ผู้เขียน หัวข้อ: "วะฮาบีย์ คือ พรรคพวกของชัยตอน" โดย ปรมาจารย์ อัศ-ศอวีย์ อัล-มาลิกีย์ !!  (อ่าน 5819 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด
:salam:

           จากข้อความของคุณ muftee ที่อ้างถึงตำราว่า

“บางคนกล่าวว่า อายะฮฺนี้ถูกประทานลงมาเพื่อ(ตำหนิ)กลุ่มเคาะวาริจ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำการบิดเบือนตีความอัล-กุรอานและสุนนะฮฺ(ไปตามอารมณ์ของพวกเขา) ซึ่งพวกเขาอนุญาตให้หลั่งเลือดมุสลิมด้วยกันได้ และอนุญาตให้ยึดทรัพย์สินของมุสลิมด้วยกันได้  ซึ่งปัจจุบันนี้มีคนกลุ่มหนึ่งที่มีแนวคิดเหมือนๆ กับพวกเขา และคนกลุ่มนี้นั้นเป็นกลุ่มชนที่อยู่ที่แคว้นหิญาซ และพวกเขาถูกเรียกว่า อัล-วะฮาบียะฮฺ

              กลุ่มนี้มีในประเทศไทยหรือไม่ครับ


กลุ่มคนที่มีลักษณะตามที่ท่าน เชคอัศ-ศอวีย์ อัล-มาลิกีย์ กล่าวมานั้น ไม่มีในประเทศไทยหรอกครับ เพราะพวกเขาคงไม่มีอำนาจที่จะมาทำแบบนั้นได้ แต่ว่าท่าน อัศ-ศอวีย์ อัล-มาลิกีย์ แค่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของวะฮาบีย์ และการกระทำของพวกเขาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเป็นสมัยที่วะฮาบีย์พยายามขยายอำนาจการปกครองในแคว้นหิญาซ เท่านั้น ..

แต่ปัจจุบันไม่ว่าวะฮาบีย์ประเทศไทยหรือโลกอาหรับ ก็ไม่มีใครกล้าทำแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหรอกครับ  เพราะมันคือ ตราบาปที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงให้ปวงปราชญ์ได้จดจำมันเอาไว้ และนำมาเล่าสืบทอดต่อให้แก่คนรุ่นหลังได้ฟังและรับรู้กัน

แต่การกระทำของวะฮาบีย์ในปัจจุบัน คือ การโจมตีแนวคิดของคนอื่น ที่มีความเห็นที่ไม่ตรงกับตนเอง โดยกล่าวว่าหาว่า ฝ่ายตรงข้ามกับตน  ทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ ไม่ถูกต้อง ไม่ตามสุนนะฮฺของท่านรสูล (ซ.ล.) ซึ่งเป็นบิดอะฮฺที่หลงผิด และตกนรก .. ทั้งๆ ที่ทัศนะที่ตรงข้ามกับตนนั้น ก็เป็นทัศนะที่มีปราชญ์อิสลามหลายท่านให้การรองรับ แต่พวกเขาก็หุก่มว่าตกนรกสะเฉยๆ .. สิ่งนี้คือ การกระทำที่ไร้มารยาทในทางวิชาการต่อผู้ที่มีทัศนะที่ต่างกับตนเอง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 17, 2012, 09:55 PM โดย Muftee »
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ มาลิกกุ๊กกิ๊ก

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 451
  • เพศ: ชาย
  • คนความรู้น้อย
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด
ตีความตามสเป็ค ใครไม่ตรงกะตูลงนรกหรอ อัลลลฮฺก็บอกไว้เเล้ว พวกนั้นแหละ ตรงเพ๊ะๆๆๆๆๆ!!

อาละอิมรอน - 7 " พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาแก่เจ้า โดยที่ส่วนหนึ่งจากคัมภีร์นั้นมีบรรดาโฮงการที่มีข้อความรัดกุมชัดเจน(*1*) ซึ่งโองการเหล่านั้น คือรากฐานของคัมภีร์(*2*) และมีโองการอื่น ไ อีกที่มีข้อความเป็นนัย(*3*) ส่วนบรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีการเอนเอียงออกจากความจริงนั้น เขาจะติดตามโองการที่มีข้อความเป็นนัยจากคัมภีร์ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาความวุ่นวาย(*4*) และเพื่อแสวงหาการตีความในโองการนั้น(*5*) แลไม่มีใครรู้ในการตีความโองการนั้นได้นอกจากอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้เท่านั้น(*6*) โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่อโองการนั้น ทั้งหมดนั้นมาจากที่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งสิ้น และไม่มีใครที่จะรับคำตักเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น"

(1)  เมื่อทุกคนได้อ่านหรือได้ฟังแล้วจะเข้าใจเหมือน ๆ กันโดยไม่ต้องตีความ
(2)  เป็นหลักสำคัญของคัมภีร์ที่มุ่งหมายให้เป็นความรู้ทั้งในหลักการศรัทธาและในข้ปฏิบัติของมนุษย์ และยังเป็นหลักยึดถือในการตีความโองการที่เป็นนัยอีกด้วย
(3)  มีข้อความในเชิงเปรียบเทียบ อาจเข้าใจหลายทาง ผู้ที่มีความรู้ในศาสนาของพระองค์อย่างกว้างขวางเท่านั้นที่จะเข้าใจในทางที่ถูกต้องได้
(4)  เพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ผู้ศรัทธาด้วยการตีความสนโองการที่เป็นนัยให้เฉออกไปจากความเป็นจริงที่พวกเขาเคยได้รับมาก่อน
(5)  คือเพื่อหาทางตีความไปตามเป้าหมายที่เขาต้องการ โดยไม่คำนึงว่าจะขัดต่อความหมายของอายะฮ์ที่มีข้อความชัดเจนหรือไม่
(6)  มีพื้นฐานแห่งความรู้อย่างมั่นคงเกี่ยวกับคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ (ศิฟาต) และความมุ่งหมายในบทบัญญัติของพระองค์ ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับหลักภาษาที่เป็นโองการของพระองค์อย่างกว้างขวางด้วย

ออฟไลน์ dabdulla1

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 8
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

      มีหลักการหรือสิ่งใดๆ ของกลุ่มวะฮาบีย์หรือไม่ ที่พวกเขาใช้เป็นหลักฐานในการหลั่งเลือดมุสลิมคนอื่นๆ
เพราะที่อ้างถึงนั้นเป็นการกล่าวขึ้นมาโดยไม่มีสิ่งใดมารองรับแนวคิด

       อยากให้แสดงหลักฐานที่เป็นแนวคิดของพวกเขานิดนึงครับ แม้ว่าการปฏิบัตินั้นจะทำไม่ได้ก็ตาม เพราะพวกเขาไม่มีอำนาจ
แต่อากีดะห์ของวะฮาบีย์ที่เป็นความเชื่อนั้น พอจะหาได้จากที่ใหนบ้างครับ
กลุ่มวะฮาบีย์ที่พูดถึงในเมืองไทย สอนว่าการหลั่งเลือดผู้ศรัทธา คือตกมุรตัด ซึ่งผมเองก็ศึกษาศาสนาจากกลุ่มนี้
อยากให้ช่วยชี้แจงด้วยครับ

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด
:salam:

      มีหลักการหรือสิ่งใดๆ ของกลุ่มวะฮาบีย์หรือไม่ ที่พวกเขาใช้เป็นหลักฐานในการหลั่งเลือดมุสลิมคนอื่นๆ
เพราะที่อ้างถึงนั้นเป็นการกล่าวขึ้นมาโดยไม่มีสิ่งใดมารองรับแนวคิด

       อยากให้แสดงหลักฐานที่เป็นแนวคิดของพวกเขานิดนึงครับ แม้ว่าการปฏิบัตินั้นจะทำไม่ได้ก็ตาม เพราะพวกเขาไม่มีอำนาจ
แต่อากีดะห์ของวะฮาบีย์ที่เป็นความเชื่อนั้น พอจะหาได้จากที่ใหนบ้างครับ
กลุ่มวะฮาบีย์ที่พูดถึงในเมืองไทย สอนว่าการหลั่งเลือดผู้ศรัทธา คือตกมุรตัด ซึ่งผมเองก็ศึกษาศาสนาจากกลุ่มนี้
อยากให้ช่วยชี้แจงด้วยครับ


หากคุณ dabdulla1  เลือกที่จะเปิดใจเรียนรู้และศึกษาที่มาของวะฮาบีย์ในยุคแรกๆ ตั้งแต่สมัยยุคของท่าน มุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ ท่านก็จะเห็นได้ว่า ท่านมุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ นั้น มีทัศนะที่ขัดแย้งกับปวงปราชญ์ในยุคนั้นหลายอย่าง จนแม้กระทั่งพี่ชายของเขาเองที่ชื่อว่า สุลัยมาน บิน อับดิลวะฮาบ ซึ่งเป็นปราชญ์ที่เลื่องชื่อมาก ในมัซฮับหัมบะลีย์ในยุคนั้น รวมทั้งเหล่านักปราชญ์ท่านอื่นๆ ในเมืองมะดีนะหฺในยุคนั้น  ก็ได้ประกาศต่อต้านแนวคิดหลายประการของ ท่านเชค มุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ จนกระทั่งก่อให้เกิดการหลั่งเลือดกันเกิดขึ้น และประวัติศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ ล้วนถูกบันทึกเอาไว้ทั้งสิ้น

ท่านเชคอะฮฺหมัด ซัยนีย์ ดะหฺลาน อดีตมุฟตีย์มัซฮับชาฟิอีย์ ในนครมักกะฮฺ ได้กล่าวว่า และหนึ่งจากผู้ประพันหนังสือตอบโต้ อิบนุ อับดิลวะฮฺฮาบ ก็คือ ท่านมูฮัมหมัด อิบนุ สุไลมาน อัลกุรดีย์ ผู้ประพันหนังสือ ฮะวาชีย์ ชัรฮุอิบนิ หะญัร “حواشي شرح ابن حجر على متن بأفضل” ซึ่งท่านได้กล่าวว่า “โอ้ อิบนุอับดุลวะฮฺฮาบ ฉันขอเตือนท่าน ให้ท่านยับยั้งลิ้นของท่านจากการใส่ร้ายมุสลิม”

และท่าน เชคสุไลมาน อิบนุ อับดุลวะฮฺฮาบ ผู้เป็นพี่ชายได้ประพันธ์หนังสือที่มีชื่อว่า الصواعق الإلهية في الرد على الوهابية และหนังสือ فصل الخطاب في الرد على محمد بن الوهاب  ตอบโต้น้องชายของเขา มูฮัมหมัด อิบนุ อับดุลวะฮฺฮาบ

นอกจากนี้ ท่านเชค มุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ ได้กล่าวหา "นักมุตะกัลลิมีน" ว่าเป็นกาเฟร , ผู้ที่ทำการตะวัซซุลนั้น ถือว่า ทำชีริก และอีกมากมาย ซึ่งดูได้จากด้านล่างลิ้งค์ด้านล่าง ..

http://ascooor.maktoobblog.com/1586179/%D8%A8%D8%A7%D9%84%D9%88%D8%AB%D8%A7%D8%A6%D9%82-%D8%AA%D9%83%D9%81%D9%8A%D8%B1-%D8%A7%D9%84%D9%88%D9%87%D8%A7%D8%A8%D9%8A%D9%8A%D9%86-%D9%84%D9%84%D9%85%D8%B3%D9%84%D9%85%D9%8A%D9%86/


และท่านเชค มุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ ยังทำการตักฟีรต่อชาวแคว้นหิยาซ และต่อชาวเมืองอัล-นัจญ์ โดยท่านกล่าวว่า ..

ومعلوم أن أهل أرضنا وأرض الحجاز الذي ينكر البعث فيهم أكثر ممن يقر به

"และเป็นที่ทราบกันดีว่า แท้จริงชาวเมืองที่อยู่ในแผ่นดิน(นัจญ์)ของเรา และชาวเมืองที่อยู่ในแผ่นดินฮิยาซฺ(ที่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์เป็นต้น)  เป็นผู้ที่ปฏิเสธวันฟื้นคืนชีพ มากกว่าผู้ที่ยอมรับว่ามีการฟื้นคืนชีพ" ดู ตำรา الدرر السنية  เล่มที่ 10  หน้าที่ 43

เป็นที่รู้กันว่า หนึ่งในหลักการยึดมั่นของหลักศรัทธา คือ การฟื้นคืนชีพอีกครั้งในวันกิยามะฮฺ  แต่ทว่า ท่านเชค มุหัมมัด บิน อับดิลวะฮาบ กลับกล่าวหาผู้คนในเมืองนัจญ์และผู้คนในแคว้นหิญาซ(มักกะฮฺ กับ มะดีนะฮฺ) ว่า ส่วนมากแล้ว พวกเขาปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ .. คำพูดแบบนี้เท่ากับยัดเียียดความเป็นกาเฟรให้แก่ชาวมุสลิมทั้งสองเมืองนี้อย่างชัดเจน ...ด้วยกับแนวคิดการตักฟีรแบบนี้แหละ  จึงทำให้ก่อให้เกิดการนองเลือดกันขึ้น ในเวลาต่อมา ครับ ..



ในยุคต่อมา ในราชวงศ์อุษมานียะฮฺ  กลุ่มวะฮาบีย์ก็กล่าวหาว่าอาณาจักรอุษมานียะฮฺว่าเป็นกาเฟร เนื่องจากวะฮาบีย์มีความเห็นว่าอาณาจักรอุษมานียะฮฺทำชีริก โดยการกราบไหว้กุโบรและทำบิดอะฮฺมากมาย  ซึ่งการหุก่มกาเฟรนี้ถูกอ้างอิงจากตำราของวะฮาบีย์เองที่ชื่อว่า "الدرر السنية في الأجوبة النجدية" รวบรวมโดย เชค อับดุรเราะหฺมาน อิบนุ กอเซม อัล-นัจญดีย์ .. นี่ก็เป็น หนึ่งจากแนวคิดในการตักฟีรต่อผู้อื่นเช่นกันครับ  จนกระทั่งนำไปสู่แนวคิดในการโค่นล้มอาณาจัรอุษมานียะฮฺ ในเวลาต่อมา ... นี่คือ ทัศนะส่วนตัวที่ขัดกับคำกล่าวของท่านรสูล (ซ.ล.) ที่ว่า ..

รายงานจากอุกบะฮ์ บิน อามีร  เขากล่าวว่า  ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

 وَإِنِّي قَدْ أُعْطِيتُ خَزَائِنَ مَفَاتِيحِ الْأَرْضِ وَإِنِّي وَاللَّهِ مَا أَخَافُ بَعْدِي أَنْ تُشْرِكُوا وَلَكِنْ أَخَافُ أَنْ تَنَافَسُوا فِيهَا

"แท้จริงบรรดาคลังกุญแจแห่งแผ่นดินได้ถูกมอบให้แก่ฉัน และแท้จริงฉันขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่า  หลังจากที่ฉันเสียชีวิตไปแล้ว ฉันไม่กลัวว่าพวกท่านจะทำชิริก  แต่ทว่าฉันกลัวว่าพวกท่านจะแข่งขันกันชิงดีชิงเด่นบนผืนแผ่นดิน" รายงานโดยบุคอรีย์ (3329)


และยังมี รายงานจากท่านญาบิร  เล่าว่า..
 
سَمِعْتُ النَّبِيَّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏يَقُولُ ‏ ‏ إِنَّ الشَّيْطَانَ قَدْ أَيِسَ أَنْ يَعْبُدَهُ الْمُصَلُّونَ فِي ‏ ‏جَزِيرَةِ الْعَرَبِ ‏ ‏وَلَكِنْ فِي ‏ ‏التَّحْرِيشِ ‏ ‏بَيْنَهُمْ

"ฉันได้ยินท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า  แท้จริงชัยฏอนนั้นได้สิ้นหวังให้บรรดาผู้ทำการละหมาด(คือบรรดามุสลิมีน) ทำการกราบไหว้มัน(คือทำชิริก)ในคาบสมุทรอาหรับ  แต่มันพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างพวกเขา" รายงานโดยมุสลิม (5030)



และมาในยุคนี้ วะฮาบีย์ก็ยังโจมตีแนวคิดของฝ่ายตรงข้าม โดยไม่สนใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีหลักฐานเป็นเช่นไร และมีอุละมาอฺให้การรองรับหรือไม่ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามนำหลักฐานมายืนยันยังไง กลุ่มวะฮาบีย์ก็พยายามดึงดันไม่ยอมรับความคิดเห็นของฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับตน และพยายามยัดเยียดความเป็นบิดอะฮฺที่หลงผิดให้กับผู้อื่น จนแม้กระทั่งปวงปราชญ์ที่มีความชำนาญในศาสตร์ต่างๆ แห่งอิสลาม  ก็พลอยถูกหางเร่แห่งความเป็นบิดอะฮฺที่หลงผิดไปด้วย


วัลลอฮุ ตะอา่ลา อะลัม





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 20, 2012, 08:09 PM โดย Muftee »
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ dabdulla1

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 8
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 :salam:
ขออัลลอฮ ทรงตอบแทนนะครับ ที่ได้ช่วยชี้แจง
ผมเองไม่ใช่คนเรียนศาสนามา เพราะฉนั้น ไม่มีความสามารถจะอ่านหลักฐานจากภาษาอาหรับได้ครับ

ถ้างั้นผมขอพูดศาสนาในมุมมองของคนที่ไม่ได้เรียนศาสนาอยางผมโดยตรงนะครับ
ในศาสนาอิสลามนั้น หากมองโดยคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่อิสลามเขาจะบอกว่าอิสลามนั้นยากลำบากในการนับถือปฏิบัติ
แต่ในความจริงแล้ว อิสลามคือศาสนาที่ง่ายดาย ซึ่งก็มีในอัลกุรอ่าน ถามว่ามันง่ายอย่างไร
วัน: อิสลามละหมาดทุกวัน วันละห้าเวลา แต่ทุกเวลา อ่านเหมือนกัน
อาทิตย์: มุสลิมไปละหมาดวันศุกร์ ฟังคุตบะห์ ไปกันทุกอาทิตย์ แต่ก็รูปแบบเดียวกับการละหมาด
ปี: มุสลิมถือศีลอด การถือก็ไม่ได้มีความยากเลย แต่อย่าลืมว่า ยากกับอดทน มันคนละเรื่องกันนะครับ
ชีวิต: หนึ่งครั้งอย่างน้อย ไปทำพิธีฮัจย์

ดังนั้น ผมมองเห็นอย่างนึง ซึ่งไม่รู้ว่าใครเห็นบ้าง นั่นก็คือ อิสลามมีรายละเอียดพิธีกรรมน้อยมาก ส่วนที่เห็นว่าเยอะ แท้จริงมันคือการทำซ้ำๆ

เมื่อเรามองสิ่งนี้กลับไปยังท่านนบีของเรา เราจะเห็นว่าท่านนบีทำไมประกาศศาสนาแค่ยี่สิบสามปี
ในนั้น มีแค่สิบสามปี ที่นบีเริ่มสอนหุกุ่ม และอิบาดะห์ จนเสร็จสมบูรณ์

ผมไม่ว่านะครับ ใครจะทำอะไรนอกเหนือจากนี้ แต่ต้องการแสดงมุมมองในฐานะของคนที่ไม่ได้เรียนศาสนามาโดยตรง

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด
:salam:
ขออัลลอฮ ทรงตอบแทนนะครับ ที่ได้ช่วยชี้แจง
ผมเองไม่ใช่คนเรียนศาสนามา เพราะฉนั้น ไม่มีความสามารถจะอ่านหลักฐานจากภาษาอาหรับได้ครับ

ถ้างั้นผมขอพูดศาสนาในมุมมองของคนที่ไม่ได้เรียนศาสนาอยางผมโดยตรงนะครับ
ในศาสนาอิสลามนั้น หากมองโดยคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่อิสลามเขาจะบอกว่าอิสลามนั้นยากลำบากในการนับถือปฏิบัติ
แต่ในความจริงแล้ว อิสลามคือศาสนาที่ง่ายดาย ซึ่งก็มีในอัลกุรอ่าน ถามว่ามันง่ายอย่างไร
วัน: อิสลามละหมาดทุกวัน วันละห้าเวลา แต่ทุกเวลา อ่านเหมือนกัน
อาทิตย์: มุสลิมไปละหมาดวันศุกร์ ฟังคุตบะห์ ไปกันทุกอาทิตย์ แต่ก็รูปแบบเดียวกับการละหมาด
ปี: มุสลิมถือศีลอด การถือก็ไม่ได้มีความยากเลย แต่อย่าลืมว่า ยากกับอดทน มันคนละเรื่องกันนะครับ
ชีวิต: หนึ่งครั้งอย่างน้อย ไปทำพิธีฮัจย์

ดังนั้น ผมมองเห็นอย่างนึง ซึ่งไม่รู้ว่าใครเห็นบ้าง นั่นก็คือ อิสลามมีรายละเอียดพิธีกรรมน้อยมาก ส่วนที่เห็นว่าเยอะ แท้จริงมันคือการทำซ้ำๆ

เมื่อเรามองสิ่งนี้กลับไปยังท่านนบีของเรา เราจะเห็นว่าท่านนบีทำไมประกาศศาสนาแค่ยี่สิบสามปี
ในนั้น มีแค่สิบสามปี ที่นบีเริ่มสอนหุกุ่ม และอิบาดะห์ จนเสร็จสมบูรณ์

ผมไม่ว่านะครับ ใครจะทำอะไรนอกเหนือจากนี้ แต่ต้องการแสดงมุมมองในฐานะของคนที่ไม่ได้เรียนศาสนามาโดยตรง


ศาสนาิอิสลามโดยโครงสร้างภายนอกแล้ว ไม่ได้มีอะไรลำบากมากมายเลย อย่างที่คุณ dabdulla1 กล่าวไว้นั่นแหละครับ .. เรามีอิบาดะฮฺที่ถูกเจาะหรือถูกบังคับไว้อย่างชัดเจนแล้ว แค่ไม่กี่เรื่อง .. เช่น ละหมาด ,ถือศีลอด ,จ่ายซากาต เป็นต้น  ดังนั้น หากเราปฏิบัติสิ่งต่างเหล่านี้ครบสมบูรณ์ เราก็ได้รับความพึงพอใจจากอัลลอฮฺ ตะอาลาแล้ว .. ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เป็นความดีต่างๆ นั้น เป็นแค่เครื่องประดับให้มันสวยงามเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง ..


ส่วนเรื่องของการขัดแย้งหรือมีทัศนะที่แตกต่างกันระหว่างปวงปราชญ์ในปัญหาหรือประเด็นต่างๆ นั้น .. เหล่านี้เป็นความรู้เชิงลึก  ซึ่งบางทีเราอาจจะไม่ได้จำเป็นต้องศึกษาให้ละเอียดอะไรมากมาย เนื่องจากบางทีเราอาจจะไม่ได้ถนัดในด้านนี้ หรืออาจจะมีความจำเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าไปศึกษาได้ ดังนั้น จำเป็นสำหรับเราทุกคน คือ  ต้องศึกษาเรื่องที่เป็นวาญิบให้เข้าใจดีเสียก่อน เช่น  ต้องละหมาดอย่างไรให้ถูกต้อง ,ศีลอดมีวิธีการอย่างไร หรือฮัจญ์มีวิธีการอย่างไร เป็นต้น 


สิ่งนี้ย่อมถือเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการที่เราจะมาพูดถึงประเด็นความขัดแย้งของนักปราชญ์ แต่ก็มิใช่ว่าเราจะทิ้งมันไปเสียเลย  เพราะตราบใดที่ปราชญ์มีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่  ตราบนั้นก็แสดงให้เห็นว่า  นี่คือ ความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ตะอาลา แก่มวลมนุษย์ที่ทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้น และสามารถที่จะเลือกเฟ้นในสิ่งที่เหมาะสมกับเขาที่สุดในแต่ละสถานการณ์ได้


วัลลอฮุ ตะอาลา อะลัม

// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ dabdulla1

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 8
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 :salam:

        ขออัลลอฮทรงตอบแทนครับ ยาซากัลลอฮฮุคอยร็อน

 

GoogleTagged