แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - UBAIDILLAH

หน้า: [1]
1


ได้อ่านข้อเขียนถ้อยคำสละสลวย ง่ายๆแต่ลึกซึ้งกินใจ  แถมยังแต่งแต้มด้วยวรรณศิลป์อ่านแล้วได้แง่คิดสะกิดใจ   คุณอัช - อารีย์  คุณอัล- ฟาตอนี  นอกจากมีความรู้ดีมากแล้ว  ทั้งสองคนยังมีลีลาการเขียนหนังสือยอดเยี่ยมทีเดียว    ไม่แน่นะครับ  นอกจากเราจะได้คนอาเหล่ม ออกมารับใช้สังคมแล้ว  เราอาจมีนักเขียนบทความวิชาการ  , ความรู้เกี่ยวกับศาสนา , หรือแปลหนังสืออาหรับสู่ภาคภาษาไทยในอนาคตก็ได้     
มีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้ครับ
ที่คุณอัล – ฟาตอนีเขียนมาก็ถูกต้อง   แต่ก็ไม่หมดจดนะครับ  จริงอยู่ว่าระบบการศึกษาในปอเนาะนั้น  ได้สร้างบัณฑิตไร้ปริญญาออกรับใช้สังคมมาอย่างยาวนาน แต่ในปัจจุบันนี้   ก็ได้ล้มหายตายไปตามวันและเวลาด้วยหลายๆปัจจัยด้วยกัน   ที่เหลือก็มีน้อยน่าใจหาย  และเราก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปสู่อดีตกาลที่ผ่านมาเหล่านั้นได้อีกแล้ว    คิดถึงเด็กปอเนาะ ที่ไปท่องหนังสือดึกดื่น สามปี  ห้าปี  สิบปี  กว่าจะได้เดินทางกลับบ้านเกิด  ปักหลักสอนหนังสือที่มัดดราซะ  หรือมัสยิด  ใช้เวลายาวนานกว่าสังคมจะยอมรับ  นั่นเป็นวิถีของเด็กปอเนาะ  และเส้นทางเดิน  จากโต๊ะปาเก    โต๊ะละใบ   โต๊ะครู  โต๊ะอีหม่าม   เพราะบริบทสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตอนนี้ปอเนาะที่กลายเป็น ร ร เอกชน สอนหนังสือศาสนา  ในอัตราส่วนน้อยนิดน่าใจหาย  จากโต๊ะครู  เป็น ผจก โรงเรียน  เรามีเยาวชนยุคใหม่  ที่แปลกเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก เด็กเหล่านี้แหละที่ดำเนินชีวิตในสังคมจำนวนมาก  เด็กรุ่นใหม่ นับถือคนที่ปริญญาบัตร  บริบทของสังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว
คณะใหม่นั้นมีความพร้อมในตรงนี้เป็นอย่างสูง  ที่ดูเหมือนจะโดดเด่น   บดบังราศีเด็กปอเนาะไร้ปริญญาไปทุกวัน ที่ต้องอ่านหนังสือกีตาบสอนชาวบ้าน    พวกเขาชอบแสดงโวหารบนมิมบัร   คุยแต่อุดมการณ์อิสลาม และปลูกฝังความใหม่ใส่ลงไปคนรุ่นใหม่  ซึ่งก็มีแนวโน้มได้ผล  เพราะเด็กรุ่นใหม่ ไม่ลึกซึ้งในศาสนา  พร้อมที่จะเอนเอียงได้เสมอ  ยิ่งเมื่อเจอลูกล่อลูกชนของวาฮาบีย์ก็ตกหลุมง่ายๆ
สำหรับผมแล้ว เด็กปอเนาะ   ยุคใหม่   ต้องบินไปเรียนต่อเพิ่มเติมที่เมืองนอกแบบอัช- อารีย์ แบบ อัล -ฟาตอนีย์ นี่แหละดีที่สุด  ที่จะเป็นคู่ขับเคี่ยวกับวาฮาบีย์ ที่กำลังเพิ่มปริมาณมากขึ้นทุกวันเป็นอย่างดี  เพราะเด็กปอเนาะแบบเดิมๆ อาจไม่ทันการณ์เชิงรุกของคณะใหม่เสียแล้ว  แถวบ้านผม  เครือข่ายของวาฮาบีย์เดินสายถล่มโต๊ะครู  โยนใส่บิดอะห์ ชิริก เป็นว่าเล่น เดี๋ยวจัดงานตรงโน้น ตรงนี้  ในขณะที่โต๊ะละใบต้องแอบสอนกีตาบในบ้านเงียบๆ  เพราะมัดดราซะที่สอนหนังสือ  วาฮาบีย์ให้เงินทำเป็นสุเหร่าเล็กๆเกือบหมดแล้ว ?
วัซซาลาม



2
ขอขอบคุณ  ที่เปิดกว้างให้แสดงความเห็นโดยไม่ได้ปิดกระทู้นะครับ   
อยากเล่าให้ฟัง
เดือนรอมฏอนที่ผ่านพ้นมา  ผู้จัดรายการเปิดให้ถามผ่านเข้าในรายการ มีผู้ฟังรายหนึ่งถามถึงประเด็นทางศาสนาแต่ ผู้ดำเนินรายการบอกว่า  เป็นคำถาม แตกแยก ไม่ขอตอบชาวบ้านก็พากันงุนงง  และเมื่อเช้าวันนี้เอง   (27 ก.พ.52 )ได้ยินวิทยุชุมชน (ค่ายวาฮาบีย์ซาวด์)  พูดออกอากาศวิจารณ์เรื่องทำบุญเจ็ดวัน  ว่าที่อาหรับและบ้านเราทำไม่เหมือนกันชาวบ้านได้แต่ฟังทำตาปริบๆ  นี่มันอะไรกัน (     ) ผู้ดำเนินรายการวิทยุรอมฏอนห้ามถามในประเด็นที่วาฮาบีย์นำเข้ามาอ้างว่า  แตกแยก  แต่วาฮาบีย์เดินหน้าสร้างมัสยิดไม่รู้จักหยุดจักหยุด   รายการกรอกหูชาวบ้านทุกๆ เช้า ขอถามหน่อยว่า   นี่เป็นสังคมที่สร้างสรรค์  นี่เป็นสังคมที่เปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้หรือไม่     ?
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เป็นไปได้ไหม ? ที่เราจะไม่พูดถึงคณะเก่า คณะใหม่   และข้อขัดแย้งประเด็นต่างๆในวิชาการศาสนา แล้วกลับมาทบทวนถึงความเหมือนความต่างในแบบ  “แสวงจุดร่วม  สงวนจุดต่าง”
ด้วยเราท่านทั้งหลายกำลังเดินทางความโปรดปรานของอัลเลาะฮ์ด้วยกันทั้งนั้น  ลองเข้าจิตเข้าใจของแต่ละฝ่ายหาทางออก เพื่อประโยชน์สุขด้วยกัน ในลักษณะตระหนักถึง”สังคม” ของอีกฝ่ายหนึ่ง  ทำนองว่าอย่าไปก้าวก่ายสังคมของคนอื่น พี่น้องวาฮาบีย์ขอให้เลิกฮุก่ม บิดอะห์  ชิริก ให้กับพี่น้องคณะเก่า  เสียที  หากมีเงินจากอาหรับบริจาคก็ให้เขาไปโดยไม่หวังผล (ช่วยสร้างมัสยิดก่อน แล้วนำเข้าวิชาการ)    แบบที่ชาวบ้านมองเห็นแล้วไม่สบายใจ   เพราะเขากลัวที่จะไม่เหมือนสมัย  ที่โต๊ะครูเก่าๆ ในหมู่บ้านเคยสอนเอาไว้  เพียงเท่านั้นผมคิดว่าทุกอย่างคงดีขึ้น  พี่น้องที่รักทั้งหลาย ใครมีความคิดเห็นยังไง แสดงออกมาแลกเปลี่ยนกันบ้างนะครับ    :วัซซาลาม:

3
ขอบคุณทุกคน ทุกความเห็นนะครับ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และแนะนำปิดกระทู้
ผมก็เป็นชาวบ้านคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในเหตุการณ์ ตอนเขียนบทความเผยแพร่ก็หวังเพียงอยากฟังความเห็นของเพื่อนๆทุกคน ผมเชื่อว่าทุกคน  ทุกความเห็นมีเจตนาบริสุทธิ์  ต่อกันและกัน เพื่อศาสนาอิสลามทุกคน แต่เมื่อเสนอปิดกระทู้ก็อดคิดไม่ได้ว่า เอะ พอแตะวาฮาบีย์เข้าหน่อยก็ชวนปิดกระทู้ซะแล้ว
ผมเขียนถึงวาฮาบีย์กำลังจะเข้ามาเทคโอเว่อร์หมู่บ้าน  ชวนให้ผู้รู้ นักศึกษา ช่วยหาทางออกหรือคำแนะนำให้ผมบ้าง  เมื่ออัช อารีย์ อำลาจากไคโรกลับบ้านเกิด อาจไปเจอปัญหาเหล่านี้จะแก้ยังไง ?ตอบคำถามยังไง ?เพราะปัญหานี้มันมีอยู่จริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ ผมยอมรับว่า บทความที่เขียนอ่านแล้วเครียดไม่สนุกเลย แต่จะทำยังไงได้ล่ะครับ  เรื่องไม่สร้างสรรค์ก็ต้องออกมาแนวไม่ค่อยสร้างสรรค์ หรืออ่านสนุกสนานอย่างนี้แหละ
ก็แล้วแต่อัช อารีย์ ผมเสนอปิด/ลบกระทู้นี้ด้วย  วัซซาลาม

4
เจ้าของกระทู้พูดถูก ปัญหาหนักนะเนี่ย แต่ก็เหมือนเดิม พูดวนอยู่ที่เดิม เรื่องนี้ก็พูดมาเยอะมากๆๆแล้ว สรุป ฟาตอนีพูดถูกกว่าอีก

5
อับบาส  อาลี ไม่ใช่นักฟุตบอลครับ
เพียงปุถุชนธรรมดาที่รักและชอบในวิถีของสายเก่าคนหนึ่งที่ไม่อยากเปลี่ยนใจไปอยู่คณะไหนๆอีกแล้วในวันนี้และวันข้างหน้า และที่เขียนเป็นบทความออกมาก็ไม่ได้นั่งเทียน  แต่เขียนมาจากคนในพื้นที่จริงๆ ที่ประสบพบเห็นคณะใหม่กับคณะเก่าอยู่คนละฟากถนนเท่านั้น จึงเกิดความรู้สึกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงไม่แคล้วเสร็จเขาจริงๆนั่นแหละ เพราะคณะใหม่มีเงินเบิกทางเยอะแยะ มีภาพพจน์ดูหรูหรา  น่าเกรงขาม  เพราะมีดีกรีเรียนจบมาจากเมืองนอกเมืองนา  สำหรับผมอับบาส  อาลี เขียนมาเพื่อตักเตือนตัวเอง และเพื่อนผู้ร่วมหมู่บ้าน ที่ยึดถือสายเก่าอยู่ว่าน่าจะหันมาทบทวนมามันเกิดอะไรขึ้นในหมู่บ้านของเราในขณะนี้ หากทุกคนพร้อมใจเปลี่ยนเส้นทางสายเดิมก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรหากเป็นมติของชาวบ้านส่วนใหญ่  แต่ในหมู่บ้านบางแห่งนำเข้าวาฮาบีย์มาโดยไม่ยอมบอกความจริง ตัดสินใจเอาเงินมาสร้างมัสยิดอย่างเดียวโดยไม่รอลงมติเสียงส่วนใหญ่ของชาวบ้าน กล่าวคือ  ไม่บอกแหล่งที่มาของเงิน เพราะทราบดีว่าชาวบ้านส่วนใหญ่คงไม่ยอมมาตั้งแต่ต้น  ทีนี้ จะลองตั้งคำถามดูว่า  หากเมื่อมัสยิดสร้างเสร็จ  และวิชาการของวาฮาบีย์ที่นำเข้ามาเผยแพร่  ตามสูตรของเขา   ชาวบ้านคงจะรับไม่ได้ เพราะเขายังยินดีอ่านหนังสือที่กูโบร์  ทำบุญ เจ็ดวัน ฯลฯ เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่บ้านใครจะรับผิดชอบ ผมจะถามต่อว่าว่า  ใครกันแน่ที่มาสร้างความแตกแยกกันแน่   หนึ่งผู้นำ  สองโกมมูดา  สามชาวบ้าน ผมเพียงตั้งข้อสังเกต  ให้เพื่อนร่วมวิเคราะห์ออกความเห็นกันบ้าง  เพราะที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง  ไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมา   วัซซาลาม

6
คณะใหม่ : ในเชิงรุก

ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง  พวกเก่า ( โกมตัว ) พวกใหม่ (โกมมูดา ) ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในสังคมมุสลิมของเรา  นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังพูดถึงกันอยู่ตามจังหวะ โอกาส สถานที่จะเอื้ออำนวย พูดกล่าวพาดพิงซึ่งกันและกัน

              นับตั้งแต่ ค.ศ. 1970  องค์การสันนิบาติอาหรับ (อัร - รอบีเฏาะห์)  ได้ให้ทุนนักศึกษากับพี่น้อง 5 จังหวัดชายแดนใต้ ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยในประเทศอาหรับ ผลิตนักศึกษาที่มีแนวคิดตามนักศาสนาสมัยใหม่ หรือ “โกมมูดา” นำความรู้เข้าไปเผยแพร่ในประเทศและจังหวัดของตน ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งเติบโต มีสถานทูตคอยอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ผ่านองค์กร มูลนิธิ มอบเงินสร้างสาธารณะสถานต่างๆ ,  สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า , สหกรณ์การเงิน,โรงเรียนอนุบาลเด็กเล็กถึงระดับมหาวิทยาลัย    ฯลฯ   

               ประเทศในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ที่มีประชากรที่ถือมัซฮับชาฟีอีย์มากที่สุด เช่นมาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย นับเป็นเป้าหมายหลัก  พวกเขาทุ่มเททุนสนับสนุนขนานใหญ่ โดยให้ทุนการศึกษา  เข้าไปบริจาคช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ในจังหวัดชายแดนใต้นั้น ซึ่งมีคนนับถือสายมัซฮับชาฟีอีย์เป็นส่วนใหญ่ พวกเขาก็รุกคืบด้วยสร้างแนวร่วมมีเป็นระบบ ทั้งการศึกษา การเงิน  การเมือง และสังคม  ดังนั้น การเดินทางที่คืบใกล้หัวใจหลักของชาวบ้านสายชาฟีอีย์เดิมๆก็คือ  มัสยิด , มัดดราซะ สถานที่ให้ความรู้อันสำคัญที่ยังมีอิทธิพลต่อวิถีการดำรงอยู่ของชาวบ้านตั้งแต่อดีต พวกเขาพยายามแทรกตัวไปในพื้นให้งบประมาณซ่อมแซมศาสนสถาน ฯลฯ ประสานผ่านผู้นำหมู่บ้านที่ไม่เข้าใจลึกซึ้งดีพอ  ที่จะแยกแยะว่าไหนพวกเก่า ไหนพวกใหม่  จึงสมยอมรับเงินบริจาคเหล่านั้น  ปล่อยให้เข้าถึงในหมู่บ้านเงียบๆ  ผ่านการตัดสินใจของผู้นำไม่กี่คน ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้ดีได้แต่ทำอะไรไม่ได้เลย

                   ในปัจจุบันนี้ การเผยแพร่โดยการให้เงินสนับสนุนอำพรางค่อนข้างประสบความสำเร็จ คำว่า  “เงินอาหรับให้” มีคนพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง   สุดท้ายก็สรุปว่าเขาให้เงินก็เอาไว้ก่อน   ไม่ทำตามเขาเสียอย่างใครจะทำไม ? หากคิดได้เพียงแค่นั้น ก็เท่ากับว่าได้ส่งเสริมให้พวกใหม่เติบโต กำลังสร้างสะพานให้พวกเขาเดินมาในหมู่บ้าน  ให้ลูกหลานเป็น “โกมมูดา ”ในวันหน้าอย่างน่าเศร้าใจ 

                    คณะใหม่โดยการสนับสนุนขององค์กรต่างๆในประเทศอาหรับถือว่า การล้างสมอง ที่ใช้ได้ผลก็คือระบบการศึกษานั่นเอง  ไม่เห็นผลในระยะสั้น   แต่มันได้ผลในระยะยาว พวกใหม่กำลังเลือกใช้แผนนี้ในปัจจุบัน ด้วยการสร้างโรงเรียนทุกระดับชั้นเอาไว้เพื่อรอรับลูกหลานของพวกเราชาวสายเก่าให้เข้าไปเรียน สร้างภาพนักการเมืองเปี่ยมอุดมการณ์อิสลามให้เราเลือกเป็นตัวแทนในสภาผู้แทน  ตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ให้ฝากและยืมเงิน เป็นการสร้างวงล้อมพวกเก่าทุกด้าน ทั้งการศึกษาการเมือง  การเงิน  และสังคม  พวกเก่าหันไปทางไหนก็ติดทั้งนั้น  ปรากฏการณ์เช่นนี้ ดูผิวเผินแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าลองคิดดูดีๆแล้วมันน่ากลัว  ในวันที่เราคนอายุ 50-60 ในวันนี้ล้มหายตายจากไป วันนั้นแหละ พวกใหม่จะยืนชูธงชัยเหนือพวกเก่าอย่างราบคาบ 

                 สถานการณ์ในขณะนี้ถ้านับเป็นรุกรบก็นับว่าพวกเก่ากำลังอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก  เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจศาสนาอย่างลึกซึ้งดีพอ ไม่สามารถที่จะโต้แย้งหรือขัดขวางแต่ประการใด  หากสังคมหมู่บ้านเป็นอยู่เช่นนี้  ก็เข้าทางพวกใหม่ทันที   ดังนั้น หากเรายังมีใจรักและจิตสำนึกเพื่อวิชาการศาสนาอย่างคนรุ่นก่อน จงมาช่วยกันยับยั้งสกัดกั้นไม่ให้พวกใหม่เข้ามาในหมู่บ้านของเราทั้งในระยะสั้นระยาว   
      
การเผยแพร่เข้าสู่หมู่บ้านของโกมมูดา

ได้เริ่มต้นตั้งแต่นักเรียนทุนที่ได้ไปเรียนที่ประเทศอาหรับนำแนวคิดของนักวิชาการสมัยใหม่มาเผยแพร่  แต่ในช่วงแรกๆ  มีปัญหาการต่อต้านจากผู้รู้มากมาย ทำให้ต้องทบทวนเสียใหม่ เพราะการที่จะสลายความคิดของ “โกมตัว”ที่อยู่ในสังคมมาอย่างช้านานในสี่จังหวัดภาคใต้นั้น  มันไม่ใช่เรื่องกระทำกันโดยง่ายดายนัก  ดังนั้นการเผยแพร่ในลักษณะของวิชาการจึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ พวกเขาเลือกไม่ชอบวิธีการตอบโต้ในเชิงวิชาการ เปลี่ยนเป็นสร้างแนวร่วมใหม่  ปฏิบัติการแบบไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเคลื่อนไหว     
เมื่อการเผยแพร่แบบใหม่ที่เป็นลักษณะ ลับ ลวง  พราง  ก็เริ่มต้นขึ้น   กลุ่มเผยแพร่วิชาการสมัยใหม่ใช้กลยุทธ์  ที่แนบเนียนเพื่อหวังผลอย่างยั่งยืนในวันข้างหน้า มากกว่าที่จะเผชิญหน้ากับผู้รู้ซึ่งยังมีอยู่อย่างมากมายในสี่จังหวัดภาคใต้   ขบวนการวาฮาบีย์ซึ่งได้จากเงินทุนจากประเทศอาหรับ  ผ่านองค์กรเอกชนในนามมูลนิธิต่างๆ  ก็เคลื่อนไหวออกมาเงียบๆ   เป็นเปลี่ยนกลยุทธ์สร้างฐานที่มั่นก่อนนำหน้าวิชาการ พวกเขาเลือกใช้วิธีตีวงล้อมให้ค่อยเป็นไปเองตามธรรมชาติ รอวันให้ “พวกเก่า”ล้มหายไปอย่างช้าๆด้วยตัวมันเอง 

กลยุทธ์ต่างๆพอนำมากล่าวถึงให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนขึ้นดังนี้
1. การศึกษา   
•   โรงเรียนอนุบาลเด็กเล็ก
•   โรงเรียนสามัญ ป 1  -   ป  6   
•   โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา
•   มหาวิทยาลัย
2. สถาบันการเงิน   
•   สหกรณ์ออมทรัพย์   
3. สร้างสาธารณะประโยชน์
•   มัสยิด ,เงินซ่อมแซมมัดดราสะ
3. การเมือง     
•   มีนักการเมืองสายวาฮาบีย์ลงสมัครเลือกตั้งทุกครั้ง

สิ่งต่างๆ เหล่านี้กำลังเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบในสังคมระดับจังหวัด และหมู่บ้าน   ที่คอยดึงลูกหลานของเราให้เข้าไปศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับปริญญาตรี   ชักชวนพวกสายเก่าฝากเงินที่สถาบันการเงินที่พวกเขาสร้างขึ้น  มอบเงินสร้างมัสยิด สาธารณะสถานเป็นในลักษณะมอบให้โดยไม่หวังผล   เราเลือกนักการเมืองของพวกใหม่โดยไม่รู้ตัว  เพราะได้ยินเขาพูดถึงอุดมการณ์อิสลาม

ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมาทั้งหมดกำหนดขึ้นอย่างจงใจ  ที่จะค่อยๆกลืนพวกสายเก่า หรือสายชาฟีอีย์ดั้งเดิมแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว เป็นการเผยแพร่แนบเนียน มองไม่ออกว่าเขากำลังกลืนพวกเราเงียบๆ มันเป็นการเผยแพร่ที่แนบเนียนจนกระทั่งมีผู้รู้บางคนกล่าวว่า แม้จะเงยหน้ามอง  ก็ยังมองไม่เห็น   เพราะวาฮาบีย์รอการสุกงอมของวันหนึ่งข้างหน้า  วันที่ลูกหลานของเราเติบโตขึ้น  รอวันที่ผู้รู้ล้มหายตายจากไปทีละคนสองคน พวกใหม่รอคอยวันนั้นมาถึงอย่างใจเย็น ในที่สุดก็ยอมศิโรราบให้กับพวกเขาจนหมดสิ้นในวันหน้า 

ปัญหาและแนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืน

เราไม่มีอะไรจะต่อต้านบ่อน้ำของอาหรับที่มีเต็มไปด้วยเงินทุนมหาศาลที่นับวันจะมีเรี่ยวแรงและพลังมากขึ้นทุกวัน   พวกเราต้องเร่งรีบให้ความรู้กับขบวนการแนวคิดใหม่นี้ลงสู่เยาวชน  ชาวบ้านได้รับทราบ เป็นการติดอาวุธทางปัญญาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ให้รู้สึกหวงแหนและอนุรักษ์กับความเป็น  “โกมตัว”ของเรา  เพราะการเคลื่อนไหวของวาฮาบีย์ครั้งนี้ไม่ธรรมดา พวกเขากำลังปรับโครงสร้างของเราดั้งเดิมให้หมด  พวกเขาจะค่อยๆกลืนให้พวกเราหายไปอย่างแนบเนียน โดยที่เราไม่รู้สึกว่าเรากำลังถูกเขาเปลี่ยนเลย 

            ท่านผู้อ่านอย่าลืมว่า มัซฮับของชาฟีอีย์นั้นฝังรากลึกอยู่ในประเทศเอเชียตะวันเฉียงใต้อย่างเหนียวแน่น  จากคนรุ่นต่อรุ่น สมัยต่อสมัยตราบมาจนถึงยุคสมัยของเรา  แต่ทว่า ในเวลานี้กระแสของพายุชนิดใหม่ที่พัดมาผ่านเข้ามาในรูปแบบขององค์กรช่วยเหลือในด้านเงินทุนของกลุ่มประเทศอาหรับ ส่งผลให้พวกชาวบ้านซึ่งอยู่อย่างสงบสุขอยู่ในวิถีเดิมๆ  แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน  ความขัดแย้งในด้านแนวคิดเริ่มลุกลาม  ทำบุญให้คนตายไม่ได้  เยี่ยมกูโบร์ไม่ได้ อ่านกีตาบไม่ได้  เรียนซีฟัต ดัวปูโละห์ไม่ได้ ฯลฯ  จะค่อยเพิ่มมากขึ้น  และจะเกิดกลียุคเมื่อเกิดปะทะกันในด้านวิชาการในวันข้างหน้า  ซึ่งวันนั้นมาถึงเราก็จะไม่มีพลังต่อกรอะไรได้เลย 

           จะขอยกตัวอย่างหมู่บ้านแห่งหนึ่งไว้เป็นกรณีศึกษา ว่าการคืบคลานเข้าหมู่บ้านทีละน้อยๆของพวกวาฮาบีย์ ได้สร้างความแตกแยกให้หมู่บ้านขนาดไหน   หมู่บ้านแห่งนั้นมีมัสยิดเพียงหลังเดียว  และมีมัดดราซะสามแห่งที่มีโต๊ะครูคอยสอนหนังสือทุกค่ำคืน  แต่พอมีการสร้างมัสยิดหลังใหม่เกิดขึ้นความเงียบสงบที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานก็เริ่มโกลาหล  มีการแบ่งกอรียะห์ใหม่  ใช้วืธีบังคับจิตใจชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว  คุณไปมัสยิดโน้น คุณไปมัสยิดนั้น  ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชาญฉลาดแล้วผู้นำยังนำความแตกแยกมาให้ชาวบ้านเป็นของแถมอีกด้วย หากผู้นำคำนึงถึงความสามัคคี สมานฉันท์ เหมือนอย่างคนรุ่นก่อนทำเป็นตัวอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย

          ทั้งๆ หมู่บ้านแห่งนี้ควรมีมัสยิดเดียว  มีคนมาก  ก็สามารถช่วยกันสร้างหลังใหม่ได้ สมัยก่อนเขาร่วมใจสร้างกันได้โดยไม่มีเงินอาหรับมาช่วยเหลือ  ทำไมคนรุ่นก่อนทำได้ ชาวบ้านสมัยนี้ทำไม่ได้หรือ  นี่เพราะคนรุ่นก่อนเขาร่วมมือร่วมใจกัน มีความสามัคคีกันแต่เราในวันนี้ขาดความสามัคคีใช่หรือไม่ ?  ในหนึ่งหมู่บ้าน ควรจะมีมัสยิดหนึ่งเพียงหนึ่งแห่ง  แสดงให้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ไม่สมควรที่แยกเป็นสอง สาม สี่ ท่านจะหลงเหลือความภาคภูมิใจอะไรกันเล่า  ในเมื่อได้มัสยิดหลังใหม่ แต่ความสามัคคี ความเป็นปึกแผ่นของพี่น้องในหมู่บ้านอยู่ในสภาพไม่เหมือนเดิม

              ท่านผู้อ่านที่เคารพรัก  มัดดราซะ หลังคารั่ว  มัสยิดชำรุด ด้วยวันเวลาผ่านพ้นไปหลายสิบปี   แต่ในนั้นมันมีความหมาย ความภาคภูมิใจของโต๊ะครู   โต๊ะอิหม่าม โต๊ะละใบ ของเราที่ได้ล้มหายตายจาก  ที่เขาจากไปพร้อมกับทิ้งมรดกคำสอนความเป็น  “โกมตัว” แนวทางของมัซฮับชาฟีอีย์ให้กับพวกเรา  เราจงช่วยกันยึดถือสายเดิมอย่างเหนียวแน่น เพียงหลังคามัดดราซะรั่วก็ร่วมมือร่วมใจกันซื้อสังกะสีแผ่นใหม่ ช่วยกันหาทุนทรัพย์มาซ่อมแซม  หรือสร้างมัสยิดหลังใหม่ได้  โดยไม่ต้องเอาเงินของอาหรับมาเป็นข้ออ้าง  มรดกของรุ่นโต๊ะครู โต๊ะละใบ และบรรพชนของเรานั้นมีค่ามหาศาล   ไม่ใช่ราคาเพียงสามล้านหรือ สิบล้าน  อย่าให้เงินทอง และภาพสวยงามผู้ใจดี   มาทำลายความเชื่อดั้งเดิมของเรา ที่เราจะสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่เราล้มหายตายจาก วันที่ลูกหลานของเราขึ้นมาสืบแทนที่เลย 

          ทางออกที่รีบด่วนที่สุด ก็คือให้ความสำคัญกับการสอนหนังสือกีตาบอันเป็นหัวใจหลักของบรรดาโต๊ะครูที่เคยสอนเป็นตัวอย่าง เร่งฟื้นฟูความรัก ความสามัคคีในหมู่บ้าน อย่าให้ใครมาเบียนเบียนทำลาย  ให้ทุกท่านมั่นใจในความยิ่งใหญ่ของอีหม่ามชาฟีอีย์ , อีหม่ามอัชอารีย์ ,อีหม่ามฆอซาลี และอูลามาห์คนสำคัญ ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธในความเป็นอูลามาห์ของพวกเขา  ที่ได้ทิ้งความเป็นชาฟีอียะห์เป็นมรดกให้เราเดินตามจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า  จงเร่งรีบหาความรู้ใส่ตัวเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับตนเอง  และลูกหลานของเราในวันข้างหน้า 

เอกสารนี้ผู้เรียบเรียงข้อมูลให้ท่านศึกษาเป็นพื้นฐาน หากพบประเด็นปลีกย่อยต่างๆ หากท่านข้องใจก็หาความรู้เพิ่มเติมได้อย่างสะดวก  ขอให้อ่านด้วยจิตใจที่เปิดกว้างด้วย “สำนึกสาธารณะ” ที่มองผลประโยชน์ ความสูญเสียส่วนรวมเป็นหลัก  ตระหนักถึงความสูญเสียในเรื่องวิชาการศาสนา มากกว่าได้เงินสร้างมัสยิดหลังใหม่ ให้ท่านค่อยๆทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หาทางออกที่สอดคล้องกับวิถีเดิมของคนรุ่นก่อนที่ทำเป็นตัวอย่างให้เห็น อย่าให้มัสยิดหลังใหม่ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางความคิดที่ต่างกัน เป็นฉนวนแตกแยกเกิดขึ้นในหมู่บ้านของเราเลย   

อัลเลาะฮ์   (ซบ.) ได้กล่าวในคัมภีร์อัล- กุรอ่าน :ซูเราะห์ อาลิ อิมรอน  อายะห์ที่ 103 : มีใจความว่า 
“วะตาซีมู  บีฮับลิลลา  ฮียามีเอา วาลาตาฟัรรอกู”
"และพวกเจ้าจงยึดถือสายเชือกของอัลเลาะห์โดยพร้อมกันทั้งหมด  และจงอย่าแตกแยกกัน"

หวังว่าท่านคงมองเห็นหน้าตาของ “นักศาสนาสมัยใหม่ หรือโกมมูดา” ในภาพที่ชัดเจนและรู้ทันความเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ดีขึ้น .

บทความโดย  อับบาส อาลี


7
อัสลามูอาลัยกุมฯ

พี่น้องครับ .เป็นที่ทราบกันมาตั้งแต่อดีตแล้วว่า ก่อน ปีฮิจเราะที่300ปีถัดมา นั้นบรรดาผู้มีความรู้ด้านฟิกฮ์ในสมัยนั้น ต่างก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางโดยนักปราชญ์มุสลิมทั่วโลก  ไม่ว่า

ท่านอีหม่าม ฮะนาฟี  ท่านอีหม่ามมาลิกี ท่านอีหม่าม ชาฟีอี ดาวุดซอฮีรีย์ ท่านอีหม่ามอัชเชารี ท่านอีหม่ามฮัมบาลี  ฯลฯและบรรดานักฟิกฮ์ที่สืบเจตนารมณ์ยุคหลังๆก็มีมากเช่นผู้ที่ตักลีดตามทัศนะของท่านอีหม่ามชาฟีอี ไม่ว่า อีหม่ามฆอซาลี  ฮีหม่ามรอฟี     อีหม่ามนาวะวีย์   อีหม่ามอิบนุฮะญัร-อัลฮัยตามี  อีหม่ามรอมลี  เป็นต้น

ท่านเหล่านี้คือ ผู้ที่มีความรู้ทั้งในด้านฟิกฮ์และอากีดะซึ่งเป็นที่รู้จักยอมรับในชื่อเสียงของบุคคลผู้ทรงเกียตริเหล่านี้...

หลักการสำคัญของของผู้รู้เหล่านั้นคือ

ยึดตาม กิตาบุลลอฮ์ และซุนนะนบี เป็น2สิ่งแรก

ซึ่งทัศนะท่านเหล่านั้นต่างก็ดำเนินชีวิตที่ สอดคล้องกับ สิ่งที่ท่านนบีใช้ ก่อนที่ท่านจะจากเราไปคือซึ่งท่านกล่าวว่า  ..หลังจากฉันจากไปแล้ว...ทั้งหลายก็จะพบความขัดแย้งมากมาย....และฉันจะทิ้งสิ่งทั้งสองไว้ คือ อัลกรอาน และซุนนะชของฉัน....เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่หลงทาง.........และจงปฏิบัติมัน.....บุคอรี..

แต่บางอย่างที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับศาสนาโดยตรง   กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจุบันหรืออดีตก็ตาม โดยบางครั้งไม่มีในสมัยท่านนบี ...บรรดาผู้รู้เหล่านั้นก็ต่างค้นคว้าและสืบเสาะ จากการกระทำของบรรดาซอฮาบะที่ดี จากตาบีอีน จากตาบีอีตตาบีอีน หรือ จากบุคลที่ชาวสลัฟที่ดี
...ในการแก้ปัญหาศาสนาของพระองค์เกิดทางตัน.จนไม่สามารถแก้ไขได้..

จะเห็นว่าจากบรรดาเจ้าของทัศนะที่กล่าวมาแล้วนั้นล้วนไม่ได้คิดหรือสร้างเหตุผลขึ้นมาเองเลย แต่ตรงกันข้าม พวกเขารอบคอบในการค้นคว้าและวินิจฉัย...

เช่น สิ่งใดที่ไม่มีจากอัลกรุอ่าน พวกเขาก็ค้นหาจากอัลฮาดิสหรือซุนนะของท่านฉนั้นการที่นักมุฮาดีษีนทำการวิจัยฮาดีสนั้นถึงว่าเขามากด้วยความพยายามที่จะค้นหาความจริงกับศาสนาของพระองค์ด้วยความอิคลาสใจ...

ตัวอย่าง
ท่านอีหม่ามชาฟีอี(รฮ)เมื่อ ท่านพบปัญหาสักอย่างที่ไม่สามารถค้นหามาจากอกีตาบุลลออ์และซุนนะบีได้แล้ว สิ่งที่ท่านทำต่อไปคือ..อิจมะฮ์มุตาญิด...แต่ถ้าไม่มีสิ่งนั้นท่านก็จะใช้หลักการเปรียบเทียบ..(กิยาส)  ว่าสามารถกระทำได้หรือไม่
ท่านอีหม่ามฮัมบาลี (รฮ)ก็เช่นกัน สิ่งใดที่ไม่มีพบจากกีตาบุลลออ์และซุนนะบี  ท่านก็จะเอาคำฟัตวาของสาวกนบี ถัดจากสองสิ่งนั้น รองลงมาคือ ฮาดีสมุรซาลและฮาดีสดออีฟ.และถัดมาคือ การกิยาส..


เราจะพบว่า...ถ้าสิ่งใดที่ไม่ปรากฏข้อห้ามข้อใช้ อย่างชัดเจน แล้ว ท่านเหล่านั้นจะทิ้งปัญหานั้นให้พ้นไปโดยให้ผ่านมาถึงมือเราเลย  แต่ทุกอย่าง ต้องได้รับการตรวจสอบและค้นคว้าเสมอ
...

หน้า: [1]