ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบายตอนที่ 8 สูเราะอฮฺ อัล-อันฟาล  (อ่าน 5273 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

 :salam:

คำอธิบายประกอบสูเราะฮฺ อัน-อันฟาล (الانفال - ทรัพย์เชลย) -  R4.
    ซูเราะฮฺ นี้ มี 75 อายะฮฺ ถูกประทานลงมาหลังจาก ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ เป็นซูเราะฮฺมะดะนียะฮฺ นอกจากอายะฮ์ที่ 30-36 เท่านั้นเป็นมักกียะฮฺ

----------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง
R1. The Noble Qur’an (Dr.Muhammad Taqi-ud-Din al-Hilali and Dr.Muhammad Muhsin Khan.)
R2. อัลกุรอานฉบับแปลภาษาไทย โดย มัรวาน สะมะอุน
R3. ตัฟฮีมุลกุรฺอาน(อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน)
R4. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย ศูนย์กษัตริย์ฟาฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรฺ อานแห่งนครมาดีนะฮ์
R5. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย (โดย นายต่วน สุวรรณศาสน์-ฮัจยีอิสมาแอล บินฮัจยียะห์ยา)


--
------------------------------------------------------------

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 1.




คำอ่าน
1. ยัสอะลูนะกะอะนิลอัน..ฟาล กุลิลอัน..ฟาลุ ลิลลาฮฺวัรฺเราะสูล ฟัตตะกุลลอฮะ วะอัศลิหูซาตะบัยนิกุม วะอะฏีอุลลอฮะวะเราะสูละฮู..อิน..กุน..ตุม..มุอ์มินีน

คำแปล R1.
1. They ask you (O Muhammad) about the spoils of war. Say: "The spoils are for Allah and the Messenger." so fear Allah and adjust all matters of difference among you, and obey Allah and his Messenger (Muhammad), if you are believers.

คำแปล R2.
1. พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับทรัพย์เชลยศึก จงประกาศเถิดว่า “อันทรัพย์เชลยศึกนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะฮฺและของศาสนทูต ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะฮฺและจงปรับปรุงสภาพระหว่างพวกท่าน และท่านทั้งหลายจงภักดีต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ ทั้งนี้หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา

คำแปล R3.
1. พวกเขาถามเจ้าเกี่ยวกับความโปรดปรานใช่ไหม? จงกล่าวเถิด “ความโปรดปรานนั้นเปนของอัลลอฮิและรอซูล ดังนั้นจงเกรงกลัวอัลลอฮิและทำสิ่งต่าง ๆ ให้ถูกต้องในหมู่สูเจ้า จงเชื่อฟังอัลลอฮิและรอซูลของพระองค์ถ้าสูเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง”
 
คำแปล R4.
1. พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับบรรดาทรัพย์สินเชลย “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า บรรดาทรัพย์สินเชลยนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺและของร่อซูล ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่านเถิดหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา”

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้  คือว่าในขณะปวงชนมุสลิมเกิดพิพาทกันในเรื่องทรัพย์เชลย ปวงมุสลิมที่พิพาทกันนี้ปันออกเป็นสองฝ่ายคือชายฉกรรจ์ที่เข้าสมรภูมิอ้างว่า ทรัพย์เชลยควรเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกตน เพราะพวกตนต้องลงสนามรบเผชิญหน้ากับฝ่ายข้าศึก ส่วนคณะอาวุโสก็อ้างค้านเพื่อต้องการให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นบ้างว่า เราเป็นชนชั้นเสนาธิการ ต้องใช้มันสมองคิดการและยืนหยัดให้พวกท่านอยู่ภายใต้ร่มธงชัย แต่ถ้าพวกท่านต้องพ่ายแพ้แก่ข้าศึกศัตรู พวกท่านก็จะถอยร่นคืนกลับมายังพวกเราอีก ฉะนั้นขอพวกท่านอย่าได้ถือสิทธิ์ในทรัพย์เชลยแต่เพียงฝ่ายเดียวเลย โองการจึงมีลงมาว่า
๑. โอ้มุฮำมัด พวกเหล่านั้นที่เป็นสาวกของพวกเจ้าจะไต่ถามเจ้าถึงเรื่องทรัพย์เชลยว่าควรได้แก่ใคร เจ้าจงบอกแก่พวกสาวกของเจ้าให้รู้ไว้ด้วยเถิดว่า ทรัพย์เชลยนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์และพระศาสนทูตมุฮำมัด สุดแต่พระองค์กับพระศาสนทูตมุฮำมัดจะทรงจัดการทรัพย์นั้นให้เป็นไปตามประสงค์ของพระองค์เช่นไร ครั้นแล้วพระศาสดามุฮำมัดก็ได้ปันทรัพย์เชลยให้แก่พวกเหล่านั้นเป็นส่วนเสมอภาคกัน ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงการลงโทษจากอัลเลาะห์ จงเชื่อมไมตรีต่อกันระหว่างพวกเจ้าในศาสนา มีความรักใคร่ต่อกัน และงดเว้นการพิพาทระหว่างกันเองไว้ ทั้งพวกเจ้าจงน้อมภักดีต่ออัลเลาะห์ด้วยการประพฤติตามที่ทรงใช้และละเสียซึ่งการที่ต้องห้ามจากพระองค์ และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์แม้นว่าพวกเจ้าเป็นพวกศรัทธาอันเที่ยงแท้



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 2 - 6


คำอ่าน
2. อิน..นะมัลมุอ์มินูนัลละซีนะ อิซาซุกิร็อลลอฮุ วะญิลัตกุลูบุฮุม วะอิซาตุลิยัตอะลัยฮิม อายาตุฮู ซาดัดฮุมอีมานา วะอะลาร็อบบิฮิมยะตะวักกะลูน
3. อัลละซีนะยุกีมูนัศเศาะลาตะ วะมิม..มาเราะซักนาฮุม ยุน..ฟิกูน
4. อุลา...อิกะฮุมุลมุอ์มินูนะ หักกอ ละฮุมดะเราะญาตุนอิน..ดะร็อบบิฮิม วะมัฆฟิเราะตู..วะริซกุน..กะรีม
5. กะมา..อัคเราะญะกะ ร็อบบุกะ มิม..บัยติกะบิลหักกฺ วะอิน..นะฟะรีก็อม..มินัลมุอ์มินีนะ ละการิฮูน
6. ยุคอดิลูนะกะฟิลหักกิ บะอฺดะมาตะบัยยะนะ กะอัน..นะมายุสาริกูนะ อิลัลเมาติ วะฮุมยัน..ซุรูน


คำแปล R1.
2. The believers are only those who, when Allah is mentioned, feel a fear in their hearts and when his Verses (this Qur'an) are recited unto them, they (i.e. the verses) increase their Faith; and they put their trust in their Lord (Alone);
3. Who perform As-Salat (Iqamat-as-Salat) and spend out of that we have provided them.
4. It is they who are the believers in truth. For them are grades of dignity with their Lord, and forgiveness and a generous provision (Paradise).
5. As Your Lord caused you (O Muhammad) to go out from your home with the truth, and verily, a party among the believers disliked it;
6. Disputing with you concerning the truth after it was made manifest, as if they were being driven to death, while they were looking (at it).


คำแปล R2.
2. อันที่จริงบรรดาผู้ศรัทธาได้แก่บรรดาผู้ซึ่งเมื่อมีการกล่าวรำลึกถงอัลเลาะฮฺ หัวใจของเขาก็สะทกสะท้าน และเมื่อมีการอัญเชิญโองการต่าง ๆ ของพระองค์ โองการเหล่าก็เพิ่มพูนแก่เขาซึ่งศรัทธาภาพ และพวกเขามีจิตมอบหมายต่อองค์อภิบาลของพวกเขา
3. บรรดาผู้ซึ่งดำรงการละหมาดและได้เสียสละบางสิ่งที่เราได้ประทานเป็นเครื่องยังชีพแก่พวกเขา
4. พวกเหล่านั้นเป็นศรัทธาชนโดยแท้ พวกเขาได้รับหลายฐานันดร ณ องค์อภิบาลของพวกเขา ได้รับการให้อภัยและได้รับโชคผลอันมีเกียรติยิ่ง
5. ประดุจดังพระองค์ได้ทรงนำเจ้าออกมาจากบ้านของเจ้า(เพื่อออกไปรบ)โดยสิทธิอันชอบธรรม แต่ที่จริงก็มีศรัทธาชนบางกลุ่มมีคความรังเกียจ(ที่จะออกรบ)
6. พวกเข้าโต้แย้งกับเจ้าในหน้าที่(โองการทำสงคราม)ภายหลังสิ่งนั้นได้เด่นชัดแล้ว (พวกเขารู้ศึก)คล้ายกับว่า พวกเขาถูกขับต้อนไปสู่ความตาย โดยพวกเขาเฝ้ามองอยู่ (เนื่องจากข้าศึกมีจำนวนมากกว่า)


คำแปล R3.
2. บรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริงนั้นคือบรรดาผู้ที่หัวใจของพวกเขาสั่นไหวด้วยความหวาดเกรงเมิ่อใดก็ตามที่นามของอัลลอฮฺถูกเอ่ยแก่พวกเขา ผู้ที่ความศรัทธาของพวกเขาเพิ่มขึ้นเมื่ออายะฮฺทั้งหลายของพระองค์ได้ถูกอ่านแก่พวกเขาและผู้ที่ไว้วางใจในพระผู้อภิบาลของพวกเขา
3. บรรดาผู้ดำรงการนมาซและบริจาคจากที่เราได้ประทานให้แก่พวกเขา
4. คนเหล่านั้นเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง พวกเขามีตำแหน่งสูงส่งที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาได้รับการให้อภัยโทษและปัจจัยยังชีพอันมีเกียรติ
5. (ส่วนในเรื่องของทรัพย์ที่ยึดมาได้จากการสงครามนั้น เรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นอีก ดังที่มันได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อตอนที่)พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ทรงนำเจ้าออกมาจากบ้านของเจ้าพร้อมด้วยสัจธรรม เพราะผู้ศรัทธาบางคนนั้นไม่พอใจ
6. พวกเขาโต้เถียงเจ้าเกี่ยวกับสัจธรรม ทั้ง ๆ ที่มันเป็นที่กระจ่างแล้ว พวกเขาประหวั่นพรั่นพรึงราวกับว่าพวกเขากำลังถูกผลักไปสู่ความตายโดยที่ตาของเขายังเปิดกว้างอยู่


คำแปล R4.
2. แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธานั้น คือ ผู้ที่เมื่ออัลลอฮฺถูกกล่าวขึ้นแล้ว หัวใจของพวกเขาก็หวั่นเกรง และเมื่อบรรดาโองการของพระองค์ถูกอ่านแก่พวกเขา โองการเหล่านั้นก็เพิ่มพูนความศรัทธาแก่พวกเขา และแด่พระเจ้าของพวกเขานั้น พวกเขามอบหมายกัน
3. คือบรรดาผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา พวกเขาก็บริจาค
4. ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือ ผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง โดยที่พวกเขาจะได้รับหลายชั้น ณ พระเจ้าของพวกเขา และจะได้รับการอภัยโทษและปัจจัยยังชีพอันมากมาย
5. เช่นเดียวกับที่พระเจ้าของเจ้าให้เจ้าออกไปจากบ้านของเจ้าเนื่องด้วยความจริง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้ศรัทธานั้นรังเกียจ
6. พวกเขาโต้เถียงกับเจ้าในความจริงหลังจากที่มันได้ประจักษ์ขึ้นประหนึ่งว่าพวกเขาดูถูกต้อนไปสู่ความตายโดยที่พวกเขากำลังมองดูกันอยู่


คำแปล R5.
๒. แท้จริงพวกผู้ศรัทธา(มุอ์มิน)โดยสมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งเมื่อสัญญาการลงโทษของอัลเลาะห์ได้ถูกเอ่ยกล่าวขึ้นหัวใจของพวกเขาก็จะกลัว และเมื่อบรรดาโองการแห่งอัล-กุรอานของพระองค์ได้ถูกอ่านขึ้นแก่พวกเขา ก็ทำให้พวกเขาทวีความศรัทธามากขึ้น และเฉพาะต่ออัลเลาะห์ องค์พระผู้อภิบาลของพวกเขาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะขอยึดมั่น มิได้ขอยึดมั่นต่อผู้ใดอื่นจากพระองค์เลย
๓. บรรดาผู้ที่ดำรงละหมาดครบกระบวนการและกฎเกณฑ์ของการละหมาดนั้น และผู้ที่สละทรัพย์สินส่วนหนึ่งจากที่เรา(อัลเลาะห์) ได้มอบเป็นเครื่องดำรงชีพแก่พวกเขา โดยพวกเขาจะเสียสละไปในทางกุศล
๔. พวกที่ถูกบรรยายคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านั้นแหละคือชนผู้ศรัทธาโดยแท้จริงอย่างมิต้องสงสัย สำหรับพวกเหล่านั้นย่อมได้รับตำแหน่งในสรวงสวรรค์อันถูกเตรียมมาแต่องค์พระผู้อภิบาลของพวกนั้น ตลอดทั้งได้รับการอภัยซึ่งบาปและลาภอันประเสริฐยิ่งในสวรสวรรค์อีกด้วย
๕. พวกเจ้าจงถือปฏิบัติตามที่ทรงห้ามและใช้อย่างจริงจังเหมือนดังที่องค์พระผู้อภิบาลของเจ้าให้เจ้าจากบ้านของเจ้าที่นครมดีนะห์เพื่อจะยึดกองคารวานซึ่งควบคุมโดยอะบูซุฟยานมาเป็นทรัพย์เชลยและแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกมุอ์มินนั้นต่างมีความรังเกียจที่จะออกจากนครมดีนะห์
๖. พวกมุอ์มินเหล่านั้นจะโต้เถียงเจ้าในเรื่องการทำสงคราม หลังจากแน่ชัดแล้วว่า การสงครามนั้นเป็นของเที่ยงแท้ พวกมุอ์มินที่กล่าวแล้วนั้นเกลียดชังไม่อยากออกทำสงครามเหมือนกับว่าพวกเขาถูกขับให้ไปสู่ความตายที่ต่างก็กำลังมองดูความตายกันอยู่อย่างประจักษ์แก่สายตา ในฐานะที่พวกนั้นเกลียดชังการสงคราม



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 7 - 8


คำอ่าน
7. วะอิซยะอิดะกุมุลลอฮุ อิหฺดฏฏอ...อิฟะตัยนิ อัน..นะฮาละกุม วะตะวัดดูนะ อัน..นะฆ็อยเราะ ซาติชเชากะติ ตะกูนุละกุม วะยุรีดุลลอฮุ อัย..ยุหิกก็อลหักเกาะ บิกะลิมาติฮี วะยักเฏาะอะดาบิร็อลกาฟิรีน
8. ลิยุหิกก็อลหักเกาะ วะยุบฏิลัลบาฏิละ วะเลากะริฮัลมุจญริมูน


คำแปล R1.
7. And (remember) when Allah promised you (Muslims) one of the two parties (of the enemy i.e. either the army or the caravan) that it should be yours, you wished that the one not armed (the caravan) should be yours, but Allah willed to justify the truth by his words and to cut off the roots of the disbelievers (i.e. in the battle of Badr).
8. That He might cause the truth to triumph and bring falsehood to nothing, even though the Mujrimun (disbelievers, polytheists, sinners, criminals, etc.) hate it.


คำแปล R2.
7. และ(จงระลึกเถิด)เมื่ออัลเลาะฮฺทรงสัญญาแก่พวกเจ้าว่า หนึ่งจากข้าศึกสองกลุ่มนั้นจะต้องเป็นของพวกเจ้า(โดยจะชนะพวกเขา ข้าศึกทั้งสองกลุ่ม คือกองคาราวานของอะบูซุฟยานที่มุ่งสู่ซีเรีย และกองทัพจากมักกะฮฺนำโดยอาบูยาฮัล สู่บะดัรเพื่อโจมตีฝ่ายมุสลิม)แต่พวกของเจ้าเองกลับชอบ(ที่จะมุ่งสู่)กองทัพที่ไร้กำลัง(คือกองคาราวาน) ให้เป็นของพวกเจ้า ทั้ง ๆ ที่อัลเลาะฮฺทรงประสงค์ที่จะให้สัจธรรมปรากฏความจริงขึ้นโดยประกาศิตของพระองค์ และพระองค์ทรงตัดทอน(กำลังของ)บรรดาผู้เนรคุณ(ให้สูญสิ้น)ไปทั้งกองทัพ
8. เพื่อทรงทำความจริงให้ปรากฏและทำความเท็จให้มลายสิ้น และแม้นเหล่าทรชนจะชิงชังก็ตาม


คำแปล R3.
7. จงนึกถึงเมื่อตอนที่อัลลอฮฺได้ทรงสัญญากับสูเจ้าว่าหนึ่งในสองพวกจะพ่ายแพ้แก่สูเจ้า สูเจ้าคิดว่าพวกที่อ่อนแอกว่าจะพ่ายแพ้แก่สูเจ้า แต่อัลลอฮฺทรงปรารถนาที่จะพิสูจน์สัจธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ว่ามันเป็นจริงโดยถ้อยคำของพระองค์ และทรงตัดรากของบรรดาผู้ปฏิเสธ
8. เพื่อที่ความจริงจะได้เป็นที่ประจักษ์ออกมาว่าเป็นความจริงและความเท็จจะได้ประจักออกมาว่าเป็นความเท็จถึงแม้ว่าพวกทำบาปจะไม่ชอบมันก็ตาม


คำแปล R4.
7.  และจงรำลึกขณะที่อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาไว้แก่พวกเจ้า ซึ่งหนึ่งในสองกลุ่มว่า มันเป็นของพวกเจ้า และพวกเจ้าชอบที่จะให้กลุ่มที่ไม่มีกำลังอาวุธนั้นเป็นของพวกเจ้า แต่อัลลอฮฺทรงต้องการให้ความจริงประจักษ์เป็นจริงขึ้นด้วยพจนารถของพระองค์ และจะทรงตัดขาดซึ่งคนสุดท้ายของผู้ปฏิเสธทั้งหลาย
8. เพื่อพระองค์จะทรงให้สิ่งที่เป็นจริงได้ประจักษ์เป็นความจริง และให้สิ่งเท็จได้ประจักษ์เป็นสิ่งเท็จ และแม้ว่าบรรดาผู้กระทำความผิดไม่พอใจก็ตาม


คำแปล R5.
๗. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ทหารทั้งปวงของเจ้าเพื่อปลุกใจให้ทหารเหล่านั้นมีใจเข้มแข็งในการรบเถิด ในขณะที่อัลเลาะห์ได้ทรงให้ข้อสัญญาแก่พวกเจ้าว่า โอ้ทหารที่ร่วมกับมุฮำมัดออกรบพวกนะฟีร (กองทัพอบูยะฮัล) ในสมรภูมิบัดร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสองจำพวก (พวกนะฟีร กับพวกอีร กองทัพอบูซุฟยาน) นั้นจะตกเป็นของพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับชอบที่จะได้ชัยชนะพวกอีร ฝ่ายที่หย่อนอาวุธและรี้พล ต่างกับพวกนะฟีรที่มีทั้งอาหารและอาวุธครบมือ แต่ผลปรากฏว่าข้าศึกฝ่ายอีรนั้นหลบลี้หนีไปจนหมดสิ้นจากเจ้าแล้ว ในที่สุดพวกเจ้าก็จะต้องสู้รบกับข้าศึกฝ่ายนะฟีร ซึ่งความมีชัยก็จะตกแก่พวกเจ้าแน่ตามสัญญาที่พระองค์ทรงให้ไว้ ทั้งอัลเลาะห์ทรงมุ่งหมายที่จะเผยความจริงด้วยคำประกาศิตแห่งบรรดาโองการของพระองค์ โดยให้ข้าศึกฝ่ายนะฟีรตกเป็นเชลยบ้าง ถูกฆ่าบ้างและถูกจับโยนลงบ่อ ณ ตำบลบัตร์บ้าง และทรงมุ่งหมายที่จะให้สูญพันธุ์พวกกาฟิรเผ่านะฟีรให้สิ้นซากไปเสียเลย ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงบัญชาใช้พวกเจ้าออกไปรบพวกนะฟีร แล้วในที่สุดพวกนะฟีรก็ถูกทำลายชาติพันธุ์
๘. พระองค์ได้ทรงใช้ให้พวกเจ้าทำศึกกับพวกนะฟีร เพื่อที่พระองค์จะให้ความจริง(อิสลาม) ประจักษ์ และให้ความเสื่อมเสีย (อัลกุฟร์) ดับสูญลง แม้ที่สุดพวกถือภาคี(มุชริก) ทั้งหลายจะชิงชัง ไม่ต้องการให้ศาสนาอิสลามถูกเผยขึ้น และให้ความไร้ศรัทธาดับสูญไปก็ตาม



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 9 - 10


คำอ่าน
9. อิซตัสตะอีษูนะ ร็อบบะกุม ฟัสตะญาบะละกุม อัน..นี มุมิดดุกุม..บิอัลฟิม..มินัลมะลาอิกะติ มุรฺดิฟีน
10. วะมาญะอะละฮุลลอฮุ อิลลาบุชรอ วะลิตัฏมะอิน..นะบิฮี กุลูบุกุม วะมัน..นัศรุอิลลามินอิน..ดิลลาฮฺ อิน..นัลลอฮะอะซีวุน หะกีม


คำแปล R1.
9. (Remember) when you sought help of your Lord and He answered you (saying): "I will help you with a thousand of the angels each behind the other (following one another) in succession."
10. Allah made it only as glad tidings, and that your hearts be at rest therewith. And there is no victory except from Allah. Verily, Allah is All-Mighty, All-Wise.


คำแปล R2.
9. (จงระลึกเถิด)เมื่อพวกเจ้าขอความช่วยเหลือจากองค์อภิบาลของพวกเจ้า แล้วพระองค์ทรงสนองตอบพวกเจ้าว่า “ข้าจักเสริมกำลังของพวกเจ้าด้วยมลาอิกะฮฺจำนวนหนึ่งพัน ซึ่งทยอยมาเป็นระลอก”
10. และอัลเลาะฮฺมิได้บันดาลสิ่งนั้น(การเสริมกำลังด้วยมลาอิกะฮฺขึ้นมาเพื่ออันใดเลย) นอกจากเป็นความปีติและเพื่อหัวใจของพวกเจ้าจะได้สงบมั่นกับพระองค์และไม่มีการช่วยเหลือ(จากทางอื่น)นอกจากมาจากอัลเลาะฮฺเท่านั้น แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงอนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชาญาณยิ่ง


คำแปล R3.
9. และเมื่อพวกเจ้าวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้า พระองค์ได้ทรงตอบว่า “ฉันจะส่งมลาอิกะฮฺจำนวนหนึ่งพันทยอยกันลงมาช่วยสูเจ้า”
10. อัลลอฮฺได้บอกสิ่งแก่สูเจ้าก็เพื่อเป็นข่าวดีสำหรับสูเจ้าและเพื่อที่จะทำให้จิตใจของสูเจ้าเกิดความสงบ ถึงแม้ว่าการช่วยเหลือนั้นไม่ได้มาจากที่ใดนอกจากที่อัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R4.
9. จงรำลึกขณะที่พวกเจ้าขอความช่วยเหลือยามคับขันต่อพระเจ้าของเจ้า แล้วพระองค์ก็ได้ทรงรับสนองแก่พวกเจ้าว่า แท้จริงข้าจะช่วยพวกเจ้าด้วยมลาอิกะฮฺหนึ่งพันตน โดยทยอยกันลงมา
10. และอัลลอฮฺนั้นมิได้ทรงให้มันมีขึ้นนอกจากเป็นข่าวดีเท่านั้น และเพื่อว่าหัวใจของพวกเจ้าจะได้สงบขึ้นด้วยสิ่งนั้น และไม่มีการช่วยเหลือ นอกจากที่มาจากที่อัลลอฮฺเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ


คำแปล R5.
๙. โอ้ปวงผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของข้าที่มีต่อพวกเจ้าเถิด ในคราที่พวกเจ้าได้ขอความสงเคราะห์ต่อองค์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าเพื่อให้มีชัยต่อพวกข้าศึกศัตรูนั้น พระองค์ทรงรับคำสนองแก่พวกเจ้าแล้วโดยข้าส่งมลาอิกะห์จำนวนหนึ่งพันในระลอกแรก ส่วนระลอกสองจำนวนสามพัน และระลอกที่สามมีจำนวนห้าพันให้ทยอยกันลงมา ครั้นแล้วพวกนั้นสามารถฆ่าข้าศึกฝ่ายนะฟีรได้เจ็ดสิบคนและจับเป็นเชลยเสียอีกเจ็ดสิบคน
๑๐. อัลเลาะห์ได้ทรงให้การสงเคราะห์โดยส่งมลาอิกะห์จำนวนหนึ่งพันลงมานั้นมีขึ้นเพื่ออะไร หากแต่ให้เป็นความเบิกบานใจแก่พวกเจ้าเท่านั้น และเพื่อหัวใจของพวกเจ้าจะได้หนักแน่นขึ้นเพราะการสงเคราะห์ของข้าดังกล่าว ความมีชัยนั้นจะมีขึ้นหามิได้นอกจากมาแต่การตัดสินของอัลเลาะห์เท่านั้น แท้จริงอัลเลาะห์คือองค์ทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่ง ทรงประณีตยิ่งในการทั้งปวงของพระองค์


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 11 - 14


คำอ่าน
11. อิซยุอัษษีกุมุน..นุอาสะ อะมะนะตัม..มินฮุ วะยุนัซซิลุอะลัยกุม..มินัสสะมา...อิมา...อัลลิยุเฏาะฮฺฮิเรากุม..บิฮี วะยุซฮิบะ อัน..กุม ริจญซัชชัยฏอนิ วะลิยัรฺบิเฏาะ อะลากุลูบิกุม วะยุษับบิตะบิฮิลอักดาม
12. อิซยูหีร็อบบุกะ อิลัลมะลา...อิกะติ อัน..นีมะอะกุม ฟะษับบิตุลละซีนะอามะนู สะอุลกิยะ ฟีกุลูบิลละซีนะ กะฟะรุร์ รุอฺบะ ฟัฎริบูเฟาก็อลอะอฺนากิ วัฎริบูมินฮุม กุลละบะนาน
13. ซาลิกุม..บิอัน..นะฮุม ชา...กกุลลอฮะ วะเราะสูละฮฺ วะมัย..ยุชากิกิลลาฮะ วะเราะสูละฮู ฟะอิน..นัลลอฮะ ชะดีดุลอิกอบ
14. ซาลิกุม ฟะซูกูฮุ วะอัน..นะลิลกาฟิรีนะ อะซาบัน..นารฺ


คำแปล R1.
11. (Remember) when He covered you with a slumber as a security from him, and He caused water (rain) to descend on you from the sky, to clean you thereby and to remove from you the Rijz (whispering, evil-suggestions, etc.) of Shaitan (Satan), and to strengthen your hearts, and make your feet firm thereby.
12. (Remember) when your Lord inspired the angels, "Verily, I am with you, so keep firm those who have believed. I will cast terror into the hearts of those who have disbelieved, so strike them over the necks, and smite over all their fingers and toes."
13. This is because they defied and disobeyed Allah and his Messenger. And whoever defies and disobeys Allah and his Messenger, then verily, Allah is severe in punishment.
14. This is the torment, so taste it, and surely for the disbelievers is the torment of the Fire.


คำแปล R2.
11. (จงระลึกเถิด)เมื่อพระองค์ให้พวกเจ้าเคลิ้มหลับ มันเป็นความโปรดปรานหนึ่งจากพระองค์ (ที่ประทานแก่พวกเจ้าเพื่อการพักผ่อนและสร้างความแข็งแรง สิ้นความอ่อนแอและอ่อนเพลีย) และพระองค์ทรงส่งน้ำฝนมายังพวกเจ้าทั้งหลายจากฟากฟ้าเพื่อทรงชำระพวกเจ้าให้สะอาดด้วยกับมัน และเท้า(ของพวกเจ้า)แน่นแฟ้น(อยู่กับสนามรบ)เพราะมัน
12. (จงระลึกเถิด) เมื่อองค์อภิบาลของเจ้าได้ทรงโองการแก่มลาอิกะฮฺว่า “แท้จริงข้าอยู่ร่วมกับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงทำความแน่นแฟ้น(แก่จิตใจของ)บรรดาศรัทธาชนทั้งหลายเถิด ข้าจะใส่ไว้ในหัวใจของบรรดาผู้เนรคุณทั้งหลายซึ่งความครั่นคร้าม ดังนั้นพวกเจ้าจงฟาดฟันลงไปบนต้นคอทั้งหลาย(ของข้าศึก) และจงฟาดฟันทุกปลายนิ้วของพวกนั้น
13. นั้น(เป็นคำบัญชาจากอัลเลาะฮฺ)เพราะเหตุพวกเขาได้ต่ออ้านอัลเลาะฮฺ และศาสนทูตของพระองค์ และผู้ใดต่ออ้านอัลเลาะฮฺและศาสนทูตของพระองค์ แน่นอนอัลเลาะฮฺทรงลงโทษรุนแรงยิ่งนัก
14. (การลงโทษในดุนยาตามที่กล่าวมา)นั้น ! พวกเจ้าทั้งหลายจงลิ้มรสมันเถิด และแท้จริงการลงโทษของไฟนรก จะต้องประสบแก่บรรดาผู้เนรคุณทั้งหลาย(ในโลกหน้า)


คำแปล R3.
11. และจงนึกถึงเมื่อตอนที่อัลลอฮฺได้ประทานความสงบและความปลอดภัยจากพระองค์เองโดยการให้สูเจ้างีบหลับไป และได้ทรงประทานน้ำลงมาจากฟากฟ้าเพื่อที่จะชำระสูเจ้าให้สะอาดและขจัดความโสมมของมารออกจากสูเจ้า และเพื่อทำให้สูเจ้ามีกำลังใจที่เข้มแข็งและย่างก้าวอย่างมั่นคง
12. และจงนึกถึงเมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเจ้าทรงมีวะฮีย์แก่มลาอิกะฮฺว่า “ฉันจะอยู่กับเจ้า จงทำให้บรรดาผู้ศรัทธายืนหยัดอย่างมั่นคง ฉันจะทำให้หัวใจของบรรดาผู้ปฏิเสธเต็มไปด้วยความครั่นคร้าม ดังนั้นจงตีก้านคอของพวกเขาและจงกระทุ้งทุกรอยต่อของพวกเขา
13. นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาต่อต้านอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ แน่นอนอัลลอฮฺทรงเฉียบขาดในการตอบแทนคนที่ต่อต้านพระองค์และรอซูลของพระองค์
14. นี่คือการลงโทษสำหรับสูเจ้า ดังนั้นจงลิ้มรสมันและสูเจ้าควรรู้ไว้ด้วยว่า สำหรับผู้ปฏิเสธนั้นคือการลงโทษของไฟนรก


คำแปล R4.
11. จงรำลึกขณะที่พระองค์ทรงให้มีการงีบหลับครอบงำพวกเจ้าด้วยความปลอดภัยจากพระองค์ และทรงให้น้ำลงมาแก่พวกเจ้าจากฟากฟ้าเพื่อทรงชำระพวกเจ้าด้วยน้ำนั้น และทรงให้หมดไปจากพวกเจ้าซึ่งความโสมมของชัยฏอน และเพื่อที่จะทรงผูกหัวใจของพวกเจ้า และทรงให้เท้ามั่นคงด้วยน้ำนั้น
12. จงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าประทานโองการแก่มลาอิกะฮ์ว่า แท้จริงข้านั้นร่วมอยู่กับพวกเจ้าด้วย ดังนั้นพวกเจ้าจงทำให้บรรดาผู้ศรัทธามั่นคงเถิด ข้าจะโยนความกลัวเข้าไปในหัวใจของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา แล้วพวกเจ้าจงฟันลงบนก้านคอ และจงฟันทุก ๆ ส่วนปลายของนิ้วมือจากพวกเขา
13. นั่นก็เพราะว่าพวกเขาฝ่าฝืนและต่อต้านอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์ และผู้ใดฝ่าฝืนและต่อต้านอัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์แล้ว แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ
14. นั่นแหละพวกเจ้าจงลิ้มรสมันเถิด และแท้จริงสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น คือ การลงโทษแห่งไฟนรก


คำแปล R5.
๑๑. โอ้ปวงผู้ศรัทธาทั้งหลายจงรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของข้าที่มีต่อพวกเจ้าเถิด ในคราเมื่อพระองค์ได้ให้พวกเจ้าหลับลงงีบหนึ่ง เป็นความสงบสุขจากพระองค์ที่มีต่อพวกเจ้าผู้หวาดกลัวพวกข้าศึกที่จะมาแก้มือเอาชนะหลังจากพวกนั้นพ่ายแพ้ไปแล้ว ทั้งพระองค์ได้ทรงให้ฝนจากฟากฟ้าลงมายังพวกเจ้าเพื่อที่พระองค์จะทรงใช้มันชำระสะสางพวกเจ้าให้สะอาดปราศจากไร้ราคีน้อยใหญ่ทางศาสนาซึ่งห้ามมิให้มีขึ้นในเวลาทำละหมาดและกิจทำนองอื่น ๆ เพื่อจะทรงขจัดให้สูญไปจากพวกเจ้าซึ่งเพทุบายจากไชตอนที่คอยกระซิบบอกพวกเจ้าว่า “นี่แน่ะพวกท่านถ้าพวกท่านอยู่ในศาสนาที่เที่ยงแท้แล้ว พวกท่านจะต้องไม่อดน้ำ ทั้งเนื้อตัวของพวกท่านจะต้องไม่สกปรกด้วย ดูแต่พวกนะฟีรซิ พวกนี้มีน้ำดื่มน้ำใช้กันอุดมสมบูรณ์” แต่แล้วเมื่ออัลเลาะห์ได้ทรงให้ฝนลงมาจากฟากฟ้าเพื่อพวกเจ้า กระซิบของไชตอนก็เป็นอันระงับไป และเพื่อพระองค์จะทรงให้หัวใจของพวกเจ้าผูกพันอยู่กับความมั่นใจและอดทนก่อนเวลาที่ฝนจะตกลงมาจากฟากฟ้า ทั้งนี้เพื่อจะทรงให้ลำแข้งของพวกเจ้ายืนหยัดต่อสู้ข้าศึกศัตรูอยู่ได้ด้วยน้ำในพื้นทราย
๑๒. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ปวงประชากรของเจ้าให้ทราบไว้ด้วยเถิด ในคราเมื่อองค์พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ดลกระแสโองการไปยังมลาอิกะห์ทั้งปวงที่ข้า(อัลเลาะห์)ได้ส่งลงมาเป็นรี้พลช่วยเหลือทหารมุสลิม ซึ่งสู้รบกับข้าศึกฝ่ายนะฟีรว่า แท้จริงข้านี้เป็นฝ่ายช่วยเหลือพวกเจ้าให้มีชัยชนะพวกนะฟีร ดังนั้นพวกเจ้าจงสนับสนุนเหล่าทหารผู้ศรัทธาที่สู้รบกับพวกนะฟีรด้วยเถิด จะโดยกำลังกายก็ได้หรือโดยวาจาส่งเสริมขอความมีชัยก็ได้ แล้วข้า(อัลเลาะห์) ก็จะบรรจุความหวาดหวั่นใส่ลงในหัวใจของบรรดาผู้เป็นกาฟิรคือพวกนะฟีร โอ้ทหารทั้งหลายผู้เป็นมุอ์มิน พวกเจ้าจงฟันคอพวกทหารนะฟีรแล้วก็ตัดนิ้วมือและนิ้วเท้าของทหารนะฟีรเหล่านั้นเสียให้หมดด้วย มีผู้หนึ่งเป็นทหารมุอ์มินเงื้อดาบจะจ้วงลงถึงคอ ๆ นั้นก็ขาดเสียก่อนแล้ว ส่วนพระศาสดามุฮำมัดเองก็กำทรายขว้างไปในกลุ่มทหารนะฟีร ทรายที่ซัดไปนั้นไปเข้านัยน์ตาพวกข้าศึกถึงกับพ่ายแพ้ล่าถอยไป
๑๓. การลงโทษให้มาประสบกับพวกนะฟีรนี้ก็เพราะพวกนั้นขัดแย้งกับอัลเลาะห์และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์ และถ้าผู้ใดที่ขัดแย้งกับอัลเลาะห์และมุฮำมัด พระศาสนทูตของพระองค์แล้วแน่นอนอัลเลาะห์นั้นทรงความรุนแรงในการลงโทษผู้ที่กล่าวนั้นยิ่งนัก
๑๔. โทษที่กล่าวนั้นแหละ โอ้พวกกาฟิรทั้งหลายในพิภพนี้ พวกเจ้าจงลิ้มรสมันเสียเถิด เพราะแท้จริงสำหรับพวกกาฟิรในปรภพนั้นย่อมได้รับโทษแห่งนรก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 15 - 19


คำอ่าน
15. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิซาละกีตุมุลละซีนะกะฟะรูซะหฺฟัน..ฟะลาตุวัลลูฮุมุลอัดบารฺ
16. วะมัย..ยุวัลลิฮิม เอามะอิซิน..ดุบุเราะฮู..อิลา มุตะหัรฺริฟัล ลิกิตาลิน เอามุตะหัยยิซัน อิลาฟิอะติน..ฟะก็อดบา...อะบิเฆาะเฎาะบิม..มินัลลอฮิ วะมะอ์วาฮุมญะอัน..นัม วะบิอ์สัลมะศีรฺ
17. ฟะลัมตักตุลูฮุม วะลิน..นัลลอฮะเกาะตะละฮุม วะมาเราะมัยตะ อิซเราะมัยตะ วะลากิน..นัลลอฮะเราะมา วะลิยุบลิยัลมุอ์มินีนะ มินฮุบะลา...อันหะสะนา อิน..นัลลอฮะสะมีอุนอะลีม
18. ซาลิกุม วะอัน..นัลลอฮะ มูฮินุ กัยดิลกาฟิรีน
19. อิน..ตัสตัฟติหู ฟะก็อดญา...อะกุมุลฟัตหฺ วะอิน..ตัน..ตะฮู ฟะฮุมค็อยรุลละกุม วะอิน..ตะอูดู นะอุด วะลัน..ตุฆนิยะอัน..กุม ฟิอะตุกุมชัยอา วะเลากะษุร็อต วะอัน..นัลลอฮะมะอัลมุอ์มินีน


คำแปล R1.
15. O you who believe! When you meet those who disbelieve, in a battle-field, never turn your backs to them.
16. And whoever turns his back to them on such a day - unless it be a stratagem of war, or to retreat to a troop (of his own), - he indeed has drawn upon himself wrath from Allah. And his abode is Hell, and worst indeed is that destination!
17. You killed them not, but Allah killed them. And you (Muhammad) threw not when you did throw but Allah threw, that He might test the believers by a fair trial from Him. Verily, Allah is All-Hearer, All-Knower.
18. This (is the fact) and surely, Allah weakens the deceitful plots of the disbelievers.
19. (O disbelievers) if you ask for a judgment, now has the judgment come unto you and if you cease (to do wrong), it will be better for you, and if you return (to the attack), so shall we return, and your forces will be of no avail to you, however numerous it be, and verily, Allah is with the believers.


คำแปล R2.
15. โฮ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! เมื่อพวกเจ้าได้เผชิญหน้ากับบรรดาพวกเนรคุณที่เป็นกองทัพมุ่งโจมตี พวกเจ้าก็จงอย่าหันหลังหนีพวกนั้นเป็นอันขาด
16. และผู้ใดหันหลังหนีพวกนั้นในวันนั้นยกเว้นผู้ที่ทำทีเป็นหนีเพื่อ(ลวงฝ่ายข้าศึกจะได้หวนกลับมา)ทำการรบ หรือบุคคลผู้ผละไปสมทบกับอีกกลุ่มหนึ่ง แน่นอน (ผู้ที่หลบหนีที่ไม่ใช่สองกรณีดังกล่าวนั้น)ได้คืนกลับ(ไปสู่โลกหน้า)ด้วยความกริ้วจากอัลเลาะฮฺ และที่อยู่ของเขาคือนรก และมันเป็นที่อยู่อันเลวร้ายยิ่งนัก
17. ที่จริงแล้วพวกเจ้าหาได้ฆ่าฝ่าย(ข้าศึก)นั้นไม่ แต่ทว่าอัลเลาะฮฺทรงฆ่าพวกเขา และเจ้าไม่ได้ขว้าง(ทรายออกไปเพื่อใส่หน้าศัตรูหรอก) เมื่อขณะที่เจ้าขว้างนั้น แต่อัลเลาะฮฺต่างหากที่ทำการขว้าง และเพื่อพระองค์ทรงทดสอบบรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย อันเป็นข้อทดสอบที่งดงามจากพระองค์ แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงได้ยิน อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
18. เหล่านั้น (เป็นความโปรดปรานที่อัลเลาะฮฺทรงประทานแก่เจ้า) และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงทำให้แผนการของพวกเนรคุณอ่อนแอลง
19. หากแม้นพวกเจ้า(ชาวตั้งภาคี)ขอคำตัดสิน(ในคนสองกลุ่มที่ขัดแย้งกัน) แน่นอนการตัดสินก็มาสู่พวกเจ้าแล้ว (โดยให้ฝ่ายผิด ประสบเภทภัยนานาประการ) และหากพวกเจ้ายับยั้ง (จากการทำศึกกับฝ่ายมุสลิม) แน่นอนสิ่งนั้นเป็นความดีของพวกเจ้าเอง และหากพวกเจ้าหวนกลับ(มาช่วยเหลือฝ่ายมุสลิม) เช่นเดียวกัน และฝ่ายของเจ้าทั้งหลาย จะไม่ป้องกันพวกเจ้าได้สักกรณีเดียว และแม้จะมีจำนวนมหาสาลก็ตาม และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงอยู่ร่วมกับฝ่ายศรัทธาเสมอ


คำแปล R3.
15. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ยเมื่อสูเจ้าพบผู้ปฏิเสธเคลื่อนพลมาช้า ๆ จงอย่าหันหลังให้พวกเขา
16. ใครก็ตามที่หันหลังให้พวกศัตรูในตอนนั้น ยกเว้นกรณีถอยทางยุทธวิธีหรือเพื่อไปสมทบกับกำลังของผู้ศรัทธาอีกกลุ่มหนึ่ง คนผู้นั้นได้ทำให้อัลเลาะฮฺทรงกริ้ว นรกจะเป็นที่พำนักของเขา เป็นปลายทางอันเลวร้ายที่สุดสำหรับเขา
17. ดังนั้นความจริงก็คือสูเจ้ามไม่ได้ฆ่าพวกเขา แต่อัลลอฮฺต่างหากที่ทรงฆ่าพวกเขาและสูเจ้าไม่ได้ขว้าง(ทราย)แต่อัลลอฮฺต่างหากที่ทรงขว้างมัน (และมือของบรรดาผู้ศรัทธาได้ถูกใช้เพื่องานนี้) เพื่อที่ว่าอัลลอฮฺจะได้ให้บรรดาผู้ศรัทธาผ่านการทดสอบอันดีเยี่ยมนี้อย่างประสบผลสำเร็จ แท้จริงอัลลอฮิเป็นผู้ทรงได้ยินและผู้ทรงรอบรู้
18. นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงทำกับสูเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ปฏิเสธ แน่นอน อัลลอฮฺทรงขัดขวางแผนการชั่วร้ายของผู้ปฏิเสธ
19. (จงกล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธว่า) “ถ้าหากสูเจ้าขอการตัดสิน การตัดสินก็มาอยู่ต่อหน้าสูเจ้าแล้ว มันเป็นการดีที่สุดสำหรับสูเจ้าที่จะเลิกมันเสียเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าหากสูเจ้ากลับไปทำสิ่งโง่ ๆ นี้อีก เราก็จะกลับมาลงโทษสูเจ้าอีก และกองกำลังของสูเจ้าไม่ว่าจะมีจำนวนมากเท่าไหร่ มันก็จะไม่อาจช่วยอะไรสูเจ้าได้เลย เพราะอัลลอฮฺทรงอยู่กับบรรดาผู้ศรัทธา”


คำแปล R4.
15. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย  เมื่อพวกเจ้าพบบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาเคลื่อนมา พวกเจ้าจงอย่าหันหลังหนีพวกเขา
16. และใครที่หันหลังของเขาหนีพวกเขาในวันนั้น ยกเว้นผู้ที่เปลี่ยนที่เพื่อทำการสู้รบหรือผู้ที่ไปร่วมกับอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แน่นอนเขาย่อมนำความกริ้วโกรธจากอัลลอฮฺกลับไป และที่อยู่ของเขานั้นคือญะฮันนัม และเป็นที่กลับไปที่เลวร้าย
17. พวกเจ้ามิได้ฆ่าพวกเขา แต่ทว่า อัลลอฮฺต่างหากที่ทรงฆ่าพวกเขา และเจ้ามิได้ขว้างดอก ขณะที่เจ้าขว้าง แต่ทว่าอัลลอฮฺต่างหากที่ขว้างและเพื่อว่าพระองค์จะทรงทดสอบบรรดาผู้ศรัทธาอย่างดีงามจากพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงได้ยินทรงรอบรู้
18. นั่นแหละ และแท้จริงอัลลอฮฺนั้น คือผู้ทำให้อ่อนแอ ซึ่งอุบายของผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
19. หากพวกเจ้าขอให้มีการชี้ขาด แน่นอนการชี้ขาดนั้นก็ได้มายังพวกเจ้าแล้ว และถ้าหากพวกเจ้าหยุดยั้ง มันก็เป็นการดีแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้ากลับ (ทำการรุกรานอีก) เราก็จะกลับ (ช่วยเหลือให้พวกเจ้าแพ้อีก) พรรคพวกของเจ้านั้นไม่สามารถที่จะอำนวยประโยชน์ย่างใดให้แก่พวกเจ้าได้เลย และแม้ว่าพวกเขาจะมากมายก็ตามและแท้จริงอัลลอฮฺนั้น อยู่ร่วมกับผู้ศรัทธาทั้งหลาย


คำแปล R5.
๑๕. โอ้บรรดาชนผู้ศรัทธา(มุอ์มิน) เมื่อใดพวกเจ้าได้พบปะกับบรรดาชนกาฟิรเป็นกลุ่ม พวกเจ้าอย่าได้หันหลังหนีกาฟิรเหล่านั้นเป็นการยอมแพ้เลย
๑๖. ถ้าแหละผู้ใดในตอนที่พบปะกับพวกกาฟิร นั้น ได้หันหลังหนีพวกมันโดยที่จำนวนกาฟิรก็ไม่มากกว่าพวกเจ้าเท่าตัว ยกเว้นการหนีแบบกลยุทธเพื่อการโรมรันหรือหันหลังหนีกลับไปสมทบพวกกับผู้ที่เป็นมุอ์มินด้วยกัน ผู้นั้นย่อมคืนกลับไปสู่ปรภพโดยความกริ้วจากอัลเลาะห์แน่นอนทีเดียว ส่วนที่พำนักอาศัยของเขาคือนรกยะฮันนำ และนรกยะฮันนำขุมนี้เป็นที่กลับไปสู่อันชั่วเลวนัก
๑๗. ลำพังฤทธิ์เดชของพวกเจ้าหาได้ฆ่าฟันพวกกาฟิรเหล่านั้นในตอนสงครามที่บัดร์ได้ไม่ อัลเลาะห์ต่างหากเล่าที่ทรงฆ่าพวกนั้นโดยวิธีทรงช่วยเหลือพวกเจ้า และโอ้มุฮำมัด เมื่อเจ้ากอบทรายมากำหนึ่งจะขว้าง เจ้าขว้าง ทรายนั้นเพียงหนึ่งกำไปเข้าตาพวกทหารกาฟิรมีจำนวนตั้งมากมายได้ก็เปล่า อัลเลาะห์ต่างหากที่ทรงขว้างโดยให้ทรายหนึ่งกำในมือของเจ้ากระจายไปเข้าตาทหารกาฟิรจำนวนมากมาย เพื่อที่พระองค์จะทรงให้พวกผู้ศรัทธา(มุอ์มิน) ได้ส่วนแบ่งที่พอใจจากส่วนแห่งทรัพย์เชลยนั้นด้วย และที่พระองค์ได้ทรงฆ่าก็ดีและทรงขว้างพวกกาฟิรข้าศึกด้วยทรายก็ดีเพื่อให้พวกกาฟิรต้องพ่ายแพ้ไป เพราะแท้จริงอัลเลาะห์เป็นองค์ได้ยินยิ่งซึ่งถ้อยคำของพวกนั้น ทรงรู้ยิ่งในอากัปกิริยาของพวกนั้น
๑๘. การมอบให้ดังกล่าวก็เป็นความจริงเช่นนี้แหละ และว่าแท้จริงอัลเลาะห์ทรงเป็นผู้ยังความอ่อนแอแก่อุบายของพวกชนกาฟิร
๑๙. โอ้ปวงชนกาฟิรชาวนครมักกะห์หากว่าพวกเจ้าเรียกร้องจากอัลเลาะห์ให้ทรงตัดสินระหว่างมุฮำมัดกับพวกท่านในเรื่องที่อะบูยะฮัลซึ่งเป็นผู้หนึ่งในหมู่ของพวกเจ้าเคยแช่งไว้ว่า โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งข้าใครก็ตามที่เป็นผู้ตัดสัมพันธ์ญาติยิ่ง และใครก็ตามที่นำศาสนาซึ่งเราไม่เคยรู้จักมาก่อน ขอให้พระองค์ทรงทำลายผู้นั้นเสีย เมื่อพวกเจ้าเรียกร้องเช่นนี้แล้วแน่นอนการตัดสินก็จะมีมาสู่พวกเจ้าด้วยให้มีความเสียหายแก่ผู้ซึ่งตัดสัมพันธ์ญาติและที่นำศาสนามาให้ ซึ่งที่แท้จริงแล้ว ผู้นั้นก็คืออะบูยะฮัลกับพรรคพวกถูกฆ่ารวมกันในสงครามที่ทุ่งบัดร์นั้นเอง หาใช่พระนบีมุฮำมัดและพวกมุอ์มินไม่ ที่ประสบความเสียหาย แล้วถ้าพวกเจ้ายับยั้งจากการไม่ยอมศรัทธา และการทำศึกได้แล้วไซร้ก็จะเป็นการดียิ่งสำหรับพวกเจ้า แต่ถ้าพวกเจ้าหันกลับมาจะทำศึกกับพระนบีมุฮำมัดอีก เรา(อัลเลาะห์)จะหันกลับมาช่วยเหลือมุฮำมัดให้ได้ชัยชนะพวกเจ้าด้วย ทั้งพรรคพวกของพวกเจ้าไม่สามารถพอจะป้องกันได้แม้สักนิดเดียว ถึงพรรคพวกของพวกเจ้าจะมีมากมายก็ตาม แหละว่าที่แท้จริงการดังกล่าวนั้น อัลเลาะห์ทรงเป็นผู้ช่วยฝ่ายผู้ศรัทธา


ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด

ญะซากัลลอฮุ ค็อยรอน
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 20 - 23


คำอ่าน
20. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อะฏีอุลลอฮะวะเราสูละฮู วะลาตะวัลเลาอันฮุ วะอัน..ตุมตัสมะอูน
21. วะลาตะกูนูกัลป์ละซีนะ กอลูสะมิอฺนา วะฮุมลายัสมะอูน
22. อิน..นะชัรฺร็อดดะวา..บบิอิน..ดัลลอฮิศศุม..มุลบุกมุลละซีนะ ลายะอฺกิลูน
23. วะเลาอะลิมัลลอฮุฟีฮิม ค็อยร็อล ละอัสมะอุฮุม วะเลาอัสมะอะฮุม ละตะวัลเลา วะฮุม..มุอฺริฎูน


คำแปล R1.
20. O you who believe! Obey Allah and his Messenger, and turn not away from him (i.e. Messenger Muhammad) while you are hearing.
21. And be not like those who say: "We have heard," but they hear not.
22. Verily! The worst of (moving) living creatures with Allah are the deaf and the dumb, those who understand not (i.e. the disbelievers).
23. Had Allah known of any good in them, He would indeed have made them listen, and even if He had made them listen, they would but have turned away, averse (to the truth).


คำแปล R2.
20. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าจงภักดีอัลเลาะฮฺและศษสนทูตของพระองค์ และพวกเจ้าอย่าหันหลังให้เขา(ศาสนทูต) ขณะเมื่อพวกเจ้าได้ยิน(การประกาศอัลกุรอานจากเขา)
21. และพวกเจ้าอย่าเป็นเช่นบรรดา(พวกกาฟิรหรือมุนาฟิก)ที่กล่าวว่า “เราฟัง” ทั้ง ๆ ที่พวกนั้นหาได้ฟังไม่
22. แท้จริง สัตว์ที่เลวที่สุด ณ อัลเลาะฮฺ คือคนที่หูหนวก ที่เป็นใบ้ ซึ่งเป็นพวกที่ไม่ใช้ปัญญาคิดเลย
23. และหากแม้นอัลเลาะฮฺทรงรู้ว่ามีสิ่งดีงามในพวกนั้น แน่นอนพระองค์ก็ทรงทำให้พวกเขาได้ยิน แน่นอนพวกเขาก็ยังคงหันเหและผินหลังให้อย่างเดิม


คำแปล R3.
20. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเชื่อฟังอัลลอฮิและรอซูลของพระองค์และจงอย่าหันไปจากเขาหลังจากที่ได้ยินเขาแล้ว
21. และจงอย่าเป็นเหมือนบรรดาผู้ที่กล่าวว่า “เราได้ยินแล้ว” แต่พวกเขาหาได้ฟังไม่
22. เพราะบรรดาสัตว์ที่ชั่วร้ายที่สุดในสายตาของอัลลอฮฺคือคนที่หูหนวกเป็นใบ้ คือบรรดาผู้ไม่ใช้สติปัญญา
23. ถ้าหากว่าอัลลอฮฺรู้ถึงความดีใด ๆ ในพวกเขา แน่นอนพระองค์ก็จะทรงทำให้พวกเขาได้ยิน แต่ถ้าหากพระองค์ได้ทรงทำให้พวกเขาได้ยิน(โดยไม่เห็นความดีใด ๆ ในพวกเขา)พวกเขาก็อาจจะหันไปจากสัจธรรมด้วยความรังเกียจ


คำแปล R4.
20. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าได้ผินหลังให้แก่เขาขณะที่พวกเจ้าฟังกันอยู่
21. และพวกเจ้าจงอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ที่กล่าวว่า พวกเราได้ยินแล้ว ในขณะเดียวกับพวกเขาหาได้ยินไม่
22. แท้จริงสัตว์ที่ชั่วร้ายยิ่ง ณ อัลลอฮฺนั้น คือ ที่หูหนวกที่เป็นใบ้ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ใช้ปัญญา
23. และหากอัลลอฮฺทรงรู้ว่าในตัวพวกเขานั้นมีความดี แน่นอนก็จะทรงให้พวกเขาได้ยินและหากพระองค์ทรงให้พวกเขาได้ยินแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ผินหลังให้ โดยที่พวกเขานั้นเป็นผู้ผินหลังให้อยู่แล้ว


คำแปล R5.
๒๐. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาพวกเจ้าจงน้อมภักดีต่ออัลเลาะห์และ มุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์และพวกเจ้าอย่าได้เหห่างจากพระองค์ด้วยการขัดแย้งคำใช้และคำห้ามของพระองค์ ทั้งที่พวกเจ้าเองก็กำลังสดับฟังพระคัมภีร์อัล-กุรอานและคำขู่เตือนจากอัล-กุรอานกันอยู่
๒๑. และพวกเจ้าอย่าได้เป็นเช่นบรรดามุนาฟิกีนและมุชริกผู้ซึ่งพูดว่าพวกเราสดับฟังอยู่ แต่ที่แท้พวกนั้นทั้งมุนาฟิกและมุชริกหาได้สดับฟังอย่างพินิจพิเคราะห์และเคารพต่อคำขู่เตือนไม่
๒๒. แท้จริงปวงสัตว์อันได้แก่มนุษย์ที่เลวโดยเฉพาะอับดุลด๊ารบุตรกุซอยย์ในทัศนะแห่งอัลเลาะนั้นคือพวกไม่เชื่อฟังที่เปรียบเทียบกับพวกหูหนวกและพวกไม่พูดเป็นสัจจริงที่เปรียบได้กับใบ้ ซึ่งพวกเหล่านั้นมิได้ใช้สติปัญญากันเลย
๒๓. และถ้าแม้นว่าอัลเลาะห์ทรงรู้ถึงส่วนดีในหมู่ของพวกนั้น โดยพวกนั้นเชื่อฟังความจริงแล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงให้พวกนั้นฟังอย่างเข้าใจ แต่ถ้าสมมติว่าพระองค์ทรงให้พวกนั้นได้ฟังอย่างมีความเข้าใจทั้งที่พระองค์ก็ทรงรู้อยู่ว่าไม่มีส่วนดีในพวกนั้นแล้วไซร้ แน่นอนพวกนั้นย่อมจะให้หลัง ไม่นำพาซึ่งความจริงนั้น ทั้งนี้เพราะเหตุเป็นปรปักษ์และปฏิเสธความจริงนั้น


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 24 - 26


คำอ่าน
24. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนุสตะญีบูลิลลาฮิ วะลิรฺเราะสูลิ อิซาดะอากุม ลิมยุหฺยีกุม วะอฺละมู..อัน..นัลลอฮะ ยะหูลุบัยนัลมัรฺอิ วะก็อลบิฮี วะอัน..นะฮู..อิลัยฮิตุหฺชะรูน
25. วัตตะกูฟิตนะตัล ลาตุศีบัน..นัลละซีนะ เซาะละมูสิน..กุม คอ...ศเศาะฮฺ วะอฺละมูอัน..นัลลอฮะชะดีดุลอิกอบ
26. วัซกุรู..อิซอัน..ตุมเกาะลีลุม..มุสตัฎอะฟูนะ ฟิลอัรฺฎิ ตะคอฟูนะ อัย..ยะตะค็อฏเฏาะฟะกุมุน..นาสุ ฟะอาวากุม วะอัยยะดะกุม..บินัศริฮี วะเราะซะเกาะกุม..มินัฏฏ็อยยิบาติ ละอัละกุมตัชกุรูน


คำแปล R1.
24. O you who believe! Answer Allah (by obeying Him) and (His) Messenger when he calls you to that which will give you life, and know that Allah comes in between a person and his heart (i.e. He prevents an evil person to decide anything). And verily to Him you shall (all) be gathered.
25. And fear the Fitnah (affliction and trial, etc.) which affects not in particular (only) those of you who do wrong (but it may afflict all the good and the bad people), and know that Allah is severe in punishment.
26. And remember when you were few and were reckoned weak in the land, and were afraid that men might kidnap you, but He provided a safe place for you, strengthened you with his help, and provided you with good things so that you might be grateful.


คำแปล R2.
24. โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าจงสนองตอบ(คำบัญชาของ)อัลเลาะฮฺและศาสนทูตเถิด เมื่อทรงเรียกร้องพวกเจ้าเพื่อสิ่งที่จะฟื้นฟูชีวิตของพวกเจ้า (ให้เจริญก้าวหน้าขึ้น) และพวกเจ้าพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงแทรกอยู่ระหว่างบุคคลกับจิตใจของเขา และแท้จริงพวกเจ้าจะต้องถูกรวบรวมกลับไปสู่พระองค์
25. และเจ้าทั้งหลายจงระมัดระวังการทดสอบซึ่งจะไม่ประสบแก่พวกฉ้อฉลจากพวกเจ้า(แต่เพียงกลุ่มเดียว)โดยเฉพาะ (แต่ผู้อยู่ในสังคมเดียวกับพวกนั้นก็ต้องประสบด้วย) และพวกเจ้าจงทราบเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงลงโทษอย่างร้ายแรงยิ่งนัก
26. และพวกเจ้าจงระลึกเถิด เมื่อครั้งพวกเจ้ามีจำนวนคนเพียงน้อยนิด ซึ่งล้วนเป็นพวกอ่อนแอในแผ่นดิน พวกเจ้ากลัวว่ามนุษย์ทั้งหลายจะโฉบเฉี่ยวพวกเจ้าไป(เป็นเชลยและขับออกจากบ้านเมือง) แล้วพระองค์ก็ทรงบันดาลถิ่นฐานอันมั่นคงแก่พวกเจ้า ด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ และพระองค์ทรงประทานโชคผลแก่พวกเจ้า จากบรรดาสิ่งที่ดี เพื่อพวกเจ้าจะได้กตัญญู


คำแปล R3.
24. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงตอบสนองการเรียกร้องของอัลลอฮิและรอซูลเมื่อเขาเรียกสูเจ้าไปยังสิ่งที่ให้ชีวิตแก่สูเจ้า และจงรู้เถิดว่าอัลลอฮฺทรงยืนอยู่ระหว่างมนุษย์และหัวใจของเขา และยังพระองค์ที่สูเจ้าจะถูกนำกลับไปรวมกัน
25. และจงระวังสิ่งเลวร้ายที่มิเพียงแต่จะนำการลงโทษมาสู่ผู้กระทำสิ่งเลวร้ายในหมู่สูเจ้าเป็นการเฉพาะเท่านั้น และจงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเฉียบขาดในการลงโทษ
26. และจงนึกถึงเมื่อตอนที่สูเจ้ายังมีจำนวนน้อยและเป็นผู้อ่อนแอในแผ่นดินและกลัวว่าผู้คนจะกำจัดสูเจ้า แล้วอัลลอฮฺได้ทรงจัดหาสถานที่พักพิงให้แก่สูเจ้า ทรงทำให้สูเจ้าเข้มแข็งด้วยการช่วยเหลือของพระองค์และทรงประทานปัจจัยยังชีพที่ดีแก่สูเจ้าเพื่อที่สูเจ้าจะได้ขอบคุณ


คำแปล R4.
24. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงตอบรับอัลลอฮฺ และรอซูลเถิด เมื่อเขาได้เชิญชวนพวกเจ้าสู่สิ่งที่ทำให้พวกเจ้ามีชีวิตชีวาขึ้น และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะทรงกั้นระหว่างบุคคลกับหัวใจของเขา และแท้จริงยังพระองค์นั้นพวกเจ้าจะถูกนำกลับไปชุมนุม
25. และพวกเจ้าจงระวังการลงโทษซึ่งมันจะไม่ประสบแก่บรรดาผู้อธรรมในหมู่พวกเจ้าโดยเฉพาะเท่านั้น และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้น เป็นผู้รุนแรงในการลงโทษ
26. และพวกเจ้าจงรำลึก ขณะที่พวกเจ้ามีจำนวนน้อยซึ่งเป็นผู้อ่อนแอในแผ่นดินโดยที่พวกเจ้ากลัวว่าผู้คนจะโฉบเฉี่ยวพวกเจ้าไปแล้วพระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้ามีที่พักพิง และได้ทรงสนับสนุนพวกเจ้าด้วยการช่วยเหลือของพระองค์และได้ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าจากสิ่งที่ดี ๆ ทั้งหลาย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ขอบคุณ


คำแปล R5.
๒๔. โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงตอบรับต่ออัลเลาะห์และพระศาสนทูตมุฮำมัด ว่าจะเจริญรอยตามและเคารพคำบัญชาใช้และห้ามของพระองค์และพระศาสนทูตของพระองค์เถิดในเมื่อเขา(มุฮำมัด) ได้เรียกร้องพวกเจ้าไปสู่กิจการของศาสนา เช่น ความศรัทธาเป็นต้นอันจะเป็นผลที่ทำให้พวกเจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้มีชีวิตชีวาอยู่ทั้งในโลกนี้และในปรโลก แต่ถ้าหากพวกเจ้าไม่ตอบรับคำดังกล่าวพวกเจ้าย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ขาดชีวิตชีวาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และพวกเจ้าจงทราบด้วยเถิดว่า แท้จริงพลานุภาพของอัลเลาะห์ทรงใกล้ชิดอยู่ท่ามกลางคน ๆ หนึ่งกับหัวใจของเขา เขานั้นไม่สามารถที่จะศรัทธาหรือไม่ศรัทธาได้ เว้นแต่ด้วยความมุ่งประสงค์ของพระองค์เท่านั้น แหละแท้จริงพวกเจ้าจะถูกให้ออกจากหลุมสุสานไปรวมกันยังการสอบสวนของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงสนองผลกรรมแก่พวกเจ้าตามที่ได้ประพฤติปฏิบัติกันไว้
๒๕. และพวกเจ้าจงหวั่นเกรงความวิบัติในภาคภพนี้เถิด ซึ่งถ้าความวิบัติจะมาประสบกับพวกเจ้าก็จะไม่ประสบกับบรรดาผู้คดโกงในหมู่ของพวกเจ้าโดยเฉพาะ แต่จะต้องประสบกับพวกนั้นและพวกเจ้าด้วย ดังนั้นการจะป้องกันการวิบัติก็ต้องโดยวิธีปฏิเสธมูลแห่งความวิบัติคือความชั่วทั้งปวง ทั้งพวกเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงเข้มงวดในการลงโทษยิ่งนักแก่ผู้ที่ขัดแย้งกับพระองค์
๒๖. โอ้มุฮำมัดและบรรดาชนผู้อพยพไปยังนครมดีนะห์ พวกเจ้าจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ที่มีต่อพวกเจ้าโดยที่ได้ทรงคุ้มรักษาพวกเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของปวงศัตรูและให้พวกเจ้าได้เข้าพักอาศัย ณ นครมดีนะห์ ในตอนที่พวกเจ้ายังมีจำนวนพลน้อยและยังอ่อนแออยู่ ซึ่งพวกเจ้าถูกพวกอาหรับเผ่ากุรอยช์ข่มอยู่ใต้อำนาจ ณ แผ่นดินแห่งนครมักกะห์ พวกเจ้าเกรงอิทธิพลของปวงชนชาวมักกะห์จะลอบทำร้ายพวกเจ้าโดยการจู่โจมอย่างเร็วไว แต่พระองค์ก็ได้ทรงให้พวกเจ้ามีที่อยู่อาศัย ณ นครมดีนะห์ ทั้งได้ทรงสนับสนุนพวกเจ้าให้เกิดความเข้มแข็งด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ในครั้งที่ทำสงครามที่สมรภูมิบัดร์ โดยพระองค์ส่งมวลมลาอิกะห์มาสมทบและทรงให้พวกเจ้าได้รับสิ่งที่ดีอันได้แก่ทรัพย์เชลยอีกด้วย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ขอบพระคุณในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 27 - 29

 

คำอ่าน
27. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู ลาตะคูนุลลอฮะ วัรฺเราะสูละ วะตะคูนู..อะมานาติกุม วะอัน..ตุมตะอฺละมูน
28. วะอฺละมู..อัน..นะมา..อัมวาละกุม วะเอาลาดุกุม ฟิตนะตู..วะอัน..นัลลอฮะอิน..ดะฮู..อัจญรุนอะซีม
29. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนู..อิน..ตัตตะกุลลอฮะ ยัจญอัลละกุม ฟุรฺกอเนา..วะยุกัฟฟิรฺอัน..กุม..สัยยิอาติกุม วะยัฆฟิรฺละกุม วัลลอฮุ ซุลฟัฎลิลอะซีม


คำแปล R1.
27. O you who believe! Betray not Allah and His Messenger, nor betray knowingly your Amanat (things entrusted to you, and all the duties which Allah has ordained for you).
28. And know that your possessions and your children are but a trial and that surely with Allฟh is a mighty reward.
29. O ou who believe! If you obey and fear Allah, He will grant you Furqan a criterion [(to judge between right and wrong), or (Makhraj, i.e. making a way for you to get out from every difficulty)], and will expiate for you your sins, and forgive you, and Allah is the Owner of the great Bounty.


คำแปล R2.
27. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! พวกเจ้าอย่าบิดพลิ้วต่ออัลเลาะฮฺและศาสนทูต และอย่าบิดพลิ้วต่อความไว้วางใจ(ที่ผู้อื่นมอบแก่)พวกเจ้า ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าก็รู้ดี
28. และพวกเจ้าจงทราบเถิด อันที่จริงแล้วทรัพย์สินของพวกเจ้าและลูก ๆ ของพวกเจ้านั้นเป็นข้อทดสอบเท่านั้น และแท้จริงอัลเลาะฮฺ ณ ที่พระองค์นั้น มีรางวัลอันยิ่งใหญ่นัก
29. โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! หากพวกเจ้ายำเกรงอัลเลาะฮฺ พระองค์จะทรงประทานเครื่องจำแนก(ระหว่างสิ่งดีกับสิ่งเลว)ระหว่างพวกเจ้า และทรงนิรโทษจากพวกเจ้า ซึ่งความผิดต่าง ๆ ของพวกเจ้า และทรงให้อภัยแก่พวกเจ้า และอัลเลาะฮฺทรงไว้ซึ่งความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่


คำแปล R3.
27. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่าทรยศต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และจงอย่าละเมิดต่อสิ่งที่สูเจ้าได้รับมอบหมายทั้ง ๆ ที่รู้
28. และจงรู้ไว้เถิดว่า สมบัติของสูเจ้าและลูก ๆ ของสูเจ้านั้น ความจริงแล้วเป็นการทดสอบสำหรับสูเจ้า และอัลลอฮฺทรงมีรางวัลอันมากมายที่จะให้แก่สูเจ้า
29. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ถ้าสูเจ้ายำเกรงต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงประทานเกณฑ์ตัดสินให้แก่สูเจ้า และจะทรงลบล้างสูเจ้าให้สะอาดจากความผิด และจะทรงอภัยความบกพร่องของสูเจ้า และอัลลอฮฺทรงเป็นเจ้าแห่งความโปรดปรานอันใหญ่หลวง

 
คำแปล R4.
27. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่าทุจริต ต่ออัลลอฮฺ และรอซูล และจงอย่าทุจริตต่อบรรดาของฝากของพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้ารู้กันอยู่
28. และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงทรัพย์สินของพวกเจ้า และลูก ๆ ของพวกเจ้านั้น เป็นสิ่งทดสอบชนิดหนึ่งเท่านั้น และแท้จริงอัลลอฮฺนั้น ณ พระองค์มีรางวัลอันใหญ่หลวง
29. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! หากพวกเจ้ายำเกรงอัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงให้มีแก่พวกเจ้าซึ่งสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงและความเท็จและจะทรงลบล้างบรรดาความผิดของพวกเจ้าออกจากพวกเจ้าและจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเจ้าด้วยและอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงมีบุญคุณอันใหญ่หลวง


คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ เพราะความทุจริตของอบุลุบาบะห์ มัรวาน บุตรมุนซิร กล่าวคือองค์พระศาสดามุฮำมัด ซล. ได้ส่งเขาไปเป็นตัวแทนยังเผ่าก็รีเฎาะห์ ซึ่งกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขันด้วยถูกกองทัพฝ่ายพระนบีตีวงล้อมไว้นานถึง ๒๕ คืนเพื่อให้พวกนั้นยอมจำนนตามคำตัดสินของพระนบีพวกก็รีเฎาะห์จึงขอปรึกษากับอบูลุบาบะห์ฯ ฝ่ายอะบูลุบาบะห์ฯก็กล่าวเป็นนัยว่าในกาลข้างหน้าเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหมดจะต้องถูกฆ่า ทรัพย์สินจะถูกแบ่งปันส่วนพวกภรรยาและลูกหลานก็จะถูกจับเป็นเชลย อบูลุบาบะห์ฯหาได้ตัดสินเด็ดขาดแต่ประการใดไม่ นับว่าอบูลุบาบะห์ทำการทุจริตที่ไม่กลับไปรายงานให้พระนบีได้ทราบ ซ้ำร้ายกับหลบเลี่ยงไปเสียที่อื่นจนกระทั่งถูกจับตัวได้แล้วนำมาล่ามโซ่ติดไว้กับเสามัสยิดแห่งนครมดีนะห์ ๑๐ กว่าคืน ต่อแต่นั้นพระศาสดามุฮำมัด ซล. จึงได้ส่งสะอั๊ดบุตรมะอ๊าซเป็นตัวแทนไปอีกเพื่อให้ทำการตัดสินโดยเด็ดขาดเหมือนกับที่อบูลุบาบะห์ฯพูดเป็นในไว้
   การที่พระนบีฯ ส่งอบูลุบาบะห์ฯเป็นตัวแทนไปครั้งแรกนั้นก็เพราะเห็นว่าครอบครัวและทรัพย์สินของอบูลุบาบะห์ฯ อยู่ในหมู่ของพวกก็รีเฎาะห์ แต่การส่งสะอั๊ดบุตรมะอ๊าซเป็นตัวแทนไปครั้งสองก็เพราะว่าผู้นี้มีความสัมพันธ์คุ้นเคยกับพวกก็รีเฎาะห์อยู่

๒๗. โอ้บรรดาชนผู้ศรัทธา พวกเจ้าอย่าได้ทุจริตต่ออัลเลาะห์และมุฮำมัดพระศาสนทูตของพระองค์เลย และอย่าได้ทุจริตในความรับผิดชอบของพวกเจ้าในศาสนาและอื่น ๆ ซึ่งพวกเจ้าได้รับความไว้วางใจ ทั้งที่พวกเจ้าก็ทราบดีว่า สิ่งที่พวกเจ้ากระทำนั้นเป็นการทุจริต
๒๘. และพวกเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า บรรดาทรัพย์สมบัติของพวกเจ้า และบรรดาลูกเต้าของพวกเจ้านั้นเป็นสิ่งกวนใจพวกเจ้าทั้งนั้น ซึ่งสิ่งทั้งปวงนี้มันจะยังพวกเจ้าให้ระงับและเหห่างกิจการเพื่อวันภพหน้า และจงรู้เถิดว่า ที่อัลเลาะห์นั้นย่อมมีบุญกุศลที่ใหญ่หลวง ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้พลาดกุศลนั้นเลย ด้วยเหตุที่ต้องเป็นกังวลอยู่กับทรัพย์สินและลูกเต้าของพวกเจ้าเอง ความทุจริตที่ได้ห้ามดังกล่าวนี้ ก็เพราะทรัพย์สินและลูกหลานเหล่านี้เองเป็นเหตุ โองการต่อไปนี้ประทานลงมาเกี่ยวกับการสารภาพผิด(เตาบะห์)ของอบูลุบาบะห์ มัรวาน บุตร มุนซิร หลังจากถูกล่ามโซ่ติดกับเสาร์มัสยิดอยู่สิบกว่าคืน
๒๙. โอ้บรรดาชนผู้ศรัทธา ถ้าแม้นพวกเจ้ายำเกรงอัลเลาะห์โดยเลิกจากการประพฤติบาปและอื่น ๆ เช่นมีความเกรงกลัวการลงโทษจากพระองค์เป็นต้น แน่นอนพระองค์จะทรงให้พวกเจ้ารอดพ้นจากสิ่งที่พวกเจ้ากลัวได้ จะทรงกำจัดความชั่วช้าให้พ้นพวกเจ้า และทรงอภัยโทษแก่พวกเจ้า และว่าอัลเลาะห์นั้นคือพระผู้กรุณาที่ใหญ่ไพศาล


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 30 - 32


คำอ่าน
30. วะอิซยัมกุรุบิกัลละซีนะกะฟะรู ลิยุษบิตูกะ เอายักตุลูกะ เอายุคริญูกะ วะยัมกุรูนะ วะยัมกุรุลลอฮฺ วัลลอฮุค็อยรุลมากิรีน
31. วะอิซตุตลาอะลัยฮิม อายาตุนา กอลูก็อดสะมิอฺนา เลานะชา...อุ ละกุลนามิษละฮาซา..อินฮาซา..อิลลา..อะสาฏีรุลเอาวะลีน
32. วะอิซกอลุลลอฮุม..มะ อิน..กานะฮาซา ฮุวัลหักเกาะ มินอิน..ดิกะ ฟะอัมฏิรฺอะลัยนา หิญาเราะตัม..มินัสสะมา...อิ อะวิอ์ตินาบิอะซาบินอะลีม


คำแปล R1.
30. And (remember) when the disbelievers plotted against you (O Muhammad) to imprison you, or to kill you, or to get you out (from your home, i.e. Makkah); they were plotting and Allah too was planning, and Allah is the best of the planners.
31. And when Our Verses (of the Qur'an) are recited to them, they say: "We have heard this (the Qur'an); if we wish we can say the like of this. This is nothing but the tales of the ancients."
32. And (remember) when they said: "O Allah! if this (the Qur'an) is indeed the truth (revealed) from you, then rain down stones on us from the sky or bring on us a painful torment."


คำแปล R2.
30. และ(จงระลึกเถิด)เมื่อบรรดา(พวกมักกะฮฺ)ผู้เนรคุณได้วางแผนกับเจ้าเพื่อกักกันเจ้าไว้ หรือฆ่าเจ้าหรือขับเจ้าออก(จากบ้านเมือง) และพวกเขาวางแผนแต่อัลเลาะฮฺก็ทรงวางแผน(ด้วยเหมือนกัน) และอัลเลาะฮฺเป็นผู้ประเสริฐยิ่งแห่งบรรดาผู้วางแผนทั้งมวล
31. และเมื่อบรรดาโองการของอัลเลาะฮฺได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “เราเคยได้ยินมาแล้ว ถ้าเราประสงค์ เราก็กล่าวเช่นนี้(ได้เหมือนกัน) สิ่งนี้(อัลกุรอาน)มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นนิยายปรัมปราของบรรพชน”
32. และ(จงระลึกเถิด)เมื่อครั้งพวกเขากล่าวว่า โอ้อัลเลาะฮฺ หากแม้น(อัลกุรอาน)นี้ เป็นสัจธรรมจากพระองค์จริงแล้วไซร้ ก็ขอได้โปรดหลั่งฝนหินจากฟ้าลงมาใส่พวกเราซิ หรือมิฉะนั้นก็ส่งการลงโทษอันทรมานให้ประสบแก่พวกเราซิ


คำแปล R3.
30. มันเป็นการดีที่จะนึกถึงเมื่อตอนที่บรรดาผู้ปฏิเสธสัจธรรมวางแผนการต่อเจ้าเพื่อจับเจ้าไว้หรือฆ่าเจ้าหรือขับไล่เจ้า พวกเขาวางแผนของพวกเขาและอัลลอฮิก็วางแผนของพระองค์ และอัลลอฮฺทรงเป็นเลิศในบรรดาผู้วางแผนทั้งหลาย
31. เมื่ออายะฮฺทั้งหลายของเราได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาได้กล่าวว่า “พวกเราได้ยินแล้ว ถ้าพวกเราประสงค์พวกเราก็สามารถกล่าวเยี่ยงนี้ได้ เพราะนีร่ก็มิใช่อะไรนอกไปจากนิยายปรัมปราที่คนรุ่นก่อนได้เล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก”
32. และจงนึกถึงเมื่อตอนที่พวกเขากล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺ ถ้าหากนี่เป็นสัจธรรมที่ถูกส่งมาโดยพระองค์ ก็ขอจงโปรยหินจากฟากฟ้าลงมาบนพวกเราหรือส่งการทรมานอันเจ็บปวดอะไรก็ได้ลงมายังเรา”


คำแปล R4.
30. และจงรำลึกขณะที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาวางอุบายต่อเจ้า เพื่อกักขังเจ้าหรือฆ่าเจ้าหรือขับไล่เจ้าออกไปและพวกเขาวางอุบายกันและอัลลอฮฺก็ทรงวางอุบาย และอัลลออฮ์นั้นทรงเป็นผู้เยี่ยมกว่าในหมู่ผู้วางอุบาย
31. และเมื่อบรรดาโองการของเราถูกอ่านให้แก่พวกเขาฟัง พวกเขาก็กล่าวว่า เราได้ยินแล้วหากเราประสงค์ แน่นอนเราก็พูดเช่นนี้แล้ว สิ่งนี้ใช่อื่นใดไม่ นอกจากถ้อยคำที่ถูกขีดเขียนไว้ของคนก่อน ๆ เท่านั้น
32. และจงรำลึกขณะที่พวกเขากล่าวว่า ข้าแต่อัลลอฮฺหากปรากฏว่าสิ่งนี้ คือความจริงที่มาจากที่พระองค์แล้วไซร้ ก็โปรดได้ทรงให้หินจากฟากฟ้าตกลงมาดังฝนแก่พวกเราเถิด หรือไม่ก็โปรดทรงนำมาแก่เรา ซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ


คำแปล R5.
๓๐. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงระลึกถึงบุญคุณของข้าที่มีต่อเจ้าในตอนที่บรรดาคนกาฟิรได้วางแผนปองร้ายตัวเจ้าคือพวกกาฟิรเหล่านั้นได้เรียกประชุมเพื่อปรึกษาหารือกันในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวของเจ้า ณ สมาคมดารุล-นัดวะห์ เพื่อจะหาวิธีกักตัวเจ้าไว้หรือรุมกันสังหารตัวเจ้าพร้อม ๆ กันหรือช่วยกันเนรเทศเจ้าไปจากนครมักกะห์ แล้วพวกนั้นต่างก็ออกอุบายกันประทุษร้ายต่อเจ้า แต่อัลเลาะห์ทรงซ้อนอุบายขึ้นตอบสนองพวกนั้นโดยบริหารงานเกี่ยวกับตัวมุฮำมัดพร้อมด้วยพระองค์เองโดยได้ดลกระแสโองการให้มุฮำมัดรู้แผนของพวกนั้นล่วงหน้า พระองค์ทรงบัญชาสั่งว่า เจ้าจงรีบออกจากนครมักกะห์ไปยังนครมดีนะห์ ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นทรงรอบรู้แผนการต่าง ๆ ได้ดีเยี่ยมเหนือผู้มีกโลบายทั้งหลาย
๓๑. และเมื่อบรรดาโองการแห่งพระคัมภีร์อัล-กุรอานของเราได้ถูกอ่านขึ้นแก่พวกเหล่านั้น พวกนั้นก็กล่าวกันว่าพวกเราเคยฟังพระคัมภีร์เตารอตและพระคัมภีร์อินยีลเหมือนอย่างพระคัมภีร์อัลกุรอานมาแล้ว ถ้าพวกเรามุ่งหมายจะพูด พวกเราก็จะพูดอย่างกับอัล-กุรอานตัวจริงเล่มนี้ได้ ผู้ที่กล่าวนี้คือ นะฏ็อร บุตรอัลฮัรซ์ เขาผู้นี้เคยไปยังเมืองฮีเราะห์ (ตั้งอยู่ระหว่างเมืองนัจดี้กับเมืองกูฟะห์) เพื่อทำการค้าขาย เขาได้ซื้อหนังสือต่าง ๆ ว่าด้วยประวัติของชนนอกชาวอาหรับ(อะยัม)เช่น พวกรูม และพวกฟาริส(เปอร์เซีย)เป็นต้น และเขาได้นำเอาข่าวสารจากหนังสือนั้นมาเล่าให้ปวงชนชาวนครมักกะห์ฟังว่า พระคัมภีร์ อัล-กุรอานนี้มิใช่อื่นใดหากแต่เป็นนิยายโบราณที่เท็จของเหล่าบรรพบุรุษเท่านั้น
๓๒. และโอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรของเจ้าเถิดในตอนที่พวกกาฟิรเหล่านั้นพูดว่า ข้าแต่อัลเลาะห์ผู้เป็นเจ้าแห่งพวกเรา ถ้าแม้นว่าพระคัมภีร์อัล-กุรอานที่มุฮำมัดอ่านให้ฟังนี้เป็นของจริงอันถูกประทานลงมาจากฝ่ายพระองค์แล้วไซร้ขอพระองค์ได้โปรดหลั่งฝนหินจากฟากฟ้ามาทำลายพวกเรา ซึ่งฝนนี้มีเตรียมสำรองไว้สำหรับลงโทษทรมานพวกหนึ่งจากบรรดาผู้ทรยศ หรือจงนำเอาโทษทรมานที่เจ็บแสบลงมาแก่พวกเราทีเถิด เพื่อเป็นการตอบสนองการปฏิเสธพระคัมภีร์ อัล-กุรอานว่ามิได้มาจากพระองค์ ผู้ที่กล่าวนี้ได้แก่นะฏ็อรฯ ที่เขากล่าวขึ้นเพื่อประณามและดูถูกและเพื่อให้เข้าใจไขว้เขวว่าอัล-กุรอานนี้เป็นที่ประจักษ์ชี้แน่ชัดแก่ตาและแก่ใจว่าเป็นของเสียหาย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 33 - 35


คำอ่าน
33. วะมากานัลลอฮุ ลิยุอัซซิบะฮุม วะอัน..ตะฟีฮิม วะมากานัลลอฮุ มุอัซซิบะฮุม วะฮุมยัสตัฆฟิรูน
34. วะมาละฮุม อัลลา ยุอัซซิบะฮุมุลลอฮุ วะฮุมยะศุดดูนะ อะนิลมัสญิดิลหะรอมิ วะมากานู..เอาลิยา..อะฮู อินเอาลิยา...อุฮู อิลลัลมุตตะกูนะ วะลากิน..นะอักษะเราะฮุม ลายะอฺละมูน
35. วะมากานะเศาะลาตุฮุม อิน..ดัลบัยติ อิลลามุกา...เอา..วะตัศดิยะฮฺ ฟะซูกุลอะซาบะ บิมากุน..ตุมตักฟุรูน


คำแปล R1.
33. And Allah would not punish them while you (Muhammad) are amongst them, nor will He punish them while they seek (Allah's) forgiveness.
34. And why should not Allฟh Punish them while they stop (men) from Al-Masjid-al-Haram, and they are not its guardians? None can be its guardian except Al-Muttaqun (the pious - see V.2:2), but most of them know not.
35. Their Salat (prayer) at the House (of Allah, i.e. the Ka'bah at Makkah) was nothing but whistling and clapping of hands. Therefore taste the punishment because you used to disbelieve.


คำแปล R2.
33. และอัลเลาะฮฺไม่ทรง(ปรารถนา)จะลงโทษพวกเขา ในขณะที่ตัวของเจ้าอยู่ในกลุ่มพวกเขา และอัลเลาะฮฺจะไม่ลงโทษพวกเขา ขณะพวกเขาขออภัยโทษ
34. และพวกเขามี(ข้อแก้ตัว)อันใดบ้างเล่าที่อัลเลาะฮฺจะไม่ลงโทษพวกเขา? ทั้ง ๆ ที่พวกนั้นคอยขัดขวาง(คนมุสลิม)จากมัสยิดอัลหะรอม และพวกเขามิได้เป็นผู้ปกครองมัน( - มัสยิดอัลหะรอม - แต่ประการใด ๆ) ที่จริงไม่มีใครปกครองมันได้หรอก นอกจากบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น และแต่ทว่าพวกเขาส่วนมากไม่รู้
35. และการทำละหมาดของพวกเขา ณ บัยติลลาฮฺไม่(ได้ใช้วิธี)อื่นใดเลย นอกจากเป็นเพียงการส่งเสียงหวีดร้องและการปรบมือเท่านั้น ดังนั้น! พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษ เพราะเหตุที่พวกเจ้าได้เนรคุณเถิด


คำแปล R3.
33. ในเวลานั้น อัลลอฮฺยังไม่ทรงลงโทษพวกเขาในขณะที่เจ้ายังอยู่ท่ามกลางพวกเขา และอัลลอฮฺก็จะไม่ทรงลงโทษพวกเขาในขณะที่พวกเขาขอการอภัยโทษ
34. แต่ตอนนี้ไม่มีเหตุผลใดที่พระองค์จะไม่ทรงลงโทษพวกเขาในเมื่อพวกเขาขัดขวางทางไปสู่มัสยิดหะรอมในขณะที่พวกเขามิได้เป็นผู้ดูแลมัน แท้จริงแล้วผู้ที่มีความยำเกรงพระเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นผู้ดูแลมันโดยถูกต้อง แต่ว่าส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่รู้ถึงสิ่งนี้
35. และการทำศาสนพิธีของพวกเขาใกล้บ้านอัลลอฮฺนั้นมิใช่อะไรนอกไปจากการผิวปากและการปรบมือ ดังนั้นตอนนี้ก็จงรับการลงโทษและลิ้มรสการทรมานเป็นการตอบแทนสำหรับการที่สูเจ้าปฏิเสธสัจธรรม


คำแปล R4.
33. และพระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาขณะที่เจ้าอยู่ในพวกเขา และอัลลอฮฺจะไม่เป็นผู้ทรงลงโทษพวกเขาทั้ง ๆ ที่พวกเขาขออภัยโทษกัน
34. และมีอะไรแก่พวกเขากระนั้นหรือที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาทั้ง ๆ ที่พวกเขาขัดขวางมิให้เข้ามัสยิดิลฮะรอมและพวกเขาก็มิใช่เป็นผู้ปกครองมัสยิดนั้นด้วยบรรดาผู้ปกครองมัสยิดนั้นใช่ใครอื่นไม่นอกจากบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น แต่ทว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้
35. มิปรากฏว่า การละหมาดของพวกเขา ณ บ้านของอัลลอฮฺนั้นเป็นอย่างอื่น นอกจากการเป่าเสียงหวีด และการตบมือเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้า จงลิ้มการลงโทษเถิด เนื่องด้วยการที่พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธา


คำแปล R5.
๓๓. อัลเลาะห์ตรัสว่า อัลเลาะห์นั้นไม่ทรงมุ่งประสงค์เลยที่จะลงโทษพวกกาฟิรเหล่านั้นตามที่พวกนั้นขอไว้โดยมีเจ้าร่วมอยู่ด้วย กับพวกนั้น ณ แผ่นดินมักกะห์ เพราะแท้จริงความวิบัตินั้นเมื่อลงมาแล้วย่อมมีผลได้รับกันโดยทั่วถึง ทั้งคนดีและคนชั่ว ประชากรยุคหนึ่ง ๆ เราจะยังไม่ลงโทษทรมานจนกว่าพระศาสนทูตและปวงมุอ์มินหลีกพ้นไปจากพวกนั้นเสียก่อน แต่อัลเลาะห์จะไม่ทรงลงโทษพวกเหล่านั้นที่เป็นพวกกาฟิร โดยที่พวกกาฟิรนั้นขอประทานอภัยโทษต่อพระองในขณะที่เวียน(ตอว๊าฟ)รอบไบตุลเลาะห์
๓๔. โอ้มุฮำมัด หามิได้ที่อัลเลาะห์จะไม่ทรงลงโทษพวกกาฟิรเหล่านั้นด้วยดาบหลังจากที่เจ้าและบรรดาชนมุอ์มินผู้อ่อนกำลังอพยพลี้ภัยจากนครมักกะห์ไปแล้ว โองการนี้ถูกยกเลิกโดยโองการที่ ๓๓ แห่งซูเราะห์(บท)นี้ในส่วนที่มีความว่า “แต่อัลเลาะห์จะไม่ทรงลงโทษพวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรฯ” เพราะปรากฏว่าเคยมีการลงโทษพวกกาฟิรที่ตำบลบัดร์และที่อื่น ๆ โดยที่พวกกาฟิรเหล่านั้นกีดกันหวงห้ามพระศาสดามุฮำมัดและบรรดาชนมุอ์มินมิให้เข้าเวียนรอบไบตุลเลาะห์ ณ มัสยิดอัล-หะรอม ทั้ง ๆ ที่พวกกาฟิรเหล่านั้นมิได้เป็นคณะปกครอง ณ มัสยิดอัล-หะรอมแห่งนั้นเลยตามที่คิดกันเอาเอง อันที่จริงคณะผู้ปกครองที่แห่งนั้นมิใช่อื่นใดหากแต่เป็นพวกผู้ยำเกรงต่ออัลเลาะห์ แต่ทว่าพวกกาฟิรเหล่านั้นส่วนมากมิได้รู้เลยว่า แท้จริงในพวกตนนั้นไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะเข้าเป็นคณะผู้ปกครองสถานอัล-กะอ์บะห์แห่งนั้น
๓๕. การทำละหมาดก็ดี การอ่านพระคัมภีร์อัลกุรอานก็ดี ของพวกกาฟิรเหล่านั้น ณ ไบตุลเลาะห์นั้นเป็นแต่เพียงการผิวปากกับการปรบมือ ฉะนั้นพวกกาฟิรเอ๋ย พวกเจ้าจงลิ้มรสแห่งโทษทรมานกันเสียเถิดที่สมรภูมิบัดร์ ฐานที่พวกเจ้ามิได้เชื่ออัลเลาะห์และมำมัดพระศาสนทูตของพระองค์เลย


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 36 - 37


คำอ่าน
36. อิน..นัลละซีนะกะฟะรู ยุน..ฟิกูนะอัมวาลุฮุม ลิยะศุดดูอัน..สะบีลิลลาฮิ ฟะสะยุน..ฟิกูนะฮา ษุม..มะตะกูนุอะลัยฮิม หัสเราะตัน..ษุม..มะยุฆละบูน วัลละซีนะกะฟะรู..อิลาญะฮัน..นะมะ ยุหฺชะรูน
37. ลิยะมีซัลลอฮุลเคาะบีษะ มินัฏฏ็อยยิบิ วะยัจญอะลัลเคาะบีษะ บะอฺเฎาะฮู อะลาบะอฺฎิน..ฟะยัรฺกุมะฮูญะมีอัน..ฟะยัจญอะละฮุฟีญะฮัน..นะมะ อุลา...อิกะฮุมุลคอสิรูน


คำแปล R1.
36. Verily, those who disbelieve spend their wealth to hinder (men) from the Path of Allah, and so will they continue to spend it; but in the end it will become an anguish for them. Then they will be overcomed. And those who disbelieve will be gathered unto Hell.
37. In order that Allah may distinguish the wicked (disbelievers, polytheists and doers of evil deeds) from the good (believers of Islamic Monotheism and doers of righteous deeds), and put the wicked (disbelievers, polytheists and doers of evil deeds) one on another, heap them together and cast them into Hell. Those! It is they who are the losers.


คำแปล R2.
36. แท้จริงบรรดาผู้เนรคุณทำการใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาเพื่อขัดขวาง(ผู้คน)จากแนวทางของอัลเลาะฮฺและพวกเขาก็จะได้ใช้มันต่อไป แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็จะประสบกับความเศร้าตรม หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกพิชิต และบรรดาผู้เนรคุณจะต้องถูกต้อนให้ไปรวมยังนรก
37. เพื่ออัลเลาะฮฺจะได้จำแนกคนเลวออกจาคนดี และทรงบันดาลคนเลวให้กองทับถมซึ่งกันและกัน แล้วพระองค์ทรงรวมมันทั้งสิ้นจากนั้นก็ส่งตัวมันลงนรก พวกเหล่านั้นเป็นพวกที่ขาดทุนโดยแท้จริง


คำแปล R3.
36. บรรดาผู้ที่ปฏิเสธสัจธรรมนั้นใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาเพื่อขัดขวางทางของอัลลอฮฺ และจะใช้มันมากขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ แต่ในที่สุด ความพยายามเหล่านี้ของพวกเขาจะทำให้พวกเขาเสียใจ และพวกเขาจะถูกพิชิตและบรรดาผู้ปฏิเสธจะถูกรวบรวมและส่งไปยังนรก
37. ทั้งนี้เพื่อที่อัลลอฮฺจะได้จำแนกสิ่งเลวออกจากสิ่งดีและรวบรวมสิ่งเลวทุกชนิดเข้าไว้ด้วยกันแล้ว โยนมันทั้งกองลงไปในนรก คนเหล่านี้แหละ คือพวกที่ขาดทุน


คำแปล R4.
36. แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้น พวกเขาจะบริจาคทรัพย์สินของพวกเขา เพื่อขัดขวาง(ผู้คน) ให้ออกจากจากการงานของอัลลอฮฺ แล้วพวกเขาก็จะบริจาคมันต่อไป ภายหลังทรัพย์สินนั้นก็จะกลายเป็นความเสียใจแก่พวกเขา แล้วพวกเขาก็จะได้รับความปราชัยด้วย และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นพวกเขาจะถูกต้อนไปสู่นรกญะฮันนัม
37. เพื่อที่อัลลอฮฺจะทรงแยกคนเลวออกจากคนดีและจะทรงให้คนเลว ซึ่งบางส่วนของพวกเขาอยู่บนอีกบางส่วน โดยทรงสุมพวกเขาทั้งหมดไว้เป็นกอง แล้วพระองค์จะทรงให้พวกเขาอยู่ในนรกญะฮันนัม ชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ที่ขาดทุน”


คำแปล R5.
๓๖. แท้จริงบรรดาชนกาฟิรชาวนครมักกะห์ได้สละบรรดาทรัพย์สินของพวกเขาไปในการสู้รบกะบพระศาสดามุฮำมัดเพื่อกีดกันปวงชนมุอ์มินทั้งหลาย มิให้อยู่ในวิถีทางแห่งศาสนาของอัลเลาะห์ แล้วต่อไปพวกเขาก็ได้เสียสละทรพย์นั้นไปแล้ว ในที่สุดทรัพย์นั้นก็เป็นความเศร้าใจขึ้นแก่พวกเขา เพราะต้องสูญทรัพย์และความตั้งใจแล้วภายหลังยังได้ความปราชัยอีกด้วยบรรดาชนกาฟิรจะถูกต้อนไปรวมกันยังขุมนรกยะฮันนำ
๓๗. เพื่อที่อัลเลาะห์จะได้ทรงจำแนกผู้เป็นการฟิรจากผู้เป็นมุอ์มิน และเพื่อที่พระองค์จะทรงให้ผู้เป็นกาฟิรพวกหนึ่งต่ออีกพวกหนึ่ง ทับกันระเนระนาดแล้วก็ทรงให้มัน(กาฟิร) เข้าขุมนรกยะฮันนำเสียเลย พวกกาฟิรเหล่านั้นแหละ คือพวกที่ขาดทุนทั้งในภพนี้และปรภพ


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 38 - 40


คำอ่าน
38. กุลลิลละซีนะกะฟะรู..อี..ยัน..ตะฮู ยุฆฟัรฺละฮุม..มาก็อดสะลัฟ วะอียะอูดูฟะก็อดมะฎ็อต สุน..นะตุลเอาวะลีน
39. วะกอติลูฮุมหัตตา ลาตะกูนะฟิตนะเตา..วะยะกูนัดดีนุ กุลลุฮูลิลลาฮฺ ฟะอินิน..ตะเฮา ฟะอิน..นัลลอฮะบิมายะอฺมะลูนะบะชีรฺ
40. วะอิน..ตะวัลเลา ฟะอฺละมู..อัน..นัลลอฮะ เมาลากุม นิอฺมัลเมาลา วะนิอฺมัน..นะศีรฺ

 
คำแปล R1.
38. Say to those who have disbelieved, if they cease (from disbelief) their past will be forgiven. But if they return (thereto), then the examples of those (punished) before them have already preceded (as a warning).
39. And fight them until there is no more Fitnah (disbelief and polytheism: i.e. worshipping others besides Allah) and the religion (worship) will all be for Allah alone [in the whole of the world]. But if they cease (worshipping others besides Allah), then certainly, Allah is All-Seer of what they do.
40. And if they turn away, then know that Allah is your Maula (Patron, Lord, protector and supporter, etc.), (what) an excellent Maula, and (what) an excellent Helper!


คำแปล R2.
38. จงประกาศเถิดแก่บรรดาพวกเนรคุณว่า “หากพวกเขายุติ(ความเนรคุณ) เขาก็จะได้รับการให้อภัยแก่ความผิดที่ล่วงพ้นไปแล้ว และหากพวกเขาหวนกลับ(ไปสู่ความเนรคุณอีก) แน่นอนที่สุด ได้ผ่านพ้นมาแล้ว แนวทาง(การลงโทษแก่)บรรดาบรรพชนเมื่ออดีต
39. และพวกเจ้าจงทำศึกกับพวกเขาจนกระทั่งปราศจากวิกฤติการ และศาสนาทั้งหมดเป็นของอัลเลาะฮฺ แต่ถ้าพวกเขายุติ(การเนรคุณ) แน่นอนที่สุด อัลเลาะฮฺทรงมองเห็นสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้
40. และหากพวกเขาหันเห(ไม่ยอมศรัทธา)พวกเจ้าก็จงทราบเถิดว่า แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงเป็นผู้ปกครองพวกเขา ทรงเป็นผู้ปกครองที่เยี่ยมยอดที่สุด และทรงเป็นผู้ช่วยเหลือที่เยี่ยมยอดที่สุด


คำแปล R3.
38. โอ้ นบี จงบอกบรรดาผู้ปฏิเสธเถิดว่า ถ้าพวกเขาหยุดยั้ง(จากหนทางอันชั่วร้ายของพวกเขา) การกระทำที่ผ่านมาของพวกเขาจะได้รับการให้อภัย แต่ถ้าหากพวกเขายังคงดึงดันต่อไป พวกเขาทั้งหมดก็รู้แล้วว่าอะไรได้เกิดขึ้นแก่ผู้คนก่อนหน้าพวกเขา
39. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงต่อสู้บรรดาผู้ปฏิเสธจนกว่าจะไม่มีความเสียหายต่อไปและแนวทางแห่งชีวิตที่อัลลอฮฺทรงกำหนดได้ถูกสถาปนาขึ้นโดยทั้งหมด แล้วถ้าหากพวกเขาหยุดยั้งจากความเสียหาย แน่นอน อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเห็นสิ่งที่พวกเขากระทำ
40. แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ใส่ใจ ดังนั้น ก็จงรู้ไว้เถิดว่า อัลลอฮฺทรงเป็นผู้คุ้มครองสูเจ้า และพระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองและผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีที่สุด

 
คำแปล R4.
38. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) แก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาว่า หากพวกเขาหยุดยั้ง สิ่งที่แล้วมาก็จะถูกอภัยให้แก่พวกเขาและหากพวกเขากลับ(ต่อต้าน)อีก แท้จริงนั้นแนวทางของคนก่อน ๆ นั้นได้ผ่านมาแล้ว
39. และพวกเจ้าจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าจะไม่มีการปฏิเสธศรัทธาใด ๆ ปรากฏขึ้น และการอิบาดะฮ์ทุกชนิดนั้นจะต้องเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺเท่านั้น ถ้าหากพวกเขาหยุดยั้ง แน่นอนอัลลอฮฺนั้นทรงเห็นในสิ่งที่พวกเขากระทำ
40. และหากพวกเขาผินหลังให้ ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้น คือผู้ทรงคุ้มครองพวกเจ้า ผู้ทรงคุ้มครองที่ดีเลิศและผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีเยี่ยม”


คำแปล R5.
๓๘. โอ้มุฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่อบูซุฟยานกับพรรคพวกของเขาและบรรดาชนกาฟิรอื่น ๆ เถิดว่า ถ้าพวกนั้นยับยั้งการไม่ยอมศรัทธาและงดเว้นการสู้รบกับพระศาสดามุฮำมัดได้แล้วไซร้ พวกกาฟิรเหล่านั้นย่อมได้รับการอภัยโทษเพราะการขาดศรัทธาและเพราะการสู้รบกับพระศาสดามุฮำมัดที่ผ่านมาแล้วแต่หนหลัง แต่ถ้าพวกนั้นหวนกลับมาทำการสู้รบกับพระศาสดามุฮำมัดอีก แน่นอนแบบอย่างการถูกล้างชาติพันธุ์ของพวกกาฟิรรุ่นเก่าก่อนจากพวกกาฟิรชาวมักกะห์ในรุ่นนี้ ที่เรา(อัลเลาะห์)จะจัดการแก่พวกกาฟิรชาวมักกะห์ก็จะเป็นอย่างอดีตอีก
๓๙. แล้วพวกเจ้าจงสู้รบกับพวกกาฟิรเหล่านั้นทุกกรณี ยกเว้นกรณีที่มีสนธิสัญญากันไว้ และยกเว้นพวกกาฟิรที่เป็นฝ่ายหนุนพวกเจ้าเท่านั้น จนกว่าการถือภาคี คือการเคารพสักการะผู้ที่นอกจากอัลเลาะห์จะหาไม่ จนกว่าจะมีอยู่แต่ความเคารพสักการะทั้งสิ้นเพื่ออัลเลาะห์เท่านั้น ถ้าหากพวกนั้นยับยั้งการไม่ยอมศรัทธาได้แล้ว แน่นอนอัลเลาะห์นั้นทรงประจักษ์ยิ่งในพฤติการณ์ ส่วนที่พวกนั้นกระทำกันขึ้นแล้วพระองค์จะทรงตอบสนองผลกรรมที่พวกนั้นได้ปฏิบัติกันไว้
๔๐. แต่ถ้าพวกกาฟิรเหล่านั้นเหหัน มิยอมศรัทธาก็ให้พวกเจ้ารู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงเป็นองค์สงเคราะห์พวกเจ้า ทรงเป็นองค์ปกครองที่ควรแก่การสรรเสริญยิ่งนัก และทรงเป็นองค์ทรงเคราะห์ที่ควรแก่การสรรเสริญยิ่งนัก


ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด

สูเราะฮฺ อัล-อันฟาล อายะฮฺที่ 41 - 44


คำอ่าน
41. วะอฺละมู..อัน..นะมาเฆาะนิมตุม..มิน..ชัยอิน..ฟะอัน..นะลิลลาฮิ คุมุสะฮู วะลิรฺเราะสูลิ วะลิซิลกุรฺบา วัลยะตามา วัลมะสากีนิ วับนิสสะบีลิ อิน..กุนตุมอามัน..ตุม..บิลลาฮิ วะมา..อัน..ซัลนา อะลาอับดินา เยามัลฟุรกอนิ เยามัลตะก็อลญัมอาน วัลลอฮุอะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ
42. อิซอัน..ตุม..บิลอุดวะติดดุนยา วะฮุม..บิลอุดวะติลกุศวา วัรฺร็อกบุ อัสฟะละมิน..กุม วะเลาตะวาอัดตุม ลัคตะลัฟตุมฟิลมีอาดิ วะลากิลลิยักฎิยัลลอฮุอัมร็อน..กานะมัฟอูลา ลิยะฮฺลิกะ มันฮะละกะ อัม..บะนียะติว..วะยะหฺยา มันหัยยะ อัม..บัยยินะฮฺ วะอิน..นัลลอฮะ ละสะมีอุนอะลีม
43. อิซยุรีกะฮุมุลลอฮุ ฟีมะนมิกะ เกาะลีลา วะเลาอะรอกะฮุม กะษีร็อลละฟะชิลตุม วะละตะนาซะอฺตุมฟิลอัมริ วะลากิน..นัลลอฮะสัลลัม อิน..นะฮูอะลีมุม..บิซาติศศุดูรฺ
44. วะอิซยุรีกุมูฮุม อิซิลตะก็อยตุม ฟี..อะอฺยุนิกุม เกาะลีเลา..วะยุก็อลลิลุกุม ฟี..อะอฺยุนิฮิม ลิยักฎิยัลลอฮุอัมร็อน..กานะมัฟอูลา วะอิลัลลอฮฺตุรฺญะอุลอุมูรฺ


คำแปล R1.
41. And know that whatever of war-booty that you may gain, verily one-fifth (1/5th) of it is assigned to Allah, and to the Messenger, and to the near relatives [of the Messenger (Muhammad)], (and also) the orphans, Al-Masakin (the poor) and the wayfarer, if you have believed in Allah and in that which we sent down to our slave (Muhammad) on the day of criterion (between right and wrong), the day when the two forces met (the battle of Badr) - and Allah is able to do all things.
42. (And remember) when you (the Muslim army) were on the near side of the valley, and they on the farther side, and the caravan on the ground lower than you. even if you had made a mutual appointment to meet, you would certainly have failed in the appointment, but (you met) that Allah might accomplish a matter already ordained (in his Knowledge); so that those who were to be destroyed (for their rejecting the Faith) might be destroyed after a clear evidence, and those who were to live (i.e. believers) might live after a clear evidence. And surely, Allah is All-Hearer, All-Knower.
43. (And remember) when Allah showed them to you as few in your (i.e. Muhammad's) dream, if He had shown them to you as many, you would surely have been discouraged, and you would surely have disputed in making a decision. But Allah saved (you). Certainly, He is the All-Knower of what is in the breasts.
44. And (remember) when you met (the army of the disbelievers on the day of the battle of Badr), He showed them to you as few in your eyes and He made you appear as few in their eyes, so that Allah might accomplish a matter already ordained (in his Knowledge), and to Allah return all matters (for decision).


คำแปล R2.
41. และพวกเจ้าจงรู้เถิดว่า อันที่จริงสิ่งใด ๆ ที่พวกเจ้าได้รับ(มาจากข้าศึก) แท้จริงเป็นของอัลเลาะฮฺเศษหนึ่งส่วนห้าของมัน และของศาสนทูต และของญาติสนิท(ของศาสนทูต) ของลูกกำพร้า, ของคนอนาถาและของคนเดินทาง(ที่ยากจนและที่ยังเหลืออีกสี่ส่วนนั้นนั้นให้ผลักเป้นของพลรบที่ทำสงครามในครั้งนั้น) ทั้งนี้หากพวกเจ้ามีศรัทธามั่นในอัลเลาะฮฺ และบรรดาสิ่งที่เราได้ส่งลงมาแก่บ่าวของเราใน “วันแห่งการแยก” นั่นคือ วันที่สองกองทัพมาเผชิญหน้ากัน(คือกองทัพของกาฟิรกับกองทัพของมุสลิมที่ทุ่งบะดัรฺ) และอัลเลาะฮฺทรงเดชานุภาพเหนือทุก ๆ สิ่ง
42. (ในการสงครามครั้งนั้น) เมื่อพวกเจ้าอยู่ที่ทุ่งใกล้(กับนครมะดีนะฮฺทางเหนือของบะดัร)และพวกเขา(ฝ่ายศัตรู)อยู่ที่ทุ่งไกล(ทางใต้ของบะดัร) และกองคาราวาน(ของอะบูซุฟยาน) อยู่ในที่ต่ำกว่าพวกเจ้า(ทางด้านทะเลประมาณ 3 ไมล์) และหากพวกเจ้าทั้งหลายทำสัญญาซึ่งกันและกัน(ว่าจะโจมตีข้าศึก) แน่นอน พวกเจ้าก็ผิดสัญญา(เพราะข้าศึกมีกำลังเหนือกว่า) แต่ทว่าเพื่ออัลเลาะฮฺจะทรงให้ลุล่วงซึ่งกิจการที่ถูกกระทำ(ให้ประสบผลสำเร็จ) เพื่อทรงทำลายล้างแก่บุคคลที่หายนะ ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานชัดแจ้ง(ก็ไม่ยอมศรัทธา) และทรงประทานชีวิต(ศรัทธา) แก่บุคคลที่มีชีวิต(มีศรัทธา) โดยหลักฐานชัดแจ้ง และแท้จริงอัลเลาะฮฺทรงได้ยินอีกทั้งทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง
43. (จงระลึกเถิด)เมื่ออัลเลาะฮฺทรงทำให้เจ้าเห็นพวกเขา(ข้าศึก)ในความฝันของเจ้าว่ามีจำนวนเล็กน้อย และหากทำให้เจ้าเห็นว่าพวกเขามีจำนวนมาก แน่นอนพวกเจ้าก็จะท้อถอย และพวกเจ้าจะต้องโต้เถียงกันในการงาน(สงครามครั้งนั้นว่าจะทำอย่างไร) และแต่ทว่าอัลเลาะฮฺทรงยังความปลอดภัย(แก่พวกเจ้าจากความท้อถอยและการโต้เถียง) แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งนักกับสิ่งที่อยู่ในจิตใจ
44. และ(จงระลึกเถิด)เมื่อพระองค์ให้พวกเจ้าเห็นพวกเขา ในขณะที่พวกเจ้าได้เผชิญหน้ากับพวกเขา(ข้าศึก) ซึ่งในสายตาของพวกเจ้านั้น (พวกเขามีจำนวน)เพียงเล็กน้อย และพระองค์ทรงทำให้เห็นว่าพวกเจ้ามีจำนวนน้อยในสายตาของพวกเขา เพื่ออัลเลาะฮฺทรงให้ลุล่วงซึ่งการงานที่ต้องได้รับการกระทำ(ให้สำเร็จตามกำหนดของพระองค์) และการงานทั้งหลายย่อมถูกคืนกลับสู่อัลเลาะฮฺ


คำแปล R3.
41. และจงรู้ไว้เถิดว่า ทรัพย์สินอะไรก็แล้วแต่ที่สูเจ้าได้ริบได้จากสงครามนั้นหนึ่งในห้าของมันสำหรับอัลลอฮิและรอซูลของพระองค์และสำหรับญาติสนิทและเด็กกำพร้าและผู้ขัดสนและผู้เดินทาง ถ้าสูเจ้าศรัทธาในอัลลอฮิและสิ่งที่เราได้ส่งมายังบ่าวของเราในวันแห่งการตัดสิน เมื่อทั้งฝ่ายเผชิญหน้ากันในสงคราม (ดังนั้นจงยอมยกส่วนนี้ให้โดยความเต็มใจเถิด) อัลลอฮฺทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง
42. จงนึกถึงเมื่อตอนที่สูเจ้าอยู่ทางด้านนี้ของหุบเขาและพวกเขาตั้งค่ายพักอยู่ที่ห่างไกลอีกด้านหนึ่ง และกองคาราวานอยู่ด้านล่างสูเจ้า(มุ่งไปยังชายฝั่ง) ถ้าหากสูเจ้าตกลงกับพวกเขาว่าจะต่อสู้ แน่นอนสูเจ้าก็อาจจะโจมตีมัน (แต่ได้มีกี่ต่อสู้เกิดขึ้น) เพื่อที่อัลลอฮฺจะได้ทรงทำให้สิ่งที่พระองค์ได้กำหนดไว้เป็นที่สำเร็จเสร็จสิ้น และเพื่อที่ใครก็ตามที่จะต้องพินาศก็จะได้พินาศไปด้วยสัญญาณอันชัดแจ้ง และใครก็ตามที่สมควรจะมีชีวิตอยู่ก็จะได้มีชีวิตอยู่ด้วยสัญญาณอันชัดแจ้ง แท้จริงอัลลอฮิเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้
43. โอ้ รอซูล จงนึกถึงเมื่อตอนที่อัลลอฮฺได้ทำให้พวกเขาปรากฏในความฝันของเจ้าว่ามีจำนวนน้อย และถ้าหากพระองค์ทรงให้พวกเจ้าเห็นพวกเขาเป็นกองทัพใหญ่ แน่นอน สูเจ้าก็อาจจะท้อถอยและอาจจะต้องถกเถียงกันในเรื่องนั้น (การต่อสู้) แต่อัลลอฮฺได้ทรงให้สูเจ้าปลอดภัยจากสิ่งนี้ แท้จริงพระองค์ทรงรู้ถึงความลับทั้งหลายที่อยู่ในหัวอก
44. และจงนึกถึงเมื่อตอนที่สูเจ้าพบพวกเขาในการประจัญศึก อัลลอฮฺได้ทรงทำให้ศัตรูปรากฏต่อสายตาของสูเจ้าว่ามีจำนวนน้อย และได้ทรงทำให้สูเจ้าปรากฏเห็นเป็นจำนวนน้อยในสายตาของพวกเขา ทั้งนี้เพื่อที่อัลลอฮฺจะได้ทรงทำให้เรื่องที่จะเกิดขึ้นเป็นผลสำเร็จเสร็จสิ้นไป เพราะในที่สุดเรื่องทั้งหลายจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮฺ


คำแปล R4.
41. และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงสิ่งใดที่พวกเจ้าได้มาจากการทำศึกนั้น แน่นอนหนึ่งในห้าของมันเป็นของอัลลอฮฺ และเป็นของรอซูล และเป็นของญาติที่ใกล้ชิด และบรรดาเด็กกำพร้า และบรรดาผู้ขัดสน และผู้เดินทาง หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและสิ่งที่เราได้ลงมาแก่บ่าวของเราในวันหนึ่งแห่งการจำแนกระหว่างการศรัทธา และการปฏิเสธ คือวันที่สองฝ่ายเผชิญกัน และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
42. จงรำลึกขณะที่พวกเจ้าอยู่ด้านหุบเขาที่ใกล้กว่า และพวกเขาอยู่ด้านหุบเขาที่ไกลกว่า และกองคาราวานนั้นอยู่ต่ำกว่าพวกเจ้า และถ้าหากพวกเจ้าต่างได้สัญญากัน แน่นอนพวกเจ้าก็ย่อมขัดแย้งกันแล้วในสัญญานั้นแต่ทว่าเพื่อที่อัลลอฮฺจะได้ทรงให้งานหนึ่งเสร็จสิ้นไป ซึ่งงานนั้นได้ถูกกระทำไว้แล้ว เพื่อว่าผู้พินาศจะได้พินาศลงโดยหลักฐานอันชัดแจ้ง และผู้มีชีวิตอยู่ จะได้มีชีวิตอยู่โดยหลักฐานอันชัดแจ้ง และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้
43. จงรำลึกขณะที่อัลลอฮฺทรงให้เจ้าเห็นพวกเขามีจำนวนน้อยในความฝันของเจ้า และหากว่าพระองค์ทรงให้เจ้าเห็นพวกเขามีจำนวนมากแล้วไซร้ แน่นอนพวกเจ้าก็ย่อมย่อท้อกันและขัดแย้งกันในกิจการนั้น แต่ทว่าอัลลอฮฺได้ทรงให้ปลอดภัย แท้จริงพระองค์นั้นคือ ผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในทรวงอก
44. และจงรำลึกขณะที่พระองค์ทรงให้พวกเจ้าเห็นพวกเขามีจำนวนน้อยในสายตาของพวกเจ้าขณะที่พวกเจ้าได้เผชิญหน้ากัน และทรงให้พวกเจ้ามีจำนวนน้อยในสายตาของพวกเขา เพื่อที่อัลลอฮฺจะได้ทรงให้งานหนึ่งเสร็จสิ้นไป ซึ่งงานนั้นได้ถูกกระทำไว้แล้ว และยังอัลลอฮฺนั้นกิจการทั้งหลายจะถูกนำกลับไป


คำแปล R5.
๔๑. และโอ้ปวงชนมุอ์มิน พวกเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงทรัพย์สินอันใดที่พวกเจ้าริบเอามาจากพวกกาฟิรโดยอาศัยอำนาจทางการศึกสงคราม ไม่ว่าจะมากหรือร้อยสักเพียงใด หนึ่งในห้าจากทรัพย์สินนั้นย่อมเป็นสิทธิโดยศักดิ์ศรีแก่อัลเลาะห์ พระองค์จะทรงจัดการทรัพย์สินส่วนนี้ไปตามที่พระองค์ทรงมุ่งประสงค์ กล่าวคือจะปันทรัพย์นี้ออกเป็นอีกห้าส่วน ส่วนที่หนึ่งให้เป็นสิทธิของมุฮำมัดพระศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์ ในยามที่พระนบียังมีชีวิตอยู่ แต่ในยามที่พระนบีได้ถึงแก่กรรมลงแล้ว ทรัพย์ส่วนนี้ให้ตกเป็นสาธารณกุศลฝ่ายมุสลิม เช่น ใช้อุดหนุนรักษาทหารชายแดนและผู้ที่มีจิตฝักใฝ่อยู่กับความรู้ทางศาสนาและบรรดาผู้พิพากษา สำหรับส่วนที่สองเป็นของวงศ์ญาติใกล้ชิดกับพระศาสดามุฮำมัดทั้งวงศ์ฮาชิม และวงศ์มุฏฏ่อลิบ ส่วนที่สาม เป็นของบรรดาเด็กกำพร้าที่เป็นมุสลิมผู้ยากจน ซึ่งบิดาของเด็กกำพร้าเหล่านั้นได้ตายลงแล้ว ส่วนที่สี่เป็นของบรรดามุสลิมผู้ขัดสน และส่วนที่ห้าเป็นของมุสลิผู้เดินทางที่ยากจน ส่วนทรัพย์สินที่เหลืออีกสี่ในห้า ก็ให้ผลักเข้าเป็นส่วนของบรรดาทหารที่เข้าทำศึกสงคราม ถ้าหากว่าพวกเจ้ามีศรัทธาต่ออัลเลาะห์และศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะห์จำนวนห้าพัน และต่อสัญลักษณ์ทั้งหลายที่แสดงถึงเดชานุภาพที่ ทั้งสองประเภทนี้ เรา(อัลเลาะห์) ได้มอบลงมาจากฟากฟ้ายังบ่าวของเรา(มุฮำมัด) ในวันแห่งการจำแนกระหว่างความจริงแท้และความเสียหาย ในวันที่ทัพทั้งสองระหว่างมุสลิมมีจำนวนทหาร ๓๑๔ คน กับกาฟิรมีจำนวนทหาร ๙๕๐ คน มีอบูยะฮัลเป็นแม่ทัพประจัญบานกันที่สมรภูมิบัดร์แล้ว ก็ให้พวกเจ้าปฏิบัติตามคำบัญชาใช้ของเราซิ ฝ่ายอัลเลาะห์นั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่างส่วนหนึ่งจากข้อที่แสดงถึงอานุภาพของพระองค์ ก็คือความมีชียของพวกเจ้าฝ่ายมุสลิม ทั้งที่มีรี้พลเพียงจำนวนเล็กน้อยแต่ต้องสูยเสียทหารไป ๑๔ คนและ ความปราชัยของฝ่ายกาฟิรฺที่มีจำนวนรี้พลมากว่า ซึ่งทหารต้องถูกฆ่าถึง ๗๐ คน และยังมีตายอีกเป็นจำนวนมากมาย ส่วนที่ถูกจับเป็นเชลยก็มีจำนวน ๗๐ คน
๔๒. คราวนั้นก็คือวันที่กองทัพของพวกเจ้าฝ่ายมุสลิมอยู่ในแดนใกล้กับนครมดีนะห์แต่กองทัพของพวกกาฟิรเหล่านั้นอยู่ในแดนไกลจากนครมดีนะห์ แล้วกองทัพซึ่งมีอบูซุฟยานเป็นแม่ทัพมีทหารเพียงสามสิบกว่าคนนั้นหลบหลีกหนีเจ้านั้นไปอยู่ที่ต่ำกว่ากองทัพของ พวกเจ้าไปทางด้านทะเลห่างจากพวกเจ้าถึง ๓ ไมล์ และถ้าแม้พวกเจ้ากับฝ่ายอบูยะฮัลได้ทำสนธิสัญญารบกัน พวกเจ้าก็ย่อมจะผิดสัญญานั้น เพราะคร้ามแสนยานุภาพที่มากมายของฝ่ายข้าศึก และหมดหวังที่จะเอาชนะข้าศึกได้ แต่แล้วพระองค์ก็ทรงให้พวกเจ้าและพวกข้าศึกได้ปะทะกันโดยปราศจากข้อสัญญา และเพื่อที่อัลเลาะห์จะได้ทรงบันดาลกิจให้สำเร็จผลตรงตามที่พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วในบรรพกาลโน้น นั่นคือฝ่ายชัยชนะเป็นของพวกมุสลิม ส่วนฝ่ายปราชัยได้แก่พวกกาฟิร เพื่อจะทรงให้ผู้ที่เป็นกาฟิรหลังจากทราบหลักฐานอย่างกระจ่างแจ้งแล้วคงเป็นกาฟิรต่อไป และเพื่อจะให้ผู้เป็นมุอ์มินหลังจากทราบหลักฐานอย่างชัดแจ้งแล้วคงเป็นมุอ์มินต่อไป ฝ่ายอัลเลาะห์ทรงได้ยินยิ่งซึ่งถ้อยคำของพวกเหล่านั้น ทรงรู้ยิ่งถึงพฤติการณ์ของพวกเหล่านั้น แล้วพระองค์จะทรงตอบสนองผฃกรรมที่พวกเหล่านั้นกล่าวถ้อยคำและประพฤติปฏิบัติกันไว้
๔๓. โอ้ มุฮำมัด เจ้าจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของข้าที่มีต่อเจ้าในขณะที่อัลเลาะห์ได้ทรงให้เจ้าฝันเห็นพวกกาฟิรเหล่านั้นมีจำนวนน้อยกว่า และเจ้าก็ได้แจ้งความฝันนั้นแก่บรรดาสาวกของเจ้า ยังผลให้บรรดาเหล่าสาวกเกิดปีติปลื้มใจในจำนวนน้อยของพวกกาฟิรยิ่งนัก แต่ถ้าพระองค์จะทรงให้เจ้าฝันเห็นพวกเหล่านั้นที่เป็นกาฟิรมีจำนวนมากมาย พวกเจ้าจะต้องขยาดและพวกเจ้าจะต้องโต้แย้งกันในหน้าที่การทำศึกแน่นอนทีเดียว แต่ทว่าอัลเลาะห์ก็ทรงให้พวกเจ้าปลอดพ้นจากความขาดกลัวไปได้ ทั้งยังไม่เกิดโต้แย้งระหว่างกันอีกด้วย แท้จริงพระองค์นั้นทรงรู้ยิ่งในภาวะแห่งจิต
๔๔. และโอ้ปวงชนผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของข้าที่มีต่อพวกเจ้า ในขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้าแลเห็นพวกกาฟิรเหล่านั้นตอนที่พวกเจ้าไปพบพวกกาฟิรด้วยตาตนเองว่ามีจำนวนเล็กน้อย เพียง ๗๐ หรือ ๑๐๐ คนเท่านั้น ทั้งที่ฝ่ายกาฟิรมีจำนวนจริงตั้ง ๙๕๐ คน ก่อนที่พวกเจ้าจะเข้าประจัญบานกับฝ่ายข้าศึก ที่พระองค์ทรงให้พวกเจ้าแลเห็นว่าฝ่ายข้าศึกมีจำนวนน้อยนี้เพื่อต้องการให้พวกเจ้ามีมานะอาจหาญต่อการจะสู้รบ และทรงให้พวกเจ้ามีจำนวนรี้พลเพียงเล็กน้อยในสายตาของพวกกาฟิรเหล่านั้น เพื่อปรารถนาจะให้กาฟิรข้าศึกมีใจกล้าดาหน้าเข้ามาทำศึก ไม่ล่าถอย ครั้นเมื่อถึงเวลาที่ทัพมุสลิมกับทัพกาฟิรฝ่ายข้าศุกเข้าประชิดกัน ณ สมรภูมิแล้วพระองค์ทรงบันดาลให้พวกกาฟิรแลเห็นพวกมุสลิมมีจำนวนรี้พลมากเป็นสองเท่าของรี้พลฝ่ายของตน เพื่อที่อัลเลาะฮฺจะได้ทรงบันดาลไปให้สำเร็จไปเสียเลยตามการตัดสินมาจากความรอบรู้ของพระองค์ในบรรพกาลโน้น แล้วกิจทั้งปวงนั้นย่อมถูกส่งคืนไปยังการตัดสินของอัลเลาะห์


 

GoogleTagged