แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - abumuslimeen

หน้า: [1] 2
1
ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ
http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?page=sub&category=36&id=14237

2
ข้อมูลสำหรับผู้ต้องการทำ Passport และ ติดต่อสอบถามเรื่องต่างๆเกี่ยวกับการทำ/เปลี่ยนแปลง Passport loveit:


หนังสือเดินทาง (Passport)

- ขั้นตอนการยื่นขอหนังสือเดินทางใหม่
- บุคคลบรรลุนิติภาวะ
- ระเบียบการขอหนังสือเดินทางของผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี
- ระเบียบการขอหนังสือเดินทางของผู้เยาว์อายุ 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปี บริบูรณ์
- การรับหนังสือเดินทาง
- หนังสือเดินทางสูญหาย
- การตรวจลงตรา(Visa)
- สถานที่ติดต่อ
หนังสือเดินทางทั่วไป       หนังสือเดินทางราชการ
หนังสือเดินทางชั่วคราว    หนังสือเดินทางฑูต

ข้อควรปฏิบัติในวันมายื่นคำร้อง
โปรดนำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาแสดงให้ครบถ้วน โดยเฉพาะการยื่นคำร้องกรณีผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี และ ผู้เยาว์อายุ 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ หากเอกสารที่นำมาแสดงไม่ครบถ้วน ท่านจะต้องนำเอกสารดังกล่าวมาแสดงเพิ่มเติมในวันรับเล่ม ซึ่งจะทำให้การรับเล่มล่าช้า เนื่องจากต้องใช้เวลาในการบันทึกข้อมูลเอกสารที่นำมาแสดงเพิ่มเติมลงในระบบ ให้ครบถ้วน



ขั้นตอนการยื่นขอหนังสือเดินทางใหม่
รับบัตรคิว
ยื่นบัตรประจำตัวประชาชนที่มีเลข 13 หลัก(หากไม่มีเลข 13 หลัก ต้องนำสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดง) พร้อมเอกสารหลักฐานอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หากเปลี่ยนชื่อสกุล ต้องมีหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ทะเบียนสมรส ฯลฯ มาแสดง เพื่อตรวจสอบข้อมูล

- บันทึกข้อมูลชีวภาพ (วัดส่วนสูง เก็บลายพิมพ์นิ้วมือนิ้วชี้ซ้ายและนิ้วชี้ขวาด้วยเครื่องสแกนเนอร์ และถ่ายรูปใบหน้า )

- แจ้งความประสงค์หากต้องการขอรับเล่มทางไปรษณีย์

ชำระค่าธรรมเนียม 1,000 บาท (และค่าส่งไปรษณีย์ 35 บาทหากประสงค์ให้จัดส่งทางไปรษณีย์) รับใบเสร็จรับเงิน และรับใบนัดรับเล่ม


ท่านจะได้รับหนังสือเดินทาง ดังนี้
หากยื่นที่กรมการกงสุล ผู้ร้องสามารถรับหนังสือเดินทางได้ 2 วันทำการไม่นับวันยื่นคำร้อง หากรับทางไปรษณีย์จะได้รับใน 5 วันทำการ

หาก ยื่นที่สำนักงานสาขาในกรุงเทพฯ (ปิ่นเกล้าและบางนา) ผู้ร้องจะได้รับเล่มภายใน 2 วันทำการไม่นับวันยื่นคำร้อง หากรับทางไปรษณีย์จะได้รับใน 5 วันทำการ

กรณียื่นคำร้องที่สำนักงานสาขาในต่างจังหวัดและขอให้จัดส่งทางไปรษณีย์ผู้ร้อง (ในเขตเมือง) จะได้รับหนังสือเดินทางภายใน 5 วันทำการ

โดย ที่กระทรวงฯ ได้ติดตั้งเครื่องอ่านหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์จำลองเพื่อผู้ร้องสามารถ ทดสอบการผ่านเข้า-ออกท่าอากาศยานโดยอัตโนมัติไว้ 1 เครื่อง ที่กรมการกงสุล ดังนั้นจึงแนะนำให้ผู้ขอหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์มารับเล่มด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้ถือหนังสือเดินทางมีความคุ้นเคยกับการใช้หนังสือเดินทาง อิเล็กทรอนิกส์และระบบตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติ

ในกรณีจำเป็น สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นรับแทนหรือให้จัดส่งทางไปรษณีย์ (EMS)


บุคคลบรรลุนิติภาวะ
เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทางธรรมดาของบุคคลบรรลุนิติภาวะ

- บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรข้าราชการ หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับจริง (ในกรณีที่เป็นบัตรข้าราชการให้นำสำเนาทะเบียนบ้านมาด้วย)

- หากมีรายการแก้ไขชื่อสกุล หรือวันเดือนปีเกิด ฯลฯ ซึ่งไม่ตรงกับบัตรประชาชนให้นำหลักฐานการแก้ไขที่เกี่ยวข้องมาแสดงด้วย

ค่าธรรมเนียม
- การทำหนังสือเดินทางใหม่เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี

ระเบียบการขอหนังสือเดินทางของผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี

ผู้ เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี ต้องนำสูติบัตรฉบับจริง หากเป็นสำเนาต้องได้รับการรับรองสำเนาถูกต้องจาก อำเภอ/เขตมาแสดงพร้อมผู้มีอำนาจปกครอง หากผู้มีอำนาจปกครองไม่สามารถมาดำเนินการได้ สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทนได้ โดยต้องมีหนังสือมอบอำนาจ และหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ พร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนของบิดามารดาและ/หรือผู้มีอำนาจปกครองฉบับจริง มาแสดง ทั้งนี้หนังสือมอบอำนาจและหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศต้อง ผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต

เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทางธรรมดาของผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี
- สูติบัตรฉบับจริง หากเป็นสำเนาสูติบัตรต้องได้รับการรับรองจากอำเภอ/เขต
- บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรที่ใช้แทนได้ตามกฎกระทรวงมหาดไทย ของบิดา มารดา หรือผู้มีอำนาจปกครองฉบับจริง หากชื่อนามสกุลบิดา มารดาในสูติบัตรไม่ตรงกับบัตรประจำตัวประชาชน ให้นำหลักฐานการเปลี่ยนชื่อ หรือ นามสกุลที่เป็นต้นฉบับมาแสดงด้วย ในกรณีที่มารดาหย่า และจดทะเบียนสมรสใหม่ และใช้นามสกุลใหม่ตามสามีให้นำหลักฐานการหย่าและการสมรสที่เป็นต้นฉบับมา แสดงด้วย

- หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศและบัตรประจำตัวประชาชนฉบับ จริงของบิดามารดาที่ไม่มา ในกรณีที่บิดา/มารดาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สามารถมาแสดงตัวได้

- เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรอง บุตรหรือรับบุตรบุญธรรม บันทึกการหย่า ซึ่งมีข้อความระบุให้บุตรอยู่ในความดูแลของบิดา หรือมารดา เป็นต้น

- กรณีบิดา มารดาผู้เยาว์เสียชีวิต / บิดาหรือมารดาผู้เยาว์เป็นชาวต่างชาติมิได้จดทะเบียนสมรสและ ไม่สามารถตามหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาให้ความยินยอมได้ / บิดามารดามิได้จดทะเบียนสมรสแต่บุตรอยู่ในความดูแลของบิดาฝ่ายเดียวมาตลอด และไม่สามารถตามหามารดาได้ ให้นำคำสั่งศาลซึ่งระบุชื่อผู้มีอำนาจปกครอง พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจปกครองมาแสดง

ค่าธรรมเนียม
- การทำหนังสือเดินทางใหม่เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ผู้เยาว์อายุ 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์

ระเบียบการขอหนังสือเดินทางของผู้เยาว์อายุ 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปี บริบูรณ์

ผู้ เยาว์ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปแต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ที่ทำบัตรประชาชนแล้วสามารถติดต่อขอทำ หนังสือเดินทางด้วยตนเอง โดยมีหนังสือยินยอมของบิดาและมารดา หรือ ผู้มีอำนาจปกครองที่ยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านการรับรอง จากอำเภอ / เขตมาแสดงประกอบการยื่นคำร้อง หากไม่มีหนังสือยินยอม บิดาและมารดาหรือผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ต้องมาลงนามต่อหน้าเจ้าหน้าที่ใน วันที่ยื่นคำร้อง (หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาไม่ได้ ให้มาลงนามในวันรับเล่ม) หรือ มีหนังสือยินยอม จากฝ่ายที่มาไม่ได้มาแสดง เอกสารที่นำมายื่นขอหนังสือเดินทางต้องเป็นต้นฉบับหากเป็นสำเนาต้องผ่านการ รับรองสำเนาถูกต้อง จากหน่วยงานที่ออกเอกสารดังกล่าวเท่านั้น



เอกสารประกอบการขอหนังสือเดินทางธรรมดาของผู้เยาว์ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์

- บัตรประจำตัวประชาชนที่ยังมีอายุใช้งาน หรือ บัตรประจำตัวที่ใช้แทนตามกฎกระทรวง มหาดไทย

- หนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศที่ผ่านการรับรองจากอำเภอ/เขต และบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ปกครองพร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง

- เอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็น อาทิ หลักฐานใบเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เอกสารหลักฐานการรับรองบุตรหรือรับบุตรบุญธรรมใบสำคัญการสมรส ทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า ทะเบียนบ้าน คำสั่งศาลกรณีระบุผู้มีอำนาจปกครองแทนบิดามารดา เป็นต้น

ค่าธรรมเนียม
- การทำหนังสือเดินทางเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ความหมายของผู้มีอำนาจปกครอง
กรณีบิดาและมารดาจดทะเบียนสมรส บิดาและมารดาต้องมาลงนาม(ต่อหน้าเจ้าหน้าที่)ในคำร้องขอหนังสือเดินทางทั้ง สองฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สะดวกมาลงนามในวันที่ผู้เยาว์ยื่นคำร้อง ให้มาลงนามในวันรับเล่มได้ หรือทำหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ ผ่านอำเภอ/เขต พร้อมบัตรประชาชนที่มีอายุใช้งานบิดา มารดาตัวจริง


- กรณีที่ผู้มีอำนาจปกครองอยู่ในต่างประเทศ ให้ทำหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ ผ่านสถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลไทยในประเทศที่พำนักอยู่ หากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี และผู้ปกครองไม่สามารถมาดำเนินการด้วยตนเองและประสงค์จะมอบอำนาจให้ผู้อื่น มาดำเนินการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ และหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ โดยหนังสือทั้ง 2 ฉบับ ต้องผ่านการรับรองจาก สอท./สกญ. (สถานทูต/สถานกงสุล) กรณีบิดามารดาหย่าตามกฎหมาย ให้ผู้มีอำนาจปกครองผู้เยาว์ตามที่ระบุในบันทึกการหย่าเป็นผู้ลงนามพร้อม แสดงทะเบียนหย่า และบันทึกการหย่า - ผู้เยาว์ที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรส มารดาสามารถลงนามได้ฝ่ายเดียว โดยให้ทำ บันทึกคำให้การจากอำเภอ/เขต ยืนยันว่าไม่ได้จดทะเบียนสมรสพร้อมแสดงหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชนที่มีอายุ ใช้งานเป็น “นางสาว” ต่อเจ้าหน้าที่รับคำร้อง - มารดาผู้เยาว์ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ใช้คำนำหน้า “นาง” สามารถลงนามได้ฝ่ายเดียว โดย นำหนังสือรับรองการอุปการะบุตรแต่เพียงผู้เดียวจากอำเภอ/เขต มาแสดง

- ผู้เยาว์เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน มารดาต้องมาลงนามให้ความยินยอม บิดา ไม่สามารถลงนามยินยอมให้ผู้เยาว์เพียงฝ่ายเดียวได้ เว้นแต่ว่ามีคำสั่งศาลมาแสดงว่าศาลให้บิดาเป็นผู้อุปการะผู้เยาว์แต่ผู้ เดียว

- บิดามารดาผู้ให้กำเนิดผู้เยาว์ที่ได้ยกผู้เยาว์ให้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้ อื่นแล้ว ไม่สามารถลงนาม แทนบิดามารดาบุญธรรมได้ต้องให้บิดา มารดาบุญธรรมเป็นผู้ลงนาม - เอกสารที่นำมายื่นขอหนังสือเดินทางต้องเป็นต้นฉบับหากเป็นสำเนาต้องได้รับ การรับรองสำเนา ถูกต้องจากหน่วยงานที่ออกเอกสารดังกล่าวเท่านั้น


ข้อควรปฏิบัติในวันมายื่นคำร้อง
กรณีบิดาและมารดาจดทะเบียนสมรส บิดาและมารดาต้องมาลงนาม(ต่อหน้าเจ้าหน้าที่)ในคำร้องขอหนังสือเดินทางทั้ง สองฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่สะดวกมาลงนามในวันที่ผู้เยาว์ยื่นคำร้อง ให้มาลงนามในวันรับเล่มได้ หรือทำหนังสือยินยอมให้ผู้เยาว์เดินทางไปต่างประเทศ ผ่านอำเภอ/เขต พร้อมบัตรประชาชนที่มีอายุใช้งานบิดา มารดาตัวจริง


หมายเหตุ
1. หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์มีอายุการใช้งาน 5 ปี ไม่สามารถต่ออายุ เมื่อหมดอายุต้องทำเล่มใหม่เสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาท

2. หนังสือเดินทางที่สามารถใช้งานได้จะต้องมีอายุการใช้งาน 6 เดือน โปรดตรวจสอบหนังสือเดินทางของท่าน เพื่อให้มีเวลายื่นคำขอทำหนังสือเดินทางเล่มใหม่ก่อนกำหนดการการเดินทาง หากมีอายไม่ถึง 6 เดือน จะไม่สามารถใช้เดินทางได้

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

การรับหนังสือเดินทาง
ประสงค์จะขอให้ผู้อื่นมารับแทน จะต้องทำอย่างไร

- หากมารับด้วยตนเองหรือบุคคลในครอบครัวสามารถใช้บัตรประจำตัวประชาชนพร้อมใบรับหนังสือเดินทาง

- หากให้บุคคลอื่นรับแทนต้องแสดงสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ถือหนังสือ เดินทาง ใบรับหนังสือเดินทางไปแสดง พร้อมบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนาของผู้รับแทน

มีการบริการจัดส่งหนังสือเดินทางทางไปรษณีย์หรือไม่

- มี สามารถแสดงความจำนงเมื่อยื่นคำร้องขอหนังสือเดินทาง ณ ที่ทำการ


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หนังสือเดินทางสูญหาย

หากทำหนังสือเดินทางสูญหาย ต้องทำอย่างไร

- สูญหายในประเทศ ต้องติดต่อแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและรับแจ้งความจากเจ้าพนักงาน ตำรวจมายื่นขอทำหนังสือเดินทางฉบับใหม่และยกเลิกการใช้งานหนังสือเดินทาง ฉบับที่สูญหาย

- สูญหายในต่างประเทศ ต้องแจ้งความหนังสือเดินทางสูญหายต่อทางการท้องถิ่น และนำใบรับแจ้งความดังกล่าวนั้นพร้อมเอกสารแสดงการมีสัญชาติไทยของตนหรือ เอกสารทะเบียนราษฎรที่มีอยู่ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน ฯลฯ ไปติดต่อที่สถานทูต สถานกงสุลไทยที่ใกล้ที่สุด เพื่อขอหนังสือเดินทางเล่มใหม่

หากในกรณีที่ผู้ทำหนังสือ เดินทางสูญหายต้องการเดินทางกลับประเทศไทยเป็นการเร่งด่วน ไม่สามารถรอรับหนังสือเดินทางได้ สถานทูตสถานกงสุลจะออกเอกสารเดินทาง(Certificate of Identity) ให้ใช้เดินทางกลับประเทศไทยได้ครั้งเดียว เมื่อกลับถึงประเทศไทยแล้วเอกสารเดินทางจะหมดอายุการใช้งาน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


การแก้ไขและการทำนิติกรณ์ในหนังสือเดินทาง
หากบุคคลทำการแปลงเพศแล้ว ประสงค์จะแก้ไขคำนำหน้าชื่อ สามารถทำได้หรือไม่
- ไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากกฎหมายไทยถือเพศของบุคคลจากการเกิดเท่านั้น



การตรวจลงตรา(Visa)
หากมีการตรวจลงตรา(visa) ที่ยังมีอายุอยู่ในหนังสือเดินทางฉบับเก่า จะสามารถนำไปผนวกกับเล่มหนังสือเดินทางฉบับใหม่ได้หรือไม่

- ไม่สามารถผนวกเล่มเดิมกับเล่มใหม่ แต่สามารถยื่นคำร้องขอบันทึกการถือหนังสือเดินทางเล่มเดิมในเล่มใหม่ และสามารถนำวีซ่าในเล่มเดิมที่ยังมีอายุใช้งานคู่กับหนังสือเดินทางเล่มใหม่



ทำไมการเดินทางไปต่างประเทศจึงต้องมีหนังสือเดินทางที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน

- ถือเป็นหลักปฏิบัติและเป็นกฎเกณฑ์สำหรับบางประเทศที่จะต้องมีหนังสือเดินทาง ที่มีอายุมากกว่า 6 เดือนก่อนการเดินทางออกนอกประเทศ หากหนังสือเดินทางกำลังจะหมดอายุก่อน จะต้องต่ออายุ หรือยื่นคำร้องขอหนังสือเดินทางใหม่ ทังนี้ ควรตรวจสอบกับสถานทูตสถานกงสุลของประเทศที่กำลังจะเดินทางเกี่ยวกับข้อกำหนด ต่างๆ ก่อนเดินทาง





--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สถานที่ติดต่อ

กรมการกงสุล
123 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210
โทรศัพท์ 0-2981-7171-99 , 0-2981-7257-8
โทรสาร 0-2981-7256

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปิ่นเกล้า
อาคารธนาลงกรณ์ทาวเวอร์ (ชั้นใต้ดิน) แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กทม.10700
โทรศัพท์ 0-2446-8111-2 โทรสาร 0-24468118-9

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว บางนา
ศูนย์การค้าเซ็ลทรัลซิตี้ บางนา บริเวณลานจอดรถ ชั้น P9
โทรศัพท์ 0-2383-8401-3 โทรสาร 0-2383-8398

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดขอนแก่น
ศูนย์ราชการจังหวัดขอนแก่น ถนนศูนย์ราชการ จังหวัดขอนแก่น
โทรศัพท์ 0-4324-2707, 0-4324-3462, 0-4324-2655 โทรสาร 0-4324-3441

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดเชียงใหม่
ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
โทรศัพท์ 0-5389-1535-6 โทรสาร 0-5389-1534

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดสงขลา
ศาลากลางจังหวัดสงขลา (หลังเก่า) ชั้น 1 ถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ.สงขลา 9000
โทรศัพท์ 0-7432-6510-1 โทรสาร 0-7432-6506

สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว จังหวัดอุบลราชธานี
อาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัด
โทรศัพท์ 0-4524-2313-4 โทรสาร 0-4524-2301

3
ถ้าจะห้ามภรรยาไม่ให้ไปเอี๊ยะติก๊าฟที่มัสยิดได้ป่าวครับ...(10 คืนสุดท้ายรอมฎอน)

เพราะว่าเกรงจะเกิดฟิตนะ... เพราะมีผู้ชายเยอะ...ผมคิดว่าน่าจะทำอาม้าลอิบาดะฮฺที่บ้านดีกว่า...

ควรจะอธิบายภรรยาว่าอย่างไรดีครับ... loveit:

4
บทความ : วงการแพทย์กับการถือศลอด งดกินข้าวปลา



Medical Benefits of Fasting (Ramadan)


        Most Submitters (Muslims) do not fast because of medical benefits but because it has been ordained to them in the Quran. The medical benefits of fasting are as a result of fasting.

          Fasting in general has been used in medicine for medical reasons including weight management, for rest of the digestive tract and for lowering lipids. There are many adverse effects of total fasting as well as so-called crash diets. Islamic fasting is different from such diet plans because in Ramadan fasting, there is no malnutrition or inadequate calorie intake. The caloric intake of Muslims during Ramadan is at or slightly below the national requirement guidelines. In addition, the fasting in Ramadan is voluntarily taken and is not a prescribed imposition from the physician.

          Ramadan is a month of self-regulation and self-training, with the hope that this training will last beyond the end of Ramadan. If the lessons learned during Ramadan, whether in terms of dietary intake or righteousness, are carried on after Ramadan, it is beneficial for one’s entire life. Moreover, the type of food taken during Ramadan does not have any selective criteria of crash diets such as those which are protein only or fruit only type diets. Everything that is permissible is taken in moderate quantities.

          The only difference between Ramadan and total fasting is the timing of the food; during Ramadan, we basically miss lunch and take an early breakfast and do not eat until dusk. Abstinence from water during this period is not bad at all and in fact, it causes concentration of all fluids within the body, producing slight dehydration. The body has its own water conservation mechanism; in fact, it has been shown that slight dehydration and water conservation, at least in plant life, improve their longevity.

          The physiological effect of fasting includes lower of blood sugar, lowering of cholesterol and lowering of the systolic blood pressure. In fact, Ramadan fasting would be an ideal recommendation for treatment of mild to moderate, stable, non-insulin diabetes, obesity and essential hypertension. In 1994 the first International Congress on "Health and Ramadan," held in Casablanca, entered 50 research papers from all over the world, from Muslim and non-Muslim researchers who have done extensive studies on the medical ethics of fasting. While improvement in many medical conditions was noted; however, in no way did fasting worsen any patients’ health or baseline medical condition. On the other hand, patients who are suffering from severe diseases, whether diabetes or coronary artery disease, kidney stones, etc., are exempt from fasting and should not try to fast.

          There are psychological effects of fasting as well. There is a peace and tranquility for those who fast during the month of Ramadan. Personal hostility is at a minimum, and the crime rate decreases. ... This psychological improvement could be related to better stabilization of blood glucose during fasting as hypoglycemia after eating, aggravates behavior changes. ... Similarly, recitation of the Quran not only produces a tranquility of heart and mind, but improves the memory.

          [2:185] Ramadan is the month during which the Quran was revealed, providing guidance for the people, clear teachings, and the statute book. Those of you who witness this month shall fast therein. Those who are ill or traveling may substitute the same number of other days. GOD wishes for you convenience, not hardship, that you may fulfill your obligations, and to glorify GOD for guiding you, and to express your appreciation.

International Community of Submitters / Masjid Tucson
http://www.masjidtucson.org/contact.html
ICS / Masjid Tucson
PO Box 43476Tucson, AZ 85733
U.S.A.
                   

 

ข้อมูลโดย : สมาคมมุสลิมสากล  มัสยิดตัคสัน  สหรัฐอเมริกา
แปลโดย : anti-bid'ah



การถือศีลอดกับประโยชน์ทางการแพทย์


        อนึ่ง มุสลิมส่วนมากมิได้มีใจสเหน่หาที่จะถือศิลอดเพราะประโยชน์ทางการแพทย์  แต่เพราะการถือศิลอดนั้นเป็นคำสั่งจากพระเจ้า อย่างไรก็ตามการถือศิลอดยังมีประโยชน์ในแง่ของวงการแพทยศาสตร์

          โดยทั่วไปแล้วการอดอาหารมีส่วนกี่ยวข้องกับวงการแพทย์ในการรักษาโรคและการ ควบคุมอาหาร  การหยุดพักการทำงานของระบบย่อยอาหารชั่วคราว และการลดระดับลิพิด(ผู้แปล-ไขมันซึ่งเป็นสสารที่ไม่สามารถละลายในน้ำได้)  การอดอาหารส่งผลเสียหลายประการด้วยกัน เรียกว่า การลดความอ้วนสู่หายนะ อย่างไรก็ตามการอดอาหารแบบอิสลามมีความแตกต่างกับการอดอาหารเพื่อสรีระร่าง กาย เพราะการถือศีลอดในช่วงเดือนรอมาฏอน(ผ้แปล-เป็นเดือนหนึ่งตามแบบอิสลาม จำนวนของเดือนอิสลามจะต่างกับเดือนสากล กล่าวคือเดือนอิสลามมี 29vหรือ30 วัน แต่เดือนสากลมี 28 หรือ 29 หรือ30 วัน) มิได้เข้าข่ายที่จะเกี่ยวข้องกับภาวะขาดสารอาหาร หรือ การบริโภคพลังงานความร้อนอย่างไม่เพียงพอ ปัจจัยในการบริโภคพลังงานของมุสลิมในช่วงเดือนรอมาฏอน ขึ้นอยู่กับกับความต้องการของประชาชนในการบรโภค กล่าวอีกในหนึ่งได้ว่า การถือศิลอดเป็นการกระทำโดยสมัครใจ มิได้มีผลเสียในทางวงการแพทย์แต่อย่างใด

          เดือนรอมาฏอนเนเดือนที่มีกฏข้อบังคับและฝึกฝนตัวเองในตัวและหวังว่าการฝึกฝน ดังกล่าวจะดำเนินเรื่อยไปจนกระทั่งสิ้นสุดสุดท้ายของเดือนรอมาฏอน  หากบทเรียนที่ได้รับในช่วงเดือนรอมาฏอน ไม่ว่าจะบริโภคอาหารเพื่อลดความอ้วนหรือเพื่อความดี ยังดำเนินต่อไปแม้ว่าเดือนรอมาฏอนจะหมดแล้วก็ตามที  ดังกล่าว ถือเป็นการดีสำหรับรูปแบบการดำเนินชั่วชีวิตของเขา  ยิ่งไปกว่านั้นการบริโภคอาหารต่างในช่วงเดือนรอมาฏอนมิได้มีกฏเกณฑ์ในการ เลือกรับประทานอาหารแต่ประการใดว่าจะต้องเป็นอาหารประเภทโปรตีนหรือผลไม้ เพื่อลดความอ้วน  แต่ควรบริโภคอาหารทุกประเภทที่เป็นที่อนุญาตตามปริมาณที่เหมาะสม

          ความแตกต่างระหว่างการถือศิลอดช่วงเดือนรอมาฏอนกับการอดอาหารทั่วไปคือช่วง เวลาการรับประทานอาหาร  กล่าวคือ ในช่วงเดือนรอมาฏอน  โดยทั่วๆไปแล้ว  เราไม่รับประทานอาหารกลางวัน แต่จะรับประทานอาหารเช้าแต่เนิ่นๆ และจะไม่รับประทานอาหารกว่าจะโพล้เพล้เสียก่อน  การควบคุมตัวเองจากการดื่มน้ำในช่วงถือศิลอดมิได้เป็นอันตรายแต่ประการใด  แท้จริงแล้ว การถือศิลอดเป็นสาเหตุทำให้เระดับความเข้มข้นของของเหลวในร่างกายลดการสู ยเสียน้ำได้ในระดับหนึ่ง  ร่างกายจะมีอวัยวะในส่วนต่างคอยป้องกันการสูญเสียน้ำในร่างกาย
ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการศูญเสียน้ำเพียเล็กน้อยและการ้องกันการญญเสียน้ำ อย่างน้อยๆแล้วในชีวิตของพืชนั้น้นช่วยยืดชีวิตให้ยาวขึ้น

          ผลลัพธ์การถือศิลอดในทางสรีรศาสตร์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และลดความดันโลหิตสูงสุดที่เกิดขึ้นหลังระยะการบีบตัวของห้องหัวใจ การถือศิลอดช่วงเดือนรอมาฏอนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการแสดงออกถึงความ ถ่อมตนตามแนวทางสายกลาง สงบจิตสงบใจ โรคเบาหวานมี่ไม่ต้องใช้อินซูลิน (ฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) ลดน้ำหนักมที่ากเกินไปและคลดวามดันโลหิตสูง  ในปี ค.ศ1994 การประชุมนานาชาติ ในหัวข้อ “สุขภาพกับเดือนรอมาฏอน” ณ รัฐกาซาบลังกา (รัฐหนึ่งของโมรอกโค) มีการนำผลการวิจัยอย่างละเอียดจำนวน 50 เล่ม จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งมีนักวิจัยทั้งมุสลิมและมิใช่มุสลิมไม่ใช่มุสลิมนำเสนอผลการศึกษา จริยธรรมการรักษาทางการแพทย์ด้วยการถือศิลอด  ขณะที่มีการบันทึกความเจริญก้าวหน้าด้านสุขภาพทางการแพทย์ อย่างไรก็ตามเป็นไปไม่ได้เลยที่การถือศิลอดจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพในการ รักษาทางการแพทย์ต่อผู้ป่วย อีกประการหนึ่ง ผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากโรคร้ายแรงต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ที่หัวใจอุตตัน นิ่วในไต เป็นต้น โรคดังกล่าวเป็นโรคที่ได้รับการยกเว้น จากการถือศิลอดและควรหลีกเลี่ยงการถือศิลอด

          ผลลัพธ์การถือศิลอดทางจิตวิทยาก็เช่นกัน  ทำให้ผู้ที่ถือศิลอดช่วงเดือนรอมาฏอนเกดความสันติ และ สงบ การมาดร้าย อาฆาตของแต่ละบุคคลลดน้อย ถอยลง การกระทำที่ผิดศิลธรรมลดลง  วิวัฒนาการทางจิตวิทยามีส่วนเกี่ยวโยงกับเสถียรภาพของกลูโกสในเลือดในช่วง การอดอาหารเนื่องจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะทางจิตยังมีส่วยยั่วยุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมอีกด้วย  ฉันใดก็ฉันนั้น การท่องจำพระมหาคัมภีห์อัลกุรอานไม่ใช่แค่เพิ่มความขันติธรรมในจิตใจเท่า นั้นแต่ยังช่วยพํฒนาความทรงจำอีกด้วย

          อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้ทรงตรัส ความว่า
          "เดือนรอมฏอนนั้น เป็นเดือนที่อัลกรุ-อานได้ถูกประทานลงมาในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จดังนั้นผู้ใดในหมูพวก เจ้าเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น และผู้ใดป่วย หรืออยู่ในการเดินทาง ก็จงถือใช้ในวันอื่นแทนอัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้มีความสะดวกแก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้าและเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ให้ครบถ้วน ซึ่งจำนวนวัน(ของเดือนรอมฏอน) และเพื่อพวกเจ้าจะได้ให้ความเกรียงไกรแด่อัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ทรงแนะนำ แก่พวกเจ้าและเพื่อพวกเจ้าจะขอบคุณ" (2: 185)


วัลลอฮุอะอฺลัมบิศศ่อวาบ
วัสสลามุอะลัยกุม วะรอห์มะตุลลอฮิ วะบะรอกาตุฮฺ


อ้างอิงจาก: คุณ anti-bid'ah

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=5022.msg50885#msg50885

5
การถือศีลอดในทัศนะทางการแพทย์


อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 183 ว่า

«يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا كُتِبَ عَلَيْكُمُ الصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى الَّذِينَ مِنْ قَبْلِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ» (البقرة/183)

ความว่า “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย การถือศีลอดได้ถูกบัญญัติแก่พวกเจ้า ดังเช่นได้ถูกบัญญัติแก่ประชาชาติก่อนเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง” ( ซูเราะฮฺอัลบาเกาะเราะฮฺ : 183 )

การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน เป็นอิบาดะฮฺเฉพาะอย่างหนึ่ง ได้ถูกบัญญัติลงมาใน เดือนชะอฺบานปีที่ 2 แห่งฮิจญ์เราะฮฺศักราช เป็นอิบาดะฮฺที่เน้นการงานทางด้านจิตวิญญาณเป็นสำคัญ คือให้คนรู้จักความอดทน อดกลั้นหรือละเว้นจากการกิน การดื่ม การร่วมรสระหว่างสามีภรรยา รวมถึงการกระทำในสิ่งที่ไร้สาระหรือขัดต่อคุณธรรม เริ่มตั้งแต่รุ่งอรุณจนถึงตะวันลับขอบฟ้า ด้วยเจตนา(เนียต)เพื่อพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น

การถือศีลอดมิใช่ ความอดอยาก เพราะการถือศีลอดมีจุดม่งหมายและหลักปฏิบัติอย่างชัดเจน มุอฺมินผู้ศรัทธาเชื่อว่าจะต้องมีหิกมะฮฺ (เคล็ดลับ) อย่างแน่นอน เช่น สำนักการแพทย์ธรรมชาติบำบัดที่เน้นการบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีการอดอาหารเป็น หลัก ในโอกาสนี้จะขออธิบายถึงหลักการบางอย่างที่เกี่ยวกับการถือศีลอดว่า มีความสอดคล้องหรือขัดต่อหลักวิชาการแพทย์อย่างไรหรือไม่ เป็นพอสังเขป ดังนี้

1. ระยะเวลาการถือศีลอด

การถือศีลอดเราะมะฎอนหรือถือศีลอดสุนัตก็ดี จะใช้ระยะเวลาในการละเว้นจากสิ่งต้องห้ามโดยเฉลี่ยประมาณ 13 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งโดยปกติเราทุกคนมีการอดอาหารอยู่แล้วครั้งละ10-12 ชั่วโมง คือหลังอาหารเย็น(ค่ำ)จนถึงการกินอาหารในวันเช้าใหม่และในการตรวจวินิจฉัย โรคบาอย่าง เช่น การเจาะเลือดผู้ป่วยก็ต้องอดอาหารเป็นระยะเวลา 10-12 ชั่วโมง เช่นกัน ดังนั้นจะเห็นว่าระยะเวลาของการถือศีลอดไม่ขัดต่อหลักการตามธรรมชาติที่อัล ลอฮฺกำหนด(สุนนะตุลลอฮฺ)หรือหลักทางการแพทย์แต่อย่างใด แต่จะมีความแตกต่างกันอยู่ที่ช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน ซึ่งการถือศีลอดยึดเอาช่วงเวลากลางวันเป็นหลัก ก็เพราะมีจุดประสงค์ที่มากกว่าการอดอาหารทั่วไปนั้นอง

2. การเปลี่ยนแปลงในร่างกาย

การถือศีลอดจะทำให้ร่างกายต้องขาดพลังงานจากสาร อาหารและต้องสูญเสียน้ำจากการขับถ่ายออกจากร่างกาย การสูญเสียน้ำมากกว่า 2% ของน้ำหนักตัวจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำ และเมื่อระดับในน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดและเซลล์ลดลงก็จะทำให้รู้สึกหิว ซึ่งจะเกิดอาการหลังจากการอดไปแล้วประมาน 6 - 12 ชั่วโมง ซึ่งเรียกนี้ว่าระยะหิวโหย

ระดับน้ำตาลกลลูโคสและน้ำลดที่ลดลงจะกระตุ้น เซลล์ประสาท(นิวรอน)บริเวณฮัยโปทาลามัส(Hypothalamus)ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น ศูนย์ควบคุมความหิว ศูนย์อิ่มและศูนย์กระหายน้ำ สำหรับคนที่มีร่างกายปกติมีเจตนาอย่างแน่วแน่และมีความเชื่อมั่นต่อบท บัญญัติของอัลลอฮฺแน่นอนจะไม่ทำให้เขาถึงขั้นมีอาการหน้ามืดหรือหมดสติไป เพราะระบบต่างๆ ในร่างกายจะช่วยประสานงานกันโดยอัตโนมัติเพื่อที่จะรักษาสมดุลให้เกิดขึ้นใน ร่างกาย

ในระยะแรกร่างกายจะเริ่มมีการสลายพลังงานในรูป ของไกลโคเจนที่เก็บสะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ โดยมีฮอร์โมนกลูกากอนจากตับอ่อนมาช่วยในปฏิกิริยาเคมีนี้จะได้น้ำตาลกลูโคส เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป ส่วนต่อมหมวกไต(Adrenal Gland)ในส่วนใน(Medulla) ก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่งเอพิเนฟริน( Epinephrine )เพิ่มมากขึ้น และมีผลทำให้เซลล์อื่นๆใช้พลังงานลดน้อยลงด้วย

ถ้าพลังงานที่ได้รับจากการสลายไกลโคเจนไม่เพียง พอ ก็จะสลายพลังงานสำรองในรูปของไขมัน ซึ่งกรดไขมันอิสระออกมาสู่กระแสเลือดและจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกลูโคสเพื่อนำไป ใช้เป็นพลังงานต่อไป ส่วนการรักษาดุลน้ำและเกลือแร่ก็เป็นหน้าที่ของ Hypothalamus เช่นกันที่จะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองได้หลั่งฮอรโมน Vasopressin หรือ ADH จะมีผลทำให้ไตมีการดูดซึมน้ำกลับมาใช้เพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ปัสสาวะน้อยลงและ มีสีเข้มมากกว่า

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าอัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่ง เกี่ยวกับการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายของมนุษย์และพระองค์ก็ได้กำชับให้ เราศึกษาเกี่ยวกับตัวของเราเอง ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ

«وَفِي أَنْفُسِكُمْ أَفَلا تُبْصِرُونَ» (الذاريات/21)

ความว่า : "และในตัวของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เห็นอะไรดอกหรือ?” (อัซ-ซารียาต : 21)

3. การละศีลอด

ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้แนะนำวิธีการละศีลอดไว้อย่างไร?

เมื่อเวลาละศีลอด อิสลามให้เรารีบละศีลอดก่อนที่จะดำรงการละหมาดและแนะนำให้ละศีลอดด้วยลูก อินทผลัมหรือด้วยน้ำ มีรายงานจากท่านอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า “ปรากฏว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ละศีลอดด้วยอินทผลัมที่สุกงอมก่อนที่จะไปละหมาด ถ้าไม่มีอินทผลัมที่สุกงอมก็จะแก้ด้วยอินทผลัมที่แห้ง ถ้าหากไม่มีอินทผลัมที่แห้งก็จะจิบน้ำหลายจิบ” (บันทึกโดย อะหมัด, อบู ดาวูด, อิบนุ คุซัยมะฮฺ และอัต-ติรมิซีย์)

ในลูกอินทผลัมมีอะไรหรือ ? จากการวิจัยทางด้านโภชนาการทำให้เราทราบว่า ในลูกอินทผลัมที่สุกงอมนั้นประกอบด้วย น้ำตาลฟรุกโตส น้ำ วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสจัดเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่รร่างกายชนิดหนึ่ง มีการดูดซึมบริเวณลำไส้เล็ก โดยวิธี Facilitate diffusion ซึ่งไม่ต้องใช้พลังงาน ส่วนน้ำตาลกลูโคสและกาแลกโตสนั้นจะดูดซึมแบบ Secondary Active ซึ่งต้องอาศัยทั้งตัวพาและพลังงาน

ดังนั้นในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนเพลียจากการ ขาดพลังงานและน้ำ ลูกอินทผลัมน่าจะเป็นผลไม้ที่ดีชนิดหนึ่งสำหรับผู้ที่ถือศีลอด ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่มีรสหวานก็สามารถทานได้(แต่ไม่ใช่ซุนนะฮฺ)

ในทางตรงกันข้ามถ้าละศีลอดด้วยน้ำเย็นหรืออาหาร หนักและอิ่มมากจนเกินไปก่อนจะไปละหมาดแทนที่เราจะได้พลังงานกลับคืนมาอย่าง เร็ว เรากลับต้องเสียพลังงานไปเนื่องจากเลือดจะถูกส่งไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้ เพิ่มมากขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง(สมองต้องการนำตาลกลูโคสประมาณ 40 % จากทั้งหมด) จึงทำให้มีอาการมึนงง เวียนศรีษะ อ่อนเพลีย แน่นหน้าอกและง่วงซึมได้ ดังนั้นในขณะที่แก้ศีลอดท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวคำดุอาอ์ว่า

ذهب الظمأ وابتلت العروق وثبت الأجر إن شاء الله

ความว่า "ความกระหายน้ำได้สูญหายแล้ว เส้นโลหิตได้ชุ่มชื่นและจะได้รับการตอบแทนอย่างแน่นอน อินชาอัลลอฮฺ” (อบู ดาวูด, อัล-บัยฮะกีย์ และอัล-หากิม)

4. จุดประสงค์ของการถือศีลอด

มนุษย์อาจจะมีฐานะที่สูงส่งหรือต่ำต้อยกว่า สัตว์เดรัจฉานก็ได้ ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและอิบาดะฮฺของเขาต่ออัลลอฮฺประกอบกับความสามารถในการ ใช้สติปัญญาและจิตสำนึก เพื่อเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำหรือกิเลสได้ จะต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นการพิเศษอย่างต่อเนื่องกับปัจจัยที่มีความสำคัญ สำหรับชีวิตโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่นการถือศีลอดเราะมะฎอน

ทำไมเราจะต้องอดน้ำอดอาหารทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดยปกติแล้ว เป็นสิ่งที่ได้อนุมัติ(หะลาล)สำหรับมนุษย์ รวมถึงการหลับนอนร่วมรสระหว่างสามีภรรยาในเวลากลางวันต้องกลับมาเป็นสิ่งที่ ต้องห้ามในเดือนเราะมะฎอน

คำตอบก็คือ เพื่อพิสูจน์ความเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกหิวโหยหรืออารมณ์ ใฝ่ต่ำเขาสามารถควบคุมได้ซึ่งต่างกับสัตว์เดรฉานที่พร้อมจะสนองตอบอารมณ์ อยากใคร่ของมันได้ทุกเมื่อดังนั้นเมื่อเดือนเราะมะฎอนสิ้นสุดแล้วจะมีการ เฉลิมฉลองความสำเร็จที่เรียกว่าอีดุลฟิฏร์ คือเฉลิมฉลองการมีใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็ง หลุดพ้นจากการครอกงำของของฮาวานัฟสูหรือชัยฏอนนั่นเอง

ดังนั้นการดำรงชีวิตของมุอฺมินทุกคนหลังจากเราะ มะฎอนแล้ว จะเปรียบเสมือนชีวิตของคนที่ในสภาวะการถือศีลอดตลอดไป เขาจะต้องอดกลั้น ละเว้นจากการกระทำในสิ่งที่เป็นหะรอม(ทุจริต คอรัปชั่น คดโกง รับสินบน รับส่วย กินดอกเบี้ย เป็นต้น) และต้องห่างไกลจากการกระทำซินา ได้อย่างง่ายดายด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเขาได้บรรลุถึงขั้น อัล-มุตตะกีน (ผู้ยำเกรง ผู้สำรวม) นั่นเอง ซึ่งอัลลออฮฺได้ให้คำมั่นสัญญาว่า

«إِنَّمَا يَتَقَبَّلُ اللَّهُ مِنَ الْمُتَّقِينَ» (المائدة/27)

ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับงานของผู้ตักวาเท่านั้น” (อัล-มาอิดะฮฺ : 27)

5. บทสรุป

จากคำอธิบายโดยย่อๆ ข้างต้น พอจะสรุปได้ว่าแท้จริงการถือศีลอดนั้น ไม่ขัดต่อหลักการแพทย์แต่อย่างใด เพราะคุณสมบัติบางประการของผู้ที่ถือศีลอดนั้นต้องเป็น มุอ์มินที่มีสุขภาพดี และมิใช่ผู้ที่มีอุปสรรคบางอย่าง (ดูรายละเอียดในวิชาฟิกฮฺ) ส่วนบุคคลที่มีอุปสรรคจริงๆ จะได้รับการผ่อนผันหรือยกเว้นจากการถือศีลอดโดยบุคคลกลุ่มหนึ่งจะต้องถือศีล อดใช้และกลุ่มหนึ่งต้องจ่ายฟิดยะฮฺแทน นั่นก็เป็นเพราะความเมตตาและรอบรู้ของอัลลลอฮฺเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี กลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์นั้นเอง

แน่นอนมิใช่ความประสงค์ของอัลลลอฮฺหากว่าอิบาดะ ฮฺนั้นจะนำไปสู่ความสูญเสีย(ทำให้เกิดโรค)แก่บ่าวของพระองค์ มีนักวิชาการอเมริกาคนหนึ่งชื่อนายแพทย์ Allan Cott ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “ Why Fast?” (ทำไม่ต้องถือศีลอด) ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยของเขาจากหลายๆ ประเทศ เขาได้สรุปถึงเคล็ดลับของการถือศีลอดไว้ 10 ข้อ ดังนี้

1. to feel better physically and mentally
= ทำให้รู้สึกว่ามีสุขภาพและจิตใจที่ดีขึ้น

2. to look and feel younger
= ทำให้มองเห็นและรู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น

3. to clean out the body
= ทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน

4. to lower blood pressure and cholesterol levels
= ช่วยลดความดันโลหิตสูง และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

5. to get more out of sex
= ช่วยลดความรู้สึกอารมณ์ใคร่ (เซ็กส์)

6. to let the body health itself
= ช่วยให้ร่างกายบำบัดตนเอง

7. to relieve the tension
= ช่วยลดความตึงเครียด

8. to sharp the sense
= ช่วยให้สติปัญญาเฉียบแหลม

9. to again control of ourselves
= ทำให้สามารถควบคุมตนเองได้

10. to slow the aging process
= ช่วยชะลอความชรา

นอกจากหิกมะฮฺดังกล่าวแล้ว ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ยังกล่าวไว้ มีใจความ “แด่ ผู้ถือศีลอดนั้น เขาจะได้รับความสุขสองประการคือ ความสุขเมื่อถึงยามละศีลอด และจะมีความสุขเมื่อได้พบกับผู้อภิบาลของเขา(ในวันกียามัต)” พร้อมกับรางวัลที่สูงสุดคือสวนสวรรค์ ซึ่งเขาจะเดินเข้าทางประตู อัร-ร็อยยาน ที่ได้สร้างเฉพาะแก่บรรดาผู้ที่ถือศีลอดด้วยความสุจริตใจต่ออัลลอฮฺเท่านั้น

เขียนโดย : นพ.มุหัมมัดดาวูด อับดุลลอฮฺ (เจ๊ะเลาะ)

ญาซากุมุลลอฮุคอยร็อน : www.iqraonline.org และ www.islamhouse.com

6
Advance DETOX in รอมฎอน

นักโภชนาการบำบัดกล่าวว่า ..พูดง่ายๆว่าการอดอาหารไม่เพียงแต่เหมาะกับคนเราในปัจจุบัน, แต่มันเป็นสิ่งจำเป็น
ใน ระดับกายภาพ ..การถือศีลอดมีประโยชน์มากมาย คุณพักการทานอาหารเพื่อพักระบบย่อยอาหารของคุณ เมื่อระบบย่อยอาหารมีการพักผ่อน, ไม่เพียงมันจะรักษาและทำให้สมบูรณ์,ร่างกายของเราไม่ต้องยุ่งกับการย่อย อาหาร ทำให้ระดับพลังงานของคุณเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากการย่อยอาหารใช้พลังงาน 50% ของพลังงานทั้งหมด การถือศีลอดยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับล้างสารพิษ (DETOX) สิ่ง นี้เกิดขึ้นเนื่องจากการทำให้ร่างกายพักจากสารพิษจำนวนมากในแต่ละวันซึ่งมา จาก บุหรี่,คาเฟอีน,น้ำอัดลม,ของหวาน หรือ อาหารที่มีเครื่องปรุงรสและสีผสมอาหาร เมื่อเรารับสารพิษน้อยลง ตับซึ่งเป็นอวัยวะหลักในการขัล้างสารพิษ จะมีโอกาสฟื้นฟูและทำงานได้ดีขึ้น
 
-การถือศีลอดจะเพิ่มคุณภาพการหลับและทำให้หลับสนิทมากขึ้น
-กระบวนการสังเคราะห์ของสมองเกิดขึ้น ใน ช่วงหลับลึกนั่นคือโมเลกุลโปรตีนของสมองจะถูกสังเคราะห์ในสมองในขณะหลับลึกและถูกใช้เพื่อฟื้นฟูการทำงานส่วนมันสมอง  และยังเร่งการสังเคราะห์โมเลกุลของความจำด้วย
-ระหว่างการถือศีลอด สารคล้ายยาชาเรียกว่า opioids(หรือ endorphins) (สารเคมีที่ปล่อยจาก สมองเพื่อลดอาการเจ็บปวดหรือปรับอารมณ์) ถูกปล่อยออกมาเข้าสู่ร่างกาย พวกเขาจะได้รับผล กระทบคือทำให้สงบขึ้นพอๆกับทำให้จิตใจแจ่มใสร่าเริง(elating effect) สิ่งนี้เป็นตัวป้องกันจากอาการ ป่วยเนื่องจากจิตใจ
-การถือศีลอดยังช่วยให้มีการหลั่งสารแห่งความรักคือ "ทีโอโบรมีน" (theobromine) และ "เฟนิลเอทิลามิน" ( phenylcthylaminc) ออกจากสมองด้วย ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้พบในสมองของคนในขณะที่มีความรัก
-ประโยชน์ที่จะได้รับจากการถือศีลอดนั้นมีอยู่มากทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ทางด้านร่างกายนั้นการถือศีลอดนับว่าเป็นการรักษาสุขภาพคามธรรมชาติ ไม่มีผลร้ายค้างเคียงเหมือนกับการรักษาด้วยวิธีการใช้ยา การถือศีลอดช่วยขจัดโรคหรือทำให้โรคต่างๆ หายหรือมีอาการดีขึ้น ในขณะที่ร่างกายขจัดสารพิษออกไปจะขจัดโรคต่างๆ มีอาการเบาบางลง
 
โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหอบหืดและลมพิษ โรคไขข้ออักเสบ โรคข้ออักเสบรูมะตอยด์ บวมตามข้อมือข้อเท้า เส้นเลือดขอด โรคอ้วน โรคเบาหวาน อาการท้องผูกเรื้อรัง โรคไต โรคตับ , ETC
 
 
reference:
www.muslimthai.com
www.islamonline.net
www.womanthismonth.com


7

สุขภาพดีในรอมฎอน




      ในเดือนอันประเสริฐแห่งรอมฎอนนี้ มีประโยชน์และคุณค่ามากมาย อันมิอาจกล่าวได้ทั้งหมด ณ ที่นี้ แต่เราจะขอหยิบยกในบางแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเท่านั้น อันจะทำให้เรามีอีมานที่มั่นคง และรู้สึกถึงความกรุณาอันเหลือล้นที่อัลลอฮฺทรงประทานสิ่งนี้มาให้แก่บรรดา ผู้ศรัทธา
อัลลอฮฺทรงบอกแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายถึงประโยชน์ของการถือศีลอดไว้ว่า
وَأَن تَصُومُواْ خَيْرٌ لَّكُمْ إِن كُنتُمْ تَعْلَمُونَ“
       
... และการที่พวกเจ้าถือศีลอดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าแก่พวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้” อัลบากอเราะฮฺ [2.184]
        จากอายะฮฺดังกล่าวเป็นการยืนยันจากอัลลอฮฺว่าการถือศีลอดจะเป็นสิ่งที่ดีใน หลายๆแง่มุม นั่นรวมถึงแง่มุมทางสุขภาพด้วย ดังปรากฏในรายงานการวิจัยหลายชิ้นงานที่ยืนยันในเรื่องนี้ เช่น การถือศีลอดจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิตซิสโตลิก หรือ อาจจะเป็นการปรับสมดุลของของเหลวและแร่ธาตุในร่างกาย เป็นต้น

        การถือศีลอดไม่เหมือนกับการอดอาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆ ผู้ศรัทธาไม่ได้อดอาหารเพราะเป็นคำสั่งของแพทย์ ผู้ศรัทธาไม่ได้อดอาหารทั้งวันทั้งคืน เราไม่ได้อดอาหารหรือเลือกกินอาหารบางชนิดเป็นการเฉพาะ เช่น ไม่ได้เลือกกินเฉพาะผักหรือผลไม้อย่างเดียว แต่เราก็คงรับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และยังมีผลดีจากขั้นตอนหรือซุนนะฮฺต่างๆที่เราปฏิบัติพร้อมๆกันในรอมฎอน เช่น แบบอย่างการรับประทานอาหารซุฮูร การเร่งละศีลอดโดยไม่เนิ่นเวลาให้ช้าออกไป การละหมาดตะรอวีฮ-กิยามุลลัยลฺ การอ่านอัลกุรอาน ล้วนแล้วแต่จะเป็นผลดีทั้งสิ้น
     ไม่ใช่เพียงแต่ผลดีทางด้านร่างกายเท่านั้น แต่การถือศีลอดยังมีผลดีทางด้านจิตใจ ความสงบและความยำเกรงต่ออัลลอฮฺที่เกิดขึ้นมีผลต่อสุขภาพจิตอย่างไม่ต้อง สงสัย นอกจากนี้ การถือศีลอดยังเป็นโอกาสดีของการปรับพฤติกรรมสุขภาพที่เป็นปัญหาอยู่ เช่น การเลิกสูบบุหรี่ ปรับพฤติกรรมการกินอย่างฟุ่มเฟือย ลดการกินอาหารขยะทั้งหลาย รวมถึงการสร้างพฤติกรรมที่ดีต่างๆ เช่น การแบ่งปัน การช่วยเหลือผู้อดอยากและยากจน
   
       แต่ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่างๆ จะเกิดขึ้นกับผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติรอมฎอนอย่างสมบูรณ์เท่านั้น ดังที่เราจะยกเป็นประเด็นได้ดังนี้
1.    การรับประทานอาหารซุฮูร ก่อน ละหมาดซุบฮิยามเช้าตรู่ โดยที่ท่านนบี    ได้ให้ความสำคัญว่า การรับประทานซุฮูรฺจะมีความจำเริญ(บารอกะฮฺ)อยู่ โดยรายงานจากท่านอนัส บิน มาลิกว่า ท่านนบี  กล่าวว่า‏
"قَالَ النَّبِيُّ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ "تَسَحَّرُوا فَإِنَّ فِي السَّحُورِ بَرَكَةً

ความว่า “พวกท่านจงรับประทานซุฮูรเถิด เพราะการรับประทานซุฮูรนั้นจะเป็นความบารอกะฮฺ”
        ลักษณะการรับประทานซุฮูรนั้น ให้เนิ่นใกล้เวลาซุบฮิเข้ามา โดยเปรียบเป็นเวลาประมาณช่วงการอ่านกุรอานความยาวห้าสิบอายะฮฺ
2.    การละศีลอด-การรับประทานอาหารอิฟตอรฺ ดังรายงานจากท่านซะฮลฺ บิน ซะอดฺ ท่านนบี  กล่าวว่า

 
  أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏قَالَ ‏ ‏لَا يَزَالُ النَّاسُ بِخَيْرٍ مَا عَجَّلُوا الْفِطْرَ

ความว่า “มนุษย์ทั้งหลายจะยังคงอยู่ในสภาพที่ดี ตราบใดที่เขารีบละศีลอด(ทันทีที่ถึงเวลา)” อัลบุคอรีย์
        ลักษณะของการละศีลอดที่ท่านนบี  แนะนำ จะส่งเสริมให้เริ่มต้นด้วยการรับประทานอินทผลัมสด ดังที่รายงานจากท่านอะนัส อิบน มาลิก (รอฏ ฯ) กล่าวว่า “ปรากฏว่าท่านนบี ละศิลอดด้วยอินทผลัมที่สุกงอม(สด) ก่อนที่จะไปละหมาด ถ้าไม่มีอินทผลัมที่สุกงอมก็จะแก้ด้วยอินทผลัมแห้ง ถ้าหากไม่มีอินทผลัมที่แห้งก็จะจิบน้ำหลายจิบ” (บันทึกโดย อะหมัด, อะบู ดาวูด, อิบนุคุไซมะฮ และอัตตัรมีซีย์)
        เราพบจากงานวิจัยมากมายถึงคุณค่าทางอาหารของอิทผลัม ซึ่งประกอบด้วยโปแตสเซียม แมกนีเซียม น้ำตาลฟรุกโทสที่ย่อยได้ง่ายจำนวนมาก และอื่นๆ การละศีลอดจะเริ่มต้นด้วยดุอาอฺที่กล่าวว่า
  ذَهَبَ الظَمَأُ وَابْتَلَّتِ العُرُوقُ وَثَبَتَ الأَجْرُ إِن شَاءَ اللهُ

ความว่า “ความกระหายได้หมดไป เส้นเลือดได้ชุ่มชื้น และได้รับผลบุญแล้ว อินชาอัลลอฮฺ (ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺ)”
        เราจะเริ่มต้นรับประทานอาหารแต่เพียงน้อย แล้วไปละหมาดมัฆริบ จากนั้นก็อาจจะมารับประทานอาหารเพิ่มอีกครั้ง เป็นการเตรียมระบบทางอาหารของร่างกายด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่บางคนกลับรับประทานอาหารละศีลอดด้วยขนมหวานและอาหาร หนักจำนวนมาก ส่งผลให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการถือศีลอดที่มีต่อสุขภาพและอาจส่งผลเสียอีก ด้วย
3.    การละหมาดยามค่ำคืน เป็นกิจกรรมที่ผู้ศรัทธาปฏิบัติเพื่อมุ่งหวังผลบุญอันมหาศาลจากอัลลอฮฺ ในแง่สุขภาพแล้วจะส่งผลดีต่อการเผาผลาญอาหารที่รับประทานที่ผ่านมาในช่วง เย็น ไม่มีการตกค้าง และส่งผลในการสร้างความสงบนิ่งในจิตใจมุ่งสู่ความโปรดปรานต่ออัลลอฮอย่าง สมบูรณ์

4.    การทำความดีต่างๆ และการรักษามารยาท เช่น การอ่านกุรอาน การซิกรุลลอฮฺ การบริจาคทาน ช่วยเหลือซึ่งกันแลกัน ไม่พูดปด ไม่พูดจาไร้สาระ ไม่ทำชั่ว และอื่นๆ เหล่านี้จะกลายเป็นผลบุญที่จะได้รับ และเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกาย จิตใจ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่ดี และสร้างสังคมที่เป็นสุข
เราจะเห็นว่ารอม ฎอน และกิจกรรมต่างๆนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น มีรายงานจากการประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยเรื่อง “รอมฎอน และสุขภาพ” ในปี คศ.1994 ที่เมืองคาสะบลังคา ซึ่งมีงานวิจัยมาเผยแพร่มากกว่า 50 งานวิจัย และมีข้อสรุปว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะทำให้ผู้ป่วยที่ถือศีลอดมีสภาวะทางสุขภาพที่แย่ ลงไป แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง ผู้ป่วยที่มีสภาวะร่างกายที่แย่จากโรคภัยที่รุนแรง ก็จะได้รับการยกเว้น หรือเลี่ยงการถือศีลอดออกไป”

        ทั้งนี้สังคมเรายังจำเป็นต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจ อิสลาม และการดูแลสุขภาพโรคภัยต่างๆ เพื่อร่วมกันดูแลบรรดาผู้ศรัทธาสู่เป้าหมายของการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺอย่าง แท้จริง
     สุดท้ายสิ่งเราอยากฝากย้ำเตือนแก่ผู้ศรัทธาทุกท่านว่า การถือศีลอดที่หวังหรือมีจุดประสงค์เพื่อการมีสุขภาพดีนั้น มิใช่เป้าหมายของการถือศีลอดเพื่ออัลลอฮฺ แต่มันเพียงหนึ่งในรางวัลหรือผลอันเล็กน้อยที่พระองค์จะมอบแก่ผู้ที่พระองค์ ทรงประสงค์เท่านั้น จงตระหนักถึงเป้าหมายสำคัญของการถือศีลอดอย่างแท้จริง ดังที่อัลลอฮ  ทรงกล่าวว่า

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ كُتِبَ عَلَيْكُمُ الصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى الَّذِينَ مِن قَبْلِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ

  “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายการถือศีลอด(อัศศิยาม) ได้ถูกบัญญัติแก่สูเจ้า เช่นที่เคยถูกบัญญัติแก่บรรดาผู้มาก่อนสูเจ้า แล้วเพื่อสูเจ้าจะได้มีความยำเกรง” (อัลบะเกาะเราะฮฺ: 183)



Written by นายแพทย์อีระฟาน หะยีอีแต

8

ผลของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย(3)

ผลของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนผลต่อสุขภาพจิต

ถึงแม้ว่าในแต่ละเดือนคือโอกาสในการแสดงความเคารพภักดีและเชื่อฟังอัลลอฮฺ  แต่ เดือนรอมฎอนจะเป็นเดือนที่จูงใจให้ผู้ศรัทธาทำความดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดือน อื่นๆ มุสลิมจะจดจ่ออยู่กับการแสดงความเคารพภักดี (อิบาดัต) ต่ออัลลอฮฺ

 มากขึ้นกว่าเดือนอื่นๆ มีรายงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบต่อแบบแผนการใช้ชีวิตในเชิงลบในที่ทำงานและในโรงเรียน (Negative effects on the working and school life) พบว่า มุสลิมผู้ถือศีลอดขาดสมาธิ (lack of concentration) อ่อนเพลีย (tiredness) ฉุนเฉียวง่าย (irritability) ง่วงซึม (sleepiness) (Reviewed by Toda & Morimoto, 2004) ภาวะหงุดหงิดฉุนเฉียวจะพบในกลุ่มผู้สูบบุหรี่สูงกว่ากลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่อย่างมีนัยสำคัญ (Kadri et. al., 2000)

1. ผลกระทบต่อร่างกายที่เบี่ยงเบนเล็กน้อย

1.1) การปวดศีรษะ (Headaches Incidence)

ปกติ อาการปวดศีรษะจะเกิดได้ในภาวะที่น้ำตาลในเลือดต่ำ แบบแผนการนอนมีการเปลี่ยนแปลง หรือจากภาวะขาดน้ำในร่างกาย จากการศึกษาวิจัยในผู้ใหญ่อายุ 18-65 ปีที่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนพบอุบัติการณ์การเกิดอาการปวดศีรษะร้อยละ 76.6 และลดลงร้อยละ 73.7 หลัง จากเดือนรอมฎอน การศึกษาครั้งนี้พบว่าการปวดศีรษะจะพบได้บ่อยขึ้นในกลุ่มประชากรที่สูบ บุหรี่ ดื่มชา หรือกาแฟเป็นประจำในขณะที่ไม่ได้อยู่ในช่วงถือศีลอด (Bender et. al., 2007)

                  1.2) ผลต่อร่างกายสตรีตั้งครรภ์ (Pregnant)

การถือศีลอดในหญิงตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่พึงเฝ้าระวัง เพราะอาจมีผลกระทบต่อทั้งสุขภาพมารดาและทารกในครรภ์ จากการศึกษาวิจัยการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของสตรีมีครรภ์ที่ถือศีลอดและไม่ถือศีลอด พบว่าไม่มีความแตกต่างกันได้แก่  การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักของร่างกายของมารดา (Dikensoy et. al., 2008) และจากการศึกษาในครั้งนี้พบว่า ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ในเลือดสตรีมีครรภ์ที่ถือศีลอดจะเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนเริ่มต้น คอร์ติซอลเป็น glucocorticoids ตัวหลักที่พบในระบบไหลเวียนในกระแสเลือดในรูปที่จับกับ cortisol-binding globulin (CBG) เป็นส่วนใหญ่ (83%) อีก 12% จับกับ albumin มีเพียง 5% ที่อยู่ในรูปอิสระ คอร์ติซอล ออกฤทธิ์ในการควบคุมการสร้างกลูโคสจากโปรตีนและกรดอะมิโนโดยชักนำให้มีการสลายโปรตีน  ปริมาณคอร์ติซอลที่เพิ่มขึ้นจะไปลดการสร้าง antibodies ทำให้ภูมิคุ้มกันที่ไปต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) ลดลง ซึ่งผลดังกล่าวนี้มาจากฤทธิ์ของคอร์ติซอลต่อขบวนการสังเคราะห์โปรตีนที่ลดลงนั่นเอง การศึกษาของ Dikensoy และคณะยังพบว่า สัดส่วนของ LDH/HDL มีค่าลดลงซึงเป็นผลดีต่อสุขภาพ

1.3) ผลต่อร่างกายของทารกในครรภ์มารดา (fetus)

จากการศึกษาวิจัยการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ในสตรีมีครรภ์ที่ถือศีลอดและไม่ถือศีลอด พบว่าไม่มีความแตกต่างกันได้แก่  น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นโดยประมาณของทารกในครรภ์ การเพิ่มขึ้นของเส้นรอบศีรษะ การเจริญของกระดูก femur และสัดส่วนความดันเลือดซิสโตลิกและไดแอสโตลิกในเส้นเลือดสายสะดือ (Dikensoy และคณะ, 2008) นอกจากนี้มีรายงานว่าการถือศีลอดในหญิงตั้งครรภ์ไม่ได้กระทบต่อคะแนนแอบการ์ (Apgar’s score) น้ำหนัก และอายุครรภ์ของทารกแรกเกิดแต่อย่างใด (รวบรวมโดย Dikensoy et. al., 2008) จากการติดตามการเจริญเติบโตของทารกแรกเกิดจนถึง 6 เดือน ซึ่งเป็นทารกที่เกิดจากมารดาที่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเปรียบเทียบกับทารกที่ เกิดจากมารดาที่ไม่ได้ถือศีลอดพบว่าน้ำหนัก ส่วนสูง และความยาวรอบเส้นศีรษะ ของทารกทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน (Khoshdel et. al., 2007)

1.4) ผลกระทบในช่วงให้นมบุตร (Lactation period)

การ ให้นมแม่แก่ทารกเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเจริญและพัฒนาการของร่างกาย จิตใจและสติปัญญาของทารกเป็นอย่างมาก จากการศึกษาพบว่า คุณภาพของน้ำนมและส่วนประกอบของสารอาหารในน้ำนมของสตรีที่ที่ถือศีลอดไม่แตก ต่างจากน้ำนมของสตรีที่ไม่ถือศีลอด ได้แก่ ปริมาณไขมัน โปรตีน แลคโตส ไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล (Bener et. al., 2001)

 

2. ผลกระทบต่อร่างกายในสภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง (Effects of Ramadan Fasting on Chronic Illness)

2.1) โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)

เบาหวาน เป็นความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคนี้มีความรุนแรงสืบเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่าง เหมาะสม โดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของ ฮอร์โมนอินซูลิน ในผู้ชายที่เป็นโรคเบาหวานจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

เบาหวาน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิด จากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ ซึ่งสร้างอินซูลินในส่วนของตับอ่อนทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาว

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สาเหตุ ที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย ทั้งวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆ ถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว และต้องการยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด

อาการของเบาหวาน

ปัสสาวะมากขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น  ปัสสาวะ กลางคืนบ่อยขึ้น (ระหว่างช่วงเวลาที่เข้านอนแล้วจนถึงเวลาตื่นนอน) หิวน้ำบ่อยและดื่มน้ำในปริมาณที่มากๆ เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากน้ำหนักเคยมากมาก่อน ติดเชื้อบ่อยกว่าปกติ เช่น ติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร สายตาพร่ามองเห็นไม่ชัดเจน และเป็นแผลหายช้า

ผลของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนต่อโรคเบาหวาน

จากการวิจัยผลของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 หรือ ไม่ หลายๆ การศึกษาพบว่าการถือศีลอดไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงค่าพารามิเตอร์ทางชีวเคมีใน เลือด จึงมีข้อสรุปว่าการถือศีลอดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น ปลอดภัย ถ้าผู้ป่วยรู้ภาวะโรคของตัวเองให้สามารถปรับพฤติกรรมการกินและและรับประทาน ยาอย่างถูกต้อง แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 นั้น ถ้าผู้ป่วยมีความต้องการถือศีลอดต้องแนะนำให้ผู้ป่วยรับผิดชอบในการตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดเป็นระยะๆ ใน 1 วัน และในผู้ป่วยกลุ่มนี้พบว่าการฉีดอินซูลินสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ถือศีลอด (Benaji et. al., 2006 และ M'guil, et. al., 2008)

แม้ว่าการถือศีลอดทำให้เสี่ยงที่จะมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ได้ง่ายในเวลากลางวัน แต่จากการศึกษาพบว่า การถือศีลอดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือดมากนัก จากเก็บตัวอย่างเลือดทุก 4 ชั่วโมงในช่วงถือศีลอดในเดือนรอมฎอนพบว่าระดับน้ำตาลลดลงเล็กน้อยในช่วงเวลา 15.00 น และเพิ่มขึ้นในช่วงเวลา 21.00 น และ 08.00 น. (Reviewed by Benaji et. al., 2006) เพราะเกณฑ์การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเมื่ออดอาหาร 6-8 ชั่วโมงคือ 100 ±20 mg% และ HbA1c < 7 % นอกจากนี้พบว่า ระดับ HbA1c, fructosamine, insulin, creatinine, uric acid, blood urea nitrogen, protein, albumin, alanine amino-transferase, aspatate amino-transferase และ C-peptide ในเลือด ไม่ได้เปลี่ยนแปลงในระหว่างเดือนรอมฎอน (Azizi, 2002)

ส่วนการบริหารยาควบคุมเบาหวานในระหว่างเดือนรอมฎอนพบว่า แพทย์จะสั่งใช้ยาประเภท Oral Hypoglycemic Agent (OHA) ลักษณะการสั่งใช้ยาของแพทย์คือ ให้ OHA วันละ 2 ครั้ง ให้รับประทาน ในเวลาก่อนตะวันขึ้นและหลังตะวันตกและแนะนำในการรับประทานอาหาร พบว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ต่อผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 แต่พบอาการระดับน้ำตาลในเลือดสูง (hyperglycemia) เมื่อผู้ป่วยรับประทานยาไม่ถูกต้อง เช่น ลดขนาดยา หรืองดรับประทานยาลงอย่างสิ้นเชิง (Reviewed by Benaji et. al., 2006)

 

2.2) โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)

โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน โดยจะตรวจพบความดันโลหิต อยู่ในระดับที่สูงกว่าปรกติเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ในปี 1999 ว่า ผู้ใดก็ตามที่มีความดันโลหิตวัดได้มากกว่า 140 /90 มิลลิเมตร ปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอาจจะไม่มีอาการใดๆ เลย หรืออาจจะพบว่ามีอาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ และเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจมีอาการแน่นหน้าอกหรือนอนไม่หลับ และการที่ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นเวลานาน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหัวใจ โรคไตวาย เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง อัมพาต ฯลฯ เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด ทำให้ผู้ป่วยดังกล่าวต้องรับประทานยาควบคุมความดันโลหิตเป็นเวลานาน

ระดับความรุนแรง

ระดับที่ 1 ความดันโลหิตสูงระยะเริ่มแรก ค่าความดันโลหิต ระหว่าง 140-159/90-99 มม.ปรอท

ระดับที่ 2 ความดันโลหิตสูงระยะปานกลาง ค่าความดันโลหิต ระหว่าง 160-179/100-109 มม.ปรอท

ระดับที่ 3 ความดันโลหิตสูงระยะรุนแรง ค่าความดันโลหิต มากกว่า 180/110 มม.ปรอท

การวัดความดันโลหิตควรจะวัดขณะนอนพัก ควรวัดซ้ำ 2-3 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นความดันโลหิตสูงจริงๆ

แนวทางปฏิบัติในการลดความเสี่ยงจากความดันโลหิตสูงคือ

1. รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป

2. ลดอาหารที่มีรสเค็ม

3. รับประทานอาหารให้พอเหมาะ เน้นอาหารที่เป็นพืช ผัก ผลไม้

4. หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ให้พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป

5. ตรวจสุขภาพเป็นครั้งคราว ถ้าพบว่าเป็นความดันโลหิตสูง แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาลดความดันโลหิตร่วมด้วย

ผลของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนต่อโรคความดันโลหิตสูง

จากการศึกษาผลของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนของผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง 17 ราย โดยผู้ป่วยได้รับยาลดความดันโลหิตชนิดรับประทานวันละครั้ง (once-daily preparation) ชนิดออกฤทธิ์นาน (long-acting preparation) ได้แก่ verapamil, nifedipine, atenolol, hydrochlorothiazide และ ACE inhibitoriyบริหารยาตอนย่ำรุ่ง (ซะฮูรฺ) และติดตามความดันโลหิตในรอบ 24 ชั่วโมง ทั้งขณะหลับและขณะตื่น เปรียบเทียบผลก่อนและหลังเดือนรอมฎอนพบว่าไม่มีความแตกต่างกัน โดยผลก่อนเดือนรอมฎอนคือ 138.5 ± 18.5/77.2 ± 8.1 มิลลิเมตรปรอท ส่วนผลหลังเดือนรอมฎอนคือ 136.4 ± 20/75.5 ± 5.9 มิลลิเมตรปรอท จึงสามารถสรุปได้ว่าการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนนั้นมีความปลอดภัยต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูง (Perk et. al., 2001)

------------------------------

 
 Written by ซอฟียะห์ นิมะ

 

9

ผลของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย(2)

ผลของการถือศีลอดต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะของร่างกายในภาวะปกติ (Effects of Ramadan Fasting on Healthy Muslims)


ช่วง เวลาที่มุสลิมต้องถือศีลอดใช้เวลาประมาณ 11-18 ชั่วโมงต่อวัน ขึ้นกับเขตเวลาในแต่ละภูมิภาคของโลกในช่วงการถือศีลอด และมุสลิมจะรับประทานอาหารหลักอย่างน้อย 2 มื้อ


โดยเรียกมื้อ อาหารในระหว่างเวลาตะวันลับขอบฟ้าว่า อิฟฏ็อรฺ และอาหารมื้อดึกว่า ซะฮูรฺ สำหรับการปรับเปลี่ยนวิธีรับประทานอาหารนี้ ทางการแพทย์ถือว่าร่างกายไม่เสียหายอะไร แต่หากเข้าสู่ช่วง 16 ชั่วโมงขึ้นไปร่างกายจะเริ่มอ่อนเพลียและดึงพลังงานที่สะสมในร่างกายมาใช้


1) การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว (Body Weight Alterations)


ผล ของการถือศีลอดเป็นเวลา 1 เดือนในเดือนรอมฎอนโดยไม่ควบคุมรูปแบบและปริมาณอาหารพบว่าไม่มีผลเปลี่ยน แปลงต่อดัชนีมวลกาย (body mass index) (Faruncuoglu et. al., 2007) จากการศึกษาที่ควบคุมรูปแบบและปริมาณอาหารในระหว่างถือศีลอดโดยได้รับ พลังงานไม่เกิน 2000 แคลอรีต่อวัน ประกอบด้วย โปรตีน 70 กรัม คาร์โบไฮเดรต 350 กรัม และไขมัน 35.5 กรัม ให้ดื่มน้ำประมาณ 1.5 ลิตร (6 แก้ว) พบว่าดัชนีมวลกายและน้ำหนักลดลง (Salehi & Neghab, 2007) แสดงให้เห็นว่าการรับประทานที่มีพลังงานปานกลางและดื่มน้ำอย่างเพียงพอใน ช่วงรอมฎอนจะเป็นผลดีต่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดี


แต่ มีหลายการศึกษาที่พบว่าน้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (Reviewed by Toda & Morimoto, 2004) น้ำหนักที่ลดประมาณ 1.7-3.8 กิโลกรัม (Azizi, 2002) พบว่าน้ำหนักลดลงในคนที่น้ำหนักเกิน (overweight) มากกว่าคนน้ำหนักปกติ หรือน้ำหนักต่ำ (underweight) โดยอธิบายสาเหตุของน้ำหนักที่ลดลงว่า เกิดจากการสูญเสียน้ำในช่วงต้นๆ ของเดือนรอมฎอนและเกิดจากการสูญเสียไขมันในร่างกายในตอนปลายๆของเดือนรอมฎอน การสูญเสียไขมันชี้ให้เห็นว่ามีการใช้ไขมันไปเป็นแหล่งของพลังงาน


2) การเปลี่ยนแปลงการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย (Organ Function Alterations)


(1) หัวใจ (Heart) มีการเปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) เล็กน้อย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงความสูงของ QRS complex, T-wave รวมทั้ง right axis deviation แต่ไม่เป็นข้อห้ามในการถือศีลอด และการถือศีลอดไม่ได้ทำให้อุบัติการณ์ของการเกิดโรค acute coronary artery disease เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด (Azizi, 2002)


(2) ปอด (Lung) การถือศีลอดไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของปอด (Pulmonary volume functions) ใน อาสาสมัครสุขภาพดีที่ถือศีลอด แต่ภาวะขาดน้ำจะทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้ง อาจทำให้หลอดลมหดเกร็งได้ในคนป่วยที่เป็นหอบหืด แต่ถ้าอาการคงที่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการถือศีลอดแต่อย่างใด สามารถใช้ยาขยายหลอดลม ชนิดพ่น, slow-release drug หรือยาเหน็บได้ (Azizi, 2002)


(3) กระเพาะ ลำไส้ (Gastrointestinal tract) กระเพาะอาหาร (Stomach) เป็น อวัยวะของทางเดินอาหารที่มีสภาพแวดล้อมเป็นกรด โดยมักจะมีค่าพีเอชอยู่ที่ประมาณ 1-4 โดยขึ้นกับอาหารที่รับประทานและปัจจัยอื่นๆ หน้าที่หลักของกระเพาะอาหารคือการย่อยสลายสารอาหารโมเลกุลใหญ่ให้เล็กลงโดย อาศัยการทำงานของกรดเกลือ (hydrochloric acid) เพื่อให้ง่ายต่อการดูดซึมที่ลำไส้เล็ก นอกจากนี้กระเพาะอาหารยังมีหน้าที่ผลิตเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยโปรตีน คือเอนไซม์เพพซิน (pepsin) โดยในช่วงแรก เอนไซม์นี้จะถูกผลิตออกมาในรูปของเพพซิโนเจน (pepsinogen) ที่ยังไม่สามารถทำงานได้ แต่จะถูกเปลี่ยนเป็นเพพซินเมื่ออยู่ในสภาวะที่เป็นกรดภายในกระเพาะอาหาร  กระเพาะมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้นเมื่อกระเพาะว่างหรืออดอาหาร


                  (4) ตับ มีบางการศึกษาพบระดับบิลิรูบินในเลือดเพิ่มขึ้นหลังจากถือศีลอดไปแล้ว 10, 20 และ 29 วัน โดยสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำลง และบิลิรูบินในเลือดลดลงเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยได้สรุปว่าระดับบิลิรูบินสัมพันธ์กับเมตตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต เพราะการศึกษาดังกล่าวพบว่าไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงระดับ SGOT, SGPT, protein, และ albumin ในเลือดแต่อย่างใด (Azizi, 2002)


                  (5) ไต ในระหว่างการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนพบว่า ปริมาณ osmolality, pH, nitrogen และ electrolyte ที่ขับออกทางปัสสาวะเป็นปกติ แต่มีการเปลี่ยนแปลง serum urea และ creatinine เล็กน้อย เมื่อถือศีลอดติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้มี serum uric acid เพิ่มขึ้น อาจเกิดจากการลดลงของอัตรากรองผ่านไต (decrease in glomerular filtration rate) และการขจัดยูริกออก (uric acid clearance) (Azizi, 2002)


                  (6) ต่อมไร้ท่อ ในระหว่างการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนไม่มีผลเปลี่ยนแปลงระดับ T4, T3, และ TSH


 


3) การเปลี่ยนแปลงระบบการเผาผลาญ (Metabolism)


(1) การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต  ระยะการได้รับอาหาร (feed state) สิ้นสุดลงหลังจากที่อาหารถูกดูดซึมหมด จากนี้ไปจะเรียกว่าเป็นระยะ basal หรือ post-absorptive state ซึ่งเป็นระยะที่มีการใช้พลังงานจากสารอาหารที่มีอยู่ในร่างกาย (endogenous fuel) เป็น ช่วงที่มีการปลดปล่อยกลูโคสออกจากตับ ปล่อยกรดอะมิโนออกจากกล้ามเนื้อ และมีการเผาผลาญสารอาหารจำพวกกรดไขมัน จากการศึกษาพบว่าในช่วง post-absorptive state นี้ กลูโคสจะเข้าเซลล์โดยอัตราเร็วประมาณ 8-10 กรัม/ชม. เนื้อเยื่อหรือเซลล์ที่ใช้กลูโคสเป็นแหล่งพลังงานหลัก คือเซลล์ของระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือด ประมาณร้อยละ 50 ของ กลูโคสที่สร้างขึ้นจะถูกใช้โดยเซลล์สมอง ร่างกายจะพยายามรักษาระดับกลูโคสให้อยู่ในระดับที่ยังปกติโดยอาศัยการควบคุม ของฮอร์โมนอินสุลินและกลูคากอน ดังนั้นเมื่อกลูโคสถูกใช้ไปและเริ่มลดต่ำลง ระดับอินสุลินจะลดลงตามไปด้วย ทำให้กลูโคสผ่านเข้าเซลล์กล้ามเนื้อในอัตราที่ลดลง ระดับอินสุลินที่ลดลงจะทำให้การสลายไกลโคเจน (glycogenolysis) ในกล้ามเนื้อและตับมากขึ้น โดยจะมีการสร้างกลูโคสจากตับโดยการสลายไกลโคเจน และสร้างกลูโคสใหม่จากสารที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต (gluconeogenesis) อย่างละเท่าๆ กัน หากอดอาหารนานกว่า 12-24 ชั่วโมงขบวนการ gluconeogenesis จะ มีบทบาทเด่นขึ้น กรดอะมิโนที่ได้จากการสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อ แลกเตท และไพรูเวทที่ได้จากขบวนการไกลโคไลซิส และกลีเซอรอลที่ได้จากการสลายไตรกลีเซอไรด์จะเข้าสู่ขบวนการ gluconeogenesis นอกจากนี้กรดไขมันที่ได้จากการสลายไตรกลีเซอไรด์สามารถออกซิไดซ์เป็นพลังงาน (oxidation) ได้โดยตรง และระยะนี้เริ่มมีการสร้างสารคีโตนที่ตับจากเมตาบอลิสึมของกรดไขมัน


การ ถือศีลอดในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีผลต่อระบบการเผาผลาญของคาร์โบไฮเดรต พบว่าหลังงดอาหาร 8-16 ชั่วโมงแล้ว ร่างกายจะเกิดการปรับตัวต่อภาวะขาดอาหารทันที (adaptation to starvation) เพื่อ เป็นการสงวนพลังงานไว้ให้เพียงพอต่อการใช้งานภายในเซลล์สมอง เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์ประสาทส่วนปลายและเซลล์ไต การลดลงของระดับน้ำตาลในเลือด (60-70 mg %) เกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังถือศีลอดในผู้ใหญ่ที่แข็งแรง เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำ ร่างกายจะหยุดการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไกลโคเจน (glycogen synthesis) แต่จะเร่งปฏิกิริยา gluconeogenesis แทน (Azizi, 2002)


(2) การเผาผลาญไขมัน  ไขมัน เป็นแหล่งพลังงานสำรองที่สำคัญต่อร่างกาย เมื่อได้รับจากอาหาร ผ่านการย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จะนำไปเก็บสะสมอยู่ภายในเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ที่เรียกว่า adipose tissue ในรูปของ fat globules ในรูปของ triacylglycerol (TG) นอก เหนือจากการเป็นแหล่งพลังงานสะสมแล้ว ไขมันยังมีหน้าที่สำคัญอื่นๆ อีกด้วย คือ เป็นส่วนที่รองรับโครงสร้างของร่างกาย ปกป้องอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ ตับ ไต และม้าม ทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย และไขมันที่อยู่ภายใต้ผิวหนังสามารถเปลี่ยนเป็นความร้อนได้เมื่อผิวหนังมี อุณหภูมิต่ำลง


ใน สภาวะที่ร่างกายต้องการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น หรือเมื่อร่างกายขาดสารอาหารจำพวก คาร์โบไฮเดรตจากภาวะอดอาหาร เซลล์ร่างกายจะใช้พลังงานจากไขมัน เซลล์ที่ได้รับพลังงานจากการ oxidation ของ fatty acid จากแหล่งไขมันใหญ่ๆ 3 แหล่ง คือ ไขมันที่ได้จากอาหาร ไขมันที่เก็บสะสมอยู่ใน adipocyte และไขมันที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นในเซลล์ตับ


(3) การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ (Vital Sign Alterations)  จาก การศึกษาเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพก่อนและหลังการถือศีลอดใน เดือนรอมฎอนพบว่า อัตราการเต้นของชีพจร ความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกหลังถือศีลอดมีค่าลดลงต่ำกว่าในเดือนก่อน ถือศีลอด (Mansi & Amneh, 2007) บางการศึกษาพบว่ามีการลดลงของชีพจรและลดความต้องการใช้ออกซิเจนในร่างกาย (decrease oxygen consumption) โดยผู้วิจัยให้เหตุผลว่าเป็นผลจากร่างกายมีการปรับตัวโดยลดอัตราการเผาผลาญ พลังงานลง (metabolic adaptation to fasting) เพื่อเป็นการสงวนพลังงานไว้ใช้ในยามขาดแคลน (Reviewed by Toda & Morimoto, 2004)


(4) การเปลี่ยนแปลงต่อค่าชีวเคมีในเลือด (Biochemical Alterations)  ระดับน้ำตาล ไตรกลีเซอไรด์ และโคลเลสเตอรอลในเลือดลดลง ( Salehi & Neghab, 2007) แต่อย่างไรก็ตามระดับ HDL cholesterol ไม่ได้เปลี่ยนแปลง (Faruncuoglu, et. al., 2007) มีรายงานการศึกษาที่พบระดับ HDL cholesterol สูงขึ้นในเลือด นับเป็นผลดีต่อสุขภาพเพราะ HDL cholesterol เป็นปัจจัยสำคัญที่ป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) และโรคหัวใจ ในขณะที่ LDL cholesterol มีแนวโน้มลดลงหรือคงที่นั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะ LDL cholesterol เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) (โดยระดับไขมันในเลือดที่พึงประสงค์เมื่ออดอาหารไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงคือ คอเลสเตอรอล < 200 mg%, LDL-คอเลสเตอรอล < 130 mg%, HDL-คอเลสเตอรอล > 40 mg%, ไตรกรีเซอร์ไรด์ < 150 mg%) จากการถือศีลอดไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลง Hemoglobin, เม็ดเลือดแดง, เม็ดเลือดขาว


 


(5) การเปลี่ยนแปลงของสมดุลของเหลวและอิเลกโตรไลต์ (Fluid &Electrolyte Balance)  ภาวะสมดุลของเหลวและอิเลกโตรไลต์ เช่น sodium, potassium, chloride และ bicarbonate มี หน้าที่ในการควบคุมความเป็นกรดด่างของเลือด ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ระดับเกลือแร่เหล่านี้ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทานและการขับทิ้งโดยไต ภาวะสมดุลของเหลวและอิเลกโตรไลต์เป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานของกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ (intake) ควรเท่ากับปริมาณน้ำที่ถูกขับออก (output) ใน 24 ชั่วโมง สมดุลของเหลวเพื่อใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึม และการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย


จากการถือศีลอดพบอุบัติการณ์ ของการขาดน้ำ (dehydration) จะพบได้บ่อยในผู้ใหญ่วัยกลางคนและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นผลจากการการดื่มน้ำไม่เพียงพอ (restricted fluid intake) อาการที่แสดงถึงอาการขาดน้ำ ได้แก่ ชีพจรจะเต้นเร็ว (tachycardia) ในช่วงแรกๆ อ่อนเพลีย (tiredness) ไม่ค่อยสบาย (malaise) ปวดศีรษะ (headaches) และคลื่นไส้ (nausea) (Reviewed by Toda & Morimoto, 2004) เมื่อเก็บตัวอย่างเลือดของผู้ป่วยที่อยู่ภาวะขาดน้ำในช่วงรอมฎอนจะพบว่า ค่าชีวเคมีในเลือดจะสูงขึ้น เช่น uric acid ที่ มีค่าสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยแต่ไม่ได้ส่งผลต่อการเกิดโรคเกาต์หรือส่งผลต่อ ไตในผู้ถือศีลอดสุขภาพดีทั่วไป แต่การถือศีลอดไม่ได้ทำเกิดการเปลี่ยนแปลงอิเลกโตรไลต์ (Azizi, 2002)


(6) การเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมอง (Brain Functions)  จากการศึกษาผลการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนต่อการทำงานของสมองพบว่า สมองส่วน motor cortex มีการทำงานเพิ่มขึ้นและมีการเพิ่มปริมาณของออกซิเจนในบริเวณดั่งกล่าวอย่าง มีนัยสำคัญ (p < 0.01) (Boujraf et. al., 2006) จาก การถือศีลอดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง แต่เพื่อประคับประคองให้มีพลังงานและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ ร่างกายต้องปรับให้มีปริมาณเลือดที่ไปสู่สมองมากขึ้น (cerebral blood flow and perfusion) เป็นการกระตุ้นให้สมองทำงานมากขึ้น (cerebral activity) ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค neurodegenerative disorders ซึ่ง เป็นโรคที่มีการทำลายของเซลล์ประสาทในสมอง ลักษณะของโรคนี้คือ ทำให้สมองในบริเวณที่ถูกทำลายทำงานไม่ได้ ปริมาตรของสมองจะค่อยๆ ฝ่อเล็กลง โรคในกลุ่มนี้ได้แก่ อัลไซเมอร์ และพาร์คินสัน โดยที่โรคอัลไซเมอร์จะมีการทำลายของเซลล์ประสาทในส่วนที่ทำหน้าที่จดจำ การเรียนรู้ ทำให้มีภาวะสมองเสื่อมตามมา ส่วนโรคพาร์คินสันมีการทำลายของเซลล์ประสาทในบริเวณที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้แสดงอาการสั่นและควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อไม่สะดวก โรคในกลุ่มนี้รักษาไม่หายขาดได้แต่ชะลออาการเอาไว้ สำหรับในคนที่เป็นอัลไซเมอร์มักจะมีการดำเนินของโรคเร็ว ผู้ป่วยจะมีชีวิตได้ไม่เกิน 5 ปี และไม่มีการเปลี่ยนแปลงคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram) (Azizi, 2002)


4) การเปลี่ยนแปลงแบบแผนการดำรงชีวิตและผลต่อสุขภาพจิต (Daily Lifestyles Mental-Health Status Alterations)


การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและแบบแผนการดำรงชีวิตในเชิงบวกในเดือนรอมฎอนพบว่า


(1) มุสลิมตั้งใจทำความดีมากขึ้น มุสลิมส่วนใหญ่ที่แสวงหาเป้าหมายแห่งการถือศีลอดที่แท้จริง ทำให้เขาเหล่านั้นต่างพยายามศึกษาบทเรียนที่ได้รับจากรอมฎอน เพื่อการขัดเกลา ปรับปรุงอุปนิสัยและมารยาทของตนให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเดือนอันประเสริฐ นี้ จะเห็นได้ว่าในระหว่างการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนมุสลิมจะละทิ้งพฤติกรรมที่ ไร้สาระ คำพูดประเภทโกหก ด่า นินทา ยุแหย่ และต้องควบคุมจิตใจไม่ให้เกิดกำหนัดต่างๆ เช่น การมองดูเพศตรงข้าม และฟังเพลง เป็นต้น อันที่จริงแล้วพฤติกรรมข้างต้น ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ที่นำมาเกี่ยวข้องกับผู้ที่ถือศีลอดก็เพราะนอกจากเป็นบาปแล้ว ยังทำลายผลบุญของการถือศีลอดอีกด้วย


(2) แสดงอาการยินดีเมื่อรอมฎอนมาถึง  บรรดา มุสลิมทั่วโลกจะแสดงความดีใจ ตั้งหน้าตั้งตารอคอย และเอาใจใส่กับการต้อนรับเดือนรอมฎอน เพราะเดือนนี้เป็นเดือนที่ก่อให้เกิดความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่เกิดจากการมีโอกาสกระทำความดี อันเป็นหนทางสู่ความเมตตาของอัลลอฮฺ 


(3)  วิงวอน (ดุอาอฺ) และศึกษาคัมภีร์อัลกุรอานมากยิ่งขึ้น  มุสลิมมักวิงวอนขอเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อให้บรรลุถึงเดือนรอมฎอน และวิงวอนเพื่อให้อัลลอฮฺ  ทรงตอบรับความดีงามที่ได้กระทำไว้ในเดือนรอมฎอนที่แล้ว


(4) กลับเนื้อกลับตัว (เตาบัต)  มุสลิม ทั้งหลายต้อนรับเดือนรอมฎอนด้วยการตั้งใจออกห่างและละทิ้งความผิดทุกชนิด พร้อมทั้งกลับเนื้อกลับตัวอย่างบริสุทธิ์ใจ เพราะบรรดาผู้ศรัทธามีหน้าที่ต้องเตาบัต (กลับเนื้อกลับตัว) ทุกเวลา เมื่อถึงเดือนรอมฎอนจึงถือเป็นโอกาสดีที่จะเริ่มชีวิตใหม่อันขาวบริสุทธิ์ และปราศจากมลทิน โดยตั้งมั่นที่จะขอลุแก่โทษกับอัลลอฮฺ  โดยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นบ่าวของพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นผู้ยืน หยัดในแนวทางของท่านศาสดา (Reviewed by Toda & Morimoto, 2004)


-----------------------------------------------------------------------------------------------


Written by ซอฟียะห์ นิมะ

10

ผลของการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

 

บทนำ

อิสลามให้ความสำคัญกับคนให้สามารถดำรงสภาวะสุขภาพทั้ง 4 มิติ คือ กาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ ซึ่งตรงตามความหมายขององค์การอนามัยโลกที่ให้ความหมายของสุขภาพ (well-being) ไว้ ว่า เป็นความปกติสุขของบุคคลทั้งองค์รวม สุขภาพที่ดีจัดเป็นความสุขอันสุดยอดของมนุษย์ ทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

 การ ประเมินภาวะสุขภาพของบุคคลจำเป็นต้องมีการประเมินสภาวะทางกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณพร้อมกันไป เนื่องจากทุกส่วนถูกประกอบกันขึ้นเป็นบุคคล ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งย่อมกระทบถึงส่วนอื่นเสมอ แม้การเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม

ใน เดือนที่เก้าของปฏิทินอิสลามซึ่งยึดถือตามจันทรคตินั้นจะมีเดือนที่สำคัญ เดือนหนึ่งคือ เดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนที่มีบทบัญญัติจากเอกองค์อัลลอฮฺ ต่อ บรรดามุสลิมที่มีสุขภาพแข็งแรงทุกคนให้งดเว้นจากการกิน การดื่ม และการร่วมประเวณีตั้งแต่ช่วงเวลารุ่งอรุณจนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้า เรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่า การถือศีลอด ข้อกำหนดดังกล่าวจะเป็นที่ยกเว้นสำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ ผู้เจ็บป่วย และผู้ที่เดินทาง แต่อย่างไรก็ตามยังมีมุสลิมที่มีภาวะเจ็บป่วยหรือเบี่ยงเบนเล็กน้อยที่ดำรง ชีวิตได้ค่อนข้างปกติในชีวิตประจำวัน ที่มักจะมีความปรารถนาที่จะถือศีลอดให้ครบถ้วนเช่นเดียวกันกับมุสลิมที่มี ร่างกายปกติทั่วไป จึงเป็นหน้าที่ของบรรดานักวิจัยหลายสาขาที่จะต้องศึกษาและค้นคว้าว่า การถือศีลอดนั้นมีผลต่อร่างกายอย่างไรทั้งในภาวะสุขภาพดีและภาวะเจ็บป่วย อันเป็นภาระหน้าที่ของทีมแพทย์ พยาบาลและเภสัชกร ที่จะอธิบายให้ความรู้แก่ผู้รับบริการกลุ่มนี้ให้สามารถปฏิบัติตนในระหว่าง การถือศีลอดได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเข้าถึงวิทยปัญญาของการถือศีลอดที่แท้จริง

 

1. แนวความคิดของการอดอาหาร (Fasting Concepts)

1) การอดอาหารทางการแพทย์ (Medical Fasting)

การงดอาหารได้มีบทบาทสำคัญในทางการแพทย์มานานแล้ว เช่น ใช้ในการควบคุมน้ำหนัก (weight management) ให้ทางเดินอาหารได้พัก (for rest of the digestive tract) เพื่อลดระดับไขมัน (for lowering lipids) และใช้การอดอาหารเป็นเวลา 6-12 ชั่วโมง เพื่อเตรียมร่างกายก่อนการผ่าตัดเนื่องจากก่อนที่แพทย์จะทำการผ่าตัด จะต้องให้คนไข้ดมยาสลบเพื่อจะได้ไม่เจ็บในระหว่างการผ่าตัดนั้นๆ และยาสลบมีผลให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารคลายตัว หากไม่มีการให้คนไข้งดน้ำและอาหารก่อน ก็อาจจะทำให้คนไข้เกิดอาการสำลักเศษอาหาร หรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปเข้าปอดได้ ซึ่งความรุนแรงจะมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของอาหารที่สำลัก หากรุนแรงมากอาจทำให้คนไข้ขาดออกซิเจน หรือระบบการหายใจของคนไข้มีปัญหาได้ ฉะนั้นจึงควรงดน้ำงดอาหารก่อนการผ่าตัดเป็นดีที่สุด

นอก จากนี้ในปัจจุบันทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพได้ค้นพบอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุหลัก ของความเจ็บป่วยหลายชนิด เนื่องจากการอดเป็นวิธีสำคัญวิธีหนึ่งในการขจัดของเสีย หรือเป็นการล้างพิษออกจากร่างกาย (Detoxification) ทำ ให้การอดเพื่อสุขภาพนับเป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการขจัดอนุมูล อิสระเหล่านี้ออกจากร่างกายได้ การอดอาหารสามารถทำได้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากร่างกายจะดึงเอาสารอาหารที่เก็บอยู่ในรูปไขมันออกใช้ได้โดยไม่เกิด อันตราย ขณะอดอาหารมักมีอาการปวดหัว เวียนหัว อยากอาเจียน น้ำมูกไหล ท้องเสีย มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง ไอ ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี ที่บ่งบอกว่าการทำความสะอาดภายในร่างกายได้เริ่มขึ้นแล้วและอาการเหล่านี้จะ ค่อยๆ หายไปเอง

 

2) การอดอาหารตามธรรมชาติ (Natural Fasting)

จาก การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า สัตว์หลายชนิดก็มีการอดอาหารเหมือนกัน เช่น ปลาแซลมอนซึ่งในตอนต้นชีวิตจะถือกำเนิดและอาศัยอยู่ในน้ำจืดบริเวณต้นน้ำ ลำธาร แต่หลังจากนั้นไม่นานก็จะอพยพไปอาศัยอยู่ในทะเลลึกเป็นเวลาประมาณ 4-7 ปี เมื่อถึงวัยที่จะผสมพันธุ์ก็จะรวมตัวกันว่ายน้ำทวนกระแสเป็นระยะทางนับพัน กิโลเมตรเพื่อกลับไปยังต้นกำเนิดของมันและวางไข่ที่นั่น เมื่อปลาแซลมอนเหล่านั้นว่ายน้ำพ้นเขตน้ำเค็มเข้าสู่เขตน้ำจืดมันจะเริ่มอด อาหารตลอดเส้นทาง มุ่งหน้าไปสู่ถิ่นกำเนิดของมันเพื่อผสมพันธุ์สร้างประชากรรุ่นใหม่ ตัวเมียจะขุดหลุมและวางไข่ เมื่อตัวผู้ปล่อยน้ำเชื้อออกมาผสมกับไข่แล้ว ตัวเมียก็จะตะกุยหินกลบไข่ของมันไว้ หลังจากนั้นทั้งตัวผู้และตัวเมียก็จะเฝ้ารอจนลูกของมันฟักออกมาเป็นตัว เมื่อเสร็จภารกิจแล้วปลาแซลมอนทั้งตัวผู้และตัวเมียก็จะตายในสภาพที่กำลังอด อาหารโดยทิ้งลูกของมันให้สืบทอดหน้าที่ต่อไป

สัตว์ อีกชนิดหนึ่งได้แก่ กบ โดยในช่วงเวลาจำศีลจะไม่กินอะไรเลย หรือแม่ไก่จะอดอาหารในตอนฟักไข่ นอกจากนี้แล้วยังมีสัตว์อื่นๆ อีกมากมายที่มีพฤติกรรมอดอาหารในบางช่วงฤดูกาล เช่น หมีขั้วโลก นกเพนกวินและแมลงบางชนิด ซึ่งอดอาหารยาวนานกว่ามนุษย์เสียอีก และการอดอาหารของมันก็มิได้เป็นอันตรายต่อชีวิตของมันแต่ประการใด หากเราสังเกตพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงเช่น แมว ในขณะที่สัตว์ไม่สบายจะพบว่ามันจะไม่กินอาหาร ซึ่งเป็นไปตามสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต เพราะการอดอาหารทำให้ระบบอวัยวะของร่างกายได้พักผ่อนอย่างแท้จริง เมื่อใดที่กินอาหารหมายถึงว่าร่างกายจะต้องใช้พลังงานมหาศาลเพื่อมาใช้ในการ ย่อยอาหาร

 

3) การอดอาหารของประชาชาติอื่นๆ (Cultural Fasting)

ตั้งแต่ ยุคโบราณจนถึงปัจจุบันต่างก็พบว่าการอดอาหารในบางช่วงเวลาเป็นประโยชน์ต่อ ร่างกายและจิตวิญญาณ จากหลักฐานของคัมภีร์ทางศาสนาที่สำคัญอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์อัล  กุรอาน ได้กล่าวว่า ชนชาติเก่าแก่อย่างเช่นชาวยิวและชาวคริสเตียนก็เคยถือศีลอดอาหารในบางช่วง เวลา เพื่อเป็นการไถ่โทษหรือลบล้างความผิด หรือเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเศร้าโศกเสียใจ หรือเพื่อเป็นการขัดเกลาทางด้านจิตวิญญาณของตนเอง ส่วนศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาเชน พุทธ และฮินดู ที่มีการถือศีลอดอาหารเพื่อความเจริญงอกงามและเพื่อความหลุดพ้นทางด้านจิต วิญญาณ

สมัยก่อนอิสลาม (pre-islamic period) ผู้ คนในสมัยนั้นยึดถือว่า การอดอาหารเป็นเครื่องมือทรมานร่างกายเพื่อความหลุดพ้นทางด้านจิตวิญญาณ ได้แก่การปฏิบัติตนของโยคีในประเทศอินเดียที่อดอาหารจนร่างกายซูบผอม หลายๆ ศาสนาและหลายๆ ชนชาติก่อนหน้าอิสลามพบว่ามีการถือศีลอด และจัดเป็นข้อบังคับสำหรับคนในบางชนชั้นเท่านั้น เช่น ในศาสนาฮินดู การถือศีลอดเป็นข้อบังคับสำหรับพราหมณ์โดยที่คนทั่วไปไม่ต้องถือศีลอด ในศาสนาโซโรแอสเตอร์ การถือศีลอดเป็นข้อบังคับสำหรับพระและนักบวช ส่วนในกรีก กล่าวว่าเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องถือศีลอด

ข้อ ปฏิบัติในการถือศีลอดของแต่ละชนชาติหรือแต่ละศาสนาจะมีความหลากหลายเช่น ในการถือศีลอดของชาวยิวพบว่า ต้องถือศีลอดเป็นเวลา 24 ชั่วโมง แล้วชาวยิวจะละศีลอดด้วยการกินอาหาร หลังจากกินเสร็จแล้วก็จะถือศีลอดต่อทันที ศาสนาโบราณบางศาสนามีการถือศีลอดด้วยการอดอาหารต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลา 10 วัน บางครั้งก็อนุญาตให้กินทุกอย่างยกเว้นข้าวและเนื้อในระหว่างการถือศีลอด ส่วนธรรมเนียมของชาวอาหรับเองก็กำหนดว่า ถ้านอนหลับไปในเวลากลางคืนแล้วจะตื่นขึ้นมากินอะไรในตอนดึกอีกไม่ได้  ก่อน หน้าสมัยอิสลามในช่วงเวลาของการถือศีลอด สามีและภรรยาจะนอนแยกกันอย่างชัดเจน ชาวยิวถือว่าการถือศีลอดเป็นการรำลึกถึงความทุกข์ยากลำบากและเป็นสัญลักษณ์ ของความเศร้าโศก ดังนั้นในระหว่างการถือศีลอดชาวยิวจะไม่ล้างหน้าและจะทำตัวให้เป็นผู้ตกอยู่ ในความทุกข์โศก ส่วนคนคริสเตียนนั้น พระเยซูจึงได้ตรัสว่าเมื่อถือศีลอด อย่าได้ทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด แต่ให้ล้างหน้าและเอาน้ำมันใส่ศีรษะเพื่อคนจะได้ไม่รู้ว่าถือศีลอดอยู่ (มัทธิว 6:16-18)

โดย ปกติศาสนาอื่นๆ มักจะใช้ปฏิทินทางสุริยคติ สำหรับกำหนดเวลาการถือศีลอดซึ่งทำให้ผู้นับถือศาสนานั้นต้องถือศีลอดในฤดู กาลเดียวโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าหากเดือนถือศีลอดถูกกำหนดในฤดูร้อน ศาสนิกเหล่านั้นก็ต้องอดอาหารในฤดูร้อนตลอดกาล ในคัมภีร์ของศาสนาอื่นๆ มิได้ระบุรายละเอียดของการถือศีลอดไว้ชัดเจน มิได้ระบุข้อยกเว้นจากการถือศีลอดแก่คนบางคนในบางสถานการณ์ เช่น ในคัมภีร์ไบเบิล ฉบับเลวิติโก (16:29) กล่าวว่า ถ้าคนแปลกหน้าที่ถึงแม้จะไม่ใช่ยิว แต่เมื่อมาอยู่กับยิวก็จะต้องถือศีลอดด้วย

 

หลักฐานการถือศีลอดของประชาชาติอื่นๆ ได้แก่

(1) ตาม คัมภีร์อัลกุรอานและคัมภีร์ไบเบิล กล่าวว่าหลังจากที่นบีมูซา (โมเสส) พาพวกลูกหลานอิสราเอลอพยพออกมาจากอียิปต์และเดินทางอย่างไร้จุดหมายนั้น นบีมูซาต้องการให้พระเจ้าประทานกฎระเบียบในการดำเนินชีวิตแก่ผู้คนของท่าน พระผู้เป็นเจ้าจึงได้สั่งให้ท่านชำระตัวเองด้วยการถือศีลอดเป็นเวลา 30 วัน แต่เมื่อถือครบแล้ว พระเจ้าก็ได้สั่งให้ท่านถือต่ออีก 10 วันรวมเป็น 40 วัน หลังจากนั้น ท่านก็ได้รับบัญญัติ 10 ประการ มาเป็นกฎหมายสำหรับลูกหลานอิสราเอล การอดอาหารของนบีมูซาในครั้งนั้นได้กลายเป็นกฎเกณฑ์ถาวร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการไถ่โทษของพวกลูกหลานอิสราเอล นอกจากนี้แล้ว กฎเกณฑ์ดังกล่าวยังห้ามการทำงานระหว่างการถือศีลอดด้วย (ดู เลวิติโก 16:29-30)

(2) นบีดาวุดหรือเดวิดก็ถือศีลอดเพื่อไว้อาลัยให้แก่ “ซาอูล” ผู้เป็นพ่อตา และเมื่อลูกชายของท่านล้มป่วยลง ท่านก็อดอาหารเพื่อนมัสการวิงวอนพระเจ้าขอให้ลูกชายท่านหายป่วย

(3) เอ ษราซึ่งเป็นผู้ที่ชาวยิวให้ความเคารพยกย่องว่าเป็นผู้รวบรวมคัมภีร์ของโมเสส ก็ถือศีลอดเพื่อขอความคุ้มครองและความช่วยเหลือจากพระเจ้าในการเดินทาง จากกรุงบาบิโลนกลับไปยังนครเยรูซาเล็ม และเมื่อเขาได้อ่านคัมภีร์ของโมเสสให้พวกยิวฟัง พวกยิวก็ถึงกับหลั่งน้ำตาและได้ถือศีลอดอาหารเป็นเวลา 7 วัน ปัจจุบันชาวยิวจึงมีการถือศีลอดในโอกาสต่างๆ 6 ครั้งด้วยกันในแต่ละปี

(4) พระ เยซูหรือนบีอีซาก็ถือศีลอดอาหารเป็นเวลา 40 วัน ระหว่างที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารและสานุศิษย์ของท่านก็ถือศีลอดอาหารเช่น กัน ดังนั้นชาวคริสเตียนจึงได้ถือปฏิบัติกันมาและในการปฏิบัติก็มีพิธีรีตอง ต่างๆมากมาย เช่น การนุ่งผ้ากระสอบและการโปรยฝุ่นบนตัว เป็นต้น เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความทุกข์และความไม่สนใจในตัวเอง

(5) การ ถือศีลอดยังเป็นที่ปฏิบัติในหมู่ชาวโรมันแคทอลิก แต่วันเวลาของการถือศีลอดได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ส่วนคริสตจักรโปรเตสแตนท์นั้นปล่อยให้เรื่องการถือศีลอดขึ้นอยู่กับความสำ นึกของคริสตศาสนิกชนเอง

(6) พราหมณ์ ในศาสนาฮินดูก็มีการถือศีลอดอาหารในวันที่ 11 และ 12 ของทุกเดือน โยคีชาวอินเดียบางคนจะถือศีลอดโดยการงดเว้นจากการกินการดื่มเป็นเวลา 40 วันเช่นเดียวกับผู้นับถือศาสนาเชน

(7) ใน ศาสนาโซโรแอสเตอร์ ถึงแม้จะไม่มีข้อกำหนดเรื่องการถือศีลอดแก่คนทั่วไป แต่คัมภีร์ของศาสนานี้ก็กำหนดให้นักบวชของตนถือศีลอดด้วยเช่นกัน

 

การถือศีลอดในอิสลาม (Islamic Fasting)

มุสลิมถูกกำหนดให้ถือศีลอดเมื่อประมาณ 1,400 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยของศาสดามุหัมมัด nabi  การถือศีลอดเป็นบทบัญญัติของเอกองค์อัลลอฮฺ allah ต่อ มุสลิมทั้งชายและหญิงที่มีสุขภาพดีและบรรลุศาส นภาวะแล้ว เมื่อท่านนบีมุหัมมัดอพยพไปยังนครมะดีนะฮฺ ท่านได้ถือศีลอดตามแบบของชาวยิวที่ยึดถือตามท่านนบีมูซา คือถือในวันที่ 10 เดือนเจ็ดตามปฏิทินของชาวยิว แต่หลังจากนั้นไม่นาน อัลลอฮฺก็ได้มีวะฮฺยูใช้ให้ท่านนบีมุหัมมัด nabi เปลี่ยน การถือศีลอดให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และวิธีการที่พระองค์ทรงกำหนด โดยอิสลามได้ใช้ปฏิทินทางจันทรคติเป็นตัวกำหนดการถือศีลอดซึ่งทำให้มุสลิม ได้ถือศีลอดในทุกฤดูกาล (ปฏิทินทางจันทรคติจะน้อยกว่าปฏิทินทางสุริยคติเป็นเวลา 11 วัน)

การ ถือศีลอด มาจากภาษาอาหรับว่า "อัศ-เศามุ" หรือ "อัศ-ศิยาม" ในทางภาษา หมายถึง การละ การงด การระงับยับยั้ง การควบคุม ครองตน เช่นการละความชั่ว ยับยั้งสิ่งต่างๆ ที่เกิดจากอารมณ์ใฝ่ต่ำ ส่วนความหมายในทางศาสนา หมายถึง การละเว้นการบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม การร่วมสังวาส ระหว่างรุ่งสางจนตะวันลับขอบฟ้า งดเว้นการพูดจาโกหกเหลวไหลไร้สาระ เว้นจากการประพฤติชั่วทั้งโดยลับและเปิดเผย ดังโองการในอัลกุรอานที่ว่า

 “โอ้บรรดาชนผู้มั่นในศรัทธาเอ๋ย การถือศีลอดได้ถูกบัญญัติให้เป็นภารกิจ (ฟัรฎู) ของพวกเจ้าทุกคน เช่นเดียวกับที่เคยถูกบัญญัติให้เป็นภารกิจของชนในยุคอดีตก่อนสมัยพวกเจ้า ด้วยหมายให้พวกเจ้าเกิดความสำรวม (ตักวา)” บทอัลบะกอเราะฮฺ โองการที่ 183 และ “เดือน รอมฎอน เป็นเดือนที่ประทานอัลกุรอานลงมาเพื่อเป็นสิ่งชี้นำแด่มวลมนุษยชาติ และเพื่อเป็นหลักฐานแห่งทางนำ และการจำแนกแยกแยะระหว่างดีชั่ว (คือระหว่างความจริงกับความเท็จ ) ดังนั้นเมื่อผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเข้าสู่เดือนนั้นแล้ว เขาจงถือศีลอดเดือนนั้นเถิด” จากบทอัลบะกอเราะฮฺ โองการที่ 185

อิส ลามได้บอกให้ผู้ศรัทธาได้รู้เป็นที่ชัดเจนว่าวัตถุประสงค์ของการถือศีลอดมิ ใช่เพื่อการทรมานร่างกาย แต่การถือศีลอดเป็นการขัดเกลาและฝึกฝนจิตวิญญาณของมนุษย์ ให้รู้จักยับยั้งชั่งใจเกี่ยวกับสิ่งที่กระตุ้น หรือยั่วยุความต้องการทั้งหลาย และมีความพร้อมที่จะเผชิญต่อบททดสอบที่จะประดังเข้ามาในชีวิต

Written by ซอฟียะห์ นิมะ

11

กินน้อยอายุยืนกว่ากินมาก

 

          จงถือศีลอดแล้วท่านจะมีสุขภาพดี  จากคำกล่าวนี้ จะเป็นคำกล่าวของท่านศาสดามุหัมมัด  หรือ ไม่นั้น ในวงการศาสนายังไม่มีข้อสรุปชัด แต่ในนัยแห่งเนื้อหาที่สื่อสารออกไปนั้นช่างทรงพลัง จนทำให้บรรดาแพทย์และนักวิทยาศาสตร์สุขภาพทั่วโลกได้นำคำกล่าวนี้ไปถอดรหัส ใช้ในการศึกษาค้นคว้า

วิจัย จนเกิดองค์ความรู้อย่างมากมายในการนำมาใช้ในวงการแพทย์ ทั้งในการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันและการรักษาโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้มนุษยชาติมีอายุยืนยาวขึ้น และมีสุขภาพดี ไม่ใช่อายุยืนยาวที่อยู่กับโรคภัยไข้เจ็บหรืออยู่บนเตียงผู้ป่วยตลอดชีวิต

ดัง นั้นจึงมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ที่สนใจค้นคว้าวิจัยในการหายาอายุวัฒนะหรือการตัดแต่งทางพันธุกรรม ที่จะให้มียีนที่สามารถป้องกันโรคภัยบางโรคได้ เช่น การทดลองหาทางยืดอายุของหนูให้ยืนยาวขึ้นด้วยการตัดแต่งยีนโดยนักวิทยา ศาสตร์เชื้อสายอิตาลีในศูนย์มะเร็งสโลน-เค็ตเตอริงอนุสรณ์ ในนิวยอร์ก ผลการวิจัยปรากฏว่าหนูกลุ่มที่ได้รับการดัดแปลงยีน(p66) มีอายุยืนกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการดัดแปลงยีนถึงร้อยละ 30 แต่ การดัดแปลงยีนหรือการหายาอายุวัฒนะนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เห็นผลช้าและในที่สุดจะสามารถใช้กับมนุษย์ได้หรือไม่ ยังเป็นคำถามที่ต้องรอคำตอบ แต่มีการวิจัยจำนวนไม่น้อยที่บ่งชี้ว่าการที่จะมีอายุยืนได้โดยการกินให้ น้อยลง

การ ทดลองว่าการกินน้อยอายุยืนกว่ากินมากที่นักวิจัยจากตะวันตกค้นพบจากการทดลอง นั้นได้ทำกันมาตลอดตั้งแต่ ค.ศ.1935 เริ่มที่มหาวิทยาลัยคอร์เนลเป็นแห่งแรก ที่ทำการทดลองในหนู 2 กลุ่ม  กลุ่มแรกให้กินตลอดเวลา กับอีกกลุ่มให้กินบ้างหิวบ้าง ปรากฏว่าหนูกลุ่มแรก(กินตลอดเวลา)ตายก่อน 

จาก นั้นการทดลองวิจัยที่สถาบันแห่งอื่นๆ ได้เกิดขึ้นตามมาจนถึงปี ค.ศ.2000 เป็นเวลานานร่วม 65 ปี แล้วผลการวิจัยก็ปรากฏว่าผลเหมือนเดิมว่ากินน้อยอายุยืนกว่ากินมาก ไม่ว่าจะเป็นการทดลองกับหนูหรือทดลองกับลิงก็ตาม ดังเช่น การวิจัยที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินและสถาบันแห่งชาติว่าด้วยวัยชรา  (The National Institute on Aging : NIA) ได้ใช้การทดลองกับลิงซึ่งต้องใช้เวลานานเป็นสิบๆ ปีกว่าจะเห็นผล เพราะลิงมีอายุขัยเฉลี่ยมากกว่าหนู (ปกติหนูมีอายุไม่เกิน 3 ปี) NIA ใช้งบประมาณปีละ 3 ล้านดอลลาร์เพื่อศึกษาว่าด้วยการจำกัดปริมาณแคลอรีด้วยการทดลองหนูกับลิง ดังเช่น Tomas Prolla และ  Richard Weindruch นักวิจัยของมหาวิทยาลัยวิสคอนซินแห่งเมดิสันได้ทดลองกับหนูมาก่อนแล้วและสรุปผลนำลงวารสาร Science ใน เดือนกันยายน 2542 พวกเขาพบว่าหนูที่ถูกควบคุมอาหารด้วยการลดปริมาณแคลอรีลงร้อยละ 42 เมื่อ เปรียบเทียบกับหนูอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับอาหารอย่างอื่นที่มีทั้ง โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุเหมือนกันและเท่ากันแล้ว ปรากฏว่าหนูที่ถูกลดแคลอรีมียีนที่กระชุ่มกระชวยมากกว่ากลุ่มที่ได้กิน มากกว่า การทดลองครั้งนี้ใช้เวลานาน 30 เดือน และเป็นการทดลองที่ลงลึกไปในการตรวจสอบยีนในระดับโมเลกุลมากกว่าที่ผ่านๆ มา ด้วยการตรวจสอบกล้ามเนื้อและยีนจำนวน 6,347 ยีนซึ่งผลลัพธ์ปรากฏว่าในระดับโมเลกุลแล้ว หนูที่กินน้อยจะมีการทำงานของยีนที่หนุ่มกว่ากลุ่มหนูที่ได้กินมาก

ส่วน การทดลองกับลิงนั้น เท่าที่พบกันคือลิงที่ถูกควบคุมแคลอรีจะมีความดันโลหิตต่ำและมีระดับคอเลสเต อรอลชนิดดีในปริมาณสูงซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีสุขภาพดี อันนำไปสู่การมีอายุที่ยืนยาว  หนึ่งในนักวิจัยที่รณรงค์และสนับสนุนให้กินน้อยเพื่ออายุที่ยืนยาวกว่าคือนายแพทย์รอย วัลฟอร์ด (Roy Walford) ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ด้านพยาธิวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) อายุ 76 ปี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชราภาพมานานกว่า 50 ปี

รอย วัลฟอร์ด เชื่อว่าผลการทดลองกับสัตว์ทำให้ประเมินได้ว่ามนุษย์เราสามารถที่จะมีอายุ ยืนกว่าเดิม คือ สามารถอยู่ได้ถึง 120 ปี เขาเคยทดลองทำวิจัยกับหนูมาแล้วในช่วงทศวรรษ 1960 เคยรับเงินทุนสนับสนุนการวิจัยจาก NIA ในเรื่องนี้ เขาเคยเขียนหนังสือแนะนำเกี่ยวกับการลดอาหารออกมาเมื่อปี ค.ศ.1986 เรื่อง “The 120-Year Diet” และนำมาปรับปรุงพิมพ์ใหม่ชื่อ “Beyond the 120-Year Diet”

         ใน ทัศนะของรอย วัลฟอร์ด การทดลองจากหลายสถาบันวิจัยไม่เพียงแต่จะบอกว่าการกินน้อยจะทำให้อายุยืน กว่ากินมากเท่านั้น แต่ยังลดโรคภัยไข้เจ็บที่จะมาเบียดเบียนให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง  โรคหัวใจ หรือโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านเนื้อเยื่อตัวเอง

         ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมกินน้อยอายุยืนกว่ากินมากนั้น ขณะนี้มีอยู่หลายความเห็น เช่น เหตุผลหนึ่งเชื่อว่า “การกินมากเท่ากับเป็นการเข้าไปเร่งให้กระบวนการแก่ชราทำงานเร็วขึ้น” อีกเหตุผลหนึ่งเชื่อว่า “การ ลดอาหารหรืออาหารไม่พอนั้นมันจะไปดึงเอาพลังงานจากส่วนร่างกายที่เติบโตแล้ว เอามาใช้ในการบำรุงรักษาและซ่อมแซม ซึ่งเท่ากับเป็นการกระตุ้นสร้างพลังงานใหม่ สร้างเซลล์ใหม่มาทดแทนเซลล์เก่า” และอีกเหตุผลหนึ่งเชื่อว่า “การกินน้อยจะไปลดตัวอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวทำลายเซลล์ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ช่วยลดอินซูลินและป้องกันระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้เสื่อม”

 

การกินจุเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่

ทีม ข่าวสุขภาพจากรอยเตอร์นิวยอร์ก ได้สรุปรายงานผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารระบาดวิทยาของประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า เมื่อพิจารณาความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ในคนเรานั้น พบว่าปริมาณอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีความสำคัญต่อการเกิดมะเร็งลำ ไส้มากกว่าชนิดหรือประเภทของอาหารที่เรารับประทานอาหารเข้าไปเสียอีก

         คณะวิจัย ดร.เจสซี่ ซาเทีย-อบูต้า แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา  สรุป ผลที่ได้จากการติดตามเก็บข้อมูลคนผิวขาวจำนวน 933 คน และคนผิวดำจำนวน 676 คน พบว่าคนผิวดำที่รับประทานอาหารที่ปริมาณเส้นใยอาหารสูง สามารถลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากกว่าคนผิวขาว

เมื่อ ทำการศึกษาเพิ่มเติมโดยการทดสอบคนที่มีสีผิวต่างกันสองกลุ่มนี้ พบว่าการรับประทานอาหารแต่ละชนิดที่ให้ปริมาณแคลอรีสูงจะเพิ่มความเสี่ยงใน การเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่เป็น 2-3 เท่า แต่ทว่าไม่พบความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ถ้าผู้วิจัยทำการปรับจำนวนแคลอรีรวมที่ ร่างกายได้รับ

ดร. เจสซี่ ซาเทีย-อบูต้า กล่าวว่า ผลของการวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงและปริมาณสารอาหารต่างๆ ในปริมาณสูง เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันมีผลในการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ และสามารถสรุปได้ว่าจำนวนแคลอรีที่ได้รับทั้งหมดเป็นสาเหตุหลักที่มีความ สัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ปัจจัยที่ก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับชนิดของสารอาหารนั้น จะแปรผัน ขึ้นกับเชื้อชาติและพลังงานที่ได้รับ ดังนั้นการที่ร่างกายได้รับจำนวนแคลอรีที่เหมาะสม มีความสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่

สำหรับในประเทศไทยนั้น นายแพทย์เฉก  ธนะศิริ  ผู้ก่อตั้งชมรมอยู่ร้อยปี–ชีวี เป็นสุข ซึ่งปัจจุบันอายุ 83 ปี ได้กล่าวเน้นย้ำในการบริโภคอาหารที่ได้มาจากธรรมชาติแทนอาหารที่ผ่านการปรุง แต่ง หรือผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม คนไทยเสี่ยงภัยปนเปื้อนสารพิษ และสารเคมี ที่ได้รับตั้งแต่ทารกจนถึงวัยชรา ไม่ว่าจะเป็นอาหารหลัก อาหารเสริม อาหารว่าง ขนมขบเคี้ยว ล้วนแต่ไม่พ้นสารเคมี สารปรุงแต่ง ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน ตลอดจนสารตัดแต่งพันธุกรรม เป็นแหล่งที่มาของสารพัดโรค เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง ตับและไตวาย หรือโรคดื้อยา ฯลฯ

         ปัจจุบันนักกีฬาที่เก่งๆ จะต้องกินอาหารต่ำกว่าที่นักโภชนาการกำหนดไว้ โดยให้กินเพียง 1,600-1,800 แคลอรี ต่อวัน อาหารแคลอรีต่ำๆ กลับทำให้สถิตินักกีฬาดีกว่ากินอาหารที่บริบูรณ์ไปด้วย หมู เห็ด เป็ด ไก่ และยังพบว่าการกินอาหารแคลอรีต่ำ ถัวเฉลี่ยประมาณ 1,000 แคลอรีต่อวัน ในกลุ่มชาวฮันซา บนเทือกเขาหิมาลัย ทำให้พวกเขาเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวเกินหนึ่งร้อยปี

         ยัง มีอีกหลายๆ งานวิจัย เช่น ที่ทำโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอล ที่ทำการเจาะเลือดชาวเบดูอินเพื่อดูค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ก่อนและหลังเดือนรอมฎอน ปรากฏว่าผลของเลือดไม่ว่าในเรื่องน้ำตาลหรือไขมันในเลือดดีขึ้นโดยรวม

ครั้ง หนึ่งหลายปีก่อน มีการค้นพบโดยบังเอิญที่สถานีอวกาศเมียร์ ที่เกิดเหตุขัดข้องกับวงจรไฟฟ้าโซลาเซลล์ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาเป็น แหล่งพลังงานในสถานีฯ หลายเดือนจนทำให้นักบินอวกาศต้องลดลงการกินจากปกติลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ มีผลทำให้ค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ในเลือดดีขึ้นทุกตัว

จาก การวิจัยและการทดลองข้างต้น จึงพอสรุปได้ว่า การที่มนุษย์และสัตว์ได้ลดพลังงานที่ได้รับลง 1 ใน 3 ของที่ได้รับตามปกติ (วิธีง่ายๆ คือการศีลอดแบบมุสลิม เพราะต้องลดมื้อเที่ยงไป 1 มื้อ) จะทำให้อายุยืนมากกว่าการกินอาหารตามปกติ รวมทั้งลดโรคภัยไข้เจ็บที่จะมาเบียดเบียนให้น้อยลงด้วย จึงเป็นบทพิสูจน์ของคำกล่าวที่ว่า “จงถือศีลอดแล้วท่านจะมีสุขภาพดี” ตลอดเวลายาวนานกว่า 1,400 ปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี

 

 Written by อนันตชัย ไทยประทาน

12
วิธีการละศีลอดที่ถูกต้อง

   1. ละศีลอดด้วยอินทผลัม สองผล กับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว
   2. ไปละหมาดมักริบก่อนอย่างช้าๆ
   3. กลับมารับประทานอาหารใหม่ตามต้องการ อย่างช้าๆ
   4. ไม่ควรรับประทานเกินหนึ่งในสามของกระเพาะ
   5. ไปละหมาดตะรอเวียะฮฺทุกครั้ง
   6. หลังละหมาดให้นอนได้ ไม่ต้องรับประทานอาหารอีก


http://www.oknation.net/blog/okislam/2009/08/30/entry-2

13
วิธีการรับประทานอาหารซุโฮร์

   1. เคี้ยวอาหารช้าๆ อย่างละเอียด
   2. ห้ามพูดคุยกันระหว่างรับประทานอาหาร
   3. รับประทานอาหารไม่ให้อิ่มแน่นมาก  แต่ต้องให้อิ่ม
   4. ดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารพร้อมทั้งผลไม้
   5. ไม่ควรดื่มชา กาแฟ หรือสูบบุหรี่
   6. ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยมากๆ เพื่อให้อิ่มได้นานๆ




http://www.oknation.net/blog/okislam/2009/08/30/entry-2

14
ข้อควรปฏิบัติในการถือศีลอดที่ถูกต้อง

   1. รับประทานอาหารซุโฮร์ให้ใกล้หมดเวลา และรีบแก้ศีลอดเมื่อเข้าเวลา
   2. ไม่พูดนินทา ไม่คิดร้าย ทำใจให้สงบ อ่านกุรอาน
   3. เคี้ยวอาหารช้าๆ ห้าสิบครั้งต่อคำ ทานอาหารไม่อิ่มแน่นมาก
   4. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ หลังรับประทานอาหาร
   5. รับประทานอาหารเหมือนปกติ ไม่ควรเพิ่มอาหารมาก
   6. เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
   7. ไปละหมาดตะรอเวียะฮฺทุกๆ วัน อย่างช้าๆ ไม่รีบ
   8. แบ่งปันอาหารให้ผู้ที่ถือศีลอด
   9. พยายามเลิกสิ่งเสพติดต่างๆ เช่น บุหรี่, ชา, กาแฟ ฯลฯ
  10. ควรตรวจร่างกายก่อนเข้าเดือนรอมฎอน และหลังจากสิ้นเดือนรอมฎอน


http://www.oknation.net/blog/okislam/2009/08/30/entry-2

15
วิธีดูแลสุขภาพแก่ชาวไทยมุสลิม ในเดือนรอมฎอน

วิธีดูแลสุขภาพให้ดีแก่ชาวไทยมุสลิม เพื่อให้สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในเดือนรอมฎอน

นาย แพทย์ยอร์น จิระนคร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ขณะนี้พี่น้องชาวไทยมุสลิมที่ปฏิบัติศาสนกิจถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งถือว่าเป็นเดือนแห่งความประเสริฐ ความดีงาม เดือนแห่งความอดทน แต่ช่วงดังกล่าวจะทำให้อวัยวะที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้พักผ่อน จึงแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพในเดือนรอมฎอน ดังนี้

1.รับประทานอาหารสุกใหม่ ๆ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด เพราะจะทำให้กระหายน้ำได้ระหว่างการถือศีลอดในตอนกลางวัน

2. สำหรับอาหารมื้อเย็นควรเริ่มด้วยอาหารเหลวย่อยง่าย เช่น อินทผลัม น้ำหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยากเพราะจะทำให้กระเพราะอาหารทำงานหนักขึ้น

3. อาหารมื้อเย็น ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารมากเกินไป เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวกระเพาะอาหารจะมีน้ำย่อยออกมามาก การรับประทานอาหารอย่างรวดเร็วจะทำให้กระเพาะอาหารปรับตัวไม่ทัน น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับ ทำให้ระบบย่อยอาหารแปรปรวน เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หากเกิดขึ้นบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารเรื้อรังต่อไปได้

4. หลี่กเลี่ยงการนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ต้องอย่างน้อย 2-4 ชั่วโมง เพราะการนอนหลังรับประทานอาหารทันที อาจทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับ ทำให้ระบบย่อยอาหารแปรปรวนเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

5. อาหารทุกมื้อควรสะอาด หลี่กเลี่ยงอาหารจำพวกกะทิ เพราะช่วงนี้อากาศร้อนมาก อาจทำให้อาหารบูดเสียได้ง่าย และก่อนรับประทานอาหารหรือปรุงอาหารควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง

6. สำหรับน้ำดื่มควร เป็นน้ำที่สะอาด เช่น น้ำต้มสุก หรือน้ำบรรจุขวดที่ได้มาตรฐาน แต่หากมีอาการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำ 3 ครั้ง ขึ้นไปภายใน 24 ชั่วโมง

 ควรดื่มน้ำผสมน้ำตาลเกลือแร่ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพาไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขโดยเร็ว เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป



http://www.oknation.net/blog/okislam/2009/08/30/entry-1

หน้า: [1] 2