
อัลเลาะฮ์ตะอาลา ทรงตรัสว่า
وَتَزَوَّدُوا فَإِنَّ خَيْرَ الزَّادِ التَّقْوَى
“และพวกเจ้าจงตระเตรียมเสบียงเถิด เพราะแท้จริงเสบียงที่ดีเลิศที่สุด คือการตักวา” [อัลบะเกาะเราะฮ์: 197]
การเดินทางของมนุษย์นั้นมีสองประเภท คือเดินทางในโลกดุนยาและเดินทางออกจากโลกดุนยา ดังนั้นการเดินทางในโลกดุนยาจำเป็นต้องมีเสบียง เช่น อาหาร เครื่องดื่ม พาหนะ และทรัพย์สิน ส่วนการเดินทางออกจากโลกดุนยานี้ก็ต้องมีเสบียงเช่นเดียวกัน ก็คือ การรู้จักอัลเลาะฮ์ มีความรักต่อพระองค์ ปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์ และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม
ฉะนั้นเสบียงเพื่อเดินทางออกจากโลกดุนยาย่อมดีกว่าเสบียงในการเดินทางในโลกดุนยา เพราะเสบียงในโลกดุนยานั้นทำให้พ้นจากการทรมานเนื่องจากความหิวโหยเพียงชั่วคราว แต่เสบียงอาคิเราะฮ์นั้นทำให้ท่านรอดพ้นจากการถูกลงโทษหรือถูกทรมานด้วยไฟนรกอันนิรันดร์ และเสบียงของดุนยานั้นไม่จีรังแต่เสบียงของอาคิเราะฮ์นำไปสู่ความสุขอันนิรันดร์.(ตัฟซีรรูหุลบะยาน)
ดังนั้นโปรดพิจารณาว่า ตอนนี้เรามุ่งเน้นตระเตรียมเสบียงใด?
ขอบคุณค่ะสำหรับการเตือนสติ...
ด้วยเหตุนี้จึงถือโอกาสขุดกระทู้นี้ขึ้นมาค่ะ...
เมื่อไม่นานมานี้...น้องที่เป็นชาวคริสต์เล่าให้ข้าน้อยฟัง
ว่ามีพี่คนนึงที่น้องเขารู้จัก ซึ่งเดิมเป็นพุทธศาสนิกชน
แต่สนใจศึกษาคริสตศาสนา...และพี่คนนั้นก็ให้เหตุผลว่า
เขาไม่อาจยอมรับกับบทบัญญัติเกี่ยวกับโลกอันเป็นนิรันดร์ได้
เขาบอกว่า คำว่า"นิรันดร์" ซึ่งแปลว่าไม่มีที่สิ้นสุดนั้น มันน่ากลัวมาก
สำหรับเขา เขาบอกว่า มันน่ากลัวตรงที่ มันไม่มีที่สิ้นสุดนั่นแหล่ะ
และมันจะน่ากลัวสักแค่ไหน หากเราต้องประสบกับสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เขาจึงบอกว่า...หลักการยึดมั่นเช่นนี้แหล่ะที่ทำให้เขา
หันกลับมาอยู่กับพุทธศาสนา เพราะหากทำดีในภพนี้
ก็จะได้อยู่ในภพดีกว่าขึ้นไปอีก ทุกอย่างมีเกิดและดับสูญ...
น้องคนที่ได้ฟังมาจึงเล่าให้ข้าน้อยฟังต่อ
และถามข้าน้อยว่า
สำหรับพี่ พี่กลัวมั้ยคำว่า"นิรันดร์"น่ะ...
ซึ่งสิ่งที่พี่คนนั้นพูดมามันก็น่าคิดอยู่นะ...
ข้าน้อยจึงบอกน้องเขาไปว่า...
สำหรับพี่ พี่ไม่กลัว เพราะนั่นแหล่ะคือสิ่งที่พี่ฝันหาและปรารถนาอย่างที่สุด
น้องก็เลยถามว่า ทำไมเหรอ...อะไรทำให้พี่คิดเช่นนั้น
ข้าน้อยเลยตอบไปว่า...
การใช้สติปัญญาใคร่ครวญสิ่งใดโดยปราศจากหัวใจที่ศรัทธา
เราก็จะได้คำตอบในลักษณะดังกล่าว...
ซึ่งสำหรับพี่...
พี่เชื่อว่า...ถ้าเราทำตามสิ่งที่พระเจ้าสั่งใช้ และหลีกห่างจากสิ่งที่พระองค์ห้าม
เราจะได้สวรรค์อันสุขนิรันดร์มาเป็นของขวัญจากพระองค์
และพระองค์ไม่ได้หลอกให้เราฝัน...แต่นั่นคือความจริง
และหากเราฝ่าฝืน เราก็จะได้นรกอันเป็นนิรันดร์ไปแทน
และสิ่งหนึ่งที่บอกพี่ว่า...พี่ปรารถนาชีวิตอันนิรันดร์...
นิรันดร์นี้คือ สุขนิรันดร์ มิใช่ทุกข์ทรมานนิรันดร์...
และมันจะน่ากลัวได้อย่างไร หากมันคือ "สุขนิรันดร์"
น้องลองคิดดูว่าเวลาที่เรามีความสุขได้อยู่เคียงข้างกับบุคคลที่เรารักยิ่ง
เรามีความสุขและอยากให้เวลาหรือห้วงเวลานั้นเป็นนิรันดร์
โดยที่จะไม่มีที่สิ้นสุดหรือมีความทุกข์เข้ามาเยือนหลังจากนั้นอีก...
เราต้องการหรือปรารถนาชีวิตที่สงบสุขจนไม่อยากให้ความทุกข์มาเยือน
แล้วเช่นนี้ จะให้พี่ไม่ปรารถนา"สุขนิรันดร์"ได้อย่างไร...
และโลกนี้ก็ให้พี่ไม่ได้ ไม่มีทางที่โลกนี้จะมีสุขนิรันดร์...
แต่พระเจ้ายืนยันว่าโลกหน้านั้นมี...และสุขในโลกนี้แค่เสี้ยวนึงเท่านั้น
เมื่อเทียบกับโลกหน้า...
สังเกตได้เลยว่า ทุกครั้งที่เรามีความสุข ความสุขนั้นมักจะเคลือบแคลง
ไปด้วยความทุกข์ที่อยู่ภายในตลอด
ดังนั้น มนุษย์เราจะคาดหวังความสุขล้นในโลกนี้ได้สักแค่ไหนกัน...
และสำหรับพี่...คำว่านิรันดร์ มันจะน่ากลัวหรือไม่
มันขึ้นอยู่กับว่า อะไรที่เป็นนิรันดร์...
หากว่ามันคือนรกอันนิรันดร์ นรกที่ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น
ย่อมน่ากลัวจริงๆ...
แต่ถ้าหากมันคือ "สุขนิรันดร์" พี่ก็ยินดีและปรารถนาอย่างที่สุด
ยิ่งได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ได้อยู่กับบรรดาศาสนทูตของพระองค์
พี่ยิ่งปรารถนา...
น้องเขาก็เลยบอกว่า...คิดไปคิดมา...
เราทุกคนก็ต้องการมีแต่ความสุข ไม่ต้องทุกข์นะพี่...
ข้าน้อยเลยบอกน้องเขาว่า...
สุขทุกข์คือบททดสอบ เราสอบผ่าน เราก็จะได้ของขวัญ...
โลกนี้คือโลกที่เรามาเพื่อทดสอบ...คือโลกของการทำข้อสอบ และพระเจ้าจะส่งโจทย์มาให้เราจนกว่าเรา
จะหมดลมหายใจ...แต่มันไม่นานหรอก...
ชีวิตในโลกนี้มันสั้นนิดเดียว...แล้วเราจะไปพบกับ
โลกอันนิรันดร์ ตามที่เราได้กระทำไว้ในโลกนี้...
การตายจึงไม่ใช่จุดสิ้นสุด...แต่มันคือจุดเริ่มต้น
ของอีกสิ่งหนึ่ง...
ปล.การคุยกับน้องที่เป็นคริสต์ บางครั้งก็ทำให้รู้ว่า
คริสต์กับอิสลามมีความคล้ายคลึงกันมาก
แต่สิ่งที่แตกต่างกันกลับเป็นหัวใจหลัก...
และเป็นจุดบอบบางที่หากเราเผลอไปแตะมันเข้า
ก็ไม่ต่างกับการที่เราเอานิ้วไปแตะแก้วใส
ที่มีรอยร้าวอยู่แล้ว สุดท้ายมันก็จะแตกคามือเรา...
ยากจะประสาน...
ใจนึงอยากบอกน้องเขาไปตรงๆว่าให้ลองศึกษาอิสลาม
แต่อีกใจนึงก็คิดว่า การบอกออกไปตรงๆมันคงไม่ดีนัก
เพราะน้องเขาก็ยังมีอคติกับอิสลามอยู่ไม่น้อย
สิ่งที่ทำได้คือ การค่อยๆบอกเขาไปอย่างนี้...
หวังลึกๆว่าอัลลอฮฺจะเปิดใจน้องเขาในสักวัน...
วัสลามค่ะ