้ แน่นอนเราย่อมไม่สลายรางวัลของบรรดาผู้ปรับปรุง(ตัวเองโดยการประกอบคุณงามความดี)
คำแปล R3.
167.
(และจงนึกถึง)
เมื่อพระผู้อภิบาลของเจ้าได้ทรงประกาศว่า “ฉันจะให้มีผู้คนที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่าแก่พวกอิสรออีลจนถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ” แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงฉับพลัยในการตอบแทน และแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
168. และเราได้แบ่งพวกเขาออกเป็นหลายกลุ่มชนแยกกระจายไปทั่วในแผ่นดิน บางกลุ่มชนเป็นคนดี และบางกลุ่มก็แตกต่างไปจากนั้น เราได้ทดสอบพวกเขาด้วยความสุขความเจริญและด้วยความทุกข์เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้หันกลับมา
169. หลังจากพวกเขาแล้วก็มีคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบช่วงต่อโดยได้รับสืบทอดคัมภีร์มาด้วย แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็คว้าเอาสิ่งที่ให้ความสุขเพียงชั่วครู่ชั่วยามแห่งโลกนี้ และยังกล่าวอีกว่า “เราจะได้รับการให้อภัย” และถ้าสิ่งที่ให้ความสุขเพียงชั่วแล่นเยี่ยงนี้มาปรากฏต่อหน้าพวกเขาอีก พวกเขาก็จะคว้ามันอีก พันธะสัญญาแห่งคัมภีร์มิได้กำหนดไว้แก่พวกเขาหรือว่าพวกเขาจะไม่กล่าวสิ่งใดถึงอัลลอฮฺนอกไปจากความจริง? และพวกเขาเองก็ได้เรียนรู้เป็นอบ่างดีแล้วถึงสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์นั้น และที่พำนักแห่งปรโลกนั้นดีกว่าสำหรับผู้ยำเกรงอัลลอฮฺ สูเจ้าไม่เข้าใจแม้แต่สิ่งนี้กระนั้นหรือ?
170. สำหรับบรรดาผู้ยึดมั่นตามคัมภีร์และดำรงรักษาการนมาซ เราจะไม่ปล่อยให้รางวัลของคนดีเช่นนั้นต้องเสียหาย
คำแปล R4.
167. และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้แจ้งให้ทราบว่า แน่นอนพระองค์จะส่งมาให้มีอำนาจเหนือพวกเขาจนถึงวันกิยามะฮฺ ซึ่งผู้ที่จะบังคับขู่เข็ญพวกเขา ด้วยการทรมานอันร้ายแรงแท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น ทรงเป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา
168. และเราได้แยกพวกเขาออกเป็นกลุ่ม ๆ ในแผ่นดินจากพวกเขานั้นมีคนดี และจากพวกเขานั้นมีอื่นจากนั้นและเราได้ทดสอบพวกเขาด้วยบรรดาสิ่งที่ดีและบรรดาสิ่งที่ชั่ว เพื่อว่าพวกเขาจะกลับมา
169. แล้วได้มีกลุ่มชั่วกลุ่มหนึ่งสืบแทนหลังจากพวกเขา ซึ่งได้รับช่วงคัมภีร์ไว้ โดยที่พวกเขารับเอาสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แห่งโลกนี้ และกล่าวว่ามันจะถูกอภัยให้แก่เรา และหากมีสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เยี่ยงเดียวกันนั้นมายังพวกเขา พวกเขาก็รับเอามันอีก มิได้ถูกเอาแก่พวกเขาดอกหรือ ซึ่งข้อสัญญาแห่งคัมภีร์ว่า พวกเขาจะไม่กล่าวพาดพิงเกี่ยวกับอัลลอฮฺ นอกจากความจริงเท่านั้น และพวกเขาก็ได้ศึกษาสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์นั้นแล้ว และที่พำนักแห่งปรโลกนั้นคือสิ่งที่ดียิ่งสำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรงพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ?”
170. และบรรดาผู้ที่ยึดถือคัมภีร์ และดำรงไว้ซึ่งการละหมาดนั้น แท้จริงเราจะไม่ให้สูญไปซึ่งรางวัลของผู้ปรับปรุงแก้ไขทั้งหลาย
คำแปล R5.
๑๖๗.
และ
โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกยะฮูดีในสมัยของเจ้าถึง
คราเมื่อองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ทรงประกาศ
แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกยะฮูดีเหล่านั้น
ให้รู้ว่าแน่นอนทีเดียว พระองค์จะทรงให้ผู้หนึ่งซึ่งทำให้พวก
ยะฮูดี
เหล่านั้นได้รับรสแห่งโทษร้าย
ด้วยเป็นผู้ต่ำต้อยและถูกเรียกเก็บรัชชูปการ
มาปกครองพวก
ยะฮูดี
นั้นไปจนวันกิยามะห์
ดังนั้นพระองค์จึงทรงตั้งให้พระศาสดาสุไลมานเป็นผู้ปกครองพวกนั้น และผู้ปกครองในยุคถัดจากสุไลมานได้แก่บุคตะนัซซ็อร ผู้แกครองทั้งสองท่านนี้ได้ฆ่าพวกเหล่านั้นที่พยายามสู้รบ แล้วจับเอาตัวผู้หญิงกับพวกเด็ก ๆ ไปเป็นเชลย และได้แจ้งอัตราค่ารัชชูปการเป็นรายปีแก่ผู้ชายที่มิได้ออกรบทราบ พวกที่เสียค่าคุ้มครองเหล่านี้ต้องชำระให้แก่พงกมยูซีย์(พวกบูชาไฟ)เสมอมา จนลุสมัยของพระศาสดามุฮำมัดและยังคงต้องชำระค่าคุ้มครองดังกล่าวแก่พระศาสดามุฮำมัดอีกด้วย
แท้จริงองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าทรงฉับไวในการวินิจฉัย
โทษของผู้ทรยศต่อพระองค์
และพระองค์นั้นทรงยิ่งในการอภัย
แก่ผูที่จงรักภักดีต่อพระองค์
ทรงยิ่งในความปรานี
ต่อบรรดาผู้ภักดีเหล่านั้น
๑๖๘.
และเรา
(อัลเลาะห์)
ได้ปันพวกเหล่านั้น
ที่เป็นบรรพบุรุษของพวกยะฮูดีให้กระจัดกระจาย
ออกเป็นหลายกลุ่มชน ณ พิภพนี้
จนกระทั่งพวกเหล่านี้ หมดอำนาจซึ่งจะไม่พบเห็นในโลกเลยว่ามีประเทศใดที่เป็นของพวกนี้ เห็นอยู่แต่ว่าพวกเหล่านี้มีกระจัดกระจายทั่งทุกหนแห่งในโลก
ส่วนหนึ่งจากพวก
ยะฮูดี
เหล่านั้น
ซึ่งอยู่ในยุคก่อนพระศาสดามุฮำมัด
เป็นพวกที่ประพฤติชอบก็มี และพวกที่อื่นจากนั้นก็มี
ทั้งที่เป็นกาฟิรและเป็นคนมุอ์มินที่ประพฤติบาปใหญ่หลวง
ทั้งเรา
(อัลเลาะห์)
นั้น
เหมือนกับ
จะลองใจพวกเหล่านั้นด้วย
การอำนวยให้พวกนั้นได้รับซึ่ง
คุณความดีบ้างและด้วยความชั่วร้ายบ้าง
ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงรู้อยู่แต่เดิมแล้วว่าใครบ้างจะระลึกหรือไม่ระลึกถึงบุญคุณ แล้วพระองค์ก็จะทรงตอบแทนผลแก่ผู้นั้นทั้งสองพวก หรือว่าใครบ้างจะอดทนหรือไม่อดทนต่อความชั่วร้าย แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนผลแก่ผู้นั้นทั้งสองพวก
เพื่อว่าพวกนั้นจะได้ถอยคืน
จากความไม่เชื่อและบาปกรรมที่ใหญ่หลวง
๑๖๙.
แล้วก็ถึงชนยุคหลังที่
เป็นยุคของมุฮำมัด ซึ่งพวกยะฮูดีในยุคนี้
รับสืบทอดซึ่งพระคัมภีร์เตารอตต่อจาก
บรรพบุรุษของ
พวกเหล่านั้นได้ฉวยเอาลาภแค่เอื้อม
จากค่าสินบนซึ่งพวกเขาได้มันมาเพราะการตัดสินคดีความบ้าง และเพราะแก้คุณลักษณะของมุฮำมัดในพระคัมภีร์เตารอตให้บิดเบือนไปบ้าง เพื่อให้ชนชั้นต่ำที่โง่เง่าหันเหจากการเชื่อพระศาสดามุฮำมัด ทั้งพวกเขายังได้รับเงินค่าคุ้มครองเป็นรายปีจากพวกที่โง่เง่าเหล่านี้เสมอมาอีกด้วย
แต่พวกเขากล่าว
แก้
ว่า
บาปกรรมจากการรับสินบนก็ดี และจากการแก้คุณลักษณะของมุฮำมัดให้บิดเบือนเป็นอื่นก็ดี
เราจะได้รับการอภัย และถ้าลาภเช่นนั้น
จะเป็นค่าสินบนก็ดี และเป็นค่าแก้คุณลักษณะของมุฮำมัดในเตารอตให้บิดเบือนไปก็ดี
มีมายังเขาอีก พวกเขาจะรับเอาอีก
และพวกเขาก็หวังต่อการได้รับอภัยในการรับมันไว้ พวกเขาหันมาประพฤติเหมือนดั่งที่เคยประพฤติกันมาก่อน ทั้ง ๆ ที่ความประพฤติอย่างนี้ไม่เคยมีสัญญายกโทษอ้างอยู่ในคัมภีร์เตารอตเลย
ข้อสัญญาในพระคัมภีร์
เตารอต
นั้นได้บ่งผูกมัดพวกเขาไว้แล้วว่า มิให้พวกเขาพูดจาเกี่ยวข้องกับอัลเลาะห์ นอกจาก
จะต้องพูด
โดยความสัจจริง และพวกเขาก็ได้อ่านความ
แห่งสัญญาดังกล่าว
ใน
พระคัมภีร์เตารอต
นั้นกันมาแล้ว
ทำไมเล่าพวกเขาถึงได้ชอบอ้างเท็จแอบอิงถึงอัลเลาะห์ หาว่ามีการอภัยให้พวกเขาที่กระทำบาปนั้น อันว่าพระคัมภีร์เตารอตนั้นมีแต่เพียงว่า การอภัยจะมีให้แก่ผู้ที่เลิกกระทำบาปเท่านั้น
แหละว่าสถานอาคิเราะห์นั้นย่อมดีเลิศ
กว่าการรับเอาลาภแค่เอื้อมที่กล่าวแล้ว
สำหรับบรรดาผู้หวั่นเกรง
ต่อการประพฤติบาป
พวกเจ้าก็ไม่ได้ตรึกครองเลย
ว่า วันในภพหน้านั้นดีเลิศกว่าวันในภพนี้มากนัก ซึ่งพวกเขาจะต้องเลือกวันปรภพก่อนวันแห่งภพนี้ การที่ไม่ตรึกตรองเช่นนั้น ไม่เป็นการสมควรสำหรับพวกเหล่านั้นเลย
๑๗๐.
และบรรดาผู้ยึดถือพระคัมภีร์
เตารอต
และได้ปฏิบัติการละหมาด
อาทิ อับดุลเลาะห์ บุตรสลามกับพรรคพวกของเขา
นั้น เรา
(อัลเลาะห์)
นี้จะมิให้เสียเปล่าเลย ซึ่งบุญกุศลของพวกที่ประพฤติชอบนั้น
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #39 เมื่อ:
ม.ค. 12, 2012, 07:29 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 171 - 174
คำอ่าน
171. วะอิซนะตักนัลญะบะละ เฟาเกาะฮุม กะอัน..นะฮู ซุลละตู..วะซ็อน..นู..อัน..นะฮู วากิอุม..บิฮิม คุซูมาอาตัยนากุม..บิกูวะติว..วัซกุรู มาฟีฮิละอัลละกุมตัตตะกูน
172. วะอิซอะเคาะซะ ร็อบบุกะ มิม..บะนี..อาดะมะ มิน..ซุฮูริฮิม ซุรฺรียะตะฮุม วะอัชฮะดะฮุม อะลา..อัน..ฟุสิฮิม อะลัสตุบิร็อบบิกุม กอลูบะลา ชะฮิดนา อัน..ตะกูลูเยามัลกิยามะติ อิน..นา กุน..นา อันฮาซาฆอฟิลีน
173. เอาตะกูลู..อิน..นะมา..อัชเราะกะอาบา...อุนา มิน..ก็อบลุ วะกุน..นาซุรรียะตัม..มิม..บะอฺดิฮิม อะฟะตุฮฺลิกุนา บิมาฟะอะลัลมุบฏิลูน
174. วะกะซาลิกะ นุฟัศศิลุลอายาติ วะละอัลละฮุมยัรฺญิอูน
คำแปล R1.
171. And (remember) when we raised the mountain over them as if it had been a canopy, and they thought that it was going to fall on them. (We said): "Hold firmly to what we have given you [i.e. the Taurat (Torah)], and remember that which is therein (act on its commandments), so that you may fear Allah and obey him."
172. And (remember) when your Lord brought forth from the Children of Adam, from their loins, their seed (or from Adam's loin his offspring) and made them testify as to themselves (saying): "Am I not your Lord?" they said: "Yes! We testify," lest you should say on the Day of Resurrection: "Verily, we have been unaware of this."
173. Or lest you should say: "It was Only our fathers aforetime who took others as partners in Worship along with Allโh, and we were (merely their) descendants after them; will you then destroy us because of the deeds of men who practised
Al-Batil
(i.e. polytheism and committing crimes and sins, invoking and worshipping others besides Allah)?" (Tafsir At-Tabari).
174. Thus do we explain the
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.) in detail, so that they may turn (unto the truth).
คำแปล R2.
171. และ(จงระลึกเถิด)เมื่อครั้งที่เราได้อนภูเขา(ฏูรซีนา)เหนือพวกเขา (ชาวอิสรออีล)ประหนึ่งมันเป็นเมฆที่ให้ร่มเงาแก่พวกเขา และพวกเขาเข้าใจว่ามันคงตกใส่พวกเขา เราจึงตรัสว่า “พวกเจ้าจงยึดให้มั่นในสิ่งที่เราได้มอบให้กับพวกเจ้า (คัมภีร์เตรรอฮฺ) และพวกเจ้าจงระลึกถึงสิ่งที่มีอยู่ในนั้น เพื่อพวกเจ้าจะได้ยำเกรง
172. และ(จงระลึกเถิด) เมื่อองค์อภิบาลของเจ้าได้ดลบันดาลให้เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ได้ออกมาจาก(กระดูก)หลังของพวกเขา และทรงบันดาลพวกเขาให้เป็นสักขีพยานด้วยตัวของพวกเขาเอง (ในเอกานุภาพและเดชานุภาพของอัลเลาะฮฺ และพระองค์ทรงตรัสว่า) “ข้ามิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ?” พวกเขาตอบว่า “ใช่แล้ว! พวกเราขอเป็นพยาน(ยืนยันว่าพระองค์เป็นพระเจ้าของพวกเราโดยแท้จริง)” เพื่อ(ป้องกันมิให้)พวกเจ้าทั้งหลายกล่าว(แก้ตัว)ในวันชาติหน้าว่า “แท้จริงพวกเราได้ละเลยต่อสิ่งนี้(ความยอมรับในเอกภาพของพระองค์)”
173. หรือ(เพื่อป้องกันมิให้)พวกเจ้ากล่าว(แก้ตัวอีก)ว่า “อันที่จริงบรรพบุรุษของเราได้ตั้งภาคีไว้ก่อน และพวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่(เกิด)ภายหลังจากพวกเขา แล้วพระองค์จะทรงทำลายล้างพวกเราเพราะการกระทำของบรรดาพวกไร้สาระ(ที่หลงผิดและงมงาย)กระนั้นหรือ?”
174. และเช่นนั้น! เราได้จำแนกบรรดาสัญลักษณ์ต่าง ๆ (ที่แสดงถึงเอกานุภาพของเรา)และเพื่อพวกเขาจะได้คืนกลับ(สู่แนวทางของเรา)
คำแปล R3.
171. และพวกเขายังจำได้เมื่อตอนที่เราได้สั่นภูเขาและแผ่กระจายเหนือพวกเขาเหมือนดั่งว่ามันเป็นร่ม และพวกเขาคิดว่ามันกำลังจะพังลงมาบนพวกเขา
(แล้วเราได้กล่าวแก่พวกเขาว่า)
“จงยึดมั่นในคัมภีร์ที่เราได้ประทานแก่สูเจ้า และจงรำลึกถึงสิ่งที่มีอยู่ในนั้น ทั้งนี้เพื่อที่สูเจ้าจะได้ละเว้นจากความชั่ว”
172. และ
(โอ้ นบี)
จงเตือนผู้คนให้นึกถึงเมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ทรงนำผู้สืบพงษ์พันธุ์ของพวกเขาออกมาจากท้องของลูกหลานของอาดัมและได้ทำให้พวกเขาเป็นพยานเกี่ยวกับตัวของพวกเขาเอง
(พระองค์ได้ถามพวกเขาว่า)
“ฉันมิใช่พระผู้อภิบาลของสูเจ้าดอกหรือ?” พวกเขาตอบว่า “ใช่อย่างแน่นอน เราเป็นพยายยืนยันในเรื่องนี้” เราได้ทำเช่นนี้ด้วยเกรงว่ามิฉะนั้นสูเจ้าจะกล่าวในวันฟื้นคืนชีพว่า “เราไม่รู้ในเรื่องนี้เลย
173. หรือมิฉะนั้น สูเจ้าอาจจะกล่าวว่า “บรรพบุรุษของเราได้เริ่มทำการตั้งภาคีมาก่อนหน้าเรา และเราเป็นลูกหลานภายหลังพวกเขา ดังนี้แล้วพระองค์ยังจะทรงลงโทษเราเพราะบาปที่ทำโดยผู้ทำความผิดกระนั้นหรือ?”
174. และในทำนองนี้เองที่เราได้ทำให้สัญญาณทั้งหลายของเราเป็นที่แจ่มแจ้ง ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้หันกลับมายังแนวทางที่ถูกต้อง
คำแปล R4.
171. และจงรำลึกขณะที่เราได้ให้ภูเขาลูกนั้นไหวตัว และถอนตัวขึ้นเหนือพวกเขา ประหนึ่งมันเป็นสิ่งที่ให้เงาร่มกระนั้น และพวกเขาคิดว่ามันจะตกลงทับพวกเขาพวกเจ้าจงยึดเอาสิ่งที่เราได้ให้ไว้แก่พวกเจ้าด้วยความเข้มแข็ง และจงรำลึกถึงสิ่งที่มีอยู่ในนั้น หวังว่าพวกเจ้าจะเกรงกลัว
172. และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้เอาจากลูกหลานของอาดัม ซึ่งลูก ๆ ของพวกเขาจากหลังของพวกเขาและให้พวกเขายืนยันแก่ตัวของเขาเอง(โดยตอบคำถามที่ว่า) ข้ามิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ? พวกเขากล่าวว่าใช่ขอรับ พวกข้าพระองค์ขอยืนยัน (มิฉันนั้น)พวกเจ้าจะกล่าวในวันกิยามะฮฺว่า แท้จริงพวกข้าพระองค์ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้
173. หรือไม่ก็พวกเจ้าจะกล่าวว่า ที่จริงนั้นบรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์ได้ให้ภาคีขึ้นมาก่อนและพวกเราเป็นลูกหลานที่มาหลังจากพวกเขา แล้วพระองค์จะทรงทำลายพวกเรา เนื่องด้วยการกระทำของบรรดาผู้ที่ทำให้เสียกระนั้นหรือ?
174. และในทำนองนั้นแหละเราจะแจกแจงโองการทั้งหลาย เพื่อว่าพวกเขาจะกลับมา
คำแปล R5.
๑๗๑.
และ
โอ้มุฮำมัด จงกล่าวเถิดแก่พวกยะฮูดีสมัยของเจ้าว่า
ในคราเมื่อเรา
(อัลเลาะห์)
ได้ถอนภูเขา
ซีนาย
ยกขึ้นไปอยู่เหนือ
ศีรษะของ
พวกเหล่านั้นเหมือนกับว่ามันเป็นร่มเงา และพวกเหล่านั้นมั่นใจว่ามันจะตกทับพวกตน
ตามข้อสัญญาที่อัลเลาะห์ได้ทรงมีไว้ว่า “จะให้มันตกลงมาทับเมื่อพวกนั้นมิยอมรับซึ่งข้อใช้และข้อห้ามแห่งพระคัมภีร์เตารอต” ซึ่งความจริงแต่เดิมพวกนั้นก็มิได้ยอมรับข้อบัญญัติใช้และห้ามจากพระคัมภีร์เตารอตเลย ทั้งนี้เนื่องจากข้อบัญญัตินั้นเหลือบ่ากว่าแรง แต่แล้วพวกเหล่านั้นจึงกลับมายอมนับข้อบัญญัติดังกล่าวอีก เรา(อัลเลาะห์)จึงบอกแก่พวกนั้นว่า
พวกเจ้าจงยึดถือ
ข้อบัญญัติใช้และข้อบัญญัติห้ามแห่งพระคัมภีร์เตารอต
ตามที่เราได้มอบให้แก่พวกเจ้าอย่างเข้มแข็ง
และเอาใจใส่
ด้วยเถิด ทั้งพวกเจ้าจงระลึกถึงข้อความ
แห่งบัญญัติใช้และบัญญัติห้าม
ในพระคัมภีร์
เตารอต
นั้นด้วย
ตามข้อใช้และข้อห้าม
เพื่อว่าพวกเจ้าจักได้ยำเกรง
๑๗๒.
และ
โอ้มุฮำมัด จงกล่าวเถิดแก่พวกยะฮูดีสมัยของเจ้าว่า
ในคราเมื่อองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าทรงก่อเกิดบรรดามนุษยชาติ สืบเชื้อสาย
ทางกระดูกสันหลัง
มาแต่บุตรหลานของอาดำ
สืบทอดกันมาเป็นขั้น ๆ จากกระดูกสันหลังของอาดัม แล้วพระองค์ได้ทรงแสดงหลักฐานแห่งความเป็นพระเจ้าของพระองค์ให้มนุษยชาติเหล่านั้น แล้วทรงบรรจุสติปัญญาให้มนุษยชาติเหล่านั้น
และทรง
บันดาลใจ
ให้พวกเหล่านั้นกล่าวสัตยาบันไว้แก่ตนเอง
โดยตรัสถามพวกเหล่านั้นว่า
ข้ามิใช่องค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าหรือ ? พวกเหล่านั้นก็
พร้อมกัน
ตอบรับคำ “ใช่ขอรับ” ข้าพระองค์ทั้งหลายขอให้สัตยาบันว่า
พระองค์นั้นแหละ คือพระผู้อภิบาลแห่งบรรดาข้าพระองค์
เรื่องนี้ท่านคอซินได้สาธยายความไว้โดยพิสดารว่า อัลเลาะห์ได้ตรัสแก่พวกเหล่านั้นทั้งสิ้น ดังนี้ พวกเจ้าทั้งหลายพึงทราบไว้เถิด ไม่มีพระเจ้าผู้อื่รจากข้าหรอก ข้านี่แหละเป็นพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า สำหรับพวกเจ้านั้นไม่มีพระเจ้าที่อื่นจากข้าอีกแล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้เอาอะไรมาตั้งเป็นภาคีเทียบเทียมข้า ข้าจะเอาโทษผู้ที่ตั้งภาคีเทียบเทียมข้าและผู้ที่มิได้ศรัทธาต่อข้า แท้จริงข้าได้ส่งบรรดาพระศาสนทูตไปยังพวกเจ้าให้มาเตือนพวกเจ้าได้ระลึกถึงข้อสัญญาและข้อผูกพันของข้าที่มีแก่พวกเจ้า ทั้งข้ายังได้มอบซึ่งพระคัมภีร์ต่อพวกเจ้าอีกด้วยตั้งหลายเล่ม พวกเจ้าทั้งปวงจงประพฤติปฏิบัติตามโดยอุดมบริบูรณ์ ครั้นแล้วพวกเหล่านั้นก็ให้สัตย์ปฏิญสณว่า “แน่นอนทีเดียว พระองค์นั้นคือพระผู้อภิบาลแห่งบรรดาข้าพระองค์ทั้งหลาย ไม่มีพระผู้อภิบาลอื่นจากพระองค์สำหรับพวกข้าพระองค์” เสร็จแล้วพระองค์ก็ทรงเอาคำสัตยาบันที่ว่านั้นเป็นข้อผูกพันสัญญา ต่อแต่นั้นก็ทรงจารึกเรื่องต่าง ๆ ของพวกนั้น อาทิเรื่องกาลกำหนด(วาระตาย) ลาภและเคราะห์กรรมเป็นต้น ฝ่ายพระนบีอาดัมเมื่อได้เพ่งพิเคราะห์ดูพวกเหล่านั้นแล้วก็เห็นว่า พวกเหล่านี้บ้างก็ร่ำรวย บ้างก็ยากจน ที่รูปกายสวยงามก็มี และที่เป็นไปอย่างอื่นต่าง ๆ นานา ก็มี จะมีความเสมอภาคกันก็หามิได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า ขอพระองค์ได้โปรดให้บรรดาเหล่านั้นทัดเทียมเสมอกัน พระองค์ตรัสตอบว่า แท้จริงข้านี้ยินดีนักที่ข้าจะได้รับความขอบคุณจากพวกที่มีความร่ำรวยและมีรูปกายสวยงาม และข้าจะตอบแทนบุญกุศลแก่พวกมีฐานะยากจนและมีรูปร่างอัปลักษณ์ที่มีใจอดทน ครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงย้ำให้พวกนั้นได้ตระหนักในเอกภาพของพระองค์และได้ทรงให้พวกเหล่านั้นกล่าวสัตยาบันขึ้นระหว่างกันและกันแล้ว พระองค์ก็ทรงคืนพวกเหล่านั้นเข้าสู่รังกำเนิดในร่างแห่งพระนบีอาดำ วาระแห่งวันกิยามะห์จะยังไม่เกิดมีขึ้น จนกว่าพวกเหล่านั้น ผู้ซึ่งได้รับสัญญาผูกพันไว้คราวนั้นจะถือกำเนิดกันหมดเสียก่อนนั่นแหละ การที่พระองค์บันดาลใจให้พวกนั้นกล่าวสัตยาบันแก่ตนเองนั้น
เพื่อกัน
มิให้
พวกเหล่านั้นจะกล่าวในวันกิยามะห์ว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายมิเคยได้รู้เรื่อง
เอกภาพ
นี้เลย
๑๗๓.
หรือเพื่อที่จะมิให้พวกเหล่านั้นกล่าว
อ้างในวันกิยามะห์
ว่า ก็บรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์เมื่อก่อนโน้นเขาถือภาคี
เทียบเทียมอัลเลาะห์
กันนี่ และพวกข้าพระองค์นี้
ก็อยู่ในฐานะ
เป็นอนุชนสืบทอดมาจากบรรดา
บรรพบุรุษ
เหล่านั้นด้วย
พวกข้าพระองค์ก็ต้องเจริญรอยตามบรรพบุรุษเหล่านั้น
จึงไม่สมควรที่พระองค์จะทรงทรมานเหล่าข้าพระองค์ในฐานะที่พวก
บรรพบุรุษ
ผู้ทำเสียเหล่านั้นได้กระทำ
การตั้งเทวรูปเป็นภาคีเทียบเทียมพระองค์
กันขึ้น
สมควรที่พระองค์จะต้องลงโทษทรมานพวกบรรพบุรุษเหล่านั้นเท่านั้น
จากคำอ้างที่พวกเหล่านั้นกล่าวนี้ย่อมฟังไม่ขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากพวกนั้นได้อ้างคำสัตยาบันเกี่ยวกับเอกภาพของพระองค์ไว้แก่ตนเองอยู่แล้ว ทั้งยังมีพระศาสนทูตมาประกาศตักเตือนในเรื่องของเอกภาพของพระองค์ให้ปลูกฝังใจพวกนั้นแล้วอีกด้วย
๑๗๔.
และเช่น
เดียวกับที่เราได้แจ้งข้อสัญญาผูกพันต่อพวกเหล่านั้น
นี้แหละเรา
(อัลเลาะห์)
จึงได้แจกแจงบรรดาโองการไว้
เพื่อให้พวกนั้นตรึกตรองกันดู
และเพื่อที่พวกเหล่านั้นจักได้ถอยคืน
จากการไม่ศรัทธาและการถือภาคี
เสียด้วย
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #40 เมื่อ:
ม.ค. 13, 2012, 05:54 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 175 - 178
คำอ่าน
175. วัตลุอะลัยฮิม นะบะอัลละซี..อาตัยนาฮุ อายาตินา ฟัน..สะละเคาะมินฮา ฟะอัตบะอะฮุชชัยฏอนุ ฟะกานะมินัลฆอวีน
176. วะเลาชิอ์นา ละเราะฟะอฺนาฮุบิฮา วะลากิน..นะฮู..อัคละดะอิลัลอัรฺฎิ วัตตะบะอะฮะวาฮุ ฟะมะษะลุฮู กะมะษะลิลกัลป์บิ อิน..ตะหฺมิลอะลัยฮิยัลฮัษ เอาตัตรุกฮุยัลฮัษ ซาลิกะ มะษะลุลก็อวมิลละซีนะกัซซะบู บิอายาตินา ฟักศุศิลเกาะเศาะเศาะ ละอัลละฮุม ยะตะฟักกะรูน
177. สา...อะมะษะละนิลก็อวมุลละซีนะ กัซซะบูบิอายาตินา วะอัน..ฟุสะฮุม กานูยัซลิมูน
178. มัย..ยะอฺดิลลาฮุ ฟะฮุวัลมุฮฺตะดี วะมัย..ยุฎลิล ฟะอุลา...อิกะฮุมุลคอสิรูน
คำแปล R1.
175. And recite (O Muhammad) to them the story of him to whom we gave our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), but he threw them away, so
Shaitan
(Satan) followed him up, and he became of those who went astray.
176. And had We willed, We would surely have elevated him therewith but he clung to the earth and followed his own vain desire. So his description is the description of a dog: if you drive him away, he lolls his tongue out, or if you leave him alone, he (still) lolls his tongue out. Such is the description of the people who reject our
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.). so relate the stories, perhaps they may reflect.
177. Evil is the likeness of the people who reject our
Ayat
(proofs, evidences, verses and signs, etc.), and used to wrong their own selves.
178. Whomsoever Allah guides, he is the guided one, and whomsoever He sends astray, those! They are the losers.
คำแปล R2.
175. และเจ้า(มุฮำมัด)จงแถลงแก่พวกเขาถึงเรื่องราวของผู้ที่เราได้มอบแก่เขาซึ่งบรรดาโองการ(คัมภีร์)ของเรา แต่แล้วเขาก็ถอนตัวออกจากโองการเหล่านั้น แล้วมารร้ายก็ตามติดเขา(ด้วยกลลวงของมัน) จนทำให้เขาต้องเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้หลงผิด
176. และหากเราประสงค์ แน่นอนเราจักทรงยกฐานันดรของเจาด้วยเหตุ(การประพฤติตามบรรดาโองการเหล่า)นั้น แต่ทว่าตัวเขาเองได้ทำตัวผูกพันกับแผ่นดิน(โลกนี้)อย่างเหนียวแน่น และเขาตามอารมณ์ของเขา ดังนั้นอุปมาตัวเขาก็เหมือนกับสุนัข แม้นเจ้าขับไล่มัน มันก็จะแลบลิ้นออกมา หรือเจ้าปล่อยมัน (ไว้โดยไม่สนใจต่อมัน) มันก็คงแลบลิ้นออกมา(อย่างเดิม) นั้น! เป็นข้อเปรียบเทียบของกลุ่มชนที่กล่าวหา บรรดาโองการต่าง ๆ ของเราว่าเป็นความเท็จ ดังนั้นเจ้าจงเล่าประวัติต่าง ๆ เถิด เพื่อพวกเขาจะได้ตริตรอง
177. เป็นข้อเปรียบเทียบที่เลวร้ายสำหรับกลุ่มชนซึ่งกล่าวหาบรรดาโองการของเราเป็นความเท็จ และพวกเขาได้ฉ้อฉลแก่ตัวเขาเอง
178. ผู้ใดที่อัลลอฮฺได้ชี้นำเขา เขาก็ย่อมได้รับการชี้นำ (ให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง) และผู้ใดซึ่งอัลเลาะฮฺทรงให้ความหลงผิด แน่นอน พวกเหล่านั้นเป็นพวกขาดทุน(โดยแท้จริง)
คำแปล R3.
175. และ
(โอ้ มุฮัมมัด)
จงบอกกล่าวพวกเขาถึงเรื่องราวของคนที่เราได้ประทานความรู้เกี่ยวกับอายะฮฺทั้งหลายของเรา แต่เขาได้หันห่างออกจากมัน ดังนั้นมารจึงได้ติดตามเขามาจนกระทั่งเขาได้กลายเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้หลงทาง
176. ถ้าหากเราประสงค์แน่นอนเราจะยกย่องเขาโดยอาศัยอายะฮฺเหล่านั้นก็ได้ แต่เขามัวฝักใฝ่อยู่กับโลก และปฏิบัติตามอารมณ์ของเขา ดังนั้น เขาจึงได้เริ่มทำตัวเหมือนกับสุนัขที่ลิ้นห้อย ถ้าหากเจ้าไล่มัน และมันก็จะลิ้นห้อยอีก ถ้าหากเจ้าปล่อยมันไว้ตามลำพัง นั่นแหละคืออุปมาของบรรดาผู้ที่ถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จ ดังนั้นเจ้าจงบอกกล่าวเรื่องราวเหล่านี้แก่พวกเขาต่อไป เพื่อที่พวกเขาจะได้ใคร่ครวญ
177. ชั่วช้าแท้ ๆ ก็คือตัวอย่างของบรรดาผู้ที่ถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จ และทำผิดต่อตัวของวกเขาเอง
178. ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงนำทาง ผู้นั้นก็อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงปล่อยให้หลง พวกเขาก็เป็นผู้ขาดทุน
คำแปล R4.
175. และจงอ่านให้พวกเขาฟัง ซึ่งข่าวของผู้ที่เราได้ให้บรรดาโองการของเราแก่เขา แล้วเขาได้ถอนตัวออกจากโองการเหล่านั้น แล้วชัยฏอนก็ติดตามเขา ดังนั้นเขาจึงอยู่ในหมู่ผู้หลงผิด
176. และหากเราประสงค์แล้ว แน่นอนเราก็ยกเขาขึ้นและด้วยบรรดาโองการเหล่านั้น แต่ทว่าเขาคงมั่นอยู่กับดินและปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของเขา ดังนั้นอุปมาของผู้นั้น จึงดั่งอุปไมยของสุนัขหากเจ้าขับไล่มัน มันก็จะหอบแลบลิ้นห้อยลง นั่นแหละคือ อุปมากลุ่มชนที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา ดังนั้นเจ้าจงเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเถิด เพื่อว่าพวกเขาจะไดใคร่ครวญ
177. เป็นตัวอย่างที่ชั่วช้าจริงๆ กลุ่มชนที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา และก็ตัวของพวกเขานั้นเองพวกเขาอธรรมกันอยู่
178. ผู้ที่อัลลอฮฺทรงแนะนำนั้น เขาก็เป็นผู้รับคำแนะนำ และผู้ที่พระองค์ทรงปล่อยให้หลงผิดนั้นชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ที่ขาดทุน
คำแปล R5.
๑๗๕.
และ
โอ้มุฮำมัด
เจ้าจงอ่านให้พวกนั้น
ที่เป็นยะฮูดี
เถิดถึงเรื่องราวของผู้หนึ่งที่เรา
(อัลเลาะห์)
ได้นำหลักฐานของเรามายังเขาแล้วเขาก็ถอยห่างจาก
หลักฐาน
นั้น
เพราะความไม่ศรัทธาเหมือนดั่งงูลอกคราบ ผู้นี้คือบัลอำบุตรบาอูรออ์ เป็นคนหนึ่งจากปราชญ์เมธีของชนเผ่าอิสรออีลในสมัยพระนบีมูซา เขาเคยถูกขอร้องให้กล่าวคำสาปแช่งมูซาโดยมีของกำนัลเป็นกำลัง แต่คำสาปแช่งนั้นกลับสนองผลร้ายแก่ตัวเองถึงกับลิ้นของเขาห้อยยาวยานออกมาถึงอก
แล้วไชตอนก็กระทำให้เขา
(บัลอำ)
หลงตาม
การลวงล่อของ
มัน ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้หนึ่งจากพวกที่หลงใหล
ไปจากหนทางเที่ยงแท้
๑๗๖.
ถ้าเรา
(อัลเลาะห์)
มุ่งหมาย
จะเทอดบัลอำ
แล้วไซร้ เราก็จะเชิดชูเกียรติแก่เขา
ให้มีศักดิ์เสมอนักปราชญ์ด้วยการให้เขาเป็นผู้มีกำลังใจทำความดี แต่ผลที่จริงเราได้เชิดชูเกียรติแก่เขาไม่ เพราะเรามิได้มุ่งหมาย
อย่างนั้น และเรายังได้ให้เขาพักอาศัยอยู่ ณ ภพนี้ แต่เขากลับ
โน้มเข้าหาความอภิรมย์ทางโลกีย์และก่อกิเลศ
ตามอารมณ์ของตัวเอง
ซึ่งอารมณ์นั้นชักชวนเขาให้เข้าหาโลกดุนยา ดังนั้นเราจึงให้เขาตกต่ำ ข้อ
อุปมาตัวเข้านั้นเป็นเช่น
ข้อ
อุปมาของสุนัข ซึ่งถ้าท่านไล่ตะเพิดมัน มันก็จะหอบลิ้นห้อย หรือถ้าหากท่านปล่อย
ไม่ไล่ตะเพิด
มัน มันก็จะทำลิ้นห้อยอยู่นั่นเอง
จึงนับได้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ไม่มีสัตว์ชนิดใดมีกิริยาต่ำช้าเหมือนมัน ข้ออุปมา
นี้เปรียบได้กับปวงชนผู้ซึ่งหาว่าบรรดาโองการของเราเท็จ ฉะนั้น
มุฮำมัดเอ๋ย
เจ้าจงเล่าประวัติ
ของบรรดาชนจำพวก
นั้น
แก่พวกยะฮูดี
เถิด เพื่อว่าพวก
ยะฮูดี
เหล่านั้นจักได้ตรึกตรอง
ถึงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พวกเหล่านั้นจึงจะเชื่อ
๑๗๗.
เป็นตัวอย่างอันเลวที่
ปวงชน
พวกนั้นได้หาว่าบรรดาโองการของเราเท็จ ตัวพวกเหล่านั้นจึงเป็นผู้คดโกง
ด้วยสาเหตุที่ว่าบรรดาโองการของเราเป็นเท็จ ทั้งนี้เนื่องจากผลร้ายแห่งการหาว่าเท็จนั้นสะท้อนกลับมาถึงพวกเขา
๑๗๘.
ผู้ใดที่อัลเลาะห์ทรงชี้หนทางให้แก่เขาแล้วไซร้ เขาย่อมเป็นผู้ได้รับหนทางนำ และถ้าผู้ใดที่พระองค์ทรงให้เขางมงาย
เหห่างไปจากหนทางเที่ยงธรรมเสียแล้ว
พวกเหล่านั้นแหละคือพวกที่ขาดทุน
ด้วยการไม่ใช้สติปัญญา และผลในที่สุด พวกเหล่านั้นต้องเข้าสู่ขุมนรก
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #41 เมื่อ:
ม.ค. 14, 2012, 07:25 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 179 - 181
คำอ่าน
179. วะละก็อดซะเราะอ์นา ลิญะฮันฬฬนะมะกะษีร็อม..มินัลญิน..นิ วัลอินสิ ละฮุมกุลูบุล ลายัฟเกาะฮูนะบิฮา วะละฮุม อะอฺยุนุลลายุบศิรูนะบิฮา วะละฮุมอาซานุล ลายัสมะอูนะบิฮา อุลา...อิกะ กัลอันอามิ บัลฮุมฏ็อลลุ อุลา...อิกะฮุมุลฆอฟิลูน
180. วะลิลลาฮิลอัสมา...อุลหุสนา ฟัดอูฮุบิฮา วะซะรุลละซีนะ ยุลหิดูนะ ฟี..อัสมาอิฮฺ สะยุจญเซานะมากานูยะอฺมะลูน
181. วะมิม..มันเคาะลักนา..อุม..มะตุย..ยะฮดูนะบิลหักกิ วะบิฮี ยะอฺดิลูน
คำแปล R1.
179. And surely, we have created many of the jinns and mankind for Hell. They have hearts wherewith they understand not, they have eyes wherewith they see not, and they have ears wherewith they hear not (the truth). They are like cattle, nay even more astray; those! They are the heedless ones.
180. And (all) the most beautiful names belong to Allah , so call on Him by them, and leave the company of those who belie or deny (or utter impious speech against) His Names. They will be requited for what they used to do.
181. And of those whom we have created, there is a community who guides (others) with the truth, and establishes justice therewith.
คำแปล R2.
179. และแท้จริงเราได้สร้างไว้เพื่อนรกซึ่งส่วนมากของพวกญินและมนุษย์ พวกเขามีหัวใจที่ไม่เข้าใจต่อ(บรรดาโองการ)เหล่านั้น พวกเขามีตาซึ่งมองสิ่งนั้นไม่เห็น และพวกเขามีหูซึ่งฟังสิ่งดังกล่าวไม่ได้ยิน พวกเหล่านั้นเปรียบประดุจปศุสัตว์ ความเป็นจริงแล้ว พวกเขาหลงทาง(งมงาย)ยิ่งกว่าด้วยซ้ำ พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้หลงลืม(โดยแท้จริง)
180. และอัลเลาะฮฺทรงมีบรรดาพระนามอันไพจิต ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงนำพระนามเหล่านั้นมาวิงวอนเถิด และพวกเจ้าจงปล่อยบรรดาผู้หันห่าง(ไม่สนใจ)ในบรรดาพระนามของพระองค์ พวกเขาจะถูกตอบแทน(อย่างสาสม)ตามที่พวกเขาได้ประพฤติไว้(ทุกประการ)
181. และบางส่วนจากผู้ที่เราได้บันดาลไว้นั้น มีประชาชาติหนึ่งซึ่งถูกชี้นำด้วยสัจธรรม และพวกเขีความยุติธรรม(ในการตัดสิน)ด้วยสัจธรรมนั้น
คำแปล R3.
179. และเป็นความจริงที่มีญินและมนุษย์จำนวนมากที่เราได้สร้างมา (ราวกับว่า) สำหรับนรก พวกเขามีหัวใจแต่พวกเขาไม่ใช้หัวใจนั้นคิด พวกเขามีตาแต่พวกเขาไม่ใช้มันมอง พวกเขามีหูแต่พวกเขามิได้ใช้มันฟัง พวกเขาเหล่านี้เหมือนกับปศุสัตว์ไม่ พวกเขาหลงยิ่งกว่าเพราะพวกเขาเป็นผู้เฉยเมย
180. อัลลอฮฺทรงเป็นเจ้าของ พระนามทั้งหลายที่ดียิ่ง ดังนั้นจงเรียกพระองค์โดยพระนามอันดีงามยิ่งเหล่านี้เท่านั้น และจงปล่อยบรรดาผู้หันห่างจากสัจธรรมในการตั้งพระนามให้พระองค์ไว้ตามลำหัง ในไม่ช้าพวกเขาจะถูกตอบแทนตามที่พวกเขาได้กระทำ
181. และในบรรดาผู้ที่เราได้สร้างขึ้นมานั้น มีคนหมู่หนึ่งที่นำทางด้วยสัจธรรมและปฏิบัติความยุติธรรมด้วยสัจธรรมนั้น
คำแปล R4.
179. และแน่นอนเราได้บังเกิดสำหรับญฮันนัมซึ่งมากมายจากญินและมนุษย์ โดยที่พวกเขามีหัวใจซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันทำความเข้าใจและพวกเขามีตา ซึ่งพวกเขาไม่ใช่มันมอง และพวกเขามีหู ซึ่งพวกเขาไม่ใช้มันฟัง ชนเหล่านี้แหละประหนึ่งปศุสัตว์ ใช่แต่เท่านั้น พวกเขาเป็นผู้หลงผิดยิ่งกว่า ชนเหล่านี้แหละ พวกเขาคือผู้ที่เผอเรอ
180. “และอัลลอฮฺนั้นมีบรรดาพระนามอันสวยงาม ดังนั้นพวกเจ้าจงเรียกหาพระองค์ด้วยพระนามเหล่านั้นเถิด และจงปล่อยบรรดาผู้ที่ทำให้เฉ ในบรรดาพระนามของพระองค์เถิด พวกเขานั้นจะถูกตอบแทนในสิ่งที่พวกเขากระทำ
181. และส่วนหนึ่งจากผู้ที่เราได้บังเกิดนั้นคือ คณะหนึ่ง ซึ่งพวกเขาแนะนำด้วยความจริง และด้วยความจริงนั้น พวกเขาปฏิบัติโดยเที่ยงธรรม
คำแปล R5.
๑๗๙. ขอให้สัจปฏิญาณว่า
สำหรับนรกยะฮันนำนั้น เรา
(อัลเลาะห์)
ก็ได้จัดสร้างไว้มากมายจากหมู่ยินและมวลมนุษย์ผู้มีหัวใจที่ไม่ใช้มันให้เกิดความเข้าใจ
ซึ่งความจริงแท้
มีตาซึ่งไม่ใช้มันมอง
ซึ่งหลักฐานแห่งพลานุภาพของอัลเลาะห์อย่างพินิจพิเคราะห์ลึกซึ้ง
และมีหูไม่ใช้มันฟัง
อย่างตรึกตรองและเคารพซึ่งข้อบัญญัติใช้และข้อบัญญัติห้ามตลอดทั้งคำตักเตือน
พวกเหล่านั้นเหมือนกับสัตว์ทั้งหลาย
มี อูฐ โค แพะ แลพแกะ เป็นต้น ในฐานะที่ขาดความเข้าใจ การแลมองและการใฝ่ฟัง
แต่พวกเหล่านั้นงมงายยิ่งกว่า
สัตว์เหล่านั้น
เสียอีก
เพราะสัตว์ที่กล่าว มันยังหาผลประโยชน์แก่ตัวมันได้ และหนีภัยคุกคามพวกมันได้ แต่พวกยินและมวลมนุษย์นั้นกลับอาจหาญสู้นรกด้วยเหตุที่ฝืนความจริง
พวกเหล่านั้นเป็นพวกลืมเลือน
และไม่ตรึกตรอง
๑๘๐.
แหละว่าสำหรับอัลเลาะห์นั้นมีพระนามไพจิตร
ถึงเก้าสิบเก้าพระนาม ฉะนั้นพวก
เจ้าจงเรียกพระองค์ด้วยพระนามเหล่านั้น
ของพระองค์
และพวกเจ้าจงปล่อยทิ้งเสีย ผู้ที่โน้มออกจาก
ความจริงแท้แห่ง
พระนามทั้งหลายของพระองค์
ทั้งนี้ เพราะว่าพวกเหล่านั้นได้เก็บเอาอักษรของพระนาม ๐ ละอักษรไปแ?รกใส่ไว้ในนามของเทวรูป อาทิ อัลล๊าต จากพระนามอัลเลาะห์ อัล-อุซซา จากพระนาม อัล-อะซีซ และมะน๊าต จากพระนามอัล-มันนาน ในวันปรภพ
พวกเหล่านั้นจะได้รับตอบแทนผลแห่งกรรม ตามที่ได้กระทำกันไว้
ที่ทรงสั่งว่าให้พวกเจ้าละทิ้ง ไม่เอาธุระต่อพวกเหล่านั้นที่โน้มออกจากความจริงแท้ เกี่ยวกับพระนามทั้งหลายของพระองค์ นี้ถูกยกเลิกแล้วหลังจากโองการว่าด้วย “สงคราม” ถูกประทานลงมา
๑๘๑.
และส่วนหนึ่งจากผู้ที่เราได้สร้างนั้น มีประชากรพวกหนึ่ง
ของพระนบีมุฮำมัด
ได้ชักนำมวลมนุษย์ด้วยความสัจจริง และด้วยข้อ
สัจจริง
นี้ของพวกเขาเอง
ก็ได้ปฏิบัติกิจโดย
มีความเที่ยงธรรม
ไม่มีข้อบกพร่อง และไม่เกินจากการอันไม่สมควร ทั้งนี้ก็เพราะเราได้ชี้ความเที่ยงตรงต่อพวกนั้น ทั้งเรายังได้ขจัดความลืมเลือนซึ่งติดตรึงอยู่ที่หัวใจของพวกที่โน้มเอียงดังกล่าวให้สิ้นไปจากหัวใจของพวกเขา
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #42 เมื่อ:
ม.ค. 15, 2012, 06:52 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 182 - 185
คำอ่าน
182. วัลละซีนะกัซซะบูบิอายาตินา สะนัสตัดริญุฮุม..มินหัยษุ ลายะอฺละมูน
183. วะอุมลีละฮุม อิน..นะกัยดีมะตีน
184. อะวะลัมยะตะฟักกะรู มาหิศอฮิบิฮิม..มินญิน..นะฮฺ อินฮุวะอิลลานะซีรุม..มุบีน
185. อะวะลัมยัน..ซูรู ฟีมะละกูติสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ วะมาเคาะละก็อลลอฮุ มินชัยอิว..วะอันอะสา..อัย..ยะกูนะ เกาะดิกตะเราะบะ อะญะลุฮุม ฟะบิอัยยิหะดีษิม..บะอฺดะฮูยุอ์มินูน
คำแปล R1.
182. Those who reject 0ur
Ayat
(proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), we shall gradually seize them with punishment in ways they perceive not.
183. And I respite them; certainly My Plan is strong.
184. Do they not reflect? There is no madness in their companion (Muhammad). He is but a plain Warner.
185. Do they not look in the dominion of the heavens and the earth and all things that Allah has created, and that it may be that the end of their lives is near. In what message after this will they then believe?
คำแปล R2.
182. และบรรดาผู้กล่าวหาบรรดาโองการต่าง ๆ ของเราว่าเป็นความเท็จนั้น เราจะชักนำพวกเขาทีละขั้นตอน(สู่การลงโทษ)โดยพวกเขาไม่รู้
183. และข้าจะประวิง(การลงโทษ)พวกเขา(ต่อไปอีกก็ได้) แท้จริงแผนการของข้าย่อมมั่นคงยิ่งนัก
184. พวกเขาไม่ตริตรองดอกหรือ? ว่าสหายของพวกเหล่านั้น(คือนบีมุฮำมัด)นั้น หาใช่วิกลจริตไม่ เขามิใช่ใครนอกจากผู้ตักเตือนที่ชัดแจ้ง
185. และพวกเขาไม่พิจารณาดอกหรือในอาณาจักรแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งใด ๆ ก็ตามที่อัลเลาะฮฺได้ทรงบันดาลไว้? และคาดว่าอายุขัยแห่งพวกเขาได้ใกล้เข้ามาแล้ว แล้วที่นอกเหนือไปจาก(อัลกุรอาน)นั้น มีถ้อยคำใดเล่าที่พวกเขาจะศรัทธา?
คำแปล R3.
182. สำหรับผู้ที่ถือว่าอายะฮฺทั้งหลายของเราเป็นเท็จนั้น เราจะค่อย ๆ นำพวกเขาไปสู่การลงโทษโดยที่เขาไม่รู้
183. ถึงแม้ฉันจะประวิงเวลาให้แก่พวกเขา แผนการของฉันก็จะเป็นไปตามนั้นอย่างแน่นอน
184. และพวกเขาไม่เคยพิจารณาหรือว่า สหายของพวกเขานั้นไม่มีความวิปริตทางจิตใจแต่ประการใด แท้จริงเขาเป็นเพียงผู้ตักเตือนคนหนึ่งที่กำลังตักเตือน
(ล่วงหน้าถึงผลร้ายที่จะติดตามมา)
อย่างชัดแจ้ง
185. พวกเขาไม่ได้พิจารณษถึงการทำงานของชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และไม่เคยพิจารณษถึงสิ่งใด ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างกระนั้นหรือ? และบางที่นั่นอาจจะเป็นวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขาที่ใกล้ถึงกำหนดเข้ามาแล้ว และยังจะมีอะไรอีกที่พวกเขาจะเชื่อ หลังจากการเตือนของรอซูล
คำแปล R4.
182. และบรรดาผู้ปฏิเสธบรรดาโองการของเรานั้น เราจะจัดการแก่พวกเขาเป็นขั้นตอนโดยที่พวกเขาไม่รู้
183. และข้าจะประวิงเวลาให้แก่พวกเขา แท้จริงอุบายของข้านั้นแข็งแรงนัก
184. และพวกเขามิได้ใคร่ครวญดอกหรือว่าที่สหายของพวกเขานั้นหาได้มีความบ้าใด ๆ ไม่เขามิใช่ใครอื่นนอกจากผู้ตักเตือนที่ชัดแจ้งคนหนึ่งเท่านั้น
185. และพวกเขามิได้มองดูในอำนาจทั้งหลายแห่งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน และสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงบังเกิดขึ้นดอกหรือ ? และแท้จริงอาจเป็นไปได้ว่า กำหนดเวลาแห่งความตายของพวกเขานั้นได้ใกล้มาแล้ว แล้วก็ถ้อยคำใดเล่าที่พวกเขาจะศรัทธากันหลังจากอัล-กุรอาน
คำแปล R5.
๑๘๒.
บรรดาชน
ชาวมักกะห์
ผู้ซึ่งหาว่าโองการต่าง ๆ
แห่งอัล-กุรอาน
ของเราเป็นเท็จนั้น เราจะค่อย ๆ ให้พวกนั้นกระเถิบใกล้เข้าสู่ความหายนะ
ทีละน้อย ๆ
โดย
พวกนั้น
ไม่รู้ตัว
อาการนี้มิใช่อื่นใด ที่แท้ก็คือการลงทัณฑ์ทีละเล็กทีละน้อยนั่นเอง ทุก ๆ ครั้งที่พวกนั้นปฏิบัติการชั่วร้ายขึ้นใหม่อีก พวกนั้นจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น แต่พวกนั้นหาได้ระลึกถึงและขอบพระคุณในพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ไม่ ในที่สุดพวกนั้นก็ถูกทำลายเสียสิ้น
๑๘๓.
ทั้งข้า
(อัลเลาะห์
จะหน่วง
การลงโทษ
พวกเหล่านั้นไว้อีก
ยาวนาน จนกว่าจะถึงวาระการลงโทษ
เพราะแท้จริงการลงทัณฑ์ของข้านั้นรุนแรงยิ่งนัก
๑๘๔.
พวกเหล่านั้นหาได้ไตร่ตรองไม่ ว่า ที่ตัว
มุฮำมัด
ผู้เป็นสหายของพวกนั้นมิได้บ้าเลย
ความไม่ไตรตรองดูเช่นนี้หาเป็นการสมควรไม่สำหรับพวกเหล่านั้น
เขา
(มุฮำมัด)
มิใช่อื่นใด หากแต่เป็นผู้ตักเตือนที่แจ้งชัดทีเดียว
๑๘๕.
พวกนั้นจะไม่แลดูเลยถึงการปกครองบรรดาชั้นฟ้า
ทั้งเจ็ก
และผืนแผ่นดินตลอดทั้งสิ่ง
ทั้งปวง
ที่อัลเลาะฮฺได้ทรงสร้างขึ้นมา
พวกนั้นจึงไม่ถือเอาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นเครื่องแสดงถึงพลานุภาพและเอกภาพของพระองค์ผู้สร้าง
และ
พวกเหล่านั้นไม่แลดูเลยว่า
กาลกำหนด
ตาย
ของพวกนั้นก็จวนแจอยู่แล้ว
ทั้งมิได้แลดูว่าพวกตนจะตายลงไปในสภาพคนกาฟิรและจะกลับไปสู่ขุมนรก จึงเป็นเหตุให้พวกนั้นไม่เร่งรีบกลับเข้ามาสู่ศรัทธากันก่อนจากตาย การที่มิได้แลดูดังเช่นที่ว่านี้ ย่อมไม่สมควรแก่พวกเหล่านั้นเลย
แล้วที่นอกเหนือไปจาก
อัล-กุรอาน ซึ่งพวกเขาไม่ศรัทธา
นั้นมีถ้อยคำใดเล่าที่พวกเขาจะศรัทธา
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #43 เมื่อ:
ม.ค. 16, 2012, 06:45 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 186 - 187
คำอ่าน
186. มัย..ยุฎลิลิลลาฮุ ฟะลาฮาดิยะละฮฺ วะยะซะรุฮุม ฟีตุฆยานิฮิม ยะอฺมะฮูน
187. ยัสอะลูนะกะอะนิสสาอะติ อัยยานะมุรฺสาฮา กุลอิน..นะมาอิลมุฮา อิน..ดะร็อบบี ลายุญัลลีฮา ลิวักติฮา..อิลลาฮู ษะกุลัตฟิสสะมาวาติวัลอัรฺฎิ ลาตะอ์ตีกุม อิลลาบัฆตะฮฺ ยัสอะลูนะกะกะอัน..นะกะ หะฟียุนอันฮา กุลอิน..นะมาอิลมุฮาอิน..ดัลลอฮิ วะลากิน..นะอักษะร็อน..นาสิลายะอฺละมูน
คำแปล R1.
186. Whomsoever Allah sends astray, none can guide him; and he lets them wander blindly in their transgressions.
187. They ask you about the Hour (Day of Resurrection): "When will be its appointed time?" say: "The knowledge thereof is with my Lord (alone). None can reveal its time but Him. Heavy is its burden through the heavens and the earth. It shall not come upon you except all of a sudden." they ask you as if you have a good knowledge of it. Say: "The knowledge thereof is with Allah (alone) but most of mankind know not."
คำแปล R2.
186. ผู้ใดที่อัลเลาะฮฺทรงทำให้เขาหลงผิด แน่นอนจะไม่มีผู้ใดแนะนำเขาได้ และพระองค์ทรงปล่อยพวกเขาไว้ให้งงงันอยู่ในความหลงผิดของพวกเขาเอง(ต่อไป)
187. พวกเขาจะถามเจ้าถึงกาลสลายแห่งโลก “เมื่อใดหนอจึงเป็นเวลาอุบัติของมัน?” เจ้าจงตอบเถิดว่า “อันที่จริงความรู้ในสิ่งนั้นอยู่ที่องค์อภิบาลของฉัน ไม่มีผู้ใดรู้กระจ่างชัดในเวลาของมัน นอกจากพระองค์เท่านั้น(ความวิกฤติของ)มันเป็นไปอย่างหนักหน่วงในชั้นฟ้าและแผ่นดิน มันจะไม่มาประสบแก่พวกเจ้านอกจากโดยกะทันหัน พวกเขาจะถามเจ้า(อย่างพิรี้พิไร)คล้ายกับว่าเจ้ารู้เรื่องนั้นอย่างดี เจ้าจงประกาศเถิดว่า “แท้จริงความรู้ในสิ่งนั้นเป็นของอัลเลาะฮฺ(เพียงองค์เดียว) และแต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากไม่รู้”
คำแปล R3.
186. ผู้ใดที่อัลลอฮฺไม่ประทานทางนำก็จะไม่มีผู้นำทางเพราะอัลลอฮฺจะทรงปล่อยคนประเภทนี้ให้ระเหระหนอย่างมืดบอดในการดื้อดึงของพวกเขา
187. พวกคนเหล่านี้ถามเจ้า
(มุฮัมมัด)
ว่า “เมื่อใดเวลาแห่งการฟื้นคืนชีพจะมาถึง?” จงกล่าวเถิด “ความรู้ในเรื่องนี้อยู่ที่พระผู้อภิบาลของฉันเท่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถจะบอกถึงเวลานั้นได้นอกจากพระองค์ มันหนักอึ้งอยู่บนชั้นฟ้าและแผ่นดิน และมันจะมายังพวกเจ้าโดยฉับพลัน” พวกเขาถามเจ้าเกี่ยวกับมันเหมือนกับว่าเจ้ารู้เรื่องนั้นดี จงกล่าวเถิด “ความรู้ในเรื่องนี้อยู่ที่อัลลอฮฺเท่านั้น แต่ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้”
คำแปล R4.
186. ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงปล่อยให้หลงไปแล้วก็ไม่มีผู้แนะนำใด ๆ สำหรับเขา พระองค์จะทรงปล่อยพวกเขาให้ระเหเร่ร่อนอยู่ในการละเมิดของพวกเขา
187. พวกเขาจะถามเจ้าถึงยามอวสาน (วันกิยามะฮฺ) นั้นว่า เมื่อใดเล่ามันจะเกิดขึ้น? จงกล่าวเถิดว่าแท้จริง ความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่พระเจ้าของฉันเท่านั้นไม่มีใครจะเผยมันให้ทราบสำหรับเวลาของมันได้ นอกจากพระองค์เท่านั้น มันหนักอึ้งอยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน มันจะไม่มายังพวกเจ้า นอกจากโดยกะทันหัน พวกเขาถามเจ้ากันประหนึ่งว่าเจ้านั้นเป็นผู้ที่รู้ในเรื่องนั้นดี จงกล่าวเถิดแท้จริงความรู้ในเรื่องนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺเท่านั้น แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากไม่รู้
คำแปล R5.
๑๘๖.
ถ้าผู้ใดที่อัลเลาะห์ให้หลงหนทางอันเที่ยงธรรม เขาผู้นั้นย่อมไม่มีผู้ชี้หนทางธรรมให้เลย และพระองค์จะทรงปล่อยทิ้งพวกเหล่านั้นให้งงงันอยู่ในความระเหระหนของพวกเขาเสียเลย
๑๘๗. โอ้มุฮำมัด
พวกเหล่านั้น
ที่เป็นชาวมักกะห์
จะไต่ถามเจ้าถึงกาลสิ้นโลกว่า มันจะปรากฏมีขึ้นเมื่อใด
โอ้มุฮำมัด
เจ้าจงตอบ
พวกเหล่านั้นให้ทราบ
เถิด
ว่า แท้จริง
ความรู้เรื่อง
การสิ้นโลกที่ว่าจะมีขึ้นเมื่อใด
นี้อยู่ที่
การตัดสินใจจาก
องค์พระผู้อภิบาลของฉันเท่านั้น ไม่มีผู้ใดที่จะเผยกำหนดกาล
เวลาของวัน
นั้นได้ เว้นไว้แต่พระองค์
เพียงผู้เดียว
เท่านั้น
เหตุที่ทรงปกปิดบ่าวทั้งหลายของพระองค์มิให้รู้กาลกำหนดของวันสิ้นโลกนั้นเพื่อให้เขาเหล่านั้นหวั่นกลัว ข้อนี้แหละที่บรรดาบ่าวของพระองค์จะได้ใฝ่หาแต่การภักดี หักห้ามการประพฤติชั่ว เพราะถ้าผู้อยู่ในบังคับของพระองค์ทราบกำหนดการของวันนั้นเสียแล้วเขาก็จะเลินเล่อ ลืมการเตาบะห์และจะประวิงการเตาบะห์ไปเรื่อย ๆ ในทำนองเดียวกันที่พระองค์ทรงปกปิดมิให้บ่าวทราบแน่ชัดว่า คืนใดเป็นคืนอัล-ก๊อดร์นั้น ก็เพื่อให้บ่าวผู้อยู่ในบังคับสนใจทำอิบาดะห์ทุก ๆ คืนตลอดทั้งเดือน ส่วนเวลาแห่งการรับคำขอวิงวอนฤดุอาอ์)ในวันศุกร์ก็เหมือนกัน ที่พระองค์ทรงปกปิดไว้มิให้บ่าวทราบชัดว่าจะเป็นขณะใดแน่นั้น เพื่อจะให้บ่าวผู้อยู่ในบังคับใฝ่ใจจริงจังต่อการขอวิงวอนต่อพระองค์ตลอดทั้งวัน การกำหนดแห่งวันสิ้นโลกนั้น
มันครึกโครมไปทั้ง
บรรดาชาว
ฟ้าและ
ชาว
แผ่นดิน
เพราะโกลาหลอลหม่าน
โดยที่จู่ ๆ มันก็จะมีขึ้นแก่พวกเจ้าเสียแล้ว พวกเหล่านั้น
ที่เป็นชนชาวมักกะห์
จะไต่ถามเจ้าเหมือนกับว่าตัวเจ้าเป็นผู้ปราดเปรื่องในเรื่อง
ของวันสิ้นโลก
นั้น
โอ้มุฮำมัด
เจ้าจงตอบ
ให้ชนชาวมักกะห์เหล่านั้นทราบไว้ด้วย
เถิดว่า แท้จริงความรู้เรื่อง
กำหนดกาลของวันสิ้นโลกที่ว่าจะมีขึ้นเมื่อใด
นี้อยู่ที่
การตัดสินจาก
อัลเลาะห์เท่านั้น แต่ว่ามวลมนุษย์นั้นส่วนมากแล้วมิได้รู้กันเลย
ว่าความรู้เกี่ยวกับวันสิ้นโลกนั้นมาจากการตัดสินของอัลเลาะห์
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
Bangmud
ทีมงานบอร์ด
เพื่อนรัก (6_6)
กระทู้: 2821
Respect:
+127
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
«
ตอบกลับ #44 เมื่อ:
ม.ค. 17, 2012, 05:57 AM »
0
สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 188 - 190
คำอ่าน
188. กุลลา..อัมลิกุลินัฟสี นัฟเอา..วะลาฎ็อรฺร็อน อิลลามาชาอัลลอฮฺ วะเลากุน..ตะอะอฺละมุลฆ็อยบะ ลัสตักษัรฺตุ มินัลค็อยรฺ วะมามัสสะนิยัสสู...อุ อินอะนะอิลลานะซีรู..วะบะชีรุล ลิก็อวมียุอ์มินูน
189. ฮุวัลละซีเคาะละเกาะกุม..มิน..นัฟสิว..วาหิดะติว..วะญะอะละมินฮา เซาญะฮา ลิยัสกุนะอิลัยฮา ฟะลัม..มาตะฆ็อชชาฮา หะมะลัตหัมลัน เคาะฟีฟัน..ฟะมัรฺร็อตบิฮี ฟะลัม..มา..อัษเกาะลัต ดะอะวัลลอฮะ ร็อบบะฮุมา ละอิน อาตัยตะนาศอลิหัลละนะกูนัน..นะมินัชชากิรีน
190. ฟะลัม..มา..อาตาฮุมา ศอลิหัน..ญะอะลาละฮู ชุเราะกา...อะ ฟีมา..อาตาฮุมา ฟะตะอาลัลลอฮุ อัม..มายุชริกูน
คำแปล R1.
188. Say (O Muhammad): "I possess no power of benefit or hurt to myself except as Allah wills. If I had the knowledge of the
Ghaib
(unseen), I should have secured for myself an abundance of wealth, and no evil should have touched me. I am but a Warner, and a bringer of glad tidings unto people who believe."
189. It is He who has created you from a single person (Adam), and (then) He has created from him his wife [Hawwa (Eve)], in order that he might enjoy the pleasure of living with her. When he had sexual relation with her, she became pregnant and she carried it about lightly. Then when it became heavy, they both invoked Allah, their Lord (saying): "If you give us a
Salih
(good in every aspect) child, we shall indeed be among the grateful."
190. But when He gave them a
Salih
(good in every aspect) child, they ascribed partners to Him (Allah) in that which He has given to them. High be Allah, exalted above all that they ascribe as partners to Him. (Tafsir At-Tabari, Vol.9, Page 148).
คำแปล R2.
188. จงประกาศเถิด ฉันไม่มีอำนาจให้คุณและโทษแก่ตัวฉันเอง นอกจากเป็นไปโดยอัลเลาะฮฺทรงประสงค์ และมาดแม้นฉันรู้สิ่งเร้นลับ แน่นอนฉันก็คงรวบรวมสิ่งที่ดี(ที่ให้ประโยชน์)ไว้ได้มากมาย และคงจะไม่มีความเลวร้ายใด ๆ (จากแผนการของพวกท่านมา) สัมผัสแก่ฉันได้ ฉันนี้หาใช่ใครไม่ นอกจากเป็นผู้ตักเตือน และผู้แจ้งข่าวประเสริฐแก่กลุ่มชนผู้มีศรัทธา
189. พระองค์ทรงเป็นผู้บันดาลพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง (คืออาดัม) และทรงบันดาลมาจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ของเขา (คือฮาวา) เพื่อเขาจะได้สงบมั่นอยู่กับนาง ต่อมาเมื่อเขาได้ครอบคลุม(คือสมสู่กับ)นาง นางก็ตั้งครรภ์อย่างแผ่วเบา(คือตั้งครรภ์อ่อน ๆ) ซึ่งนางก็นำครรภ์ของนางไปไหนมาไหนได้ (ไม่รู้สึกลำบาก) ครั้นเมื่อนางรู้สึกหนัก(ครรภ์ของนาง) ทั้งสองก็วอนขอต่ออัลเลาะฮฺ ผู้ทรงอภิบาลของทั้งสองว่า “ขอสาบาน! หากแม้นพระองค์ประทานลูกที่ดีแก่เราทั้งสอง เราทั้งสองก็จะเป็นหนึ่งในจำนวนผู้กตัญญูอย่างแน่นอน
190. ครั้นแล้ว เมื่อพระองค์ได้ประทานลูกที่ดีแก่เขาทั้งสอง เขาทั้งสองกลับอุปโลกน์แก่พระองค์ซึ่งภาคีต่าง ๆ ในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่ทั้งสองนั้น (โดยตั้งชื่อลูกของเขาว่า “อับดุลฮัรส์” ซึ่งแปลว่า “บ่าวของฮัรส์”) แต่อัลเลาะฮฺทรงสูงส่งเกินกว่าที่พวกเขาได้ตั้งภาคีไว้
คำแปล R3.
188.
(มุฮัมมัด)
จงบอกพวกเขาเถิดว่า “ฉันไม่มีอำนาจอันใดที่จะให้คุณหรือให้โทษจากตัวฉันได้ เว้นแต่ที่อัลลอฮฺจะทรงประสงค์เท่านั้น และหากฉันมีความรู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น แน่นอนฉันคงสะสมความดีมากมายไว้เพื่อตัวฉันเอง และฉันจะไม่ได้รับความชั่วร้ายใด ๆ ฉันมิใช่ใครอื่นนอกจากผู้ตักเตือนและผู้แจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่เชื่อในสิ่งที่ฉันบอกเท่านั้น”
189. พระองค์คือผู้ทรงสร้างสูเจ้าจากชีวิตหนึ่ง และจากชีวิตนั้นพระองค์ได้ทรงสร้างคู่ครองเขาขึ้นมาเพื่อที่เขาจะได้มีชีวิตที่สงบกับนาง ดังนั้นเมื่อเขาได้ครอบคลุมนาง นางก็ได้ตั้งครรภ์อ่อน ๆ ที่นางพาไปไหนต่อไหนด้วย แต่เมื่อนางอุ้มครรภ์หนักเข้า ทั้งสองก็ได้วิงวอนต่ออัลลอฮฺพระผู้อภิบาลของเขาทั้งสองว่า “หากพระองค์ทรงประทานลูกที่ดีแก่เรา เราจะเป็นผู้กตัญญูต่อพระองค์”
190. แต่เมื่อพระองค์ได้ทรงให้เด็กที่ดีมีความสมบูรณ์แก่เขาทั้งสองแล้ว เขาทั้งสองได้เริ่มตั้งภาคีควบคู่กับอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงให้แก่เขาทั้งสอง แต่อัลลอฮฺนั้นทรงสูงส่งเกินกว่าสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีร่วมกับพระองค์
คำแปล R4.
188. จงกล่าวเถิดว่า (มุอัมมัด) ว่าฉันไม่มีอำนาจที่จะครอบครองประโยชน์ใด ๆ และโทษใด ๆ ไว้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ตัวของฉันได้นอกจากสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประสงค์เท่านั้น และหากฉันเป็นผู้ที่รู้สิ่งเร้นลับแล้ว แน่นอนฉันก็ย่อมกอบโกยสิ่งที่ดีไว้มากมายแล้ว และความชั่วร้ายก็ย่อมไม่ต้องฉันได้ ฉันมิใช่ใครอื่น นอกจากผู้ตักเตือนและผู้ประกาศข่าวดีแก่กลุ่มชนที่ศรัทธาเท่านั้น
189. พระองค์นั้นคือผู้ที่ได้ทรงบังเกิดพวกเจ้าจากชีวิตเดียวและได้ทรงให้มีขึ้นจากชีวิตนั้น ซึ่งคู่ครองของชีวิตนั้นเพื่อชีวิตนั้นจะได้มีความสงบสุขกับนาง ครั้นเมื่อชีวิตนั้นได้สมสู่นาง นางก็อุ้มครรภ์อย่างเบา ๆ แล้วนางก็ผ่านมันไป ครั้นเมื่อนางอุ้มครรภ์หนัก เขาทั้งสองก็วิงวอนต่ออัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าของเขาทั้งสองว่า ถ้าหากพระองค์ทรงประทานบุตรที่สมบูรณ์ให้ข้าพระองค์แล้ว แน่นอนข้าพระองค์ก็อยู่ในหมู่ผู้ขอบคุณ
190. ครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงประทานให้เขาทั้งสองซึ่งบุตรที่สมบูรณ์ เขาทั้งสองก็ให้มีบรรดาภาคีขึ้นแก่พระองค์ ในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เขาทั้งสอง อัลลอฮฺนั้นทรงสูงเกินกว่าที่พวกเขาให้มีภาคีขึ้น
คำแปล R5.
๑๘๘. โฮ้มุฮำมัด
เจ้าจงบอก
แก่ชนชาวมักกะห์
เถิดว่า ฉันไม่มีสิทธิทั้งในทาง
แสวสงหา
ประโยชน์ และในทางกำจัดภัยเพื่อตัวฉันเองเลย เว้นแต่อัลเลาะห์ทรงมุ่งหมาย
จะให้เกิดมีทั้งสองประการดังกล่าวขึ้น
เท่านั้น
มันจึงจะเกิดขึ้นมาได้
และถ้าฉัน
(มุฮำมัด)
รู้ความลี้ลับแล้วไซร้ ฉันจะสร้างสมส่วนดี
อันมีทรัพย์สมบัติ มีพลานามัยและอื่น ๆ
ไว้ให้มาก แล้วความอับโชค
อันมีความยากจน ความป่วยไข้และอื่น ๆ เป็นต้น
ก็จะไม่มาพานพบฉันได้เลย
เพราะฉันจะต้องคอยระวังอยู่เสมอมิให้เกิดความยากจนและอื่น ๆ ขึ้นโดยการหลีกเสียให้พ้นจากอันตรายอย่างนั้น แต่ตัวฉันก็มิได้สร้างสมส่วนดีดังกล่าวไว้มากมาย ทั้งยังเป็นผู้ยากจนอีกด้วย ข้อนี้บ่งความว่า ฉันมิได้รู้ถึงความลี้ลับอะไรเลย
ฉันนี้มิใช่อื่นใดหากแต่เป็นทั้งผู้ตักเตือน
พวกกาฟิรให้เกิดกลัวด้วยนรก
และผู้ประกาศข่าวดีแก่ปวงชนผู้ศรัทธา
ด้วยสวรรค์เป็นอุทาหรณ์
เท่านั้น
๑๘๙. โฮ้ปวงชนชาวมักกะห์
พระองค์คือ
อัลเลาะห์
พระผู้ทรงสร้างพวกเจ้าจากชีวิต
หนึ่งอันได้แก่พระนบีอาดำ
และทรงสร้าง
พระนางเฮาวาอ์
คู่ครองขึ้นจากชีวิตนั้นเพื่อเขา
(อาดำ)
จะได้อยู่ร่วมเรียงกับนาง
และเกิดความสนิทสนมกัน
ครั้นเมื่อเขา
(อาดำ)
ได้สมสู่กับนาง
อสุจิได้เกิดปฏิสนธิกันแล้ว
นางก็ตั้งครรภ์อ่อน ๆ นางยังอุ้มครรภ์
ที่อ่อน
นั้นไปมาได้
อย่างไม่ลำบากและอึดอัดแต่ประการใด ทั้งนี้เพราะยังมีความรู้สึกเบาอยู่
ครั้นเมื่อนางรู้สึกหนักครรภ์
เพราะบุตรในครรภ์ค่อยเจริญเติบโตขึ้น ทั้งพระนบีอาดำและพระนางเฮาวาอ์เกิดวิตกกังวลเป็นห่วงใยว่าบุตรของตนทั้งสองจะเป็นสัตว์เดียรัจฉานไป ทั้งสองเกรงว่าบุตรจะเป็นสุนัขบ้าง เป็นลิงบ้าง หรือจะเป็นลาบ้างตามคำหลอกลวงของไชตอน
เขาทั้งสองจึงวิงวอนต่ออัลเลาะห์องค์พระผู้อภิบาลแห่งเขาทั้งสองว่า ถ้าแม้นพระองค์จะประทานให้ข้าพระองค์ทั้งสองได้
บุตร
ผู้บริสุทธิ์
สมประกอบ
แล้วไซร้ ข้าพระองค์ทั้งสอง
ขอให้สัจปฏิญาณว่า
จะเป็นส่วนหนึ่งในบรรดาผู้ขอบคุณแน่นอน
ในประการที่ได้บุตรบริสุทธิ์ที่พระองค์ทรงมอบให้
๑๙๐.
เมื่อพระองค์ได้ประทานให้เขาทั้งสองได้
บุตร
ผู้บริสุทธิ์
มีนร่างกายสมประกอบบริบูรณ์
แล้ว เขาทั้งสองกลับ
เอาไชตอนมา
ตั้งภาคีเทียบเทียมเสมอพระองค์
อัลเลาะห์
ในเรื่อง
ของบุตร
ที่พระองค์ได้ทรงมอบให้เขาทั้งสองได้รับนั้น
โดยทั้งสองได้ตั้งชื่อบุตรว่า อับดุล-ฮัรส์ ซึ่งคำว่า อัล-ฮัรส์ เป็นชื่อของไชตอน ทั้ง ๆ ที่บุตรผู้นี้เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ แต่เขาทั้งสองกลับตั้งชื่อว่า อับดุล-ฮัรส์ (บ่าวของอัล-ฮัรส์) จึงกลายเป็นว่าบุตรผู้นี้เป็นบ่าวของไชตอนด้วย นับว่าไชตอนมีส่วนร่วมกรรมสิทธิ์ในตัวเด็กนี้ ความจริงนั้นบุตรของเขาทั้งสองนั้นจะเป็นบ่าวของใครอื่นไปมิได้ นอกจากต้องเป็นบ่าวของอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไชตอนไม่มีสิทธิ์ที่จะร่วมกรรมสิทธิ์ในการเป็นผู้ปกครองบ่าวเลย ในคราวที่เขาทั้งสองกังวลใจเกรงว่าบุตรในครรภ์จะถือกำเนิดเป็นเดียรัจฉาน และเกรงว่าเมื่อเกิดมาแล้วต้องตาย อิบลิสบอกแก่พระนางเฮาวาอ์ว่า ฉันเป็นตัวแทนมาจากอัลเลาะห์และเป็นผู้ใกล้ชิดพระองค์ เธอจงเชื่อตามฉันเถอะ และจงตั้งชื่อบุตรของเธอว่า อับดุล-ฮัรส์ซิ เขาจึงจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้
แต่ท่านซาเราะห์ได้รับกระแสความทอดมาแต่พระนบีมุฮำมัดรายงานว่า ครั้งที่พระนางเฮาวาอ์คลอดบุตร อิบลีสจะมาป้วนเปี่ยนอยู่รอบ ๆ และไม่เคยมีบุตรคนไหนที่คลอดแล้วจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ อิบลีสจึงบอกนางว่า จงตั้งชื่อบุตรว่า อับดุล-ฮัรส์ซิ บุตรของเธอจึงจะมีชีวิตรอด นางจึงตั้งชื่อตามคำลวงล่อและคำบัญชาของอิบลีสแล้วบุตรของนางก็มีชีวิตรอดอยู่ได้ จำเดมก่อนบุตรถูกขนานชื่อว่าอับดุลฮัรส์นั้น พระนบีอาดำมีบุตรอยู่แล้วสามคน ชื่ออับดุลเลาะห์ ชื่ออุไบดุลเลาะห์และอุบัยดุลเราะห์มาน ตามลำดับอาวุโส แต่ต้องเสีบชีวิตหมด อิบนุอับบ๊าสกล่าวว่า ครั้นพระนบีอาดำได้บุตรคนหัวปีนั้นอิบลีสมาหาและบอกกับพระนบีอาดำว่า ฉันนี้ปรารถนาดีต่อนางเกี่ยวกับเรื่องบุตรของนางคนนี้ เธอจงตั้งชื่อเขาว่าอับดุล-ฮัรส์เถิด เพราะชื่อนี้มีระบุอยู่ที่ฟากฟ้า พระนบีอาดำตอบว่า ขอต่ออัลเลาะห์อย่าให้ฉันได้เชื่อตามท่าน(อิบลีส)เลย แท้จริงฉันเคยเชื่อท่านมาหนหนึ่งที่ให้ฉันกินผลไม่ในสวรรค์ ฉันจึงต้องถูกขับไล่ให้ออกจากสวรรค์ ฉันจะไม่เชื่อท่านอีกแล้ว แต่แล้วบุตรของพระนบีอาดำก็ตาย ต่อมาได้บุตรคนรอง อิยลีสมาบอกอีกว่า เชื่อฉันเถอะ ท่านนบีอาดำ มิฉะนั้นบุตรของท่านจะตายเหมือนคนหัวปี พระนบีอาดำปฏิเสธ แล้วบุตรคนรองก็ตายอีก อิบลีสบอกว่า ฉันสังหารบุตรทุกคนของท่านจนกว่านางจะตั้งชื่อบุตรว่า อับดุล-ฮัรส์ การณ์เป็นเช่นนี้เรื่อยไปจนในที่สุดพระนบีอาดำก็ตั้งชื่อบุตรของตนว่าอับดุลฮัรส์ตามคำลวงล่อของอิบลีส
ก็อัลเลาะห์นั้นทรงเลิศล้นเกินกว่า
เทวรูปทั้งหลาย
ที่พวกเหล่านั้น
ซึ่งเป็นชนชาวมักกะห์
จะตั้งภาคีเทียบเทียม
เสมอพระองค์ในด้านเคารพบูชา
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
พิมพ์
หน้า:
1
2
[
3
]
4
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
»
เสวนาเชิงวิชาการ
»
อัลกุรอาน
(ผู้ดูแล:
นูรุ้ลอิสลาม
,
Bangmud
) »
อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 7 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ
GoogleTagged
56343320
คำอ่าน
อั
แปลไทย
bmk
46751780
48705608
แปล
ซาบิ้ล
ayat
ซูยูด
quran
อายะ
dgi
search
ห์
อาซานะ
41018144
laแปล