คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัน-อันฟาล (الانفال - ทรัพย์เชลย) - R4. ซูเราะฮฺ นี้ มี 75 อายะฮฺ ถูกประทานลงมาหลังจาก ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ เป็นซูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ นอกจากอายะฮ์ที่ 30-36 เท่านั้นเป็นมักกียะฮฺ----------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)--
------------------------------------------------------------
สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 1.คำอ่าน1. ยัสอะลูนะกะอะนิลอัน..ฟาล กุลิลอัน..ฟาลุ ลิลลาฮฺวัรฺเราะสูล ฟัตตะกุลลอฮะ วะอัศลิหูซาตะบัยนิกุม วะอะฏีอุลลอฮะวะเราะสูละฮู..อิน..กุน..ตุม..มุอ์มินีนคำแปล R1.1. They ask you (O Muhammad) about the spoils of war. Say: "The spoils are for Allah and the Messenger." so fear Allah and adjust all matters of difference among you, and obey Allah and his Messenger (Muhammad), if you are believers.คำแปล R2.1. พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับทรัพย์เชลยศึก จงประกาศเถิดว่า “อันทรัพย์เชลยศึกนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะฮฺและของศาสนทูต ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะฮฺและจงปรับปรุงสภาพระหว่างพวกท่าน และท่านทั้งหลายจงภักดีต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ ทั้งนี้หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาคำแปล R3.1. พวกเขาถามเจ้าเกี่ยวกับความโปรดปรานใช่ไหม? จงกล่าวเถิด “ความโปรดปรานนั้นเปนของอัลลอฮิและรอซูล ดังนั้นจงเกรงกลัวอัลลอฮิและทำสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้องในหมู่สูเจ้า จงเชื่อฟังอัลลอฮิและรอซูลของพระองค์ถ้าสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง” คำแปล R4.1. พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับบรรดาทรัพย์สินเชลย “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า บรรดาทรัพย์สินเชลยนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺและของร่อซูล ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่านเถิดหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา”คำแปล R5.มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือว่าในขณะปวงชนมุสลิมเกิดพิพาทกันในเรื่องทรัพย์เชลย ปวงมุสลิมที่พิพาทกันนี้ปันออกเป็นสองฝ่ายคือชายฉกรรจ์ที่เข้าสมรภูมิอ้างว่า ทรัพย์เชลยควรเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกตน เพราะพวกตนต้องลงสนามรบเผชิญหน้ากับฝ่ายข้าศึก ส่วนคณะอาวุโสก็อ้างค้านเพื่อต้องการให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นบ้างว่า เราเป็นชนชั้นเสนาธิการ ต้องใช้มันสมองคิดการและยืนหยัดให้พวกท่านอยู่ภายใต้ร่มธงชัย แต่ถ้าพวกท่านต้องพ่ายแพ้แก่ข้าศึกศัตรู พวกท่านก็จะถอยร่นคืนกลับมายังพวกเราอีก ฉะนั้นขอพวกท่านอย่าได้ถือสิทธิ์ในทรัพย์เชลยแต่เพียงฝ่ายเดียวเลย โองการจึงมีลงมาว่า
๑. โอ้มุฮำมัด พวกเหล่านั้นที่เป็นสาวกของพวกเจ้าจะไต่ถามเจ้าถึงเรื่องทรัพย์เชลยว่าควรได้แก่ใคร เจ้าจงบอกแก่พวกสาวกของเจ้าให้รู้ไว้ด้วยเถิดว่า ทรัพย์เชลยนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์และพระศาสนทูตมุฮำมัด สุดแต่พระองค์กับพระศาสนทูตมุฮำมัดจะทรงจัดการทรัพย์นั้นให้เป็นไปตามประสงค์ของพระองค์เช่นไร ครั้นแล้วพระศาสดามุฮำมัดก็ได้ปันทรัพย์เชลยให้แก่พวกเหล่านั้นเป็นส่วนเสมอภาคกัน ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงการลงโทษจากอัลเลาะห์ จงเชื่อมไมตรีต่อกันระหว่างพวกเจ้าในศาสนา มีความรักใคร่ต่อกัน และงดเว้นการพิพาทระหว่างกันเองไว้ ทั้งพวกเจ้าจงน้อมภักดีต่ออัลเลาะห์ด้วยการประพฤติตามที่ทรงใช้และละเสียซึ่งการที่ต้องห้ามจากพระองค์ และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์แม้นว่าพวกเจ้าเป็นพวกศรัทธาอันเที่ยงแท้