ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย ตอนที่ 28 อัลเกาะศ็อศ  (อ่าน 4931 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด


 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺอัลเกาะศ็อศ ( เรื่องราว القصص) R4.

เป็นสูเราะฮฺมักกียะฮฺ  มี  88 อายะฮฺ
ความหมายโดยสรุปของซูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ
   ซูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศเป็นซูเราะฮฺมักกียะฮฺ ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับหลักฐาน การศรัทธา อัลอะกีดะฮฺ คือเรื่องเกี่ยวกับการเตาฮีด สาสน์ และการฟื้นคืนชีพ เป็นซูเราะฮฺที่มีแนวทางในการดำเนินเรื่องและจุดมุ่งหมายแบบเดียวกันกับซูเราะฮฺอันนัมลฺ และซูเราะ อัชชุอะรออฺ นอกจากนี้บรรยากาศแห่งการประทานซูเราะฮฺทั้งสามก็สอดคล้องกัน คือให้ความสมบูรณ์หรือให้ความละเอียดในสิ่งที่ทั้งสองซูเราะฮฺก่อนกล่าวไว้โดยย่อ
   แกนหลักของซูเราะฮฺนี้หมุนเวียนอยู่ในเรื่องของสัจธรรมและความเท็จ เรื่องของการยอมจำนนและความเกรี้ยวกราด และการวาดภาพเรื่องการต่อสู้ระหว่างพลพรรคของอัรฺเราะหฺมานและพลพรรคของชัยฏอน ในการนี้ได้นำมากล่าวไว้สองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกเกี่ยวกับการกดขี่ข่มเหงในการปกครองและการใช้อำนาจ โดยยกตัวอย่างเรื่องของฟิรฺเอาน์ นักปกครองที่ใช้อำนาจกดขี่ประชาชนชาวอิสรออีล ให้ได้ลิ้มรสการลงโทษอย่างแสนสาหัส คือการฆ่าบุตรชาย การไว้ชีวิตสตรีเพศ และที่ร้ายกาจไปกว่านั้นก็คือ แสดงความโอหังต่ออัลลอฮฺตะอาลา ด้วยการกล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้า “ฉันไม่รู้ว่ามีพระเจ้าอื่นใดสำหรับพวกท่าน นอกจากฉัน” 28:38 เรื่องที่สองคือเรื่องของการแสดงความโอหังและความหยิ่งผยองในการครอบครองทรัพย์สินเงินทอง โดยยกตัวอย่างกอรูนกับพลพรรคของเขา ทั้งสองเรื่องเป็นสัญลักษณ์แห่งการกดขี่ข่มเหง ความโอหังของมนุษย์ในการดำรงชีวิต จะด้วยทรัพย์สมบัติหรือเกียรติยศหรืออำนาจก็ตาม
   ซูเราะฮฺนี้ได้เริ่มกล่าวถึงความเกรี้ยวกราดของฟิรเอานฺ ความหยิ่งผยองและการบ่อนทำลายในแผ่นดินและวาทะแห่งความหยิ่งผยองในทุกกาลเวลาและทุกสถานที่
   จากนั้นได้กล่าวถึงกำเนิดของมูซา ความกลัวของมารดาที่มีต่อเขาจากฤทธิ์เดชของฟิรฺเอานฺ และการดลใจของอัลลอฮฺตะอาลาให้แก่นางโดยโยนเขาลงในแม่น้ำไนล์เพื่อให้เขามีชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติ ภายใต้การคุ้มครองของฟิรเอานฺ เสมือนดังดอกไม้ที่หอมหวนอยู่ท่ามกลางเสี้ยนหนามและโคลนตม ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงมูซาเมื่อบรรลุนิติภาวะ การที่เขาฆ่าชาวอียิปต์ การอพยพไปยังดินแดนมัดยัน และการสมรสกับบุตรสาวของนะบีชุอัยบฺ และการที่อัลลอฮฺทรงใช้ให้เขากลับไปยังอียิปต์ เพื่อเรียกร้องเชิญชวนฟิรฺเอานฺผู้หยิ่งผยองให้กลับเข้ามาหาอัลลอฮฺ ตลอดจนเรื่องของมูซาที่มีต่อฟิรฺเอาน์อย่างละเอียด จนกระทั่งอัลลอฮฺให้เขาจมน้ำตาย แล้วซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงพวกกุฟฟารมักกะฮฺ ในการยืนหยัดต่อต้านของพวกเขาต่อการเผยแพร่ของท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และได้ชี้แจงว่า แนวทางของผู้หลงผิดนั้นเป็นหนึ่งเดียว
   ซูเราะฮฺนี้ได้กล่าวถึงเรื่องอขงอกอรูน และได้ชี้แจงถึงข้อแตกต่างอย่างมากมายระหว่างวาทะแห่งการอีมาน และวาทะแห่งความหยิ่งผยอง
   ซูเราะฮฺนี้จบลงด้วยการชี้แนะไปสู่ทางแห่งความสุข นั่นคือ ทางแห่งการอีมานซึ่งบรรดารอซูลผู้ทรงเกียรติได้เรียกร้องไปสู่
   ชื่อของซูเราะฮฺ
   ซูเราะฮฺอัลเกาะศ็อศถูกขนานนามเช่นนั้นก็เพราะ อัลลอฮฺตะอาลา ทรงกล่าวถึงเรื่องของมูซาอย่างละเอียด ตั้งแต่การเกิดของเขาจนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรอซูล และในเรื่องมีเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ได้ถึงการคุ้มครองและการคุ้มกันของอัลลอฮฺ ที่มีต่อบ่าวผู้ใกล้ชิดของพระองค์ และการให้ความต่ำต้อยต่อศัตรูของพระองค์


----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


--------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 1 - 6




คำอ่าน
1. ฏอ สี..ม มี..ม
2. ติลกะอายาตุลกิตาบิลมุบีน
3. นัตลูอะลัยกะ มิน..นะบะอิมูสา วะฟิรฺเอานะ บิลหักกิ ลิก็อวมียุอ์มินูน
4. อิน..นะ ฟิรฺเอานะ อะลาฟิลอัรฎิ วะญะอะละ อะฮฺละฮา ชิยะอัย..ยัสตัฎอิฟุ ฏอ...อิฟะตัม..มินฮุม ยุซับบิหุ อับนา...อะฮุม วะยัสตะหฺยี นิสา...อะฮุม อิน..นะฮูกานะมินัลมุฟสิดีน
5. วะนุรีดุ อัน..นะมุน..นะ อะลัลละซีนัสตุฎอิฟู ฟิลอัรฺฎิ วะนัจญอะละฮุม อะอิม..มะเตา..วะนัจญอะละฮุมุลวาริษีน
6. วะนุมักกินะละฮุม ฟิลอัรฺฎิ วะนุริยะฟิรฺเอานะ วะฮามานะ วะญุนูดะฮุมา มินฮุม..มากานูยะหฺซะรูน


คำแปล R1.
1. Ta-Sin-Mim [These letters are one of the miracles of the Qur'an, and none but Allah (alone) knows their meanings]
2. These are verses of the manifest Book (that makes clear truth from falsehood, good from evil, etc.).
3. We recite to you some of the news of Musa (Moses) and Fir'aun (Pharaoh) in truth, for a people who believe (those who believe in this Qur'an, and in the Oneness of Allah).
4. Verily, Fir'aun (Pharaoh) exalted himself in the land and made its people sects, weakening (oppressing) a group (i.e. Children of Israel) among them, killing their sons, and letting their females live. Verily, he was of the Mufsidun (i.e. those who commit great sins and crimes, oppressors, tyrants, etc.).
5. And we wished to do a favour to those who were weak (and oppressed) in the land, and to make them rulers and to make them the inheritors,
6. And to establish them in the land, and we let Fir'aun (Pharaoh) and Haman and their hosts receive from them that which they feared.


คำแปล R2.
1. ฏอ, ซีน, มีม
2. เหล่านี้เป็นโองการต่าง ๆ แห่งคัมภีร์(อัลกึรอาน)อันแจ้งชัด
3. เราแถลงให้เจ้า(มุฮำมัดได้รู้)เกี่ยวกับประวัติของมูซา และฟิรเอาน์โดยความเป็นจริงสำหรับกลุ่มชนที่มีศรัทธา
4. แท้จริงฟิรเอาน์ได้เหลิงอำนาจในแผ่นดิน(อียิปต์)และเขาได้ทำให้ชาวแผ่นดินนั้น แตกออกเป็นหลายพวก เขากดขี่คนกลุ่มหนึ่งจากพวกเขา(คือพวกเผ่าพันธุ์อิสรออีล) เขาทำการเชือดบุตรผู้ชายของคนเหล่านั้น และไว้ชีวิตแก่บุตรหญิงของพวกเขา แท้จริงเขาเป็นผู้หฯงจากบรรดาผู้บ่อนทำลาย
5. และเราปรารถนาที่จะได้โปรดปรานแก่บรรดาผู้ถูกกดขี่ในแผ่นดิน และเราจะบันดาลให้พวกเขาเป้นผู้นำ และบันดาลให้พวกเขาเป็นกลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้สืบทอด (อำนาจและทรัพย์สินต่าง ๆ ของฟิรเอาน์)
6. และเราให้อำนาจแก่พวกเขาในแผ่นดินและเราทำให้ฟิรเอาน์และฮามาน ตลอดจนไพร่พลของทั้งสองจากพวกเขาได้เห็นสิ่งที่พวกเขาเคยหวั่นกลัว(ว่าอำนาจของพวกเขาจะสูญสิ้น)

 
คำแปล R3.
1. ฏอ ซีน มีม
2. เหล่านี้คืออายะฮฺทั้งหลายของคัมภีร์อันชัดแจ้ง
3. เราได้เล่าเรื่องราวบางตอนของมูซาและฟิรฺเอาน์ แก่เจ้าด้วยความจริงเพื่อประโยชน์ของหมู่ชนผู้ศรัทธา
4. แท้จริงแล้ว ฟิรฺเอาน์นั้นทำตัวโอหังในแผ่นดิน และได้แบ่งผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้นออกเป็นพวก ๆ ซึ่งหนึ่งในพวกนี้เขาต้องการที่จะทำให้อ่อนแอด้วยการฆ่าลูกชายของพวกเขาและไว้ชีวิตลูกสาวของพวกเขา แท้จริงแล้วเขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ก่อความเสียหาย
5. และเราปรารถนาที่จะแสดงความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ถูกกดขี่ในแผ่นดินและทำให้พวกเขาเป็นผู้นำและทำให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอด
6. และให้อำนาจพวกเขาในแผ่นดินและเพื่อที่จะให้ฟิรฺเอาน์และฮามานและไพร่พลของเขาทั้งสองได้เห็นสิ่งที่พวกเขากลัว จากพวกเขาเหล่านี้


คำแปล R4.
1. ฏอ ซีน มีม
2. เหล่านี้คือโองการทั้งหลายแห่งคัมภีร์อันชัดแจ้ง
3. เราจะอ่านแก่เจ้า บางส่วนแห่งเรื่องราวของมูซาและฟิรเอานด้วยความจริง เพื่อหมู่ชนผู้ศรัทธา
4. แท้จริงฟิรเอานหยิ่งผยองในแผ่นดิน และทำให้ประชาชนนั้นแตกแยกเป็นกลุ่ม ๆ  เขาทำให้ชนกลุ่มหนึ่งในพวกเขาอ่อนแอโดยฆ่าลูกหลานผู้ชายของพวกเขาและไว้ชีวิตเหล่าสตรีของพวกเขาแท้จริงเขาเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย
5. และเราปรารถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดินและเราจะทำให้พวกเขาเป็นหัวหน้าและทำให้พวกเขาเป็นผู้รับมรดา
6. และเราได้ให้พวกเขาครอบครองในแผ่นดินและเราจะให้ฟิรเอานและฮามานตลอดจนไพร่พลของเขาทั้งสอง ได้เห็นสิ่งที่พวกเขามีความกลัว


คำแปล R5.
๑. ฎอ ซีน มีม อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ใจความแห่งอักษรย่อนี้เพียงองค์เดียว
๒. นี้คือโองการต่าง ๆ แห่งคัมภีร์อัลกุรอานอันแจ้งชัดซึ่งได้เปิดเผยสารัตถะทางศาสนา ประสวัติศาสตร์และวิชาการทั่วไป
๓. เราจะอ่านให้เจ้าได้รับทราบเกี่ยวกับเรื่องราวของนบีมูซาและฟิรเอาน์โดยสัจจริงเพื่อเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์แก่กลุ่มชนที่มีศรัทธาทั้งหลาย จักได้ตริตรองเป็นอนุสติแก่พวกเขาเอง
๔. แท้จริงฟิรเอาน์ได้ตั้งตัวเองเป็นใหญ่ในแผ่นดินอียิปต์เพียงผู้เดียวและเขาได้ทำให้ชาวเมืองนั้นเป็นกลุ่มแรงงานต่าง ๆ เพื่อทำงานหนักสนองความบ้าคลั่งในอำนาจของตนเอง เขาถือว่าเผ่าพันธุ์ของอิสรออีลซึ่งเป็นคนกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์นั้นเป็นผู้อ่อนแอที่จะต้องกดขี่ต่าง ๆ นานา เขาสั่งให้ฆ่าบรรดาบุตรชายของคนกลุ่มนั้นเสีย และเขาไว้ชีวิตแก่บรรดาบุตรหญิงของคนกลุ่มนั้น โดยจัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจตราบ้านเรือนของพวกยิว(เผ่าพันธุ์)อิสรออีลเป็นประจำ หากปรากฏมีการคลอดบุตรชายก็จะจับตัวไปฆ่าทันทีแต่ถ้าคลอดเป็นบุตรหญิงก็จะปล่อยตัวไว้ให้พ่อแม่เลี้ยงดูต่อไป สาเหตุที่ฟิรเอาน์ทำเช่นนั้นก็เพราะเขากลัวว่าหากปล่อยให้ผู้ชายยิวมีจำนวนมาก พลังทางเศรษฐกิจก็จะตกอยู่ในเมืองยิว เพราะพวกยิวฉลาดและขยันกว่าพวกอียิปต์ แล้วพวกยิวก็จะมีศักดิ์ศรีเหนือกว่า จนในที่สุดพวกยิวก็อาจยึดครองอำนาจรัฐไว้ได้ อีกประการหนึ่ง ฟิรเอาน์ได้รับคำทำนายจากโหรประจำตัวว่า จะมีคนดีมาเกิดและโค่นบัลลังก์ของเขา ซึ่งเป็นคนในกลุ่มชาวยิว เขาจึงรีบจัดการเด็กผู้ชายตามปรากฏในโองการข้างต้น แท้จริงฟิรเอาน์นั้นเขาเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้บ่อนทำลายที่มีความเชี่ยวชาญ วิธีฆ่า วิธีทรมานสารพัด
๕. และเราประสงค์ที่จะโปรดปรานบรรดาเผ่าพันธุ์ของอิสรออีลที่ถูกถือว่าเป็นผู้อ่อนแอในแผ่นดินและได้รับการกดขี่ดูถูกดูแคลนอยู่ตลอดเวลา เราดลบันดาลให้เขาเป็นผู้นำของมวลชนและบันดาลพวกเขาให้เป็นทายาทสืบทอดอำนาจบริหารจากฟิรเอาน์เมื่อฟิรเอาน์พ่ายแพ้ไป
๖. และเราประสงค์ที่จะให้ความมั่นคงแก่พวกเขาในแผ่นดินอียิปต์และชาม โดยบันดาลพวกเขาเหล่านั้นเข้ายึดครองและมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และเราทำให้ฟิรเอาน์และฮามานที่ปรึกษาของฟิรเอาน์ และกองทัพของทั้งสองจากพวกเขาได้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา ในสิ่งที่พวกเขาวิตกกังวลว่าจะอุบัติขึ้นแก่พวกเขา นั่นคือการสูญเสียอำนาจของพวกยิวที่เกิดมา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะบงการให้เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้ ที่สุดสิ่งที่เขาวิตกกังวลก็ได้อุบัติขึ้นจริง ๆ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 7 - 11


คำอ่าน
7. วะเอาหัยนา..อิลา..อุม..มิมูสา..อัรอัรฺฎิอีฮิ ฟะอิซาคิฟติ อะลัยฮิ ฟะอัลกีฮิ ฟิลยัม..มิ วะลาตะคอฟี วะลาตะหฺซะนี อิน..นา รอ...ดดูฮุอิลัยกิ วะญาอิลูฮุ มินัลมุรฺสะลีน
8. ฟัลตะเกาะเฎาะฮู..อาลุฟิรเอานะ ลิยะกูนะละฮุม อะดูเวา..วะหะซะนา อิน..นะฟิรฺเอานะ วะฮามานะ วะญุนูดะฮุมา กานูคอฏิอีน
9. วะกอละติมเราะอะตุฟิรฺเอานะ กุรฺเราะตุอัยนิลลี วะลัก ลาตักตุลูฮุ อะสา..อัย..ยัน..ฟะอะนา..เอานัคคะคิซะฮูวะละเดา..วะฮุมลายัชอุรูน
10. วะอัศบะหะฟุอาดุ อุม..มิมูสา ฟาริฆอ อิน..กาดัต ละตุบดีบิฮี เลาลา..อัรฺเราะบัฏนา อะลาก็อลบิฮา ลิตะกูนะมินัลมุอ์มินีน
11. วะกอลัตลิอุคติฮี กุศศีฮิ วะบะศุร็อตบิฮี อัน..ญุนุบิว..วะฮุม ลายัชอุรูน


คำแปล R1.
7. And we inspired the mother of Musa (Moses), (saying): "Suckle him [Musa (Moses)], but when you fear for him, then cast him into the river and fear not, nor grieve. Verily! We shall bring him back to you, and shall make him one of (Our) Messengers."
8. Then the household of [Fir'aun] (Pharaoh) picked him up, that he might become for them an enemy and a (cause of) grief. Verily! [Fir'aun] (Pharaoh), Haman and their hosts were sinners.
9. And the wife of [Fir'aun] (Pharaoh) said: "A comfort of the eye for me and for you. Kill him not, perhaps he may be of benefit to us, or we may adopt him as a son." and they perceive not (the result of that).
10. And the heart of the mother of Musa (Moses) became empty [from every thought, except the thought of Musa (Moses)]. She was very near to disclose his (case, i.e. the child is her son), had we not strengthened her heart (with faith), so that she might remain as one of the believers.
11. And she said to his [Musa's (Moses)] sister: "Follow him." so she (his sister) watched him from a far place secretly, while they perceived not.


คำแปล R2.
7. และเราได้ดลจิตแก่มารดาของมูซาว่า “เธอจงให้นมเขาเถิด แต่เมื่อเธอกลัวเขาจะประสบอันตราย(จากการตามล่าของพวกทหารที่จับเด็ผู้ชายฆ่า) เธอก็จงปล่อยเขาลงในแม่น้ำ และเธออย่าได้กลัวและอย่าได้เศร้าโศกไปเลย เพราะแท้จริงเราจะส่งคืนเขาแด่เธอ และเราจักแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ถูกส่งมาเป็นศาสนทูต
8. ครั้นแล้ว วงศ์วานของฟิรเอาน์ก็เก็บเขา(ไปจากแม่น้ำ) เพื่อผลที่สุด เขาจะได้เป็นศัตรูและเป็นความเศร้าโศกสำหรับพวกเขา(ในอนาคต) แท้จริงฟิรเอาน์และฮามาน ตลอดจนไพร่พลของทั้งสองล้วนเป็นผู้ทำผิด
9. และภรรยาของฟิรเอาน์ได้กล่าวว่า “(หวังว่าเด็กที่เก็บได้นี้คงจะ)เป็นแก้วตาสำหรับฉันและสำหรับท่าน พวกท่านอย่าฆ่าเขาเลย เขาอาจจะอำนวยคุณแก่พวกท่านได้ หรือ(มิฉะนั้น) เราก็สถาปนาเขาให้เป็นลูก(ของเรา) และพวกเขาไม่รู้สำนึก (เลยว่า อนาคตนั้นพวกเขาจะต้องประสบกับภัยพิบัติจากเด็กผู้นี้)
10. และหัวใจของมารดามูซารู้สึกว้าเหว่ (ยิ่งนักที่จำต้องพรากจากลูกสุดที่รัก) แท้จริงนางเกือบจะเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องราวของเขา (ให้ทุกคนรู้ว่านางคือแม่ของเด็กคนนี้) หากว่าเราไม่ผูกใจของนางไว้(ให้เข้มแข็ง) เพื่อนางจะได้เป็นผู้หนึ่งจากมวลผู้ศรัทธา)
11. และนางได้ปรารภกับพี่สาวของเขา “เธอจงออกสืบหาข่าวของเขาเถิด”


คำแปล R3.
7. และเรา ได้ดลใจแม่ของมูซาว่า “จงให้นมเขาดื่ม และเมื่อเจ้ากลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย ดังนั้นจงนำเขาไปลอยในแม่น้ำและจงอย่ากลัว และจงอย่าโศกเศร้า เพราะเราจะนำเขากลับมายังสูเจ้าและจะทำให้เขาเป็นหนึ่งในบรรดารอซูล”
8. หลังจากนั้น คนของฟิรฺเอาน์ก็เก็บเขาขึ้นมา(จากแม่น้ำ)เพื่อที่เขาจะได้เป็นศัตรูของพวกเขาและสร้างความขมขื่นให้แก่พวกเขา แท้จริงฟิรเอาน์และฮามานและไพร่พลของเขาทั้งสองเป็นพวกที่ทำผิด(ในแผนการของพวกเขา)
9. ภรรยาของฟิรฺเอาน์กล่าว(แก่เขา) ว่า “เขาเป็นที่เย็นตาแก่ฉันและแก่ท่าน จงอย่าฆ่าเขา บางทีเขาอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเรา หรือเราอาจจะรับเขามาเป็นลูกก็ได้” แต่พวกเขาไม่รู้(ถึงผลสุดท้าย)
10. ในวันรุ่งขึ้น หัวใจของแม่มูซาวิตกเป็นอย่างมาก นางเกือบจะเปิดเผยความลับของเขาแล้วหากเราไม่ทำให้หัวใจของนางเข้มแข็งเพื่อที่นางจะได้มีศรัทธา(ในคำสัญญาของเรา)
11. นางได้กล่าวแก่พี่สาวของเขาว่า “จงตามดูเขาด้วย” ดังนั้นเธอจึงได้เฝ้าคอยดูเขาอยู่ห่าง ๆ โดยที่(พวกศัตรู) ไม่รู้


คำแปล R4.
7. และเราได้ดลใจแก่มารดาของมูซา จงให้นมแก่เขา เมื่อเจ้ากลัวแทนเขาก็จงโยนเขาลงไปในแม่น้ำและเจ้าอย่าได้กลัวและอย่าได้เศร้าโศก แท้จริงเราจะให้เขากลับไปหาเจ้า และเราจะทำให้เขาเป็นหนึ่งในบรรดารอซูล
8. ดังนั้นบริวารของฟิรเอานฺได้เก็บเขาขึ้นมาเพื่อให้เขากลายเป็นศัตรู และความเศร้าโศกแก่พวกเขา แท้จริงฟิรฺเอานฺและฮามานและไพร่พลของเขาทั้งสองเป็นพวกที่มีความผิด
9. และภริยาของฟิรฺเอานฺกล่าวว่า (เขาจะเป็นที่) น่าชื่นชมยินดีแก่ดิฉันและแก่ท่าน อย่าฆ่าเขาเลย บางทีเขาจะเป็นประโยชน์แก่เรา หรือเราจะถือเขาเป็นลูก และพวกเขาหารู้สึกตัวไม่
10. และจิตใจของมารดาของมูซาได้คลายความวิตกกังวลลง นางเกือบจะเปิดเผยกับเขาหากเรามิได้ทำให้จิตใจของนางมั่นคง เพื่อที่นางจะเป็นหนึ่งในหมู่ผู้ศรัทธา
11. และนางได้กล่าวแก่พี่สาวของเขา จงติดตามไปดูเขา ดังนั้นเธอ (พี่สาวของมูซา) ได้เห็นเขาแต่ไกล โดยที่พวกเขาไม่รู้


คำแปล R5.
๗. และเราดลใจแม่ของมูซาเมื่อนางได้คลอดมูซาเรียบร้อยว่า เธอจงเลี้ยงดูโดยให้นมแก่เขาเถิดและให้กระทำโดยปิดบังซ่อนเร้นมิให้ฝ่ายศัตรูทราบ ผิฝ่ายนั้นทราบก็จะต้องมาจับตัวทารกน้อยมูซาไปฆ่าเสีย แต่ถ้าเธอกลัวอันตรายจะเกิดแก่มูซาเขา เธอก็จงส่งเขาลงในทะเล หมายถึงแม่น้ำไนล์และเธออย่ากลัวว่าจะเกิดอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น และเธออย่าโศกเศร้าในการพลัดพรากระหว่างเธอกับลูกน้อยในครั้งนี้ เพราะไม่นานเธอก็ต้องหวนกลับมาพบและอยู่ร่วมกันอีก แท้จริงเราจักเป็นผู้ส่งเขาคืนสู่เธอเอง และเราจักดลบันดาลให้เขาเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาศาสนทูต
๘. จากนั้นแม่ของนบีมูซาก็นำบุตรน้อยของนางบรรจุลงหีบแล้วปล่อยลงแม่น้ำไนล์จนหีบนั้นลอยไปอยู่บริเวณหน้าพระราชวังของฟิรเอาน์ แล้วก็มีผู้หนึ่งซึ่งเป็นวงศ์วานของฟิรเอาน์ได้เก็บเขา(มูซา)ไป เพื่อผลบั้นปลายเขาจะได้เป็นศัตรูและยังความเศร้าโศกแก่พวกเขาเอง แท้จริงฟิรเอาน์และฮามานและกองทัพของทั้งสองปรากฏว่าเป็นผู้ผิดพลาดในการปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับกรณีของนบีมูซามาแต่ต้นแล้ว
๙. และมเหสีของฟิรเอาน์ได้มีรับสั่งกับฟิรเอาน์ แสดงความชื่นชมและรักเอ็นดูต่อทารกน้อยมูซาว่า เด็กน้อยผู้นี้เขาเป็นแก้วตาสำหรับฉัน และท่านอย่าได้ฆ่าเขาเป็นอันขาด เขาอาจจะยังประโยชน์แก่เราในอนาคต เพราะฉันเห็นแววของเขาแล้วว่า เขามีลักษณะอันเป็นมงคลซึ่งจะอำนวยแต่คุณประโยชน์แก่ผู้ชุบเลี้ยง หรือมิฉะนั้นเราก็เลี้ยงเขาไว้เป็นโอรสของเราเลย ฟิรเอาน์แม้จะรังเกียจแต่ก็ไม่กล้าขัดใจผู้เป็นมเหษีจึงอนุญาตให้นางเก็บเด็กน้อยนั้นเลี้ยงเป็นโอรสตามประสงค์ของนางจนคนทั่ว ๆ ไปเรียกเด็กน้อยนั้นว่า “มูซา โอรส ฟิรเอาน์” และคำว่ามูซาเป็นภาษาอียิปต์โบราณซึ่งประกอบด้วยสองคำคือ มู-ซา มูแปลว่าน้ำ ซาแปลว่าต้นไม้ เพราะท่านนบีมูซาถูกเก็บได้จากแม่น้ำซึ่งมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมบริเวณนั้น แต่พวกเขาหาสำนึกไม่ว่าผลบั้นปลายจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
๑๐.และหัวใจของมารดา นบีมูซาหลังจากต้องพรากลูกน้อยก็มีแต่ความว้าเหว่ด้วยความคิดถึง และกังวลในชะตากรรมของลูกน้อย เพราะนางทราบดีว่าลูกของนางกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู ที่จริงนางเกือบจะเปิดเผยเกี่ยวกับเขา(นบีมูซา)ว่าเป็นลูกของนางเสียแล้ว หากแม้นเราไม่มัดหัวใจนางไว้มิให้นางเปิดเผยความลับนั้น เพื่อนางจะได้เป็นผู้หนึ่งจากผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ในฐานะที่นางได้รับสัญญาจากเราไว้แล้วว่านางจะได้กลับมาอยู่กับลูกต่อไปในโอกาสอันไม่ไกลนัก
๑๑.และมารดาของนบีมูซา นางได้กล่าวกับพี่สาวของเขา(นบีมูซา) ซึ่งมีนามว่ามัรยัม เจ้าจงติดตามเขาเถิดจนกว่าจะทราบข่าวของเขาว่าเป็นอย่างไร และเมื่อเจ้าได้ติดตามไปจนถึงวังของฟิรเอาน์แล้วเจ้าก็จงแอบมองหาเขาแต่ไกล ๆ โดยพวกเขาไม่รู้ว่าเจ้าเป็นพี่สาวของมูซา


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 12 - 14


คำอ่าน
12. วะหัรฺร็อมนาอะลัยฮิลมะรอฎิอะ มิน..ก็อบลุ ฟะกอลัต ฮัลอะดุลลุกุมอะลา..อะฮฺลิบัยตี..ยักฟุลูนะฮู ละกุมวะฮุม ละฮูนาศิหูน
13. ฟะเราะดัดนาฮุ อิลา..อุม..มิฮี กัยตะก็อรฺเราะอัยนุฮา วะลาตะหฺซะนะ วะลิตะอฺละมะ อัน..นะวะอฺดัลลอฮิ หักกู..วะลากิน..อักษะเราะฮุม ลายะอฺละมูน
14. วะลัม..มาบะละเฆาะ อะชุดดะฮู วัสตะวา..อาตัยนาฮุ หุกเมา..วะอิลมา วะกะซาลิกะ นัจญซิลมุหฺสินีน


คำแปล R1.
12. And we had already forbidden (other) foster suckling mothers for him, until she (his sister came up and) said: "Shall I direct you to a household who will rear him for you, and sincerely they will look after him in a good manner?"
13. So did we restore him to his mother, that she might be delighted, and that she might not grieve, and that she might know that the Promise of Allah is true. But most of them know not.
14. And when he attained his full strength, and was perfect (in manhood), we bestowed on him Hukman (prophethood, right judgement of the affairs) and religious knowledge [of the Religion of his forefathers i.e. Islamic Monotheism]. And thus do we reward the Muhsinun (i.e. good doers - see the footnote of V.9:120).


คำแปล R2.
12. และเราได้หักห้ามเขา(มิให้ดื่มนมจาก)บรรดาแม่นม(ที่ฟิรเอาน์จัดหาให้) เมื่อก่อน (เมื่อนางมองเห็นเช่นนั้น) นางจึงพูดขึ้นว่า “เอาไหมข้าจะชี้แนะพวกท่านให้ไปหาครอบครัวหนึ่งซึ่งพวกเขาจะเลี้ยงดูเด็กคนนี้ได้เพื่อพวกท่าน และพวกเขาล้วนเป็นผู้หวังดีต่อเขา?”
13. จากนั้นเราจึงให้เขาคืนสู่มารดาของเขา (อีกครั้งหนึ่ง)เพื่อความสุขแห่งนาง และเพื่อนางจะได้ไม่เศร้าโศก(อีกต่อไป) และเพื่อนางจะได้รู้ว่า อันที่จริงสัญญาณแห่งอัลเลาะฮฺย่อมเป็นจริงเสมอ แต่ทว่าคนส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
14. และเมื่อเขา(มูซา) ได้บรรลุสู่วัยฉกรรจ์ และเขา (มีสติปัญญา)ครบสมบูรณ์แล้วเราจึงให้เขาได้มีวิทยญาณและความรอบรู้ และเช่นนั้น ที่เราตอบแทนบรรดาผู้ประพฤติคุณธรรม


คำแปล R3.
12. และเราได้ห้ามแม่นมสำหรับเขาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว (เมื่อเห็นดังนั้น) เธอจึงได้กล่าวแก่พวกเขาว่า “จะให้ฉันบอกพวกท่านถึงคนในบ้านที่จะเลี้ยงดูเขาด้วยความรักและเอาใจใส่แก่เขาไหม ?”
13. ดังนั้น เราจึงได้นำมูซา กลับมาสู่แม่ของเขาอีก เพื่อที่ตาของนางจะได้เย็นลงและนางจะได้ไม่เศร้าโศก และเพื่อที่นางจะได้รู้ว่า สัญญาของอัลลอฮฺนั้นเป็นจริง แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้
14. เมื่อมูซาโตขึ้นเป็นหนุ่มและเป็นผู้ใหญ่ เราได้ประทานการตัดสินและความรู้แก่เขา เช่นเดียวกันนี้แหละที่เราได้ตอบแทนผู้ทำความดี


คำแปล R4.
12. และเราได้ห้ามเขาไว้ก่อนแล้วเรื่องแม่นม ดังนั้นเธอ (พี่สาวของมูซา) กล่าวว่า “ฉันจะชี้แนะชาวบ้านให้แก่พวกท่านเอาไหม ? เพื่อคุ้มครองเขาแทนพวกท่าน และพวกเขาเป็นผู้ให้คำแนะนำอย่างดี”
13. ดังนั้น เราจึงให้เขากลับไปหามารดาของเขา เพื่อที่จะเป็นที่น่าชื่นชมยินดีแก่นางและนางจะไม่เศร้าโศกและเพื่อนางจะได้รู้ว่า แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์นั้นเป็นจริง แต่ส่วนมากพวกเขาไม่รู้
14. และเมื่อเขาบรรลุความเป็นหนุ่มและเติบโตเต็มที่แล้วเราได้ให้ความเข้าใจและความรู้แก่เขา และเช่นนั้นแหละ เราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำความดี


คำแปล R5.
๑๒. และเราได้ห้ามเขาไว้มิให้เขายอมดื่มน้ำนมจากบรรดาแม่นมทั้งหลายที่ฟิรเอาน์ได้จัดให้แต่ครั้งก่อนหน้า ดังนั้นมัรยัมพี่สาวของนบีมูซา ซึ่งได้เล็ดลอดเข้าไปสังเกตการณ์เมื่อเห็นนบีมูซาไม่ยอมดื่มนมจากบรรดาแม่นมที่ฟิรเอาน์จัดมาให้นางจึงกล่าวว่าข้าขอเสนอต่อท่านทั้งหลายถึงครอบครัวหนึ่งซึ่งจะดูแลเขา (นบีมูซา) สำหรับพวกท่านได้ ข้ามั่นใจว่าเขาจะยอมดื่มนมจากครอบครัวนั้นและพวกเขา(ครอบครัวดังกล่าว) มีความปรารถนาดีต่อเขา เมื่อพวกนั้นได้ยินเช่นนั้นจึงเข้าใจว่า มัรยัมและนบีมูซาต้องรู้จักครอบครัวนั้นเป็นอย่างดี โดยตีความคำว่า “ปรารถนาดีต่อเขา” ว่าหมายถึงนบีมูซา มัรยัมจึงตอบพวกนั้นว่า คำว่า “เขา” นั้นข้าหมายถึงกษัตริย์ฟิรเอาน์ หาใช่หมายถึงมูวาไม่ พวกเขาจึงยอมให้มัรยัมเดินทางไปตามตัวมาพบกับฟิรเอาน์ และฟิรเอาน์สั่งให้ทดลองให้นม ก็ปรากฏว่า นบีมูซายอมดื่มนมจากหญิงผู้นั้น ซึ่งที่แท้ก็คือ มารดาของนบีมูซาเอง ฟิรเอาน์ขอให้มารดาของนบีมูซาอยู่ดูแลที่วังของเขา แต่มารดาของนบีมูซาไม่ยอมนอกจากจะไปดูแลที่บ้าน ฟิรเอาน์ก็ยอมผ่อนผันให้ไปอยู่ด้วยกัน หลังจากต้องอยู่ในวังของฟิรเอาน์โดยไม่ได้ดื่มนมเลยติดต่อกันถึงแปดวัน
๑๓. ดังนั้นเราจึงส่งตัวเขากลับคืนแก่มารดาของเขา โดยวิธีการดังกล่าวเพื่อนางจะได้มีความสุขใจเมื่อได้พบกับนบีมูซาซึ่งเป็นบุตรน้อยของนาง และนางจะได้ไม่เสียใจที่ต้องพรากจากบุตรอีกต่อไป และเพื่อนางจะได้ทราบว่าอันสัญญาของอัลเลาะห์นั้นย่อมเป็นจริงเสมอ และแต่ว่าส่วนมากพวกเขาไม่รู้ว่าอัลเลาะห์ได้ให้สัญญาแก่นบีมูซาไว้อย่างไร พวกเขาไม่รู้ว่า มัรฺยัมนั้นที่แท้คือพี่สาวของมูซา และหญิงแม่นมที่จริงแล้วเป็นมารดาแท้ ๆ ของนบีมูซา
๑๔. นบีมูซาได้อยู่กับมารดาเรื่อยมาจนถึงระยะหย่านมโดยนางได้รับค่าจ้างวันละ ๑ เหรียญทอง นางก็ส่งตัวของนบีมูซาให้อยู่กับฟิรเอาน์เรื่อยมาจนอาอายุได้ ๓๐ ปี และเมื่อนบีมูซาเขาบรรลุสู่วัยฉกรรจ์ อายุ ๓๐ ปีและเขาบรรลุวัยกลางคน คืออายุ ๔๐ ปี เราก็ได้ประทานวิทยญาณและความรอบรู้แก่เขา และเช่นนั้นแหละที่จะเราจะตอบสนองแก่บรรดาผู้ประพฤติดีทั้งหลาย หลังจากนั้นก็มีเหตุทำให้นบีมูซาต้องเดินทางไปเมืองมัดยัน เพราะท่านได้คัดค้านฟิรเอาน์เกี่ยวกับหลักความเชื่อ และหลักปฏิบัติต่าง ๆ พร้อมกับตำหนิติเตียนการกระทำของฟิรเอาน์ด้วย
   

ออฟไลน์ iqwan

  • ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลเลาะฮ์ มุฮำมัดดุ้รร่อซูลุ้ลลอฮฺ
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 168
  • เพศ: ชาย
  • มาซาอั้ลลอฮฺ
  • Respect: +23
    • ดูรายละเอียด
 :salam: ขอขอบคุณ Bangmud มากครับที่ให้ความรู้กับพวกเรา جزاك الله خيرا
อั้ลลามะอฺบูดุบิฮักกิ้ลฟิ้ลวุยู๊ดอิ้ลลั้ลลอฮฺ

ทุกๆปัญหา มีทางแก้...ถ้าแก้ไม่ได้ นั่นไม่ใช่ปัญหา
" Any Problem can Solve...if can't Solve
that not the Problem"

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 15 - 17


คำอ่าน
15. วะดะเคาะลัลมะดีนะตะ อะลาหีนะ ฆ็อฟละติม..มินอะฮฺลิฮา ฟะวะญะดะฟีฮา เราะญุลัยนิ ยักตะติลานิ ฮาซามิน..ชีอะติฮี วะฮาซามินอะดูวิฮฺ ฟะสตะฆอษะฮุลละซี มิน..ชีอะติฮี อะลัลละซีมินอะดูวิฮี ฟะวะกะซะฮูมูซา ฟะเกาะฎออะลัยฮิ กอละฮาซามิน อะมะลิชชัยฏอน อิน..นะฮูอะดูวุม..มุฎิลลุมุบีน
16. กอละ ร็อบบิอิน..นี เซาะลัมตุนัฟสี ฟัฆฟิรฺลี ฟะเฆาะฟะเราะละฮฺ อิน..นะฮูฮุวัลเฆาะฟูรุรฺเราะหีม
17. กอละ ร็อบบิบิมา..อันอัมตะ อะลัยยะ ฟะลันอะกูนะ เซาะฮีร้อลลิลมุจญริมีร


คำแปล R1.
15. And he entered the city at a time of unawareness of its people, and he found there two men fighting, - one of his party (his Religion - from the Children of Israel), and the other of his foes. The man of his (own) party asked him for help against his foe, so Musa (Moses) struck him with his fist and killed him. He said: "This is of Shaitan's (Satan) doing, verily; he is a plain misleading enemy."
16. He said: "My Lord! Verily, I have wronged myself, so forgive me." Then He forgave him. Verily, he is the Oft-Forgiving, the Most Merciful.
17. He said: "My Lord! For that with which you have favoured Me, I will never more be a helper for the Mujrimun (criminals, disobedient to Allah, polytheists, sinners, etc.)!"


คำแปล R2.
15. และเขา(มูซา)ได้เข้าสู่เมือง(อียิปต์) ในยามที่ชาวเมืองนั้นกำลังเผลอไผล แล้วเขาก็ได้พบกับคนผู้ชายสองคนในเมืองนั้น ทั้งสองกำลังต่อสู้กัน คนหนึ่งนี้มาจากกลุ่ม(บนีอิสรออีล)ของเขาเอง และอีกคนหนึ่ง นี้มาจากศัตรูของเขา(ชาวอียิปต์) แล้วผู้ที่มาจากกลุ่มของเขาก็ขอร้องให้เขาช่วยต่อสู้กับชายผูมาจากศัตรูของเขา ดังนั้นมูซาจึงชกเขา จนทำให้เขาตายในที่สุด (โดยเขามิได้ตั้งใจเลย) เขาจึงรำพึงว่า “(การกระทำของฉัน)นี้มาจากผลงานของมารร้ายโดยแท้ แท้จริงมันเป็นศัตรูที่ทำความหลงผิดอันชัดแจ้ง”
16. เขากล่าว(ต่อไป)ว่า “โอ้องคือภิบาล แท้จริงข้าพเจ้าได้ทุจริตแก่ตัวของข้าพเจ้าเองเสียแล้ว จึงขอให้พระองค์ได้ทรงโปรดให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด” แล้วพระองค์ก็ทรงให้อภัยแก่เขา แท้จริง พระองค์ทรงให้อภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง
17. เขากล่าวอีกว่า โอ้องค์อภิบาล ขอสาบานด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงโปรดปรานแก่ข้าพเจ้า (ขอพระองค์ได้โปรดปกปักรักษาข้าพเจ้าด้วยเถิด) ต่อไปข้าพเจ้าจะไม่ช่วยเหลือบรรดาคนผิดอีก

 
คำแปล R3.
15. (วันหนึ่ง) เขาได้เข้าไปในเมืองในตอนที่ผู้คนไม่สนใจ ที่นั่นเขาได้เห็นผู้ชายสองคนต่อสู้กัน คนหนึ่งเป็นคนของพวกเขา และอีกคนหนึ่งเป็นคนของพวกศัตรูของเขา คนที่เป็นพวกของเขาได้ร้องขอให้เขาช่วยเหลือในการต่อสู้ คนที่เป็นพวกศัตรูของเขา ดังนั้นมูซาได้ต่อยเขาและทำให้เขาเสียชีวิต (เมื่อเห็นดังนั้น) มูซาจึงได้กล่าวว่า “นี่เป็นงานของชัยฏอน มันเป็นศัตรู (ของมนุษย์) และเป็นผู้ชักนำให้หลงผิดอย่างชัดแจ้ง”
16. ดังนั้น เขาจึงได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันได้ทำผิดต่อตัวฉันเอง ดังนั้นขอได้ทรงโปรดอภัยแก่ฉัน” ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้ทรงอภัยเขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
18. มูซาได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ด้วยความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานแก่ฉันนี้ ฉันจะไม่เป็นผู้ช่วยเหลือคนทำผิดอีกต่อไป”

 
คำแปล R4.
15. และเขา (มูซา) ได้เข้าไปในเมือง ขณะที่ชาวเมืองกำลังพักผ่อนเขาได้เห็นชายสองคนต่อสู้กันอยู่ในนั้น คนหนึ่งมาจากพวกพ้องของเขาและอีกคนหนึ่งมาจากฝ่าย (ที่เป็น) ศัตรูของเขา ดังนั้น คนที่มาจากพวกพ้องของเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อให้ปราบฝ่ายที่เป็นศัตรูของเขา มูซาได้ต่อยเขาแล้วได้ฆ่าเขา เขากล่าวว่า “นี่มันเป็นการกระทำของชัยฏอแท้จริงมันเป็นศัตรูที่ทำให้หลงผิดอย่างแจ้งชัด”
16. เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้อธรรมต่อตนเอง ดังนั้นขอพระองค์ทรงอภัยให้แก่ข้าพระองค์ด้วย แล้วพระองค์ก็ได้อภัยให้เขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
17. เขาได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ การที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่เป็นผู้สนับสนุนผู้กระทำผิดอีกต่อไป”


คำแปล R5.
๑๕. และเขาได้ลอบเข้าเมืองอียิปต์อีกครั้งหนึ่งโดยเดินทางมาจากมัดยันโดยขณะที่ชาวเมืองนั้นกำลังเผลอไผล คือในระยะเวลาที่ชาวเมืองกำลังนอนกลางวัน แล้วเขาก็ได้พบชายสองคนกำลังต่อสู้กัน คนหนึ่งนี้เป็นคนสามัญชาติอิสรออีลอันเป็นสัญชาติของเขาและอีกคนหนึ่งนี้เป็นคนสัญชาติอียิปต์ผู้มาจากศัตรูของเขาที่เคยกดขี่ชาวอิสรออีลติดต่อกันมาเป็นเวลาอันช้านาน แล้วผู้ที่มาจากสัญชาติของเขาได้ขอให้เขาช่วยเหลือในการต่อสู้กับผู้ที่มาจากสัญชาติศัตรูของเขา ดังนั้นมูซาจึงชกเขาหนึ่งครั้งจนทำให้เขาตายไปโดยมิได้ตั้งใจ นบีมูซา เขาจึงกล่าวรำพึงว่า นี่เป็นหนึ่ง จากผลงานของมารร้าย ที่ได้เข้ามาแทรกกับอารมณ์ให้โมโหอย่างเต็มที่จนควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ แท้จริงมารร้ายนั้นมันเป็นศัตรูผู้ทำให้เกิดการ หลงผิดอันชัดแจ้งซึ่งมนุษย์ทุกคนย่อมประจักษ์ถึงมันโดยไม่ยากเลย
๑๖. นบีมูซาเขากล่าวว่าโอ้องค์อภิบาลของข้า แท้จริงตัวข้าได้ฉ้อฉลตัวเองเสียแล้ว ดังนั้นขอพระองค์ได้ทรงโปรดอภัยแก่ข้าด้วยเถิด แล้วพระองค์ก็ทรงให้อภัยแก่เขาเพราะแท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้อภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง
๑๗. มูซาเขากล่าวต่อไปอีกว่า โอ้ผู้ทรงอภิบาล โดยความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานแก่ข้านั้น ข้าจะไม่เป็นผู้ช่วยเหลือแก่ผู้ทำผิดทั้งหลายอีกต่อไปแล้ว


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 18 - 21


คำอ่าน
18. ฟะอัศบะหะ ฟิลมะดีนะติ คอ...อิฟัย..ยะตะร็อกเกาะบุ ฟพอิซัลละซิสตัน..เศาะเราะฮู บิลอัมสิ ยัสตัสริคุฮฺ กอละละฮูมูซา..อิน..นะกะละเฆาะวียุม..มุบีน
19. ฟะลัม..มา..อันอะรอดะ อัย..ยับฏิชะ บิลละซี ฮุวะอะดูวัลละฮุมา กอละยามูซา..อะตุรีดุ อัน..ตักตุละนี กะมาเกาะตัลตะ นัฟสัม..บิลอัมสฺ อิน..ตุรีดุอิลลา..อัน..ตะกูนะญับบาร็อน..ฟิลอัรฺฎิ วะมาตุรีดุ อัน..ตะกูนะมินัลมุศลิหีน
20. วะญา...อะเราะญุลุม..มินอักศ็อลมะดีนะติ ยัสอา กอละยามูซา..อิน..นัลมะละอะ ยะอ์ตะมิรูนะบิกะ ลิยักตุลูกะ ฟัครุจอิน..นี ละกะมินัน..นาศิหีน
21. ฟะเคาะเราะญะมินฮา คอ...อิฟัย..ยะตะร็อกเกาะบุ กอละร็อบบินัจญินี มินัลก็อวมิซซอลิมีน


คำแปล R1.
18. So he became afraid, looking about in the city (waiting as to what will be the result of his crime of killing), when behold, the man who had sought his help the day before, called for his help (again). Musa (Moses) said to him: "Verily, you are a plain misleader!"
19. Then when he decided to seize the man who was an enemy to both of them, the man said: "O Musa (Moses)! Is it your intention to kill me as you killed a man yesterday? Your aim is nothing but to become a tyrant in the land, and not to be one of those who do right."
20. And there came a man running, from the farthest end of the city. He said: "O Musa (Moses)! Verily, the chiefs are taking counsel together about you, to kill you, so escape. Truly, I am to you of those who give sincere advice."
21. So he escaped from there, looking about in a state of fear. He said: "My Lord! Save me from the people who are Zalimun (polytheists and wrong-doers)!"


คำแปล R2.
18. ครั้นต่อมาเขาก็อยู่ในเมืองอียิปต์อย่างหวาดกลัว โดยเขาคอยฟังข่าว(ที่เกี่ยวกับตัวเขาเองตลอดเวลา) ทันใดนั้นเอง ชายที่ได้ขอให้เขาช่วยเมื่อวันวานก็เรียกเขาให้ช่วยอีก มูซาจึงกล่าวแก่เขาว่า “แท้จริงท่านนั้นเป็นผู้ทำผิดพลาดอย่างชัดแจ้ง”
19. ครั้นเมื่อเขา(มูซา)มุ่งมาดที่จะตบชายผู้เป็นศัตรูของเขาทั้งสอง ชายผู้นั้นจึงกล่าวว่า “โอ้มูซา ท่านประสงค์ที่จะฆ่าฉันเหมือนเช่นที่ท่านได้ฆ่าไปแล้วหนึ่งชีวิตเมื่อวานนี้นกระนั้นหรือ? ท่านไม่ประสงค์(สิ่งใดเลย) นอกจากท่านต้องการเป็นผู้มีอิทธิพลในแผ่นดิน และท่านไม่ประสงค์ที่จะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ประนีประนอม
20. และได้มีชายผู้หนึ่งมาจากท้ายเมืองนั้นโดยเขาวิ่งเหยาะ ๆ มา เขาพูดว่า “โอ้มูซา แท้จริงหัวหน้าหมู่คณะ(ของฟิรเอาน์)กำลังประชุมกันอยู่เพื่อทำการฆ่าท่าน ดังนั้นท่านจงออก(ไปเสียจากเมืองนี้เถิด) แท้จริงฉันเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้หวังดีต่อท่านโดยแท้”
21. ดังนั้นเขาจึงออกไปจากเมืองนั้นอย่างหวั่นกลัว โดยเขาเฝ้าคอยฟัง(ข่าวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา) เขาวอนขอว่า “โอองค์อภิบาล โปรดดลบันดาลให้ข้าพเจ้าปลอดภัยจากกลุ่มทุจริตชนเถิด”

 
คำแปล R3.
18. ในเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่เขากำลังเดินอยู่ในสภาพของความกลัวและระแวดระวังอยู่ในเมือง ทันใดนั้น เขาก็เห็นชายคนเดิมที่ขอความช่วยเหลือจากเขาเมื่อวานนี้กำลังร้องขอให้เขาช่วยเหลืออีก มูซาจึงได้กล่าวแก่เขาว่า “เจ้ามันคนหลงผิดชัด ๆ”
19. และเมื่อมูซาจะเข้าไปจับคนที่เป็นศัตรูกับเขาทั้งสอง คนผู้นั้นก็ร้องออกมาว่า “มูซา ท่านจะฆ่าฉันเหมือนกับที่ท่านได้ฆ่าคนผู้หนึ่งไปเมื่อวานนี้กระนั้นหรือ ? ท่านอยากจะเป็นผู้กดขี่ในแผ่นดินนี้ และไม่อยากจะเป็นผู้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นกระนั้นหรือ ?”
20. หลังจากนั้นก็มีชายผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากอีกมุมหนึ่งของเมืองอย่างรีบเร่ง และกล่าวว่า “มูซา พวกเสนาบดีกำลังวางแผนที่จะฆ่าท่าน ดังนั้น จงออกไปจากที่นี่เสีย ฉันเป็นผู้หวังดีต่อท่าน”
21. ดังนั้น มุซาจึงได้ออกไปจากที่นั้นด้วยความกลัวและระแวดระวังและเขาได้วิงวอนว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาล โปรดทรงช่วยเหลือฉันให้พ้นจากหมู่ชนผู้อธรรมด้วยเถิด”


คำแปล R4.
18. เมื่อเข้ามาอยู่ในเมือง เขากลัวว่าจะเกิดภัยแก่เขา ขณะนั้นผู้ที่เคยขอร้องเขาให้ช่วยเหลือเมื่อวานนี้ กำลังร้องเรียกให้ช่วยเขาอีก มูซาจึงพูดกับเขาว่า “แท้จริงเจ้านั้นเป็นผู้หลงผิดอย่างแน่นอน”
19. เมื่อเขาต้องการที่จะปราบผู้ที่เป็นศัตรูกับเขาทั้งสอง เขากล่าวว่า “โอ้มูซาเอ๋ย ! ท่านต้องการที่จะฆ่าฉันดั่งที่ท่านได้ฆ่าคนหนึ่งไปแล้วเมื่อวานนี้หรือ ? ท่านไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากเป็นผู้ก่อกวนทารุณในแผ่นดิน และท่านไม่ปรารถนาที่จะเป็นผู้ปรองดองให้ดีต่อกัน
20. และชายคนหนึ่งได้มาจากชานเมืองอย่างรีบเร่ง เขากล่าวว่า “โอ้มูซาเอ๋ย ! พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่กำลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องของท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้น จงออกไปเถิด แท้จริงฉันเป็นผู้หวังดีต่อท่าน”
21. ดังนั้น เขาจึงออกจากเมืองนั้นในสภาพหวาดกลัวว่าจะเกิดภัย เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดพ้นจากหมู่ผู้อธรรม”

 
คำแปล R5.
๑๘. แล้วเขา(มูซา) ก็ต้องอยู่ในเมืองนั้นอย่างผู้หวาดกลัวระแวดระวังว่าอะไรจะเกิดแก่ตัวเองพลันชาวอิสรออีลที่ขอให้เขาช่วยในการต่อสู้เมื่อวานนี้ ก็ขอให้เขาช่วยเหลือในการต่อสู้กับชาวอียิปต์คนอื่นอีก แต่นบีมูซาปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ นบีมูซากล่าวกับเขาว่า แท้จริงเจ้าเป็นผู้ละเมิดโดยชัดแจ้งที่ได้ทำการข่มเหงชาวอียิปต์ทั้งในวันนี้และเมื่อวานนี้ ข้าจะไม่ขอร่วมกับเจ้าอีกเป็นอันขาด ...แต่นบีมูซาก็มีความเห็นใจในชาวอิสรออีลคนนั้นฐานะที่เป็นคนชาติเดียวกัน จึงเงื้อมือจะตบชาวอียิปต์
๑๙. ดังนั้นเมื่อเขา(มูซา) ได้เงื้อมือแสดงความประสงค์จะตบชาวอียิปต์ซึ่งเป็นศัตรูของเขาทั้งสอง(ทั้งของนบีมูซาและชายอิสรออีลที่มาขอให้ช่วยคนนั้น)ชายอิสรออีลก็กล่าวขึ้นด้วยความเข้าใจผิดว่านบีมูซาเงื้อมือจะตบตนว่า โอ้มูซา ท่านประสงค์จะฆ่าข้าพเจ้าเหมือนที่ท่านได้ฆ่าชีวิตหนึ่งคือชายอียิปต์เมื่อวานนี้กระนั้นหรือ ท่านคงจะไม่ประสงค์อื่นใดนอกจากท่านต้องการเป็นอันธพาลเที่ยวฆ่าและทำร้ายผู้อื่นแต่ประการเดียวโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้นและท่านไม่ประสงค์ที่จะเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้สร้างสรรค์สังคมเป็นแน่ จากคำพูดประโยคนี้ เมื่อชายอียิปต์ผู้นั้นได้ยินก็เข้าใจทันทีว่า ผู้ฆ่าเพื่อนชาติเดียวกันของเขาเมื่อวานนี้นี้ คือ นบีมูซานี่เอง ดังนั้น เขาจึงรีบรุดเข้าพบฟิรเอาน์และเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทันที ฟิรเอาน์จึงออกคำสั่งให้ตามฆ่านบีมูซานับแต่บัดนั้น และเหล่าเพชฆาตก็ตามล่านบีมูซาในทันทีทันใดนั้นเอง
๒๐. และมีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นศรัทธาชนและเป็นเครือญาติของฟิรเอาน์เขาทราบข่าวจึงรีบเดินมาจากท้ายเมืองของอียิปต์ โดยเขารีบเดินทางลัดเพื่อมาพบและบอกให้นบีมูซาได้ทราบถึงภัยที่กำลังใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ เมื่อพบแล้วเขากล่าวว่า โอ้มูซา แท้จริงชนชั้นผู้นำของเมืองอียิปต์กำลังประชุมเกี่ยวกับท่านเพื่อทำการประหารชีวิตของท่าน ดังนั้นขอให้ท่านออกไปจากเมืองนี้เสียเถิดเพราะแท้จริงตัวข้าเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาที่ปรารถนาดีต่อท่านด้วยความห่วงใยท่านโดยแท้จริง จึงรีบเดินทางมารายงานให้ท่านทราบ
๒๑. ดังนั้นนบีมูซาเขาจึงเดินทางออกจากมัน(เมืองอียิปต์แบบผู้ที่หวาดกลัว ที่ระแวดระวังภัยอันจะเกิดจากพวกที่คอยติดตามเขากล่าววอนขอพรต่อพระเจ้าว่าโอ้ผู้ทรงอภิบาลข้าขอพระองค์ได้โปรดยังความปลอดภัยแก่ข้าให้พ้นไปจากกลุ่มชนที่ทุจริตเหล่านั้น

 


สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 22 - 25


คำอ่าน
22. วะลัม..มาตะวัจญะฮะ ติลกอ...อะมัดยะนะ กอละอะสาร็อบบี..อัย..ยะฮฺดิยะนีสะวา...อัสสะบีล
23. วะลัม..มาวะเราะดะมา...อะ มัดยะนะ วะญะดะอะลัยฮิ อุม..มะตัม..มินัน..นาสิ ยัสกูนวะวะญะดะมิน..ดูนิฮิมุมเราะอะตัยนิ ตะซูดาน กอละมาค็อฏบุกุมา กอละตาลานัสกี หัตตายุศดิร็อรฺริอา...อุ วะอะบูนาชัยคุน..กะบีรฺ
24. ฟะสะกอละฮุมา ษุม..มะตะวัลลา..อิลัซซิลลิ ฟะกอละร็อบบิอิน..นี ลิมา..อัน..ซัลตะอิลัยยะ มินค็อยริน..ฟะกีร
25. ฟะญา...อัตฮุ อิหฺดาฮุมา ตัมชี..อะลัตติหฺยา...อิ กอลัต อิน..นะอะบี ยัดอูกะ ลิซัจญซิยะกะ อัจญเราะมาสะก็อยตะละนา ฟะลัม..มาญา...อะฮู วะก็อศเศาะ อะลัยฮิลเกาะเศาะเศาะ กอละลาตะค็อฟนะเญาตะมินัลก็อวมิซซอลิมีน

 
คำแปล R1.
22. And when he went towards (the land of) Madyan (Midian) he said: "It may be that my Lord guides me to the right way."
23. And when he arrived at the water of Madyan (Midian) he found there a group of men watering (their flocks), and besides them he found two women who were keeping back (their flocks). He said: "What is the matter with you?" they said: "We cannot water (our flocks) until the shepherds take (their flocks). And our father is a very old man."
24. So he watered (their flocks) for them, then he turned back to shade, and said: "My Lord! Truly, I am In need of whatever good that you bestow on Me!"
25. Then there came to him one of the two women, walking shyly. She said: "Verily, My father calls you that he may reward you for having watered (our flocks) for us." so when He came to him and narrated the story, he said: "Fear you not. You have escaped from the people who are Zalimun (polytheists, disbelievers, and wrong-doers)."


คำแปล R2.
22. และเมื่อเขาได้มุ่งมายังด้าน(เมือง)มัดยัน เขาจึงรำพึงขึ้นว่า “หวังว่าองค์อภิบาลของฉัน คงจะชี้นำฉันสู่หนทางอันเสมอภาค(ที่จะนำไปสู่ความปลอดภัย)เป็นแน่
23. และเมื่อเขามาถึง(บ่อ)น้ำของ(เมือง)มัดยัน เขาก็ได้พบที่นั่น ประชาชาติกลุ่มหนึ่งจากมวลมนุษย์กำลังให้น้ำดื่ม(แก่สัตว์เลี้ยงของตน) และเขาได้พบจากด้านหนึ่งของเขามีหญิงสองคนกำลังรั้ง(แพะของนางไว้มิให้เข้าไปดื่มน้ำ) เขาจึงถามว่า “เธอทั้งสองเป็นอย่างไร?” ทั้งสองจึงตอบว่า “เราจะไม่ให้น้ำดื่ม(แก่แพะของเรา)จนกว่าบรรดาคนเลี้ยงสัตว์เหล่านั้นจะออกไป(จากบ่อเสียก่อน) และบิดาของเราก็เป็นผู้ชราภาพมากแล้ว”
24. ดังนั้น เขาจึงจัดการให้น้ำดื่ม(แก่แพะ)สำหรับนางทั้งสอง หลังจากนั้นเขาก็หันจากไปยังร่มเงา(เพื่อพักร้อน) แล้วเขาก็รำพึงว่า “โอ้องค์อภิบาล แท้จริงข้าพเจ้ามีความต้องการอย่างที่สุด ต่อ(โชคผล)ที่ดี ซึ่งพระองค์ทรงประทานลงมาแก่ข้าพเจ้า”
25. ครั้นต่อมาก็ได้มีหนึ่งจากนางทั้งสองได้มาหาเขา นางเดินมาอย่างเอียงอาย นางกล่าวว่า “แท้จริงบิดาของข้าเรียกท่านเพื่อจะได้ตอบแทนท่าน เป็นรางวัลที่ท่านได้ให้น้ำดื่ม(แก่สัตว์เลี้ยง)สำหรับเรา ครั้นเมื่อมูสาได้มาถึงเขา (บิดาของหญิงทั้งสอง) และได้เล่าเรื่องราว (ที่ผ่านมา) ให้เขา(ฟัง) เขาก็กล่าวว่า “ท่านอย่ากลัว ท่านปลอดภัยแล้วจากกลุ่มทุจริตชน(เหล่านั้น)”


คำแปล R3.
22. (หลังจากออกจากอียิปต์ไปแล้ว) เมื่อมูซาได้บ่ายหน้าไปยังมัดยัน เขากล่าวว่า “ฉันหวังว่าพระผู้อภิบาลของฉันจะทรงนำฉันไปสู่ทางที่ถูกต้อง”
23. และเมื่อเขาได้มาถึงบ่อน้ำแห่งมัดยัน เขาได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังให้น้ำสัตว์เลี้ยงอยู่ และนอกจากคนพวกนี้แล้ว เขายังเห็นหญิงสองคนยืนคุมสัตว์เลี้ยงของพวกนางอยู่ข้างหลัง เขาจึงได้ถามว่า “พวกเธอทั้งสองกังวลอะไรอยู่หรือ ?” ทั้งสองจึงได้กล่าวว่า “เราไม่สามารถให้น้ำแก่สัตว์เลี้ยงของเราได้จนกว่าคนเลี้ยงแกะเหล่านั้นจะเอาสัตว์เลี้ยงของเขาออกไป และพ่อของเราก็เป็นคนแก่มากแล้ว”
24. ดังนั้น มูซาจึงได้ให้น้ำฝูงสัตว์แทนนางทั้งสอง หลังจากนั้นเขาก็หันไปหาสถานที่ร่มแห่งหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาล ฉันต้องการสิ่งดีใด ๆ ก็ได้ ที่พระองค์จะทรงประทานแก่ฉัน”
25. (หลังจากนั้นไม่นาน) หญิงหนึ่งในสองคนนั้นก็ได้มาหาเขาด้วยความขวยเขิน และนางได้กล่าวว่า “พ่อของฉันเรียกท่าน เพื่อที่จะตอบแทนท่านที่ได้ช่วยให้น้ำสัตว์แทนเรา” เมื่อมูซาได้ไปหาเขาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง เขาก็กล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว เพราะว่าเจ้าได้หนีมาจากพวกคนชั่วแล้ว”


คำแปล R4.
22. และเมื่อเขามุ่งหน้าไปยัง (เมือง) มัดยัน เขากล่าวว่า “หวังว่าพระเจ้าของฉันจะทรงชี้แนะแก่ฉันสู่ทางอันเที่ยงตรง”
23. และเมื่อเขามาพบบ่อน้ำแห่ง (เมือง) มัดยัน เขาได้พบฝูงชนกลุ่มหนึ่งกำลังตักน้ำ และนอกจากพวกเขาเหล่านั้น เขายังได้พบหญิงสองคนคอยห้าม (ฝูงแกะ) (เขา (มูซา) กล่าวถามว่า “เรื่องราวของเธอทั้งสองเป็นมาอย่างไร ?” นางทั้งสองกล่าวว่า “เราไม่สามารถตักน้ำได้ จนกว่าคนเลี้ยงแกะเล่านั้นจะถอยออกไป และบิดาของเราก็เป็นคนแก่มากแล้ว”
24. ดังนั้น เขาจึงตักน้ำให้แก่นางทั้งสองแล้วก็กลับไปพักใต้ร่มและกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์อยากได้ในความดีที่พระองค์ทรงประทานลงมาให้แก่ข้าพระองค์”
25. นางคนหนึ่งในสองคนได้มาหาเขา  เดินมาอย่างขวยเขิน แล้วกล่าวขึ้นว่า “คุณพ่อของดิฉันขอเชิญท่านไป เพื่อจะตอบแทนค่าแรงแก่ท่านที่ได้ช่วยตักน้ำให้เรา” ครั้นเมื่อเขา (มูซา) ได้มาหาเขา (นะบีชุไอบฺ) และได้เล่าเรื่องราวแก่เขา เขากล่าวว่า “ท่านไม่ต้องกลัว ท่านได้หนีพ้นจากหมู่ชนผู้อธรรมแล้ว”


คำแปล R5.
๒๒. และเมื่อนบีมูซาเขาได้มุ่งหน้าสู่ด้านเมืองมัดยัน ซึ่งเป็นเมืองนบีซุไอบ ระยะทางเดินนับจากอัยิปต์ประมาณแปดวัน ซึ่งท่านนบีมูซาก็ไม่ทราบว่าจะไปทางไหน เขาก็กล่าวรำพึงรำพันกับตัวเองว่า หวังว่าองค์อภิบาลของข้าคงจะชี้นำสู่ทางที่ตรงไปสู่เมืองมัดยัน
๒๓. และเมื่อเขาได้เดินทางมุ่งหน้ามาถึงบ่อน้ำของเมืองมัดยัน เขาก็พบคนกลุ่มหนึ่งที่บ่อใบนั้น พวกเขากำลังให้น้ำดื่มแก่สัตว์เลี้ยง และเขาได้พบนอกจากพวกนั้น หญิงสองคนกำลังกีดกันแพะของนางมิให้เข้าไปดื่มน้ำจากบ่อเพราะนางกลัวแพะของนางจะหลงเข้าไปปะปนกับฝูงแพะของผู้คนทั้งหลาย นบีมูซาเขาจึงกล่าวถามนางว่า เธอทั้งสองเป็นอย่างไรจึงกันมิให้แพะเข้าไปดื่มน้ำ หญิงทั้งสองจึงตอบว่าเราไม่มีโอกาสให้น้ำดื่มแก่แพะของเราได้จนกว่าบรรดาผู้เลี้ยงแพะทั้งหลายจะถอยออกมาจนหมดเสียก่อน และบิดาของเราก็ชราภาพมาก ท่านไม่สามารถมาจัดการให้น้ำดื่มแก่แพะด้วยตัวของท่านเองได้
๒๔. ดังนั้นนบีมูซาเขาจึงอาสาจัดการให้แพะดื่มน้ำแทนนางทั้งสอง หลังจากนั้นเขาก็หันออกสู่ร่มเงาของต้นไม้เพื่อหลบแสงแดดอันแผดกล้า ด้วยความอ่อนเพลียและหิวโหย แล้วเขาก็กล่าววอนขอต่อพระเจ้าว่า โอ้องค์อภิบาลของข้าแท้จริงสำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่ข้าจากอาหารที่ดีนั้นข้าเป็นผู้ต้องการอย่างยิ่ง และหลังจากนบีมูซาได้ช่วยรับจัดการให้แพะของสองหญิงนั้นได้ดื่มน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็เดินทางกลับบ้านทันที ฝ่ายนบีสุไอ๊บผู้เป็นบิดาเมื่อเห็นบุตรสาวทั้งสองกลับบ้านเร็วกว่าปกติ ก็ถามถึงสาเหตุ ทั้งสองจึงเล่าเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาให้ฟัง นบัสุไอ๊บจึงสั่งให้บุตรสาวคนหนึ่งย้อนกลับไปเชิญตัวนบีมูซามาพบ 
๒๕. ดังนั้นคนหนึ่งจากสองหญิงจึงได้มาหาเขาในอาการเอียงอายเนื่องเพราะนางยังเป็นสาวโสด นางได้บอกกับนบีมูซาว่า แท้จริงบิดาของข้าขอเชิญท่านไปพบเพื่อจะได้ตอบแทนท่านโดยจะมอบค่าจ้างที่ท่านได้จัดการให้น้ำดื่มแก่แพะของเรา แทนเรา ต่อมาเมื่อเขา(นบีมูซา) ได้มาหาเขา(นบีสุไอ๊บ) และได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้เขา(นบีสุไอ๊บ)ฟังจนหมดสิ้นแล้ว นบีสุไอ๊บเขาก็กล่าวว่า ท่านอย่ากลัวไปเลย ท่านจะต้องปลอดภัยจากกลุ่มชนผู้ทุจริตอย่างแน่นอน เพราะฟิรเอาน์ไม่มีอำนาจที่จะล่วงล้ำเข้าสู่เขตของมัดยันได้


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 26 - 28


คำอ่าน
26. กอลัตอิหฺดาฮุมา ยาอะบะติสตะอ์ญิรฺฮุ อิน..นะ ค็อยเราะ มะนิสตะอ์ญัรฺตัล เกาะวียุลอะมีน
27. กอละอิน..นี..อุรีดุ อัน อุน..กิหะกะ อิหฺดับนะตัยยะ ฮาตัยนิ อะลา..อัน..ตะอ์คุเราะนี ษะมานิยะหิญัจญฺ ฟะอินอัตมัมตะ อัชร็อน..ฟะมินอิน..ดิก วะมา..อุรีดุ อันอะชุกเกาะ อะลัยกะ สะตะญิดุนี..อิน..ชา..อัลลอฮุ มินัศศอลิหีน
28. กอละซาลิกะ บัยนีวะบัยนะกะ อัยยะมัลอะญะลัยนิ ก็อยตุ ฟะลาอุดวานะอะลัยยะ วัลลอฮุอะลามานะกูลุวะกีล


คำแปล R1.
26. And said one of them (the two women): "O my father! Hire him! Verily, the best of men for you to hire is the strong, the trustworthy."
27. He said: "I intend to wed one of these two daughters of mine to you, on condition that you serve me for eight years, but if you complete ten years, it will be (a favour) from you. But I intend not to place you under a difficulty. If Allah will, you will find me one of the righteous."
28. He [Musa (Moses)] said: "That (is settled) between me and you whichever of the two terms I fulfill, there will be no injustice to me, and Allah is surety over what we say."


คำแปล R2.
26. คนหนึ่งจากนางทั้งสองได้กล่าวว่า “โอ้บิดา จงว่าจ้างเขา(ให้ทำหน้าที่เลี้ยงแพะของเรา)เถิด แท้จริงที่ประเสริฐสุดแห่งคนที่ท่านว่าจ้าง ก็คือผู้มีความแข็งแรง อีกทั้งซื่อสัตย์(ผู้นี้)”
27. เขา(บิดาของสองหญิง)กล่าวว่า “ข้าปรารถนาที่จะให้ท่านทำการสมรสกับคนใดคนหนึ่งจากบุตรหญิงทั้งสองของข้านี้โดยมีเงื่อนไขว่า ท่านต้องรับจ้างฉันเป็นเวลาแปดปี แต่ถ้าท่านอยู่ครบสิบปีก็เป็น(ความเอื้อเฟื้อ)จากฝ่ายท่านเอง ส่วนข้าไม่พึงปรารถนาที่จะสร้างความยุ่งยากแก่ท่าน ต่อไปท่านจะประจักษ์ความจริงว่า ฉันเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาคนดี หากอัลเลาะฮฺทรงประสงค์
28. เขา(นบีมูซา)กล่าว(ตอบ)ว่า “นั้น(เป็นสัญญา)ระหว่างฉันและระหว่างท่าน จะเป็นกำหนดใดก็ตามจากทั้งสองกำหนด(ที่ท่านได้พูดไว้)ที่ท่านได้ลุล่วงไป ก็จะไม่มีความผิดใด ๆ สำหรับฉัน และอัลเลาะฮฺทรงเป็นที่มอบหมายสำหรับสิ่งที่เราพูด(กันนี้)


คำแปล R3.
26. หนึ่งในสองนางนั้นได้กล่าวแก่พ่อของนางว่า “พ่อคะ จ้างคนผู้นี้ไว้ช่วยทำงานเถิด เพราะคนดีที่ท่านจะจ้างไว้ก็คือคนที่แข็งแรงและไว้ใจได้”
27. พ่อของนางได้กล่าว (แก่มูซา) ว่า “ฉันจะยกลูกสาวของฉันหนึ่งในสองคนนี้ให้แต่งงานกับเจ้า ถ้าหากว่าเจ้าทำงานให้ฉันเป็นเวลาแปดปี และถ้าหากเจ้าต้องการ เจ้าก็สามารถทำต่อจนครบสิบปีก็ได้ ฉันไม่ต้องการที่จะเข้มงวดกับเจ้านัก หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ เจ้าจะเห็นว่าฉันเป็นคดีคนหนึ่ง”
28. มูซาได้ตอบว่า “นั่นเป็นข้อตกลงระหว่างฉันกับท่าน อันไหนในสัญญานี้ที่ฉันปฏิบัติครบ ก็ขอจงอย่าสร้างความไม่เป็นธรรมต่อฉัน และอัลลอฮฺทรงเป็นพยานต่อสิ่งที่เราได้ตกลงกัน”


คำแปล R4.
26. นางคนหนึ่งในสองคนกล่าวว่า “โอ้คุณพ่อจ๋า จ้างเขาไว้ซิ แท้จริงคนดีที่ท่านควรจะจ้างเขาไว้คือ ผู้ที่แข็งแรง ผู้ที่ซื่อสัตย์”
27. เขา (ชุไอบ) กล่าวว่า “แท้จริง ฉันต้องการที่จะให้ท่านสมรสกับลูกสาวคนหนึ่งในสองคนนี้ โดยท่านจะต้องทำงานให้ฉัน 8 ปี และถ้าท่านทำได้ครบ 10 ปี ก็เป็นความดีที่มาจากท่าน ฉันไม่ต้องการที่จะทำความลำบากให้ท่าน อินชาอัลลอฮฺ ท่านจะพบฉันอยู่ในหมู่คนดี”
28. เขา (มูซา) กล่าวว่า “นั่นคือ (ข้อสัญญา) ระหว่างฉันกับท่าน ฉันจะปฏิบัติให้ครบหนึ่งในกำหนดทั้งสอง จะไม่เกิดโทษแก่ฉัน และอัลลอฮฺทรงเป็นพยานต่อสิ่งที่เรากล่าวเป็นสัญญา”


คำแปล R5.
๒๖. บุตรสาวคนโตที่ออกไปเชิญตัวนบีมูซาซึ่งเป็นหนึ่งจากทั้งสองได้กล่าวกับบิดาของนางว่า โอ้คุณพ่อโปรดว่าจ้างเขาเถิด เพราะแท้จริงที่ดียิ่งของบุคคลที่คุณพ่อว่าจ้างนั้นคือผู้แข็งแรงและซื่อสัตย์ไว้วางใจได้ และข้าได้พบเห็นด้วยตาตนเองเมื่อคราเขาช่วยข้าให้น้ำดื่มแก่แพะ เขาสามารถยกหินก้อนใหญ่ที่ใช้ปิดฝาบ่อออกได้เพียงคนเดียว ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วจะต้องยกถึงสิบคน เขาสั่งให้ข้าเดินข้างหลังเขาเพื่อเขาจะได้มองไม่เห็นรูปร่างของข้า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาทราบว่าข้าเป็นบุตรีของผู้เป็นนบีเขาก็ก้มศีรษะไม่ยอมเงยเลย เมื่อนบีสุไอ๊บได้ยินรายงานของบุตรสาวในรายละเอียดอันน่าศรัทธาเช่นนั้น ท่านจึงปรารถนาจะให้นบีมูซาแต่งงานกับบุตรีของท่าน
๒๗. นบีสุไอ๊บเขากล่าวว่า แท้จริงข้าปรารถนาจะจัดการสมรสท่านกับคนใดคนหนึ่งจากสองบุตรหญิงของข้านี้โดยขอว่าจ้างท่านให้เป็นผู้เลี้ยงแพะซึ่งท่านจะรับค่าจ้างจากข้าได้แปดปี แต่ถ้าท่านจะให้สัญญานี้มีผลต่อไปจนครบสิบปีก็เป็นเรื่องของท่านเอง ที่ท่านมีสิทธิจะต่อสัญญาว่าจ้างนี้และข้าไม่ประสงค์ที่จะทำความลำบากแก่ท่านขอให้ท่านอยู่ต่อไปเถิดแล้วท่านจะพบว่าข้านี้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ประพฤติดีทั้งหลาย หากอัลเลาะห์ทรงประสงค์
๒๘. นบีมูซาเขากล่าวว่า เป็นอันว่าข้อตกลงนั้นเป็นสัญญาระหว่างข้ากับท่านแล้วโดยข้าจะไม่บิดพลิ้ว ทั้งสองกำหนดที่ท่านได้กล่าวไว้ จะแปดปีหรือสิบปีก็ตามข้ายินดีปฏิบัติให้ลุล่วงตามสัญญานั้นทุกประการ ที่จริงแล้วไม่มีการละเมิดสัญญาสำหรับข้าหรอก และอัลเลาะห์ย่อมเป็นที่มอบหมายสำหรับสิ่งที่เราเจรจากันในครั้งนี้

 

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 29 -32


คำอ่าน
29. ฟะลัม..มาเกาะฎอมูสัล อะญะละ วะสาเราะบิอะฮฺลิฮี..อะนะสะ มิน..ญานิบิฏฏูรินารอ กอละลิอะฮฺลิฮิมกุษู..อิน..นี..อานัสตุ นาร็อลละอัลลี..อาตีกุม มินฮาบิเคาะบะริน เอาญัซวะติม..มินัน..นาริ ละอัละกุม ตัศเฏาะลูน
30. ฟะลัม..มา..อะตาฮา นูดิยะ มิน..ชาฎิอิลวาดิลอัยมะนิ ฟิลบุกอะติลมุบาเราะกะติ มินัชชะญะเราะติ อัย..ยามูสา..อิน..นี..อะนัลลอฮุ ร็อบบุลอาละมีน
31. วะอันอัลกิอะศอก ฟะลัม..มาเราะอาฮา ตะฮฺตัซซุ กะอัน..นะฮา ญา...นนู..วัลลามุดบิร็อว..วะลัมยุอักกิบ ยามูสา..อักบิล วะลาตะค็อฟ อิน..นะกะมินัลอามินีน
32. อุสลุกยะดะกะ ฟีญัยบิกะ ตัครุจญบัยฏอ...อะ มินฆ็อยริสู..อิว..วัฎมุมอิลัยกะ ญะนาหะกะมินัรฺเราะฮฺบิ ฟะซาลิกะบุรฮานานิ มิรฺร็อบบิกะ อิลาฟิรฺเอานะ วะมะละอิฮี อิน..นะฮุมกานูก็อวมัน..ฟาสิกีน


คำแปล R1.
29. Then, when Musa (Moses) had fulfilled the term, and was travelling with his family, he saw a fire In the direction of Tur (Mount). He said to his family: "Wait, I have seen a fire; perhaps I may bring to you from there some information, or a burning fire-brand that you may warm yourselves."
30. So when he reached it (the fire), he was called from the right side of the valley, in the blessed place from the tree: "O Musa (Moses)! Verily! I am Allah, the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns and all that exists)!
31. "And throw your stick!" but when he saw it moving as if it were a snake, he turned in flight, and looked not back. (It was said): "O Musa (Moses)! Draw near, and fear not. Verily, you are of those who are secure.
32. "Put your hand in your bosom, it will come forth white without a disease, and draw your hand close to your side to be free from fear (that which you suffered from the snake, and also by that your hand will return to its original state). These are two Burhan (signs, miracles, evidences, proofs) from your Lord to Fir'aun (Pharaoh) and his chiefs. Verily, they are the people who are Fasiqun (rebellious, disobedient to Allah).


คำแปล R2.
29. ครั้นเมื่อมูซาได้ทำงานครบกำหนด(ที่สัญญาไว้สิบปี) และเขาได้นำภริยาของเขาออกเดินทางยามค่ำ(เพื่อกลับสูอียิปต์)เขาก็ได้มองเห็น(แสง)ไฟปรากฏอยู่ทางด้าน(ภูเขา)ฏูรฺ เขาจึงบอกกับภริยาของเขาว่า “เธอจงอยู่(ที่นี่) แท้จริงฉันได้เห็น(แสง)ไฟแล้ว (ฉันจะไปดูให้รู้ชัด)บางทีฉันอาจจะกลับมาหาเธอพร้อมด้วยข่าว(ดีจากที่นั่น หรือ (อาจจะกลับมาพร้อมด้วย) ท่อนไฟที่ต่อจากไฟนั้น เพื่อเธอจะได้ใช้ผิง (กันความหนาว)
30. ต่อมาเมื่อเขาได้มาถึงมัน ก็มีเสียงเรียกจากริมหุบเขาทางขวามือ(ของเขา)ในสถานที่ซึ่งมีความมงคลยิ่งจากต้นไม้(ซึ่งมีอยู่ ณ ที่นั้น)ว่า “โอ้มูซา แท้จริงข้าคืออัลเลาะฮฺ องค์อภิบาลของโลกทั้งหลาย”
31. “และเจ้าจงขว้างไม้เท้าของเจ้าเถิด” ครั้นเมื่อเขาได้มองเห็นไม้เท้านั้น เคลื่อนไหวประดุจดังงู (ตัวใหญ่ที่เคลื่อนไหวรวดเร็ว) เขาก็หันหลังกลับ(ด้วยความตกใจกลัว) เขามิได้เหลียว(ไปดูมันอีกเลย) (อัลเลาะฮฺทรงตรัสต่อไปว่า) “โอ้มูซา เจ้าจงมาเถิด และเจ้าอย่ากลัว เพราะแท้จริงเจ้านั้นเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ปลอดภัย
32. เจ้าจงสอดมือของเจ้าเข้าไปในอกเสื้อของเจ้าเถิด แล้วมันจะออกมาเป็นสีขาว(เป็นประกาย) โดยไม่มีราคีใด(เจือปน) และเจ้าจงกอดมือของเจ้าไว้กับ(อกของ)เจ้า เนื่องจากความหวั่นไหว(ที่มีต่องูนั้น แล้วอาการนั้นก็จะหายไปเอง) ที่จริงทั้งสองนี้เป็นหลักฐานสำคัญจากองค์อภิบาลของเจ้า (เพื่อเจ้าจะได้นำมา) สู่ฟิรเอาน์กับพวกผู้นำของเขา แท้จริงพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่เลวทรามยิ่ง


คำแปล R3.
29. หลังจากที่มูซาปฏิบัติตามสัญญาครบแล้ว เขาก็ออกเดินทางพร้อมกับครอบครัวของเขา เขาได้เห็นแสงไฟตรงภูเขาฏูรฺ เขาได้กล่าวกับครอบครัวของเขาว่า “จงอยู่ที่นี่ ฉันเห็นแสงไฟ ฉันอาจจะนำข่าวบางอย่างจากที่นั่นมาหรือเอาคบไฟสักดุ้นหนึ่งมาให้พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ทำความอบอุ่นให้ตัวเอง”
30. เมื่อเขาได้มาถึงที่นั่น ก็มีเสียงเรียกออกมาจากต้นไม้ต้นหนึ่งในบริเวณที่ได้รับความจำเริญทางด้านขวาของหุบเขาว่า “มูซาเอ๋ย ฉันคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก”
31. และ(ได้มีคำบัญชาว่า) “จงโยนไม้เท้าของเจ้าลงไป” เมื่อมูซาเห็นไม้เท้าเคลื่อนไหวเหมือนงู เขาก็หันหลังหนีและไม่ยอมแม้แต่จะหันกลับมาดู (ได้มีเสียงกล่าวออกมาอีกว่า) “มูซาเอ๋ย จงกลับมาและจงอย่ากลัว เจ้าจะปลอดภัย
32. จงเอามือของเจ้าล้วงเข้าไปในอกของเจ้า มันจะออกมาขาวสว่างโดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ แก่เจ้า และจงพับแขนของเจ้าไว้แนบตัว เพื่อขจัดความกลัว และนั่นคือสัญญาณอันชัดแจ้งสองอย่างจากพระผู้อภิบาลของเจ้าที่จะไปแสดงแก่ฟิรฺเอาน์และพวกขุนนางของเขา แท้จริง พวกเขาเป็นหมู่ชนที่ฝ่าฝืน


คำแปล R4.
29. ครั้นเมื่อมูซาปฏิบัติครบกำหนดแล้ว และได้เดินทางไปพร้อมกับครอบครัวของเขา เขาได้มองเห็นไฟลุกอยู่ข้างภูเขาฏูร เขาจึงพูดกับครอบครัวของเขาว่า "จงอยู่ที่นี่ก่อน แท้จริงฉันเห็นไฟ"
30. เมื่อเขาได้มาที่มัน (ไฟ)ได้มีเสียงเรียกจากริมที่ลุ่มทางด้านขวา ในสถานที่ที่มีความจำเริญ ณ ที่ต้นไม้ ว่า “โอ้มูซาเอ๋ย ! แท้จริงข้าคืออัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลก
31. และจงโยนไม้เท้าของเจ้า” เมื่อเขาเห็นมันเคลื่อนไหวคล้ายกับงู เขาก็ผินหลังกลับและไม่กลับมามองอีก(โอ้มูซาเอ๋ย !จงเข้าไปใกล้เถิดและอย่าหวาดกลัว แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ปลอดภัย”
32. จงสอดมือของเจ้าเข้าไปในอกเสื้อของเจ้า มันจะออกมาขาว ปราศจากอันตรายใด ๆ และจงเอามือแนบตัวเจ้าไว้เพื่อให้คลายความตกใจ ดังนั้นนั่นคือหลักฐานทั้งสองจากพระเจ้าของเจ้าไปยังฟิรเอานและบุคคลชั้นหัวหน้าของเขา แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน”


คำแปล R5.
๒๙. ต่อมาเมื่อนบีมูซาได้อยู่ปฏิบัติตามสัญญาว่าจ้างจนครบกำหนดสิบปีตามที่ได้สัญญากันไว้นบีมูซาก็เกิดความคิดถึงผู้เป็นมารดาและฮารูนพี่ชายของเขาซึ่งอยู่ที่เมืองอียิปต์และเขาได้นำครอบครัวของเขาออกเดินทางเวลาค่ำมุ่งหน้าสู่อียิปต์จนเขามาถึงภูเขาซีไน ไม่ทราบว่าจะเดินไปทางไหน เขาได้เห็นไฟลิบ ๆ จากด้านภูเขาฏูรซีนา เขาจึงกล่าวแก่ครอบครัวของเขาว่าพวกเขาจงพักอยู่ที่นี่ก่อน เพราะแท้จริงข้าได้มองเห็นไฟอยู่ลิบ ๆ ข้าจะไปสอดส่องลาดตระเวนดูให้ถึงไฟนั้น บางทีเมื่อข้ากลับมาข้าก็อาจจะนำข่าวมาให้พวกเจ้าจากมันเกี่ยวกับเรื่องหนทางที่จะไปอียิปต์หรือมิฉะนั้นข้าก็จะกลับมาหาพวกเจ้าด้วยการนำไฟก้อนหนึ่งมาเพื่อพวกเจ้าไว้ผิงป้องกันความหนาว
๓๐. แท้จริงเมื่อเขาได้มาถึงมัน(ไฟ) ก็มีเสียงมาจากด้านทุ่งทิศขวามือของเขาในพื้นที่อันมีมงคลซึ่งเสียงเรียกนั้นได้ยินมาจากด้านต้นไม้ว่า โอ้มูซา ข้าคืออัลเลาะห์ผู้อภิบาลโลกทั้งมวล และจากโองการของพระองค์นี้ได้ทรงแต่งตั้งมูซาให้เป็นศาสนทูตนับแต่บัดนั้น
๓๑. และเจ้าจงขว้างไม้เท้าของเจ้าเถิด ท่านนบีมูซาก็ขว้างไม้เท้าตามโองการนั้น พลันไม้เท้าก็กลายเป็นงูตัวเล็ก ๆ เลื้อยเหมือนกับงูทั่ว ๆ ไป ดังนั้นเมื่อเขา(นบีมูซา) ได้มองเห็นมันเคลื่อนไหวประหนึ่งงูตัวเล็ก ๆ เขาก็หันหลังหนีจากงูตัวนั้น และไม่ย้อนกลับมาอีก อัลเลาะห์จึงโองการแก่เขาอีกว่า โอ้มูซา เจ้าจงกลับมาเถิด และเจ้าไม่ต้องกลัวมันหรอก เพราะที่จริงเจ้านั้นเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ปลอดภัยทั้งหลาย
๓๒. พระองค์ทรงโองการต่อเขาต่อไปอีกว่าเจ้าจงสอดมือของเจ้าเข้าในคอเสื้อของเจ้าเถิด แล้วเมื่อเจ้าดึงมันกลับออกมามันจะออกมาเป็นสีขาวด้วยประกายรัศมีเป็นที่มหัศจรรย์ยิ่งโดยปราศจากคราบหมองคล้ำอันเลวร้าย และเจ้าจงรวบมืออันเปรียบได้กับปีกของเจ้าไว้กับตัวเจ้าเถิดโดยเจ้ากอดมือไว้กับอกของเจ้าให้แน่นจะทำให้เจ้าคลายจากความประหวั่นกลัว เปรียบเสมือนอาการของนกเมื่อมันเกิดความกลัวมันก็จะทำอย่างนั้น และนบีมูซานั้นท่านเกิดความกลัวทั้งจากพวกฟิรเอาน์ที่ปรารถนาจะฆ่าท่านและจากงูที่ท่านเห็นนั้น แท้จริงการกระทำมหัศจรรย์ทั้งสองนี้เป็นสัญลักษณ์สำแดงความเป็นศาสนทูตของเจ้าเองจากองค์อภิบาลของเจ้า ซึ่งเจ้าจะต้องไปปฏิบัติภารกิจของเจ้าทั้งสองอย่างนั้น โดยพระองค์ส่งมายังฟิรเอาน์และกลุ่มชนของเขา ที่จริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นเป็นกลุ่มที่เลวทรามประพฤติผิดอยู่เป็นประจำ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 33 - 35


คำอ่าน
33. กอละร็อบบิอิน..นี เกาะตัลตุมินฮุม นัฟสัน..ฟะอะคอฟุ อัย..ยักตุลูน
34. วะอะคีฮารูนุ ฮุวะอัฟเศาะหุ มิน..นี ลิสานัน..ฟะอัรฺสิลฮุ มะอิยะ ริด อัยยุศ็อดดิกุนี..อิน..นี..อะคอฟุ อัย..ยุกัซซิบูน
35. กอละ สะนะชุดดุ อะฎุดะกะ บิอะคีกะ วะนัจญอะลุ ละกุมาสุลฏอนัน..ฟะลา ยะศิลูนะ อิลัยกุมา บิอายาตินา อัน..ตุมา วะมะนิตตะบะอะกุมัลฆอลิบูน


คำแปล R1.
33. He said: "My Lord! I have killed a man among them, and I fear that they will kill me.
34. "And my brother Harun (Aaron) he is more eloquent in speech than me so send him with me as a helper to confirm me. Verily! I fear that they will belie me."
35. Allah said: "We will strengthen your arm through your brother, and give you both power, so they shall not be able to harm you, with our Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), you two as well as those who follow you will be the victors."


คำแปล R2.
33. เขา(มูซา)กล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาล แท้จริงข้าพเจ้าได้ฆ่าคนหนึ่งจากพวกเขาตาย ฉันจึงกลัวว่าพวกเขาจะฆ่าฉัน (แก้แค้นแทน)
34. และพี่ชาย(ต่างมารดาของฉัน) คือฮารูน เขาพูดได้ชัดเจนกว่าฉัน ดังนั้นขอพระองค์ทรงโปรดแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ช่วยพร้อมเคียงไปกับฉันด้วยเถิด เขาจะได้รับรอง(ฐานะศาสนทูตของ)ฉัน เพราะฉันกลัวว่าเขาจะหาว่าฉันมุสา”
35. อัลเลาะฮฺทรงตรัสว่า “ข้าจักเสริมพลังของเจ้าให้เข้มแข็งด้วยกับพี่ชายของเจ้า(ตามคำขอนั้น) และข้าจักให้อำนาจแก่เจ้าทั้งสองจนพวกเขา(สามารถ)เข้าถึงเจ้าทั้งสองได้โดยสัญลักษณ์ของเรา (ที่มอบแก่เจ้า) เจ้าทั้งสองและผู้ปฏิบัติตามเจ้า จักเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน


คำแปล R3.
33. มูซาได้กล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันได้ฆ่าพวกเขาไปคนหนึ่ง ฉันกลัวว่าพวกเขาจะฆ่าฉัน
34. และฮารูนพี่ชายของฉันก็พูดจาคล่องแคล่วกว่าฉัน ดังนั้น ขอได้โปรดส่งเขามากับฉันในฐานะผู้ช่วย เพื่อที่เขาจะได้ช่วยฉัน เพราะฉันกลัวว่าพวกเขาจะถือว่าฉันเป็นผู้โกหก”
35. พระองค์ทรงกล่าวว่า “เราจะทำให้แขนของเจ้าเข้มแข็งด้วยพี่ชายของเจ้าและจะให้อำนาจแก่เจ้าทั้งสองจนพวกเขาไม่สามารถที่จะทำร้ายเจ้าทั้งสองได้ ด้วยสัญญาณของเรา เจ้าทั้งสองและผู้ปฏิบัติตามเจ้าจะเป็นผู้ชนะ”


คำแปล R4.
33. เขา (มูซา) กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์แท้จริงข้าพระองค์ได้ฆ่าคนหนึ่งจากพวกเขา ดังนั้นข้าพระองค์กลัวว่าพวกเขาจะฆ่าข้าพระองค์
34. และพี่ชายของข้าพระองค์คือฮารูน เขาพูดจาคล่องแคล่วกว่าข้าพระองค์ ดังนั้น ขอได้โปรดส่งเขาเป็นผู้ช่วยร่วมกับข้าพระองค์ด้วยเถิด เพื่อเขาจะได้ยืนยันให้แก่ข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์กลัวว่าพวกเขาจะปฏิเสธข้าพระองค์”
35. พระองค์ตรัสว่า “เราจะให้เจ้ามีความเข้มแข็งด้วยพี่ชายของเจ้า และเราจะให้เจ้าทั้งสองมีอำนาจ ดังนั้นพวกเขาจะเข้าไม่ถึงเจ้าทั้งสองดอกเพราะสัญญาณต่าง ๆ ของเรา เจ้าทั้งสองและผู้ตามเจ้าทั้งสองเป็นผู้ชนะ”


คำแปล R5.
๓๓. นบีมูซาเขากล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของข้า แท้จริงข้าได้เคยฆ่าชีวิตหนึ่งจากพวกเขามาก่อน ดังนั้นข้าจึงกลัวว่าพวกเขาจะฆ่าข้าเพื่อแก้แค้น
๓๔. และพี่ชายของข้าคือฮารูนนั้น เขาเป็นผู้ที่มีลิ้นที่พูดได้ชัดเจนยิ่งกว่าข้า ดังนั้นขอพระองค์ได้ส่งเขาไปปฏิบัติถารกิจครั้งนี้ร่วมกับข้าด้วยเถิดเพื่อช่วยเหลือ เขาย่อมสนับสนุนข้าด้วยการอธิบายคำพูดของข้า เนื่องด้วยข้ามีปมหนึ่งอยู่ที่ลิ้นจนทำให้ข้าพูดได้ชัดไม่เท่ากับคนอื่น ๆ ส่วนฮารูนนั้นเป็นผู้ปกติและพูดได้ฉัดฉานชัดเจนมาก เขาจะได้แสดงหลักฐาน แสดงเหตุผลต่าง ๆ ได้อย่างพร้อมมูลเมื่อฝ่ายนั้นโต้แย้งมา ถ้าพระองค์ปล่อยให้ข้าเดินทางไปเพียงคนเดียวแท้จริงข้ากลัวว่าพวกเขาจะหาว่าข้าเป็นผู้มุสาในการประกาศสัจธรรมของพระองค์
๓๕. พระองค์อัลเลาะห์ได้ตรัสแก่เขาว่า โอ้มูซาเราจักผูกต้นแขนของเจ้าไว้กับพี่ชายของเจ้า มิให้เจ้าทั้งสองต้องพรากจากกันเพื่อช่วยกันเผยแพร่สัจธรรมของเราให้เป็นที่ปรากฏและเราจักบันดาลอำนาจแก่เจ้าทั้งสองให้เจ้าได้รับชัยชนะเหนือศัตรู ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าถึงเจ้าทั้งสองเพื่อการทำลายล้างเจ้าทั้งปวงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้กลอุบายหรือวิธีการอย่างใดก็ตาม อันเจ้าทั้งสองและบรรดาผู้ติดตามนั้นต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอนด้วยสัญลักษณ์อันได้แก่อภินิหารต่าง ๆ ของเรา ที่เราได้บันดาลให้เป็นอำนาจแก่เจ้าทั้งสองในการต่อสู้กับฝ่ายศัตรูดังกล่าวแล้ว เช่น การขว้างไม้เท้าให้เป็นงู เป็นต้น



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 36 - 38


คำอ่าน
36. ฟะลัม..มาญา...อะฮุม..มูสา บิอายาตินา บัยยินาติน..กอลู มาฮาซา..อิลลาสิหฺรุม..มุฟตะร็อว..วะมาสะมิอฺนาบิฮาซา ฟี...อาบาอินัลเอาวะลีน
37. วะกอละมูสา ร็อบบี..อะอฺละมุ บิมัน..ญา...อะบิลฮุดา มินอิน..ดิฮี วะมัน..ตะกูนุละฮู อากิบะตุดดารฺ อิน..นะฮู ลายุฟลิฮุซซอลิมูน
38. วะกอละฟิรฺเอานุ ยา..อัยยุฮัลมะละอุ มาอะลิมตุ ละกุม..มินอิลาฮิน ฆ็อยรี ฟะเอากิดลียาฮามานุ อะลัฏฏ๊นิ ฟัจญอัลลี ศ็อรฺหัลละอัลลี อัฏเฏาะลิอุ อิลา อิลาฮิมูสา วะอิน..นี ละอะซุนนฮู มินัลกาซิบีน


คำแปล R1.
36. Then when Msa (Moses) came to them with Our clear Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), they said: "This is nothing but invented magic. Never did we hear of this among our fathers of old."
37. Musa (Moses) said: "My Lord knows best him who came with guidance from him, and whose will be the happy end in the Hereafter. Verily, the Zalimun (wrong-doers, polytheists and disbelievers in the Oneness of Allah) will not be successful."
38. Fir'aun (Pharaoh) said: "O chiefs! I know not that you have an Ilah (a god) other than Me, so kindle for Me (a fire), O Haman, to bake (bricks out of) clay, and set up for Me a Sarhan (a lofty tower, or palace, etc.) in order that I may look at (or look for) the Ilah (God) of Musa (Moses); and verily, I think that he [Musa (Moses)] is one of the liars."


คำแปล R2.
36. ต่อมาเมื่อมูซาได้นำสัญลักษณ์ต่าง ๆ อันชัดแจ้งของเรามายังพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “สิ่งนี้มิใช่อะไรเลยนอกจากเป็นมายากลที่ถูกเสกสรรขึ้น และเราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ในบรรพบุรุษยุคดั้งเดิมของเรา”
37. และมูซาได้กล่าวว่า “อันองค์อภิบาลของข้า ย่อมรู้ได้ดีว่าใครเป็นผู้นำสิ่งชี้นำทางมาจากพระองค์ และใครที่มีผลบั้นปลายอันงดงามของโลกนี้เป็นของเขา แท้จริงบรรดาจำพวกฉ้อฉลย่อมไม่ประสบชัยชนะอย่างแน่นอน
38. และฟิรเอาน์กล่าวว่า “โอ้กลุ่มหัวหน้าคณะ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเจ้าจะมี พระเจ้าอื่นใดนอกจากฉัน ดังนั้นโอ่ฮามาน เจ้าจงจุดไฟเผาดินที่จะทำอิฐให้ฉันเถิด แล้วเจ้าจงสร้างหอคอยไว้ให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ขึ้นไปหาพระเจ้าของมูซา และฉันเข้าใจว่า เขาเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาพวกมดเท็จเป็นแน่”

 
คำแปล R3.
36. หลังจากนั้นเมื่อมูซาได้มายังคนเหล่านั้นพร้อมกับสัญญาณอันชัดแจ้งของเรา พวกเขาก็กล่าวว่า “นี่มิใช่อะไร นอกไปจากมายากลจอมปลอม และเราไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้ในสมัยบรรพบุรุษของเรามาก่อน”
37. มูซาได้กล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของฉันทรงรู้ดีถึงผู้ที่มากับทางนำจากพระองค์ และพระองค์เท่านั้นที่รู้ว่าใครจะได้รับที่พำนักที่ดีในบั้นปลาย แท้จริงผู้อธรรมนั้นไม่เคยได้รับความสำเร็จที่แท้จริง”
38. และฟิรเอาน์ไดเกล่าวว่า “เสนาบดีทั้งหลาย ฉันไม่รู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกเจ้านอกไปจากตัวฉันเอง ฮามาน จงเผาอิฐไว้ให้ฉัน แล้วจงสร้างหอสูงให้ฉันเพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซา เพราะฉันถือว่าเขาเป็นผู้โกหก”


คำแปล R4.
36. ดังนั้น เมื่อมูซาได้มาหาพวกเขาพร้อมด้วยสัญญาณทั้งหลายอันชัดแจ้งของเรา พวกเขากล่าวว่า “มันมิใช่อะไรอื่น นอกจากเวทมนตร์ที่ถูกกุขึ้น และเราไม่เคยได้ยินข้อกล่าวอ้างเช่นนี้ในสมัยบรรพบุรุษของเราแต่กาลก่อนเลย”
37. และมูซากล่าวว่า “พระเจ้าของฉันทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่นำเอาแนวทางที่ถูกต้องมาจากพระองค์และผู้ที่บั้นปลายแห่งที่พำนักจะเป็นของเขา แท้จริงพวกอธรรมนั้นจะไม่ประสบความเจริญ”
38. และฟิรเอานกล่าวว่า “โอ้ปวงบริพารเอ๋ย! ฉันไม่เคยรู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่านนอกจากฉันโอ้ฮามานเอ๋ย ! จงเผาดินให้ฉันด้วยแล้วสร้างโครงสูงระฟ้า เพื่อที่ฉันจะได้ขึ้นไปดูพระเจ้าของมูซา และแท้จริงฉันคิดว่า เขานั้นอยู่ในหมู่ผู้กล่าวเท็จ”


คำแปล R5.
๓๖. ต่อมาเมื่อนบีมูซาได้นำสัญลักษณ์ต่าง ๆ อันชัดแจ้งของเรามายังพวกเขา พวกเขาก็กล่าวปฏิเสธว่า สิ่งนี้หาใช่อื่นใดไม่นอกจากเป็นเพียงวิทยากลที่ถูกเสกสรรขึ้นเท่านั้นเอง และเราไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งนี้มาก่อนในยุคสมัยของบรรพบุรุษรุ่นแรกของเราเมื่ออดีต
๓๗. และนบีมูซากล่าวตอบฟิรเอาน์ว่า ผู้ทรงอภิบาลของข้าย่อมรอบรู้ว่าใครคือบุคคลที่นำสิ่งชี้นำอันเป็นสัจจะมาจากพระองค์ และพระองค์ทรงรอบรู้ว่าใครคือผู้มีจุดจบอันน่าสรรเสริญในปรภพ แท้จริงบรรดาพวกเนรคุณซึ่งเป็นผู้อธรรมทั้งหลายย่อมไม่สมหวังในการดำเนินชีวิตของเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และต้องขาดทุนในทุกรูปแบบ
๓๘. และฟิรเอาน์กล่าวว่าโอ้กลุ่มชนของข้า ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเจ้าทั้งหลายจะมีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้าดังเช่นมูซาได้อ้างถึง ดังนั้น โอ้ฮามาน ท่านจงจัดการเผาดินเพื่อทำอิฐให้ข้าแล้วเจ้าจงทำปราสาทสูง ๆ ให้ข้าเพื่อข้าจะได้ขึ้นไปให้ถึงพระเจ้าของมูซา และแท้จริงข้านั้นเข้าใจว่าเขาเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้มุสาทั้งหลายในการที่เขาได้อ้างตัวเองเป็นศาสนทูตและประกาศว่ามีพระเจ้าอื่นนอกจากข้า



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 39 - 42


คำอ่าน
39. วัสตักบะเราะฮุวะ วะญุนูดูฮู ฟิลอัรฺฎิ บิฆ็อยริลหักกิ วะซ็อน.นูอัน..นะฮุม อิลัยนาลายุรฺญะอูน
40. ฟะอะค็อซนาฮุ วะญุนูดะฮู ฟะนะบัซนาฮุม ฟิลยัม..มิ ฟัน..ซุรฺกัยฟะกานะอิกิบะตุซซอลิมีน
41. วะญะอัลนาฮุม อะอิม..มะตัย..ยัดอูนะอิลัน..นาริ วะเยามัลกิยามะติ ลายุน..เศาะรูน
42. วะอัตบะอฺนาฮุม ฟีฮาซิฮิดดุนยาละอฺนะฮฺ วะเยามัลกิยามะติ ฮุม..มินัลมักบูหีน


คำแปล R1.
39. And he and his hosts were arrogant in the land, without right, and they thought that they would never return to us.
40. So we seized him and his hosts, and we threw them all into the sea (and drowned them). So behold (O Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam) what was the end of the Zalimun [wrong-doers, polytheists and those who disbelieved in the Oneness of their Lord (Allah), or rejected the advice of his Messenger Musa (Moses)].
41. And we made them leaders inviting to the Fire, and on the Day of Resurrection, they will not be helped.
42. And we made a curse to follow them in this world, and on the Day of Resurrection, they will be among Al-Maqbuhun (those who are prevented to receive Allah's Mercy or any good, despised or destroyed, etc.).


คำแปล R2.
39. และเขา(ฟิรเอาน์)รวมทั้งไพร่พลของเขาได้ผยองอำนาจในแผ่นดินโดยมิชอบธรรม และพวกเขาเข้าใจว่า “แท้ที่จริงพวกเขาจะไม่ถูกส่งตัวกลับมาสูรา(เพื่อรับการตัดสิน)
40. ดังนั้นเราจึงจัดการแก่เขาและไพร่พลของเขาโดยปล่อยพวกเขาลงในทะเล (และจมน้ำตายเป็นที่สุด) ดังนั้นเจ้าจงพิจารณษเถิด (โอ้มุฮำมัด) จุดจบของมวลทุจริตชนทั้งหลายเป็นอย่างไรบ้าง?
41. และเราได้บันดาลพวกเขาให้เป็นบรรดาผู้นำ(มวลชน)อันเรียกร้องไปสู่นรก และในวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ(ใด ๆ เลย)
42. และเราได้ตามติดคำสาปแช่งแก่พวกเขาในโลกนี้ และวันกิยามะฮฺพวกเขาเป็นหนึ่งจากบรราผู้ถูกเดียดฉันท์


คำแปล R3.
39. เขาและไพร่พลของเขายโสโอหังในแผ่นดินอย่างไม่เป็นธรรมโดยไม่มีสิทธิ์ และพวกเขาคิดว่าพวกเขาจะไม่ถูกนำกลับมายังเรา
40. ดังนั้นเราจึงได้เอาชีวิตพวกเขาและโยนพวกเขาไปในทะเล ล้วดูเถิดว่าชะตากรรมของพวกอธรรมเป็นเช่นใด
41. และเราได้ทำให้พวกเขาเป็นผู้นำที่เชิญชวนผู้คนไปสู่ไฟนรก และในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ พวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ
42. และเราได้ทำให้การสาปแช่งติดตามพวกเขาไปในโลกนี้ และในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ พวกเขาจะรวมอยู่ในหมู่ผู้ที่มีสภาพน่าขยะแขยง


คำแปล R4.
39. และเขา (ฟิรเอานฺ) และไพร่พลของเขาได้หยิ่งผยอง ในแผ่นดินโดยอธรรม และพวกเขาคิดว่า แท้จริงพวกเขานั้นจะไม่ถูกนำกลับไปยังเรา
40. ดังนั้น เราได้ลงโทษเขาและไพร่พลของเขา เราได้โยนพวกเขาลงไปในทะแล แล้วจงพิจารณาเถิด บั้นปลายของพวกอธรรมเป็นเช่นไร
41. และเราได้ทำให้พวกเขาเป็นหัวหน้า เรียกร้องไปสู่นรกญะฮันนัม และในวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
42. และเราได้ให้การสาปแช่งตามติดพวกเขาในโลกนี้ และในวันกิยามะฮฺพวกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ถูกขับไล่ออกจากความเมตตา


คำแปล R5.
๓๙. และฟิรเอาน์เขาและบรรดาทหารของเขาได้ทรนงตนว่ามีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินอียิปต์โดยปราศจากสิทธิ์อันชอบธรรม และพวกเขาเข้าใจว่าพวกเขาจะไม่ถูกส่งกลับคืนมายังข้าเพื่อการสอบสวนและลงโทษ เนื่องด้วยพวกเขาปฏิเสธในเรื่องอขงอโลกหน้า
๔๐. ดังนั้น เราจึงเอาผิดเขาและทหารของเขาโดยปล่อยให้พวกเขาได้ตายในทะเลหลังจากพวกเขาได้ตามล่านบีมูซากับพวกไปถึงทะเล ซึ่งเปิดออกเพราะนบีมูซาใช้ไม้เท้าฟาด และท่านกับพรรคพวกได้ขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้ว ส่วนฟิรเอาน์กับทหารที่ตามมาจึงต้องจมทะเล ดังนั้นโอ้มุฮำมัดเจ้าจงพินิจเถิดว่าจุดจบของผู้อธรรมทั้งหลายนั้นเป็นอย่างไรกล่าวคือบรรดาพวกเขาเหล่านั้นต้องประสบกับความหายนะจนหมดสิ้น
๔๑. และเราได้บรรดาพวกเขาให้เป็นผู้นำในโลกนี้ซึ่งเรียกร้องผู้คนทั้งหลายให้เห็นผิดเป็นชอบอันเป็นทางนำไปสู่ไฟนรก และในวันปรภพพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใดทั้งสิ้นที่จะทำให้พวกเขารอดพ้นไปจากการลงโทษ
๔๒. และเราได้ให้การสาปแช่งตามติดพวกเขาในโลกนี้โดยพวกเขาได้รับการลงโทษอย่างทารุณและในปรภพพวกเขาก็จะเป็นคนกลุ่มหนึ่งจากบรรดาที่ถูกรังเกียจซึ่งห่างไกลจากความเมตตาของอัลเลาะห์และไม่ได้รับการอภัยโทษจากพระองค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 43 - 45


คำอ่าน
43. วะละก็อดอาตัยนามูสัลกิตาบะ มิม..บะอฺดิมา..อะฮฺลักนัลกุรูนัลอูลา บะศอ..อิเราะลินนาสิ วะฮุเดา..วะเราะหฺมะตัลละอัละฮุมยะตะซักกะรูน
44. วะมากุน..ตะ บิญานิบิล..ฆ็อรฺบียิ อิซเกาะฎ็อยนา..อิลามูสัลอัมเราะ วะมากุน..ตะมินัชชาฮิดีน
45. ว้ลากิน..นา..อัน..ชะอ์นากุรูนัน..ฟะตะฏอวะละ อะลัยฮิมุลอุมุรุ วะมากุน..ตะ ษาวิยัน..ฟีอะฮฺลิมัดยะนะ ตัตลูอะลัยฮิม อายาตินา วะลากิน..กุน..นา มุรฺสิลีน


คำแปล R1.
43. And indeed we gave Musa (Moses), after we had destroyed the generations of old, the scripture [the Taurat (Torah)] as an enlightenment for mankind, and a guidance and a Mercy, that they might remember (or receive admonition).
44. And you (O Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam) were not on the western side (of the mount), when we made clear to Musa (Moses) the commandment, and you were not among those present.
45. But we created generations [after generations i.e. after Musa (Moses)], and long were the ages that passed over them. And you (O Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam) were not a dweller among the people of Madyan (Midian), reciting Our verses to them. But it is We who kept sending (Messengers).


คำแปล R2.
43. ขอยืนยัน แท้จริงเราได้มอบคัมภีร์(เตารอฮฺ)แก่มูซา ภายหลังจากเราได้ทำลายล้างบรรดา(ประชาชาติใน)ศตวรรษต่าง ๆ อันดั้งเดิม เพื่อเป็นข้อสังเกตสำหรับมวลมนุษย์ (ได้นำมาพินิจพิเคราะห์) และเป็นสิ่งชี้นำ อีกทั้งเป็นเมตตาธรรม (แก่พวกเขา) เพื่อพวกเขาจะได้สำนึกถึง
44. และ(โอ้มุฮำมัด) เจ้ามิได้อยู่ ณ ด้านตะวันตก (ที่ที่นบีมูซารับโองการ) เมื่อเราได้กำหนดการงาน(จากเรา)สู่มูซา (โดยให้เขาได้รับบทบัญญัติของคัมภีร์เตารอฮฺ) และเจ้าเองก็มิได้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ปรากฏตัว(ณ ที่นั้น)
45. และแต่ทว่า เราได้บังเกิด(ประชาชาติใน)ศตวรรษต่าง ๆ แล้วอายุกาลก็ได้ผ่านพวกเขาไปอย่างยาวนาน (พร้อมกับหลักทางศาสนาก็เสื่อมโทรมลง) และเจ้าก็ไม่เคยไปพำนักอยู่ในชาวเมืองมัดยัน เพื่อแถลงบรรดาโองการของเราแก่พวกเขา แต่ทว่าเราเองเป็นผู้จัดส่งให้เจ้าเป็นศาสนทูต (โดยดลให้รู้ถึงเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น)


คำแปล R3.
43. หลังจากที่เราได้ทำลายชนรุ่นก่อนหน้านี้ไปหลายรุ่นแล้ว เราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซา ซึ่งเราได้ทำให้มันเป็นที่ประจักษ์แก่นุษย์ และเป็นทางนำและความเมตตา เพื่อพวกเขาจะได้รับบทเรียน
44. (โอ้ มุฮัมมัด) เจ้ามิได้อยู่ทางด้านตะวันตก เมื่อเราได้ประทานกฎหมายแก่มูซา และเจ้ามิได้อยู่ในหมู่ผู้เห็นเหตุการณ์
45. แต่หลังจากเขา (จนกระทั่งถึงสมัยของเจ้า) เราได้ให้อีกหลายชั่วคนเกิดขึ้น และเวลาก็ได้ผ่านพวกเขาไปนานแล้ว และเจ้าเองก็ไม่ได้อยู่ในชาวมัดยันที่อาจจะอ่านอายะฮฺทั้งหลายของเราให้พวกเขาฟัง แต่เราต่างหากที่ส่ง (เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น) มายังเจ้า


คำแปล R4.
43. และโดยแน่นอนเราได้ประทานคัมภีร์แก่มูซา หลังจากที่เราได้ทำลายชนชาติในรุ่นก่อน ๆ เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ปวงมนุษย์ และเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และเป็นความเมตตา หวังว่าพวกเขาจะได้พิจารณาใคร่ครวญ
44. และเจ้า (มุฮัมมัด) มิได้ปรากฏอยู่ทางด้านข้างทิศตะวันตกเมื่อเราได้กำหนดกิจการแก่มูซาและเจ้ามิได้ปรากฏอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเป็นพยาน
45. และแต่ทว่าเราได้บังเกิดอีกหลายศตวรรษ แล้วการมีชีวิตอยู่ก็ยืนยาวแก่พวกเขา และเจ้ามิได้ปรากฏอยู่ร่วมกับกลุ่มชนมัดยัน เพื่อสาธยายโองการทั้งหลายของเราแก่พวกเขา แต่ว่าแท้จริงเราเป็นผู้ส่ง (เจ้ามา)


คำแปล R5.
๔๓. ขอยืนยันว่า แท้จริงเราได้ประทานคัมภีร์เตารอตแก่มูซา ภายหลังจากเราได้ยังความวิบัติแก่กลุ่มชนต่าง ๆ ในศตวรรษแรก ๆ อันได้แก่ กลุ่มชนในสมัยนบีนูหฺ ฮูด และซอลิหฺเพื่อคัมภีร์นั้นจะได้เป็นวิจารณญาณสำหรับมวลมนุษย์ให้มีความกลัวและเพื่อเป็นการชี้นำมนุษย์ให้ออกจากความหลงผิด และเป็นเมตตาธรรมสำหรับมนุษย์ที่มีศรัทธา เพื่อพวกเขาจะได้สำนึกถึงความโปรดปรานของอัลเลาะห์และจะได้ขอบคุณพระองค์ และไม่เนรคุณต่อพระองค์
 ๔๔. และ โอ้มุฮำมัดเจ้ามิใช่ผู้ที่อยู่ ณ ด้านภูเขาทิศตะวันตกซึ่งเป็นภูเขาที่นบีมูซาได้รับการสัญญาจากอัลเลาะห์ให้ขึ้นมารับพระธรรมบัญญัติของพระองค์เมื่อเราได้ดลกระแสโองการต่อมูซาให้รับทราบซึ่งกิจการอันเกี่ยวเนื่องด้วยภารกิจในฐานะศาสนทูตที่จะไปประกาศตนต่อฟิรเอาน์ และโอ้มุฮำมัดเจ้ามิใช่เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้มาอยู่ร่วมในเหตุการณ์ของมูซาในครั้งกระนั้น ดังนั้นที่เจ้าสามารถแจ้งรายละเอียดเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเป็นสัญลักษณ์สำแดงถึงความเป็นศาสนทูตอันแท้จริงของเจ้า และเจ้ามิได้ลอกเลียนมาจากคัมภีร์เดิมอย่างแน่นอน เพราะเจ้าเป็นผู้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ สุดวิสัยที่จะนำคัมภีร์เดิมมาอ่าน แล้วดัดแปลงขึ้นใหม่เพื่อหลอกลวงประชาชน
๔๕. และแต่ทว่าความเป็นจริงนั้นเราได้ดลบันดาลให้มีประชาชาติต่าง ๆ ผ่านพ้นมาหลายศตวรรษนับแต่ยุคของเจ้านี้แล้วพวกเขาในแต่ละยุคต่างก็มีอันยาวนานจนถึงยุคของเจ้า ซึ่งกาลเวลาอันยาวนานเช่นนั้น ย่อมมีผลทำให้ความรู้ต่าง ๆ เลอะเลือนและสับสนได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องส่งเจ้ามาเพื่อประกาศให้ประชาชาติในยุคนี้ได้เข้าใจถึงสถานะของศาสดาต่าง ๆ รวมทั้งนบีมูซาด้วยให้ตรงกับสภาพที่เป็นจริง และโอ้มุฮำมัดเจ้ามิเคยอยู่ในยุคของเมืองมัดยันแต่เจ้าก็สามารถบอกเล่าถึงสภาพของชาวเมืองนั้นอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการ ที่เจ้าบอกเล่าได้เช่นนั้น มิใช่เพราะเจ้ารู้ด้วยการอ่านจากคัมภีร์เดิม ๆ หรือเสกสรรขึ้นเองและหากทว่าเราเป็นผู้ส่งเจ้ามาเพื่อประกาศสิ่งเหล่านั้น โดยดลใจให้เจ้ารู้อย่างละเอียดครบถ้วนและสมบูรณ์ ซึ่งลำพังเจ้าเองแล้ว จะไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 46 - 48


คำอ่าน
46. วะมากุน..ตะบิญานิบิฏฏูริ อิซนาดัยนา วะลากิรฺเราะหฺมะตัม..มิรฺร็อบบิกะ ลิตุน..วิเราะก็อวมัม..มา..อะตาฮุม..มิน..นะซีริม..มิน..ก็อบลิกะ ละอัลละฮุม ยะตะซักกะรูน
47. วะเลาลาอันตุศีบะฮุม..มุศีบะตุม..บิมาก็อดดะมัต อัยดีฮิม ฟะยะกูลู ร็อบบะนา เลาลา..อัร์สัลตะอิลัยนา เราะสูลัน..ฟะนัตตะบิอะอายาติกะ วะนะกูนะมินัลมุอ์มินีน
28. ฟะลัม..มาญา...อะฮุมุลหักกุ มินอิน..ดินา กอลูเลาลา..อูติยะมาละ มา..อูติยะมูสา อะวะลัมยักฟุรูบิมา..อูติยะ มูสา มิน..ก็อบลฺ กอลู สิหฺรอนิ ตะซอฮะรอ วะกอลูอิน..นาบิกุลลิกาฟิรูน


คำแปล R1.
46. And you (O Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam) were not at the side of the Tur (Mount) when we did call, [It is said that Allah called the followers of Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam , and they answered his call, or that Allah called Musa (Moses)]. but (you are sent) as a Mercy from your Lord, to give warning to a people to whom no Warner had come before you, in order that they may remember or receive admonition. [Tafsir At-Tabari, Vol. 20, Page 81].
47. And if (We had) not (sent you to the people of Makkah) in case a calamity should seize them for (the deeds) that their hands have sent forth, they should have said: "Our Lord! Why did you not send us a Messenger? We should then have followed your Ayat (verses of the Qur'an) and should have been among the believers."
48. But when the truth (i.e. Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam with his message) has come to them from us, they say: "Why is he not given the like of what was given to Musa (Moses)? Did they not disbelieve in that which was given to Musa (Moses) of old? They say: "Two kinds of magic [the Taurat (Torah) and the Qur'an] each helping the other!" and they say: "Verily! In both we are disbelievers."


คำแปล R2.
46. และเจ้าไม่เคยไปอยู่ที่ด้านของ(ภูเขา)ฏูร เมื่อครั้งที่เราได้เรียก(นบีมูซาและมอบโองการแก่เจา) แต่ทว่าเป็นความเมตตาจากองค์อภิบาลของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ตักเตือนแก่กลุ่มชนซึ่งยังไม่มี(ศาสดา)ผู้ทำหน้าที่ตักเตือนมาสู่พวกเขาเลย ก่อนหน้าเจ้าเพื่อพวกเจ้าจะได้สำนึก
47. และมาดแม้นมิเป็นเพราะมีเหตุร้ายหนึ่งประสบแก่พวกเขาเพราะการกระทำโดยตัวของพวกเขาเอง แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า “โอ้องค์อภิบาลของเรา ไฉนเล่าพระองค์ไม่ส่งศาสนทูตมายังพวกเรา เพื่อเราตามบรรดาโองการของพระองค์ และเพื่อเราจะได้เป็นผู้หนึ่งจากบรรดาศรัทธาชน (ถ้าไม่เป็นเพราะเหตุนั้น เจ้าก็คงจะไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสนทูตอย่างแน่นอน)
48. ครั้นเมื่อสัจธรรม(อัลกุรอาน) จากเราได้มายังพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “ไฉนเล่า(คัมภีร์นั้น)จึงไม่ถูกประทานให้)จากอัลเลาะฮฺ)เช่นที่เคยถูกประทานแก่มูซา (ซึ่งประทานลงมาครั้งเดียว ส่วนอัลกุรอานทยอยประทานลงมา)” มิใช่เพราะพวกเขาคัดค้านสิ่งที่ถูกประทานแก่มูซามาก่อนดอกหรือ? พวกเขาจึงพูดว่า “ทั้งสอง(อัลกุรอานและเตารอฮฺ) เป็นมายากลที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน”  และพวกเขากล่าวว่า “แท้จริงพวกเราขอคัดค้านในทั้งหมด(จะเป็นกุรอานหรือเตารอฮฺก็ตาม”

 
คำแปล R3.
46. และเจ้าก็มิได้อยู่ข้างภูเขาฏูรฺ เมื่อเราได้ร้องเรียก(ยังมูซาเป็นครั้งแรก) แต่นี่คือความเมตตาจากพระผู้อภืบาลของเจ้า(ที่เจ้าได้รับรู้เรื่องนี้) เพื่อที่เจ้าจะได้เตือนบรรดาผู้ที่ไม่มีผู้ตักเตือนมาก่อนหน้าเจ้า เพื่อที่พวกเขาจะได้ตรึกตรอง
47. (เราได้ทำสิ่งนี้) เผื่อว่าเมื่อทุกข์ภัยเกิดขึ้นแก่พวกเขาอันเนื่องมาจากสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ พวกเขาจะพูดว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ไฉนเล่าพระองค์จึงไม่ส่งรอซูลมายังพวกเรา แล้วเราจะได้ปฏิบัติตามอายะฮฺทั้งหลายของพระองค์และจะได้อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา”
48. ครั้นเมื่อสัจธรรมจากเรามายังพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “ทำไมเขาจึงไม่ได้รับเหมือนอย่างที่มูซาได้รับ ?” ก็พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่ได้ถูกประทานแก่มูซาก่อนหน้านี้หรือ ?” พวกเขากล่าวว่า “ทั้งสองอย่างนี้เป็นมายากลที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน” และพวกเขากล่าวว่า “เราไม่เชื่อมันทั้งหมด”


คำแปล R4.
46. และเจ้า (มุฮัมมัด) มิได้ปรากฏอยู่ทางด้านข้างของภูเขาฎูร เมื่อเราได้ร้องเรียกแต่มันเป็นความเมตตาจากพระเจ้าของเจ้าเพื่อเจ้าจักได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่ง ที่มิได้มีผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเขาก่อนหน้าเจ้าหวังว่าพวกเขาจะได้ใคร่ครวญ
47. และหากมิใช่เคราะห์กรรมหนึ่งประสบแก่พวกเขา เนื่องด้วยน้ำมือของพวกเขาที่ได้กระทำไว้ก่อนแล้วพวกเขาก็จะพูดขึ้นว่า “ข้าแต่พระเจ้าของเรา เหตุใดพระองค์จึงไม่ส่งรอซูลคนหนึ่งมายังพวกเรา เพื่อจะได้ปฏิบัติตามโองการทั้งหลายของพระองค์ท่านและเราจะได้อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา”
48. ครั้นเมื่อสัจธรรมจากเราได้มายังพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “ทำไมเขา (มุฮัมมัด) จึงมิได้รับเยี่ยงกับที่มูซาได้รับเล่า?” ก็พวกเขามิได้ปฏิเสธสิ่งที่ถูกประทานให้แก่มูซามาก่อนดอกหรือ? พวกเขากล่าวว่า “ทั้งสองคือเวทมนตร์ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน” และว่า “เราเป็นผู้ปฏิเสธทั้งสิ้น”


คำแปล R5.
๔๖. และโอ้มุฮำมัด เจ้ามิใช่ผู้ที่อยู่ร่วมกับมูซา ณ ด้านภูเขาฏูรซีนา เมื่อครั้งที่เราได้เรียกเขาให้ขึ้นมาบนภูเขานั้นเพื่อรับบทบัญญัติของเรา แล้วเจ้าก็จะได้ทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ขณะนั้น และแต่ว่าที่เจ้าสามารถทราบเหตุการณ์ดังกล่าวก็เพราะเราได้ดลโองการแห่งคัมภีร์อัลกุรอานแก่เจ้า ซึ่งเป็นเมตตาธรรมอันได้รับมาจากผู้ทรงอภิบาลของเจ้าเพื่อเจ้าจักได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่งซึ่งไม่เคยมีศาสดาผู้ตักเตือนคนใดก่อนหน้าเจ้าเลย ที่มาประกาศต่าง ๆ และกฎเกณฑ์ในแต่ละด้านสำหรับการดำเนินชีวิตของพวกเขา ชุมชนนั้นคือชาวมักกะห์เพื่อพวกเขาจะได้สำนึกในความผิดพลาดของเขาที่เคยมีมาก่อน แล้วได้หวนกลับมาสู่แนวทางของพระเจ้าของพวกเขาและยอมรับในเอกภาพของพระองค์
๔๗. และมาดแม้นไม่มีภัยพิบัติใด ๆ อุบัติแก่พวกเขา เพราะการกระทำที่ล่วงพ้นมาของพวกเขาเอง อันเป็นเหตุให้พวกเขากล่าววิงวอนต่ออัลเลาะห์ว่า โอ้ผู้ทรงอภิบาลของเรา ไฉนพระองค์ไม่ส่งศาสนทูตมายังพวกเรา พวกเราจะได้ตามโองการต่าง ๆ ของพระองค์ และพวกเราจะได้เป็นพวกหนึ่งจากบรรดาศรัทธาชนทั้งหลายที่มีความเชื่อมั่นในเอกภาพของพระองค์และยอมเลื่อมใสในศาสนทูตของพระองค์ แน่นอนที่สุดเราก็จะรีบจัดการลงโทษพวกเขาและไม่ส่งเจ้ามาเป็นผู้ประกาศในหมู่พวกเขา
๔๘. ดังนั้นเมื่อกุรอานอันเป็นสัจธรรมจากเราได้มาสู่พวกเขา พวกเขาก็ปรารภกันว่าไฉนมันจึงไม่ถูกนำมาเช่นที่ถูกนำมาแก่มูซาเล่า ด้วยนบีคมูซานั้นเมื่อนำโองการจากอัลเลาะห์มาประกาศ ก็ได้แสดงอภินิหารต่าง ๆ ประกอบด้วย แต่นบีมุฮำมัดนำมาแต่โองการมาประกาศเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้แสดงอภินิหารใด ๆ เลย บรรดาประชาชาติในสมัยของนบีมูซาในอดีตนั้น พวกเขามิได้ปฏิเสธต่อสิ่งที่ถูกนำมาแก่มูซาเมื่อก่อนหน้านั้นหรือ ที่จริงคนเหล่านั้นก็ปฏิเสธประดุจเดียวกับพวกเจ้าทั้งหลายที่กำลังปฏิเสธในสมัยของนบีมุฮำมัดนี้เอง ไม่ได้ผิดเพี้ยนกันเลย บรรดาอรับมักกะห์ที่คัดค้านและปฏิเสธ พวกเขากล่าวว่า ทั้งนบีมูซาและนบีมุฮำมัดต่างก็เป็นวิทยากลทั้งสอง ซึ่งต่างสนับสนุนแก่กันและกัน และพวกเขากล่าวว่า พวกเขาขอปฏิเสธในทุกกรณี


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 49 - 50


คำอ่าน
49. กุลฟะอ์ตูบิกิตาบิม..มินอิน..ดิลลาฮิ ฮุวะอะฮฺดามินฮุมา..อัตตะบิอฺฮุ อิน..กุน..ตุม ศอดิกีน
50. ฟะอิลลัมตัสตะญีบูละกะ ฟะอฺลัมอัน..นะมายัตตะบิอูนะ อะฮฺวา...อะฮุม วะมันอะฎ็อลละ มิม..มะนิตตะบะอะ ฮะวาฮุบิฆ็อยริฮุดัม..มินัลลอฮฺ อิน..นัลลอฮะลายะฮฺดิลก็อวมัซซอลิมีน


คำแปล R1.
49. Say (to them, O Muhammad Sal-Allaahu 'alayhe Wa Sallam): "Then bring a Book from Allah, which is a better guide than these two [the Taurat (Torah) and the Qur'an], that I may follow it, if you are truthful."
50. But if they answer you not (i.e. do not believe in your doctrine of Islamic Monotheism, nor follow you), then know that they only follow their own lusts. And who is more astray than one who follows his own lusts, without guidance from Allah? Verily! Allah guides not the people who are Zalimun (wrong-doers, disobedient to Allah, and polytheists).


คำแปล R2.
49. จงประกาศเถิด พวกท่านทั้งหลายจงนำสักคัมภีร์หนึ่งมาจากอัลเลาะฮฺ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ชี้นำ(สัจธรรม)ได้ยิ่งกว่าคัมภีร์(อัลกุรอานและเตารอฮฺ)ทั้งสอง แน่นอนฉันจะตามคัมภีร์นั้นหากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
50. จงประกาศเถิด หากแม้นพวกเขาไม่ตอบรับต่อ(คำประกาศของ)เจ้า เจ้าก็จงทราบเถิด แท้จริงพวกเขายึดถือตามอารมณ์ของพวกเขาเอง และใครเล่าที่จะหลงผิดยิ่งไปกว่า ผู้ยึดถือตามอารมณ์ของตนเองโดยปราศจากสิ่งชี้นำจากอัลเลาะฮฺ แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่ทุจริตทั้งมวล


คำแปล R3.
49. (โอ้ นบี) จงบอกพวกเขาว่า “ดังนั้น พวกท่านจงเอาคัมภีร์เล่มหนึ่งจากอัลลอฮฺซึ่งอาจให้ทางนำที่ดีกว่าสองเล่มนี้มา ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง”
50. แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ตอบสนองคำเรียกร้องของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่าพวกเขาเป็นผู้ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาเอง และใคร่เล่าที่หลงผิดยิ่งไปกว่าคนที่ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของตัวเองโดยไม่ได้รับทางนำจากอัลลอฮฺ ? แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงนำทางผู้อธรรม


คำแปล R4.
49. จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “ดังนั้น พวกท่านจงนำคัมภีร์สักเล่มหนึ่งจากอัลลอฮฺ ที่ถูกต้องเหมาะสมยิ่งกว่าทั้งสอง เพื่อฉันจะได้ปฏิบัติตามมัน หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง”
50. หากพวกเขาไม่ยอมสนองตอบเจ้า ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกเขาปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขาเท่านั้น และผู้ใดเล่าจะหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา โดยปราศจากแนวทางที่ถูกต้องจากอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่กลุ่มชนผู้อธรรม


คำแปล R5.
๔๙. โอ้ มุฮำมัดเจ้าจงกล่าวเถิดว่า พวกเจ้าจงนำคัมภีร์จากอัลเลาะห์สักเล่มหนึ่งมาเสนอต่อข้าสิ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ชี้นำได้เหนือกว่าคัมภีร์ทั้งสอง คือเตารอตของนบีมูซาและอัล-กุรอานของนบีมุฮำมัด ถ้าพวกเจ้าสามารถนำมาเสนอได้ ข้าก็จักตามมันโดยไม่คัดค้าน ถ้าพวกเจ้าทั้งหลายเป็นผู้สัตย์จริงก็จงทำอย่างนั้นให้ได้เถิด
๕๐. แต่ถ้าพวกเขาไม่สนองตอบต่อเจ้าตามที่เจ้าได้กล่าวไว้เช่นนั้น เจ้าจงทราบเถิดว่า อันพวกเขาเหล่านั้นโดยแท้จริงแล้วเป็นพวกที่ยึดตามกิเลสของตนเองเท่านั้น หาใช่จะมีเหตุผลหรือหลักฐานใด ๆ ไม่ และใครเล่าที่จะหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ที่ยึดตามอารมณ์ของตนเองโดยปราศจากการชี้นำสู่แนวทางอันถูกต้องจากอัลเลาะห์ เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ย่อมไม่ชี้นำแนวทางอันถูกต้องแก่กลุ่มชนที่อธรรมซึ่งค้านและปฏิเสธสัจธรรมของอัลเลาะห์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัลเกาะศ็อศ อายะฮฺที่ 51 - 54


คำอ่าน
51. วะละก็อดวัศศ็อลนาละฮุมุลก็อวละ ละอัลละฮุม ยะตะซักกะรูน
52. อัลละซีนะอาตัยนา ฮุมุลกิตาบะมิน..ก็อบลิฮี ฮุม..บิฮียุอ์มินูน
53. วะอิซายุตลาอะลัยฮิม กอลู..อามัน..นาบิฮี..อิน..นะฮุลหักกุ มิรฺร็อบบินา..อิน..นากุน..นา มิน..ก็อบลิฮี มุสลิมีน
54. อุลา...อิกะ ยุอ์เตานะอัจญเราะฮุม..มัรฺเราะตัยนิบิมาเศาะบะรู วะยัดเราะอูนะบิลหะสะนะติสสัยยิอะตะ วะมิม..มาเราะซักนาฮุม ยุน..ฟิกูน


คำแปล R1.
51. And indeed now we have conveyed the word (this Qur'an in which is the news of everything to them), in order that they may remember (or receive admonition).
52. Those to whom we gave the Scripture [i.e. the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel), etc.] before it, - they believe in it (the Qur'an).
53. And when it is recited to them, they say: "We believe in it. Verily, it is the truth from our Lord. Indeed even before it we have been from those who submit themselves to Allah in Islam as Muslims (like 'Abdullah bin Salam and Salman Al-Farisi, etc.).
54. These will be given their reward twice over, because they are patient, and repel evil with good, and spend (in charity) out of what we have provided them.


คำแปล R2.
51. ขอยืนยัน แท้จริงเราได้ต่อเนื่องโองการ(แห่งอัลกุรอาน)แก่พวกเขา (โดยทยอยลงมาทีละตอน ต่างกรรมต่างวาระ) พวกเขาจะได้สำนึก(แล้วมีศรัทธาเป็นที่สุด)
52. บรรดาผู้ซึ่งเราให้คัมภีร์แก่พวกเขามาก่อนอัลกุรอานนั้น พวกเขาก็มีศรัทธาต่ออัลกุรอานด้วย (และเป็นมุสลิมที่เคร่งครัด)
53. และเมื่ออัลกุรอานได้รับการอ่านให้พวกเขาฟัง พวกเขาก็พูดว่า “เราศรัทธากับอัลกุรอาน เพราะแท้จริงอัลกุรอานเป็นสัจธรรมที่มาจากองคือภิบาลของเรา แท้จริงพวกเราเป็นผู้ยอมรับต่ออัลกุรอาน ตั้งแต่ก่อนหน้าอัลกุรอานจะลง (เพราะมีระบุอยู่ในคัมภีร์ก่อน ๆ มาแล้ว)
54. พวกเหล่านั้นถูกประทานรางวัลแก่พวกเขาถึงสองครั้ง เพราะเหตุที่พวกเขามีความอดทน และ(เพราะเหตุ)ที่พวกเขาป้องกันความเลวร้ายด้วยความดีงาม และพวกเขาทำการใช้จ่ายบางสิ่งจาก(ทรัพย์สิน)ที่เราได้ให้โชคผลแก่พวกเขา


คำแปล R3.
51. และเราได้ให้ถ้อยคำตักเตือนแก่พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อที่พวกเขาจะได้ตรึกตรอง
52. บรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์ก่อนหน้านี้ศรัทธาในมัน(กุรอาน)
53. และเมื่อมันได้ถูกอ่านให้แก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “เราศรัทธามัน แท้จริงมันคือสัจธรรมจากพระผู้อภิบาลของเรา แท้จริงเราได้เป็นมุสลิมมาก่อนหน้านี้แล้ว”
54. พวกเขาเหล่านี้จะได้รับรางวัลตอบแทนสองครั้ง สำหรับสิ่งที่พวกเขาอดทน และพวกเขาขจัดความชั่วด้วยความดี และพวกเขาใช้จ่ายจากสิ่งที่เราได้ประทานแก่พวกเขา


คำแปล R4.
51. และโดยแน่นอน เราได้ให้พระดำรัส (อัลกุรอาน) สืบต่อเนื่องกันแก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้ใคร่ครวญ
52. บรรดาผู้ที่เราประทานคัมภีร์แก่พวกเขามาก่อนมัน (อัลกุรอาน) พวกเขาศรัทธาในมัน (อัลกุรอาน)
53. และเมื่อ (อัลกุรอาน) ได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขากล่าวว่า “เราศรัทธาในมัน แท้จริงมันคือสัจธรรมมาจากพระเจ้าของเรา แท้จริงเราเป็นผู้นอบน้อมมาก่อนนี้”
54. ชนเหล่านั้นจะได้รับรางวัลของพวกเขาสองครั้ง เนื่องจากเขาได้อดทน และพวกเขาป้องกันความชั่วด้วยความดี และพวกเขาบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เป็นเครื่องยังชีพแก่พวกเขา


คำแปล R5.
๕๑. ขอยืนยันว่าแท้จริงเราได้ต่อเนื่องโองการให้พวกเขา โดยประทานอัล-กุรอานให้ติดต่อเรื่อยมา เพื่อพวกเขาจะได้ระลึกถึงและมีสติใคร่ครวญ อันจักทำให้พวกเขามีศรัทธา แต่พวกเขาก็หาได้ระลึกไม่
๕๒. บรรดาชุมชนที่เราได้ประทานคัมภีร์ก่อนหน้าเขา(มุฮำมัด)ได้แก่สองคัมภีร์ คือเตารอตและอินยีลที่พวกนี้ได้อ่านจากคำพยากรณ์ในคัมภีร์ทั้งสองเกี่ยวกับการมาของนบีมุฮำมัดเป็นศาสนทูตองค์สุดท้าย พวกเขาก็มีศรัทธากับเขาเป็นอันดี ไม่มีใครคัดค้านและปฏิเสธเลย
๕๓. และเมื่อโองการแห่งอัลเลาะห์ถูกอัญเชิญเหนือพวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า เราศรัทธา เพราะแท้จริงสิ่งนั้นเป็นสัจจะ อันมาจากองค์พระผู้อภิบาลของเราอย่างแน่นอน ที่จริงแล้วพวกเราเป็นผู้ยอมสยบต่อเอกภาพของพระองค์ตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะประทานสิ่งนั้นลงมาด้วยซ้ำ
๕๔. พวกเหล่านั้นจะได้รับกุศลถึงสองครั้ง คือกุศลจากการศรัทธาในคัมภีร์เดิมที่พยากรณ์ถึงศาสนทูตองค์สุดท้าย และกุศลจากศรัทธาในคัมภีร์อัล-กุรอานเพราะความขันติของพวกเขาที่มีต่อการปฏิบัติตามคัมภีร์ทั้งสองอย่างเคร่งครัดและพวกเขาป้องกันความชั่วร้ายอันมาจากความเนรคุณทั้งหลายด้วยความดีงาม และพวกเขาใช้จ่ายบางสิ่งที่เราประทานเป็นโชคผลแก่พวกเขา ด้วยการบริจาคเป็นทานตามที่ถูกสั่งไว้


 

GoogleTagged